Home > Press/Release > MFEC มั่นใจครึ่งปีหลังโชว์ผลงานเจ๋งกว่าครึ่งแรกหลังการเมืองนิ่งหนุนงานไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง

MFEC มั่นใจครึ่งปีหลังโชว์ผลงานเจ๋งกว่าครึ่งแรกหลังการเมืองนิ่งหนุนงานไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง

“ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร” มั่นใจครึ่งปีหลัง โชว์ผลงานโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เหตุเป็นช่วง high season แถมสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มนิ่ง หนุนเอกชนเริ่มหันมาลงทุนพัฒนาระบบงานไอทีเพิ่มขึ้น คุยกอดงานในมือรอแล้วกว่า 1.5 พันลบ. พร้อมเดินหน้าควงพันธมิตรพัฒนา IP ของตัวเองลงวางตลาดต่อเนื่อง เชื่อฝ่าคู่แข่งข้ามชาติปั้นผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนได้
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังของปี 2553 ว่า มีทิศทางขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากในช่วงครึ่งปีหลังปกติธุรกิจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศสงบลง ส่งผลให้ความมั่นใจในการลงทุนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการลงทุนด้านระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศของทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้มีงานวางระบบสารสนเทศเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ขยายตัวในทิศทางเดียวกัน

สำหรับการขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังนี้เขากล่าวว่า บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการเร่งขยายผลิตภัณฑ์และการให้บริการให้หลากหลายสามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจรแบบ One Stop Service เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้สามารถปกป้องตลาดและขยายฐานลูกค้าไปในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางธุรกิจที่คาดว่าจะมีการแข่งขันอย่างรุนแรง หลังเปิดการค้าเสรีตามสนธิสัญญาอาฟต้า โดยการเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ หรือการเพิ่ม Portfolio ของ Product หรือโซลูชั่น ให้มีความสมบูรณ์ขึ้นนั้น MFEC ยังใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง ( Intellectual Property หรือ IP ของ MFEC) ลงสู่ตลาดมากขึ้นต่อเนื่องจากต้นปีที่ผ่านมา

รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำในแต่ละตลาดพัฒนาสินค้าอินโนเวชั่นลงทำตลาดร่วมกัน เพื่อใช้จุดแข็งของกันและกันสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางการแข่งขันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจากผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ปัจจุบันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นทุกที เนื่องจากความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยี ที่มีต้นทุนสินค้าที่ถูกลง สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างคล่องตัว

“กลยุทธ์การจับมือกับพันธมิตรพัฒนาสินค้าร่วมกัน และการที่เราสร้าง IP ของเราขึ้นมาได้ เพื่อเพิ่ม solution สร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในการนำเสนอข้อมูลให้กับลูกค้าแบบเหนือชั้นกว่า นอกจากนั้นยังช่วยลดระยะเวลาการทำงานของเรา เมื่อประหยัดเวลาได้ ผลก็คือการประหยัดต้นทุนและช่วยเพิ่ม margin กับบริษัทฯได้ และประการทำคัญทำให้ MFEC มีสินค้าที่นำเสนอให้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจร แบบ end to end ตั้งแต่นำข้อมูลจากต้นทางมา จนถึงเอาข้อมูลไปให้ผู้บริหารใช้บริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ในขณะเดียวกัน MFEC ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาการให้บริการให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงกับใจด้วย ซึ่งถือเป็นการผนึก 2 จุดแข็งเข้าด้วยกันอย่างลงตัวทั้งด้านความเป็นหนึ่งเรื่องเทคโนโลยี และความเป็นหนึ่งด้านบริการ ซึ่งจะทำให้เราเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต”

นายศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปี 2553 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีก่อน โดยเป็นการเติบโตตามตลาดไอทีที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (ฺBacklog) ประมาณ 1.5 พันล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปี โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ อยู่ในภาคเอกชนประมาณ 60 – 65% ส่วนอีก 35 – 40% เป็นภาครัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์พัฒนา IP ของตัวเองลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (margin) ของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการเติบโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากในไตรมาสที่ 2/2553 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาก

ทั้งนี้ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2553 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 มีกำไรสุทธิ 20.36 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.08 บาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 20.66 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.09 บาท ถึงแม้ว่ารายได้ในช่วงดังกล่าวจะลดลงจากปีก่อนอย่างชัดเจน หลังจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความรุนแรงทางการเมือง โดยในไตรมาสที่ 2/2553 บริษัทฯ มีรายได้รวม 531.27 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 577.25 ล้านบาท แต่เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 21% เทียบกับ 19% ในปีก่อน จึงทำให้ผลประกอบการออกมาใกล้เคียงกับปีก่อนดังกล่าว ส่วนงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 41.73 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.17 บาท จากปีก่อนที่ทำได้ 49.43 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.21 บาท

View :1760

Related Posts

Categories: Press/Release Tags:
  1. No comments yet.
  1. No trackbacks yet.
You must be logged in to post a comment.