Archive

Archive for the ‘E-Commerce’ Category

สินค้าแบรนด์เนมไฮเอนด์รุกตลาดออนไลน์เปิด รีบอนซ์ (ประเทศไทย) กับข้อเสนอผ่อน 0% นาน 10 เดือน

July 21st, 2011 No comments


เปิดตัวเว็บไซต์ รีบอนซ์ ไทยแลนด์ (www..com/tha ) ธุรกิจแนวใหม่จำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมสำหรับสมาชิก เอาใจแฟชั่นนิสต้าและผู้ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ทันสมัย ด้วยหลากหลายข้อเสนอสุดพิเศษที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าบริการคุณภาพระดับไฮเอนด์ได้ง่ายขึ้น ทุกที่ ทุกเวลา และคุ้มค่ายิ่งกว่ากับสิทธิพิเศษผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน และโปรโมชั่นพิเศษประจำวันที่ไม่ควรพลาด

นายสมเกียรติ ไชยศุภรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีบอนซ์ (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า “รีบอนซ์ (ออกเสียงแบบเดียวกับคำว่า Ribbon) ต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการจับจ่ายที่ไม่เหมือนใครบนโลกออนไลน์ด้วยแนวความคิด ‘Luxury you can afford’ ทำให้ลูกค้าของเราสามารถเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์เนมของแท้ระดับไฮเอนด์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ในราคาที่ถูกกว่าหน้าร้านของแบรนด์สินค้านั้นๆ เพราะทาง รีบอนซ์สั่งซื้อมาจากคลังสินค้าของผู้ผลิตในยุโรปและอเมริกาโดยตรง โดยสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าแฟชั่นจากแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกทั้ง กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ และรองเท้า

รีบอนซ์ช่วยให้ผู้ซื้อวางแผนการเงินในกระเป๋าได้ดียิ่งขึ้น ด้วยบริการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคือ ลูกค้าระดับ B ขึ้นไปที่รู้จักวางแผนการใช้เงินอย่างชาญฉลาด มีไลฟ์สไตล์ที่อินเทรนด์ และในแต่ละวันยังมีโปรโมชั่นสินค้าใหม่ราคาพิเศษสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทุกวันเริ่มตั้งแต่เวลา 11.00 น. โดยมีการเสนอ Events สินค้าใหม่ๆ ให้นักช้อปได้เลือกชมทุกวัน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของรีบอนซ์ ที่เชื่อว่าน่าจะจูงใจนักช้อปทั้งหลายให้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้เป็นจำนวนมาก

การสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าเป็นจุดเด่นอีกประการที่ทำให้การช้อปปิ้งกับรีบอนซ์ได้รับความนิยม ตั้งแต่กระบวนการจัดส่งจนถึงการรับประกันสินค้าโดยสินค้าจากรีบอนซ์จะได้รับการบรรจุอย่างดีในกล่องของขวัญสีดำเรียบหรูผูกโบว์สีทอง ส่งตรงถึงลูกค้าภายใน 7 วันโดยไม่คิดค่าส่ง และยังมีศูนย์บริการสมาชิกให้บริการด้านข้อมูล และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ อีกด้วย

รีบอนซ์รับประกันสินค้าบนเว็บไซต์และสินค้าที่ถูกจัดส่งถึงมือผู้รับทุกชิ้น ซึ่งล้วนเป็นของแท้ถูกลิขสิทธิ์ที่ทางรีบอนซ์มีการเสียภาษีนำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นการตอบสนองนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะของกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่รณรงค์ให้ผู้บริโภคใช้ของแท้ ซึ่งหากลูกค้าไม่พอใจสินค้าก็สามารถนำมาคืนได้ภายใน 14 วัน

นายสมเกียรติเผยอีกว่า เว็บไซต์รีบอนซ์เริ่มเปิดให้บริการในไทยมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2553 แล้ว โดยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเรื่อยมา จากนั้นได้ลงทุนร่วมกับ รีบอนซ์ สิงคโปร์ ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท เปิด บริษัท รีบอนซ์ (ประเทศไทย ) จำกัด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดในไทยที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องแต่ละเดือนสูงถึง 100% ปัจจุบันมีสมาชิกรวมแล้วกว่า 20,000 คน และมียอดขายรวมปี 2554 ครึ่งปีแรกที่ 20 ล้านบาท

ตัวเลขการเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นด้านราคา ความสะดวกรวดเร็วในการสั่งซื้อ จัดส่ง รวมถึงความน่าเชื่อถือของบริการต่างๆ ทำให้ทางบริษัทคาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปีนี้รีบอนซ์จะมีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 50,000 สมาชิก และมียอดขายกว่า 50 ล้านบาท

นอกจากสินค้าแฟชั่นแล้ว รีบอนซ์ยังมีสินค้าในกลุ่มอื่นๆ ด้วย อาทิ ข้อเสนอพิเศษเกี่ยวกับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ แพ็คเกจท่องเที่ยว ที่พัก โรงแรม และเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังในราคาพิเศษ ภายใต้ Reebonz City และ Reebonz Home ซึ่งได้ร่วมทำกิจกรรมการตลาดกับกลุ่มโรงแรมชั้นนำและผู้ผลิตสินค้าตกแต่งในประเทศ และพร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมนี้

ปัจจุบัน รีบอนซ์เป็นผู้นำในเอเชียโดยมีสมาชิกกว่า 350,000 ท่านและเปิดสำนักงานใน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย ไต้หวัน และไทย

View :4201

ทีเอ็มบี ชูศักยภาพแห่งเทคโนโลยี USSD เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล”

July 21st, 2011 No comments

TMB หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ปฏิวัติวงการธนาคาร ชูสุดยอดเทคโนโลยี “USSD” พัฒนาระบบการชำระสินค้าและบริการอัตโนมัติรูปแบบใหม่ผ่านโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในเมืองไทย “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” (TMB ) “รู้ยอดก่อน อนุมัติจ่ายด้วยตัวคุณ”ผู้ช่วยตัวใหม่ที่จะทำให้ลูกค้าไม่พลาดเมื่อถึงเวลาจ่ายบิล โดดเด่นด้วยระบบบริการแจ้งทุกยอดใช้จ่าย และแสดงยอดคงเหลือในบัญชีให้ลูกค้าทราบทันที ก่อนกดจ่ายเงินด้วยตัวเอง ให้อิสระในการควบคุมความเคลื่อนไหวทางบัญชีของตัวเองอย่างแท้จริงด้วย Cross Operator Design ชำระสินค้าและบริการได้โดยไม่จำกัดเครือข่ายโทรศัพท์ สะดวก รวดเร็ว สามารถทำรายการได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMB กล่าวว่า “เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการที่ตรงจุดของลูกค้า ทีเอ็มบีได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ปฏิวัติวงการธนาคารด้วยความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ล่าสุดเปิดตัวนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” (TMB Beep & Bill Payment) สุดยอดนวัตกรรมการบริการชำระสินค้าและบริการอัตโนมัติผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ด้วยโปรแกรมที่พัฒนา ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน โดยบริการดังกล่าวเสมือนหนึ่งผู้ช่วยส่วนตัวที่จะช่วยให้ลูกค้าไม่พลาดเมื่อถึงเวลาจ่ายบิล สามารถทำรายการ ได้ทันที โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา”

“จากการสำรวจพฤติกรรมการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชำระค่าสินค้าและบริการในปัจจุบัน ลูกค้าจะชำระผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ ชำระผ่านเคาน์เตอร์ เซอร์วิสหรือจุดบริการลูกค้า ซึ่งลูกค้าจะต้องถือเงินสดไปชำระด้วยตนเอง ทำให้เสียเวลาในการเดินทาง การรอคิวและยังเสียค่าธรรมเนียมการให้บริการ ในขณะที่ลูกค้าบางกลุ่มเลือกชำระเงินโดยการหักผ่านบัญชีธนาคาร หรือหักผ่านบัตรเครดิต โดยอัตโนมัติเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน ซึ่งลูกค้าหลายรายไม่มั่นใจกับยอดค่าใช้จ่ายที่โดนหักหรือเกิดความไม่แน่ใจในยอดเงินคงเหลือภายในบัญชี และมีหลายกรณีที่ลูกค้ามีเงินในบัญชีไม่เพียงพอ ทำให้บางครั้งเกิดปัญหาตามมา อาทิ ถูกระงับการจ่ายไฟฟ้า ระงับบริการโทรศัพท์ ซึ่งการเปิดบริการ ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล นี้ จะทำให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินดีขึ้น โดยทีเอ็มบี ได้นำเทคโนโลยี USSD เข้ามาใช้ในการวางระบบการชำระเงินให้กับลูกค้า ซึ่งธนาคารฯ จะส่ง SMS แจ้งเตือนการชำระเงิน พร้อมยอดค่าใช้จ่ายไปยังโทรศัพท์มือถือของลูกค้าทุกรุ่นทุกระบบ ก่อนวันครบกำหนดชำระ 1-3 วัน จากนั้น ลูกค้าเพียงแค่ส่งข้อความยืนยันกลับ ก็จะสามารถชำระเงินได้ทันที สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องรอคิวอีกต่อไป”

นายธีรศักดิ์ วงศ์ปิยะ เจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกรรม สายงานผลิตภัณฑ์เงินฝากและการชำระเงิน TMB กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริการ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” ถือเป็นการนำเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและความปลอดภัยในการส่งถ่ายข้อมูลอย่างระบบ USSD (Unstructured Supplementary Services Data)ที่สามารถ ใช้งานได้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครื่องที่ใช้ระบบ GSM ซึ่งถือเป็นบริการเสริมทางข้อมูลแบบไม่มีโครงข่าย เป็นการให้บริการข้อมูลจากผู้ให้บริการสู่ผู้ใช้บริการผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้งานทั้ง 2 ฝ่ายด้วยความเร็วสูง โดยข้อมูลที่ส่งผ่านระบบจะมีลักษณะคล้าย SMS แต่ข้อความที่ได้ส่งออกจากระบบ USSD จะไม่ถูกบันทึกลงอุปกรณ์ใดๆ โดยทั้งสิ้น ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่โดดเด่นในแง่ของการรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ และการรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทีเอ็มบีจึงได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาเป็น Software ภายใต้ชื่อระบบงาน Beep & Bill ขึ้นเป็นธนาคารแรกของประเทศไทย โดยระบบดังกล่าว ถือเป็นนวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถรู้ข้อมูลภายในบัญชีก่อนการตัดสินใจกดชำระบิลค่าบริการต่างๆ ผ่านมือถือทุกรุ่นที่รองรับบริการ SMS โดยไม่ต้องดาวน์โหลด Application หรือเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เนต หรือใช้งาน wifi ใดๆ ทั้งสิ้น”

“สำหรับระบบงาน Beep & Bill Payment เป็นโปรแกรมที่ทีเอ็มบีได้คิดค้นขึ้นและได้เริ่มพัฒนาระบบมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2553 ร่วมกับนักพัฒนา Software เพื่อให้ระบบงานดังกล่าวสามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการทำงานของระบบดังกล่าว จะเป็นการผสมผสานระหว่างระบบ SMS และ USSD โดยเมื่อมียอด ค่าใช้บริการจากผู้ให้บริการสาธารณูปโภคต่างๆ แจ้งยอดเข้ามายังบัญชีของลูกค้า ทางธนาคารฯ จะดำเนินการส่ง SMS แจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของลูกค้าที่ได้ลงทะเบียนสมัครใช้บริการ โดยจะแจ้งทั้งยอดการชำระเงิน พร้อมแสดงยอดเงินคงเหลือปัจจุบันในบัญชีให้ลูกค้าทราบ พร้อมกับรหัสสำหรับให้ลูกค้าตอบกลับเพื่อยืนยันความประสงค์ในการชำระยอดเงินดังกล่าว เมื่อลูกค้ากดรหัสดังกล่าวกลับมา จะเป็นคำสั่งตรงไปยังระบบ USSD โดยทางธนาคารฯ รับรองว่า ทุกข้อความที่ส่งผ่านระบบ USSD จะไม่มีค่าล้มเหลวเกิดขึ้น และถูกส่งตรงถึงธนาคารอย่างแน่นอน จากนั้นระบบจะส่งข้อความในลักษณะ Pop Up Data มายังมือถือของลูกค้าภายใน 10-15 วินาที จากนั้นระบบจะดำเนินการตัดยอดเงินดังกล่าวจากบัญชีลูกค้า เมื่อทำรายการสำเร็จจะมี SMS ยืนยันการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือทันที”

นายธีรศักดิ์ กล่าวเสริมว่า การเลือกใช้ระบบ USSD ในการทำธุรกรรมทางการเงินให้กับลูกค้าทีเอ็มบี ถือเป็นระบบที่มีความเสถียรสูงและยังสามารถการันตีการรักษาความปลอดภัยทางด้านข้อมูลได้ 100% โดยรหัสที่ส่งจากระบบจะเป็นในลักษณะรหัสใช้ครั้งเดียว (One time password) ด้วยระบบเลข 3 หลัก ซึ่งได้วางระบบรองรับและหมุนเวียนรหัสไว้อย่างรัดกุม นอกจากนี้ ระบบ Beep & Bill Payment ถือเป็นการให้บริการในรูปแบบ Cross Operator Design ที่ให้อิสรภาพที่แท้จริงในการชำระสินค้าและบริการโดยไม่จำกัดเครือข่ายโทรศัพท์ โดยทีเอ็มบี ได้ดำเนินการวางระบบ USSD เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายหลักของไทย ประกอบด้วย AIS, dtac และ True move ด้วยการกำหนดหมายเลขในการใช้บริการผ่านการกด *400 ตามด้วย รหัสชำระเงินที่ธนาคารกำหนดให้ ก็สามารถใช้บริการได้โดยทันที นอกจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการวางระบบเชื่อมโยงกับ TOT และโครงข่าย 3G ในอนาคตอีกด้วย”

สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่สนใจ สามารถสมัครรับบริการแจ้งเตือนอัตโนมัติ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการของผู้ให้บริการรายใหญ่ ทั้ง 7 ราย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง การสื่อสารแห่งประเทศไทย AIS และ True ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รวมทั้ง dtac และ ทีโอที ที่พร้อมจะให้บริการลูกค้าในเดือนสิงหาคมและกันยายน ตามลำดับ รวมทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อบุคคลของทีเอ็มบี

สำหรับวิธีการสมัคร ลูกค้าสามารถทำได้หลายช่องทาง ทั้ง ผ่านเครื่อง ATM เครื่องฝากเงินอัตโนมัติของทีเอ็มบี ตลอดจนทีเอ็มบีอินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง และที่ทีเอ็มบี ทุกสาขา ทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าจะสามารถประหยัดได้มากยิ่งขึ้น ด้วยค่าบริการรับชำระเงินในราคาเดียว เพียง 5 บาท เท่ากันหมดทุกบิล โดยธนาคารจะยกเว้นค่าบริการทุกรายการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ศกนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่มาใช้บริการของเรา

ลูกค้าของธนาคาร และลูกค้าของผู้ให้บริการทุกบริษัท ที่สนใจใช้บริการ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ทีเอ็มบี ทุกสาขากว่า 450 สาขาทั่วประเทศ หรือ TMB Call Center 1558 หรื ดูรายละเอียด ได้ที่ tmbbank.com View :1723

ตลาดรถดอทคอมเปิดบริการโซเชียลมีเดียพร้อมกับแคมเปญออกรถ 20,000 บาท

July 13th, 2011 No comments

ตลาดรถดอทคอมเข้าสู่โลกของโซเซียลมีเดีย เปิดบริการภาพแบ่งแยกประเภทของรถยนต์พร้อมกับแคมเปญ 20,000 บาท ออกรถได้ภายในหนึ่งวัน กระแสสังคมซื้อรถยนต์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมีรถยนต์ราคาแพงสุดจนถึงต่ำสุด มากกว่า 600 วันต่อคน

นายธวัช สรณถาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทตลาดรถเซอร์วิส จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์ตลาดรถดอทคอม () เปิดเผยว่า ตลาดรถดอทคอมได้นำโซเชียลมีเดียเข้ามาเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ เพื่อให้ได้กระจายข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ที่เข้ามาขายด้วยการเปิดบริการ Facebook และ Twitter เข้าไปทุกหน้าของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ชมได้แบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ในสังคมโซเชียลมีเดีย พร้อมกับได้เปิดบริการภาพถ่ายแบ่งแยกประเภทของรถที่เข้ามาขายเพื่อความสะดวกในการเข้ามาซื้อขายรถยนต์ โดยมีประเภทของรถ เช่น รถที่เข้ามาขายใหม่, รถหรูหรา, รถคลาสสิก เป็นรถที่หายาก และสำหรับเก็บสะสม ตลอดจนถึงรถบรรทุกหกล้อ และสิบล้อ ปัจจุบันตลาดรถดอทคอมเติบโตตามอัตราการเติบโตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ทำให้มีผู้เข้ามาซื้อขายรถผ่านเว็บไซต์มากกว่าวันละ 600 คันต่อคัน และการขยายตัวของสังคมออนไลน์

“ผมเชื่อว่าโซเชียลมีเดีย และจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ในไตรมาส 3 ตลาดรถดอทคอมเติบโต เพิ่มสูงขึ้น และประกอบการตลาดรถยนต์มีการเปลี่ยนมือ ทำให้มีผู้นำรถมาขายในตลาดรถไม่ต่ำกว่าวันละ 600 คัน ทำให้ตลาดรถเป็นเว็บไซต์ ซื้อขายรถบ้านศูนย์กลางอันดับหนึ่งของประเทศไทย” นายธวัชกล่าว

นายธวัชกล่าวต่อไปว่า แคมเปญล่าสุดที่ตลาดรถนำมาให้บริการกับผู้ซื้อและผู้ขายรถผ่านเว็บไซต์ คือ มีเงิน 20,000 บาท สามารถออกได้เลยโดยผู้ซื้อและผู้ขายตกลงราคากันให้เรียบร้อยหลังจากนั้นตลาดรถดอทคอมหลังจากนั้นตลาดรถจะดำเนินการทุกอย่างให้จบภายในหนึ่งวัน

สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.taladrod.com หรือ ติดต่อได้ที่เบอร์ 02-251-0602 ในวันและเวลาทำการ

View :4403

ตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) คนแรก

July 7th, 2011 No comments

นางจีราวรรณ   บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะกรรมการบริหาร สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. เปิดเผยว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไปเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ จึงได้ดำเนินการสรรหาผู้เชี่ยวชาญมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานฯ โดยได้มีการแต่งตั้งนางสุรางคณา วายุภาพ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายด้านการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( ICT Policy and ICT Laws) เพื่อทำหน้าที่ผู้อำนวยการ สพธอ. เป็นคนแรก

“นางสุรางคณา วายุภาพ เป็นผู้มีประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานและความมั่นคงปลอดภัย ( Standard and Information Security) ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากว่า 10 ปี อีกทั้งยังเป็นกรรมการสมาคม อีกหลายสมาคม เช่น สมาคมความมั่นคงปลอดภัยประเทศไทย ( Thailand Information Security Association หรือ TISA) สมาคมเว็บมาสเตอร์ ( Web Master Association) สมาคม Thailand PKI Forum และกรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ( e-Commerce Association) จึงถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งสำคัญนี้” นางจีราวรรณ กล่าว

ด้าน นางสุรางคณา วายุภาพ (องค์การมหาชน) กล่าวเพิ่มเติมถึง    ทิศทางการทำงานในอีก 4   ปีข้างหน้า ว่า จะมุ่งให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนและมูลค่าการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศในภาพรวม โดยการพัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการพัฒนามาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัย และการผลักดันกลไกเพื่อเพิ่มทักษะระดับสูงของบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งกิจกรรมที่จะดำเนินการนั้นมีทั้งการผลักดันให้เกิดการจัดทำดัชนีสำคัญที่สะท้อนข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการและรัฐบาล การจัดทำกรอบนโยบาย แผนแม่บท และแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและแผนระดับชาติทุกแผนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความสอดรับกัน นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของการพัฒนาการให้บริการระบบ National Root CA การพัฒนามาตรฐานเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางออนไลน์ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย

ส่วนปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในบทบาทของผู้อำนวยการ สพธอ. ก็คือ การวางแผนและบริหารจัดการให้องค์กรมองเห็นเป้าหมายซึ่งมีตัวชี้วัดที่ชัดเจนร่วมกัน   การจัดลำดับความสำคัญของงานที่มีผลกระทบระดับสูงซึ่งมุ่งตอบโจทย์ และความต้องการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการบริหาร สพธอ. และมีความสอคคล้องกับภารกิจของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในลำดับต้นๆ   ตลอดจนการให้ความสำคัญในเรื่อง “ คนทำงาน ” ด้วยการสร้าง Career Path ที่ชัดเจนให้กับพนักงานและให้โอกาสกับคนทำงานโดยเท่าเทียมกันอย่างมีธรรมาภิบาล

“สิ่งสำคัญในการบริหารงานตำแหน่งนี้ ก็คือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบคนรุ่นใหม่ที่ทำงานอย่างคนมีไฟ ขยัน และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตื่นตัวตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว กล้าคิด กล้าสร้างสรรค์ และต้องทำงานอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจ เข้มแข็ง มีความหนักแน่น พร้อมเผชิญกับปัญหาและความท้าทายทุกรูปแบบ รวมทั้งสามารถทำงานกับมิตรและเพื่อนร่วมทางหรือเครือข่ายความร่วมมือได้เป็นอย่างดี ตลอดจนมีความตระหนักต่อโจทย์หรือปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงหรือส่งผลกระทบต่อความสำเร็จขององค์กร เพื่อให้พร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างเข้าใจ โดยคำนึงถึงวิธีการแก้ปัญหาหรือหาทางออก   ที่เหมาะสมด้วย” นางสุรางคณา กล่าว

View :1526

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรุกคืบครั้งใหญ่ สร้างระบบห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์หวังเชื่อมระบบซื้อขายสินค้าอุตสาหกรรมผ่านโลกออนไลน์

June 15th, 2011 No comments

ปีแรกเน้นจับคู่ทางธุรกิจดึงโรงงานกับเอสเอ็มอีมาเจอกัน คาดลดต้นทุนสินค้าคงคลังได้อื้อ ประเดิมอุตฯรองเท้าและเครื่องนุ่งห่มนำร่อง

ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดี กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ของกสอ. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้สร้างระบบ e-supply chain หรือระบบห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาต่อยอดจากระบบ e-market place หรือระบบการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการพัฒนาการซื้อขายสินค้าอุตสาหกรรมระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ หรือ B2B ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

จุดมุ่งหมายหลักของระบบ e-supply chain ของกสอ.แตกต่างจากการสร้างระบบ e-market place เดิมที่มุ่งเน้นแต่การโชว์สินค้าเพื่อขาย หรือเป็นเพียงแค่แคตตาล็อคสินค้า แต่ในระบบใหม่จะมีการเพิ่มเติมแอพพลิเคชันและกลายเป็นเว็บไซต์สำหรับผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย และต้องการให้เกิดการทำ Business Matching หรือการจับคู่ทางธุรกิจ เพื่อเป็นห่วงโซ่ข้อแรก ทำให้โรงงานต่างๆ สามารถเข้าถึงการซื้อวัตถุดิบจาก SMEs ขนาดเล็กได้โดยตรง

ที่ผ่านมาเป้าหมายการซื้อขายผ่านระบบ B2B ในโครงการ ECIT มีการปรับเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด โดยในปีนี้อยู่ที่ 100 ล้านบาท และมีอุตสาหกรรมเข้าร่วมกว่า 4,000 ราย แม้ยอดการขายจะไม่มากเพราะต้องการเน้นให้ผู้ซื้อขายทำธุรกรรมผ่านระบบปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือโครงการ ECIT มีฐานข้อมูลที่ผ่านระบบออนไลน์ขนาดใหญ่เกิดขึ้น เป็นฐานข้อมูลที่มีตัวตนจริง และผ่านการคัดกรอง รวมถึงมีการซื้อขายเกิดขึ้นจริงในช่วงที่ผ่านมา สร้างประโยชน์สำหรับการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมประเทศไทยในอนาคต นั่นคือการเกิดของระบบ e-Supply Chain

“ผู้ประกอบการทั้งโรงงานและธุรกิจ SMEs ที่เข้ามานำเสนอสินค้าวัตถุดิบผ่านระบบ e-supply chain ของกสอ. จะไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องเข้ามาสร้าง หน้าร้านให้ลูกค้าที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมทั้งหลายได้รู้จักผ่าน Template หรือเว็บไซต์แม่แบบของกสอ. ซึ่งจะมีระบบเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ส่วนตัว เว็บไซต์สมาคม และเชื่อมผ่านระบบ Social network ยอดนิยมอีกด้วย เพียงแต่เข้ามาแก้ไขข้อมูลทั้งในส่วนของบริษัท สินค้า ราคา และคัดเลือกสินค้าจากผู้ผลิตที่ต้องการ ห่วงโซ่ข้อแรกของอุปทานก็จะเกิดขึ้นและจะเชื่อมโยงไปสู่โซ่ข้อต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด” ดร.พสุกล่าว

เป้าหมายของระบบ e-supply chain ในปีนี้จะเริ่มทดลองกับอุตสาหกรรมสองประเภทคือ อุตสาหกรรมรองเท้ากับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม โดยทำงานผ่านส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าไทย และสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย โดยมีสมาชิกของสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ( ATSME) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายย่อยที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศเข้ามาเชื่อมต่อให้ครบทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งจะทำให้มีสมาชิกเข้าร่วมมากกว่า 5,000 ราย ซึ่งในปีแรกจะยังไม่มุ่งหวังเรื่องยอดขาย แต่มุ่งหวังให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจ และสร้างเครื่องมือทางโปรแกรมเพื่อทำให้ความต้องการของทั้งสองฝ่ายตรงกันก่อน

การเชื่อมโยงแบบนี้จะมีประโยชน์กับฐานข้อมูลใหญ่ของประเทศไทยอย่างมาก เนื่องจากหลายครั้งที่ข้อมูลของแต่ละส่วนไม่ตรงกันทำให้การกำหนดนโยบายทางภาคอุตสาหกรรมที่จะเข้าไปส่งเสริม หรือแก้ไขปัญหาทำได้ยาก รวมถึงการค้นหาข้อมูลเพื่อติดต่อค้าขายกับต่างประเทศก็ประสบปัญหาเช่นกัน แต่เมื่อมีการจัดระบบทั้งหมดก็จะทำให้เกิดรากฐานใหญ่ทั้งระบบต่อไป อีกทั้งในอนาคตยังนำระบบทั้งหมดเชื่อมโยงกับโปรแกรมบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กร หรือ Enterprise Resource Planning ( ERP ) ผ่านระบบ Cloud Computing ที่ ECIT สนับสนุนให้ SME ดำเนินการก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นเพียงแค่นำฐานข้อมูลของระบบ e-Supply Chain มาปรับแต่งให้ตรงกับฐานข้อมูลของ SME ที่ใช้งานผ่าน ERP ก็จะทำให้ข้อมูลภายในของ SME เชื่อมโยงกับระบบ e-Supply Chain ในทันทีด้วยความถูกต้องแม่นยำ และเป็นระบบมากที่สุด

ศ.ดร ธีรวุฒิ บุณยโสภณ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เปิดเผยว่า ปัจจุบันทางม.พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้ทำวิจัยระบบ e-supply chain ต่อยอดจากระบบ e-market place เพื่อรองรับกลุ่มผู้ประกอบการจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จนสามารถสร้างเป็นโซลูชันที่ช่วยเหลือทางด้านการซื้อขายในภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก ตั้งแต่การเพิ่มระบบ E-Catalog to Bill of Materials (BOM) คือระบบที่สามารถจำแนกชิ้นส่วนย่อย จากสินค้าที่ขายสู่ลูกค้า ว่าจะต้องใช้ชิ้นส่วนย่อยกี่ชิ้น ซื้อกับซัพพลายเออร์ใครบ้าง ต้องใช้ของเมื่อไร ต่อด้วยระบบ E-Procurement คือระบบที่ทำหน้าที่ต่อจาก BOM ในการจัดตารางการจัดซื้ออย่างเป็นระบบ ให้ได้มาซึ่งชิ้นส่วนย่อยทุกชิ้นที่ต้องการ มี E-Logistics คือระบบที่สามารถตรวจสอบระยะทางระหว่าง บริษัทกับซัพพลายเออร์แต่ละราย ผ่านระบบแผนที่ออนไลน์ ซึ่งจะสามารถคำนวนต้นทุนการขนส่งได้อย่างละเอียด และมีส่วนในการคัดเลือกซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมด้วย

นอกจากนั้นยังเพิ่มเติมระบบ Green Industry คือระบบที่บริษัทในเครือข่าย e-Supply chain สามารถทำการแลกเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ เครื่องจักรมือสอง เครื่องมือมือสองและเศษของเสียจากการผลิต ที่จะทำให้เกิดการลดต้นทุนในการซื้อของใหม่และยังสนับสนุนให้มีการรักษ์โลกมากขึ้นด้วย

ภาพที่จะปรากฏชัดในยุคต่อไปคือว่า ผู้ผลิตตัวจริง หรือเจ้าของสินค้าจะก้าวเข้ามาทำธุรกิจบนเว็บมากขึ้น รูปแบบของ e-Business จะเข้ามาแทนที่ e-Commerce ส่งผลให้องค์กรที่เข้าสู่ระบบนี้จะเข้าถึงซึ่งเป้าหมายสูงสุดของการสร้างเครือข่าย ให้ครอบคลุมในรูปของกิจกรรมของ e-Business จากเฉพาะกิจกรรมการเชื่อมต่อเครือข่ายเฉพาะภายในบริษัท เป็นการเชื่อมต่อกับองค์กรภายนอกอย่างสมบูรณ์แบบ

นายครรชิต   จันทนพรชัย    นายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าไทย ( ATFIP) เปิดเผยว่า สมาคมจะนำกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า เข้าสู่ระบบ e-supply chain ของโดยจะมีการจัดสัมมนาชี้แจง และอบรมให้อย่างเร่งด่วน จากนั้นจะเชื่อมโยงผู้ผลิตกลุ่มอื่นๆ และทำการคัดเลือกผู้ที่มีศักยภาพด้านการผลิตและจำหน่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ผลิตวัตถุดิบ เข้าสู่ระบบ e-supply chain โดยคาดว่า e-supply chain นี้จะสามารถทำให้ผู้ผลิตรองเท้าหาสินค้ามาผลิต รวมทั้งเลือกสินค้าทดแทน หรือสินค้าที่ใช้ข้ามกลุ่มได้ง่าย สามารถที่จะเลือกซื้อสินค้าผ่านร้านค้าและผู้ผลิตโดยตรง

ระบบ e-supply chain   จะลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการสื่อสาร และสร้างความสะดวกทางการค้าให้กับอุตสาหกรรมรองเท้าเป็นอย่างดี เนื่องจากมีอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน   ผลประโยชน์ทั้งทางตรงหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ หนัง ผ้า พื้นรองเท้า ส้นรองเท้า เป็นต้น การซื้อขายระหว่างกันได้หลากหลายทำให้เกิดการพัฒนาภัณฑ์ เกิดการแลกเปลี่ยนการการจำหน่าย และช่วยสร้างความสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบ หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตมากขึ้น การนำเสนอสินค้าตัวอย่าง การผลิตสินค้า รวมไปถึงการส่งมอบสินค้าได้เร็วขึ้น ( Lead Time Reducing)

นอกจากนั้นยังส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาระบบเทคโนโลยีไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อม ( Green Technologies) ให้กับอุตสาหกรรมรองเท้า ในด้านการบริหารจัดการสินค้าและวัตถุดิบคงคลัง ลดปริมาณคงเหลือสินค้าคงคลัง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุมจม และเพิ่มรายได้ให้กับอุตสาหกรรมรองเท้า ส่งเสริมนโยบาย 3 R (Reduce ,Reuse and Recycle)

จากข้อมูลการสำรวจเบื้องต้น พบว่า ผู้ผลิตโรงงานรองเท้าในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ   2,251 ราย จำแนก เป็นโรงงานขนาดเล็ก 1,484 ราย โรงงานขนาดกลาง   742 ราย และที่เหลือเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่มีแรงงานมากกว่า 2,000 คน จำนวน    25 ราย มีโรงงานที่ผลิตรองเท้าหนัง รองเท้าแตะ และชิ้นส่วนประกอบรองเท้า ประมาณ 1,758 ราย ที่มีการใช้วัตถุดิบ หนัง หนังฟอก หนังเทียม ประมาณ 213,111,120 ฟุตต่อปี เหลือใช้คงคลัง ประมาณ40,691,120 ฟุตต่อปี คิดเป็นมูลค่าของต้นทุนจมถึง 762,958,605 บาท นอกจากนี้มีการใช้ชิ้นส่วนประกอบรองเท้า ประเภทพื้นและส้นประมาณ   98,375,616 คู่ต่อปี และปริมาณเหลือใช้คงคลังเฉลี่ยต่อปี 9,090,816 คู่ ต้นทุนจมที่ในระบบคิดเป็นมูลค่า 525,247,146 บาท

ดังนั้นหากนำเอา ระบบ e-supply chain มาใช้กับอุตสาหกรรม จะการใช้วัตถุดิบเหลือใช้คงคลังของผู้ผลิตรองเท้าซึ่งมีการใช้อยู่เพียง 5 % เท่านั้น เพิ่มขึ้นเป็น 20% ถึง 30%   ซึ่งเท่ากับว่า นอกจากจากจะลดต้นทุนจมให้กับผู้ประกอบการผลิตรองเท้าที่มีวัตถุดิบเหลือใช้เกินความจำเป็นแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่มีกำลังซื้อวัตถุดิบหลากหลาย เข้ามาเลือกซื้อวัตถุดิบจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หรือขนาดกลางที่มีวัตถุดิบเหลือได้ในราคาที่ถูกลง ทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากผลของการใช้ e-supply chain ที่นำมาใช้บริหารจัดการวัตถุดิบเหลือใช้ในระหว่างอุตสาหกรรม ( Dead Stock Recycle) เพียง 5% ของทั้งหมดจะทำให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมรองเท้าและประเทศ   ต้นทุนจมที่เกิดจากการนำวัตถุดิบหนังคงเหลือใช้กลับมาใช้จะลดลงประมาณ 38,147,930 บาท , และที่เกิดจากการนำพื้นรองเท้าคงเหลือกลับมาใช้ประมาณอีกประมาณ 26,262,357 บาท สรุปรวมลดต้นทุนจมให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมถึง 64,410,287 บาท และยังทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายในค่าขนส่งที่แฝงอยู่ในราคาขายถึง 1,288,205 บาทต่อปี ได้ด้วย

นอกจากนี้ e-supply chain จะก่อให้เกิดผลดีทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมคือ ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงการค้าข้ามอุตสาหกรรม Cross Section Industry เช่น การสั่งซื้อรองเท้า ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการค้าได้อย่างมาก

นายสุกิจ คงปิยาจารย์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผยว่า จากที่ปัจจุบันสมาชิกของสมาคมเครื่องนุ่งห่มไทย ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าในแบบต่างๆ ได้เข้าไปอยู่ในระบบ e-market place ของทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ขณะที่โรงงานขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มจะมีฝ่ายจัดซื้อทั้งในและต่างประเทศที่แข็งแกร่ง รวมถึงรู้จักแหล่งของวัตถุดิบ มีความสัมพันธ์กับกลุ่มเหล่านี้ดีอยู่แล้ว และรูปแบบการซื้อขายปกติทางผู้ผลิตวัตถุดิบจะเข้ามานำเสนอทางออกของปัญหาในการผลิต เพื่อทำให้โรงงานเครื่องนุ่งห่มเลือกสินค้านั้นๆ มาทดแทนสินค้าเก่า ทำให้ระบบ e-supply chain ปกติที่อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์นั้นจะเข้ามาสู่ระบบได้ค่อนข้างยาก

ระบบ e-supply chain ของทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจะเป็นการอุดช่องว่าง เหล่านี้ โดยจะทำให้โรงงานเครื่องนุ่งห่มทั้งหลายได้เห็นกลุ่มซัพพลายเออร์กลุ่มใหม่ ซึ่งต่อไปทางสมาคมจะร่วมกับทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดกิจกรรมเพื่อให้กลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบได้มาร่วมกิจกรรมกับทางเจ้าของโรงงานที่เป็นสมาชิกสมาคม เพื่อทำให้เกิดความสัมพันธ์เรียนรู้ปัญหา และพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นก็จะใช้ระบบนี้เชื่อมโยงในการซื้อขายในที่สุด

ส่วนเรื่องของ dead stock management นั้น ทางสมาคมได้หารือกับทางม.พระนครเหนือแล้ว โดยเฉพาะความกังวลของระบบเดิมๆ ที่เป็นอยู่คือ ระบบส่วนใหญ่มักไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่ทันท่วงที เกิดปัญหาการ update ข้อมูลไม่ทัน ทำให้สินค้า dead stock ที่แจ้งยังไม่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ เมื่อผู้ซื้อต้องการสินค้ากลับไม่มีสินค้าอยู่จริง ดังนั้นระบบของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจะมีความยืดหยุ่นและจะเน้นสร้าง Trust หรือความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้อย่างสูงสุด รวมถึงการชี้แจงข้อมูลของสินค้า dead stock อย่างละเอียด เช่น เป็นสินค้าเกรดเอ หรือบี ต้องไม่ทำให้เกิดความสงสัยถึงคุณภาพของสินค้ากลุ่มนี้ได้

นางเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ( ATSME) เปิดเผยว่าสมาชิกของสมาคม ATSME ที่เข้าร่วมกับโครงการนี้มีอยู่กว่า 7,000 ราย กระจายอยู่ทั่วประเทศ 5 ภาค และ 11 เขตศูนย์ภาค เป็นฐานในการสนับสนุนและส่งมอบผลิตภัณฑ์ต้นน้ำไปสู่อุตสาหกรรมหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาระบบ e-market place ถือเป็นจุดเริ่มแรกของเปิดตลาดสู่ภาคอุตสาหกรรม

เมื่อกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมผลักดันให้เกิดระบบ e-supply chain เกิดขึ้น ยิ่งจะทำให้กลุ่มลูกค้าของโรงงาน SMEs มีเว็บแอพพลิเคชันทางด้านกระบวนการทำงานรองรับ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย กลาย เป็นช่องทางในการสื่อสารการตลาดมากกว่า 1 ทาง คือ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถสื่อสารกันได้ด้วยข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ต่อไปนี้ระบบเว็บของสมาชิกสมาคมจะถูกจัดรวมกลุ่ม และมองเห็นกลุ่มผู้ซื้อที่ชัดเจน และสร้าง site reference ให้กับธุรกิจในทันที ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิต การตลาด ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมาก สร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และเกิดการรวมกลุ่มในลักษณะคลัสเตอร์ย่อยๆ ในห่วงโซ่อุปทานได้ เป็นการรวมกลุ่มที่ทำให้สามารถแบ่งปันทรัพยากร ( Share Resource ) ระหว่างกันได้ในกรณีที่เกิดปัญหาในกระบวนการ เช่น ด้านการจัดหาวัตถุดิบ และ/หรือสั่งซื้อวัตถุดิบมาเกินความต้องการใช้งาน

View :9447