Archive

Author Archive

วิจัยอีริคสันเผยตลาดอุปกรณ์สมาร์ทโมบายล์โตอย่างมาก

September 6th, 2012 No comments

จำนวนผู้ใช้แท็บเล็ตในประเทศไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตัว (จาก 2% เป็น 8%) ในระยะเวลาหกเดือนข้างหน้า และจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% #

ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟน คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพื่อเข้าถึงบริการด้านการบันเทิง และเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างทันท่วงที

จากการวิจัยพบว่า การใช้งานด้านการสื่อสาร (เช่น โทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ท, อีเมล, โซเชียลเน็ทเวิร์ค, การส่งข้อความ, และ VoIP เป็นต้น) รายการทีวี และวีดีโอ น่าจะเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนการใช้งานด้านอื่น เช่น การโทรศัพท์แบบเห็นหน้า (video calling), push to talk, การแปลงเสียงเป็นข้อความ (speech-to-text), อีเมล, และการใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป ถือได้ว่ามีการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องและนักพัฒนาโมบายล์แอ็พพลิเคชั่นต่างๆ

ผลจากการวิจัยนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่าผู้ให้บริการจำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายของตน ให้พร้อมรองรับสมาร์ทโฟน ขยายพื้นที่ครอบคลุมให้ทั่วถึง เพื่อเพิ่มคุณภาพสัญญาณ ความเร็วในการรับส่งข้อมูล ความเสถียรของระบบ รวมทั้งความพร้อมเพื่อรับมือกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของการสื่อสารข้อมูลบนมือถือ ซึ่งถูกผลักดันโดยบริการประเภท non-voice ต่างๆ

# ตามข้อมูลที่ผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความสนใจ

ผลการสำรวจโดย Ericsson ConsumerLab พบว่าผู้บริโภคในประเทศไทยให้ความสนใจกับอุปกรณ์มือถือมากขึ้น รวมทั้งมีการใช้งานบางประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุด

“ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแท็บเล็ต คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพราะขนาดที่เหมาะแก่การพกพา และซื้อเพื่อใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ในขณะที่ปัจจัยหลักในการใช้สมาร์ทโฟน คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพื่อเข้าถึงบริการด้านการบันเทิง และเพื่อรับข้อมูลอย่างทันต่อเหตุการณ์” นาย Afrizal Abdul Rahim หัวหน้าศูนย์ ConsumerLab แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิก กล่าว

ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันพวกเขาใช้สมาร์ทโฟนเพื่อใช้บริการ voice, SMS, และอินเตอร์เน็ททั่วไป เป็นส่วนใหญ่ แต่การใช้งานประเภทอื่นๆ เช่น การโทรศัพท์แบบเห็นหน้า (video calling), push to talk และ การแปลงเสียงเป็นข้อความ (speech-to-text) เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และน่าจะเติบโตได้ดีที่สุดในอนาคต

สำหรับแอ็พพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด และสร้างแรงผลักดันให้ตลาดสื่อสารข้อมูลบนมือถือ ได้แก่ ด้านเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ตามด้วยเกมส์ และการค้นหาข้อมูลทั่วไป

และเมื่อถูกถามว่าพวกเขาใช้แอ็พพลิเคชั่นบ่อยแค่ไหน ผู้ตอบแบบสอบถาม 15 เปอร์เซ็นต์ ให้ข้อมูลว่าพวกเขาใช้หลายครั้งต่อวัน, 14 เปอร์เซ็นต์ใช้อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อวัน, และ 29 เปอร์เซ็นต์ใช้วันละหนึ่งครั้ง

เมื่อศึกษาถึงแอ็พพลิเคชั่นและการดาวน์โหลดที่น่าจะเป็นที่นิยมในอนาคต พบว่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารยังคงเป็นที่นิยมสูงสุด ตามด้วยรายการทีวี และวีดีโอที่ขึ้นมาอยู่เป็นอันดับสาม

การแสดงความสนใจในแอ็พพลิเคชั่นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับบริการด้านการสื่อสารและเอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นหลัก ซึ่งผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ให้บริการด้านการบันเทิง ควรให้ความสำคัญและเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้มากขึ้น

“สำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย ผลการสำรวจนี้ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาโครงข่าย ซึ่งต้องรองรับการเจริญเติบโตของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รวมทั้งแสดงให้เห็นประเภทของการใช้งานและบริการอันเป็นที่นิยมสำหรับการสื่อสารข้อมูลบนมือถือ และสำหรับผู้ค้าปลีก ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงเหตุผลหลักในการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์สื่อสารต่างๆอีกด้วย” นาย Afrizal กล่าว

เป็นที่คาดการณ์กันว่าโปรโมชั่นแบบเติมเงิน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการใช้งานสมาร์ทโฟนในประเทศไทยให้สูงขึ้น “ความคุ้มค่าของบริการถือเป็นสิ่งที่ลูกค้าในตลาดเติมเงินให้ความสำคัญมาก ดังนั้นโปรโมชั่นที่เหมาะสมจึงควรเป็นแพ็คเกจขนาดเล็ก กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดเติมเงินที่มี ARPU ต่ำนั้น คือการเสนอแพ็คเกจที่หลากหลาย ตรงกับลักษณะการใช้งานของลูกค้าให้มากที่สุด และในขณะเดียวกันต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถควบคุมการใช้จ่ายของตนเองได้ การแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างเหมาะสม และการสร้างพันธมิตรกับ content provider ถือเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนให้มีการใช้อินเตอร์เน็ทบนมือถือเพิ่มมากยิ่งขึ้น” นาย Afrizal กล่าว

นาย Joacim Damgard ประธานอีริคสันประเทศไทย กล่าวด้วยว่า “ผลการวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของตลาดในอนาคตจะถูกผลักดันโดยการใช้อินเตอร์เน็ทบนมือถือ และเหล่าผู้ให้บริการจะเตรียมพร้อมรับมือกับตลาดที่เติบโตรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ผู้ให้บริการต้องพร้อมพัฒนาเครือข่ายให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ขยายพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณอย่างเพียงพอ เพื่อให้บริการได้ด้วยความเร็วสูงและมีเสถียรภาพ รวมทั้งต้องสามารถรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือ ซึ่งถูกผลักดันด้วยบริการแบบ non-voice ประเภทต่างๆ” นาย Joacim กล่าว

หมายเหตุ

Ericsson ConsumerLab ได้ทำการศึกษาแบบตัวต่อตัวกับกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย อายุ 16-60 ปี ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชากรจำนวน 16.8 ล้านคนในทางสถิติ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจโดย TNS ในกว่า 58 ประเทศ กับกลุ่มตัวอย่างรวมทั้งหมดถึง 47,577 คน Ericsson ConsumerLab มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการศึกษาพฤติกรรมและการให้คุณค่า รวมไปถึงวิธีการแสดงออกและความคิดของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์และบริการ ICT ประเภทต่างๆ Ericsson ConsumerLab ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดและผู้บริโภคอีกด้วย

Ericsson ConsumerLab ได้รับความรู้จากการศึกษาผู้บริโภคทั่วโลก โดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างกว่า 100,000 คน ในกว่า 40 ประเทศ และในมหานครกว่า 15 แห่ง ในแต่ละปี ซึ่งถือเป็นตัวแทนประชากรกว่า 1.1 พันล้านคนในเชิงสถิติ มีการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และได้ใช้เวลานับร้อยๆชั่วโมงในการสัมภาษณ์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคจากหลากหลายวัฒนธรรม

และเพื่อให้เรามีความใกล้ชิดกับตลาดและผู้บริโภค Ericsson ConsumerLab จึงมีนักวิเคราะห์ในเกือบทุกภูมิภาคที่มีอีริคสันอยู่ ซึ่งทำให้เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดและโมเดลของธุรกิจ ICT ทั่วโลก

View :1483

ดีแทคยอมชำระค่าปรับ 10 ลบ. จากเหตุการณ์บริการขัดข้องผลจากความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เทคนิค

September 6th, 2012 No comments

5 กันยายน 2555 – นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ได้กล่าวในงานแถลงข่าวซึ่งจัดโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าดีแทคพร้อมที่จะชำระค่าปรับ จำนวน 10 ล้านบาท ตามคำสั่งปกครองของ กสทช. โดยจะไม่ดำเนินการอุทธรณ์แต่อย่างใด โดยค่าปรับดังกล่าว จะเป็นจำนวนเพิ่มเติมจากการชดเชยนาทีโทรฯ ฟรีที่ดีแทคมอบให้กับลูกค้าที่ได้แสดงความจำนงเข้ามาแล้วกว่า 3 ล้านราย จากสาเหตุการบริการขัดข้องเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555

นายจอน  เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ กล่าวว่า การที่ดีแทคตัดสินใจยอมชำระค่าปรับตามที่ กสทช. กำหนด แม้ว่า จำนวนลูกค้าของดีแทคที่ถูกผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะมีจำนวนเพียงประมาณ 1.6 ล้านหมายเลข จากฐานลูกค้าทั้งหมดของดีแทค ประมาณ 24 ล้านคน และยอมชำระค่าปรับ แม้ว่า ความขัดข้องทางบริการ อันเป็นผลจากความขัดข้องของอุปกรณ์ MPLS Signaling Server  นั้น เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัทฯ   รับจ้างติดตั้งอุปกรณ์ เข้าไปดำเนินงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง ที่สำนักงานชุมสายรังสิตของบริษัทฯ

“บริษัทฯ ยอมชำระค่าปรับ โดยไม่อุทธรณ์แต่ประการใด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้าของเรา และต่อ กสทช. ในฐานะที่เราทำให้คนเหล่านั้น ต้องผิดหวังจากการทำงานของเรา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก เนื่องจากเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ โดยมีเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัทรับจ้างติดตั้งอุปกรณ์เพียงคนเดียว ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพ และคุณภาพชั้นสูงของระบบ network ของเราแต่ประการใด” นายจอน กล่าว

“อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงได้รีบดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ในการชดเชยให้กับลูกค้าของเรา จนถึงบัดนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการชดเชยให้ลูกค้าของเราไปแล้วกว่า 3 ล้านคน  มีมูลค่าการชดเชยประมาณ 100 ล้านบาท และเป็นที่คาดการณ์ว่า มูลค่าการชดเชยดังกล่าว อาจสูงถึง 300 ล้านบาท เมื่อถึงวันสุดท้ายของการแจ้งขอรับบริการโทรฯ ฟรี ในวันที่ 14 กันยายน ศกนี้ บริษัทฯ ให้การชดเชยแก่ลูกค้าของเราทุกท่านที่แจ้งแสดงความจำนงเข้ามา แม้ว่า บริษัทฯ ทราบจากการประมาณการณ์ว่า ลูกค้าที่ถูกผลกระทบโดยตรงนั้น น่าจะมีเพียง 1.6 ล้านหมายเลข จากจำนวนการใช้บริการโดยเฉลี่ยในวันดังกล่าว ประมาณ 4.8 ล้านหมายเลข” นายจอน อธิบาย

“แม้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดีแทคจะประสบเหตุขัดข้องในการให้บริการหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่ไม่อยากให้มองว่า แนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป มีเพียงเหตุการณ์เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุปกรณ์ในระบบ network ส่วนเหตุการณ์ที่เหลือเกี่ยวข้องกับการที่สาย fiber optic ถูกตัดขาด หรือความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เทคนิคดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจอย่างสูงเกี่ยวกับคุณภาพของระบบ network และบริการของบริษัทฯ รวมทั้งคุณภาพของบุคลากรของเรา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะเพิ่มมาตรการป้องกันให้มากขึ้น จากมาตรการต่างๆ ที่เรามีอยู่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า กฎระเบียบและขั้นตอนการทำงานต่างๆ จะได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญที่สุดคือ บริษัทฯ จะต้องทำงานให้หนักขึ้น ในการที่จะพยายามชนะใจลูกค้าของเราอีกครั้งหนึ่ง” นายจอน กล่าวสรุป

อนึ่ง การที่ดีแทคต้องชำระค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท ในครั้งนี้ ถือเป็นการชำระค่าปรับที่เป็นประวัติศาสตร์ สำหรับธุรกิจที่ให้บริการสาธารณูปโภค ทั้งในภาคธุรกิจโทรคมนาคม และภาคธุรกิจอื่นๆ เพราะไม่เคยปรากฏว่า มีบริษัทใดต้องชำระค่าปรับ อันเนื่องจากสาเหตุการให้บริการต่อผู้บริโภคโดยขาดประสิทธิภาพมาก่อน

View :1304

คำชี้แจงจากดีแทค เรื่องมาตรการการชดเชยให้กับลูกค้าผู้ถูกผลกระทบจากเหตุการณ์วันที่ 28 สิงหาคม 2555

September 4th, 2012 No comments

ตามที่ได้มีผู้สอบถามเกี่ยวกับมาตรการของดีแทคในการชดเชยให้กับลูกค้าผู้ถูกผลกระทบจากเหตุขัดข้องในการใช้บริการ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 นั้น บริษัทฯ ใคร่ขอชี้แจง ดังต่อไปนี้

· บริษัทฯ กราบขออภัยเป็นอย่างยิ่งต่อลูกค้าของบริษัทฯ ผู้ถูกผลกระทบ สำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น
· ลูกค้าของเรามีความสำคัญเป็นอันดับแรก และบริษัทฯ มีความมุ่งมั่น ที่จะให้บริการที่ดีที่สุด เพื่อความพึงพอใจของลูกค้าของเราในทุกเวลา
· บริษัทฯ เห็นว่า มาตรการการชดเชยที่บริษัทฯ ได้กำหนดขึ้น พร้อมวิธีการปฏิบัติ มีความเหมาะสมตามสมควร สำหรับ ความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นต่อลูกค้าของเรา
· ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกค้าของบริษัทฯ จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ศกนี้ มีวงจำกัด รวมเวลาทั้งสิ้นที่ส่งผลกระทบต่อลูกค้า ประมาณ 65 นาที โดยสามารถแบ่งออกเป็นช่วงเวลาคร่าวๆ ช่วงละประมาณ 30 นาที ระหว่างเวลา 11.06 น. ถึง 11.20 น. และอีกครั้งหนึ่งระหว่างเวลา 12.00 น. ถึง 12.45 น.
· จำนวนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้นมีประมาณไม่เกินร้อยละ 20 ของหมายเลขของลูกค้าทั้งหมด ซึ่งบริษัทฯ ตระหนักว่า มีลูกค้าเพียงบางส่วนในจำนวนดังกล่าว ที่พยายามทำการโทรออก หรือรับสายในช่วงเวลาดังกล่าว
· มาตรการการชดเชย ได้คำนึงถึงข้อมูลข้างต้น ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว มิได้เลือกปฏิบัติ หากแต่ต้องการมุ่งชดเชยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
· การมอบเวลาโทรฯ ฟรี ให้กับลูกค้าของเรา ทั้งลูกค้าประเภทรายเดือนและเติมเงิน นั้น เป็นการชดเชย โดยเฉลี่ยประมาณ 10 เท่าของการใช้งานตามปกติของลูกค้าทั้งสองกลุ่ม ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่า เป็นการชดเชยที่ยุติธรรมและสมเหตุผล ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทฯ จำเป็นต้องจำกัดเวลาสำหรับการใช้เวลาโทรฯ ฟรีดังกล่าว โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้าประเภทเติมเงิน นั้น ก็เนื่องด้วยลูกค้ากลุ่มดังกล่าว เป็นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯ และบริษัทฯ ต้องการให้แน่ใจว่า การใช้เวลาโทรฯ ฟรี ของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว จะไม่ก่อผลกระทบต่อการใช้งานโทรศัพท์ของลูกค้ากลุ่มอื่น ในช่วงเวลาการใช้บริการแออัด
· นอกจากนี้ มาตรการชดเชยของบริษัทฯ ยังได้คำนึงถึง กลุ่มลูกค้าที่ใช้ซิมการ์ดอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ จะได้รับการชดเชยในลักษณะที่ใกล้เคียงกันกับกลุ่มลูกค้าประเภทซิมการ์ดเพื่อการโทรฯ เข้าออก
· บริษัทฯ ต้องกราบขออภัยเป็นอย่างยิ่งสำหรับการโทรฯ ที่หนาแน่นในช่วงเช้าของวันที่ 29 สิงหาคม ศกนี้ สำหรับหมายเลขบริการลูกค้า ที่บริษัทฯ ขอให้ลูกค้า โทรฯ แจ้งความประสงค์เพื่อรับการชดเชย หมายเลขบริการลูกค้าดังกล่าวสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าได้วันละประมาณ 1.2 ล้านรายต่อวัน ซึ่งเราเชื่อว่า ภายในวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม ศกนี้ บริษัทฯ น่าจะสามารถรองรับความประสงค์ของลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ดี บริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาว่า จะมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะยืดเวลาการโทรฯ เข้าให้กับลูกค้าออกไปอีก
· บริษัทฯ ใคร่ขอความกรุณาให้ลูกค้า โทรฯ เวลาใดก็ได้ตามแต่ที่ท่านสะดวก ระหว่างวันที่ 29 ถึง 31 สิงหาคม ศกนี้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งแต่อย่างใด พนักงานของบริษัทฯ พร้อมที่จะให้บริการแก่ท่านตลอด 24 ชั่วโมง บริษัทฯ เชื่อว่า เราน่าจะสามารถดูแลความต้องการของลูกค้าทุกท่านได้อย่างทั่วถึง
· สุดท้ายนี้ พวกเราที่ ขอกราบขออภัยลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบ และความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณสำหรับอุปการคุณของทุกท่าน บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ต่อ คุณภาพของระบบเครือข่าย และบริการของบริษัทฯ รวมทั้งเชื่อมั่นในพนักงานทุกคนของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นในการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของบริษัทฯ คือการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา ด้วยความหวังว่า ลูกค้าของเราในวันนี้ จะเป็นลูกค้าของเราตลอดไป

View :1293
Categories: Press/Release Tags:

ก.ไอซีที เดินหน้าส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

September 4th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ภายหลังจากกฎกระทรวงฯ ตามมาตรา 20 (6) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้จัดตั้งศูนย์ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการสื่อสาร สำหรับคนพิการขึ้นตามข้อกำหนดของกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้บริการทั้งการให้ การให้ยืม อุปกรณ์ เครื่องมือ และโปรแกรมที่ใช้กับคนพิการ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงมีห้องฝึกอบรมด้าน ICT ให้กับคนพิการ ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาล ผู้ดูแล และผู้ช่วยคนพิการ โดยศูนย์ดังกล่าวตั้งอยู่ที่ชั้น 7 สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานงานผู้ให้บริการ และมีสำนักงานสถิติจังหวัด รวมทั้งสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เป็นผู้ให้บริการในส่วนภูมิภาค

นอกจากการจัดตั้งศูนย์ให้บริการฯ ดังกล่าว กระทรวงฯ ยังได้ดำเนินงานต่างๆ ภายใต้กฎกระทรวงฯ โดยการประสานกับหน่วยงานภาครัฐ 20 กระทรวงฯ พร้อมให้คำปรึกษา ข้อแนะนำ รวมถึงจัดการฝึกอบรมการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ จัดทำรูปแบบ (Templet) การพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ จัดการประกวดเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ และผลักดันหลักสูตรการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ให้เข้าสู่ระดับอุดมศึกษา

พร้อมกันนี้ กระทรวงฯ ยังได้จัดงบประมาณ เพื่อจัดการฝึกอบรมให้คนพิการและผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ โดยประสานกับสมาคมคนพิการแต่ละประเภทเพื่อร่วมมือกันในการจัดกิจกรรม รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณ 23.5 ล้านบาท เพื่อใช้จัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือด้าน ICT และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับคนพิการ ตามบัญชีแนบท้ายของกฎกระทรวงฯ 18 รายการ จำนวน 2,000 กว่าชิ้น ได้แก่ 1.โปรแกรมอ่านหน้าจอ (Screen Reader) 2.เครื่องพิมพ์อักษรเบรลล์ (Braille Printer) 3.โปรแกรมขยายหน้าจอ (Zoom Text) 4.เครื่องคอมพิวเตอร์ 5.เครื่องสแกนเนอร์ 6.อุปกรณ์สื่อสาร 7.เครื่องช่วยสื่อสารพร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับ คนพิการ 8.เครื่องแสดงผลอักษรเบรลล์ 9.เครื่องอ่านหนังสือสำหรับคนพิการ 10.อุปกรณ์ควบคุมตัวชี้ตำแหน่ง 11.โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับแปลสื่อพิมพ์เป็นอักษรเบรลล์ หรืออักษรเบรลล์เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ 12.โปรแกรมคอมพิวเตอร์แปลภาพเป็นอักษร และมีเสียงสังเคราะห์ 13.โปรแกรมคอมพิวเตอร์อ่านหนังสือสำหรับคนพิการ 14.โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการพิมพ์สำหรับคนพิการ 15.โปรแกรมพจนานุกรมสำหรับคนพิการ 16.โปรแกรมสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสาร 17. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยในการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับคนพิการ และ 18.ชุดอุปกรณ์สำหรับฝึกการใช้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

โดยการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการสื่อสารและบริการสื่อสาธารณะ สำหรับคนพิการ พ.ศ. 2554 มาตรา 20 (6) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550

View :1766

ไอฮับ มีเดีย ได้รับคัดเลือกให้เป็น ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านการตลาดที่ได้รับการแต่งตั้งโดยเฟซบุ๊ค

September 4th, 2012 No comments

ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น ® Preferred Marketing Developer (PMD) หรือผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านการตลาดที่ได้รับการแต่งตั้งโดย เฟซบุ๊ค ในสาขาการพัฒนาแอพพลิเคชั่น (Apps)

สำหรับโปรแกรม Preferred Marketing Developer (PMD) โดยเฟซบุ๊คนี้เป็นโปรแกรมที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้คัดเลือกบริษัทที่ได้ทำการพัฒนาเทคโนโลยีในหนึ่งสาขา หรือมากกว่า อันได้แก่ การพัฒนาโซลูชั่นสำหรับการบริหารเพจ การพัฒนาโซลูชั่นสำหรับการบริหารสื่อโฆษณา บริการ และแพลทฟอร์มสำหรับ การสร้างสื่อโซเชียลผสมผสาน และหรือการพัฒนาเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของเพจ

“การที่เราได้รับเลือกเข้าโปรแกรม PMD ถือเป็นการตอกย้ำในความชำนาญของเราในด้านการพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนเฟซบุ๊ค เราจะเดินหน้าพัฒนาโซเซียลแอพต่างๆ ให้สามารถช่วยนักการตลาดในการขยายฐานลูกค้าและเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดในการทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค นอกเหนือจากฟังค์ชั่นของเครื่องมือต่างๆที่อยู่ในตัวเฟซบุ๊คเอง” นายจอร์จ ฟู ผู้บริหารไอฮับ มีเดีย กล่าว

ไอฮับ มีเดียได้สร้างประสบการณ์ทางสังคมที่ช่วยให้ลูกค้าแบรนด์ต่างๆ สามารถเพิ่มจำนวนแฟนอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้เกิดการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคของแบรนด์นั้นๆได้โดยตรงผ่านตัวเฟซบุ๊คแอพพลิเคชั่นที่บริษัทฯได้พัฒนาขึ้นมา และด้วยความสามารถและความทุ่มเทในการพัฒนา ทีมพัฒนาแอพพลิเคชั่นของเราสามารถสร้างแพลทฟอร์มบนเฟซบุ๊คที่รวมการประมวลผลลัพท์บน อินเทอร์แอ็คทีฟเกมเข้ากับกลวิธีในการแชร์ข้อมูลต่างๆผ่านตัวแอพพลิเคชั่น

ด้วยแนวทางการทำการตลาดโซเชียลมีเดียแบบ 360 องศาของไอฮับ มีเดีย มีความสอดคล้องและส่งเสริมกับบริการต่างๆของเฟซบุ๊ค จึงช่วยให้ลูกค้าของเรา ไม่ว่าจะเป็น พีแอนด์จี ฮอนด้า ฮุนได เรคคิต เบนคิเซอร์ คาโอ และพานาโซนิค ได้บรรลุเป้าหมายทางการตลาดอย่างน่าพอใจ

ในฐานะที่เป็นสมาชิกของโปรแกรม PMD โดยเฟซบุ๊ค ไอฮับ มีเดียตั้งเป้าที่จะใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาผลงานบนเฟซบุ๊ค APIs แพลทฟอร์ม และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากกลุ่มสมาชิก PMD ด้วยกัน

ปัจจุบัน ไอฮับ มีเดีย ได้พัฒนาตัวแอพพลิเคชั่นและประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเปิดตัวแล้วมากกว่า 500 แคมเปญในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำการพัฒนาแพลทฟอร์มเพื่อรองรับการวิเคราะห์ทางการตลาดสำหรับเพจต่างๆ บนเฟซบุ๊คกว่า 2,500 เพจ รวมไปถึงมีข้อมูลแคมเปญโฆษณาบนเฟซบุ๊คมากถึง 5,000 แคมเปญบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของเรา

ไอฮับ มีเดีย คือ ผู้นำด้านการทำการตลาดโซเซียลมีเดียแบบ 360 องศา และการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตในเอเชีย

View :1400

เอไอเอส จับมือ ไมเนอร์ มอบประสบการณ์แฟชั่น ตอบ Lifestyle คนรุ่นใหม่

September 4th, 2012 No comments

2 ค่ายต่างขั้ว แต่ใจตรงกัน และ ผนึกกำลังควงแขนใช้มือถือเป็นช่องทางรับประสบการณ์สุดพิเศษจากโลกแห่งแฟชั่นสุดอินเทรนด์กับแคมเปญ “AIS-Minor Your World Your Style” ให้ลูกค้าเอไอเอสเลือกช็อปได้ในแบบคุณพร้อมรับส่วนลดสูงสุด 20%

นางวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริหารลูกค้าและการบริการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้ว การมอบประสบการณ์พิเศษที่สอดคล้องกับ Lifestyle ในแบบคุณถือเป็นอีกด้านที่เราให้ความสำคัญที่สุดเช่นกัน ดังนั้นที่ผ่านมาเราจึงร่วมมือกับหลากหลายพาร์ทเนอร์กว่า 6,000 แบรนด์ดัง ทั้งในแกนของอาหารการกิน, ความบันเทิง , การเดินทาง และ ช็อปปิ้ง มาอย่างต่อเนื่องโดยได้ร่วมมอบความพิเศษให้กับลูกค้าเอไอเอส ในรูปแบบของสิทธิพิเศษต่างๆที่มีทั้ง Always on Topและ Always Exclusive ซึ่งที่ผ่านมามียอดการกดใช้สิทธิ์มากกว่า 7 ล้านครั้ง”

ทั้งนี้ในแกนของช็อปปิ้งนั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง lifestyle ที่ลูกค้าชื่นชอบเป็นอย่างมากโดยมีจำนวนการร่วมกดใช้สิทธิ์กว่า 7 แสนครั้ง ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากดังนั้นเพื่อเพิ่มความพิเศษให้มากยิ่งขึ้น เราจึงร่วมมือกับ Minor ซึ่งเป็นผู้นำและมีความโดดเด่น ในด้านของแฟชั่นอินเทรนด์อย่างครบถ้วนในทุก Segment รวมถึงหลากหลายในกลุ่มของทั้ง เสื้อผ้า ,เครื่องสำอาง และสปา แบรนด์ดังจากต่างประเทศ ร่วมมอบความพิเศษที่มากยิ่งกว่าให้ลูกค้าเอไอเอส ด้วยส่วนลดสูงสุดกว่า 20 %”

ด้าน คุณปัทมาวลัย รัตนพล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป กล่าวว่า “ทางบริษัท ไมเนอร์เองก็ได้มีโอกาสร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจหลากหลายองค์กร แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เอไอเอส คือผู้นำด้านระบบเครือข่ายการสื่อสารซึ่งเป็นเลิศในด้านการดูแลลูกค้าและการตลาด เราในฐานะผู้นำในการดำเนินธุรกิจรีเทล จึงถือโอกาสเริ่มสานสัมพันธ์กับทางเอไอเอส อย่างเป็นทางการกับการเปิดตัวโครงการ ไมเนอร์ เอาท์เลท เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจมาก จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่เราร่วมกันสร้างแคมเปญนี้ขึ้นมาและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีแคมเปญดีๆ อย่างนี้เพื่อลูกค้าเอไอเอส ให้ได้สนุกสนานกันอีกในอนาคต”

แคมเปญ “ AIS – Minor Your World Your Style” นี้ เอไอเอสได้ร่วมมือกับ Minor มอบสิทธิพิเศษเอาใจนักช้อป กับสินค้าและบริการหลากหลายแบรนด์ชื่อดังจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเสื้อผ้า Brand ดังอย่าง Gap, Esprit, Bossini, Charles & Keith, Tumi และPedro กลุ่มเครื่องสำอางค์ RedEarth และในส่วนของสปากับ M Spa และ Elemis Spa Products ซึ่งลูกค้าเอไอเอส สามารถรับส่วนลดสูงสุดกว่า 20 % ได้ง่ายๆ เพียงกดรหัส ณ ร้านค้านั้นๆจากโทรศัพท์มือถือ รอรับรหัสและข้อความส่วนลดตอบกลับจากระบบ และแจ้งรหัสดังกล่าวให้แก่พนักงานประจำร้านค้านั้นๆ เพื่อรับส่วนลดได้ทันที ตั้งแต่วันนี้ -30 พฤศจิกายนนี้ ณ ร้านค้าในเครือ Minor ที่ร่วมโครงการ

นางวิลาสินี และ นางปัทมาวลัย ร่วมกันกล่าวในตอนท้ายว่า “เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเอาโลกของเทคโนโลยีไร้สายมาบรรจบกับโลกแห่งแฟชั่นและ Lifestyle สุดอินเทรนด์ เพื่อมอบเป็นความพิเศษให้แก่ลูกค้าเอไอเอสที่จะทำให้ทุกวันธรรมดาของคุณกลายเป็นวันพิเศษที่ไม่ธรรมดาเสมอ”

View :1434

คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ร่วมมือกับ สพธอ. และ สรอ. ผลักดันธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย สู่ “Smart Thailand”

September 4th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะประธานกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (.) และคณะกรรมการบริหารสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) () เพื่อหารือกรอบนโยบายการดำเนินงานร่วมกันในการผลักดันงานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐและภาคเอกชนให้มุ่งสู่การเป็น “

โดยคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ดำเนินการจัดประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการบริหาร สพธอ. และคณะกรรมการบริหาร สรอ. ขึ้น เพื่อรับทราบนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต่อแนวทางการผลักดันงานด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Smart Thailand ซึ่งองค์การมหาชนทั้ง 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. และ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. เป็นหน่วยงานที่กระทรวงไอซีที ตั้งขึ้น เพื่อช่วยผลักดันงานด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย โดย สพธอ. ทำหน้าที่ดำเนินการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความน่าเชื่อถือ และ สรอ. ทำหน้าที่พัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความก้าวหน้าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาด้าน ICT ของประเทศ

ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะจาก คณะกรรมการบริหาร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร สพธอ. และ สรอ. เพื่อผลักดันงานด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการประชุมดังกล่าว ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทำให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงฯ ได้มุ่งเป้าหมายไปสู่การเป็น Smart Thailand ในปี 2020

View :1322

เอชพีจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (HP COE) แห่งใหม่ล่าสุดในอินเดีย รองรับลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลูกค้าในประเทศไทย

September 4th, 2012 No comments

รองรับแพลทฟอร์ม SAP HANA® สนับสนุนองค์กรต่างๆ วิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มแต้มต่อในการแข่งขันมากขึ้น ขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียสร้างความเป็นเลิศทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

กรุงเทพฯ 4 กันยายน 2555 – เอชพีประกาศเปิดตัวศูนย์ความเป็นเลิศแห่งใหม่ (HP Center of Excellence : ) ในเมืองเชนไน ประเทศอินเดีย เพื่อสนับสนุนลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลูกค้าในประเทศไทย ทั้งนี้ การเปิดศูนย์ความเป็นเลิศแห่งใหม่ดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนลูกค้าองค์กรต่างๆ นำแพลทฟอร์ม SAP HANA® มาใช้พัฒนาข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนสร้างสรรค์แนวคิดและหลักการใหม่ๆ เพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจของตนให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

การตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล และความคล่องตัวในการจัดการโอกาสใหม่ๆ คือสองปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้องค์กรต่างๆ มีขีดความสามารถในการสร้างผลกำไรและมีแต้มต่อในการแข่งขันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่หรือโมบิลิตี้ เสริมด้วยสื่อสังคมออนไลน์ และระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนข้อมูลในปริมาณมหาศาล ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในจัดเก็บ สร้าง และเรียนรู้ทำความเข้าใจจากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อนำมาใช้สร้างความเป็นเลิศให้แก่ธุรกิจของตนได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ

ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE ที่รองรับแพลทฟอร์ม SAP HANA มีผู้เชี่ยวชาญประจำการเพื่อคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลในหน่วยความจำได้โดยตรง (in-memory computing) ช่วยให้ลูกค้าสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเมื่อเทียบกับเดิมที่ใช้เวลานานเป็นชั่วโมง กระบวนการประมวลผลข้อมูลจากหน่วยความจำประกอบด้วยการจัดเก็บข้อมูลไว้บนแรม (RAM) ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่แยกพิเศษ และมีความเร็วกว่าการใช้ดิสก์ปกติถึง 10,000 เท่า

บริการที่ใช้แพลทฟอร์ม SAP HANA เหล่านี้จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยมีมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการตัดสินใจได้เร็วขึ้น เมื่อนำมาใช้ผนวกกับโซลูชั่น HP Business Intelligence (HP BI) ระบบการวิเคราะห์ และระบบการพัฒนาแอพพลิเคชั่น จะส่งผลให้องค์กรต่างๆ สามารถเข้าใช้และศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจที่เดิมไม่เคยมีการศึกษาวิเคราะห์มาก่อนเพื่อนำมาใช้สนับสนุนธุรกิจของตนได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริการของศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE สนับสนุนโซลูชั่น Information Optimization และระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) โดยประกอบด้วยบริการ BI Assessment, บริการ BI Analytics, บริการ Enterprise Reporting, แพลทฟอร์มการทำคอลลาบอเรชั่น (collaboration platform) และการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management)

ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE เป็นการพัฒนาต่อยอดจากระบบ HP BI โดยมุ่งเน้นให้คำปรึกษาเพื่อให้องค์กรต่างๆ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุน การดำเนินการ และประโยชน์ที่ได้รับจากการพัฒนาระบบไอทีของตนให้ล้ำสมัยโดยใช้แพลทฟอร์ม SAP HANA ทั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE เป็นส่วนต่อขยายจากโมเดลการให้บริการทั่วโลกของเอชพี (HP’s global delivery model) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในกลุ่มเดียวกันให้มีองค์ความรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วน

แอนิตา พอล ผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจ Enterprise Applications, Enterprise Servers เอชพี เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวว่า “สำหรับองค์กรที่ต้องการประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีการตัดสินใจตามข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ภารกิจที่ท้าทายองค์กรต่างๆ คือ การดึงข้อมูลดิบที่มีปริมาณมากออกจากระบบ และแปลงให้เป็นข้อมูลที่ทรงคุณค่าและใช้งานง่ายได้อย่างรวดเร็ว ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE ใหม่ดังกล่าวจะนำความรู้ความชำนาญที่มีอยู่อย่างลึกซึ้งมาใช้พัฒนาระบบการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และมีศักยภาพในการจัดการข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาลได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้องค์กรต่างๆ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจของตนได้อย่างรวดเร็วและโดยทันที”

ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE ที่รองรับแพลทฟอร์ม SAP HANA จะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรต่างๆ ดังนี้

· ย่นระยะเวลาในการนำสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น โดยวางรากฐานรองรับโซลูชั่น Business Intelligence (BI) พร้อมเปิดให้บริการวางแผน สร้าง ใช้งาน และพัฒนาแพลทฟอร์ม BI

· เพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจต่างๆ โดยใช้เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้าน SAP HANA ที่มีความรู้ความชำนาญและทักษะ เพื่อช่วยองค์กรต่างๆ ให้สามารถผนวกรวมระบบสารสนเทศอันหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อพัฒนาการดำเนินงานให้มีความเป็นเลิศทั่วทั้งองค์กร

· สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยนำโซลูชั่นสุดล้ำมาใช้แก้ไขปัญหาทางธุรกิจเฉพาะด้าน ศึกษาวิเคราะห์นวัตกรรมเทคโนโลยีและแนวคิดต่างๆ และพัฒนาเครื่องมือการเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน

· เปิดให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทางธุรกิจและเทคโนโลยีเรียนรู้จากประสบการณ์จริงโดยตรงเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานของพนักงานและลดค่าใช้จ่าย โดยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเก่าที่มีความซับซ้อนให้เป็นเทคโนโลยีสุดล้ำและเปี่ยมประสิทธิภาพด้วยการจัดแสดงเทคโนโลยีและการทำงานแบบอินเตอร์แอคทีฟที่ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE

ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE ดังกล่าว เป็นศูนย์การศึกษาและวิจัยอย่างครบวงจร ทั้งยังช่วยขับเคลื่อนเอชพีให้เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่น SAP HANA ชั้นนำ ศูนย์ความเป็นเลิศ HP COE ให้บริการคำปรึกษาและติดตั้งโซลูชั่น BI อย่างครบวงจร โดยนำโซลูชั่นของบริษัทต่างๆ มาทำงานบนแพลทฟอร์ม SAP HANA ภายใต้สภาพแวดล้อมที่รองรับเทคโนโลยีโซลูชั่นของ SAP

นับเป็นระยะเวลากว่า 20 ปีที่เอชพีผนึกกำลังกับเอสเอพีร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นสุดล้ำ เพื่อช่วยองค์กรต่างๆ นำเทคโนโลยีมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของลูกค้าของตนได้อย่างครบถ้วน ที่ผ่านมา เอชพีได้ติดตั้งแอพพลิเคชั่น SAP มากกว่า 77,000 ชุดทั่วโลก และในจำนวนแอพพลิเคชั่น SAP ที่เอชพีได้ติดตั้งทั้งหมดทั่วโลกได้ใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพีเกือบร้อยละ 50 นอกจากนี้ เอชพียังเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านการให้บริการผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่รองรับสภาพแวดล้อมของ SAP โดยสนับสนุนผู้ใช้งานจำนวน 1.7 ล้านรายในมากกว่า 50 ประเทศ

เอชพีมีกำหนดจัดงาน HP Discover ระหว่างวันที่ 4 – 6 ธันวาคม 2555 ณ เมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี

View :1379

ถ้อยแถลงจาก “จอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์” CEO ดีแทค

August 31st, 2012 No comments

30 สิงหาคม 2555 – ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เราได้ติดตามสถานการณ์การให้บริการแก่ลูกค้าของเราที่ได้รับผลกระทบจากเหตุขัดข้องด้านบริการ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่า บริษัทฯ จะสามารถให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าทุกท่าน

ในวันนี้ เป็นที่ปรากฏว่า ยังคงมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก ที่โทรฯ ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยังหมายเลขบริการลูกค้า เพื่อขอรับบริการโทรฯ ฟรี ซึ่งการที่มีลูกค้าเป็นจำนวนมาก โทรฯ เข้ามาดังกล่าว ทำให้ลูกค้าหลายท่านไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร

ดังนั้น บริษัทฯ จึงตัดสินใจที่จะยืดระยะเวลา เปิดให้มีการโทรฯ เข้าหมายเลขบริการลูกค้าดังกล่าว ออกไปอีกเป็นเวลาสองสัปดาห์ นับตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงเที่ยงคืนของวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555 เพื่อให้แน่ใจว่า เราจะสามารถให้บริการแก่ลูกค้าของเราได้อย่างทั่วถึง

ผมอยากจะขอให้ลูกค้าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุขัดข้องเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมาทุกท่าน โปรดโทรฯ เข้าหมายเลขบริการลูกค้าของเรา ตามเวลาที่ท่านสะดวก สายของเราจะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง จนถึงวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555 ท่านไม่ต้องรีบเร่งแต่อย่างใด ผมขอรับรองว่า ลูกค้าทุกท่านที่โทรฯ เข้ามา ระหว่างวันนี้จนถึงอีกสองสัปดาห์ จะได้รับการบริการอย่างทั่วถึงทุกท่าน

ทั้งนี้ ผมขอย้ำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทฯ คือการมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา เรายึดมั่นในคำสัญญาของเรา พร้อมที่จะรับฟังลูกค้า และพร้อมเสมอที่จะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

ในนามของพนักงานดีแทคทุกคน ผมต้องกราบขออภัยสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และเราสัญญาที่จะพัฒนาบริการของเราให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป

View :1669

ไซแมนเทค จับมือ เรดแฮท ประกาศความร่วมมือนำเสนอโซลูชั่นเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือ การกู้คืนข้อมูลหลังภัยพิบัติ

August 31st, 2012 No comments

30 สิงหาคม 2555 – คอร์ป (NASDAQ: SYMC) และเรดแฮท อิงค์ (NYSE: RHT) ได้ประกาศขยายความร่วมมือในการส่งมอบโซลูชันที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับใช้ไพรเวท คลาวด์และไฮบริด คลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นสูง การขยายความความร่วมมือในครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งเรื่องวิศวกรรม การตลาด การสนับสนุน และการขายของทั้งสองบริษัท จากการใช้งานจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว โซลูชั่นใหม่นี้จะนำเอาพลังของ Red Hat Enterprise Linux และโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูล และ Availability Solutions ของไซเมนเทคมารวมเข้าด้วยกันเพื่อส่งมอบระบบที่มีความพร้อมในการใช้งานสูง และคล่องตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกันองค์กรต่างๆ ก็สามารถปรับใช้แอพพลิเคชั่นที่สำคัญต่อธุรกิจได้อย่างมั่นใจ

คลิ๊กเพื่อทวีต: ไซแมนเทค จับมือ นำเสนอโซลูชั่นในการทำงานร่วมกับคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างยืดหยุ่น http://bit.ly/KKFfTo

หลายองค์กรได้นำลีนุกซ์มาใช้งานอย่างรวดเร็วในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกซึ่งพวกเขากำลังมองหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อคงความได้เปรียบด้านการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน และกำลังเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในขณะที่งบประมาณด้านไอทียังเท่าเดิม ด้วยโซลูชั่น Red Hat Enterprise Linux ที่มีความยืดหยุ่นสูง จึงเป็นแพลตฟอร์มทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับการใช้งานไพรเวทคลาวด์ ซึ่งความมั่นใจว่าระบบจะสามารถรักษาระดับของการให้บริการได้ตลอดเวลาจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ องค์กรใน Fortune 500 มากกว่าร้อยละ 80 ได้นำเอา Red Hat Enterprise Linux มาใช้งาน ขณะที่ไซเมนเทคในฐานะผู้นำด้านการปกป้องแอพพลิเคชันทางธุรกิจ ได้นำเอาชุดโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูล และ availability management เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานอย่างต่อเนื่อง สำหรับแอพพลิเคชันแบบหลายชั้น (multi-tier application) โดยรองรับบนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย ทั้งสตอเรจ, ระบบปฏิบัติการ และแพลตฟอร์มด้านการทำเวอร์ชวลไลเซชั่น ทำให้บริษัทใน Fortune 500 ถึงร้อยละ 99 ได้นำเอาโซลูชั่นโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูล และ availability management ของไซแมนเทคไปใช้งาน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากบล็อกโพสต์: Cloud and Data Center Resiliency Is No Prisoner’s Dilemma

ไซแมนเทค และเรดแฮทจะร่วมกันเสนอโอกาสที่จะช่วยในการจัดการโซลูชั่นที่มีความสำคัญ ซึ่งใช้กับคลาวด์ และที่ติดตั้งไว้ในศูนย์ข้อมูล ผ่านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการที่ยืดหยุ่นในสภาพแวลล้อมแบบเปิด โซลูชั่นที่เกิดจากความร่วมมือดังกล่าวนี้จะช่วยการกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติโดยอัตโนมัติ ช่วยปรับปรุงการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับศูนย์ข้อมูลที่มีหลายระบบปฏิบัติการ และระบบจัดเก็บข้อมูลหลายๆ ตัว และระบบที่สามารถทำงานทดแทนกันได้เมื่อระบบหนึ่งระบบใดมีปัญหาสำหรับฐานข้อมูลของออราเคิล

การกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติแบบ Off-Premise โดยอัตโนมัติ
Cluster Server ที่ทำงานบน Red Hat Enterprise Linux ให้คุณสมบัติการกู้คืนระบบจากภัยพิบัติไปยังไซต์ในระยะไกล โดยการทำ fail-over แอพพลิเคชันแบบหลายชั้น (multi-tier application) ไปยังศูนย์สำรอง นอกจากนี้คลัสเตอร์เซิร์ฟเวอร์ยังช่วยจัดการระดับชั้นการสำเนาข้อมูลระยะไกล (replication) เพิ่มความง่ายในกระบวนการทำ DR ตัวโซลูชันยังมาพร้อมกับความสามารถในการทำทดสอบ fail-over โดยไม่มีผลกระทบกับการทำงานของระบบงานหลัก เพื่อให้เรายังคงมั่นใจได้ว่า การกู้คืนจะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเมื่อจำเป็น ไม่ว่าจากเหตุการณ์ ไฟดับ, ภัยธรรมชาติหรือสาเหตุอื่นๆ

เพิ่มการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับศูนย์ข้อมูลที่มีระบบปฏิบัติการ และระบบจัดเก็บข้อมูลหลายๆ ตัว
สำหรับองค์กรที่ซื้อและติดตั้งโซลูชั่นด้านการจัดเก็บข้อมูลจากผู้ค้าหลายๆราย ซึ่งโซลูชั่นเฉพาะทางแต่ละตัวก็จะทำให้สภาพแวดล้อมของระบบจัดเก็บข้อมูลมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น และมักจะส่งผลให้ขาดคุณสมบัติความต่อเนื่องในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญที่ถูกจัดเก็บบนสตอเรจที่หลากหลาย Storage Foundation Dynamic Multi-Pathing ที่ทำงานบน Red Hat Enterprise Linux ให้โซลูชั่นที่ทำงานข้ามแพลตฟอร์มซึ่งเป็นแบบเดียวกันเพิ่มความง่ายในการบริหารจัดการในระบบระบบปฏิบัติการและแพลตฟอร์มสตอเรจที่หลากหลาย ด้วยโซลูชั่นดังกล่าวนี้ องค์กรต่างๆ จะมีทางเลือกในการจัดเก็บข้อมูลที่มีความคุ้มค่า และสามารถต่อรองราคาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ได้โดยที่ระบบไม่หยุดชะงัก และไม่ต้องติดตั้งเครื่องมือเฉพาะทางตัวใหม่ผ่านแพลตฟอร์มด้านการจัดการข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จตัวเดียว

เพิ่มความคุ้มค่าให้กับระบบ Failover สำหรับฐานข้อมูลของออราเคิล
หลายองค์กรใช้ฐานข้อมูลของออราเคิลเพื่อเพิ่มผลผลิตในการทำงาน และช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น และได้รับข้อมูลในการตัดสินใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากธุรกิจต้องพึ่งพาฐานข้อมูลเหล่านี้อย่างมาก เมื่อฐานข้อมูลมีปัญหาก็ส่งผลให้สูญเสียรายได้ เสื่อมเสียชื่อเสียง และอาจถึงขั้นถูกปรับในกรณีที่ไม่สามารถให้บริการตามระดับของบริการที่ตกลงกันไว้ Storage Foundation Cluster File System และ Cluster Server ที่ทำงานบน Red Hat Enterprise Linux ให้ระบบ failover สำหรับฐานข้อมูล ของออราเคิลที่ทำงานได้รวดเร็วมาก ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถใช้อินสแตนฐานข้อมูลของออราเคิลโดยเสียค่าค่าใช้จ่ายน้อยลงในขณะที่มีระบบ failover ที่ทำงานได้ในเวลาไม่ถึงนาที นอกจากนี้ Cluster Server ยังสามารถประสานการทำ failover แอพพลิเคชั่นแบบมัลติเทียร์เพื่อให้การจัดการสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อนง่ายขึ้น และบริการทางธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุกชะงักอย่างแท้จริง
เทคโนโลยี Cluster File System, Cluster Server และ Storage Foundation จากผู้นำตลาดอย่างไซแมนเทค พร้อมกับ Red Hat Enterprise Linux จะเป็นพื้นฐานสำหรับสถาปัตยกรรมร่วม นอกจากนี้ไซแมนเทคและเรดแฮทจะร่วมทีมกันเพื่อเพิ่มความร่วมมือในด้านวิศวกรรม การตลาด และการสนับสนุน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นใหม่ๆ จะมีเพิ่มเติมในภายหลัง

คำกล่าวสนับสนุน:
“Red Hat Enterprise Linux เป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วที่สุดของเราสำหรับซอฟต์แวร์ด้านการจัดการสตอเรจ และความพร้อมในการใช้งานสูง(high availability software) และมีลูกค้ามากขึ้นที่เลือกใช้งาน Linux เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและคงความสามารถในการแข่งขันก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไซแมนเทค เรามุ่งเน้นกำลังเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเรากับเรดแฮทในประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรต่างๆ มีความมั่นใจว่าข้อมูลของพวกเขาได้รับการคุ้มครองไม่ว่าพวกเขาจะปรับปรุงศูนย์ข้อมูลให้มีความทันสมัย หรือต้องการสร้างไพรเวท คลาวด์ที่ทนทานต่อความล้มเหลวก็ตาม” นายประมุท ศรีวิเชียร ผู้จัดการประจำประเทศไทยของไซแมนเทค กล่าว

“ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เรดแฮท และไซแมนเทคได้ร่วมกันนำเสนอคุณค่าอย่างมากแก่ลูกค้าด้วยโอเพ่นซอร์สที่ปลอดภัยเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีที่ล้าหลังให้มีความทันสมัย” มร.ดาเมียน วอง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เรดแฮท ภูมิภาคอาเซียน กล่าว “เรามีความยินดีที่จะขยายความร่วมมือในระยะยาวระหว่างเรากับไซแมนเทคในประเทศไทย เพื่อนำเอา Red Hat Enterprise Linux แพลตฟอร์มปฏิบัติการชั้นนำของเรา และเทคโนโลยีที่น่าสนใจของไซแมนเทคมารวมกันเพื่อช่วยให้ลูกค้าของเรามีทางเลือก และมีความยืดหยุ่นสำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีของพวกเขา”

“อย่างที่เราเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าไอดีซีเชื่อว่าลีนุกซ์จะเป็นหนึ่งในสองระบบปฏิบัติการหลักที่จะมีอิทธิพลต่อโครงสร้างพื้นฐานของไพรเวทคลาวด์” มร.เอล กิลเลน รองประธานฝ่ายซอ​​ฟต์แวร์ระบบของไอดีซี กล่าว “ไซแมนเทคและเรดแฮทกำลังรวมทีมกัน เพื่อปรับปรุงความพร้อมในการใช้งานข้อมูล และการกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติในศูนย์ข้อมูล ซึ่งจะมีประโยชน์เพิ่มขึ้นสำหรับศูนย์ข้อมูลที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคลาวด์ที่ทำงานบนลีนุกซ์ และช่วยให้ลูกค้าองค์กรในปัจจุบันสามารถใช้ประโยชน์จากคลาวด์คอมพิวติ้งได้อย่างเต็มที่”

“เรามี Storage Foundation High Availability ของไซแมนเทคที่ทำงานบน Red Hat Linux และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทดสอบสถาปัตยกรรมร่วมกันว่าสามารถตอบสนองความต้องการของเราในการทำ failover ฐานข้อมูลของออราเคิล และการกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติแบบ off-premise เพื่อป้องกันข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญของเราได้อย่างเต็มที่” อิสมาเอล โมรีโน ผู้จัดการฝ่ายไอทีของ SESCAM กล่าว “เราเชื่อว่าสิ่งนี้จะไม่เพียงแต่จะทำให้เราสามารถปกป้องข้อมูลและแอพพลิเคชั่นได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังป้องกันไม่ให้เราถูกผูกติดกับผู้ค้ารายใดรายหนึ่ง เราสามารถที่จะเปลี่ยนอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลได้โดยไม่ทำให้ระบบหยุดชะงัก”

View :1526