Archive

Author Archive

รมว.ไอซีที ร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ 9 (TELMIN 9)

August 15th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ 9 (TELMIN 9) ระหว่างวันที่ 7 – 8 สิงหาคม 2555 ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้ 21 เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปคมีการขับเคลื่อนด้าน ICT อย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน และยั่งยืน โดยที่ประชุม TELMIN 9 ได้มีการพิจารณารับรองปฏิญญา เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (Saint Petersburg Declaration) ในหัวข้อ “การสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ” ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีได้เป็นผู้แทนประเทศไทยกล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ “Shaping Priority Areas for the Future ICT Cooperation” ในระหว่างการประชุม Session ที่ 4 ซึ่งประเทศไทยได้เสนอประเด็นการให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้าน ICT ในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Bridging the Digital Divide) ความมั่นคงปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ (Cybersecurity) และเสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ (International Cooperation)

View :1247
Categories: Press/Release Tags:

อพวช. เปิดฉากมหกรรมวิทย์ 55 โชว์เทคโนโลยี อวกาศ กระตุ้นจินตนาการเด็กไทย

August 15th, 2012 No comments

กลับมาอีกครั้งกับ มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 โดยรูปแบบงานที่จัดขึ้นในปีนี้ ยังคงเน้นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์รูปแบบใหม่ ที่จะช่วยเปิดจินตนาการ และกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กไทยแบบไม่รู้จบ

ในปีนี้กิจกรรมเด่น คงหนีไม่พ้นนิทรรศการด้านอวกาศ ที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ได้เนรมิตรพื้นที่ส่วนหนึ่งของงานให้กับกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น “ห้องไร้น้ำหนัก” ซึ่งได้จำลองสภาพอากาศแบบเดียวกับที่อยู่นอกโลก มาให้ผู้เข้าชมงานในสัมผัส

ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการ อพวช. บอกว่า ในปีนี้ อพวช. กระทรวงวิทยาศาสตร์ได้ทุ่มงบจัดงานมากกว่า 100 ล้านบาท โดยให้ความสำคัญกับงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีผู้รอคอยที่จะเขาชมงานไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนต่อปี โดยงานดังกล่าวได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตลอด 15 วัน ของสัปดาห์วิทยาศาสตร์ระหว่าง วันที่ 17-31 สิงหาคม ซึ่งนับเป็นงาน Science Fair ที่ยิ่งที่สุดใน ภูมิภาคเอเชียก็ว่าได้

งานมหกรรมวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้สโลแกน “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์” เพื่อให้คนได้มีความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ และคิดต่อยอดจากความรู้ ที่จัดเต็มพื้นที่ 25,000 ตารางเมตร ของศูนย์ประชุมและนิทรรศการไบเทค บางนา โดยเน้นตอบคำถามในสิ่งที่ประชาชนอยากรู้ ผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้

ไฮไลท์สำคัญของ งานมหกรรมวิทยาศาสตร์ คือนิทรรศการเทิดพระเกียรติ และแสดงพระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย และพระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย และที่สำคัญยังเป็นการเทิดพระเกียรติ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสเฉลิมฉลองครบ 80 พรรษา ในเดือนสิงหาคนนี้ด้วย

สมเด็จพระนางเจ้า ฯ ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระมารดาแห่งการคุ้มครองความหลากหลายทาง ชีวภาพของประเทศมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับสนอง พระราชดำริหลายด้าน อาทิ ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล การฟื้นคืนความหลากหลายทางชีวภาพด้วยป่าไม้ของประเทศให้กับ คืนความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรให้กับประเทศ ความหลากหลายของเต่าทะเล เป็นต้น

ดร.พิชัย ยืนยันว่า อพวช. ได้ติดต่อขอซื้อห้องไร้น้ำหนัก จากประเทศญี่ปุ่น มูลค่ากว่า 12 ล้าน มาจัดแสดงภายในโซนเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อจำลองสภาวะไร้น้ำหนัก เหมือนกับได้อยู่ในอวกาศจริงๆ พร้อมเครื่องเล่นท้าประสบการณ์ไร้น้ำหนัก Free Fall ตลอดจนการเชื่อมต่อ กล้องดูดาวจาก 2 ซีกโลกมาปรากฏภายในงานนี้ด้วย

“เนื่องจากขณะนี้ ประชาชนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับการที่นาซ่าส่งยานอวกาศ คิวริออซิตี ไปสำรวจดาวอังคาร จึงถือเป็นโอกาสดีที่ อพวช. จะได้นำนิทรรศการอวกาศมาจัดแสดงเพื่อให้ความรู้กับประชาชน”

นิทรรศการวิทยา ศาสตร์ในครั้งนี้ ยังมุ่งคำตามที่ทุกคนกำลังสงสัย ใคร่รู้ อาทิ ปี 2012 โลกจะแตกจริงหรือไม่ และอนุภาคฮิกส์ ที่องค์กรวิจัยในยุโรปกำลังดำเนินการศึกษาคืออะไร โดยนำเครื่องจำลองการกำเนิดจักรวาลมาจัดแสดง รวมทั้งนำปฏิทินมายาที่ระบุถึงวันสิ้นสุดของโลกในปี 2012 หรือ 2555 มาชี้ให้เห็นว่าจะสิ้นสุดโลกจริงหรือไม่

นอกจากนี้ ภายในงานได้นำเสนอนวัตกรรมป้องกันน้ำท่วม โดยจะนำแบบจะลองแผนที่ประเทศไทย ที่ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ใดบ้างที่เสี่ยงน้ำท่วม และสามารถคำนวณระดับความสูงของน้ำในละแต่พื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ อีกทั้งยังได้นำเทคโนโลยี 4 มิติ หรือ Bus Simulator เพื่อให้ผู้ร่วมงาน ได้ท่องไปในโลกของอุทกภัยและภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วมและแผ่นดินไหว ได้อย่างสมจริง

ผู้อำนวยการ อพวช. กล่าวทิ้งท้ายว่า ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาด คือนิทรรศการ “วิทยาการในโลกมุสลิม” (Sultan) ซึ่งนำมาจัดแสดง ครั้งแรกในประเทศไทย โดยจะนำตัวอย่างการค้นพบทางวิทยาศาสตร์โดยชาวมุสลิม อาทิ นิทรรศการการบุกเบิกการบินโดย อับบัส อิบนิ ฟีรนาส นักปราชญ์ชาวมุสลิมที่ประดิษฐ์เครื่องร่อนขนนกที่ช่วยให้เขาบินข้ามพรมแดน สเปนได้ก่อนแนวคิดประดิษฐ์เครื่องร่อนของลีโอนาร์โด ดาวินชี เทคโนโลยีพลังงานน้ำรูปช้างที่สูงถึง 4.3 เมตร ซึ่งเป็นความก้าวหน้าทางด้านวิศวกรรมของชาวมุสลิม รวมถึงการค้นพบระบบการหายใจ การแลกเปลี่ยนอากาศภายในปอด และการริเริ่มการผ่าตัดรูปแบบใหม่ เป็นต้น

โดยงานมหกรรมวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติครั้ง 6 นี้ จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมตั้งแต่วันที่ 17-31 สิงหาคม ระหว่างเวลา 09.00-20.00 น. ที่ศูนย์ประชุมและนิทรรศการไบเทค บางนา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นวันที่ 22) ซึ่งขณะนี้มียอดจอง เพื่อเข้าชมงานแล้วไม่ต่ำกว่า 4 แสนราย ซึ่งทางอพวช. ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมีผู้เข้าชมงานตลอดทั้ง 15 วันไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านราย

สนใจสอบถามข้อมูล เพิ่มเติมและการเดินทางได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โทร.0-2577-9960 หรือ ไบเทค โทร. 0-2749-3939 และดูรายละเอียดได้ที่ www.nsm.or.th/nst2012 หรือ www.bitec.co.th

View :1504

ซินเน็คฯ ชูสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต บุกตลาดครึ่งปีหลังรับเทรนด์ใหม่ลูกค้าหันใช้สินค้าไฮเทคเพิ่มขึ้น

August 15th, 2012 No comments

“สุพันธุ์ มงคลสุธี” เผยครึ่งปีหลัง เตรียมใช้สินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ในกลุ่มสมาร์ทโฟน ช่วยขยายตลาด หลังพบลูกค้าเปลี่ยนเทรนด์หันมาใช้สินค้าไฮเทคเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มโน้ตบุ๊คได้ Windows 8 ช่วยกระตุ้นมั่นใจยอดขายโตได้ต่อเนื่อง คาดทั้งปีรายได้ยังโตกว่าอุตสาหกรรม

สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ระบบสารสนเทศและอุปกรณ์ไอที รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่าในครึ่งปีหลังบริษัทฯ จะหันมาขยายตลาดอุปกรณ์ไอทีในกลุ่มสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เพิ่มมากขึ้น หลังจากพบว่าปัจจุบันลูกค้าหันมาใช้สินค้าไฮเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ด้วยการเพิ่มความหลากหลายให้กับตัวสินค้า โดยเฉพาะสินค้าใหม่ ๆ ที่พัฒนาตามเทคโนโลยีที่สูงขึ้น เพื่อรองรับให้ทันกับทุกความต้องการของลูกค้า
“ปัจจุบันเทรนด์การใช้สินค้าและอุปกรณ์ไอทีได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด โดยพบว่าลูกค้าหันมานิยมใช้สินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น และส่งผลต่อเนื่องให้ตลาดโน้ตบุ๊คชะลอตัวลง ซินเน็คฯ จึงได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการหันมาทำตลาดสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกันเทรนด์ของลูกค้า แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามกระตุ้นความต้องการของลูกค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊คอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตลาดเติบโตควบคู่ไปกับกลุ่มสินค้าไฮเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้ซอฟต์แวร์ล่าสุดอย่าง Windows 8 จะออกมาทำตลาดเพิ่มคาดว่าจะกระตุ้นอุตสาหกรรมไอทีให้กลับมาคึกคักได้ โดยเฉพาะตลาดโน้ตบุ๊ค”
นายสุพันธุ์กล่าวอีกว่า การปรับตัวให้สอดคล้องกันสถานการณ์อย่างต่อเนื่องของซินเน็คฯ มั่นใจว่าจะสามารถผลักดันผลประกอบการในครึ่งปีหลังนี้ให้กลับมาเติบโตได้สูงกว่าครึ่งปีแรกได้สำเร็จ และจะผลักดันให้ผลประกอบการทั้งปีเติบโตกว่าปี 2554 ได้เช่นเดียวกัน โดยในปี 2554 ที่ผ่านมา ซินเน็คฯ มีรายได้รวม 20,268.55 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 376.98 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน คาดว่าจะยังรักษาการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าอุตสาหกรรมไอทีทั้งระบบเอาไว้ได้ หลังจากพบว่าภาพรวมอุตสาหกรรมไอทีในปีนี้จะชะลอตัวลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และผลกระทบจากภาครัฐชะลอการใช้งบประมาณเกี่ยวกับไอที เนื่องจากรัฐบาลต้องเร่งใส่งบประมาณไปสู่การฟื้นฟูหลังอุทกภัยครั้งใหญ่เป็นกรณีเร่งด่วนก่อน จึงคาดว่าปีนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมไอทีจะเติบโตลดลงประมาณ 1-2% จากเดิมที่คาดว่าจะโตในอัตรา 12%

ทั้งนี้ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำงวด 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน 2555) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 80.15 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2554 ที่ทำได้ 107.64 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมไอที ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการขยายตัวลดลงของกลุ่มสินค้าโน้ตบุ๊ค

View :1399

เอไอเอส จับมือ โอเปร่า มินิ เอาใจคอฟีเจอร์โฟน ยุคโซเชียลฯ พัฒนาหน้าอินเตอร์เน็ตบราวซิ่งโฉมใหม่ เข้าเน็ตเร็วขึ้น ง่ายขึ้นกว่าเดิม

August 11th, 2012 No comments


โดยนายปรัธนา ลีลพนัง รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล ร่วมกับ “Opera Mini 7” โดยนายไบรอัน เอส เบ รองประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทโอเปร่า ซอฟแวร์ เปิดประสบการณ์ใหม่ในการเล่นเน็ตให้กับลูกค้าเอไอเอสผู้ใช้มือถือฟีเจอร์โฟน ด้วยการพัฒนาหน้าอินเตอร์เน็ตบราวซิ่งโฉมใหม่ ภายใต้เทคโนโลยีขั้นกว่าของ Opera Mini 7 เวอร์ชั่นพิเศษที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเน็ตได้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยการบีบอัดข้อมูลได้ถึง 90% และเพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบหน้า AIS Smart Page เป็นหน้าแรกในการรับรองการเข้าใช้งาน โดยมีจุดเด่น คือเป็นทางลัดเชื่อมสู่โลกของโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างทันใจ ทั้งเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ รวมถึงคอนเทนต์เสริมอีกมากมาย อาทิ ข่าวสั้นทันเหตุการณ์, พยากรณ์อากาศ, ข่าวกีฬาและข่าวบันเทิง ซึ่งลูกค้าสามารถจัดการเมนูในหน้าเพจนี้ใหม่ได้ด้วยตัวเอง โดยมือถือรุ่นที่รองรับการใช้งาน Opera Mini 7 ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Nokia S40, Java, Symbian S60, แบล็คเบอรี่

ลูกค้าเอไอเอสสามารถดาวน์โหลด Opera Mini 7 เวอร์ชั่นพิเศษนี้มาใช้งานได้ฟรี! ง่ายๆ เพียงโทร *900 หรือพิมพ์ wap.mobilelife.co.th จากนั้นเลือก AIS App Store แล้วเลือก Opera Mini 7 สอบถามโทร.1175

View :1277

กระทรวงวัฒนธรรมจับมือสรอ. เชื่อมเครือข่าย GIN ทุกหน่วย ปรับโฉมไอทีทั้งระบบ ลดซ้ำซ้อนประหยัดงบ สรอ.เดินแผนต่อพร้อมจับมือเข้าคลาวด์ภาครัฐ

August 11th, 2012 No comments

กระทรวงวัฒนธรรมจับมือสรอ. เชื่อมเครือข่าย GIN ทุกหน่วย ปรับโฉมไอทีทั้งระบบ ลดซ้ำซ้อนประหยัดงบ สรอ.เดินแผนต่อพร้อมจับมือเข้าคลาวด์ภาครัฐ รับแนวโน้มวัฒนธรรมยุคดิจิตอลหลั่งไหล

ศาสตราจารย์อภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ. เพื่อใช้งานเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network : GIN) ในครั้งนี้ จะส่งผลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของกระทรวงวัฒนธรรม
โดยทางสรอ.จะเข้ามาให้บริการโครงสร้างพื้นฐานโดยนำเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐมารองรับด้านการรับ-ส่ง
และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ถือเป็นการลดความซ้ำซ้อนของระบบฐานข้อมูลทั้งหมด และเป็นการเพิ่มฐานการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยในระยะยาว

ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่กับงานวัฒนธรรมของประเทศไทย เริ่มมีบทบาทต่อกันมากขึ้น โดยแบ่งเป็นสองส่วนนั่นคือ การบริหารงานภายในกระทรวงวัฒนธรรมเอง ที่มีการเชื่อมโยงระหว่างกรมต่างๆ กับหน่วยงานประจำจังหวัด และระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงอื่นๆ จนถึงการเชื่อมโยงกับรัฐบาล ส่วนที่สองคือส่วนของการเชื่อมโยงกับประชาชน ซึ่งนับวันความต้องการใช้เทคโนโลยีผ่านเครือข่ายเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมกำลังมีมากขึ้นจนเครือข่ายเดิมไม่สามารถรองรับได้ที่ผ่านมาการติดตั้งเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานของกระทรวงวัฒนธรรม ใช้ระบบจัดซื้อและติดตั้งตามงบประมาณประจำปี ทำให้การติดตั้งให้ครบทุกหน่วยงานทำได้ยาก
โดยในปัจจุบันมีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกว่า 40 แห่งที่ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากับหน่วยงานส่วนกลาง และเชื่อมโยงระหว่างสำนักงานได้อีกทั้งระบบการจัดซื้อในภาครัฐยังต้องอิงกับกฎระเบียบแบบเดิมคือ ต้องจัดหาผู้ให้บริการที่เสนอราคาต่ำสุด ทำให้ระบบของแต่ละสำนักงานที่ติดตั้งไปแล้ว มีผู้ให้บริการที่แตกต่างกัน ทั้งเครื่องมือ ความเร็ว ราคา และการบริการ

การเชื่อมโยงระหว่างกันทำได้แค่การใช้บริการพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ขณะที่ในปัจจุบันความต้องการเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันระหว่างสำนักงานมีมากขึ้น ความต้องการใช้แบนด์วิธหรือความเร็วของระบบอินเทอร์เน็ตก็มีมากขึ้น แต่หากยังใช้ระบบเดิมคาดว่ากว่าจะเชื่อมโยงเครือข่ายครบทุกสำนักงานอาจใช้เวลาอีกหลายปี อีกทั้งการทำการเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่นๆ เช่นการใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน
การเดินเอกสาร หรือการรับรองเอกสาร และอื่นๆ ก็จะมีความยุ่งยากอย่างมาก รวมถึงการลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลเองในแต่ละจุดก็เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มต่อการใช้งานจริงอีกต่อไป

นอกจากนั้นในส่วนของบริการภาคประชาชนในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องจากลักษณะงานตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้งานด้านมัลติมีเดียอย่างมาก เพราะจำเป็นต้องสื่อสารให้เข้าใจ และเข้าถึง ดังนั้นขนาดของไฟล์ และรูปแบบการสื่อสารนั้นนอกจากจะต้องใช้พื้นที่มากกว่าแล้วยังต้องการความเร็วในการเข้าถึงมากกว่าอีกด้วย จึงจำเป็นต้องทำระบบให้มีความเสถียรและรองรับปริมาณความต้องการการใช้งานทั้งภายในและภายนอกอย่างครบถ้วนในเบื้องต้นสรอ.จะเข้ามาให้บริการ GIN กับกระทรวงวัฒนธรรม ในสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดจำนวน 43 แห่งก่อน ซึ่งสำนักงานเหล่านี้ยังไม่เคยติดตั้งระบบเครือข่ายมาก่อน ดังนั้นนอกจากจะทำให้สำนักงานเป้าหมายสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นพื้นฐานแล้ว ยังทำให้เกิดระบบอินทราเน็ตระหว่างสำนักงานด้วยกันได้ เกิดระบบเครือข่ายข้อมูลเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานเป็นเส้นทางในการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และสามารถใช้งานให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง และจุดที่สำคัญคือสามารถเข้าไปใช้บริการพื้นฐานต่างๆ ที่สรอ.มี เช่นระบบ Mail go Thai หรือระบบการเชื่อมฐานข้อมูลกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น เลขทะเบียน 13 หลักในบัตรประชาชนของกรมการปกครอง เป็นต้น

ในระยะเวลาอันใกล้ต่อจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมก็จะปรับเปลี่ยนการใช้งานระบบเครือข่ายในสำนักงานอีก 33 แห่ง ให้เข้ามาใช้ระบบ GIN ต่อไป และกระทรวงวัฒนธรรมก็จะเตรียมแผนการให้สรอ.เข้ามาพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบบริการภาครัฐที่ส่วนราชการสามารถใช้ร่วมกันอย่างเต็มระบบต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจ่ากไปของกระทรวงวัฒนธรรมคือ การบริหารงานภายในจะมีความสะดวกมากขึ้น เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น และยังเป็นการประหยัดงบประมาณจำนวนมาก เป็นการลดความซ้ำซ้อนของการทำงานลง

นอกจากนั้นทางกระทรวงวัฒนธรรมจะก้าวเข้าไปอีกขั้นคือการเข้าไปใช้บริการคลาวด์ภาครัฐ หรือ Government Cloud Computing
ของสรอ.ซึ่งจะทำให้กระทรวงวัฒนธรรมได้นำระบบศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นโครงการเก็บรวบรวมวัฒนธรรมของแต่ละจังหวัด และมีการแบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างดีมาให้บริการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ให้กับประชาชนได้อย่างสะดวกมากขึ้น และยังได้นำโครงการไอเลิฟไทยคัลเจอร์ มาเข้าสู่บริการนี้พร้อมกันด้วย ซึ่งจะทำให้ระบบของกระทรวงวัฒนธรรมมีความเสถียรและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มากขึ้น บริการแก่ประชาชนดีขึ้นนั่นเอง

ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ. เปิดเผยว่า จากแผนงานของสรอ.ที่เน้นการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายให้กับภาครัฐ โดยหวังให้เกิดการใช้งานร่วมกับเครือข่ายข้อมูลที่หน่วยงานรัฐนั้นใช้อยู่ก่อนแล้ว และเข้าไปเป็นเครือข่ายหลักในจุดที่เครือข่ายยังเข้าไม่ถึง เพื่อให้ภาครัฐได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่าย GIN ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมเองก็เข้าใจแนวทางนี้และเห็นว่าเครือข่าย GIN จะเข้ามาช่วยเรื่องการประหยัดงบประมาณสำหรับการติดตั้งเครือข่ายใหม่ และลดการซ้ำซ้อนด้านการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบของกระทรวงได้ ทำให้เกิดการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในโครงการบูรณาการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐขึ้นมาในครั้งนี้สิ่งที่สรอ.จะเข้าไปจัดการในส่วนแรกคือ
การเข้าไปให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายแก่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกแห่ง และกรมกองทั้งหมดของกระทรวงวัฒนธรรมในอนาคต โดยเริ่มต้นที่ความเร็วอินเทอร์เน็ตต่อแห่งที่ 2 Mbs หากเมื่อดำเนินการไปแล้วมีปริมาณการใช้งานแบนด์วิธเพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญทางสรอ.ก็จะเพิ่มให้ตามจำนวนการใช้งานจริงโดยไม่คิมูลค่าแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการติดตั้งระบบ GIN ของสรอ.ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงระบบของทั้งกระทรวงทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เป็นตัวอย่างของการใช้โครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงในที่เดียวกัน นอกจากจะประหยัดงบประมาณแล้ว ยังทำให้กระทรวงวัฒนธรรมลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเครือข่าย และไม่ต้องมายุ่งยากเรื่องกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างอีกด้วย ทำให้สามารถนำเวลามาพัฒนาบริการหรือแอพพลิเคชันใหม่ๆ ได้ทันที

สิ่งที่สองที่สรอ.จะเข้าไปดำเนินการคือ การทำหน้าที่ที่ปรึกษาระบบงานด้านไอทีให้กับกระทรวงวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการวางโครงสร้างสถาปัตยกรรม การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ต่อยอดจากระบบ GIN ในปัจจุบัน
เช่นระบบคลาวด์ภาครัฐ เป็นต้นนอกจากนั้นสรอ.จะเร่งประสานให้หน่วยงานในท้องถิ่น ซึ่งในที่นี้คือสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด สามารถเชื่อมโยงกับระบบเครือข่ายในจังหวัดด้วยกันเอง ถือเป็นการทำงานข้ามหน่วยงาน แต่ยังอยู่บน GIN ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ทำให้การพัฒนาไปสู่ระบบ Smart Province ในอนาคตอันใกล้ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังมีการทดลองดำเนินการที่จังหวัดนครนายก
ก็จะทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเชือมโยงข้อมูลเข้ากับงานของกระทรวงวัฒนธรรมในแต่ละจังหวัดได้โดยตรงในด้านการใช้งานที่สำคัญที่สรอ.จะต้องไปดำเนินการเร่งด่วนให้กับกระทรวงวัฒนธรรมในช่วงนี้คือ การวางระบบ GIN ให้ใช้งานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยต้องใช้งานโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต หรือ IP Phone ไปยังสำนักงานส่วนต่างๆ ได้
เพื่อทำให้พื้นที่เหล่านี้มีช่องทางการติดต่อสื่อสารที่หลากหลาย และเกิดการเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่น้อยที่สุด มีผลต่อการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากสิ่งหนึ่งที่ทางสรอ.เห็นเป็นแนวโน้มสำคัญต่อจากนี้ไปก็คือ งานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมจะเข้ามาเกี่ยวเนื่องกับระบบไอทีมากขึ้น เพราะขณะนี้มีงานวัฒนธรรมที่หลากหลายถูกแปลงเข้าไปสู่รูปแบบดิจิตอล

ทั้งในเรื่องของวิดีโอ แอนิเมชัน หรือการเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ งานเหล่านี้ต้องการความพึงพอใจทางด้านการแสดงผลค่อนข้างสูง และจะถูกปฏิเสธหากมีโครงสร้างพื้นฐานในการแสดงผลที่ต่ำ การใช้งานช้า ดังนั้นการวางโครงสร้างพื้นฐานในส่วนนี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก และนับวันจะขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกทีแบบไม่มีขีดจำกัด สิ่งที่สรอ.เตรียมให้กับกระทรวงวัฒนธรรมในวันนี้และในอนาคตจึงเท่ากับเป็นการสนับสนุนการทำงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับวัฒนธรรมของชาติที่จะได้ถ่ายทอดในรูปแบบดิจิตอล และสามารถขยายวงออกไปได้ในระดับโลกต่อไปนอกจากระบบ GIN และบริการพื้นฐานอื่นๆ ทั่วไปแล้ว ทางสรอ.ยังเปิดช่องให้กระทรวงวัฒนธรรมก้าวเข้าสู่ระบบ Government Cloud Computing ได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย โดยทางทีมที่ปรึกษาของสรอ.จะเข้าไปร่วมคัดกรอง
และช่วยให้เกิดการคิดค้นพัฒนาเว็บเบสแอพพลิเคชันเพื่อมาใช้งานในระบบคลาวด์มากขึ้น ทำให้การให้บริการของกระทรวงวัฒนธรรมต่อประชาชนทั่วไปมีความสะดวกมากกว่าเดิม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลภายในปีหน้า หรือปีงบประมาณ 2556

View :1491

การประปาส่วนภูมิภาคนำซอฟต์แวร์ “โปรแกรมบริการผู้ใช้น้ำ” ขึ้นระบบบริการคลาวด์ภาครัฐ

August 11th, 2012 No comments


ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. เปิดเผยว่า ทางสรอ.ได้ร่วมทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ หรือ กปภ.โดยจะนำซอฟต์แวร์ “” ของ กปภ. มาไว้ในระบบบริการคลาวด์ภาครัฐ หรือ ซึ่งสรอ.ได้เปิดใช้บริการจริงมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ใช้น้ำทั่วไปสามารถมาใช้บริการผ่านโปรแกรมแบบเว็บเบส ด้วยการนำโปรแกรมนี้ ซึ่งจะทำให้กปภ.ลดค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ของการให้บริการลง และสามารถเปิดให้ผู้ใช้น้ำดาวน์โหลดได้ทันทีที่การพัฒนาโปรแกรมสำเร็จแล้วโปรแกรมบริการผู้ใช้น้ำสำหรับประชาชนครั้งนี้ถือเป็นโครงการนำร่องของ กปภ.ที่จะใช้คลาวด์ภาครัฐของสรอ. หลังจากนั้นจะมีการประเมินผล และนำไปสู่การนำแอพพลิเคชันใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับการให้บริการน้ำมาอยู่บนระบบคลาวด์ต่อไป รวมถึงสรอ.จะเข้าไปพิจารณาร่วมกับกปภ.ในการนำบริการต่างๆ ที่สรอ.มี เช่น
ระบบ Mail go Thai ระบบ GIN และอื่นๆ มาให้บริการต่อไปอีกด้วย

“การนำโปรแกรมบริการผู้ใช้น้ำมาไว้บนคลาวด์ของสรอ. จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้น้ำในระยะยาว เพราะจะทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเช็คยอดการใช้น้ำแบบทันที หรือ real time และสามารถใช้บริการต่างๆ ของกปภ.ได้อย่างต่อเนื่อง โดยสรอ.จะทำให้ผู้ใช้เกิดความเชื่อมั่นว่า ระบบคลาวด์ของสรอ.มีทั้งความเร็ว และความปลอดภัย” ดร.ศักดิ์กล่าว

นอกจากการนำแอพพลิเคชันทางด้านโทรศัพท์มือถือมาอยู่ในระบบคลาวด์ของสรอ.แล้ว ทาง กปภ.จะเข้ามาใช้บริการข้อมูลบัตรประชชาชน หรือตัวเลข 13 หลักของกรมการปกครอง ซึ่งปัจจุบันอยู่บนระบบคลาวด์ของสรอ.อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ข้อมูลการใช้น้ำและอื่นๆ สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลของผู้ใช้ได้โดยตรง และสามารถโอนถ่ายข้อมูลระหว่างกันได้ ทำให้เกิดประโยชน์ด้านการใช้ข้อมูลอย่างมากตามมา

View :1438

ชูเทคโนโลยีใหม่ดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ความสำเร็จ รับกระแส AEC

August 9th, 2012 No comments

การเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน () ในปี 2558 จะส่งผลให้อุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งองค์กรภาครัฐและเอกชนจำนวนมากต่างทุ่มงบประมาณเพื่อลงทุนในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิตอล เพื่อสร้างยอดขายออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ และเครือข่ายการตลาดให้ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคและทั่วโลก

การจัดประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ ในวันที่ 30 สิงหาคม ศกนี้ จะเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยีเป็นหลัก

“ไม่มีโอกาสไหนที่จะน่าสนใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิตอลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โอกาสที่ว่าก็คือการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 นั่นเอง” นายอภิชัย สกุลสุริยะเดช ประธานสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว (TTA) ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงาน กล่าว

การจัดประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นจากความสำเร็จของการจัดงาน ASEAN ETRAVEL MART ในปีที่แล้ว ซึ่งมีผู้ซื้อผู้ขายระดับแนวหน้าจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนับร้อยเข้าร่วมงาน

“งานนี้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นโอกาสในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิตอลและฝึกฝนทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับพนักงานของตน

นายอภิชัย กล่าวอีกว่า “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมี 10 ประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกเป็นสมาชิกหลัก และการประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นเวทีสำคัญที่จะผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไปสู่ยุคดิจิตอลอย่างแท้จริง เพราะจะเป็นที่รวมพลของบรรดาผู้นำแห่งโลกอนาคตที่จะมาวาดอนาคตให้กับอุตสหากรรมการท่องเที่ยวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป”

การจัดประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ได้รับการสนับสนุนจากองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ หรือ UNWTO (The United Nations World Tourism Organisation) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (The Pacific Asia Travel Association – PATA) โดยจะเป็นการจัดประชุมที่ใช้เวลา 1 วัน เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับฟังแนวคิดและอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวชั้นนำ ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวออนไลน์อันทันสมัย

“อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมแรกๆ ที่มักนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ และการจัดประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ก็ถือได้ว่าเป็นเวทีสำคัญที่ผู้บริหารหัวก้าวหน้าจากสายการบินต่างๆ รวมทั้งโรงแรม เว็บไซต์สำหรับการท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติ ผู้ให้บริการจองตั๋วและชำระค่าบริการอิเล็กทรอนิก และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะได้มาพบปะกัน เพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ และร่วมกันกำหนดอนาคตของการท่องเที่ยวออนไลน์” นายอภิชัย กล่าวเพิ่มเติม

เขากล่าวอีกว่า สื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียที่รวมทั้ง Facebook และ Twitter ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งการท่องเที่ยวออนไลน์เข้าไปแล้ว เพราะสื่อออนไลน์และเว็บไซต์ที่คล้ายๆ กันเหล่านี้สามารถเข้าถึงลูกค้าและนักท่องเที่ยวนับล้านๆ คนได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที

“หนึ่งในความท้าทายที่น่ากลัวของการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึง คือ ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ นั่นหมายถึงการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นสำหรับพนักงานในทุกระดับ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับประชาคมดังกล่าว และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่จะเปิดกว้างขึ้นอย่างไร้พรมแดน นอกจากนี้ บริษัท ห้างร้าน และสมาคมการท่องเที่ยวและหน่วยงานต่างๆ จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคและนอกเหนือไปกว่านั้นอีกด้วย” นายอภิชัย กล่าว

ผู้เข้าร่วมงานประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum จะได้รับกำหนดการของการประชุมแบบอินเตอร์แอคทีฟฉบับเต็ม และการมาพบปะชุมนุมกันของผู้บริหารที่มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกันจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะยิ่งช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาวอีกด้วย

พบกับรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ http://www.digitaltravelforum.com

View :1492

สวทช.และซีเกทจัดค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านกิจกรรมสนุกสนานสำหรับเยาวชน เยาวชนจากทั่วประเทศจะเข้าร่วมค่าย เป็นระยะเวลา 3 วัน ในเดือนกันยายน

August 9th, 2012 No comments

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับ บริษัทซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัดแถลงข่าวการจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2555 เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนมีความคิดสร้างสรรค์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมถึงการให้องค์ความรู้ในเรื่องของการเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ
ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวจะจัดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2555 ณบ้านวิทยาศาสตร์ สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ กล่าวว่า“พันธกิจหลักข้อหนึ่งของ คือการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้การสร้างเครือข่ายพันธมิตรมาช่วยในการดำเนินการโครงการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนในรูปแบบที่หลากหลาย สวทช.จึงเสนอความคิดเกี่ยวกับการจัดค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับทางบริษัทซีเกทฯเนื่องจากมองว่า บริษัทซีเกทฯ
เป็นบริษัทที่มีความทันสมัยและมีองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสำคัญโดยในกิจกรรมค่ายฯ ในครั้งนี้ สวทช.และบริษัทซีเกทฯตระหนักดีว่าการพัฒนาทักษะของเยาวชนอายุ 10-13 ปีเพื่อให้มีความเข้าใจในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีในอนาคตก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนากำลังคนในศาสตร์ที่สำคัญเหล่านี้

ทั้งนี้ ภายในกิจกรรมค่ายดังกล่าวจะประกอบด้วยกิจกรรมทดลองด้านวิทยาศาสตร์การประกอบหุ่นยนต์ เพื่อนรอบตัวแนะนำเทคนิคเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อย่างไรให้ฉลาดกิจกรรมสร้างที่ชาร์ตแบตจากโซลาร์เซลล์ และเวิร์คช็อปต่าง ๆเพื่อช่วยให้เยาวชนเหล่านี้สามารถรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆโดยเยาวชนจะได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่าเหล่านี้จากนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จเจ้าหน้าที่ของสวทช.และพนักงานซีเกทตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกิจกรรมอื่นๆที่มุ่งเน้นให้ความรู้และความเข้าใจแก่เยาวชน สร้างเจตนคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์จนนำไปสู่การเริ่มต้นศึกษาต่อไปในอนาคตนอกจากการเรียนรู้ทางเทคโนโลยียังมีการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันเนื่องจากสภาพการณ์ในปัจจุบัน ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ
เกิดขึ้นบ่อยครั้งหลายพื้นที่ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยและไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวมนุษย์อีกต่อไป ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาลและเพื่อเตรียมพร้อมรับมืออย่างถูกต้อง การเรียนรู้ถึงสาเหตุก็จะช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากมหันตภัยหรือลดความรุนแรงและความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ายเยาวชนนี้จะสร้างความตระหนักและตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้แก่เยาวชนทั้งนี้ทักษะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อเขาและครอบครัวเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น

นางสาวศิริรัตน์ เอี่ยวผดุง ผู้จัดการโรงงานเทพารักษ์ บริษัทซีเกทเทคโนโลยี(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จัดขึ้นในวันนี้ เป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างซีเกทกับสวทช.ในการจัดค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งซีเกทเชื่อมั่นว่ากิจกรรมค่ายนี้จะเป็นอีกหนึ่งรูปแบบใหม่ของการเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนไทยการฝึกอบรมให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นจะไม่จำกัดเฉพาะทางด้านทฤษฎีแต่จะฝึกให้เยาวชนทดลองและเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงอันมีค่าแก่การต่อยอดความรู้ของเยาวชนไทยและจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้เข้าค่ายไปในแนวทางที่ดีเรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายนี้” ซีเกทมีนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาความรู้และทักษะของเยาวชนและนิสิตนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี คณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ผ่านกิจกรรมเรียนรู้และทดลองและได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมต่างๆดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพผู้ซึ่งจะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้ปกครองและนักเรียนอายุ 10-13 ปี ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม“” สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2529-7100 ต่อ 77215

View :1511

เอไอเอส จับมือ เรือด่วนเจ้าพระยา ออกแคมเปญใหม่ “อุ่นใจชวนชิม…ริมน้ำ” สิทธิพิเศษที่มากยิ่งกว่า ส่งเสริมเที่ยวไทยครบสูตร

August 9th, 2012 No comments

เดินหน้ามอบอีกขั้นกับที่สุดของประสบการณ์เชิงบวกที่มากยิ่งกว่าเพื่อคุณเสมอ ผ่านแคมเปญ “อุ่นใจชวนชิม…ริมน้ำ” จับมือ “” พาร์ทเนอร์คู่ใจ ต่อยอดให้ลูกค้าเอไอเอสได้ดื่มด่ำบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมอิ่มอร่อยไปกับหลากเมนูจากร้านอาหารชื่อดังกว่า 50 ร้าน ตลอดแนวเส้นทางเรือด่วน พร้อมรับส่วนลดความอร่อยสูงสุดกว่า 20% หลังจากประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับจากลูกค้ากว่า 400,000 ราย ที่ร่วมรับส่วนลดการโดยสารทางน้ำในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา

คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการส่งมอบประสบการณ์เชิงบวกที่มากยิ่งกว่า คือ ความพิเศษในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิตสำหรับลูกค้า ซึ่งเอไอเอส เป็นผู้นำในการเปิดมิติของสิทธิพิเศษในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2555 ได้ขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์หลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า 7,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ทั้ง Lifestyle และ Daily Life ตั้งเป้ามีลูกค้าเข้าร่วมรับสิทธิพิเศษมากกว่า 7 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2554 และสามารถลดยอดการย้ายค่ายได้ถึง 70%”

ทั้งนี้ในเรื่องของการเดินทาง ซึ่งถือเป็นอีก 1 สิทธิพิเศษที่อำนวยความสะดวกและสร้างความคุ้มค่าในการใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้าเป็นอย่างยิ่งนั้น เอไอเอส ได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ในทุกรูปแบบ ประกอบด้วย รถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที, รถทัวร์ , เครื่องบิน และเรือด่วน ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมียอดการเข้าร่วมรับสิทธิ์ในภาพรวมถึง 700,000 ครั้งต่อปี

คุณวิลาสินีย้ำว่า “สำหรับ เรือด่วน ซึ่งเป็นรูปแบบการเดินทางที่มีประชาชน ทั้งนิสิต นักศึกษา นิยมใช้บริการเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสามารถสัญจรได้อย่างง่ายดาย สะดวก รวดเร็วและประหยัดเวลา ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้ร่วมมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าเอไอเอส มาเป็นเวลากว่า 3 ปี โดยมอบส่วนลด 3 บาท สำหรับค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยาเรือด่วนพิเศษธงส้ม และเรือด่วนพิเศษธงเหลือง โดยมีผู้โดยสารจำนวนกว่า 40,000 คนต่อวันโดยคิดเป็น 70% คือ กลุ่มคนทำงานนักเรียน และมีลูกค้าเอไอเอส ให้ความสนใจกดเข้าร่วมโครงการถึงกว่า 400,000 ราย

ดังนั้นเพื่อเป็นการต่อยอดความพิเศษและส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวริมน้ำ จึงเป็นที่มาของการผนึกกำลังร่วมกันอีกครั้งระหว่าง เอไอเอส และ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา ผู้ให้บริการเรือด่วนโดยสารรายเดียวที่มีการเดินเรือตลอดเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยามอบ ประสบการณ์ใหม่อีกขั้นโดยรวมสิทธิพิเศษจากหมวดอาหารการกิน และการเดินทาง มาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ในแคมเปญ “อุ่นใจชวนชิม…ริมน้ำ” ที่เอาใจผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมรับส่วนลดความอร่อยสูงสุดกว่า 20% กับร้านอาหารชื่อดังกว่า 50 ร้าน ตลอดสองฝากฝั่งตามแนวเส้นทางเรือด่วน ตั้งแต่ท่าปากเกร็ด – ท่าวัดราชสิงขร อาทิ มังคุค คาเฟ่ by Club Art ,ริมน้ำเทอเรส , เรืออาหารเย็นพระยา, เดอะ เดค บาย เดอะ ริเวอร์ รวมทั้งอีกหลากหลายร้านอร่อยภายใน Asiatique ฯลฯ ซึ่งลูกค้าเอไอเอสสามารถสัมผัสสีสันและดื่มด่ำความอร่อย พร้อมรับส่วนลดกันได้ ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2556”

“เชื่อว่าแคมเปญ “อุ่นใจชวนชิม…ริมน้ำ” นอกจากจะตอบโจทย์ Lifestyle ลูกค้าเอไอเอสผู้ใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาแล้ว ยังถือว่าได้ร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเอไอเอสเองจะยังคงเดินหน้ามอบความพิเศษที่มากยิ่งกว่าเพื่อชีวิตในแบบคุณอย่างต่อเนื่องตลอดไป” คุณวิลาสินีกล่าวสรุป

View :1337

ทรู ชวนคนไทยทำดีในวันแม่ บอกเล่าเรื่องราวความรักความผูกพันแม่-ลูก เปิดตัวโครงการ “เรื่องเล่า…เรากับแม่ (The Story of Mom and Me)”

August 9th, 2012 No comments

พร้อมเชิญร่วมสมทบทุน สร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี ศูนย์การ แพทย์เฉพาะทางโรคเด็ก เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “แม่ของแผ่นดิน”

กลุ่มทรู โดย นางรุ่งฟ้า เกียรติพจน์ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการ ด้านบริหารแบรนด์และการสื่อสารเพื่อสร้างแบรนด์ และ แพทย์หญิงศิราภรณ์ สวัสดิวร (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) พร้อมด้วยเหล่าศิลปินชื่อดัง แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ ศิลปินทรูเอเอฟ นำโดย แม็ค เอเอฟ6,โปเต้ เอเอฟ8 และโบว์ เอเอฟ5 แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “เรื่องเล่า…เรากับแม่(The Story of Mom & Me)” ด้วยแนวคิด “แม่กับฉัน เรามีกันและกันตลอดไป(Together Mom & Me Forever)” ชวนคนไทยทั่วประเทศ จัดทำสมุดภาพดิจิตอลแสดงความรักความผูกพัน และถ่ายทอดเรื่องราวประทับใจระหว่างแม่-ลูก ผ่านwww.iwilldoforqueen.com ซึ่งสามารถส่งต่อผลงานไปที่เฟซบุ๊คได้ พร้อมร่วมกับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) รณรงค์จัดหาทุนสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางโรคเด็ก เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเด็ก ถวายเป็นพระราชกุศลแก่แม่หลวงแห่งแผ่นดิน โดยสามารถบริจาคผ่าน ระบบทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช ส่งไปที่หมายเลข 91266 หรือโอนเงินผ่านบัญชี ดูรายละเอียดช่องทางการบริจาคได้ที่ www.childrenhospital.go.th หรือ โทร.02-640-9363

นางรุ่งฟ้า เกียรติพจน์ ผู้อำนวยการ ด้านบริหารแบรนด์และการสื่อสารเพื่อสร้างแบรนด์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ผู้เป็นแม่หลวงแห่งแผ่นดิน ที่ทรงมอบความรักความห่วงใยแก่พสกนิกรชาวไทย ซึ่งสื่อถึงสายสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก กลุ่มทรู จึงได้จัดโครงการ เรื่องเล่า…เรากับแม่ () ด้วยแนวคิด “แม่กับฉัน เรามีกันและกันตลอดไป (Together Mom & Me Forever)” เชิญชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมสร้างสรรค์สมุดภาพดิจิตอล โดยสามารถดาวน์โหลดแบบสมุดภาพที่ต้องการผ่าน www.iwilldoforqueen.com พร้อมจัดทำผลงานที่แสดงความรักความผูกพันระหว่างแม่-ลูก ซึ่งสามารถแชร์ไปที่เฟซบุ๊ค โดยผลงานที่มีผู้เข้าชมสูงสุดในแต่ละสัปดาห์ จะได้รับสมุดภาพฉบับพิมพ์ของตนเองเป็นที่ระลึก และยังชวนส่งต่อเรื่องราวดีๆ ผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอื่นๆ ทั้ง ทวิตเตอร์ บล็อก และอินสตราแกรม ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสปีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 กลุ่มทรู ได้ร่วมกับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) รณรงค์จัดหาทุนสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางโรคเด็ก เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเด็ก โดยมีศิลปินร่วมโครงการคับคั่ง อาทิ แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์, เกรซ กาญจน์เกล้า ด้วยเศียร
เกล้า และเหล่าศิลปินทรูเอเอฟ นำโดย โบว์ นัททิว เอเอฟ5, แม็ค ซานิ เอเอฟ6,มีน เอเอฟ7 และ โปเต้ คชา เอเอฟ8 ”

แพทย์หญิงศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) กล่าวว่า “รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ภาคเอกชนอย่างกลุ่มทรู ให้การสนับสนุนการจัดหาทุนเข้าโครงการสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางโรคเด็ก ซึ่งปัจจุบัน สถาบันฯ ยังประสบปัญหาด้านความจำกัดของพื้นที่ในการให้บริการการรักษาแก่ผู้ป่วยเด็กซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากต่างจังหวัด อีกทั้งเป็นโรคซับซ้อนที่รับส่งต่อมาจากทั่วประเทศ ซึ่งอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางโรคเด็ก แห่งนี้ จะบทบาทสำคัญในการรองรับการให้บริการการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ผู้สนใจ สามารถร่วมบริจาค สมทบทุนผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
• SMS ระบบทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช โดยพิมพ์ 10 เพื่อบริจาค 10 บาท (ไม่รวม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือ พิมพ์ 100 เพื่อบริจาค 100 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ส่งไปที่หมายเลข 91266
• โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก”
- ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน เลขที่บัญชี 111-410586-1
- ธนาคารกรุงเทพ สาขาคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เลขที่บัญชี
046-7-00688-8
- ธนาคารออมสิน สาขาอนุสาวรีย์ชัย เลขที่บัญชี 02-8888-99999-3
• โอนเงินผ่านเอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน ชื่อบัญชีออม
ทรัพย์ “มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก” เลขที่บัญชี 111-410586-1
• บริจาคผ่าน เคาน์เตอร์ เซอร์วิส ทั่วประเทศ โดยแจ้งความจำนงเพื่อ “
มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก”
• โอนเงินผ่านเว็บไซต์ www.childrenhospital.go.th

ทั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.iwilldoforqueen.com, www.childrenhospital.go.th หรือโทร. 02-640-9363 (เวลาราชการ) และ 088-874-4671

View :1416