Archive

Author Archive

สถาบันวิศวกรรมซอฟต์แวร์ (SEI) ชูมาตรฐานอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยอันดับ 1 ของอาเซียนและ อันดับ 15 ของโลก ที่ผ่านมาตรฐาน CMMI®

June 21st, 2012 No comments


20 มิถุนายน 2555 ณ อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค : ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานในการแถลงข่าวความสำเร็จของบริษัทซอฟต์แวร์ไทย ที่สถาบันวิศวกรรม ซอฟต์แวร์ (Software Engineering Institute :SEI) แห่งมหาวิทยาลัย คาร์เนกี ประกาศให้บริษัท ซอฟต์แวร์ไทยผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ® (Capability Maturity Model Integration) เป็นลำดับที่ 15 ของ โลก จากบริษัทที่ผ่านการประเมินทั้งหมด 76 ประเทศ และเป็นลำดับที่ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ไทยสามารถแซงหน้าประเทศมาเลเซียได้สำเร็จ ทำให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ไทยได้รับความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่น และมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น สร้างความภาคภูมิใจในการที่จะทำให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยเป็นที่ยอมรับและ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ตลอดจนเป็นตัวเชื่อมคู่ค้าและพันธมิตรใหม่ๆให้กับผู้ ประกอบการธุรกิจซอฟต์แวร์ไทย และเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ทั้งนี้ ปัจจุบัน อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของ ประเทศ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร แฟชั่น ท่องเที่ยว ยานยนต์ และอัญมณี เนื่องจากความต้องการซอฟต์แวร์มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยเสริมจากการเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดย ดร.ทวีศักดิ์ เปิดเผยว่า
“ความสำเร็จของบริษัทซอฟต์แวร์ไทยในวันนี้ เป็นผลมาจากการที่ซอฟแวร์พาร์คมีโครงการ สนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจซอฟต์แวร์ในการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือ SPI@ease โดยโครงการดังกล่าว มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ยกระดับกระบวนการผลิตซอฟต์แวร์ให้มีคุณภาพ ด้วยการทำงานที่มีกระบวนการตามมาตรฐาน CMMI® อันเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอม รับในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพ ลดความเสี่ยงด้านการบริหารบุคลากรโดยทำงานร่วมกันเป็นทีมสามารถ เปลี่ยนถ่ายงานภายในทีมงานได้ง่าย ทำให้สามารถส่งมอบงานที่มีคุณภาพได้ครบถ้วนตรงตามกำหนดเวลา ภายใต้งบประมาณที่กำหนด สร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยในการแข่งขันในระดับ เวทีโลก
ทั้งนี้ โครงการ SPI@ease เป็น การผนึกกำลังการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ซึ่งภาครัฐมี 2 หน่วย คือ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภายใต้การดำเนินโครงการของ สวทช. โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand) ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (ITAP) และ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) ที่เล็งเห็น และตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว ร่วมกันก่อตั้งขึ้นในปี 2550 และนับจากนั้นมาโครงการได้มีส่วนผลักดันให้ ประเทศไทยมีบริษัทซอฟต์แวร์กว่า 50 บริษัทที่สามารถพัฒนากระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ตามมาตรฐาน CMMI® และผ่านการประเมินในระดับต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
วันนี้ประเทศไทยมีบริษัทซอฟต์แวร์ที่ผ่านมาตรฐาน CMMI® เป็นลำดับที่ 15 ของโลก และเป็นลำดับที่ 1 ของเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ อันเป็นการ สร้างความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่น และภาพลักษณ์ ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2558 ที่จะมีการเปิดตลาดการค้าเสรี ในภูมิภาคอาเซียน หรือ AEC ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ จะเป็นการตอกย้ำความมั่นใจว่า ไทยพร้อมเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด สากลในระดับเท่าเทียมกับนานาประเทศได้ ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของ สวทช. ที่มีพันธกิจหลักในการสร้าง เสริมความเข้มแข็งและสร้างโอกาสให้ภาคธุรกิจไทยด้วยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ทั้งในแง่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเพื่อส่งมอบภาคเอกชนให้ผลิตเป็น ผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ การสนับสนุนภาคเอกชน ในด้านการบริการวิจัย การ รับจ้างทดสอบ หรือแม้กระทั่งการร่วมลงทุนตั้งบริษัทกับเอกชน เพื่อนำนวัตกรรมใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว โดย อาศัยองค์ความรู้และงานวิจัยต่างๆที่ สวทช.ได้ริเริ่มดำเนินการไว้ และการทำงานที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานหลักๆ ในภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งซอฟต์แวร์พาร์คเป็น โครงการแรกๆของ สวทช.ที่ริเริ่มและเป็นต้นแบบของการสร้าง Software Cluster ในประเทศ รวมไปถึงการพัฒนาและบ่มเพาะบุคลากรไอทีให้แก่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดการนำไอทีไปใช้ในอุตสาหกรรมและสร้างโอกาส ทางการตลาด“ ดร.ทวีศักดิ์ กล่าว

สำหรับมาตรฐาน CMMI (Capability Maturity Model Integration) เป็น กระบวนการผลิตซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดย Software Engineering Institutle (SEI) แห่งมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกประเทศต้องส่งเสริมให้บริษัทผู้ ผลิตแลพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนเองหันมาให้ความสนใจ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั้งใน ระดับสากล นอกจากนั้นยังเป็นการวางรากฐานในการยกระดับขีดความสามารถของ บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ให้พร้อมแข่งขันในเวทีการค้าเสรี และในระดับสากล โดย CMMI กลายเป็นวัฒนธรรมของ องค์กร เพื่อให้ทุกคนมีขั้นตอนการปฏิบัติงานและการทำงานต่างๆ ชัดเจน ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร ทำให้ปัญหาต่างๆ ลดน้อยลง และขอบเขตการทำงานของ CMMI ที่เข้ามาควบคุมยังทำให้คุณภาพซอฟต์แวร์ดีขึ้น อีกทั้งยังลดจำนวนของเสียจากกระบวนการผลิต หากกระบวนการทำงานไม่ชัดเจนอาจเกิดข้อผิดพลาดและนำมาซึ่งต้นทุนการผลิตที่ สูงขึ้นได้ ดังนั้นหากสามารถควบคุมคุณภาพและส่งงานได้ตามกำหนดเวลา จะทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจใน”มาตรฐาน” ซึ่งถือว่าสำคัญไม่เฉพาะในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เท่านั้น หากมีอยู่ในทุกอุตสาหกรรม จะยิ่งเพิ่มมาตรฐานและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันทางการค้ามากยิ่ง ขึ้น อีกด้วย

View :1731
Categories: Software Tags:

ทรูมูฟ เอช ปล่อยโปรฯ เด็ด “Special For You” สำหรับ The New iPad

June 16th, 2012 No comments

ผ่อนสบายๆ 0% พร้อมใช้แพ็กเกจเล่นเน็ตไม่อั้น ฟรี 6 เดือน เสริมความแรง ผนึก Jaymart เพิ่มช่องทางจัดหน่าย

จากรูป: บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย กิตติณัฐ ทีคะวรรณ (ซ้าย) รองผู้อำนวยการสายงานการตลาดเชิงพาณิชย์และบริหารงานขาย ผสานความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) โดย นาย อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย จากทรูมูฟ เอช ผ่านร้านเจมาร์ท 30 สาขาทั่วประเทศ

ผู้นำในการจัดจำหน่าย Smart Devices สุดล้ำ จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ “SPECIAL FOR YOU” ให้ทุกคนเป็นเจ้าของ The New iPad ได้ง่ายขึ้น ผ่อน 0% นาน 10 เดือน จ่ายเริ่มต้นเพียงเดือนละ 2,050 บาท ผ่านบัตรเครดิต VISA/Master Card ที่ร่วมรายการ หรือ บัตรเรดดี้เครดิตเท่านั้น พร้อมรับสิทธิ์ใช้แพ็กเกจเล่นเน็ตไม่อั้น Net(i) 899 ฟรี 6 เดือน (มูลค่า 5,394 บาท) เมื่อสมัครแพ็กเกจ Net(i) 899 นาน 12 เดือนต่อเนื่องกัน จุใจกับประสบการณ์ออนไลน์แรงเต็มสปีดผ่าน 3G+/EDGE/GPRS และ Ultra Wi-Fi ได้ไม่จำกัด นอกจากนี้ยังได้ผนึกกำลังกับ Jaymart เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย The New iPad จากทรูมูฟ เอช ในโปรโมชั่น “Special For You” ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2555 ที่ร้านทรูช็อปทุกสาขา และร้านเจมาร์ทที่ร่วมรายการ 30 สาขา โดยผู้ที่สนใจยังสามารถเลือกซื้อทรูมูฟ เอช iPhone 4S, iPhone 3GS 8GB, AIR CARD พร้อมซิมทรูมูฟเอชแบบรายเดือนและแบบเติมเงิน รวมถึงโปรโมชั่นสุดพิเศษอื่นๆ ได้อีกด้วย

View :1731

กรมการปกครองจับมือสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ผลักระบบเลข 13 หลักของบัตรชาชน เข้าสู่ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง

June 16th, 2012 No comments


หวังให้ทุกหน่วยงานดึงฐานข้อมูลหลักผ่านอินเทอร์เน็ต เชื่อประหยัดงบประมาณ และสร้างมาตรฐานการใช้งานภาครัฐใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการประชาชนในระยะยาว

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า แนวทางการพัฒนาระบบบริการภาครัฐให้เป็นระบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการประชาชน โดยต้องอิงจากฐานข้อมูลจริงเพื่อยืนยันการเป็นตัวตนของแต่ละคน
ดังนั้นข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร จากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย จึงมีความสำคัญอย่างมาก และเป็นความท้าทายของกระทรวงมหาดไทย ที่จะต้องพัฒนาให้มีความก้าวหน้า ปลอดภัย และรองรับการใช้งานของทุกส่วนราชการต่อไป
การเชื่อมต่อกับระบบไอทีของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ.ในครั้งนี้จึงเป็นแนวทางที่สำคัญอย่างยิ่งของกระทรวงมหาดไทยที่ผ่านมากรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้วางรากฐานข้อมูลประชากรมาตั้งแต่ปี 2525 โดยการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ และสร้างดัชนีให้กับรายการบุคคลทุกคนที่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูล ด้วยเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 103 หน่วยงาน ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงในการเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรเช่น กรมการกงสุล ใช้ในการบริการประชาชนด้านการออกหนังสือเดินทาง
กรมการขนส่งทางบก ใช้ในการออกใบอนุญาตขับรถ โดยเฉพาะกรมสรรพากรได้มีการปรับเปลี่ยนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
มาเป็นเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักแทน

นอกจากนั้น กระทรวงมหาดไทย ยังให้ความสำคัญกับคนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ให้สามารถจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนได้ ไม่ต้องเดินทางกลับมาทำที่ประเทศไทย ซึ่งในปี 2555 จะดำเนินการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนนำร่อง ณ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย จำนวน 6 แห่ง รวมทั้งได้สนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการพัฒนาระบบการเลือกตั้งทั่วไป สำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่ต่างประเทศให้สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ด้วย ซึ่งนับได้ว่า ในยุคของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร จากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น การได้ร่วมมือกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการขยายการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรไปสู่การให้บริการต่อประชาชนอย่างแท้จริง

นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า หนึ่งในพันธกิจเร่งด่วนของกระทรวงไอซีทีในขณะนี้คือ การสร้างระบบการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบบริการภาครัฐโดยใช้ประโยชน์จากบัตรประจำตัวประชาชน หรือ Citizen Smart Info ขึ้นมา โดยเป้าหมายสูงสุดของระบบนี้คือ การที่ประชาชนทั่วไปสามารถนำข้อมูลของตนเองที่เกี่ยวกับธุรกรรมภาครัฐมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสะดวกสบายและทั่วถึงนโยบาย Citizen Smart Info นั้นต้องการทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบดิจิทัลแบบ Single Sign On หรือการใช้รหัสผ่านครั้งเดียว ก็สามารถดึงข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเองขึ้นมาได้
ทำให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลของตน เพื่อทำให้เกิดการวางแผนและบริหารกิจกรรมต่างๆ ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งต้องนำข้อมูลบัตรประชาชนจากกรมการปกครองมาเป็นตัวอ้างอิงหลัก ไปสู่บริการของหน่วยงานรัฐต่างๆ ได้ง่ายขึ้น จากเดิมหากหน่วยงานใดต้องการใช้ข้อมูลของกรมการปกครองก็จำเป็นต้องเดินสายต่อเชื่อมข้อมูลเข้าหากรมการปกครองโดยตรง ซึ่งสร้างภาระงบประมาณทั้งกรมการปกครองและหน่วยงานต่างๆ และยังทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารจัดการสถาปัตยกรรมทางด้านไอซีทีเป็นอย่างมาก

การลงนามสัญญาบันทึกข้อตกลงหรือ การทำ MOU ระหว่างกรมการปกครองกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือสรอ.จึงเป็นการจัดระบบและสร้างความร่วมมือให้เกิดระบบ Citizen Smart Info ด้วยการที่สรอ.จะเข้าไปเพิ่มขนาดเครือข่ายจากกรมการปกครอง
ซึ่งเป็นปลายทางหลักเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ฟาร์มของสรอ. ผ่านระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ หรือ Government
Information Network หรือ GIN แล้วสร้างระบบเซิร์ฟเวอร์ของสรอ.ให้เป็นระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง

ดังนั้นสรอ.จะกลายเป็นแม่ข่ายหลักในการเชื่อมต่อกับหน่วยงานต่างๆ แทนกรมการปกครอง หน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการใช้ฐานข้อมูลบัตรประชาชนก็สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในรูปแบบของข้อมูลดิบ หรือผ่านระบบแอพพลิเคชันที่เขียนขึ้นมาครอบฐานข้อมูลนี้

ในทางปฏิบัติต่อจากการลงนามบันทึกข้อตกลงนี้เสร็จแล้ว ทุกหน่วยงานหากจะใช้ข้อมูลจากบัตรประชาชนเพียงแค่ทำความตกลงกับกรมการปกครอง หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนทางด้านไอทีเพิ่มเติมก็สามารถเชื่อมต่อข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยระบบ GIN ซึ่งไม่มีค่าบริการ ขณะเดียวกันเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพทุกหน่วยงานก็จะต้องเร่งพัฒนาแอพพลิเคชันของตนเองเป็นระบบ Web Services เพื่อเรียกการใช้งานผ่านคลาวด์คอมพิวติ้งของสรอ. ได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นจะเกิดมาตรฐานกลางของแอพพลิเคชันต่างๆขึ้นมา
ซึ่งทำให้การเชื่อมต่อฐานข้อมูลข้ามหน่วยงานด้วยกันทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันถ้าหากแอพพลิเคชันและข้อมูลเหล่านั้นติดตั้งอยู่บนระบบคลาวด์คอมพิวติ้งของสรอ.ด้วยแล้วก็จะทำให้เกิดความรวดเร็วในการเรียกใช้บริการง่ายขึ้นอีกด้วย จากแผนงานหลักของสรอ.ในการเร่งพัฒนาระบบ GIN และคลาวด์คอมพิวติ้งให้มีประสิทธิภาพแล้ว คาดว่าภายในปีนี้จะมีบริการหลักของหน่วยงานรัฐมาเข้าสู่ระบบเพื่อบริการประชาชนได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น โครงการพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลสิทธิประโยชน์คนพิการ สปสช.,โครงการพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม เป็นต้น ซึ่งเมื่อหน่วยงานเข้ามาใช้บริการแล้ว จะดึงดูดให้บริการส่วนอื่นๆ เข้ามาต่อเชื่อมเพื่อใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้ง่ายขึ้น และคาดว่าภายในปีหน้าจะมีหน่วยงานไม่ต่ำกว่า 30 หน่วยงานเข้ามาเชื่อมต่อฐานข้อมูลร่วมกันได้ และคาดว่าภายใน 3 ปีนี้จะมีหน่วยงานรัฐที่พร้อมจะเข้ามาร่วมในโครงการ Citizen Smart Info มากกว่า 50%

นอกจากการผลักดัน Citizen Smart Info กระทรวงไอซีทียังดำเนินการในส่วนอื่นๆ ไปพร้อมกันไม่ว่าจะเป็น smart province, โครงการ ICT Free Wifi และอื่นๆ เพื่อทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมในการใช้ Citizen Smart Info ได้อย่างสมบูรณ์แบบไปพร้อมๆ กัน

นายสุกิจ เจริญรัตนกุล อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า งานทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนเป็นด่านแรกของการให้บริการภาครัฐ เนื่องจากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิสูจน์ ยืนยัน และรับรองตัวบุคคล เพื่อการเข้าถึงบริการภาครัฐและเอกชนได้ ดังนั้น หากมีการเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ของส่วนราชการต่าง ๆ กับกรมการปกครองแล้ว จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างแท้จริง ปัจจุบันกรมการปกครอง ได้อนุญาตให้ส่วนราชการต่าง ๆ เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง จำนวน 103 หน่วยงาน ซึ่งในแต่ละปีจะมีปริมาณการใช้งานจากการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรของกรมการปกครอง มากกว่าปีละ 100 ล้านรายการ โดยหน่วยงานที่มีการใช้งานมากที่สุดคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ใช้สูงถึง 24,500,547 รายการต่อปี รองลงมาคือ กรมการขนส่งทางบก 14,296,246 รายการ ขณะที่หน่วยงานอันดับสามคือ กรมสรรพากร 13,131,703 รายการ ทุกหน่วยงานมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น

สำหรับภาคเอกชน ที่กฎหมายยังไม่อนุญาตให้สามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ได้นั้น กรมการปกครองได้ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ การอนุญาตให้ใช้โปรแกรมสำหรับอ่านข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนแบบ Smart Card แทน หรือเรียกว่า Smart Card Off-line
ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ลงนามข้อตกลงว่าด้วยการขอใช้โปรแกรมสำหรับอ่านข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว
จำนวน 86 หน่วยงาน เพื่อต้องการอ่านข้อมูลตามรายการที่ปรากฏตามหน้าบัตรประจำตัวประชาชนที่กรมการปกครองได้จัดเก็บไว้ใน IC Chip ซึ่งรวมถึงภาพใบหน้า

นอกจากนั้นยังได้จัดเก็บข้อมูลของส่วนราชการอื่น ๆ ที่จำเป็นไว้ในบัตรประจำตัวประชาชนด้วย เช่น ข้อมูลการแสดงสิทธิการรักษาพยาบาล ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงสิทธิการรักษาพยาบาลต่อสถานพยาบาลได้ ในส่วนของภาคเอกชน เช่น ธนาคาร รวมทั้งสถาบันการเงิน ได้เห็นประโยชน์ในการใช้งานโปรแกรมสำหรับอ่านข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อป้องกันการทุจริตในการแอบอ้าง สวมตัวเจ้าของรายการบุคคล ซึ่งการอ่านข้อมูลจาก IC Chip ในบัตรฯ สามารถพิสูจน์ ยืนยัน ตัวตนที่แท้จริงได้ และช่วยลดขั้นตอนการบันทึกข้อมูลใหม่ที่อาจเกิดความผิดพลาดได้ ลดการใช้กระดาษ ลดความเสี่ยงการใช้เอกสารปลอม ที่สำคัญประชาชนได้รับบริการที่ถูกต้อง สะดวก รวดเร็วมากขึ้น

ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ. เปิดเผยว่า แผนดำเนินการ 3 ขั้นตอนเพื่อทำให้โครงการ การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบบริการภาครัฐโดยใช้ประโยชน์จากบัตรประจำตัวประชาชน (Citizen Smart Info) ลุล่วงนั้นประกอบด้วย ขั้นที่ 1 คือการลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือ MOU กับกรมการปกครองในครั้งนี้ จุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกหน่วยงานภาครัฐสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของกรมการปกครองและนำไปใช้ได้ทันที โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ในขั้นตอนนี้ทางสรอ.ใช้วิธีบริหารจัดการระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network: GIN) ขึ้นมาใหม่
จากเดิมเป็นการเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานรัฐในปริมาณที่เท่ากัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

จากจุดเริ่มนี้สรอ.ได้เข้ามาตั้งค่าการใช้งาน GIN ให้กับหน่วยงานหลักที่มีความจำเป็นมากขึ้นตามความต้องการใช้งานจริง ในกรณีของระบบคอมพิวเตอร์ของกรมการปกครองที่จะต้องเป็นฐานข้อมูลหลัก ทางสรอ.ได้เพิ่มปริมาณขนาดของเครือข่ายเป็น 50 MPs ในปีนี้
และหากมีความต้องการดึงฐานข้อมูลจากหน่วยงานรัฐต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทางสรอ.ก็พร้อมจะเพิ่มขนาดเครือข่ายให้เป็น 100 MPs ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นขนาดเครือข่ายที่ใหญ่มากขณะเดียวกันฐานข้อมูลทั้งหมดของกรมการปกครองจะเข้ามาใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้งของสรอ.
ที่เป็นศูนย์กลาง ดังนั้นหน่วยงานต่างๆ ที่ใช้ระบบ GIN อยู่แล้วสามารถดึงฐานข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในนี้ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องต่อสายตรงไปยังกรมการปกครองเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้อย่างมาก

การดำเนินการประการที่สอง ทางสรอ.มีข้อตกลงกับทางกรมการปกครองในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงมีระบบความปลอดภัยสูงสุดด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถขยายฐานการใช้งานไปได้อย่างไม่จำกัด
โดยมีสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยมาสนับสนุน และยังทำให้หน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เข้ามาใช้งานสามารถเข้ามาใช้โครงสร้างพื้นฐานนี้ร่วมกัน
เพื่อทำให้เกิดเอกภาพในการใช้งานระหว่างกันในอนาคต โดยงบประมาณในส่วนของการพัฒนาศูนย์ดาตาเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์คอมพิวติ้งนั้น ทางสรอ.จะเป็นผู้ดำเนินการและจัดหา โดยในปีแรกจะใช้ประมาณ 50 ล้านบาท และจะเร่งเพิ่มเติมงบประมาณมากขึ้นในปีต่อๆ ไป ซึ่งในปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐ 30 หน่วยงานอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบ

ดังนั้นทิศทางจากนี้ไป จะมีทั้งหน่วยงานรัฐที่เข้ามาใช้ฐานข้อมูลของกรมการปกครองมากขึ้น โดยลงทุนระบบคอมพิวเตอร์น้อยลง ขณะเดียวกันแต่ละหน่วยงานก็สามารถแบ่งปันข้อมูลของหน่วยงานตัวเองเข้ามาในระบบมากขึ้น และกรมการปกครองรวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ก็สามารถนำไปใช้งานได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทางสรอ.จะทำหน้าที่ในการประสานงาน และเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการวางระบบสถาปัตยกรรมในส่วนนี้ต่อไปอีกประการหนึ่งที่เป็นหน้าที่ของสรอ.ในโครงการ Citizen Smart Info คือ การทำต้นแบบให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้ง่าย โดยสรอ.จะนำไปเชื่อมโยงกับโครงการ Smart Province หรือจังหวัดอัจฉริยะ ด้วยการจัดทำกล่องอัจฉริยะต้นแบบไปติดตั้งที่จังหวัด เพื่อเป็นเครืองทดลองใช้ หรือ demo ซึ่งในกล่องนี้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของรัฐทุกรูปแบบ โดยอิงกับฐานข้อมูลบัตรประชาชนของตนเอง ซึ่งในอนาคตกล่องรับสัญญาณนี้จะเหมือนกล่องรับชมทีวีดาวเทียมปกติ และสามารถไปติดตั้งตามบ้านได้ หรือเป็นแอพพลิเคชันเสริมให้กับผู้ผลิตกล่องรับสัญญาณที่นอกจากจะดูทีวีตามปกติ ยังสามารถใช้งานฐานข้อมูลส่วนบุคคลได้ต่อไป

View :1777

ก.ไอซีที จับมือ สภาการศึกษา จัดทำแผนแม่บท ICT สำหรับการศึกษาของไทย

June 16th, 2012 No comments

นายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ให้การต้อนรับคณะกรรมการ บริหารโครงการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับการศึกษาของประเทศไทย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ชุดที่มีนายอานนท์ ทับเที่ยง ที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นประธาน โดยได้มีการประชุมหารือร่วมกันในเรื่อง “การจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับการศึกษาของประเทศไทย” เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาและลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับการศึกษาของประเทศ

นายอานนท์ ทับเที่ยง ที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาฯ กล่าวว่า แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับการศึกษาของประเทศไทย ถือเป็นงานสำคัญที่ต้องมีการตั้งคณะกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จาก ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมดำเนินการขับเคลื่อน และพัฒนาเนื้อหาสาระให้เกิดขึ้น เพื่อให้ได้แผนแม่บทฯ ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ

ด้าน นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงของการใช้แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 ของประเทศไทย (พ.ศ.2552 -2556) โดยในแผนแม่บทฯ ฉบับนี้มียุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา คือ การพัฒนากำลังคน ซึ่งมีเป้าหมาย คือ การเพิ่มทักษะการใช้ประโยชน์สารสนเทศ ที่กำหนดระดับทักษะการใช้ไว้ 5 ระดับ และมีโครงการเร่งด่วนรองรับ อาทิ โครงการนำร่องการจัดการเรียนการสอนสหกิจศึกษา ที่เน้นการปฏิบัติงานจริงกับภาคอุตสาหกรรม โครงการส่งเสริมการผลิตบุคลากรระดับปริญญาโทสายวิศวกรรมซอฟท์แวร์และวิทยาการซอฟต์แวร์ โครงการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางด้าน ICT เพื่อผลิตบุคลากรที่มีทักษะสูง เป็นต้น

นายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการสำคัญที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กำลังดำเนินการร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประกอบการเรียนการสอนอยู่ในขณะนี้ ก็คือ โครงการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั่วประเทศ (One Tablet PC per Child) ซึ่งได้มีการส่งมอบเครื่องแท็บเล็ตครั้งแรกจำนวน 2,000 เครื่อง ในเดือนพฤษภาคม 2555 เพื่อการทดสอบการใช้งาน จากนั้นจึงจะทยอยส่งมอบจนครบจำนวนภายในสิ้นปีงบประมาณ 2555 เพื่อแจกจ่ายให้แก่โรงเรียนที่มีความพร้อมในด้านเครือข่ายสัญญาณและสามารถรองรับการใช้งานเป็นลำดับแรก โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการเร่งปรับปรุงความพร้อมของโครงข่ายบริการในพื้นที่โรงเรียนต่างๆ ตามกลุ่มเป้าหมาย

View :1687

อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ผนึกภาครัฐและเอกชนปลุกกระแสเยาวชนคนดี เปิดเวที “ไทยแลนด์ เอนิเมชั่น คอนเทสต์ 2012”

June 14th, 2012 No comments


ประชันฝีมือภาพยนตร์เอนิเมชั่นในหัวข้อ “เยาวชนรุ่นใหม่ ใฝ่ดี มีคุณธรรม”

กรุงเทพฯ – บมจ. ประกันชีวิต ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) มูลนิธิ ๕ ธันวามหาราช และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ สานต่อโครงการ “ไทยแลนด์ เอนิเมชั่น คอนเทสต์ โดย ” ประจำปี 2012 ภายใต้หัวข้อ “เยาวชนรุ่นใหม่ ใฝ่ดี มีคุณธรรม” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หวังสร้างทัศนคติให้เยาวชนรุ่นใหม่ประพฤติดี มีคุณธรรม ผ่านการสร้างภาพยนตร์เอนิเมชั่นส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ตลอดจนพัฒนาฝีมือนักสร้างสรรค์ให้แก่อุตสาหกรรมเอนิเมชั่นไทย

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารการตลาด และการสื่อสารองค์กร บมจ. อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต เปิดเผยว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่จะเป็นปัจจัยหลักแห่งความมั่นคง คุ้มครองทุกครอบครัวไทย ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบนโยบายนอกเหนือจากการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงและคุ้มครองครอบครัวไทยผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆของบริษัทแล้ว เรายังตระหนักถึงการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิดที่ว่า ‘ปันความรู้สู่เด็กไทย’เพื่อสร้างเกราะคุ้มครองและสร้างความมั่นคงแก่สังคมไทยด้วยการวางรากฐานความรู้แก่เยาวชนไทยที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของชาติต่อไป

ล่าสุด บมจ. อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต ได้ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) มูลนิธิ ๕ ธันวามหาราช และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จัดโครงการ “ไทยแลนด์ เอนิเมชั่น คอนเทสต์ 2012 โดย อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ภายใต้หัวข้อ “เยาวชนรุ่นใหม่ ใฝ่ดี มีคุณธรรม” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทุนการศึกษารวมมูลค่า 256,000 บาท และกรมธรรม์ประกันภัยให้ความคุ้มครองชีวิตและอุบัติเหตุ ทุนประกันภัยรวมมูลค่ากว่า 13 ล้านบาท เป็นเวลา 1 ปี พร้อมนำทีมผู้ชนะเลิศทั้ง 2 ระดับ เดินทางทัศนศึกษางานเอนิเมชั่น ณ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และรางวัล Popular Vote จำนวน 2 รางวัล ๆ ละ 3,000 บาท

“สำหรับการประกวดในปีนี้ เราตั้งหัวข้อ ‘เยาวชนรุ่นใหม่ ใฝ่ดี มีคุณธรรม’ เนื่องจากเราตระหนักว่าหลายปีที่ผ่านมาสังคม ผู้ใหญ่อย่างเราเน้นการพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ ความสามารถ ให้เด็กโตขึ้นเป็นคนเก่ง โดยเรามองข้ามที่จะเน้นย้ำในเรื่องของคุณธรรมที่ควบคู่ไปกับความสามารถ เราจึงตั้งหัวข้อการประกวดนี้ขึ้น เพื่อปลูกจิตสำนึกในเรื่องของความมีคุณธรรม ตอกย้ำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการประพฤติดี สามารถพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถควบคู่กับการดำรงไว้ซึ่งคุณธรรมในการดำเนินชีวิต และนอกจากจะเป็นการปลูกจิตสำนึกในเรื่องของคุณธรรมแล้ว ยังถือเป็นเวทีให้เยาวชนได้แสดงออกถึงความคิดที่จะทำความดี และสื่อสารออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์เอนิเมชั่นด้วย”

“เราเริ่มโครงการไทยแลนด์ เอนิเมชั่น คอนเทสต์ มาตั้งแต่ปี 2550 ด้วยเจตนารมณ์ที่มุ่งกระตุ้นให้เยาวชนได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะการสร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์หรือ ภาพเอนิเมชั่น เพื่อวางรากฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านนี้ในอนาคต พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นับว่าโครงการฯประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากมาโดยตลอด มีเยาวชนจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขันแล้วกว่า 8,500 คน ที่สำคัญเยาวชนให้ความสนใจสมัครเข้าแข่งขันเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจของเด็กไทยต่อเวทีแสดงความสามารถในด้านนี้ ควบคู่ไปกับศักยภาพ และฝีมือของเด็กไทยก็ได้รับการพัฒนาสูงขึ้น สำหรับปีนี้เราตั้งเป้าจำนวนเยาวชนสมัครเข้าร่วมการแข่งขันไว้ที่ 500 ทีม หรือ 1,500 คน” นางสาวพัชรา กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯได้มีโครงการต่อยอดความสามารถของเด็กไทยไปสู่เวทีระดับโลก ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 โดย อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ได้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการเอนิเมชั่นไทย ด้วยการส่งเด็กสร้างผู้เคยผ่านเวทีประกวด “ไทยแลนด์ เอนิเมชั่น คอนเทสต์ โดย อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.” ไปคว้า 2 รางวัลยอดเยี่ยมจากเวทีประกวดเอนิเมชั่นระดับโลก ASIA DIGITAL ART AWARD 2011 ที่ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นครั้งแรกที่มีเด็กไทยไปสร้างชื่อเสียงจนได้รับรางวัลในเวทีระดับโลก ถือเป็นความสำเร็จอันเยี่ยมยอดเกินคาดของโครงการฯ

ดร.จรินทร์ สวนแก้ว ประธานมูลนิธิ ๕ ธันวามหาราช กล่าวว่า มูลนิธิ ๕ ธันวามหาราชได้ให้การสนับสนุนโครงการ “ไทยแลนด์ เอนิเมชั่น คอนเทสต์ โดย อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.” มาต่อเนื่อง เพราะเห็นถึงเพราะเห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของโครงการฯ ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาเยาวชนของชาติให้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวข้อการประกวดในปีนี้ จะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกของเยาวชนให้สะท้อนมุมมองต่างๆ ในการทำความดีไม่ว่าจะเป็นการการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตอาสา คิดดี ทำดี ก็ล้วนต้องเริ่มต้นที่ตนเองก่อน และจะได้รับรางวัลเป็นความอิ่มใจ สุขใจอันเกิดจากได้ทำกิจกรรมนั้นๆ และมีความคิดริเริ่มที่จะทำประโยชน์ตอบแทนแก่สังคมต่อไป”

ด้าน ดร. วิรัช ศรเลิศล้ำวาณิช นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า “ในฐานะของผู้ร่วมจัดโครงการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
ก็ยังคงเน้นในเรื่องของการสนับสนุนทางด้านวิชาการและเทคโนโลยีสำหรับการสร้างผลงานเอนิเมชั่นของเยาวชนภายใต้โครงการThailand animation contest อย่างต่อเนื่องเหมือนเช่นทุกปี โดยในปีนี้ในหัวข้อ
“เยาวชนรุ่นใหม่ ใฝ่ดี มีคุณธรรม” เรามุ่งหวังผลงานมีคุณภาพมากขึ้นไม่เฉพาะแต่ในเรื่องของความสวยงามจากเครื่องมือและเทคนิคในการสร้างผลงานเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังถึงคุณภาพของผลงานในเรื่องของการเล่าเรื่อง (storytelling) ที่สร้างสรรค์ น่าสนใจ มีเหตุและผล รวมทั้งมีการลำดับเรื่องราวที่ดีน่าติดตามปีนี้เราจึงได้ปรับหลักสูตรของการอบรมเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกในรอบที่ 1 ให้เข้มข้นขึ้นทั้งในส่วนของการสร้างแนวคิด การเล่าเรื่อง และในส่วนของการใช้เครื่องมือในการสร้างผลงานซึ่งยังคงกำหนดเงื่อนไขให้ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สในการสร้างผลงานเช่นเดิมในปีนี้จึงมั่นใจได้ว่าเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้ความรู้และทักษะพื้นฐานในการสร้างงานด้านเอนิเมชั่นอย่างครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งเยาวชนที่เข้ารอบสุดท้ายของทุกปีจะได้รับโอกาสในการที่จะต่อยอดผลงาน ความรู้และทักษะด้านเอนิเมชั่นเพื่อส่งผลงานไปยังเวทีระดับนานาชาติต่อไปซึ่งปีที่ผ่านมาก็มีเยาวชนไทยได้รับรางวัลจากเวทีระดับเอเชีย ในงาน Asia Digital Art Award 2011 ซึ่งจัดโดยประเทศญี่ปุ่นเหล่านี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมในการสร้างบุคลากรให้กับอุตสาหกรรมเอนิเมชั่นของไทยซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักภายใต้เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative economy”

ด้าน ดร. ดัชกรณ์ ตันเจริญรองคณบดีฝ่ายบริหารและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า “ “ในปีที่ผ่านมา สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ Thailand Animation Contest ในกิจกรรมอบรมโอเพ่นซอร์สเทนนิ่ง และเข้าค่ายแข่ง Reality 34 ชั่วโมงรอบสุดท้าย ในด้านสถานที่ และบุคลากรในการจัดกิจกรรมสันทนาการ ในปีนี้ทางสถาบันฯ ได้เป็นผู้สนับสนุนหลักเต็มตัวเป็นปีแรก ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาเยาวชนของประเทศให้มีทักษะความสามารถด้านแอนิเมชั่นให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และในปีนี้ทางสถาบันได้ร่วมสนับสนุนด้านสถานที่การจัดงานและสิ่งอำนวยความสะดวก ในการจัดอบรม Open Source Training ระหว่างวันที่ 10 – 15 สิงหาคม 2555 ตลอดจนมอบของรางวัลให้แก่เยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ และพิเศษสำหรับผู้ชนะการแข่งขันในระดับมัธยมศึกษาจะได้รับทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรีของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ รวมมูลค่ากว่า 7 แสนบาท นอกจากนี้ทางบริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมสนับสนุนของที่ระลึกสำหรับเยาวชนผู้เข้าร่วมอบรม ณ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้เห็นความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนในการสะท้อนมุมมองตามหัวข้อ “เยาวชนรุ่นใหม่ ใฝ่ดี มีคุณธรรม” ผ่านผลงานแอนิเมชั่นกันครับ”

การประกวดการสร้างภาพเคลื่อนไหวของโครงการ “ไทยแลนด์ เอนิเมชั่น คอนเทสต์ 2012 โดยอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.” ภายใต้หัวข้อ “เยาวชนรุ่นใหม่ ใฝ่ดี มีคุณธรรม” แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ระดับ สำหรับเยาวชนระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าแข่งขันเป็นทีมๆละ 3 คน โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาให้การรับรอง โดยผลงานเอนิเมชั่นที่ส่งเข้าประกวดจะต้องมีความยาวไม่เกิน 3 นาที และสร้างด้วยโปรแกรม Open Source เท่านั้น หมดเขตรับสมัครในวันที่ 14 กรกฎาคม 2555 ดูรายละเอียดและสมัครออนไลน์ได้ที่ www.aacp.co.th/thailandanimation สสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายการตลาด-กิจกรรมเพื่อสังคม บมจ. อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต ชั้น 6 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ 898 ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ 10330 โทร. 02-305-7768 หรือ 02–305-7407

View :1412

มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน เปิดตัวเว็บไซต์ www.welovevaccines.com ให้ความรู้เรื่องวัคซีนผ่านโลกออนไลน์

June 13th, 2012 No comments

ตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิตอล เปิดตัวเว็บไซต์สื่อสารผ่านโลกออนไลน์ www.welovevaccines.com เดินหน้าให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีนพร้อมรณรงค์การฉีดวัคซีนป้องกันโรคร้ายแก่ประชาชน

นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน องค์กรกลางที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านวัคซีนระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และนักวิชาการ เปิดเผยว่า มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชนจะเปิดตัวเว็บไซต์ “www.welovevaccines.com” อย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มิถุนายน 2555 เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารและให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีนและรณรงค์การสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วยวัคซีน ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่ดีทีสุดในการป้องกันโรค ซึ่งแต่ละปีวัคซีนสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ถึงปีละ 3 ล้านคนทั่วโลกและสามารถป้องกันความพิการของเด็กได้ถึงปีละไม่น้อยกว่า 750,000 คน

“วัคซีนนับเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลสุขภาพ และเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดในการป้องกันโรค โดยเฉพาะในวัยเด็กซึ่งเป็นวัยที่ภูมิคุ้มกันยังทำงานไม่สมบูรณ์ และมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อจากโรคอันตรายต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อเนื่องไปจนโต นอกจากนี้ วัคซีนยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ สามารถป้องกันโรคติดเชื้อไม่ให้ระบาดในชุมชน และช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิผล จึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้ เพราะการฉีดวัคซีนเป็นการลงทุนที่น้อยกว่ามาตรการอื่นๆ การเปิดตัวเว็บไซต์ของมูลนิธิจะเป็นช่องทางหนึ่งในการให้ความรู้ รวมทั้งเป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องของประชาชน รวมทั้งประชาชนได้ทราบถึงวัคซีนที่ควรได้รับและมีส่วนร่วมเป็นแรงผลักดันนอกเหนือจากนักวิชาการด้านต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลให้ความสนใจพิจารณานำเข้าสู่แผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค” นพ.มานิตกล่าว

เว็บไซต์ “www.welovevaccines.com” ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวัคซีนซึ่งปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้มีวัคซีนชนิดใหม่ที่ป้องกันโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งวัคซีนพื้นฐาน เช่น วัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ วัคซีนทางเลือกหรือวัคซีนที่จำเป็นสำหรับเด็กเพื่อป้องกันโรคสำคัญๆ ที่ติดต่อได้ง่ายหรือโรคที่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงอันตรายในเด็ก เช่น วัคซีนไวรัสโรต้า วัคซีนโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนนวัตกรรมที่ป้องกันตั้งแต่ 4-6 โรคในเข็มเดียว เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนชนิดไร้เซลล์ โปลิโอ ตับอักเสบบี และเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ เป็นต้น นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังมีแอพพลิเคชั่นสำหรับบันทึกประวัติการรับวัคซีนของเด็ก คำแนะนำและข้อปฏิบัติเมื่อได้รับวัคซีน รวมทั้งคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีเด็กทารกและเด็กเล็กที่มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีน นอกจากนี้ มูลนิธิยังเดินหน้ารณรงค์การให้ความรู้เรื่องวัคซีนผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพื่อการเข้าถึงประชาชนในวงกว้างอีกด้วย

“มูลนิธิฯ หวังว่า เว็บไซต์ “www.welovevaccines.com” จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของไทย ซึ่งเมื่อประชาชนมีสุขภาพดีและไม่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนก็จะสามารถสร้างความเข้มแข็งและความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อีกด้วย” นพ.มานิตกล่าวโดยสรุป

สำหรับมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน จัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของภาครัฐ โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กับภาควิชาชีพ และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน และได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการจากองค์กรแพทย์ต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปในเรื่องวัคซีน เพื่อส่งเสริมการศึกษาและให้การสนับสนุนด้านวิชาการวัคซีนแก่บุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในเรื่องวัคซีน

View :1259

ทรู ออนไลน์ รุกเจาะกลุ่มบริการอินเทอร์เน็ตลูกค้าองค์กรทั่วประเทศ เน้นคุณภาพและบริการเทียบชั้นเวิลด์คลาส

June 13th, 2012 No comments

นายเจริญ ลิ่มกังวาฬมงคล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ ทรูออนไลน์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น


รุกขยายฐานลูกค้าอินเทอร์เน็ตลูกค้าองค์กรทั่วประเทศ มุ่งเจาะกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มการศึกษา กลุ่มโรงแรม และโรงพยาบาล ชูจุดเด่นด้านคุณภาพ และบริการเทียบชั้นเวิลด์คลาส ในรูปแบบ One-stop service ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเครือข่าย Ethernet Fiber รายแรกในไทย ที่มีช่องสัญญาณใหญ่และเสถียรที่สุดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้งในและต่างประเทศ ด้วยงบลงทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ล้านบาท เพื่อขยายแบนด์วิธต่างประเทศ และขยายอุปกรณ์โครงข่าย เพิ่มศักยภาพการให้บริการ โดยเตรียมเพิ่มฐานลูกค้าองค์กรตามทิศทางการตลาดทรูออนไลน์ โดยนำร่องเพิ่มบริการใน 36 จังหวัดใหญ่ ปีนี้ตั้งเป้ารายได้กว่า 1,500 ล้านบาท จากลูกค้าองค์กรทั่วประเทศ

นายเจริญ ลิ่มกังวาฬมงคล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ ทรูออนไลน์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ทรู ออนไลน์ มุ่งมั่นชัดเจนที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้าองค์กรทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมาได้เดินหน้าขยายแบนด์วิธอย่างต่อเนื่อง ด้วยงบประมาณลงทุนปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เพื่อที่จะให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีคุณภาพสูง มีมาตรฐานเทียบชั้นเวิลด์คลาส รวมถึงการสรรหาบริการใหม่ๆ ที่จะตอบสนองความต้องการใช้งานสำหรับลูกค้าองค์กรโดยเฉพาะ ซึ่งปีนี้ มีแผนจะขยายฐานลูกค้าองค์กรให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยพร้อมให้บริการในพื้นที่ที่ทรู ออนไลน์ ได้นำร่องวางโครงข่าย Docsis 3.0 ไปแล้ว 36 จังหวัดใหญ่ๆ ทั้งนี้ ด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพเทคโนโลยี ตลอดจนโครงข่ายและบริการ ที่ผสานเข้ากับ กลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ของกลุ่มทรู ทำให้มั่นใจว่าจะเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าและทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าให้เติบโตได้ตามเป้าหมายโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรจำนวนไม่น้อย เริ่มจัดตั้งสำนักงานแห่งที่ 2 นอกเขตกรุงเทพฯ ประกอบกับแนวโน้มในการขยายตัวของ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความต้องการที่จะใช้บริการด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้สามารถแข่งขันเชิงธุรกิจได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยในปีนี้ ทรู ออนไลน์ ตั้งเป้ารายได้ในส่วนของบริการอินเทอร์เน็ตลูกค้าองค์กรไว้ที่กว่า 1,500 ล้านบาท

นายเจริญ ลิ่มกังวาฬมงคล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และ นายวสุ คุณวาสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด


นายวสุ คุณวาสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด กล่าวว่า การเติบโตของ ทรู อินเทอร์เน็ตสำหรับลูกค้าองค์กรเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา เติบโตเพิ่มถึง 40% และมีแนวโน้มจะเพิ่มอีกอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งการขยายฐานตลาดลูกค้าองค์กรปีนี้ จะมุ่งขยายสู่ 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มการศึกษา กลุ่มโรงแรม และโรงพยาบาล โดยชูความโดดเด่นของ ทรู อินเทอร์เน็ต 3 ประการ ได้แก่

· ด้านเทคโนโลยีระดับเวิลด์คลาส ซึ่ง ทรู อินเทอร์เน็ต เป็นรายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการผ่านโครงข่าย Ethernet Fiber ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส จาก MEF หรือ Metro Ethernet Forum
· ด้านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระดับเวิลด์คลาส เนื่องจาก ทรู อินเทอร์เน็ต เป็นผู้ให้บริการที่มีช่องสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้งในและต่างประเทศใหญ่ที่สุดในประเทศไทยผ่าน TIG (True Internet Gateway) และ IIG (Internet International Gateway) โดยแบ่งแยกช่องสัญญาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตระหว่างลูกค้าองค์กรกับลูกค้าทั่วไปอย่างชัดเจน
· ด้านบริการหลังการขายในระดับเวิลด์คลาส โดยเน้นการให้บริการแบบ One-stop service เพื่อรองรับในกรณีที่เกิดปัญหาการใช้งานหรือเหตุขัดข้อง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ออกไปดำเนินการติดตั้งหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ อีกทั้งยังมีทีม Service & Support ที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลตรวจสอบสัญญาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
.
“สำหรับปี 2555 ทรู ออนไลน์ เล็งเห็นว่า มีองค์กรจำนวนไม่น้อย เริ่มจัดตั้งสำนักงานแห่งที่ 2 ในต่างจังหวัดมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มในการขยายตัวของ กลุ่มนิคมอุตสหกรรม กลุ่มการศึกษา กลุ่มโรงแรมและโรงพยาบาล ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่เติบโตขึ้น และมีความต้องการที่จะใช้บริการด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้สามารถแข่งขันเชิงธุรกิจได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยอินเทอร์เน็ตลูกค้าองค์กรนั้น จะมีความเสถียรสูง เหมาะต่อการใช้งานทั้งในระดับ บริษัท หน่วยงานราชการ หรือองค์กรต่างๆ ที่มีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง ต้องการควบคุมการใช้งานแบบ Server เพื่อการบริหารจัดการ Website และ Email ได้เอง เป็นต้น ทั้งนี้ ทรู ออนไลน์ มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จในการก้าวสู่ผู้นำอินเทอร์เน็ตองค์กร และขยายฐานลูกค้าได้ครอบคลุมทั่วประเทศอย่างแน่นอน” นายเจริญ กล่าวสรุป

View :1439

ก.ไอซีที จับมือหน่วยงานในสังกัดตั้งศูนย์ป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย

June 13th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดศูนย์ติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย จ.ปทุมธานี ว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รับผิดชอบในการติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินการป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยั่งยืน ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเขตเกษตรกรรมที่ผลิตข้าวหอมที่มีชื่อเสียง รวมทั้งเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมและมีโรงงานมากกว่า 2,600 แห่ง ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยทุกปี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการเพื่อให้สามารถต่อสู้ และตอบโต้กับปัญหาอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“กระทรวงฯ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานในสังกัด จัดตั้ง “ศูนย์ติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย จ.ปทุมธานี” ขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยได้มอบหมาย บมจ.ทีโอที เป็นผู้ดำเนินการติดตั้งระบบสารสนเทศและระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อให้สามารถใช้เป็นศูนย์อำนวยการสนับสนุน และสั่งการ ตลอดจนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลการเตือนภัยระหว่างหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงภาคเอกชนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมชลประทาน ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

โดยภายในศูนย์ติดตามความก้าวหน้าฯ แห่งนี้ ได้มีการจัดตั้งห้องบัญชาการ (War Room) สำหรับใช้สั่งการ ติดตามงานและประเมินผลได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้วางระบบสารสนเทศ ด้วยการติดตั้งระบบกล้อง CCTV และระบบ sensor ตรวจจับระดับน้ำในพื้นที่จุดเสี่ยงไม่น้อยกว่า 10 จุด โดยเชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศูนย์เตือนภัยฯ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังได้มีการวางระบบสนับสนุนสำรอง โดยการจัดเตรียมรถสื่อสารดาวเทียม ระบบวิทยุสั่งการ และระบบให้ความช่วยเหลือ (Help desk) ที่มีเจ้าหน้าที่ Call Center รับแจ้งหรือรายงานเหตุเกี่ยวกับอุทกภัยด้วยระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัย

View :1254
Categories: Press/Release Tags:

แถลงการณ์ทรูวิชั่นส์​: ทรูวิชั่นส์ รู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถเผยแพร่การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2012 ทางฟรีทีวีผ่านกล่อง

June 13th, 2012 No comments

ทรูวิชั่นส์ให้สมาชิกได้รับชมได้ ถึงแม้มีความพยายามเจรจากับผู้ถือสิทธิ์ในประเทศ เพื่ออนุญาตให้ทรูวิชั่นส์ถ่ายทอดสัญญาณผ่านฟรีทีวีตามปกติ แต่เจ้าของสิทธิ์ในต่างประเทศกลับพิจารณาประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องของการให้ช่วงสิทธิ์ต่อ (Sublicensing) จึงไม่อนุญาต ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการส่งสัญญาณฟรีทีวีผ่านกล่องของทรูวิชั่นส์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทรูวิชั่นส์ได้รับทราบว่า สำนักงาน กสทช. ได้ร่างเงื่อนไขประกอบการออกใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ เพื่อมิให้เกิดปัญหากรณีไม่สามารถรับชมรายการต่างๆ ที่แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์แบบฟรีทีวีได้อีก ในเบื้องต้นจะกำหนดว่า ประชาชนทุกคนจะต้องรับชมรายการที่แพร่ภาพผ่านสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีได้ทุกรายการ ไม่ว่าจะผ่านกล่องรับสัญญาณในระบบใดก็ตาม ประชาชนต้องได้รับชมไม่มีกรณียกเว้น แม้จะมีกรณีเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอด แต่เมื่อใดนำมาผ่านช่องโทรทัศน์ฟรีทีวี ทุกคนต้องได้รับชมอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งตรงกับนโยบายในการประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ของทรูวิชั่นส์

สำหรับเรื่องที่ ทรูวิชั่นส์ไม่สามารถเผยแพร่รายการฟุตบอลยูโร 2012 ให้แก่สมาชิกในครั้งนี้ได้ ทรูวิชั่นส์รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทรูวิชั่นส์ก็ได้พยายามเจรจากับเจ้าของสิทธิ์เพื่อให้สามารถถ่ายทอดต่อผ่านฟรีทีวีให้สมาชิกทรูวิชั่นส์ได้ ทั้งนี้ ทรูวิชั่นส์ได้ดำเนินการชี้แจงให้สมาชิกของเราได้รับทราบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง และเพื่อดูแลความรู้สึกและขออภัยในความไม่สะดวกของสมาชิก ทรูวิชั่นส์จึงได้มอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิกของเราทุกแพ็กเกจ เป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.- 10 ก.ค.นี้

สุดท้ายนี้ ทรูวิชั่นส์ มีความหวังว่าท่านสมาชิกและสาธารณชนจะเข้าใจในความพยายามของทรูวิชั่นส์ที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในครั้งนี้ และทรูวิชั่นส์ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนทั้งประเทศว่า ทรูวิชั่นส์จะยืนอยู่ข้างสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยในการได้รับชมรายการที่อยู่บนฟรีทีวีเฉกเช่นแนวความคิดของคณะกรรมการ กสทช.

View :1362

โซนี่ เอาใจวัยรุ่นไทยด้วยการเปิดตัว Xperia U สมาร์ทโฟนที่เปลี่ยนสีได้

June 13th, 2012 No comments


บริษัท โซนี่ โมบายล์ คอมมิวนิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เอาใจเด็กไทยวัยรุ่นด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด Xperia™ U ด้วยหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว ความละเอียด 854×480 จอแสดงผลแบบ Mobile BRAVIA® Engine อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.3.7 พร้อมรองรับการอัพเกรดเป็น 4.0 (Ice-Cream Sandwich) รวมถึงยังสามารถเลือกเครือข่าย 3G ได้ทั้ง 2 ค่าย คือ 850/2100 Mhz และ 900/2100 Mhz จุดเด่นกับไฟ LED ที่สามารถเป็นสีเปลื่ยนธีม ตามที่เราต้องการได้ อีกทั้งตัวเครื่องยังมาพร้อมกล้องที่มีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมระบบออโต้โฟกัสและแฟลช รวมถึงกล้องหน้าที่มีความละเอียดในระดับ VGA สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวขนาด HD720p และรองรับไฟล์ AVI , MKV, MP4 ได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถถ่ายภาพแบบ 3D Sweep Panorama ได้อีกด้วย รองรับวิทยุ FM , หูฟังแบบ 3.5 มม. และช่อง MicroUSB รวมถึงให้คุณได้แชร์ภาพวีดีโอและเสียงเพลงแบบไร้สายผ่านระบบ DLNA เข้ากับทีวีได้ และยังให้คุณได้เต็มอิ่มกับทุกๆความบันเทิงหน่วยความจำภายในเครื่องถึง 4GB แรม 512MB รวมถึงให้คุณท่องโลก Social Network อาทิ Facebook™ , Twitter™, Google Talk™ , Line , Whatapp และ Skype ได้อีกด้วย

รุ่น Xperia™ U วางจำหน่ายแล้วในราคา 9,990 บาท ตัวเครื่องมี 4 สี คือสีดำ ที่จะแถม CAP สีชมพู ส่วน สีขาว แถม CAP สีเหลือง โดยผู้สนใจสามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือโซนี่ทั่วประเทศ ร้าน Power Buy , ร้าน TG Phone ,ร้านซินเน็ค และ ร้าน Jay Mart หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทาง www.facebook.com/sonymobileth

View :1856
Categories: Gadgets Tags: