Home > Press/Release > SMT- สตาร์ส ไมโครฯ เติบโตเกินคาด ไตรมาส2 ทำกำไรเพิ่ม 94%

SMT- สตาร์ส ไมโครฯ เติบโตเกินคาด ไตรมาส2 ทำกำไรเพิ่ม 94%

ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับไฮเอ็นด์ของไทย
ยังรักษาสถิติการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ประกาศกำไรปกติไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 94% หลังคว้าลูกค้ารายใหญ่เพิ่มขึ้น 2 ราย และออร์เดอร์สินค้าหลักล้นทะลักยาวถึงสิ้นปี

นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง SMT หรือ บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจรรายเดียวของประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงสุดในรอบ 4 ปีนี้ เปิดเผยว่า SMT มีกำไรกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2553 เป็นเงิน 129.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากไตรมาส 2 ปี 2552 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 95.74 ล้านบาท (และเพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาส 1 ปี 2553 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 102.25 ล้านบาท) ในขณะที่รายได้รวมในไตรมาสนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 48% เป็น 3,590 ล้านบาท จากรายได้รวม 2,420.15 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2552

“บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 94% ในไตรมาส 2 ปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นกว่า 44% จากไตรมาส 1 ปีนี้ ทำให้สำหรับงวด 6 เดือนแรกปีนี้ SMT มีกำไรปกติเพิ่มขึ้น 117.5% เป็น 204.40 ล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 101% เป็น 231.40 ล้านบาทตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปีที่แล้ว และมีอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ในช่วง 6 เดือนแรกถึง 0.62 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 50% กว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 0.41 บาทต่อหุ้น ซึ่งแสดงถึงการเติบโตอย่างสูงและต่อเนื่องของบริษัท และช่วยให้บริษัท มีโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่งกว่าเดิม โดยมีอัตราผลตอบแทนในส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ในไตรมาส 2 ที่คาดว่าสูงที่สุดในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คือ 28.10% (เพิ่มขึ้นจาก 15.72%ในปี 2552) และมีอัตราส่วนหนี้สินที่เสียดอกเบี้ย

ต่อทุน (Net Gearing Ratio) ลดลงเหลือเพียง 0.68 เท่าจากเดิม 1.1 เท่าและมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E RATIO) ลดลงเหลือเพียง 1.43 เท่า จากเดิม 2.84 เท่า และมีวงเงินกู้ระยะสั้นที่ยังไม่ได้เรียกใช้กว่า 1,500 ล้านบาท

“ในไตรมาส 2 นี้ นอกจาก SMT ได้เร่งเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้ากลุ่ม Blue Ocean หรือ สินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง และมีคู่แข่งในตลาดโลกน้อย อาทิ ทัชสกรีน สำหรับสมาร์ทโฟน และเซ็นเซอร์อัจฉริยะวัดระดับลมยางรถยนต์’ TPMS แล้ว บริษัทยังได้เริ่มผลิต โมดุลสำหรับ เครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์ขนาดพกพาที่ใช้เลเซอร์เทคโนโลยี แห่งเดียวของโลก ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่บริษัทพัฒนาการผลิตร่วมกับลูกค้ามากว่า 2 ปีและกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดโลกทำให้อัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ในงวด 6 เดือนแรกนี้ของบริษัท เพิ่มขึ้นประมาณ 101% จากช่วง 6 เดือนแรกของปีที่แล้ว โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทใช้กลยุทธ์ 3 Highs คือ 1. High-Tech 2. High-Growth 3.High Profits ที่มุ่งเน้นสินค้าระดับไฮเท็ค ที่มีกำไรสูงและเติบโตเร็ว”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 2 บริษัทคือ ลูกค้า MMAและ IC ที่ให้ SMT เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ป้อนให้ลูกค้าปลายทางในกลุ่ม สมาร์ทโฟน และในกลุ่มสินค้าชื่อดังอาทิ LED TV, PDA, iPad, iPod, iPhone โดยบริษัทได้เริ่มผลิตสินค้าให้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป และในขณะนี้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกกำลังอยู่ในช่วงการเติบโตรอบใหม่ ซึ่งปกติจะขยายตัวติดต่อกัน 4-5 ปี บริษัทฯจึงคาดว่าจะส่งผลสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯได้เป็นอย่างดี

“SMT จึงได้ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายผลประกอบการสำหรับปี 2553 นี้อีกครั้งเป็นเติบโต 80% จากเดิมที่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วเป็นเติบโตกว่า 60% จากการเติบโต 40% ในไตรมาส 2 เนื่องจากทั้งรายได้รวมและกำไรสุทธิมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าและต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 กลุ่มคือ 1. ชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (MMA หรือ Microelectronics Module Assembly) และ 2. ไอซีชิพหรือแผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC หรือ Integrated Circuit) โดยเฉพาะสินค้ากลุ่ม บลูโอเชียน ที่มีผลิตภัณฑ์หลักที่เติบโตสูงสุดได้แก่ 1. ระบบทัช สกรีนสำหรับสมาร์ทโฟน 2. ‘เซ็นเซอร์อัจฉริยะวัดระดับลมยาง’ TPMS หรือ Tire Pressure Monitoring System Sensors

3. โมดุลสำหรับ เครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์ขนาดพกพาที่ใช้เลเซอร์เทคโนโลยี (Laser Projector Modules) ซึ่ง SMT จะได้รับประโยชน์โดยตรงเพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนระดับ Prime Source (หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนรายหลักของอุตสาหกรรมโลก) ให้กับทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์โดยลูกค้าหลักของบริษัทฯ เป็นแบรนด์ผู้นำอันดับ 1 ของโลก และแบรนด์ระดับโลกอื่นๆอีกหลายแบรนด์ที่มียอดขายเติบโตอย่างสูงและต่อเนื่องทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป โดยเฉพาะในเอเซียมีการเติบโตสูงมากเช่นกัน”

สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ได้ขยายกำลังการผลิตทั้ง สายงานไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (MMA) และวงจรไฟฟ้ารวม (IC) เป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้เป็น 100,000,000 ชิ้นต่อปีและ 1,200,000,000 ชิ้นต่อปีตามลำดับ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30% และ 70% จากปีที่แล้ว ด้วยงบลงทุนทั้งหมดกว่า 400 ล้านบาทในปีนี้ โดยใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เงินสดหมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยขณะนี้บริษัทกำลังมุ่งผลิตทั้งชิ้นส่วน IC หรือแผงวงจรไฟฟ้ารวมและ ระบบทัชสกรีนของสมาร์ทโฟน สำหรับลูกค้าหลักแบรนด์อันดับต้นๆ ของโลก ที่มีปริมาณออเดอร์เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ และสำหรับลูกค้าสมาร์ทโฟนระดับโลกรายใหม่แบรนด์ญี่ปุ่น-ยุโรป ซึ่งในตลาดโลกขณะนี้มีความต้องการสมาร์ทโฟนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างสูงและต่อเนื่อง โดยคาดว่ายอดขายสมาร์ทโฟนจะเพิ่มเป็น 500 ล้านเครื่องภายในปี 2555* โดย SMT ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตระดับ Prime Source ของโลกจะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ เนื่องจากบริษัทฯ มีเทคโนโลยีของตนเองที่ได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากการพัฒนามากว่า 4 ปี

อนึ่งบริษัท บมจ. สตาร์ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) หรือ SMT ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 2 กลุ่มคือ 1. ธุรกิจผลิตไอซีชิพหรือแผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC หรือ Integrated Circuit) และ 2. การผลิต-ประกอบชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (MMA หรือ Microelectronics Module Assembly) โดยมีฐานการผลิตทั้ง 2 กลุ่มอยู่ภายในอาคารเดียวกัน และเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีมาตลอดสามารถเพิ่มยอดกำไรสุทธิได้อย่างต่อเนื่องกว่า 5 ปี ยังเป็นบริษัทแรกที่ได้รับผลประโยชน์พิเศษจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์และจาก BOI ให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีรายได้ตลอด 8 ปีโดยไม่มีการกำหนดเพดานผลกำไรสุทธิสะสมทำให้บริษัทฯคาดว่าจะเพิ่มปริมาณกำไรสุทธิจากโครงการนี้กว่า 500 ล้านบาทตามระยะเวลาสิทธิประโยชน์ที่เหลือ
* Smart Phone Research by the Gartner Group, 2010

View :1555

Related Posts

  1. No comments yet.
  1. No trackbacks yet.
You must be logged in to post a comment.