Archive

Archive for the ‘E-Commerce’ Category

โทเทิ่ล เรสเซอร์เวชั่น ผนึกเว็บไซต์ เคาะ ราคา ดอท คอม เปิดบริการ “Total Online Auction” หวังดึงยอดบริการออนไลน์โต 20%

August 26th, 2011 No comments

ผู้ให้บริการธุรกิจจองครบวงจร ทั้งบันเทิง กีฬาและท่องเที่ยว ผนึกเว็บไซต์ เคาะราคา ดอท คอม เปิดให้บริการ “” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการรับบริการต่าง ๆ เพื่อความบันเทิงผ่านทางเว็บเคาะราคา ดอท คอม เว็ปไซต์ที่นำสินค้าต่างๆมาประมูลในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Real Time Online Auction”

นางสาวนุชนภา พฤฒิพิบูลธรรม ผู้จัดการอาวุโส โทเทิ่ล เรสเซอร์เวชั่น ผู้ให้บริการต่างๆ เพื่อการท่องเที่ยวและความบันเทิงครบวงจร หนึ่งในธุรกิจของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นจ์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ผู้ใช้บริการออนไลน์ของคนรุ่นใหม่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การประกอบธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นช่องทางการตลาดขนาดใหญ่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และไร้ขีดจำกัดของเรื่องเวลา สถานที่ ทำให้เห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะขยายการบริการเพื่อความบันเทิงทุกรูปแบบผ่านทางการประมูลสินค้าออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ จึงได้ร่วมกับทางเว็บเคาะราคา ดอท คอม เพื่อรองรับการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย

ล่าสุดโทเทิ่ล เรสเซอร์เวชั่น ได้ร่วมมือกับเคาะราคา ดอท คอม ให้บริการรูปแบบใหม่ “Total Online Auction” เพื่อหวังดึงยอดบริการออนไลน์เพื่อความบันเทิงทุกรูปแบบเติบโตเพิ่มขึ้น 20 % จากการใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ในปัจจุบัน 25 % เป็น 45 % และสำหรับสมาชิกของ โทเทิ่ล เรสเซอร์เวชั่น และเว็บไซต์ เคาะราคา ดอท คอม สามารถนำแต้มสะสมจากการใช้บริการมาแลกสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังสามารถนำมาแลกเป็นสิทธิ์ในการประมูลสินค้าใช้ในการประมูลสินค้าออนไลน์ ทั้งแพ็คเกจทัวร์ ห้องพักโรงแรม ตั๋วคอนเสิร์ตการแสดงต่างๆ สินค้า Gadget สุดฮิตอย่าง iPhone4, iPad 2 หรือแม้แต่กระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง LOUIS VUITTON และแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกซึ่งเป็นสินค้าของแท้ทุกชิ้นและถูกต้องตามลิขสิทธิ์

นายเชษฐพล หล่อบรรจงสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการจัดการผู้บริโภค เปิดเผยว่ารูปแบบการประมูลสินค้าออนไลน์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา แต่ในตลาดออนไลน์ของประเทศไทยยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคไทยส่วนมากยังไม่เชื่อถือการทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต และการประมูลสินค้าที่ต้องจ่ายเงินก่อนการได้รับสินค้าซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก ทั้งนี้ธุรกิจเซ็คเม้นท์นี้อยู่ในช่วงเติบโตขึ้นมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมาและเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นต่อเนื่อง

เคาะราคาดอท คอม จัดว่าเป็นผู้นำทางด้านการประมูลออนไลน์ในประเทศไทย และเป็นเจ้าแรกที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เกือบทุกไลฟ์สไตล์ไม่ว่าจะเป็น Trendsetter ในด้าน Technology หรือ Gadget ต่างๆ เช่น iPhone 4, iPad 2 ตลอดจน Fashionista โดยการนำสินค้าต่างๆมาประมูลในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Penny Auction” หรือ “Real time online auction” และใช้รูปแบบธุรกิจ “Pay to bid” ซึ่งผู้ที่จะเข้าร่วมประมูลสินค้าต้องทำการซื้อสิทธิ์ที่จะใช้ในการประมูลก่อน และราคาสินค้าจะเริ่มประมูลที่ 0 บาท โดยการกดประมูล 1 ครั้ง ราคาจะเพิ่มขึ้นไป 0.25 บาท และเริ่มนับเวลาถอยหลังใหม่ที่ 15 วินาที ผู้ที่ชนะการประมูลคือผู้ที่มีชื่ออยู่คนสุดท้ายเมื่อนาฬิกานับถอยหลังจนถึง 0 วินาที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ ระบบเคาะราคา ดอท คอม นั้นได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรนานาชาติ ทำให้สมาชิกของเคาะราคา ดอท คอม นั้นสามารถทำธุรกรรมและเข้าร่วมการประมูลต่างๆบนระบบของเคาะราคา ดอท คอม ได้อย่างสบายใจและปลอดภัย

นางสาวนุชนภา กล่าวย้ำว่าบริการ “Total Online Auction” สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการรับบริการจองต่าง ๆ และทำให้สมาชิกของโทเทิ่ล เรสเซอร์เวชั่น และ เคาะราคา ดอท คอม มีโอกาสที่จะซื้อสินค้าได้ในราคาประหยัดกว่าปกติทำให้ทุกการใช้จ่ายของคุณคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายตั๋วเพื่อความบันเทิงแบบครบวงจรที่มีประสิทธิภาพ

View :1701

กรุงศรีเปิดตัว Krungsri Banking SIM ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย

August 19th, 2011 No comments


กรุงศรีรุกบริการธนาคารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Channel) ล่าสุดขึ้นแท่นผู้นำบริการธนาคารผ่านโทรศัพท์มือถือ นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทุกกลุ่ม ทั้งในแบบทั่วไป (Non-Smartphone) และแบบสมาร์ทโฟน (Smartphone) เปิดตัว ที่เพียงประกบแผ่นฟิล์มบนซิมการ์ดมาตรฐานทุกรุ่น ก็สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน โดยไม่ต้องเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต ครอบคลุมรุ่นโทรศัพท์มากที่สุด ใช้งานได้กับทุกค่ายโทรศัพท์มือถือ ด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด พร้อมนวัตกรรมKrungsri Mobile Application ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ด้วยบริการที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว อีกหนึ่งบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนปรับภาพลักษณ์และยกระดับทางการตลาด “Make Life Simple เรื่องเงิน เรื่องง่าย”

นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงศรีได้พัฒนาช่องทางบริการการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Channel) อย่างเต็มตัว สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมองค์กรของเราที่ก้าวไปพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัยในปัจจุบัน หนึ่งในนวัตกรรมอันโดดเด่นที่กรุงศรีนำเสนอ คือ Krungsri Banking SIM บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นช่องทางสำคัญที่จะช่วยทำให้ชีวิตของลูกค้าทุกคน สะดวกสบายขึ้น ลดความซับซ้อน และลดทอนเวลาในการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างชัดเจน ตอกย้ำภาพลักษณ์ ‘Make Life Simple เรื่องเงิน เรื่องง่าย’ ของกรุงศรี

Krungsri Banking SIM บริการรูปแบบใหม่ล่าสุด ที่แตกต่างจากบริการเดิมที่มีอยู่ในตลาดอย่างชัดเจน ด้วยเทคโนโลยีแผ่นฟิล์มที่ใช้ประกบบนซิมการ์ดขนาดมาตรฐานทุกรุ่น ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินแบบง่ายๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และยังสามารถใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือทุกรุ่น ทุกระบบ ลูกค้าสามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ด หรือเครือข่ายผู้ให้บริการ (Service Provider)

Krungsri Banking SIM จะช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมและใช้บริการทางการเงินได้อย่างหลากหลาย ทั้งการตรวจสอบยอดเงินในบัญชีหลัก และบัญชีรอง โอนเงินภายในและต่างธนาคาร เติมเงินมือถือ ชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ตรวจสอบการทำรายการย้อนหลัง และตรวจสอบหรือแลกเงินสด Yellow Points ซึ่งลูกค้าสามารถใช้งานได้สะดวกในทุกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตบนมือถือ โดยมีจุดเด่นเรื่องของความรวดเร็วของระบบปฏิบัติการในทุกขั้นตอนคำสั่งใช้งาน ด้วยความเร็วสูงสุดเมื่อเทียบกับรูปแบบธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน

Krungsri Banking SIM ยังมีระบบความปลอดภัยสูงสุด ด้วยการใช้ระบบความปลอดภัย 2 ชั้น (Double Security) โดยลูกค้าจะได้รับ PIN ตัวเลขจำนวน 4 หลัก และ Password ตัวเลขจำนวน 6 หลัก เพื่อเข้าสู่เมนูคำสั่ง และทำรายการ เมื่อลูกค้าทำรายการเสร็จสิ้นจะได้รับการยืนยันการใช้งานผ่าน SMS ทั้งนี้ ลูกค้าธนาคารสามารถเปิดใช้บริการ Krungsri Banking SIM ได้ที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยากว่า 600 สาขาทั่วประเทศ เพียงชำระค่าบริการรายเดือน 15 บาทต่อเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมซิม

นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านบริการทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรุงศรีกำลังพัฒนา Krungsri Mobile Application สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือในกลุ่ม สมาร์ทโฟน และผู้ใช้งานแทบเล็ต (Tablet) โดยเฉพาะ ถือเป็นแอพพลิเคชั่นแรกในตลาดที่สามารถรวบรวมผลิตภัณฑ์ทั้งของธนาคารและบริษัทในเครือรวมอยู่ในแอพพลิเคชั่นดังกล่าว โดยมีทั้งข้อมูลผลิตภัณฑ์ ข้อมูลล่าสุดของลูกค้าในแต่ละผลิตภัณฑ์ การเข้าถึงบริการอย่างครบวงจร และยังผนวกรวมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟน ที่สนุกสนานกับการแชร์คอนเท็นต์ การแสดงความเห็นในสังคมออนไลน์ไว้อย่างครบครัน ซึ่งถือว่าตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าว

นายฐากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันลักษณะการใช้งานโทรศัพท์มือถือของคนไทย มีสัดส่วนเป็นโทรศัพท์มือถือทั่วไป 80% และสมาร์ทโฟน 20% บริการทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรุงศรีสามารถครอบคลุมทุกกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่มีอยู่ในตลาด โดยไม่แยกระบบเครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่ง ที่สำคัญคือ สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้ในทุกจุดอย่างชัดเจน

“ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในทุกๆ ช่องทางของผลิตภัณฑ์และบริการ ทุกก้าวของพัฒนาการที่เกิดขึ้นของกรุงศรีนั้นได้เดินหน้าเป็นไปตามแผนการตอกย้ำภาพลักษณ์และยกระดับทางการตลาด Make Life Simple เรื่องเงิน เรื่องง่าย ผ่านการปรับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้สะดวกง่าย บริการบนมือถือดังกล่าวจึงเป็นหนึ่งบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นภายใต้แผนดังกล่าว” นายฐากร กล่าวในที่สุด

ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดต่อ Krungsri Call Center 1572

View :3201

ไทยพาณิชย์ ร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง นำร่องเสริมศักยภาพด้านช่องทางการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์

August 17th, 2011 No comments

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งมั่นในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมในการให้บริการด้านการเงินต่างๆ กับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เปิดบริการ ชำระค่าไฟฟ้าออนไลน์ ด้วย ผ่านเว็บไซต์ นับเป็นบริการสาธารณะที่นำเอานวัตกรรมด้านระบบความปลอดภัยของธนาคารมาสร้างความมั่นใจและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในการชำระเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถทราบผลทันที (Real Time)

นางพรรณแข นันทวิสัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สาย Global Transaction Services กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ธนาคารให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการด้านบริการทางการเงินแก่หน่วยงานภาครัฐมากขึ้น มุ่งคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และการให้บริการอย่างต่อเนื่องโดยบริการใหม่นี้ ธนาคารได้รับความไว้วางใจจากทาง กฟน.ให้เป็นผู้ให้บริการชำระเงินค่าไฟฟ้าออนไลน์ผ่าน SCB Payment Gateway เป็นธนาคารแรก ทั้งนี้ด้วยประสิทธิภาพของระบบงานธนาคารที่ปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถชำระเงินออนไลน์ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เนื่องจากเป็นระบบ Online Real Time ที่ทำให้ทราบข้อมูลการชำระเงินแบบทันทีสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าอีกด้วย

นายฐานิสต์ เจนถนอมม้า รองผู้ว่าการธุรกิจ กล่าวถึงการเปิดให้บริการในครั้งนี้ว่า “MEA e-Service เป็นบริการใหม่ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า ไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทางในการชำระเงินค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน โดยผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถสอบถามยอดค่าไฟฟ้าแบบออนไลน์และชำระค่าไฟฟ้าผ่านเว็บไซต์ของ กฟน.ได้ด้วยตนเอง ซึ่งไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแรกที่ร่วมพัฒนาระบบการให้บริการชำระเงินค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ให้สามารถชำระเงินผ่านระบบนี้ได้อย่างปลอดภัยและสะดวกมากขึ้น พร้อมกันนี้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังสามารถขอรับบริการเสริมการแจ้งใบแจ้งค่าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทาง e-mail และบริการแจ้งยอดค่าไฟฟ้าทาง SMS เมื่อมียอดค่าไฟฟ้าเกิดขึ้น นอกเหนือจากการได้รับใบแจ้งค่าไฟฟ้าปกติ ซึ่ง กฟน. คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริการใหม่นี้จะสามารถสร้างความพึงพอใจและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี”

บริการชำระค่าไฟฟ้าออนไลน์ผ่าน SCB Payment Gateway เปิดให้บริการชำระค่าไฟฟ้ากับผู้ใช้ไฟฟ้า ที่มีบัญชีออมทรัพย์ หรือ บัญชีกระแสรายวันของไทยพาณิชย์ สามารถลงทะเบียนขอใช้บริการนี้ได้ทางเว็บไซต์ www.mea.or.th โดยกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน และเลือกชำระผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ นอกจากนี้ยังสามารถขอรับบริการเสริมแจ้งใบแจ้งค่าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทาง e-mail และบริการแจ้งยอดค่าไฟฟ้าทาง SMS เมื่อมียอดค่าไฟฟ้าเกิดขึ้น นอกเหนือจากการได้รับใบแจ้งค่าไฟฟ้าตามปกติ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถชำระค่าไฟฟ้าได้อย่างสะดวก ทุกที่ ทุกเวลา และมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย พร้อมให้บริการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ SCB Call Center 02-777-7777 และ MEA Call Center 1130 ตลอด 24 ชั่วโมง

View :1695

กสิกรไทย-วีซ่าเปิดตัวระบบชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือครั้งแรกของโลก

August 15th, 2011 No comments

ร่วมกับวีซ่า โชว์ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพัฒนาระบบชำระเงินค่าสินค้าและบริการผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรกของโลก หวังสร้างความสะดวกพร้อมความปลอดภัยด้วยบริการโมบาย เวอริฟาย บาย (Mobile Verified by Visa) ตั้งเป้าปี 54 จะมียอดรับชำระบัตรเครดิตออนไลน์ 40,000 ล้านบาท

นายอาจ วิเชียรเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถที่หลากหลายมากขึ้นนอกเหนือจากการใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารทั่วไป โดยสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่สามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเวบไซต์ หรือแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้ และมีแนวโน้มที่ช่องทางดังกล่าวจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นตามการขยายตัวของปริมาณการใช้สมาร์ทโฟนที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การซื้อสินค้าและบริการผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำเป็นต้องมีระบบชำระเงินที่มีมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจและปลอดภัยในการทำธุรกรรม ดังนั้นธนาคารกสิกรไทย จึงร่วมกับบริษัท วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (VISA) พัฒนาบริการโมบาย เวอริฟาย บาย วีซ่า ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อรองรับธุรกรรมการเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกของโลก

ทั้งนี้ เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต และทำธุรกรรมจนถึงขั้นตอนการชำระเงิน ซึ่งหน้าชำระเงินจะเชื่อมต่อมายังระบบบริการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตออนไลน์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (K-Payment Gateway on Mobile) เพื่อให้ผู้ถือบัตรกรอกข้อมูลบัตร ตรวจสอบรายการชำระเงิน และยืนยันการทำธุรกรรมโดยธนาคารจะส่งรหัสแบบใช้ครั้งเดียว (One-time password: OTP) ผ่านทางเอสเอ็มเอส (SMS) ไปยังหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ถือบัตรที่ได้ลงทะเบียนไว้ เพื่อให้ผู้ถือบัตรใช้กรอกบนหน้าจอชำระเงิน ซึ่งระบบจะทำการตรวจสอบความถูกต้องและแสดงผลการทำธุรกรรมให้ผู้ถือบัตรทราบในลำดับถัดไป

บริการโมบาย เวอริฟาย บาย วีซ่า แบบ OTP เป็นระบบตรวจสอบและรักษาความปลอดภัยของการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีมาตรฐานสูงสุดในขณะนี้ ผู้ถือบัตรไม่ต้องกังวลว่าผู้อื่นจะทราบรหัสและนำไปใช้ เพราะเป็นเอสเอ็มเอสที่ส่งตรงเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าของบัตร และใช้ได้เพียงครั้งเดียว ผู้ถือบัตรจึงไม่จำเป็นต้องจำรหัสผ่าน ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรที่เคยลงทะเบียนใช้บริการ เวอริฟาย บาย วีซ่า แบบ OTP จะสามารถใช้บริการดังกล่าวต่อเนื่องได้ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียน ระบบจะแจ้งให้ลงทะเบียน และสามารถกลับเข้ามาทำรายการช้อปปิ้งออนไลน์ต่อได้ในทันที

นายศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงแรกบริการโมบาย เวอริฟาย บาย วีซ่า จะมีพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้าร่วมให้บริการ ได้แก่ แอมเวย์ นกแอร์ เพย์สบาย เอสเอฟซีนีม่า ตลาดดอทคอม การบินไทย และไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ซึ่งผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น หรือทำรายการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านทางเวบไซต์ของพันธมิตรธุรกิจดังกล่าวได้

ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทย มีลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตและบัตรเดบิตรวมกันมากกว่า 9 ล้านใบ และมีผู้ลงทะเบียนกับระบบเวอริฟาย บาย วีซ่า เพื่อช้อปปิ้งออนไลน์แล้วกว่า 400,000 ราย โดย 70 % ของผู้ลงทะเบียนใช้ระบบ เวอริฟาย บาย วีซ่า แบบ OTP

นอกจากนี้ ธนาคารฯ มียอดขายผ่านร้านค้าออนไลน์บนบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิตทางอินเทอร์เน็ต (K-Payment Gateway) ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80 % ต่อปี และคาดว่าในปี 2554 จะมียอดขายผ่านระบบไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท

View :1751

ผลสำรวจชี้บริการเสริมสร้างรายได้แก่ผู้บริการมือถือกว่าเท่าตัวในอีก 3 ปี

August 10th, 2011 No comments

ผู้ให้บริการมือถือคาดว่ารายได้จากบริการเสริมจะเติบโตจาก 14% เป็น 24% ในอีก 3 ปีข้างหน้า

จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 120 คน ซึ่งริเริ่มโดยแอมด็อคส์ ผู้นำตลาดในด้านนวัตกรรมระบบบริหารประสบการณ์ลูกค้า (customer experience) พบว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในเอเชียแปซิฟิกคาดว่ารายได้จากบริการเสริม (Value-added services หรือ VAS) เช่น บริการชำระเงินผ่านมือถือ จะเติบโตจากค่าเฉลี่ย 14% ของรายได้ทั้งหมดในปัจจุบัน เป็น 24% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ คาดว่าอินเดียจะเป็นตลาดที่มีการเติบโตของรายได้ในส่วนของบริการเสริมมากที่สุด โดยเติบโตจาก 12% ของรายได้ทั้งหมดในปัจจุบัน เป็น 29% ในอีก 3 ปี การสำรวจครั้งนี้ยังพบอีกว่า 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามกำลังเร่งเปิดให้บริการชำระเงินผ่านมือถือ และส่วนใหญ่เชื่อว่าเว็บท่า (portal) ของตนจะทวีความสำคัญมากขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ากำลังเร่งเปิดให้บริการโฆษณาผ่านมือถือและบริการค้นหา โดย 65% ระบุว่าผู้ใช้บริการยินดีจะเปิดดูโฆษณาผ่านมือถือแลกกับบริการประเภท free content เช่น แอพพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือหรือความบันเทิงรูปแบบต่างๆ ผู้ให้บริการกล่าวว่าเหตุผลหลักที่ต้องให้ความสำคัญกับบริการเสริม ก็คือ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นและเพื่อสร้างความภักดีของลูกค้า

“บริการเสริมผ่านมือถือ () โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการชำระเงินผ่านมือถือ กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยผู้ให้บริการเชื่อว่า บริการเหล่านี้ช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นในตลาด เช่น ธนาคารและผู้ให้บริการบัตรเครดิตได้ทางหนึ่ง ตลอดจนเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social networks) ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น (app store) และผู้ให้บริการอื่นๆ” มร. เออร์แวนน์ โธมาเซน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว “ขณะที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือกำลังมองหาหนทางสร้างรายได้จากบริการเสริม แอมด็อคส์พร้อมสนับสนุนผู้ให้บริการเหล่านี้ด้วยโซลูชั่นเพื่อการสร้างสรรค์ การจัดหา การนำเสนอบริการแบบเหมารวม (bundling) และการเรียกเก็บเงินจากบริการเหล่านี้ รวมถึงโซลูชั่นในส่วนของการสนับสนุนลูกค้า (customer support)”

กรุณาอ่านรายงานการวิจัยฉบับเต็มที่ดำเนินการโดย Coleman Parkes ได้ ที่นี่ http://www.amdocsinteractive.com/node/108

หรือร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านแอมด็อคส์ ทวีทแช็ท ในหัวข้อ “บริการเสริม กลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ให้บริการค่ายมือถือ หรือ Value-added services – What is the best strategy for mobile operators?” ได้ในวันที่ 10 สิงหาคม เวลา 17.00น. โดยติดตาม #doxchat hashtag บน Twitter

ข้อมูลน่าสนใจจากผลสำรวจ มีดังนี้

· ความสำคัญของบริการเสริม: 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า บริการเสริมมีความสำคัญหรือมีความสำคัญมากต่อบริษัทของพวกเขา ในออสเตรเลียและอินเดีย 70% ของผู้ประกอบการเห็นว่าบริการเสริมจะมีความสำคัญ ในขณะที่เพียง 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยและเวียดนามเชื่อว่าบริการเสริมมีความสำคัญ

· ผู้ประกอบการในออสเตรเลียและอินเดียคาดหวังการเติบโตของรายได้จากบริการเสริมไว้สูงสุด: ในออสเตรเลีย สัดส่วนรายได้ในปัจจุบันจากบริการเสริมคิดเป็น 23% ซึ่งคาดว่าจะเติบโตไปถึงระดับ 30% ในอีก 3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอินเดียคาดหวังการเติบโตของรายได้จากบริการเสริมไว้สูงสุดที่ 17% หรือจาก 12% เป็น 29% ในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือได้เปรียบธนาคารในแง่ของการเข้าถึงตลาด เช่น ในอินเดียและอินโดนีเซียมีสัดส่วนของประชากรที่ไม่ได้เป็นลูกค้าธนาคารสูงมาก

· ตลาดบริการชำระเงินผ่านมือถือกำลังเฟื่องฟู: บริการเติมเงินค่าโทร (prepaid top-up) เป็นบริการที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มบริการชำระเงินผ่านมือถือ ตามด้วยบริการชำระค่าบริการและสาธารณูปโภคอื่นๆ บริการโอนเงิน และการเรียกเก็บเงินแทนผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น (app store)

· กรณีผลประโยชน์ขัดกันกับสถาบันการเงินที่คาดว่าจะเกิดขึ้น: มีเพียง 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าอาจเกิดกรณีผลประโยชน์ขัดกันระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือกับกับธนาคาร และบริษัทบัตรเครดิตในเรื่องบริการชำระเงินผ่านมือถือ แม้ว่าผลสำรวจแตกต่างกันมากในแต่ละตลาดที่เลือกทำการสำรวจ ทั้งนี้ ในออสเตรเลียมีเพียง 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยว่าอาจเกิดกรณีผลประโยชน์ขัดกัน เทียบกับ 33% ในอินเดีย 50% ในไทย และ 90% ในเวียดนาม

เกี่ยวกับแอมด็อคส์

แอมด็อคส์ เป็นผู้นำตลาดในด้านนวัตกรรมระบบบริการลูกค้า โดยบริษัทฯ ได้ผสานระบบสนับสนุนธุรกิจและการดำเนินงาน แพลตฟอร์มการส่งมอบบริการ (service delivery platform) บริการต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับ และความเชี่ยวชาญเชิงลึกเข้าไว้ในหนึ่งเดียว เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการ (service provider) และลูกค้าของพวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นในโลกแห่งการเชื่อมต่อ (connected world) ผลิตภัณฑ์และบริการของแอมด็อคส์ช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ สร้างความแตกต่างผ่านประสบการณ์ลูกค้าที่ปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะราย และปรับปรุงการดำเนินงานด้านต่างๆ

แอมด็อคส์ เป็นบริษัทระดับโลกที่มีรายได้ราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีการเงิน 2553 ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 19,000 คนและให้บริการลูกค้าในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www..com

View :1703

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทยจับมือพีดีเอเดินหน้าโครงการชุมชนดอทเน็ต

August 9th, 2011 No comments

รับมอบเครื่องคอมพิวเตอร์จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา พร้อมช่วยชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าถึงไอที เพิ่มรายได้ และขยายช่องทางนำสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดออนไลน์

บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA เดินหน้าประสานความร่วมมือเพื่อชาวบ้าน นำไอทีเสริมรายได้ในโครงการชุมชนดอทเน็ต จัดพิธีรับมอบเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 370 เครื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สำหรับโครงการชุมชนดอทเน็ต ณ โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้ชาวบ้านจาก 20 หมู่บ้านในจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ ได้ใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนรู้ ไอทีและนำไปเสริมศักยภาพชุมชน ในการสร้างช่องทางการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ของชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้อันจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ เป็นหนึ่งในโครงการของไมโครซอฟท์ที่สานต่อพันธกิจในการส่งเสริมการนำ ไอทีเข้าไปเสริมการประกอบอาชีพของคนในชุมชน โดยยึดตามแนวทางของไมโครซอฟท์ที่ต้องการส่งเสริมและฝึกอบรมให้ชาวบ้านได้เรียนรู้การใช้งานไอที และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อนำไปส่งเสริมและขยายอาชีพของชุมชนในท้องถิ่น อันจะนำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและการสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนต่อไปให้กับชุมชน ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ไมโครซอฟท์ ประเทศไทยได้ร่วมมือกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนในการดำเนินการโครงการชุมชนดอทเน็ตร่วมกับชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น โดยสมาคมฯ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางช่วยเหลือและให้คำแนะนำชาวบ้านในการเพิ่มช่องทางขายและนำสินค้าท้องถิ่นไปสู่ตลาดออนไลน์เพื่อใกล้ชิดผู้บริโภคต่อไป”

นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA กล่าวว่า “จากแนวคิดที่ตรงกันของไมโครซอฟท์ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน และโรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาที่ต้องการส่งเสริมให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ถ่ายทอดความรู้ ความเชี่ยวชาญไปสู่ชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำความรู้ไปพัฒนาชุมชนในระยะยาวและอย่างยั่งยืน ทั้งด้านการศึกษาของเยาวชน และการประกอบอาชีพของชาวบ้าน เราจึงมีความร่วมมือกันมายาวนาน และโครงการชุมชนดอทเน็ตก็เป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้ความร่วมมือระหว่าง PDA โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา และไมโครซอฟท์ ในการส่งเสริมให้ชาวบ้านนำไอทีเข้าไปขยายตลาดการจำหน่ายสินค้าในชุมชนผ่านเว็บไซต์ และในวันนี้ PDA โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาและไมโครซอฟท์ ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไอทีเพื่อชุมชนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย 17 แห่ง จากจำนวนทั้งสิ้น 20 แห่ง ใน 20 หมู่บ้าน ผ่านการดำเนินงานของโครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้าน หรือ The Village Development Partnership (VDP) ภายใต้โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาที่มีการทำงานร่วมกับชาวบ้านในหมู่บ้านทั้ง 20 แห่ง อย่างใกล้ชิด ส่วนศูนย์ฯ อีก 3 แห่ง ก็คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในเร็วๆ นี้”


นายมีชัย วีระไวทยะ (แรกจากซ้าย แถวหลัง) ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA


นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ รับมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 370 เครื่อง จากนางวรนุช เดชะไกศยะ(ที่สองจากซ้าย แถวหลัง) ประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สำหรับใช้ในโครงการชุมชนดอทเน็ต เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์จากไอทีในการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าของชุมชนไปสู่ตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มรายได้อันจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งเสริมการนำไอทีไปสู่ชาวบ้านในท้องถิ่นห่างไกลเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดผ่านโครงการชุมชนดอทเน็ต โดยตัวอย่างผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของจังหวัดบุรีรัมย์ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ผ้าไหม และงานประดิษฐ์ จะนำไปจำหน่ายบนเว็บไซต์ ภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ต


เยาวชนจากหมู่บ้านหนองตาเข้ม อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสอนผู้ใหญ่สำหรับการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ในอนาคต ณ ศูนย์ไอทีเพื่อชุมชนภายในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งใน 20 หมู่บ้านภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ต

ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการชุมชนดอทเน็ต

· โครงการชุมชนดอทเน็ตริเริ่มโดยบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนในชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยใช้ไอทีมาเพิ่มมูลค่า ช่วยสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

· บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัดได้รับงบประมาณสนับสนุนจากบริษัทแม่คือไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น เป็นจำนวน 6 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับโครงการชุมชนดอทเน็ต ซึ่งนับเป็นการสานต่อพันธกิจการส่งเสริมการใช้ไอทีให้เกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพของคนในชุมชนที่บริษัทไมโครซอฟท์ ประเทศไทยก่อตั้งและดำเนินธุรกิจอยู่

· ในโครงการนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้ร่วมกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA ในการส่งเสริมให้หมู่บ้านจำนวน 20 แห่ง ในอำเภอลำปลายมาศ และอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าในหมู่บ้านและชุมชนผ่านอินเทอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ โดยโครงการชุมชนดอทเน็ตมีระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม 2554 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2555

· สิ่งที่ไมโครซอฟท์และ PDA สนับสนุนชุมชนทั้ง 20 แห่งภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตคือ

- จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไอทีในหมู่บ้านทั้ง 20 แห่ง ในจังหวัดบุรีรัมย์และนครราชสีมา โดยมีศูนย์กลาง หรือฮับ (hub) อยู่ที่โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์

- สอนการใช้ไอทีเบื้องต้น ด้วยหลักสูตร Microsoft® Unlimited Potential ซึ่งประกอบไปด้วย ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับงานเอกสารด้วย Microsoft® Word, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกระดานคำนวณด้วย Microsoft® Excel, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลด้วย Microsoft® PowerPoint, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับฐานข้อมูลด้วย Microsoft® Access, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต เวิลด์ไวด์เว็บ และ Microsoft® Outlook และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำเว็บ ให้กับผู้นำเยาวชนในหมู่บ้าน ในรูปแบบ train the trainer เพื่อนำความรู้ไปสอนชาวบ้านต่ออีกทีหนึ่ง

- พัฒนาเว็บไซต์หลัก หรือเว็บพอร์ทัลให้แต่ละหมู่บ้านเพื่อใช้เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยจะเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ และโซเชียลมีเดีย

· ความคืบหน้าของโครงการ ไมโครซอฟท์จะทำการตรวจสอบความพร้อมของเครื่องและติดตั้งโปรแกรม Windows®XP และ Microsoft® Office 2007 ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการสินค้าและเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาไปสู่การค้าขายออนไลน์ หลังจากได้รับเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 370 เครื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สำหรับสิ่งที่ไมโครซอฟท์และ PDA จะดำเนินการในเดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ได้แก่

- ฝึกอบรมไอทีเบื้องต้นให้กับผู้นำเยาวชนจำนวน 80 คน จาก 20 หมู่บ้าน เพื่อให้เยาวชนเหล่านั้นไปฝึกอบรมชาวบ้านในหมู่บ้านต่อไป

- ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องคอมพิวเตอร์สม่ำเสมอ

- จดทะเบียนโดเมนเว็บไซต์ เพื่อเริ่มสร้างเว็บไซต์และอัพโหลดข้อมูล

- ดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านโบรชัวร์ และเสียงตามสายในชุมชน ให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ชาวบ้านและเยาวชนในหมู่บ้าน

· ความคาดหวังจากโครงการคือ สร้างโครงการชุมชนดอทเน็ตในจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ ให้เป็นโครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จ และสามารถเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่นๆ ต่อไปในอนาคต โดยเบื้องต้น ไมโครซอฟท์ ประเทศไทยและ PDA หวังว่าจะสามารถฝึกอบรมชาวบ้านได้ทั้งสิ้น 1,700 คน ในปีแรก และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านได้ร้อยละ 20 ภายในเวลา 1 ปี

รู้หรือไม่

· ชุมชนทั้ง 20 แห่งภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตเป็นชุมชนที่ชาวบ้านมีความกระตือรือร้นในการนำไอทีเข้าไปช่วยในการหาข้อมูลและเพิ่มช่องทางการทำกินของคนในหมู่บ้านไปยังเว็บไซต์

· ชุมชนบ้านหนองตาเข้ม เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของชาวบ้านที่มีความสนใจขยายช่องทางการสร้างรายได้

· ชุมชนบ้านหนองตามเข้ม ตั้งอยู่ที่ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 653 ไร่ แยกเป็นพื้นที่เพื่ออยู่อาศัย 217 ไร่ พื้นที่ทำการเกษตร 303 ไร่ และพื้นที่สาธารณะ 30 ไร่ มีประชากรรวมทั้งสิ้น 749 คน อาชีพหลักของชาวบ้านในชุมชนคือ อาชีพทำนา ส่วนอาชีพรองคือ ทอผ้า ปลูกผักปลอดสารพิษ ปลูกดอกไม้ ปลูกสมุนไพรและแปรรูปสมุนไพร เลี้ยงไก่ ปลาดุก และค้าขาย

· ลักษณะเด่นของชุมชนบ้านหนองตาเข้มคือการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น กล่าวคือ ชาวบ้านมีความรู้ความชำนาญในด้านต่างๆ และมีการถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกสมุนไพร และนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรเพื่อจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีการทำจักสาน ทอผ้าไหม ปลูกพืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ จากการที่บ้านหนองตาเข้มมีความเข้มแข็ง ชาวบ้านมีความสามัคคี และมีการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างสม่ำเสมอส่งผลให้ได้รับรางวัลหมู่บ้านดีเด่นของจังหวัดบุรีรัมย์ในปี พ.ศ. 2553

· ความคาดหวังของชาวบ้านจากศูนย์การเรียนรู้ไอทีเพื่อชุมชน ภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตคือ คนในชุมชนและเยาวชนจะได้รับความรู้และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการค้นคว้าข้อมูลและความรู้เพื่อส่งเสริมอาชีพให้แก่คนรุ่นใหม่ และไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานในเมืองหรือกรุงเทพ

ที่มา http://nongtakem.moobanthai.com/general/

· ชุมชนบ้านหนองกระทุ่ม ตั้งอยู่ตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ มีประชากรรวมทั้งสิ้น 613 คน อาชีพหลักคือทำนา ส่วนอาชีพรองคือ ทำวิกผล ค้าขาย

· ความคาดหวังของชาวบ้านจากศูนย์การเรียนรู้ไอทีเพื่อชุมชน ภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตคือ ต้องการให้คนในชุมชนมีความรู้เพิ่มเติมและสามารถค้นคว้าหาเทคนิคใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพการเกษตร รวมถึงอาชีพเสริมที่จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติม อีกทั้งเยาวชนยังสามารถใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องเดินทางออกนอกหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในเมือง เพิ่มความสะดวกและปลอดภัย เนื่องจากเส้นทางสัญจรสู่ตัวเมืองยังค่อนข้างทุรกันดาร

View :1951

กรมการขนส่งทางบก เปิดเว็บไซต์ศูนย์ขนส่งออนไลน์

August 8th, 2011 No comments

เปิดเว็บไซต์ศูนย์ขนส่งออนไลน์ ให้ประชาชนเรียกใช้รถบรรทุกสินค้าขาเดียวผ่านระบบ เพื่อลดการบรรทุกเที่ยวเปล่า ซึ่งปัจจุบันพบถึงร้อยละ 40    
 
นายเฉลิมไท  ญาณภิรัต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ปัจจุบันการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกมีการแข่งขันสูงมาก ทั้งนี้ จากสถิติรถใหม่ที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกในปี 2554 พบว่า มีรถบรรทุก จำนวน 36,741 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 7,036 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 19  ในจำนวนดังกล่าว พบรถบรรทุกเที่ยวเปล่าสูงถึงประมาณร้อยละ 30 – 40 ส่งผลให้ต้นทุนในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหารถบรรทุกเที่ยวเปล่า กรมการขนส่งทางบกจึงได้จัดทำ“โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับลดการบรรทุกเที่ยวเปล่าเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน” ด้วยการจัดทำเว็บไซต์ศูนย์ขนส่งออนไลน์ที่ www.thaitruckcenter.com เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียกใช้บริการขนส่งสินค้าขาเดียวจากรถบรรทุกสินค้าที่ต้องวิ่งเที่ยวเปล่า เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานรถบรรทุกให้มีการขนส่งสินค้าทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ทำให้จำนวนรถบรรทุกบนท้องถนนลดลง รวมทั้งลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและมลพิษที่เกิดจากรถบรรทุกด้วย 
 
นายเฉลิมไท กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบสารสนเทศเพื่อรถบรรทุกเที่ยวเปล่าดังกล่าว เป็นระบบออนไลน์ ที่ทำงานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยผู้ประกอบการขนส่ง และผู้ใช้บริการขนส่งสามารถลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบได้ ฟรี ที่เว็บไซต์ www.thaitruckcenter.com ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งสามารถประกาศการให้บริการรถบรรทุกเที่ยวเปล่า เพื่อค้นหาผู้ต้องการใช้บริการรถบรรทุก รวมทั้งติดต่อและเสนอราคากับผู้ต้องการใช้บริการได้โดยตรง ส่วนผู้ใช้บริการขนส่งสามารถประกาศหาผู้ประกอบการขนส่งที่มีรถบรรทุกเที่ยวเปล่า หรือค้นหาข้อมูลรถบรรทุกเที่ยวเปล่าได้ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมการขนส่งทางบก ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพการบริการขนส่งด้วยรถบรรทุกมากขึ้น
 
นอกจากการให้บริการดังกล่าวแล้ว กรมการขนส่งทางบกยังมีการวางแผนเส้นทางการเดินรถจากระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่บรรจุเส้นทาง และที่ตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาผู้ประกอบการขนส่งในแต่ละพื้นที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ในการใช้บริการของเว็บไซต์ www.thaitruckcenter.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักการขนส่งสินค้า กรมการขนส่งทางบก โทร. 0-2271-8490 รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด  

View :1584

ลูกค้าเอไอเอส รับส่วนลดสูงสุด 10% เมื่อบินภายในประเทศกับบางกอกแอร์เวย์ส

July 29th, 2011 No comments

เอไอเอส โดย คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ จับมือ โดย คุณอาริญา ปราสาททองโอสถ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย ร่วมจัดแคมเปญสุดพิเศษอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานต่อโครงการ “เอไอเอสเดินทางอย่างมีระดับ ในราคาอุ่นใจ” ปี 2 เอาใจลูกค้าเอไอเอสที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว รับส่วนลดสูงสุดถึง 10% เมื่อเดินทางกับเส้นทางการบินภายในประเทศของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยรับสิทธิได้ง่ายๆเมื่อจองผ่าน eService ที่ www..co.th หรือจองผ่าน www.bangkokair.com/ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 31 สิงหาคม และเดินทางได้จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน ศกนี้

สำหรับลูกค้าเซเรเนดก็ยังคงได้รับสิทธิใช้บริการในฐานะคนพิเศษระดับ VIP อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเช็คอินที่เคาน์เตอร์พิเศษ Blue Ribbon Counter หรือเข้าใช้บริการห้องรับรอง Blue Ribbon Club Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเดินทางโดยเที่ยวบินของบางกอกแอร์เวย์สในทุกระดับ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ AIS Call Center 1175

View :2052

เมืองไทยประกันภัย ล้ำหน้าขายประกันภัยเดินทางผ่านเว็บไซต์

July 28th, 2011 No comments

เมืองไทยประกันภัยเปิดตัว แล้ววันนี้! เริ่มต้นกับเบี้ยประกันเพียง 455 บาท คุ้มครองตลอดการเดินทาง ด้วยวงเงินความคุ้มครองสูงสุดถึง 2,000,000 บาท และสามารถซื้อประกันภัยการเดินทางผ่านทางเว็บไซต์ได้แล้ว เพียงคลิก www.muangthaiinsurance.com

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้เปิดตัว Enjoy Travel Online ช่องการการจำหน่ายแบบประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางผ่านเว็บไซต์ www.muangthaiinsurance.com ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับสะดวก รวดเร็ว ในการทำประกันภัยการเดินทาง เพียงแค่คลิก 5 ขั้นตอนง่ายๆ พร้อมเลือกรับความคุ้มครองด้วยวงเงินสูงสุดถึง 2,000,000 บาท Enjoy Travel ให้ความคุ้มครองการเดินทางไปยังต่างประเทศทั่วโลก อุ่นใจกับความคุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างการเดินทาง ลูกค้าสามารถทำประกันได้ตั้งแต่อายุ 1 – 70 ปี โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ มีให้เลือกทำประกันทั้งแบบรายเที่ยว และรายปี ซึ่งให้ความคุ้มครองสูงสุด 90 วัน ต่อการเดินทางในแต่ละเที่ยว อีกทั้งยังสามารถเลือกรับความคุ้มครองได้ในวงเงิน 1,000,000 บาท และ 2,000,000 บาท ประกันภัย Enjoy Travel ให้ความคุ้มครองครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุส่วนบุคคล เช่น การเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูญเสียมือ เท้า สายตา และรับค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย การโดนบอกเลิกการเดินทาง รวมถึงการลดจำนวนวันเดินทาง การถูกจี้โดยสลัดอากาศ หรือความล่าช้า เสียหาย และสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ทั้งยังให้ความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก พร้อมให้บริการความช่วยเหลือในการเดินทาง การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉินเพื่อส่งกลับประเทศไทย มีการบริการข้อมูลแนะนำการเดินทาง และรับข้อมูลความคุ้มครองได้ทางเว็บไซต์

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กล่าวเพิ่มเติมว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปไหนที่ใดทั่วโลก ก็ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป เพราะมีประกันภัยการเดินทาง Enjoy Travel เป็นเพื่อนดูแลคุณตลอดการเดินทาง และในอนาคตข้างหน้านี้ บริษัทฯ ได้มีการวางแผนจัดทำประกันภัยออนไลน์อื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อประกันภัยที่หลากหลายได้ทางเว็บไซต์ www.muangthaiinsurance.com หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1484

View :1989

กรมส่งเสริมการส่งออก เปิดตัว thaitrade.com

July 28th, 2011 No comments

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดี เปิดเผยถึง ความคืบหน้าของโครงการตลาดกลางซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเว็บไซต์ หรือ Thailand B2B E-Marketplace ว่า ได้เปิดตัวในระบบออนไลน์มาตั้งแต่วันที่ 5 กค.ที่ผ่านมา สำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นภายในเดือนสิงหาคมศกนี้

“ปัจจุบันในเว็บไซต์ไทยเทรดดอทคอมมีจำนวนร้านค้าออนไลน์ที่ได้รับการคัดสรรแล้วว่า มีคุณภาพมาตรฐานการส่งออกเป็นสมาชิกจำนวนกว่า 1,000 ร้านค้า ประกอบด้วยสินค้ามากกว่า 4,500 รายการ โดยแยกเป็นหมวดหมู่ตามประเภทของสินค้ารวม 25 หมวด (Categories) ครอบคลุมทุกประเภท อาทิ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ในครัว สินค้าความงาม อาหาร เครื่องดื่ม และบริการต่างๆ ฯลฯ

โดยหลังจากเปิดใช้เว็บไซต์ thaitrade.com แบบเต็มรูปแบบประมาณสองสัปดาห์ (นับตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2554) มีผู้ซื้อจากประเทศต่างๆ เข้ามาเลือกดูเลือกชมสินค้าแล้วกว่า 13,000 ราย โดยลงทะเบียนเข้าเป็นสมาชิกผู้ชื้อแล้วกว่า 500 ราย นอกจากนั้น ยังมีรายงานจากผู้ประกอบการบางรายแล้วว่า ได้รับ Order สั่งซื้อสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศแล้ว ซึ่งเป็นสินค้าประเภทอัญมณีและเครื่องประดับ”

นอกจากนี้อธิบดียังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มียอดผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกไทย สมัครเข้าร่วมโครงการฯ กว่า 1,500 ร้านค้าแล้ว โดยกรมฯ กำลังเร่งพิจารณาคุณสมบัติ พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมกับสมาคมต่างๆ อาทิ สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับในการคัดสรรผู้ส่งออกที่มีความพร้อมเข้าร่วมโครงการ ฯ รวมทั้งอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับทำธุรกิจออนไลน์ไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการไทยเข้ามาเป็นผู้ส่งออกผ่านระบบออนไลน์ของเว็บไซต์ thaitrade.com มากกว่าเป้าที่กำหนด 3,000 ร้านค้าแน่นอน

ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกไทยที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ DEP Call Center 1169 โทร 02 685 1169 โทรสาร 02 530 9791 หรือ e-mail : ecommerce@depthai.go.th , ecommerce.dep@gmail.com www.facebook.com/ThaitradeDotCom

View :1788