Archive

Author Archive

14 เรื่องบนเวทีออสการ์กับหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน ดิจิตอลอาร์ตทิสทั่วโลกใช้ออโตเดกส์ซอฟต์แวร์ในการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องในปี 2554

March 5th, 2012 No comments

ซอฟต์แวร์จากออโตเดสก์ (NASDAQ: ADSK) ได้รับความไว้วางใจจากศิลปินดิจิตอลอาร์ต ทิสผู้อยู่เบื้องหลังความบรรเจิดทั้งจอแก้วและจอเงินทั่วโลก ที่ได้ทุ่มเทสร้างสรรค์ผลงานที่โลดแล่นบนจอภาพยนตร์ และได้ออกมาร่ายเวทมนตร์จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในออสการ์ปีนี้โดยเฉพาะสาขาเทคนิคสมจริงยอดเยี่ยมและสาขาภาพยนตร์อะนิเมชั่นยอดเยี่ยม ออโตเดสก์ขอคารวะดิจิตอลอาร์ตทิสทั้งหลายที่เลือกใช้ Digital Entertainment Creation (DEC) ในการร่ายเวทมนตร์บนจอ

“ภาพยนตร์ที่ดีขึ้นอยู่กับการเล่าเรื่องที่ดีและเทคโนโลยีของเราที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้เป็นไปตามจิตนการทางศิลปะ” กล่าวโดยมาร์ค เปติ รองประธานอาวุโสของออโตเดสก์มีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ “เราขอแสดงความยินดีกับทีมศิลปินผู้สร้างอัจฉริยะจากอเมริกาเหนือ, นิวซีแลนด์, ยุโรปและเอเชีย พวกเรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ซอฟต์แวร์ของออโตเดสก์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมสร้างภาพยนตร์ที่สุดพิเศษเหล่านั้นได้”

สาขาเทคนิคสมจริงยอดเยี่ยม
“Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2” — แฮร์รี่พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต 2 โดยอะนิเมชั่นสตูดิโอ Double Negative, MPC และ Framestore ต่างก็ใช้ Autodesk Maya ซอฟต์แวร์ 3D อะนิเมชั่นและซอฟต์แวร์การให้แสงและเงาในการช่วยสร้างเอฟเฟคสุดอลังการสำหรับตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างแฮร์รี่พอตเตอร์ เดวิด วิคเคอรี่ หัวหน้าฝ่ายของ Double Negative VFX กล่าวว่า “ซอฟต์แวร์ Maya จากออโตเดสก์เป็นแกนหลักของการสร้างตั้งแต่ “แฮร์รี่พอร์ตเตอร์กับถ้วยอัคนี” สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ซอฟต์แวร์ Maya ouhช่วยเราสร้าง CG แบบเต็มรูปแบบในการสร้างสภาพแวดล้อมอันกว้างใหญ่ของโรงเรียนเวทมนตร์คาถาฮอกวอตส์ รวมไปถึงทิวเขาและลมหายที่ลุกเป็นไฟของมังกรที่สร้างโดยซอฟต์แวร์ Autodesk Mudbox” เกรก บัทเลอร์ หัวหน้าฝ่ายของ MPC VFX กล่าวว่า “จากภาพยนตร์เรื่องแรกในภาพยนตร์ชุด “แฮร์รี่พอตเตอร์” จนถึงฉากสุดท้าย MPC ไว้วางใจซอฟต์แวร์ Maya จากออโตเดสก์ในการทำต้นแบบ, เครื่องแต่งกายและการให้แสงต่างๆ” นอกจากนี้ หัวหน้าฝ่ายของ Framestore VFX ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ซอฟต์แวร์ Maya จากออโตเดสก์ เป็นเครื่องมือสู่ความสำเร็จและมอบเวทมนตร์ให้กับห้องแห่งความลับที่รอนและเฮอร์ไมโอนี่มีจูบแรกกัน เช่นเดียวกับตอนที่แฮร์รี่เห็นสรวงสวรรค์ เราไม่สามารถจบภาพยนตร์ทั้ง 8 ตอนนี้ได้โดยปราศจากมนตร์ขลังซอฟต์แวร์จากออโตเดสก์”

“Hugo” — ฮิวโก้ โดย Pixomondo สตูดิโอ ที่สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้โดยมีทีมงานกระจายอยู่ทั่วโลก 11ที่ทั้งอเมริกาเหนือ, ยุโรปและเอเชีย ฮิวโก้เป็นภาพยนตร์ที่มีรายละเอียดสูงและเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คิดถึงปารีสในช่วงปี 2473 ทีมงานทั่วโลกทำงานเป็นปีในกระบวนการผลิตโดยใช้ออโตเดสก์ Maya และ Autodesk 3ds Max สำหรับภาพเคลื่อนไหว, การให้แสงเงา, เครื่องแต่งกายของตัวละครและแบบจำลองต้นร่าง เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ Autodesk MotionBuilder สำหรับการจับภาพเคลื่อนไหว “การทำงานร่วมกับเครื่องมือจากออโตเดสก์ช่วยให้เราทำงานตามตารางเวลาที่เคร่งครัดและนำเวทมนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี่สู่จอเงิน” กล่าวโดย เบน กรอนแมน หัวหน้าฝ่ายวิชช่วลเอฟเฟค

“Real Steel” – สร้างโดย Digital Domain, Giant Studios และ Technoprops ที่ทำให้ “Real Steel” เป็นผลงานที่มีประสิทธิภาพและน่าประทับใจที่มีกระบวนการผลิตเพียง 71วันสำเร็จได้ตามเป้าหมายเวลาที่กำหนด การประสานงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง 3 บริษัทและเครื่องมือจากออโตเดสก์ช่วยสร้างภาพยนตร์ที่สมจริงและแอคชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจกับหุ่นยนต์คู่ใจที่แสนมีเสน่ห์และความสัมพันธ์กับมนุษย์ อิริค แนช หัวหน้าฝ่ายวิชช่วลเอฟเฟคกล่าวว่า “การทำงานร่วมกันบนฉากแบบเรียลไทม์ของ Maya และ MotionBuilder มอบความอิสระในการทำงานอย่างมากให้กับทีมผู้ผลิตของเรา”

“Rise of the Planet of the Apes” – Caesar ลิงชิมแปนซีที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์กราฟิกที่แสดงโดย แอนดี้ เซอร์คิส สร้างสิ่งสำคัญหรับเวต้าดิจิตอล (Weta Digital) ในนิวซีแลนด์เป็นอย่างมาก เวต้าใช้ Maya และ MotionBuilder เป็นแกนหลักของกระบวนการผลิตสำหรับการค้นพบวิธีการแสดงภาพและประสิทธิภาพการจับภาพ โดยเซบาสเตียน ซิลแวน ประธานคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโยโลยีที่เวต้า ดิจิตอล กล่าวว่า “การสร้างตัวละคร CG ที่สมจริงและดูน่าเชื่ออย่างซีซาร์ต้องการให้ศิลปินของเราใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่อนุญาตให้พวกเขาเน้นย้ำและแสดงออกความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาได้ เราพัฒนาซอฟต์แวร์ของเราเองเพื่อประสิทธิภาพการจับภาพที่สมบูรณ์แบบ, เส้นผม, ดวงตาและกล้ามเนื้อ การใช้ Maya และ MotionBuilder จึงเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของเรา”

“Transformers: Dark Side of the Moon” – รายละเอียดพิเศษสำหรับหุ่นยนต์ใน Transformers มีความละเอียดถึง 50,000 ล้านโพลีกอนแสดงในรูปแบบ 3D ที่สร้างโดย Industrial Light & Magic (ILM) ในซานฟรานซิสโกและสิงคโปร์และ Digital Domain โดย ILM ใช้ Autodesk DEC ซอฟต์แวร์ในกระบวนการสร้าง ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์ 3ds Max จากออโตเดสก์สำหรับการสร้างสิ่งแวดล้อมแบบดิจิตอล, ซอฟต์แวร์ Autodesk Flame ซึ่งในส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ SABRE คอมโพสิตของระบบความเร็วสูง และซอฟต์แวร์ Maya ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์หลักสำหรับภาพเคลื่อนไหว, เครื่องแต่งกายและโครงร่าง สก็อต ฟาร์ร่า หัวหน้าฝ่ายวิชช่วลเอฟเฟคของ ‘Transformers: Dark Side of the Moon’ “งานด้านเอฟเฟคต่างๆ มีความซับซ้อนขึ้น มันสำคัญที่ว่าที่ศิลปินของเราจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือการสร้างที่ดีที่สุดได้หรือไม่และด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ Autodesk’s Digital Entertainment Creation ILM สามารถสร้างก้าวใหม่ให้กับวงการวิชช่วลเอฟเฟคได้”

สาขาภาพยนตร์อะนิเมชั่นยอดเยี่ยม
“Kung Fu Panda 2” และ “Puss in Boots” – ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์อะนิเมชั่นยอดเยี่ยมสำหรับ Dreamworks Animation (DWA) ไม่เพียงเท่านี้แต่ยังเป็น 2 ใน 3 ภาพยนตร์อะนิเมชั่นที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2554* อีกด้วย DWA ยังคงสร้างสรรค์ผลักดันเทคโนโลยีเพื่อปลูกฝังตัวละครที่เคลื่อนไหวด้วยบุคลิกที่น่าเกรงขาม และภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องนี้ใช้ซอฟต์แวร์ Maya จากออโตเดสก์ในการสร้าง ฟิล แม็คเนลลี่ หัวหน้าด้านภาพสามมิติของภาพยนตร์ 2 เรื่องนี้กล่าวว่า “ทั้งการระดมความคิดจากฝ่ายเราเองและร่วมกับออโตเดสก์ เราสามารถพัฒนาเครื่องมือใน Maya เพื่อจัดการปัญหาที่เจาะจงซึ่งเป็นความท้าทายของภาพสามมิติ Maya ให้ความยืดหยุ่นหรือให้เราสามารถมองเห็นว่าเรากำลังทำอะไร ในขณะที่เรากำลังทำมันอยู่ในรูปแบบ 3 มิติ”

“Rango” – เรื่องราวของกิ้งก่าสุดแปลกที่กำลังตามหาตัวตนของตัวเอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์อะนิเมชั่นเรื่องแรกของ ILM เป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอความคิดสร้างสรรค์และความท้าทายทางทคนิค เพียงใบหน้าของแรงโก้อย่างเดียวก็ใช้ตัวควบคุมมากกว่า 300 ตัว เพื่อให้บรรลุตามความต้องการสำหรับ 1,100 ฉากที่เขาต้องปรากฎในเรื่อง นอกจากนี้แรงโก้ถือเป็นตัวละครที่ดีเหนือกว่าประชากรในเรื่องทั้งหมด “ตัวละครทั้งหมดเหล่านี้เป็นการรวมสเกล, ฟีเจอร์ หรือขนสัตว์และเสื้อผ้าทั้งหมด เราพยายามสร้างโลกที่สัมผัสได้ให้กับแรงโก้” กล่าวโดย ฮัล ฮิคเคล หัวหน้าฝ่ายอะนิเมเตอร์บนภาพยนตร์ที่ ILM “เราต้องการสร้างภาพลวงตาที่คุณสามารถเข้าถึงและสัมผัสกับวัตถุได้ในจอ ที่คุณต้องการรู้ว่าสิ่งที่พวกเขารู้สึกอยู่นั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นมันจึงสำคัญมากที่ซอฟต์แวร์ของเราทำให้เราสามารถแสดงรายละเอียดที่เป็นไปได้ให้มากที่สุดในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการ สิ่งนี้ทำให้เราสามารถแปลงสิ่งที่จะแสดงลงบนหน้าจอใหญ่ได้ Maya เป็นซอฟต์แวร์ที่ดีมากที่ทำให้เราสามารถทำอย่างนั้นได้”

ในสาขาอื่นๆ
• “The Fantastic Flying Books of Mr. Morris Lessmore” — ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์อะนิเมชันสั้นยอดเยี่ยม โดย Moonbot Studios ในหลุยส์เซียน่า ใช้ซอฟต์แวร์ Maya จากออโตเดสก์ ในการสร้างภาพยนตร์ที่เป็นการเปรียบเทียบอารมณ์สะเทือนใจและอารมณ์ขันไปพร้อมๆ กัน
• “The Girl With the Dragon Tattoo” — ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 5 สาขา สร้างโดย Digital Domain สร้างดิจิตอลดับเบิ้ล, การลงสีพื้นผิวและฉากที่ใช้ทั้ง Maya และ 3ds Max โดย Method Studios มีส่วนร่วมในวิชช่วลเอฟเฟคถึง 101 ฉากซึ่งรวมไปถึงขบวนรถไฟ CG ที่วิ่งผ่านพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะที่ใช้ Maya, Flame และ Autodesk Flare ในการสร้าง และ Blur Studios สร้างลำดับที่น่าตื่นตาตื่นใจโดยใช้ 3ds Max สำหรับอะนิเมชั่นและ Autodesk Softimage สำหรับฉาก
• “La Luna” — ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาภาพยนตร์อะนิเมชันสั้นยอดเยี่ยม Pixar ใช้ Maya และซอฟต์แวร์ Renderman ของPixar เองในการสร้างเรื่องราวลึกลับนี้
• “The Muppets” — ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดย Look Effects ใช้การผสมผสานระหว่าง Flame, Flare และ Maya ในการนำชีวิตให้กับเรื่องราวของตัวละครอันเป็นที่รักนี้ติดอยู่ในบ็อกซ์ออฟฟิศ
• “The Tree of Life” — ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 3 รางวัลด้วยกันซึ่งรวมถึงสาข ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ด้วย Method Studios ใช้ Maya ในการสร้าง CG แบบเต็มรูปแบบสำหรับภาพยนตร์ของ “Microbial” ที่แสดงประสิทธิภาพควบคู่ไปกับแนวทางปฎิบัติและเทคนิคการผสมผสาน โดย EBP Dan Glass ของ Method ก็ถ่ายทำโดยใช้ Maya, 3ds Max และ Mudbox เป็นแกนหลักเพื่อสร้างเหล่าไดโนเสาร์ที่น่าพิศวงที่สร้างโดย 50 ศิลปินที่ทำให้บรรลุความต้องการของ Terrence Malick ในฉากนี้
• “War Horse” — ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 6 รางวัลด้วยกันซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Framestore ใช้ Maya ช่วยในการสร้างม้าดิจิตอล, ลวดหนามที่บูรณาการเป็นแบบวิชช่วลเอฟเฟค, สภาพแวดล้อมแบบดิจิตอลและเตรียมฉากถึง 200 ฉากสำหรับภาพยนตร์ดราม่ามหากาพย์ให้กับสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก Hollywood และ London-based The Third Floor ยังได้ดูภาพก่อนโดยใช้ชุดเครื่องมือนั้นรวมไปถึง Maya ด้วย

View :1264

กลุ่มทรู รายงานผลการดำเนินงานปี 2554 รายได้จากการให้บริการโดยรวมเติบโต

March 5th, 2012 No comments

บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2554 รายได้จากการให้บริการโดยรวมเติบโตแข็งแกร่ง จากความสำเร็จของบริการ Ultra hi-speed และการขยายธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ อย่างไร-ก็ตาม กลุ่มทรูรายงานผลขาดทุนสุทธิในปี 2554 จากค่าใช้จ่ายในการขยายบริการ 3G+ ของทรูมูฟ เอช ขณะที่ทรูออนไลน์และทรูวิชั่นส์ยังรักษาผลกำไรได้ดี

ในปี 2554 กลุ่มทรูมีรายได้จากการให้บริการโดยรวม จำนวน 56.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ไตรมาส 4 กลุ่มทรูมีรายได้จากการให้บริการลดลงเล็กน้อย (ร้อยละ 0.6) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งจากผลกระทบของวิกฤตน้ำท่วมต่อรายได้ทรูวิชั่นส์ และบริการโทรศัพท์พื้นฐานของทรูออนไลน์

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายบริการ 3G+ ของทรูมูฟ เอช ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในกาสร้างทรูมูฟ เอช ให้เป็นแบรนด์ 3G ชั้นนำของประเทศ รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิกฤตน้ำท่วม และส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นของทรูมูฟ ทำให้กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA ของกลุ่มทรู อ่อนตัวลงร้อยละ 7.0 จากปีที่ผ่านมาเป็น 17.1 พันล้านบาท ในขณะที่ ผลการดำเนินงานปกติ (NIOGO) ไม่รวมภาษีเงินได้รอตัดบัญชี ปรับเป็นขาดทุน 3.2 พันล้านบาท โดยในปี 2554 ทรูรายงานผลขาดทุนสุทธิสำหรับส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวนทั้งสิ้น 2.7 พันล้านบาท (จากกำไร 1.2 พันล้านบาทในปีก่อนหน้า) โดยรวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ซึ่งรวมเป็นกำไรทั้งสิ้น 2.7 พันล้านบาท

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กล่าวว่า “การดำเนินงานของกลุ่มทรูในปี 2554 มีพัฒนาการด้านยุทธศาสตร์หลายประการ ทั้งการเปิดบริการ 3G+ ของทรูมูฟ เอช และการปรับปรุงโครงข่ายเคเบิลโมเด็มด้วยเทคโนโลยีใหม่ DOCSIS 3.0 ซึ่งความสำเร็จจากพัฒนาการต่างๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้รายได้จากการให้บริการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”

“สำหรับปี 2555 บริษัทยังคงสานต่อพัฒนาการด้านยุทธศาสตร์ ด้วยการเปลี่ยนระบบออกอากาศของทรูวิชั่นส์เป็นระบบใหม่ที่มีความปลอดภัยสูง และการขยายบริการแบบ Triple-play ซึ่งประกอบด้วยบริการเสียง บริการบรอดแบนด์ระบบเคเบิลโมเด็ม ความเร็วสูงสุดถึง 100 Mbps และบริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก รวมทั้งการขยายความครอบคลุมของบริการ และ 3G+ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำของกลุ่มทรู ในฐานะผู้ประกอบการไทยรายเดียว ที่ให้บริการสื่อสารครบวงจรด้วยกลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ไลฟ์สไตล์”

โมบาย ประกอบด้วย ทรูมูฟ ทรูมูฟ เอช และฮัทช์ มีรายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมโยงโครงข่ายและค่าเช่าโครงข่าย) จำนวน 27.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0 จากปีก่อนหน้า จากรายได้ใหม่ในการเปิดให้บริการ ทรูมูฟ เอช การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของทรูมูฟ และการรวมผลประกอบการของฮัทช์ นอกจากนี้ การใช้บริการโมบาย อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้จากบริการที่ไม่ใช่เสียงเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.4 จากปีที่ผ่านมา ในขณะที่มีรายได้จากการขายสินค้าทั้งสิ้น 5.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 112.7 เนื่องจากอุปกรณ์สมาร์ทโฟนต่างๆ ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความโดดเด่นของบริการทรูมูฟ เอช 3G+ และการนำเสนอแพ็กเกจบริการที่ไม่ใช่เสียงและอัตราค่าโทรของกลุ่มทรู โมบายที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ ในปี 2554 กลุ่มทรู โมบาย มียอดผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิ (สำหรับทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช) รวมทั้งสิ้น 1.5 ล้านราย ทำให้มีจำนวนผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้น 18.9 ล้านราย ณ สิ้นปี 2554

มีรายได้จากการให้บริการ 26.9 พันล้านบาท ในปี 2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 จากปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริการบรอดแบนด์ บริการข้อมูลเพื่อธุรกิจ และการดำเนินกลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ ในขณะที่รายได้ของบริการบรอดแบนด์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากความสำเร็จในการเปิดบริการ Ultra hi-speed Internet ความเร็ว 7-100 Mbps ด้วยเทคโนโลยี ADSL และ DOCSIS 3.0 โดยในปี 2554 ทรูออนไลน์มียอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์รายใหม่สุทธิเพิ่ม 160,000 ราย แม้จะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในไตรมาส 4 ทั้งนี้ ยอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์โดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 เป็น 1.33 ล้านราย ณ สิ้นปี 2554 นอกจากนี้ ทรูออนไลน์ยังคงรักษาความเป็นผู้นำการให้บริการ WiFi โดยนำเสนอบริการ WiFi ความเร็วสูงที่สุด และครอบคลุมที่สุด ด้วยจุดเชื่อมต่อ WiFi มากกว่า 100,000 จุด ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งปรับมาตรฐานความเร็ว WiFi ใหม่เป็น 8 Mbps และเปิดตัวบริการ Ultra WiFi ความเร็วสูงสุด 100 Mbps อีกด้วย

ทรูวิชั่นส์ มีรายได้จากการให้บริการ 9.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้ค่าโฆษณาสามารถชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากค่าสมาชิกที่ลดลงในระหว่างปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากการลักลอบใช้สัญญาณในกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยม การแข่งขันในตลาดระดับกลางและล่าง และผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมในไตรมาส 4 ปี 2554

นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน กล่าวว่า “ในปี 2554 กลุ่มทรู ประสบความสำเร็จในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่ประกอบด้วย การระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม การสนับสนุนวงเงินกู้ระยะยาวจำนวน 49 พันล้านบาทจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศ เพื่อขยายธุรกิจของกลุ่มทรู โมบาย และการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลดอลล่าร์สหรัฐของทรูมูฟ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นพัฒนาการด้านการเงินที่สำคัญที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานภาพทางการเงินของบริษัท จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทั้งยังลดความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ และรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย”

“ในปี 2555 กลุ่มทรู จะเดินหน้าขยายธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงตามแผนการลงทุนที่วางไว้ ในขณะเดียวกัน จะมุ่งมั่นรักษาวินัยทางการเงิน และดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มกำไรให้แก่บริษัทในระยะยาว” นายนพปฎล กล่าวสรุป

View :1455

แคนนอนมั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปี 55 ตั้งเป้ายอดขายทะลุหมื่นล้าน

March 5th, 2012 No comments

แคนนอนมั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปี 2555 ประกาศเดินหน้าสร้างความสุขและรอยยิ้มให้ผู้บริโภคทั่วประเทศ พร้อมตั้งเป้ายอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาท รักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งในทุกผลิตภัณฑ์

นายวาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “แคนนอนมีความยินดีที่จะประกาศให้ทราบว่าในปี 2554 ที่ผ่านมา แคนนอนสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 8,653 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดตั้งแต่แคนนอนดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมา 17 ปี แม้ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แต่การเติบโตของธุรกิจในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 ช่วยทดแทนยอดขายระหว่างช่วงน้ำท่วม”

ทั้งนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์อิมเมจจิ้ง คอนซูเมอร์ โปรดักส์ (กล้องและเลนส์) มีการเติบโตสูงสุดจากปี 2553 เพิ่มขึ้น 16.1% และมียอดขายรวมตลอดทั้งปี 4,631 ล้านบาท กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ ซิสเต็ม โปรดักส์ (พรินเตอร์ และอุปกรณ์พรีเซ็นเตชั่น) มีอัตราการเติบโต 8.9% และมียอดขายรวมตลอดทั้งปี 2,865 ล้านบาท กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น (เครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นและอุปกรณ์สำนักงาน) มีอัตราการเติบโต 1% และมียอดขายรวมตลอดทั้งปี 1,157 ล้านบาท

ส่วนการดำเนินธุรกิจในปี 2555 แคนนอนมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว รวมทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเตรียมกลยุทธ์หลักภายใต้จุดมุ่งหมาย “Excellent Company” ซึ่งตลอดระยะเวลา 75 ปี แคนนอนมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอันทันสมัย และนำเสนอคุณภาพที่ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานทั้งที่บ้านและสำนักงาน ภายใต้วิสัยทัศน์ Excellent Corporate Vision ในปี 2555 แคนนอนยังคงยึดถือความมุ่งมั่นนี้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป และเน้นการสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้นในกลุ่มลูกค้า ควบคู่กับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระบบการทำงานยามเผชิญกับภาวะฉุกเฉิน โดยตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 24% หรือมียอดขายรวมตลอดทั้งปีทะลุ10,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์กล้อง แคนนอนตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 6,346 ล้านบาท กลุ่มพรินเตอร์เพิ่มเป็น 3,015 ล้านบาท และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องถ่ายเอกสารเพิ่มเป็น 1,376 ล้านบาท

นอกจากนี้ แคนนอนได้ขยายพื้นที่สำนักงาน และศูนย์บริการแคนนอน สาขา สำนักงานใหญ่ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มความสะดวกในการบริการลูกค้า และได้เพิ่มช่องทางขายไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งวางแผนเปิด แคนนอน คอนเซ็ป สโตร์ เพิ่มเติมอีก 4-5 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ทั้งหมด 5 สาขา โดยเน้นจังหวัดขนาดใหญ่ในแต่ละภูมิภาค เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดให้มากขึ้น

สำหรับภาพรวมการแข่งขันในปี 2555 แคนนอนคาดว่า การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคในปี 2555 กระตุ้นให้ทุกแบรนด์ต่างสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาด และโปรโมชั่นใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งแคนนอนได้เตรียมนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอันโดดเด่นที่จะสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับทุกคนในปี 2555 ประกอบด้วย
• กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น นำเสนอ GREEN Solution เพื่อสอดรับกับเทรนด์รักษ์โลกและห่วงใยในสิ่งแวดล้อม มากกว่านั้น โซลูชั่นนี้ยังช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน และลดต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของทุกบริษัท โดย GREEN Solution ภายใต้แนวคิด Business Can Be Simple ประกอบด้วย
- Green Products ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น เครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่น ของแคนนอนได้รับฉลากเขียวทั้งหมดจำนวน 16 รุ่น ซึ่งมากที่สุดในสินค้าประเภทเดียวกัน

- Green Services บริการ eMaintenance ใหม่จากแคนนอน ที่ช่วยคุณดูแลเครื่องถ่ายเอกสารโดยสามารถควบคุมและตรวจสอบการทำงานทั้งหมดของเครื่องได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อเกิดเหตุขัดข้องกับตัวเครื่องถ่ายเอกสารทางศูนย์จะได้รับการแจ้งเตือนอัตโนมัติ จึงทำให้สามารถแก้ปัญหาหรือเรียกฝ่ายซ่อมบำรุงเข้ามาจัดการได้ในทันที โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องยุ่งยาก นอกจากนี้ บริการ eMaintenance ยังช่วยตรวจสอบปริมาณการใช้งานของเครื่องอัตโนมัติรวมถึงปริมาณหมึกที่เหลือภายในเครื่อง พร้อมส่งรายงานให้กับผู้ใช้ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้สูงสุด

- Green Office ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ uniFLOW, Therefore และ Cloud Connect เป็นระบบการบริหารจัดการเอกสารผ่านเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่น ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่ายและง่ายต่อการใช้งาน รับประกันได้ว่าซอฟต์แวร์เหล่านี้จะช่วยให้การบริหารจัดการเอกสารในออฟฟิศไม่ยุ่งยากอีกต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณการใช้กระดาษลง (Paperless)

• กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง อินฟอร์เมชั่น นอกเหนือจากการสร้างแบรนด์แคนนอนให้เป็นที่รู้จักในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้นแล้ว แคนนอนได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของกล้องและพรินเตอร์ ให้ตอบสนองความต้องการทุกกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมมากขึ้น

- กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ ซิสเต็ม โปรดักส์ (พรินเตอร์ และอุปกรณ์พรีเซ็นเตชั่น) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันทั้งการทำงานและไลฟ์สไตล์ กลุ่มพรินเตอร์และอุปกรณ์พรีเซ็นเตชั่นจึงได้เปิดตัวเทคโนโลยีไร้สายมากมายในปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องถึงปี 2555 อาทิ Wi-Fi พรินเตอร์, พรินเตอร์ที่เชื่อมต่อกับ Gadget ต่างๆ อาทิ iPhone, iPad และ iPod Touch และล่าสุดได้เปิดตัวเทคโนโลยี PIXMA Cloud Printing ในตระกูล PIXMA MG Series ที่ช่วยให้สามารถพรินต์ภาพจากทุกที่ในโลก นอกจากนี้ แคนนอนได้พัฒนาเลเซอร์พรินเตอร์ มัลติฟังก์ชั่นเลเซอร์พรินเตอร์ในตระกูล imageCLASS และโซลูชั่นที่หลากหลายเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับกลุ่ม

ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจและ SME ในส่วนโปรเฟสชั่นแนลยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่รองรับขีดความสามารถในการพรินต์ที่ให้คุณภาพสูงสุดทั้งในเครื่องพรินเตอร์ในรุ่น Pro Printer และLCOS Projector ในตระกูล XEED ขณะที่ผลิตภัณฑ์โปรเจ็คเตอร์ แคนนอนตั้งเป้าขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการคุณภาพ เช่น การแพทย์

- กลุ่มผลิตภัณฑ์อิมเมจจิ้ง คอนซูเมอร์ โปรดักส์ (กล้องและเลนส์) แคนนอนตั้งเป้าหมายรักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งในตลาดกล้อง DSLR และกล้อง Digital Compact ต่อไป ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำทางด้านอิมเมจจิ้ง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 แคนนอนเตรียมวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ กล้องดิจิตอลคอมแพ็คPowerShot G1X มาพร้อมเซ็นเซอร์ CMOS ใหญ่เทียบเท่ากับเซ็นเซอร์ที่ใช้ในกล้องDSLR กล้อง EOS 1DX สุดยอดกล้องDSLRแบบฟูลเฟรมที่ถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็วที่สุดในโลก มากถึง 14ภาพ/วินาที พร้อมเลนส์รุ่นใหม่คือ EF 24-70mm f2.8L II USM, เลนส์เดี่ยวมุมกว้าง 2 รุ่นแรกของโลกที่มีเทคโนโลยี IS เลนส์ EF 24mm f2.8 IS USM และ EF 28mm f2.8 IS USM รวมถึง กล้องวีดีโอดิจิตอล Legria ระดับ Full HD 6 รุ่นใหม่ ที่ใช้เซ็นเซอร์ Full HD CMOS พร้อมเทคโนโลยี Wi-Fi ให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์วีดีโอไปยัง YouTube หรือ Facebook ได้ทันที นอกจากนี้ แคนนอนยังได้ขยายไลน์ไปสู่กลุ่มผู้ถ่ายทำภาพยนตร์มืออาชีพ ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้อง และเลนส์เพื่อการถ่ายภาพยนตร์ Cinema EOS System ได้แก่ กล้องถ่ายภาพยนตร์ Cinema EOS C300 พร้อมเลนส์คุณภาพระดับ PL รุ่น CN-E 14.5-60 mm T2.6 L S , CN-E 30-300 mm T2.95-3.7L S และรุ่นอื่นๆ อีก 5 รุ่นซึ่งคาดว่าจะวางจำหน่ายเร็วๆนี้

สำหรับกิจกรรมเพื่อสังคม ในปี 2555 แคนนอนยังคงให้ความสำคัญกับปรัชญา “เคียวเซ” ที่หมายถึงการพัฒนาและเติบโตไปพร้อมๆกับการสร้างสรรค์โลกและความสุขของมวลมนุษยชาติ ดังนั้นเคียวเซจึงเป็นเหมือนหัวใจสำคัญของแคนนอนในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตและก้าวย่างอย่างมั่นคงไปพร้อมๆกับเกื้อกูลสังคมและสิ่งแวดล้อม และได้ดำเนินการในหลายๆด้านอย่างแข็งขันในการนำปรัชญานี้มาปฏิบัติผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม โดยในปีนี้แคนนอนยังคงสานต่อโครงการ “พลังงานสีขาว เพื่อโลกสีเขียว” (Clean Energy for Green World) เป็นปีที่ 4 ซึ่งได้ติดตั้งกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องสมุดให้กับโรงเรียนในชนบททั่วประเทศ ซึ่งตั้งแต่เริ่มโครงการในเดือนกันยายน 2551 จนถึงปัจจุบันได้มีการติดตั้งกังหันลมให้กับโรงเรียนไปแล้วทั้งสิ้น 26 แห่งทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยได้มุ่งเน้นถึงการมีส่วนร่วมของคณะครู นักเรียนและคนในชุมชน นอกจากนี้บริษัทยังดำเนินกิจกรรมด้านสังคมในรูปแบบอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการให้การสนับสนุนด้านการศึกษา กีฬา สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมรวมถึงการบรรเทาสาธารณะภัยซึ่งมุ่งเน้นให้พนักงานแคนนอนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆอีกด้วย

View :1339

INET จับมือ SingTel, NSTDA นำโซลูชั่นส์ช่วยนิคมฯ เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ

March 5th, 2012 No comments

บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือไอเน็ต เล็งเห็นถึงความสำคัญด้าน การเตรียมความพร้อมในการรับมือช่วงสภาวะฉุกเฉิน วิกฤตการณ์ที่คาดไม่ถึง ได้ทำแผนร่วมมือกับ สองผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับประเทศ บริษัท สิงคโปร์ เทเลคอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด หรือ และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. จัดงานสัมมนาหัวข้อ “เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แม้ในยามวิกฤติ” เมื่อวันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา ณ นิคมอุตสาหรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี

ดร.ไพโรจน์ ศุภมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วงภาวะวิกฤติน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ไอเน็ตได้เห็นความสำคัญของธุรกิจลูกค้ามากที่สุด เพราะลูกค้าของเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหรรมและได้รับผลกระทบทางธุรกิจ เป็นจำนวนมาก จึงได้จัดโครงการ“ไอเน็ตเตรียมพร้อมรองรับภัยพิบัติ ตลอด 24 ชั่วโมง” และเราได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จอีกขึ้นหนึ่งของไอเน็ตในการจัดทำ BCP

ในปีนี้เราจึงเตรียมมาตรการเชิงรุกมากขึ้นด้วยการผนึกพันธมิตรระดับประเทศและผู้เชียวชาญด้านเทคโนโลยีอย่าง SingTel และ สวทช. เพื่อจัดสัมมนาให้ความรู้ความเข้าใจในการเตรียมรับมือวิกฤตการณ์ที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ และเรายังมีบริการที่ลูกค้าสามารถเตรียมพร้อมความปลอดภัยในด้านระบบและการสำรองสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย นอกจากนี้ทั้ง 3 หน่วยงานยังจัดเตรียมมาตรการรองรับและบริการสำหรับช่วยเหลือลูกค้าที่มีความเสี่ยง หรือกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่หากได้รับผลกระทบแล้วจะทำให้ธุรกิจสะดุดเกิดผลเสียหายน้อยที่สุด”

ส่วนทางสวทช.และ SingTel ได้มีการทำแผนร่วมในการนำบริการและโครงการเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ ให้ความรู้และแนะนำวิธีการรับมือวิกฤตการณ์โดยที่ธุรกิจจะยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ นำโดยคุณพรชัย ลีลาจรัสแสง Country Directer จาก SingTel ประเทศไทย และดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ นักวิจัยอาวุโสจากเนคเทคสังกัด สวทช. เป็นเกียรติเข้าร่วมเป็นวิทยากรในครั้งนี้

View :1453

เอไอเอส จับมือ สยามพิวรรธน์ เสนอ AIS Everyday Special ใน 4 ศูนย์การค้าสุดฮิป

March 5th, 2012 No comments

เปิดศักราชปี 55 เดินหน้ามอบความพิเศษทุกวันให้ลูกค้าแบบ 360 องศา ควงแขนสยามพิวรรธน์ จัดเต็มสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเอไอเอสที่ช็อปใน 4 ศูนย์การค้าสุดฮิป คือ และพาราไดซ์ พาร์ค ครบ ทั้ง Dining, Shopping, Parking และ Free ที่มาพร้อม App ค้นหาสิทธิพิเศษรอบตัวเพียงปลายนิ้ว

คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “อุตสาหกรรมมือถือในปีนี้นอกเหนือจากการขยายตัวเพื่อรับกระแสการเติบโตของการใช้งาน Data แล้ว ยังตื่นตัวในการตอบโจทย์ผู้ใช้บริการแบบครบวงจรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเอไอเอสในฐานะผู้นำและริเริ่มวางแนวทางการมอบสิทธิพิเศษดูแลลูกค้าถือว่าเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมนี้ไปอีกขั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น”

“แนวทางในการมอบบริการและสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าที่เอไอเอส ยึดมั่นมาโดยตลอด คือ “AIS Everyday Special ที่เน้นเรื่องความ Exclusive และ ความพิเศษที่มากยิ่งกว่าเสมอ (Always On Top)” ทั้งในส่วนของ Daily Life และ Lifestyle ซึ่งในปีที่ผ่านมาเอไอเอสได้ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในแกนของการมอบสิทธิพิเศษมากกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ โดยมีลูกค้าเข้าร่วมรับสิทธิพิเศษมากกว่า 6 ล้านครั้ง โดยปี 2554 ที่ผ่านมาเชื่อว่า การมอบสิทธิพิเศษที่เอไอเอสเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานการดูแลลูกค้าด้านนี้ขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมสามารถทำให้รักษาฐานลูกค้าไว้ได้ โดยมี Churn reduction อยู่ที่ 71% เมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มี Churn Reduction อยู่ที่ 50% รวมถึงเป็นอีก 1 ปัจจัยที่ทำให้เราได้ net gain ของ Mobile Number Portability”

คุณวิลาสินี กล่าวถึงนโยบายการร่วมมือกับพันธมิตรว่า “ปัจจุบันแต่ละอุตสาหกรรมต่างก็มองหาพันธมิตรที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกัน โดยนำจุดแข็งที่แต่ละฝ่ายมีนำมาผสมผสานกันเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกด้านให้แก่ลูกค้า รวมถึงขยายประโยชน์ให้แก่ฐานลูกค้าของตน ในส่วนของ เอไอเอสนั้นจากแนวคิด Ecosystem เราพร้อมที่จะเป็นช่องทางในการส่งมอบความพิเศษให้แก่พันธมิตรเสมอดังเช่นการร่วมมือต่อยอดความสำเร็จกับสยามพิวรรธน์ในครั้งนี้กับสิทธิพิเศษทุกแกนครบถ้วนมอบให้ลูกค้าเอไอเอสที่เข้ามาใช้บริการใน 4 ศูนย์การค้าสุดฮิป ประกอบด้วย สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และพาราไดซ์ พาร์ค ซึ่งเราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยความเป็นแหล่งศูนย์รวม Lifestyle ที่อินเทรนด์ และมีสีสัน ตลอดจน Location ที่ง่ายต่อการเข้าถึงของผู้บริโภค จะทำให้ความร่วมมือในครั้งนี้สามารถสร้างทุกวันให้พิเศษยิ่งกว่าเสมอแก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดีแน่นอน”

ด้านคุณมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายส่งเสริมธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะที่พันธมิตรเป็น Operator ระดับประเทศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การทำให้มีฐานลูกค้าที่มีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและเรื่อง Lifestyle ที่เหมือนกัน ส่งผลให้ทั้ง 2 บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าและร่วมกันมอบสิ่งพิเศษที่ดีที่สุด อาทิ ลูกค้าเอไอเอสที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จาก Shopping & Dining Privilege Experience และ ลูกค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่และพาราไดซ์ พาร์ค ได้ Update Uptrend ในโลก Wifi ได้ทุกที่ในศูนย์การค้า

สำหรับ ความโดดเด่นของศูนย์การค้าในเครือสยามพิวรรธน์ทั้ง 4 แห่งนั้น สยามพารากอน เป็น World Class Destination ของทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงหมุนเวียนเป็นหลายแสนคนต่อวัน สยามเซ็นเตอร์ เป็น Center of Fashion ศูนย์การค้าที่ทันสมัย update ทุกเทรนด์ฮิต โดดเด่นด้วย Flagship Store ของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากต่างประเทศและเป็นศูนย์รวมของไทยดีไซเนอร์ชั้นนำใหญ่ที่สุดในประเทศ อีกทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าที่มีคนเดินทางเป็นแสนคนต่อวัน สยามดิสคัฟเวอรี่ ศูนย์การค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ศูนย์รวม International Brand Flagship Store ชั้นนำของประเทศ รวมถึงยังมี World Class Entertainment อย่าง Madame Tussauds และ Ice Planet รวมถึงยังมี Sky dining & Mood ซึ่งเป็น Hip Place แห่งใหม่ใจกลางเมืองที่ให้ลูกค้าได้มาดื่มด่ำบรรยากาศพร้อมอาหารอร่อยมากมาย เนรมิตความสุขทุกมิติบน ถ.ศรีนครินทร์ สวนสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพตะวันออก ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว”

โดยรายละเอียดความร่วมมือครั้งนี้ถือได้ว่าครบถ้วนและสมบูรณ์แบบที่สุดครั้งแรก ประกอบด้วย
1. ลูกค้าเอไอเอสรับสิทฺธิพิเศษมากมายกว่า 150 ร้านค้าใน 4 ศูนย์ ทั้ง Dining และ Shopping
2. ฟรี AIS Wifi ด้วยความเร็วสูงสุด 100 Mbps ใน สยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์, และสยามดิสคัฟเวอรี่ (บริการ wifi มีเฉพาะที่ SPD / SC /SD) โดยกด *199*1# เพื่อรับ password เล่นได้แบบ Unlimited พร้อม Application ค้นหาสิทธิพิเศษรอบๆตัว เอาใจสาวกทุก OS อาทิ Layar App for iPhone, Android, BlackBerry7, Layar for Symbian 3 , Nokia Map for Symbian และ Google Chrome on Google Chrome Browser
3. บริการสำรองที่จอดรถสำหรับลูกค้าเอไอเอสเซเรเนด
4. กิจกรรมพิเศษเมื่อลูกค้าเอไอเอสช้อปครบ 2,000 บาท แลกรับตุ๊กตาอุ่นใจขนาด 5 นิ้ว ที่จุด Redemption ของศูนย์การค้าแต่ละแห่ง
ลูกค้าเอไอเอส สัมผัสกับความพิเศษจากความร่วมมือในครั้งนี้ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม ศกนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ais.co.th/privilege

โดยคุณวิลาสินีกล่าวตอนท้ายว่า “เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การร่วมมือในครั้งนี้จะตอบโจทย์และมอบความพิเศษในทุกๆวัน หรือ AIS Everyday Special ที่แตกต่างได้ และสามารถทำให้ลูกค้าเอไอเอส รวมถึงลูกค้าของศูนย์การค้าในเครือสยามพิวรรธน์ได้รับ Total Experience สุดพิเศษจากเราทั้งคู่ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการผนึกกำลังที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในอนาคตแน่นอน”

View :1792

ทรูออนไลน์ ปักธง อัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต ที่สระบุรี

March 5th, 2012 No comments

เปิดตัวบริการ “ 7 – 100 เมก” ครั้งแรกในจังหวัดสระบุรี ให้ชาวสระบุรีสนุกกับโลกอินเทอร์เน็ต ได้เร็วแรงสุดขีด โดยไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 599 บาทต่อเดือน พร้อมรับฟรี ไว-ไฟ เราท์เตอร์ มูลค่าสูงสุด 3,200 บาท ให้ท่องเน็ตอิสระไร้สายได้ทุกที่ในบ้าน ผู้สนใจสามารถสมัครหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1686, ทรูช้อป, ทรู พาร์ทเนอร์ ทุกสาขา ภายใน 31 มีนาคม 2555

View :1409

“คอปเปอร์ไวร์ด” เปิด iStudio by Copperwired รวด 2 สาขา

March 5th, 2012 No comments

“คอปเปอร์ไวร์ด” เดินหน้าขยายสาขาเต็มตัว เปิด พร้อมกัน 2 สาขาที่ตึก All Seasons Place และ Park Ventures Ecoplex เพลินจิต ” ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข” เผยเพื่อให้สินค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น พร้อมร่างแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาภายในเดือนเดียวกัน สร้างสถิติเปิด รวดเดียว 3 สาขา ใน 1 เดือน คุยทั้งปียึดทำเลทองครบ 17 สาขาทั้งกรุงเทพฯ-หัวเมืองใหญ่

นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ไวร์ด จำกัด ตัวแทนจำหน่ายระดับพรีเมี่ยมของแอปเปิ้ล ภายใต้ชื่อร้าน iStudio by copperwired และสินค้า Gadget ภายใต้ชื่อร้าน .life (ดอทไลฟ์) กล่าวว่าในวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา คอปเปอร์ไวร์ด ได้เปิดร้าน iStudio by copperwired พร้อมกันถึง 2 สาขา คือ สาขา All Seasons Place และ Park Ventures Ecoplex เพลินจิต เพื่อให้สินค้าแบรนด์แอปเปิ้ลที่จัดจำหน่ายผ่านร้าน iStudio by copperwired สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยร้านใหม่ทั้ง 2 สาขา ได้รับการออกแบบให้เป็นร้านเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ ที่ให้ความสะดวกสบาย หรูหรา สไตล์แอปเปิ้ล โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าไปสัมผัส ทดลอง และใช้งานได้จริง เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด

“การเปิด iStudio by copperwired ถึง 2 สาขาพร้อมกันครั้งนี้ถือเป็นการยึดหัวหาดทำเลทองที่ดีที่สุดในบริเวณนี้ไว้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด ซึ่งผมยืนยันอีกครั้งว่าเรารู้จักสินค้าของเราดี มั่นใจว่าเหมาะกับกลุ่มตลาดแบบไหน เราจึงไม่รอลูกค้าเข้ามาหาเรา แต่เราจะเข้าไปที่ที่ลูกค้าของเราอยู่ เช่นเดียวกับที่เราเลือกเปิดสาขาในทำเลต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นสยามดิสคัฟเวอรี่ หรือแม้แต่เซ็นทรัลเวิลด์ และเจอเวนิว และในเดือนมีนาคมนี้เราจะเปิดสาขาใหม่อีก 1 สาขาในทำเลที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เราทำสถิติเปิดสาขาใหม่ถึง 3 สาขาภายในเวลาเพียง 1 เดือน นอกจากนั้นเรายังมีแผนจะปรับปรุงสาขาเดิมที่มีอยู่ให้มีรูปแบบที่ทันสมัยขึ้นอีก 2 สาขาด้วย” นายปรเมศร์ กล่าว

เขากล่าวต่อว่าในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะขยายร้าน iStudio by copperwired เพิ่มอีก 7 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ซึ่งจะทำให้จนถึงสิ้นปี บริษัทจะมีร้าน iStudio by copperwired กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ และเขตเศรษฐกิจสำคัญรวมทั้งสิ้น 17 สาขา ครอบคลุมลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น

View :1231

สวทช. จับมือ สามารถ ร่วมเฟ้นหานักคิดหัวกะทิ สู่ ”เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี”

March 5th, 2012 No comments

“ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ” ภายใต้ “สวทช.” และ โครงการ โดย “” ร่วมกันเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจให้แก่นักพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ด้วยการจัดโครงการ“เถ้าแก่น้อย” Idea to Market เฟ้นหาผลงานเด่นจากนักคิดระดับหัวกะทิของไทยที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีผลงานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยพร้อมจะผลักดันให้เกิดการต่อยอดในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า “สวทช. ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมให้มีการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเป็นกลไกหลักในการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมไทย เราจึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีขึ้น เพราะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยได้เปรียบเหนือคู่แข่ง และพร้อมขยายผลโดยนำผลงานออกสู่ตลาดสากล”

สวทช.และกลุ่มบริษัทสามารถ เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ได้ร่วมมือและให้การสนับสนุนการประกวด Samart Innovation Awards ตั้งแต่ปีแรกของการประกวด มาในปีนี้ เราได้ยกระดับความร่วมมือกันในการส่งเสริมให้ผลงานด้านเทคโนโลยีชั้นเลิศเหล่านั้น ได้ก้าวสู่เชิงพาณิชย์หรือเป็นผู้ประกอบธุรกิจเทคโนโลยี (Technopreneur) อย่างจริงจัง ภายใต้โครงการ “เถ้าแก่น้อย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เถ้าแก่น้อย” โดยมีศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ ภายใต้สวทช. ซึ่งมีประสบการณ์ในการให้ความรู้เรื่องของธุรกิจเทคโนโลยี มากว่า 10 ปี เป็นผู้ดำเนินการ

มีความโดดเด่นและแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นโครงการแรกในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่มีการผลักดันผลงานที่มีแนวคิดและความพร้อม มีความเป็นไปได้ทางการตลาด สู่การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่จับต้องได้แล้วนั้น ยังเป็นโครงการที่เน้นการสร้างคนคุณภาพ ที่มีการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ไว้อย่างเข้มข้นคือ 1. มีการคัดเลือกแนวคิดที่มีความเป็นไปได้สูงจากผลงานของนักพัฒนาหัวกะทิ 2. เติมเต็มความรู้ความชำนาญจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในเรื่องเทคโนโลยี การตลาด การขายให้เกิดความเข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้บริการ 3. สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาผลงานต้นแบบ จากกลุ่มบริษัทสามารถ เพื่อต้องการให้เห็นผลงานเป็นรูปธรรมมากขึ้น 4. การได้พบปะและนำเสนอผลงานโดยตรงกับองค์กรต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ที่เป็นทั้งเจ้าของธุรกิจ หรือแหล่งเงินทุน เพื่อต่อยอดในการดำเนินธุรกิจ ที่สำคัญยังรองรับการทำธุรกิจต่อเนื่องผ่านศูนย์บ่มเพาะ ของสวทช. ที่จะสร้างความมั่นใจได้ว่าจะไม่ใช่แค่การประกวดธรรมดา แต่จะเป็นโครงการที่ส่งเสริมการสร้างเถ้าแก่น้อยอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด

นายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่กลุ่มบริษัทสามารถได้จัดโครงการ Samart Innovation Awards เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของไทย โดยนอกเหนือจากการประกวดแล้ว เรายังมุ่งเน้นในการเพิ่มเติมความรู้และทักษะทางการตลาด อาทิ การจัดอบรมพิเศษต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่โลกธุรกิจให้แก่นักพัฒนารุ่นใหม่อีกด้วย โดยในปี 2554 ที่ผ่านมา ทางโครงการฯ ได้มีการกำหนดโจทย์ในการสร้างสรรค์ซอฟต์แวร์ด้านการท่องเที่ยว โดยได้รับความร่วมมือจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมโรงแรมไทย ในการถ่ายทอดความต้องการของตลาดและร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมีจำนวนผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้นกว่า 150 ผลงาน มีผลงานที่ได้รับรางวัล 13 ผลงาน ซึ่งในจำนวนนั้น มีผลงานที่ได้รับรางวัล Gold awards ถึง 4 รางวัล แสดงให้เห็นถึงการตอบรับและความตื่นตัวของนักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ที่พร้อมจะเปิดรับโอกาสในการก้าวสู่โลกของมืออาชีพอย่างแท้จริง

มาในปีนี้ ซึ่งเป็นการเข้าสู่ปีที่ 10 ของโครงการ Samart Innovation Awards บริษัทฯ มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ยิ่งขึ้นสำหรับผลงานที่มีความพร้อม ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวก็สอดคล้องกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่มุ่งผลักดันให้เกิด “คนคุณภาพ” ในโลกของเทคโนโลยี จึงเป็นที่มาของความร่วมมือในการจัดโครงการ “เถ้าแก่น้อย” โดยกลุ่มสามารถ พร้อมให้การสนับสนุน ด้วยการเติมเต็มความรู้ธุรกิจและเทคโนโลยีที่เรามีประสบการณ์ สนับสนุนทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ และพร้อมมอบเงินรางวัล มูลค่า 2 แสนบาท สำหรับสุดยอดเถ้าแก่น้อยจากการประกวดในปี 2555 นี้

นายเจริญรัฐฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ต่อกิจกรรมทางธุรกิจ และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ผมหวังว่าการผสานความร่วมมือกันในครั้งนี้จะสร้างโอกาสระยะยาวให้กับคนรุ่นใหม่ ตอกย้ำนโยบายด้าน CSR ของกลุ่มสามารถในปี 2012 ที่ยังคงต้องการเสริมความสามารถ และสร้างคนคุณภาพ โดยจัดโครงการ Samart Innovation Awards อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งส่งเสริมเป็น 3 รูปแบบ คือ 1.รูปแบบของการเสริมทักษะความรู้ หรือเข้าอบรมให้ความรู้แก่องค์กรต่างๆ ตามความถนัด 2.การให้ทุนการศึกษาหรือทุนวิจัยด้านเทคโนโลยี และ3.ส่งเสริมการประกวดความคิดสร้างสรรค์โดยผสานความร่วมมือเข้าร่วมกับองค์กรใดๆที่มีแนวคิดร่วมกันเป็นสำคัญ”

View :1280

เลอโนโว จัดแคมเปญ “10 ฟีเจอร์เด่นที่ทำให้ Think เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด” พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม

March 5th, 2012 No comments

จัดแคมเปญเพื่อธุรกิจ SMB กับ 10 ฟีเจอร์เด่นจาก Think ที่ทำให้คุณคุ้มยิ่งขึ้น เพียงคุณซื้อผลิตภัณฑ์ ThinkPad ในราคาพิเศษ และรับสิทธิ์แบ่งชำระดอกเบี้ย 0% สูงสุด 10 เดือน พร้อมรับของที่ระลึกพิเศษจากเลอโนโว พิเศษยิ่งขึ้น ร่วมโหวตเลือก 3 ฟีเจอร์เด่นในดวงใจ ผ่านทาง http://www.lenovosmbthailand.com/10things โดยหากฟีเจอร์ที่คุณเลือกได้รับการโหวตมากที่สุด 3 อันดับแรก ลุ้นรับ ThinkPad Tablet มูลค่า 22,900 บาท จำนวน 1 รางวัล ตั้งแต่วันนี้ – 18 มีนาคม 2555 เท่านั้น ประกาศผลผู้โชคดีในวันที่ 31 มีนาคม 2555

นายจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามุ่งพัฒนาเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่สมบรูณ์แบบ ตอบโจทย์โน้ตบุ๊คเพื่อนคู่กายของนักธุรกิจ โดยผลิตภัณฑ์ตระกูล Think ของเลอโนโวนั้น ไม่เพียงมีคุณสมบัติที่โดดเด่นตรงความต้องการของธุรกิจ แต่ยังมาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและประสิทธิภาพทรงพลังในราคาสุดคุ้ม ทั้งนี้ เพื่อช่วยเอื้อการทำงานให้ผู้ใช้งานสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและจัดสรรชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว”

ThinkPad Edge E120 รูปโฉมใหม่ของความทนทานดีไซน์บางเบา อายุแบตเตอร์รี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น พร้อมสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ด้วย WWAN รองรับ 3G ในราคาพิเศษเพียง 21,900 บาท
ThinkPad Edge E320 ที่สุดของโน้ตบุ๊คเพื่อธุรกิจ ขนาดกะทัดรัด พลังเต็มประสิทธิภาพ ในราคาเพียง 22,900 บาท และราคาเพียง 23,900 บาท สำหรับรุ่นที่รองรับ 3G
ThinkPad Edge E420 ประสิทธิภาพครบครัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ใช้งานได้ทุกสภาวะ ราคาสุดคุ้มเพียง 22,400 บาท
ThinkPad X220i ดีไซน์บางเบา เต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานทางทหาร 8 ระดับ ให้คุณเป็นเจ้าของในราคาเพียง 32,000 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เลอโนโว คอลล์ เซ็นเตอร์ โทร.1800-060-087 หรือ 02-689-6451ติดตามข่าวสารล่าสุดและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของเลอโนโวได้ที่เว็บไซต์ Lenovo Thailand (http://www.lenovo.com/th) หรือ สมัครได้ที่ Lenovo RSS Feeds (http://news.lenovo.com) หรือติดตามผ่าน Lenovo Lover บน Facebook (www.facebook.com/lenovo.lover)

View :1699

ก.ไอซีที ตั้ง สพธอ. เป็นหน่วยงานรับรองสิ่งพิมพ์ออก

March 5th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะประธานกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ประกาศแต่งตั้งให้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับรองสิ่งพิมพ์ออก ทั้งนี้ เพื่อให้มีหน่วยงานที่มีอำนาจในการรับรองสิ่งพิมพ์ออกของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และให้สามารถใช้อ้างอิงแทนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ ตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้นำเสนอหรือเก็บรักษาข้อความใดในสภาพที่เป็นมาแต่เดิมอย่างเอกสารต้นฉบับ ถ้าได้นำเสนอหรือเก็บรักษาในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพ.ร.บ.ฯ ให้ถือว่าได้มีการนำเสนอหรือเก็บรักษาเป็นเอกสารต้นฉบับตามกฎหมายแล้ว และในกรณีที่มีการทำสิ่งพิมพ์ออกของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวสำหรับใช้อ้างอิง ซึ่งหากสิ่งพิมพ์ออกนั้นมีข้อความถูกต้องครบถ้วนตรงกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และมีการรับรองสิ่งพิมพ์ออกโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตามที่คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ประกาศแล้ว ให้ถือว่าสิ่งพิมพ์ออกดังกล่าวใช้แทนต้นฉบับได้

“คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ออกประกาศคณะกรรมการฯ เรื่อง การรับรองสิ่งพิมพ์ออก พ.ศ.2555 และ เรื่อง หน่วยงานรับรองสิ่งพิมพ์ออก พ.ศ.2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สิ่งพิมพ์ออกสามารถใช้อ้างอิงแทนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และมีผลใช้แทนต้นฉบับได้ตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 ที่ผ่านมา” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

สำหรับหน่วยงานที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นหน่วยงานรับรองสิ่งพิมพ์ออกได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติ คือ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทางเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ในจำนวนที่เพียงพอ โดยอย่างน้อยต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ ด้านเทคโนโลยีการระบุตัวตน และการยืนยันตัวตน ด้านระบบเอกสารที่ทำในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และด้านการตรวจสอบและประเมินผลความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ นอกจากนี้ยังต้องจัดให้มีเครื่องมือหรือวิธีการที่เพียงพอและมีมาตรฐาน สำหรับใช้ในการตรวจสอบว่าระบบการพิมพ์ออกและกระบวนการจัดทำสิ่งพิมพ์ออกมีความมั่นคงปลอดภัย และสามารถจัดทำสิ่งพิมพ์ออกที่มีข้อมูลถูกต้องครบถ้วนตรงกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่

ที่สำคัญต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการของผู้ขอให้รับรองระบบการพิมพ์ออก รวมทั้งผู้พัฒนา ขาย จัดทำ จัดซื้อ จัดหา หรือให้เช่าระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้กับผู้ขอให้รับรองระบบการพิมพ์ออกอีกด้วย

View :1557