Archive

Author Archive

ซิทริกซ์เผยการเปลี่ยนโฉมหน้าโมบิลิตี้ในเอเชีย ชี้ ไอโอเอส เป็นแพลตฟอร์มโมบายยอดนิยมขององค์กรธุรกิจ

April 9th, 2013 No comments


องค์กรเอ็นเตอร์ไพร์ซ ตอบรับความริเริ่มด้านโมบิลิตี้มาใช้ในองค์กร ด้วยการนำโปรแกรม BYOD หรือ การอนุญาติให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ทำงาน รวมถึงแท็ปเล็ต ซึ่งคาดว่าฝ่ายไอทีต้องเผชิญกับเรื่องของการรักษาความปลอดภัยในเชิงลึกมากขึ้นรวมถึงการบังคับใช้อุปกรณ์เหล่านั้นได้อย่างสอดคล้องตามกฏข้อบังคับขององค์กร ตามการวางกฏระเบียบขององค์กรที่ใส่ใจเรื่องการรักษาความปลอดภัย

จากรายงานเรื่องคลาวด์ในองค์กรเอ็นเตอร์ไพร์ซ (Enterprise Cloud Report) ที่ซิทริกซ์ออกมาในวันที่ 20 มีนาคม แสดงให้เห็นว่าองค์กรธุรกิจกำลังเอาจริงเอาจังกับการแบล็กลิสต์แอพพลิเคชันที่ไม่เหมาะสม โดย 18 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรธุรกิจได้นำนโยบายเรื่องการแบ็ลกลิสต์มาปรับใช้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 แอพฯ ดังกล่าวได้แก่ Angry Birds, Facebook, Dropbox และ YouTube ซึ่งแอพฯ ที่ได้รับการยอมรับให้ใช้ หรืออยู่ในรายการไวท์ลิสต์ (Whitelist) ได้แก่ Evernote, NitroDesk TouchDown, Google Chrome และ Adobe Reader โดย Skype เป็นแอพฯ เดียวที่อยู่ในรายการของทั้งแบล็กลิสต์ และไวท์ลิสต์ ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวอิงจากข้อมูลที่ซิทริกซ์รวบรวมจากลูกค้าที่ใช้ระบบบริหารจัดการโมบิลิตี้สำหรับเอ็นเตอร์ไพร์ซบนคลาวด์

นอกจากนี้ รายงานยังเปิดเผยว่า iOS เป็นแพลตฟอร์มระบบโมบายที่เป็นที่นิยมสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะที่ผู้ใช้โมบายใช้สื่อสารกับลูกค้าในแบบตัวต่อตัว เช่นในธุรกิจค้าปลีก หรือร้านอาหาร ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดที่นำแพลตฟอร์มดังกล่าวมาใช้ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงาน กฏหมายและประกัน โดย 75 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าของซิทริกซ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ได้มีการนำ iOS มาใช้เป็นแพลตฟอร์มโมบายทางเลือก ในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 58 เปอร์เซ็นต์ สำหรับทั่วโลกมีการแชร์ข้อมูลเรื่องการนำโมบายแพลตฟอร์ม iOS มาใช้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่าน สูงขึ้นเป็น 58 เปอร์เซ็นต์ โดยสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น

นอกจากนี้ซิทริกซ์ยังได้เผยถึงการพัฒนาในส่วนอื่นๆ ที่เป็นพื้นฐานของกลยุทธ์ด้านข้อมูล (Follow me Data Strategy) นั่นคือ ShareFile ซึ่งได้รับรางวัลจากการจัดอันดับที่สูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องของ “ผลตัดสินที่ชัดเจน” ในตลาดเรื่องการซิงค์และแชร์ไฟล์สำหรับองค์กร (Enterprise File Synchronization & Sharing) ที่จัดโดยการ์ทเนอร์เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมาก โดยการ์ทเนอร์ให้การสนับสนุนความสามารถของ ShareFire ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์ให้กับทุกคนได้อย่างปลอดภัย และยังสามารถซิงค์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์ทุกประเภทได้ ทั้งนี้ การ์ทเนอร์ ยังได้ให้การยกย่องในความยืดหยุ่นของ ShareFile ในการจัดเก็บข้อมูลขององค์กรไว้ในสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดโดยตอบสนองความต้องการเรื่องประสิทธิภาพและความสอดคล้องต่อกฏระเบียบองค์กรได้เป็นอย่างดี และการ์ทเนอร์ยังชื่นชมเรื่องที่ ShareFile สามารถทำงานร่วมกับระบบงานอื่นของซิทริกซ์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น XenDesktop, XenMobile และ Podio รวมถึงสายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของซิทริกซ์ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถคลิ๊กดูได้ ที่นี่

และเพื่อที่จะสนับสนุนความต้องการที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายไอทีในเรื่องความปลอดภัยและการบังคับใช้งานให้สอดคล้องตามกฏระเบียบขององค์กร ซิทริกซ์ยังได้เปิดตัว NetScaler Insight Center ซึ่งเป็นโซลูชันที่ให้ความสามารถในการมองเห็นและควบคุมการใช้แอพพลิเคชันธุรกิจและบริการโมบายบนระบบคลาวด์ ไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา โดยอาศัยการเชื่อมต่อของสินทรัพย์ที่มีอยู่ และตั้งอยู่ในจุดโฟกัสที่โดดเด่นหลักๆ บนเส้นทางสัญจรของแอพพลิเคชัน เพื่อให้มุมมอง 360 องศาเกี่ยวกับทราฟฟิกของเครื่องเดสก์ท็อปเสมือน รวมถึงเว็บและโมบาย โดยช่วยให้ฝ่ายไอทีมีแพลตฟอร์มในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่บนเน็ตเวิร์ก ช่วยให้สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ล่วงหน้าและมีมุมมองเชิงลึกแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับทราฟฟิกในดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายแบบเรียลไทม์ได้อย่างคล่องตัวโดยอาศัยการดึงข้อมูลจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ใน NetScaler มาช่วยสนับสนุน

ความเคลื่อนไหวอื่นๆ ของซิทริกซ์ในรอบเดือนที่ผ่านมาได้แก่

· ซิทริกซ์เปิดตัวแพลตฟอร์มให้บริการด้านคลาวด์ CloudPortal™ Business Manager 2.0 ช่วยให้องค์กรธุรกิจและผู้ให้บริการสามารถรวมศูนย์เรื่องของการทำคอมเมิร์ซ การบริหารจัดการผู้ใช้ รวมถึงแง่มุมต่างๆ เรื่องงานส่วนปฏิบัติการและการทำโพรวิชั่นนิ่งของคลาวด์ให้อยู่ในอินเตอร์เฟซคลาวด์อันเดียวได้ เพื่อนำเสนอในรูปของการให้บริการได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้สร้างคลาวด์สามารถปรับเปลี่ยนระบบโครงสร้างคลาวด์สู่ธุรกิจการบริการ เปลี่ยนบทบาทฝ่ายไอทีจากผู้ดูแลระบบสู่ผู้ให้บริการคลาวด์ในเชิงกลยุทธ์ ในรูปแบบการนำเสนอไอทีในลักษณะของการบริการ

· ซิทริกซ์ ได้รับรางวัลในการจัดอันดับพันธมิตรระดับห้าดาว จากหนังสือแนะนำโปรแกรมพันธมิตรปี 2013 ของ CRN ผู้ตีพิมพ์รายชื่อซอฟต์แวร์และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์หรือผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านการบริการแก่ช่องทางจำหน่ายไอที

· ซิทริกซ์นำเสนอแอพฯเดียวทำได้หมดทุกอย่าง โดยรวมความสามารถด้านการแก้ไขเนื้อหาบนโมบาย (Mobile Content Editing) ไว้ใน ShareFire ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์โมบาย ช่วยเรื่องของโมบิลิตี้ เพิ่มผลิตผล และความสามารถด้านการประสานการทำงานร่วมกัน รองรับการใช้งานบนไอแพด และไอโฟน ที่ให้ความสามารถด้านการซิงค์และแบ่งปันข้อมูลเพื่อการใช้งานร่วมกัน โดยลูกค้าสามารถแก้ไขเอกสารทั้งบนไมโครซอฟท์ และ อโดบี พีดีเอฟ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือระหว่างที่ออฟไลน์อยู่ก็ตาม

· ซิทริกซ์ เสริมศักยภาพแอพฯ Podio ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยในการประสานการทำงานร่วมกัน (Collaboration Tool) บนไอโฟน และแอนดรอยด์ ด้วยการเพิ่มภาษาใหม่ครอบคลุมถึง 11 ภาษาในปัจจุบัน

· ซิทริกซ์ได้รับการรางวัล Gold Award จาก Stevie Awards ประจำปี 2013 เรื่องการบริการลูกค้าและบริการด้านการขายยอดเยี่ยม โดยรางวัลดังกล่าวมอบให้ผู้จำหน่ายในประเภทฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ที่มีผลงานยอดเยี่ยม

· ซิทริกซ์ ส่ง “GoToAssist” ชุดเครื่องมือรวมสนับสนุนการใช้งานโมบายผ่านคลาวด์เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าโดยผสมผสาน “3 ลูกเล่น” ที่ใช้งานง่ายทั้ง service desk management, remote support และ IT monitoring โดยสามารถใช้ฟังก์ชันดังกล่าวผ่านอินเตอร์เฟซเดียวได้อย่างง่ายดาย ช่วยสร้างประสบการณ์ยอดเยี่ยมในการใช้งานได้ตลอดเวลาโดยไม่สะดุด สำหรับทั้งพนักงานภายในองค์กรและลูกค้าภายนอก

View :1256
Categories: Press/Release Tags:

เอไอเอส เริ่มเชิญลูกค้าใช้ 3G ใหม่ บนคลื่น 2.1 GHz

April 9th, 2013 No comments


พร้อมจับมือแรบบิทนำนวัตกรรม NFC สู่เมืองไทยครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิค

9 เมษายน 2556 : เอไอเอสเริ่มเชิญลูกค้าบางส่วนใช้บริการ AIS 3G ใหม่บนคลื่น 2.1 GHz หลังจากใช้เวลาเพียง 4 เดือนติดตั้งเครือข่ายจนพร้อมให้บริการในหัวเมือง 18 จังหวัด รวมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานคร พร้อมผนึกกำลังรถไฟฟ้าเปิดตัวนวัตกรรม NFC อย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกในประเทศไทย กับบริการ AIS mPAY Rabbit นำบัตรแรบบิท มาไว้ในซิม AIS 3G 2.1 GHz

นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “3G นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสื่อสารโทรคมนาคม ที่จะยกระดับและเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งของประเทศไทยอย่างที่พวกเราทราบและเฝ้ารอคอยกันมานาน ดังนั้นเอไอเอสในฐานะ 1 ในผู้ที่ได้รับใบอนุญาต 3G บนคลื่น 2.1 GHz เราจึงมุ่งมั่นและใช้ความพยายามอย่างเต็มกำลังหลังจากได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเราได้ใช้งบประมาณราว 70,000 ล้านใน 3 ปี เตรียมการเพื่อให้พร้อมมอบบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพในทุกด้าน โดยใช้เวลาเพียง 4 เดือนก็สามารถเริ่มทำให้เครือข่ายพร้อมรองรับการใช้งานใน หัวเมืองของ 18 จังหวัด รวมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานครได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงได้เริ่มเรียนเชิญลูกค้าบางส่วน (ด้วยElectronics Random) ที่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ และมีเครื่องโทรศัพท์พร้อมด้วยซิมการ์ดที่พร้อมรองรับ 3G 2.1 GHz ให้ได้เริ่มใช้บริการเบื้องต้น ก่อนที่จะเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้”

“อย่างไรก็ตาม 3G ในมุมมองของเอไอเอสจะต้องสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม มอบประโยชน์ สร้างคุณภาพชีวิต และเสริมศักยภาพให้แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ดังนั้นด้วยแนวทางของเราที่เชื่อมั่นกับการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม วันนี้จึงมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจาก บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด ในฐานะของผู้พัฒนาและให้บริการระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์ “แรบบิท” มาเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาบริการกับเรา ทำให้จากนี้ไป แรบบิทเทคโนโลยีจะไม่ได้จำกัดอยู่ในเฉพาะรูปแบบบัตรที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป แต่กำลังจะมาอยู่ในรูปแบบSIM Card บน AIS 3G ใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกใน ASIA Pacific ที่นวัตกรรมซึ่งมีความปลอดภัยสูงสุดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยแน่นอนว่าจะอำนวยความสะดวกให้แก่การใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดเป็นรายแรกและรายเดียวเท่านั้น”

ด้านนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทางเราได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในปัจจุบัน แทบทุกคนใช้สมาร์ทโฟน และมีแอปพลิเคชั่นต่างๆเกิดขึ้นมามากมาย เพื่อช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ร่วมพัฒนาโครงการการชำระเงินผ่านเทคโนโลยี NFC โดยท่านสามารถนำโทรศัพท์มือถือรุ่นที่รองรับเทคโนโลยีนี้ในระบบ AIS 3G ใหม่ ไปใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าและระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ รวมถึงใช้ซื้อของ ณ ร้านค้าที่ร่วมให้บริการ นอกจากนี้ ลูกค้าของเราทั้งคู่จะสามารถเติมเงินและตรวจสอบเงินคงเหลือได้อย่างง่ายดาย และเรียกดูรายการเงิน – เข้าออกได้ตลอดเวลา เรียกได้ว่าการร่วมมือของเราทั้งคู่ครั้งนี้สามารถยกระดับชีวิตของคนเมืองได้เลยทีเดียว”

บริการ AIS mPAY Rabbit ได้เริ่มเปิดให้ลูกค้าที่มีความสนใจทดลองใช้บริการ ก่อนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาส 3 ของปีนี้
สำหรับแผนงานของ AIS 3G ใหม่นั้น หลังจากเริ่มเรียนเชิญลูกค้าบางส่วนใช้บริการใน 18 จังหวัด รวมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานครแล้ว เรายังเตรียมที่จะเปิดตัวบริการอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมกับพื้นที่ให้บริการมากกว่า 20 จังหวัด จากนั้นก็จะครบในหัวเมืองของทั้ง 77 จังหวัดภายในสิ้นปี 2556 อย่างแน่นอน ดังนั้นวันนี้ลูกค้าสามารถกดหมายเลข *988*เลขบัตรประชาชน# แล้วโทรออกได้ฟรี! เพื่อเป็นการสมัครและเตรียมความพร้อมการใช้งานของท่าน ก่อนที่จะอัพเกรดการใช้งานเป็น AIS 3G ใหม่ เมื่อพื้นที่ให้บริการครอบคลุมในพื้นที่การใช้งานของท่านต่อไป

“การเริ่มเรียนเชิญลูกค้าบางส่วนใช้บริการในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจของเราและสัญญา ที่จะนำคลื่นความถี่ 2.1 GHz ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ ที่ได้จากการประมูลมาสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงให้แก่ประเทศอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อยกระดับคุณภาพการสื่อสารของคนไทยตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. อีกทั้งการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างรถไฟฟ้าก็เป็นเสมือนหนึ่งสิ่งที่ยืนยันให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า 3G 2.1 GHz ซึ่งเป็นคลื่นมาตรฐาน จะสามารถยกระดับและเสริมศักยภาพการใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง” นายวิเชียรกล่าวสรุป

จังหวัดที่เริ่มเรียนเชิญลูกค้าใช้งาน ประกอบด้วย กรุงเทพฯ, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, เชียงใหม่, เชียงราย, พิษณุโลก, ภูเก็ต, สงขลา, ชลบุรี, ระยอง, อุดรธานี, ขอนแก่น, โคราช, นครปฐม, อยุธยา, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี

View :1305
Categories: 3G Tags:

XM Asia teams up with Thomas Idea to strengthen its full-service digital agency network for Asia

April 5th, 2013 No comments

XM Asia is investing to develop the digital agency business in Thailand by joining forces with Thomas Idea to reinforce its digital commerce team. The move also supports the WPP group’s strategy to penetrate the ASEAN Economic Community market. With Thailand now part of its regional business alliance, the company expects to become the digital agency leader in Asia.

As well, XM Asia is building a full-cycle online marketing team to empower customers’ potential to build and upgrade their brands to become regional players via digital strategy. The main strategic aim is to be a partner who can respond to customers’ requirements and create revenues by using advanced technological tools in the digital era in which the online population is growing rapidly.

Paul Soon, Chief Executive Officer of XM Asia Pacific said: “XM Asia has studied the digital agency market in Thailand for quite some time. The key reason behind our decision to join with Thomas Idea is that both companies were established to specifically engage in the digital agency business. We both have skills and long experience. Besides, our visions match. We both desire to work for any brands that are ready for changes that will take advantage of everything the digital world can offer and transform it into revenue for their businesses.”

“As Asian countries grow and exert greater influence in the world economy, digital media are playing critical roles in communications. This has led to rapid expansion in the digital agency business in the past two to three years. The company believes that from this point forward, digital channels will become vital success factors in marketing competition and in driving organizations’ growth and revenues. Consequently, a team with excellence in both technology and creativity will reinforce XM Asia’s digital agency network in Singapore, Hong Kong, Malaysia, Indonesia and Thailand to become the strongest in Asia, which is a key strategy of the WPP and JWT Asia Pacific groups.”

“From now on, the business plan for the entity is to expand services to customers of XM Asia and Thomas Idea with a focus on serving ASEAN markets once the AEC is formed. Digital commerce, a new trend in trade among global corporations, is Thomas Idea’s strength, which will broaden the range of XM Asia’s expertise. The synergy will enable the company to provide even better services as entrepreneurs in ASEAN look for opportunities to expand into their neighboring countries. Our collaboration at the regional level will become more apparent in the near future,” said Mr. Soon.

XM Asia’s current customers include Mastercard, Singapore Tourism Board, HP, Customers in other industries include Malaysia Airlines, XL, Nestle, Maxis, Unilever, Ford and ICI.

Uraiporn Chonsirirungsakul, Chief Executive Officer of Thomas Idea Co., Ltd. said: “2012 was the year that sparked Thailand’s digital agency business. Contributing to this phenomenon are the large numbers of devices as well as the variety of social media space for business available. Almost all groups of Thai consumers now use online channels as their main tool for communication, as well as to help them make purchasing decisions. Online shopping is increasing accordingly.

Meanwhile, leading global brands have begun to change their perceptions about digital media. They realize that digital media are not only for advertisements, but that they can deploy the technology to earn revenue by building a brand for the world and investing more in digital commerce. In this new era of fierce competition in the online market, we wish to see Thai marketers catch up with their competitors in terms of technology, beyond simply relying on digital media only for advertisements.”

In terms of its business plan, Thomas Idea is determined to cooperate with XM Asia in the international markets, especially in ASEAN. The synergy will save time in building a system and open more opportunities for generating revenue for customers. As well, the company is dedicated to helping its customers to expand into ASEAN markets at a more rapid pace and confidence.

In the past, the company focused more on competitors from North America and Europe. This year, Thai businesspeople and investors are well prepared for the use of digital marketing to establish their presence in the ASEAN market, in lieu of North American and European markets. More importantly, merging with XM Asia enables both companies to share in-depth information such as customer insight data and to conveniently connect with each other.

“The budgets for online strategic plans of Thai entrepreneurs and marketers also have increased to around 10-15% of their total marketing budgets. There is also a high trend in foreign countries toward investment via digital commerce, which is driving the continuous creation of more marketing channels. Meanwhile, the media value this year of online media should grow by 5% compared to other types of media. We are confident that this cooperation with XM Asia will yield positive results, leading to at least 20% of performance growth for Thomas Idea,” Miss Uraiporn said.

Araya Chaokrachang, Chief Creative Officer of Thomas Idea Co., Ltd., said the digital agency plays an important role in building Thai brands in the global arena by helping them develop online strategy.

Discussing the increased potential offered by the regional platform of XM Asia, she added: “Certainly, consumers will benefit from this synergy because we will be able to make a difference and offer new services that matters for entrepreneurs’ information and services more fun and accessible from every platform. From now on, information retrieved from each click will mean a treasure trove of information that each brand can analyze and adapt to launch promotions as fast as they can. By taking maximum advantage of online marketing they will be able to compete with rivals from all over the world.”

In 2012, Thomas Idea won 21 awards from different global interactive media competitions. These awards attest to the company’s expertise in professionally creating works at the international level. Accordingly, its executives are confident that Thomas Idea and XM Asia will be capable of making Asian digital agency brands become well known worldwide.

Teaming up with Thomas Idea in Thailand reflects XM Asia’s key strategy this year to emphasize its top priorities this year is the continued expansion of digital offerings digital service expansion in the WPP and JWT Asia Pacific groups. For foothold in Thailand, Thomas Idea, WPP aims to build a network that can respond to the demands of customers from around the world who will be competing to secure a presence in ASEAN when the AEC is formed in 2015.

Paul Soon concluded: “Based on the size of ASEAN and the huge number of its online population, I think that having a network in Thailand is a significant strategic plus.

From a customer’s perspective, this means there is a business opportunity to employ the advantages of the XM group’s presence in the region to expand the market. Our growth target is set based on the quality of our work in terms of creativity and differences that can make noteworthy changes for our customers. And this is the core value of our one of a kind digital agency like ours.”

View :1202
Categories: Press/Release Tags:

เร่งสำนักงาน กสทช. บังคับค่ายมือถือละเมิดพรีเพดคายเงินค่าปรับ หลังศาลชี้ AIS ต้องจ่าย

April 4th, 2013 No comments

ศาลปกครองกลางชี้อีกคดี กรณี กสทช. สั่งปรับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้า (pre-paid) วันละ 100,000 บาท โดยศาลมีคำสั่งยกคำขอของ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) ไม่ทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองดังกล่าวของ กสทช. เช่นเดียวกับที่เคยตัดสินในคดีที่บริษัททรูมูฟเป็นผู้ฟ้อง “หมอลี่” ชี้ถึงเวลาที่สำนักงาน กสทช. ต้องเร่งบังคับผู้ให้บริการมือถือทุกค่ายจ่ายเงินค่าปรับได้แล้ว เพราะออกคำสั่งปรับมาเกือบ 1 ปี ได้แต่ปรับลม ยังไม่มีรายใดยอมจ่ายจริงสักบาท

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงาน กสทช. ได้มีคำสั่งปรับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดการห้ามผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้า (แบบ pre-paid) กำหนดการใช้บริการในลักษณะบังคับให้เร่งใช้บริการ ในอัตราวันละ 100,000 บาท ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ให้บริการอย่างน้อย 2 ราย คือ บจ. ทรูมูฟ และ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว รวมทั้งขอทุเลาการบังคับตามคำสั่ง โดยล่าสุดศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งออกมาแล้วในคดีที่ AIS เป็นผู้ฟ้อง โดยศาลสั่งยกคำขอของ AIS และชี้ว่า มาตรการกำหนดค่าปรับทางปกครองของสำนักงาน กสทช. นั้นเป็นเครื่องมือในการบริหารบริการสาธารณะด้านโทรคมนาคม

“คำสั่งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับคำสั่งในคดีที่ทรูมูฟฟ้องร้อง ซึ่งศาลปกครองกลางได้ตัดสินตั้งแต่เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2555 ว่า คำสั่งปรับของ เลขาธิการ กสทช.ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายโดยชอบแล้ว ดังนั้น ณ บัดนี้ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือจึงไม่มีข้ออ้างใดๆ อีกแล้วที่จะยื้อเวลาการจ่ายค่าปรับออกไป ขณะเดียวกันสำนักงาน กสทช. ก็ควรต้องเร่งบังคับอย่างจริงจังให้ได้ค่าปรับที่เป็นตัวเงินจริงๆ มาเสียที ไม่ใช่แค่ปรับลม เพราะนับจากที่ได้แจ้งปรับไป เวลาก็ล่วงเลยมากว่า 10 เดือนแล้ว โดยยังไม่เคยมีการจ่ายค่าปรับกันจริงๆ แม้แต่บาทเดียว เมื่อศาลสั่งชัดเช่นนี้ ทุกฝ่ายจึงมีหน้าที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย” นายประวิทย์กล่าว

สำหรับกรณีการออกคำสั่งปรับค่ายมือถือวันละ 100,000 บาทนี้ เกี่ยวเนื่องกับปัญหาเรื่องการกำหนดอายุของเงินเติมในระบบบริการโทรศัพท์แบบจ่ายเงินล่วงหน้า หรือพรีเพด ที่ยืดเยื้อมานาน โดยผู้บริโภคได้เรียกร้องมาตลอดระยะเวลาหลายปีให้ กสทช. บังคับผู้ให้บริการทำตามข้อ 11 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 จนในที่สุดสำนักงาน กสทช. ต้องออกมาตรการสั่งปรับดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2555 แต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. ได้มีมติอนุญาตการกำหนดระยะเวลา 30 วันสำหรับการเติมเงินทุกมูลค่าให้แก่บริษัททรูมูฟ AIS และ DTAC ตามลำดับ ส่งผลให้มาตรการปรับดังกล่าวสิ้นผลลง อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานับแต่สำนักงาน กสทช มีคำสั่งปรับจนถึงเวลาที่ กทค. มีมติ บริษัทมือถือที่ละเมิดประกาศของ กทช. ย่อมต้องจ่ายค่าปรับในอัตราวันละ 100,000 บาท ซึ่งคิดอย่างคร่าวๆ แต่ละบริษัทจะต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 25 ล้านบาท โดยอัตรานี้ในมุมมองของนักคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคยังเห็นว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการกำหนดระยะเวลาเร่งให้มีการใช้บริการโดยที่มีการริบเงินของผู้บริโภคไปด้วย หากไม่ได้เติมเงินในกำหนดเวลา อย่างไรก็ตาม จนถึงทุกวันนี้ทุกรายยังคงพร้อมใจกันดื้อแพ่งและไม่ยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ กสทช. เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องรอดูน้ำยาเลขาธิการสำนักงาน กสทช. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ในฐานะผู้มีอำนาจในการบังคับคดี และตั้งท่าเงื้อดาบผ่านสื่อมาโดยตลอด

อนึ่ง ในวันที่ ๕ เมษายนนี้ ศาลยุติธรรมได้นัดสืบพยานในคดีที่ผู้ใช้บริการฟ้องบริษัท AIS เนื่องจากบริษัทกำหนดระยะเวลาใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเติมเงิน ยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์ รวมทั้งยึดเงินในระบบทั้งหมดของผู้ใช้บริการ โดยอ้างว่าผู้ใช้บริการไม่ได้เติมเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด อันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค และขัดต่อประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 โดยมีคำขอให้บริษัทคืนหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกยกเลิกบริการ เปิดสัญญาณโทรศัพท์ให้สามารถใช้ได้ตามปกติ และคืนเงินคงเหลือในระบบทั้งหมด รวมถึงขอให้ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการยกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

View :1207
Categories: 3G Tags:

AIT ร่วมทุน KIRZ รุก Cloud Applications เสริมแกร่งธุรกิจ ขึ้นแท่นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างครบวงจร

April 4th, 2013 No comments

AIT ควง KIRZ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ หลัง AIT เข้าถือหุ้น 51% หวังต่อยอดสู่การให้บริการ คลาวด์ แอพพลิเคชั่น หนุน AIT ก้าวเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างครบ วงจร ด้าน KIRZ เตรียมพร้อมออกให้บริการ KIRZ ethernet สูงถึง 1000 Mbps. และพัฒนาโซลูชั่นที่จะ ต่อยอดบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้านต่างๆ ทั้ง Cloud Digital signage , Cloud-TV , Cloud Phone , Cloud PBX Cloud Conference , Cloud Wi-fi เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการคุณภาพมาตรฐานสากล

บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ผู้นำในธุรกิจบริการออกแบบ และรับเหมาวางระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ บริษัท เคิร์ซ จำกัด หรือ KIRZ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและบริการโทรคมนาคมทั่วประเทศ ได้จัดแถลงข่าวประกาศความร่วมมือระหว่างกัน เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556

นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT เปิดเผยว่า การเข้าร่วมทุนในบริษัท เคิร์ซ จำกัด โดยคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 51% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วในครั้งนี้ เนื่องจากมองเห็นถึงความสามารถด้านเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจของ เคิร์ซ ที่เป็นผู้ให้บริการ (Service Provider) ด้านต่างๆ เช่น บริการอินเทอร์เน็ต(ISP) บริการวงจรเช่าความเร็วสูง (Leased Line) บริการด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) และธุรกิจ IP-TV โดยมีฐานลูกค้ากลุ่มองค์กรภาคเอกชน ทั้งคอนโดมิเนียม โรงแรม รวมถึงฐานลูกค้าภาคเอกชนทั่วไป ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ AIT ต้องการขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น นอกจากนั้น AIT ยังเห็นถึงโอกาสและศักยภาพการเติบโตของ เคิร์ซ ในอนาคต

ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าว ทำให้สามารถเสริมความสามารถและจุดแข็งซึ่งกันและกันของทั้ง AIT และ KIRZ เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ให้บริการ Cloud Applications ในรูปแบบการให้บริการคลาวด์เซอร์วิส รองรับความต้องการลูกค้าภาคเอกชนที่ต้องการคลาวด์คอมพิวติ้ง และการร่วมมือของทั้งสองบริษัทที่มี ความชำนาญคนละด้าน จะเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถและสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันทางธุรกิจ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ทั้ง AIT และ KIRZ สามารถขยายโอกาสไปสู่ฐานลูกค้าซึ่งกันและกัน ที่มีทั้งกลุ่มลูกค้าภาคเอกชน ขนาดเล็ก กลาง และขนาดใหญ่ รวมถึงกลุ่มลูกค้าภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ AIT สามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้ในฐานลูกค้าภาคเอกชนจากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 10% จากรายได้ทั้งหมดให้มากขึ้น

“การเข้าลงทุนครั้งนี้ ทำให้ AIT เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ครบวงจร โดยบริษัทฯ จะผสานจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท มาช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับ ธุรกิจ ทั้ง AIT และ KIRZ ด้วยการขยายตลาดบริการและสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น ผลักดันการให้บริการคลาวด์ แอพพลิเคชั่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รองรับความต้องการของลูกค้าในบริการรูปแบบใหม่ๆตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลดีต่อ AIT ที่มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจการให้บริการเพิ่มขึ้น และผลักดันรายได้รวมในปีนี้ให้เติบโตกว่า 30% หรือคิดเป็นรายได้รวม 5,400 ล้านบาท ให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ นอกจากนั้นยังเป็นการเสริมสร้างการเติบโตของรายได้อย่างมั่นคงในนอนาคต” นายศิริพงษ์ กล่าว

ด้านนายกันต์ เกิดแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ KIRZ กล่าวว่า จากประสบการณ์ของ KIRZที่ให้บริการลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ กว่า 15 ปี ทำให้บริษัทฯ มีความเข้าใจความต้องการของลูกค้า จึงได้ เพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านโครงข่าย และ Data Center ที่ครอบคลุมย่านธุรกิจสำคัญของประเทศ รวมถึง หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งการผนึกความร่วมมือดังกล่าว จะทำให้ทั้ง 2 บริษัทฯ ต่อยอดการให้บริการ ขยายฐานลูกค้า และสร้างความได้เปรียบให้แก่ธุรกิจในการบริหารต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานผลกำไรต่อองค์กร ส่งผลให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ทัดเทียมภูมิภาคอาเซียน

ทั้งนี้ บริษัทฯเตรียมพร้อมเปิดให้บริการ KIRZ Ethernet ด้วยความเร็วสูงถึง 1000 Mbps. และ พัฒนาโซลูชั่นที่จะต่อยอดบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้านต่างๆได้แก่ Cloud Digital signage, Cloud-TV, Cloud Phone, Cloud PBX, Cloud Conference และ Cloud Wi-fi สอดคล้องกับนโยบาย “One Stop Shopping for your Data needs” เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการคุณภาพมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยัง จะมีการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรให้เชี่ยวชาญ และพร้อมให้บริการลูกค้าในทุกภาคส่วน และสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทางธุรกิจได้ยิ่งขึ้น

View :1601
Categories: Cloud Computing Tags:

สวทช. กระทรวงวิทย์ฯ ยกระดับมาตรฐานคนไอทีไทย หวังเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน

April 3rd, 2013 No comments

3 เมษายน 2556 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี – นาย วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที (ITPE) ซึ่งถือว่าเป็นใบเบิกทางที่สำคัญในวิชาชีพไอที โดยในปี 2555 มีผู้สอบผ่าน จำนวน 783 คน ใน 3 ระดับ เพื่อยกระดับมาตรฐานบุคคลากรไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ พร้อมก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มภาคภูมิ โดยหวังเป็นประเทศผู้นำด้านไอทีในภูมิภาคอาเซียน

นายวรวัจน์ฯ รมว.วท. กล่าวว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะที่เป็นองค์กรหลักในการพัฒนาวิทยา ศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรด้านไอทีให้สอดคล้อง กับเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยเฉพาะในส่วนของเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์นั้นมีการพัฒนาปรับ ปรุงอยู่ตลอดเวลา บริษัทและองค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ในเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งการดำเนินงานโดยสถาบันวิทยาการ สวทช. ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างผู้เชี่ยวชาญไอทีเฉพาะด้านของ ประเทศให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้วิทยาการ การสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในปัจจุบันการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ทำให้องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการองค์กรในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านการบริหาร การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร หลายๆ องค์กรได้ใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่เครื่องมือที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ การพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร โดยเฉพาะบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อผลักดันให้ศักยภาพของบุคลากรในสาขาวิชาชีพไอทีของประเทศเป็น ที่ยอมรับในระดับสากล และเตรียมความพร้อมสู่ AEC 2015 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2015 สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในสังคม โดยเฉพาะด้านการศึกษาและฝีมือแรงงาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวัดมาตรฐานทักษะความรู้ด้าน ไอที โดยบุคลากรที่สอบผ่านในโครงการ มาตรฐานวิชาชีพไอทีจะมีโอกาสเข้าสู่สังคมสารสนเทศและประกอบวิชาชีพ ได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิการศึกษาพื้นฐาน นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ยังสามารถใช้มาตรฐานการสอบนี้เป็นเกณฑ์ในการวัดความรู้ความสามารถใน การคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน หรือปรับตำแหน่งงานภายในองค์กร อีกทั้งยังเป็นเครื่องประกันความสามารถในการทำงานอีกด้วย

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันวิทยาการ สวทช. ได้ดำเนินการจัดโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอทีภายใต้การสนับสนุนของ IPA และ METI มาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน โดยมีผลผู้สอบผ่านใน 3 ระดับ จำนวนทั้งสิ้น 1,525 คน โดยเริ่มจากระดับที่ 1 คือบุคคลที่มีความรู้พื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่พยายาม นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานที่ได้รับมอบหมาย (Information Technology Passport Examination หรือ IP มีผู้สอบผ่าน 407 คน ระดับ 2 เป็นบุคคลที่มี ความรู้และทักษะพื้นฐานที่สำคัญ ที่ยกระดับให้ตัวเองเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีใความเชี่ยวชาญด้าน เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และมีความสามารถในการนำองค์ความรู้เหล่านี้มาใช้ในภาคปฏิบัติ ได้จริง (Information Technology Passport Examination หรือ IP มีผู้สอบผ่าน จำนวน 1,115 คน และระดับ 3 ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ยากที่สุด บุคคลจำเป็นต้องมีทักษะทางด้านไอทีที่ค่อนข้างสูง สามารถประยุกต์ความรู้และเพิ่มทักษะด้านไอทีอย่างเป็นระบบ (Applied Information Technology Engineers Examination หรือ AP) มีผู้สอบผ่าน จำนวน 3 คน และในปี 2555 มีผู้สอบผ่าน ทั้งสิ้น 783 คน โดยแบ่งออกเป็นระดับดังนี้ ระดับที่ 1 จำนวน 742 คน ระดับที่ 2 จำนวน 38 คน และระดับที่ 3 จำนวน 3 คน ตามลำดับ

View :1200
Categories: Press/Release Tags:

ทรูมูฟ เอช ผนึก สมิติเวช และบีเอ็นเอช เปิดแอพพลิเคชั่นเชื่อมโยงสุขภาพ ให้คนไข้ใกล้โรงพยาบาลเพียงคลิกเดียว ผ่าน 3G+ ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

April 3rd, 2013 No comments


กรุงเทพฯ 2 เมษายน 2556 – ทรูมูฟ เอช ผู้นำบริการ 3G+ ร่วมกับ ทรูแอพเซ็นเตอร์ ศูนย์กลางการพัฒนาแอพพลิเคชั่นครบวงจร และ 4 โรงพยาบาลชั้นนำในเครือสมิติเวช และบีเอ็นเอช เปิดตัวแอพพลิชั่น “Samitivej Connect by TrueMove H” และ “BNH Connect by TrueMove H” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Connected Heath” ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมโยงสุขภาพ เพื่อดูแลชีวิตทุกเสี้ยวนาทีให้อบอุ่น ปลอดภัย เพียงคลิกเดียว ผ่านเทคโนโลยี 3G+ จากทรูมูฟ เอช

แพทย์หญิงสมสิริ สกลสัตยาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงพยาบาลสมิติเวชและโรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า “วิถีคนเมืองวันนี้ชีวิตมีภารกิจรัดตัว เร่งรีบท่ามกลางการจราจรติดขัด การมาโรงพยาบาลในแต่ละครั้งไม่ได้ทำได้โดยง่าย มิติใหม่ของโรงพยาบาลสมิติเวชและบีเอ็นเอช คือการออกไปหาคนไข้ ไปดูแลให้เขาอุ่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ เสมือนได้รับการดูแลจากสมิติเวช และบีเอ็นเอช ทุกเสี้ยววินาที ในแบบที่เป็นส่วนตัวจริงถือได้ว่าเป็น Innovative Personal Care ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราจะเป็นผู้แนะนำขั้นตอนที่ถูกต้องเช่น ควรจะมาพบแพทย์ หรือการส่ง ambulance ไปรับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน คนไข้จึงมั่นใจได้ว่าอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญตลอด 24/7 เราจึงได้ร่วมกับ ทรูมูฟ เอช ผู้นำบริการ 3G+ และทรูแอพเซ็นเตอร์ ในการนำเทคโนโลยี 3G+ ที่มีความเร็วสูง สามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์มาใช้กับทางการแพทย์ โดยพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพเพื่อเพิ่มความสามารถในการดูแลคนไข้ได้ดียิ่งขึ้น ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือให้คนไข้สามารถติดต่อแพทย์หรือพยาบาลได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร เพราะความรวดเร็วในการดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยเป็นเรื่องสำคัญมาก เพียงเสี้ยววินาทีอาจหมายถึงชีวิตได้ ซึ่งแอพพลิเคชั่น “Samitivej Connect by TrueMove H และ BNH Connect by TrueMove H” นี้ นับว่าเป็น Healthcare Innovation มิติใหม่ของการให้บริการทางการแพทย์ในโลกยุคดิจิตอล โดยการนำเทคโนโลยีด้านไอทีมาเชื่อมโยงระบบงานโรงพยาบาลเพื่อการให้บริการแบบไร้ข้อจำกัด โดยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดนี้ ซึ่งสมิติเวช และบีเอ็นเอช รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเปิดให้บริการนี้”

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ และผู้จัดการทั่วไป ทรูไลฟ์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การพัฒนาแอพพลิเคชั่น “Samitivej Connect by TrueMove H และ BNH Connect by TrueMove H” เป็นความร่วมมือระหว่างทรูมูฟ เอช และ ทรูแอพเซ็นเตอร์ กับเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ได้นำเทคโนโลยี 3G+ ของทรูมูฟ เอช มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ ทั้งยังช่วยยกระดับบริการทางการแพทย์ เพิ่มความสะดวกให้คนไข้สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทั้งนี้ โดยทรูมูฟ เอช ซึ่งเป็นผู้นำด้านเครือข่าย 3G+ ที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดทั่วไทย และมีจุดเด่นที่เป็นไลฟ์สไตล์เน็ตเวิร์ค มุ่งเน้นพัฒนาและผสมผสานเทคโนโลยีหลากหลายคลื่นความถี่ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นและเต็มประสิทธิภาพ ช่วยตอบโจทย์การสื่อสารระหว่างกันได้ทุกที่ทุกเวลา”

แอพพลิเคชั่น “Samitivej Connect by TrueMove H และ BNH Connect by TrueMove H” เชื่อมโยงสุขภาพ เพื่อชีวิตสมาร์ท ผ่านเทคโนโลยี 3G+ มีฟังก์ชั่นดังนี้
· ผู้ช่วยส่วนตัว Personalized Health Secretary มีทีมเจ้าหน้าที่รู้ใจตอบทุกคำถามเรื่องสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน

· โทรหาเพื่อนรู้ใจของคุณ หรือ คนที่คอยดูแลคุณเช่น สามี ภรรยา หรือ ลูก

· เตือนนัดหมายแพทย์

· เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน รู้ตำแหน่งของคุณอย่างอัจฉริยะ

ทั้งนี้ ในเฟสแรก จะมอบสิทธิพิเศษแก่ผู้รับบริการของโรงพยาบาลในเครือสมิติเวช และบีเอ็นเอชในภาพรวมของคนไข้ทั่วไปกว่า 5,000 ราย และในเฟส 2 จะร่วมกันพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อดูแลกลุ่มคนไข้เฉพาะโรค โดยเฉพาะ โรคเรื้อรังที่ต้องสามารถเข้าถึงข้อมูล และการดูแลอย่างใกล้ชิด ได้แก่ คนไข้โรคไต เบาหวาน และหัวใจเป็นต้น โดยแอพพลิเคชั่น “Samitivej Connect by TrueMove H และ BNH Connect by TrueMove H” จะเป็นสื่อกลางระหว่างคนไข้และแพทย์พยาบาล ใช้งานง่ายเพียงคลิกเดียว โดยออกแบบมาให้ใช้งานได้กับทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android

View :1304
Categories: Application Tags:

CAT ประกาศขึ้นแท่นผู้นำให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง มั่นใจเลือกไอบีเอ็มเป็นพันธมิตร เพื่อรองรับการเติบโตธุรกิจไทย

April 3rd, 2013 No comments

กรุงเทพฯ – 3 เมษายน 2556 : CAT ประกาศความพร้อมเป็นผู้นำให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง เลือกไอบีเอ็มเป็นพันธมิตร มั่นใจเทคโนโลยีและความแข็๋งแกร่งของไอบีเอ็มด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง ช่วยเสริมศักยภาพให้ CAT ก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านการให้บริการคลาวด์ ให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชนของประเทศไทย โดยลูกค้าที่ใช้บริการคลาวด์CATจะได้รับความมั่นใจจาก CAT ในฐานะผู้ให้บริการภาครัฐที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานหลักที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย มีเสถียรภาพสูง เชื่อถือได้ และได้ประโยชน์สูงสุด จากการใช้บริการได้สะดวก รวดเร็ว จ่ายเงินตามการใช้งานจริง และยังวางแผนการขยายการใช้งานไอทีได้ตามการเติบโตขององค์กร

บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ได้ดำเนินกิจการให้บริการทางด้านโทรคมนาคม ทุกประเภท รวมถึงกิจการที่ต่อเนื่องหรือใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การประกอบกิจการ โทรคมนาคม และให้บริการทางด้านโทรคมนาคมทั้งในประเทศ และนอกประเทศ โดยมีการตั้งเป้าหมาย ที่จะสร้างคุณค่าในการให้บริการเพิ่มขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการ ด้วยคุณภาพที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถขององค์กร ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และช่วยผลักดันการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ลูกค้าธุรกิจองค์กรต่างๆ กำลังมองหาเทคโนโลยีทางด้านคลาวด์คอมพิวติ้งมาใช้งาน CAT ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะนำเทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่าย

ไอบีเอ็มเป็นพันธมิตรในการช่วยบริหารจัดการระบบคลาวด์ ที่จะเอื้อต่อการสร้างบริการใหม่ๆในรูปแบบคลาวด์คอมพิวติ้ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพบริการของ CAT และขับเคลื่อนบริษัทให้ก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการไอทีครบวงจร ด้วยความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย และเพิ่มผลิตผลในการดำเนินงาน

สิ่งสำคัญที่ไอบีเอ็มมอบให้กับบริการคลาวด์ของ CAT ในครั้งนี้จะสร้างความแตกต่างเหนือกว่า ผู้ให้บริการคลาวด์อื่นๆ ด้วยบริการ IBM Smart Cloud Managed Service จากทีมไอบีเอ็มที่ช่วยบริหารงานส่วนต่างๆ ด้านระบบคลาวด์อย่างมืออาชีพ โดยไอบีเอ็มเข้าไปดูแลระบบให้ทั้งหมดอย่างครบวงจร CAT จะได้รับการ บริการภายใต้มาตรฐาน ขั้นตอน พร้อมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ไอทีระดับโลกจากไอบีเอ็ม

นอกจากนี้ เทคโนโลยีชั้นนำของไอบีเอ็ม ที่ CAT ใช้ในการให้บริการคลาวด์จะช่วยเพิ่มความคุ้มค่า ช่วยประหยัดพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีเสมือนหรือเวอร์ชวลไลเซชันสำหรับการผนวกควบรวมเซิร์ฟเวอร์ที่มาพร้อมกับสมรรถนะในการจัดเก็บข้อมูล โดยสามารถเก็บรักษาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมทั้งซอฟต์แวร์ โซลูชันที่ทำหน้าที่รวมศูนย์การจัดการระบบคลาวด์คอมพิวติ้งและเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยโซลูชันคลาวด์คอมพิวติ้งดังกล่าวจากไอบีเอ็ม CAT จะสามารถพัฒนาและนำเสนอบริการคลาวด์ ตั้งแต่บริการโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงบริการซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่นต่างๆ แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่ามากขึ้น

นายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “CAT มีโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพและความพร้อมในการเปิดให้บริการคลาวด์อยู่แล้ว เนื่องจากเรามีระบบดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้มาตรฐาน มีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งภายในประเทศ ระหว่างประเทศ และโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุม อีกทั้งยังมีบริการเสริมเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ และที่สำคัญที่สุดคือ CAT ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ของภาครัฐร่วมกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย เชื่อว่าการให้บริการคลาวด์จะทำให้บริษัทสามารถตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรต่างๆได้ครอบคลุมขึ้น ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีไปจนถึงแอพพลิเคชั่นเฉพาะทางของแต่ละธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ CAT บรรลุเป้าหมายที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งภาครัฐและเอกชน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยในการพัฒนาประเทศได้ในที่สุด”
“เรามุ่งหวังว่าบริการคลาวด์จะเติบโตเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของ CAT ในอนาคตอันใกล้ และมั่นใจว่าการตัดสินใจเลือกบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลกอย่าง ไอบีเอ็ม เป็นพันธมิตรจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับ CAT ได้อย่างแน่นอน”

นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ไอบีเอ็มมีความยินดีที่จะช่วยให้บริการคลาวด์ของ CAT ตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างแท้จริง โดยการนำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญและทีมงานที่มีประสบการณ์มาช่วยบริหารจัดการระบบคลาวด์ได้อย่างครบวงจร

ไอบีเอ็มให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการคลาวด์คอมพิวติ้งมาโดยตลอด ที่ผ่านมา ไอบีเอ็มมีการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งทั่วโลก รวมทั้งการจัดตั้งคลาวด์ คอมพิวติ้งแล็บ เพื่อสนับสนุนลูกค้าและองค์กรต่าง ๆ ในการเริ่มต้นพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง โดยภายในแล็บแต่ละแห่งจะเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีรวมทั้งทีมงานที่มีทักษะ ความรู้ความชำนาญเพื่อช่วยให้ลูกค้าเริ่มต้นออกแบบ ทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์ให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะขององค์กร รวมทั้งทำให้คลาวด์ คอมพิวติ้งเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรอีกด้วย

เราพร้อมที่จะช่วยลูกค้าของเราให้ก้าวเป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งในธุรกิจที่ตนเองเชี่ยวชาญ ด้วยบริการจากไอบีเอ็มตั้งแต่การวางแผน การดำเนินการติดตั้ง การทดสอบ ไปจนถึงการให้คำปรึกษาทั้งด้านเทคโนโลยีและธุรกิจโดยบุคคลากรที่มากด้วยทักษะและความเชี่ยวชาญ”

ไอบีเอ็มมีความภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจจาก CAT ให้เป็นพันธมิตรในการสร้างคลาวด์คอมพิวติ้ง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของ CAT ในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านการให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งของประเทศไทย”

View :1503
Categories: Cloud Computing Tags:

เอไอเอสเผย 5 ทีมนักพัฒนาเลือดใหม่ พร้อมไอเดีย 5 แอพฯ สุดขีด จากเวที AIS The StartUp Weekends 2013

April 3rd, 2013 No comments


(3 เมษายน 2556) เอไอเอสเผยกิจกรรม AIS The StartUp Weekends 2013 ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับจากนักพัฒนาและคนรุ่นใหม่ ตบเท้าร่วมประลองไอเดีย สร้างโมบายแอพพลิเคชั่น กว่า 500 คน บูมกระแส Startup ดิจิตอลให้คึกคักอีกครั้ง พร้อมแนะนำ 5 ทีมนักพัฒนาเลือดใหม่ที่ผ่านการคัดเลือก เตรียมพกไอเดียครีเอทแอพฯ สุดบรรเจิด เข้าสู่ Boot Camp เพื่อพัฒนาต่อยอดบริการอย่างเป็นรูปธรรม ออกสู่ตลาดจริง ตอบโจทย์การใช้งานลูกค้ายุค 3G ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายใต้การสนับสนุนเต็มที่จากเอไอเอสและบริษัทพันธมิตร ร่วมสร้างโอกาสและความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่ม Tech Startup ไทย

นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส เปิดเผยว่า“สำหรับกิจกรรม AIS The StartUp Weekends 2013 ที่เปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาได้แสดงพลังความคิดสร้างสรรค์ แข่งขันสร้างโมบายแอพพลิเคชั่นออกสู่ตลาดในครั้งนี้ นับว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยมี Startup ให้การตอบรับสมัครเข้าร่วมกว่า 500 คน หรือ 116 ทีมได้ร่วมPitching Idea และคัดเลือกทีมที่ผ่านเข้ารอบแรก จำนวน 25 ทีม มาร่วมกันพัฒนา Product Prototype และนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากแวดวงไอทีและออนไลน์ได้ร่วมตัดสิน จนในที่สุดได้ 5 ทีมที่ผ่านการคัดเลือก เตรียมก้าวสู่หลักสูตรอบรม Boot Camp ในเดือนพฤษภาคม ศกนี้ต่อไป

โดย 5 ทีมดังกล่าว ประกอบด้วย 1. ทีม Close Tag กับผลงาน Mini CRM Platform ที่จะมาพลิกรูปแบบใหม่ของการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า 2. ทีม Noonswoon กับแอพพลิเคชั่นแนว Match Maker ที่มาพร้อมไอเดียสุดหวือหวา คอนเนคคนโสดในเมืองใหญ่ 3. ทีมOctogon กับแนวคิด Social Second Screen สร้างมิติใหม่ของจอบันเทิงส่วนตัว ให้สนุกไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน โดยเชื่อมต่อกับจอหลักด้วยลูกเล่น Interactive. 4. ทีม Stock Guru แอพพลิเคชั่นเพื่อคอหุ้นรุ่นหนุ่มสาว มาในมาดใหม่สไตล์ Virtual Trading ที่ทำให้การซื้อขายหุ้นเป็นเรื่องง่ายและสนุก และ 5. ทีม TripPacker แอพพลิเคชั่นนำเที่ยวแนวใหม่ เอาใจคนชอบลุย ที่เบื่อการท่องเที่ยวจำเจแบบเดิมๆ ซึ่งผลงานของทั้ง 5 ทีมต่างก็มีแนวคิดและคอนเทนต์ที่โดดเด่น แตกต่าง และมีศักยภาพในการพัฒนาออกสู่ตลาดได้ สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้มือถือยุค 3G ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง” นายปรัธนากล่าว

โดยแต่ละทีมได้รับเงินรางวัลจากเอไอเอส จำนวน 100,000 บาท, จาก SIPA จำนวน 100,000 บาท รวมทั้งการสนับสนุนด้านต่างๆ อาทิ Bizspark แพ็กเกจจาก Microsoft, WP Workshop จาก NOKIA, บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจจาก EggIdea, Co-working Space จาก Hubba รวมมูลค่ากว่า 25 ล้านบาท รวมถึงรางวัลพิเศษในการเข้าร่วม Boot Camp ซึ่งเอไอเอสจัดขึ้นโดยเฉพาะเพื่อผู้ประกอบการธุรกิจดิจิตอลหน้าใหม่ โดยได้รวมเหล่า “Hero Mentor” กูรูดังจากหลากหลายวงการ เข้าร่วมเป็นพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา ให้ความรู้แบ่งปันประสบการณ์ ทั้งในเชิงเทคโนโลยีและเชิงธุรกิจการลงทุน ในรูปแบบ Virtual Lab ที่บ่มเพาะทั้งตัวเจ้าของกิจการเองและผลิตภัณฑ์ไปพร้อมๆ กัน จนกระทั่งพัฒนาแอพพลิเคชั่นออกสู่ตลาดได้ทันทีหลังจบคอร์ส และทีมชนะเลิศ 1 ทีม จาก Boot Camp จะได้รับทุนพัฒนาเป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมการสนับสนุนด้านแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์จากเอไอเอส

“อย่างไรก็ตาม ผลงาน Product Prototype ของอีก 20 ทีมที่ไม่ผ่านการคัดเลือก เอไอเอสก็ยังเปิดกว้าง พร้อมให้การสนับสนุนตลอดเวลา ทุกทีมสามารถนำไอเดียเข้ามาพัฒนาต่อยอดร่วมกัน เพื่อก้าวสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมทำธุรกิจกับเอไอเอสในอนาคต ทั้งนี้ ตลอด 3 วันของการจัดกิจกรรม ที่เหล่า Startup ได้มารวมตัวกัน เพื่อสร้างสรรค์โมบายแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ทำให้พบว่าคนไทยมีความสามารถและศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมที่น่าสนใจ และควรได้รับการส่งเสริมอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุค 3G ใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการใช้งาน DATA และแอพพลิเคชั่นของผู้ใช้มือถืออีกจำนวนมหาศาล จึงเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจให้กับกลุ่มนักพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด เอไอเอสจึงขอเป็นกำลังสำคัญในการร่วมผลักดันกลุ่ม Startup ดิจิตอลของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” นายปรัธนาสรุป

View :1327
Categories: Application Tags:

กลุ่มทรู จับมือ มูลนิธิออทิสติกไทย สร้างสรรค์นวัตกรรม “Autistic Application”เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กออทิสติก

April 1st, 2013 No comments


เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีแล้ววันนี้ ทั้ง iOS และ Android

กลุ่มทรูและมูลนิธิออทิสติกไทย ผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพเด็กออทิสติกและครอบครัว แนะนำผลงานนวัตกรรมของกลุ่มทรู “Autistic Application” ที่ติดหนึ่งใน 10 แอพพลิเคชั่นการศึกษาที่ได้รับความนิยมใน 25 ประเทศทั่วโลกซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อช่วยเสริมทักษะและเพิ่มสมรรถภาพทั้งทางร่างกาย สติปัญญา และจิตใจแก่เด็กออทิสติกโดยเฉพาะ พร้อมดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของกลุ่มทรูอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลเด็กออทิสติก ให้ได้รับการเลี้ยงดูที่ถูกต้องเพื่อมีโอกาสพัฒนาตนเองและสามารถดำเนินชีวิตในสังคม ตลอดจนประชาสัมพันธ์งานสัปดาห์วันออทิสติกโลก 1-4 เมษายน 2556 ณ โรงแรมทีเค พาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ ทั้งนี้ ผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลด Autistic Application ได้แก่ Daily Tasks, Trace & Share และ Communications โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้แล้ววันนี้ ทั้งในระบบปฏิบัติการ iOS และ Android

ดร. กันทิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการด้านสื่อสารองค์กร ประชาสัมพันธ์การตลาด และกิจกรรมองค์กรเพื่อสังคม บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรู ในฐานะองค์กรของคนไทยตระหนักถึงความสำคัญในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศโดยมุ่งมั่นนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการสื่อสารเพื่อพัฒนาการศึกษาของเยาวชนและช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับมูลนิธิออทิสติกไทย นำศักยภาพเทคโนโลยีการสื่อสารของกลุ่มทรู เข้ามาร่วมพัฒนาศักยภาพเด็กออทิสติก ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรม Autistic Application ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นการศึกษาที่คิดค้นโดยพนักงานชาวทรู เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เสริมสมรรถภาพทั้งทางร่างกาย สติปัญญา และจิตใจแก่เด็กออทิสติก รวมทั้ง ดำเนินการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเด็กออทิสติก ตลอดจนสนับสนุนการประชาสัมพันธ์งานสัปดาห์วันออทิสติกโลก เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลเด็กกลุ่มนี้ โดยเชื่อว่าการเผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจดังกล่าวผ่านสื่อต่างๆ ของกลุ่มทรู จะช่วยผลักดันให้คนในสังคมเกิดการรับรู้และให้ความใส่ใจแก่เด็กออทิสติกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบครัวซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ส่งเสริมให้เด็กกลุ่มนี้ สามารถพัฒนาตนเอง และฝึกทักษะการเรียนรู้ในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ”

ดร. ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ รองผู้อำนวยการและหัวหน้าศูนย์นวัตกรรม บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรู ให้ความสำคัญด้านการส่งเสริมนวัตกรรม ผ่านหน่วยงาน True Innovation ด้วยเชื่อมั่นว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จะนำมาซึ่งคุณค่าและคุณประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ จึงมีความยินดีที่จะแนะนำผลงานนวัตกรรม Autistic Application ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นการศึกษาเพื่อช่วยพัฒนาทักษะและเพิ่มศักยภาพเด็กพิเศษ รวมถึงเยาวชนทั่วไป ซึ่งกลุ่มทรู พร้อมที่จะสนับสนุนและผลักดันผลงานชิ้นนี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนขยายผลให้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวสามารถใช้งานได้หลายภาษา เพื่อช่วยเหลือสังคมในวงกว้าง โดยเข้าถึงเด็กพิเศษทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น และในอนาคตกลุ่มทรู ก็พร้อมสนับสนุนเวทีแห่งโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย”

นายพิชิต ธันโยดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ผลงานนวัตกรรม Autistic Application ได้คิดค้นและพัฒนาขึ้นโดยนายปรีดิ์ หวังเจริญ พนักงานกลุ่มทรู ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยผลงานดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นแอพพลิเคชั่นการศึกษาที่ติดอันดับหนึ่งในประเทศแถบตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดิอาระเบีย, กาตาร์, คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อีกทั้ง ยังติดหนึ่งใน 10 แอพพลิเคชั่นการศึกษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน 25 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน มียอดดาวน์โหลดถึง 198,200 ดาวน์โหลด ติดหนึ่งใน iTunes What’s Hot Education ในประเทศสหรัฐอเมริกา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และกาตาร์ ซึ่งชุด Autistic Application ประกอบด้วย
· Daily Tasks – สอนกิจวัตรประจำวัน อาทิ การแปรงฟัน อาบน้ำ เพื่อส่งเสริมให้เกิดทักษะความสนใจ, ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก และทักษะการเลียนแบบ
· Trace & Share – สอนทักษะการลากเส้น ส่งเสริมให้รู้จักการรอคอยและการแบ่งปัน อันเป็นพื้นฐานของการเข้าสังคม ซึ่งช่วยเสริมทักษะด้านวิชาการ, ทักษะทางสังคม และทักษะการเลียนแบบ
· Communications – สอนหลักการสื่อสารขั้นพื้นฐานโดยใช้สมุดภาพเพื่อสื่อความต้องการของเด็ก ส่งเสริมทักษะภาษาและการสื่อสาร

นายชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย กล่าวว่า “มูลนิธิออทิสติกไทย ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ กลุ่มทรู เห็นความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพเด็กออทิสติก ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 370,000 คน โดยคิดค้นนวัตกรรม Autistic Application ที่ได้ทดลองใช้แล้วในกลุ่มเด็กที่อยู่ในความดูแลของเครือข่ายมูลนิธิ ซึ่งพบว่าแอพพลิเคชั่นดังกล่าวช่วยให้เด็กมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ 1.ชุดฝึกทักษะ (Daily Tasks และ Trace & Share) ช่วยพัฒนาการประสานสัมพันธ์กลไกกล้ามเนื้อ และเรียนรู้การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และ 2. ชุดเครื่องมือการฝึกการพูดและภาษา (Communications) ซึ่งเป็นระบบฝึกการเรียนรู้ผ่านการมองเห็นที่มีมาตรฐาน ช่วยให้เด็กเข้าใจศัพท์ในชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นฐานทางภาษาของเด็กได้เป็นอย่างดี โดยมูลนิธิ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการใช้ Autistic Application ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวในการนำบุตรเข้ารับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพอีกด้วยนอกจากนี้ มูลนิธิ ยังขอขอบคุณกลุ่มทรูที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ทั้งการร่วมรณรงค์สร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลเด็กออทิสติก และปรับมุมมองใหม่ว่า “บุคคลออทิสติกไทย มีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด” หากได้รับโอกาสและการช่วยเหลือที่ถูกต้องเหมาะสม อีกทั้ง ยังสนับสนุนการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้ที่สนใจไปร่วมงานสัปดาห์วันออทิสติกโลก ในวันที่ 1-4 เมษายน นี้ ณ โรงแรม ทีเค พาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ ซึ่งจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ มากมาย อาทิ การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับออทิสติกและการใช้การแพทย์ทางเลือกสำหรับเด็กออทิสติก, การแสดงความสามารถของเด็กออทิสติก และการจัดเวิร์คช็อปสอนเทคนิคการดูแลเด็กพิเศษ เป็นต้น”

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลด Autistic Application โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งในระบบปฏิบัติการ iOS และ Andriod ดังนี้
สำหรับผู้ใช้ iPad ในระบบปฏิบัติการ iOS เพียงค้นหาคำว่า True Autistic หรือ Thai Autistic ใน App Store หรือ iTunes และดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น

สำหรับผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Andriod เพียงค้นหาคำว่า True Thai Autistic ใน Google Play Store และดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Autistic Application ได้ที่ iphonesupport@truelife.com หรือ TrueMove iPhone Care Center โทร. 08-200-3333

View :2020
Categories: Application Tags: