Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

แอฟเน็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยชั้นนำระดับโลก เสริมแกร่งผลิตภัณฑ์ “บิทดีเฟนเดอร์” เติมเต็มโซลูชันความปลอดภัยครบวงจร

March 15th, 2014 No comments

AVNet-Bitdefender
ประเทศไทย – 12 มีนาคม 2557 – Avnet Technology Solutions ผู้นำด้านจัดจำหน่ายเทคโนโลยีโซลูชั่น และเป็นกลุ่มบริษัท Avnet (NYSE: AVT) แถลงข่าวประกาศว่า บริษัทได้รับสิทธิ์จาก Bitdefender ให้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นในตลาดของประเทศไทย ทำให้ Avnet สามารถจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นความปลอดภัยแอนตี้ไวรัสของ Bitdefender ได้อย่างเต็มรูปแบบสำหรับทุกกลุ่มตลาด ตั้งแต่ผู้ใช้ตามบ้านธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปจนถึงลูกค้าระดับองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโซลูชั่นความปลอดภัยสำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเวอร์ช่วลเสมือนจริง Avnet และ Bitdefender จะร่วมกันให้บริการโซลูชั่นความปลอดภัยแก่ตลาดองค์กรและหน่วยงานราชการ รวมถึงวงการศึกษา โทรคมนาคม และการเงิน เป็นต้น

คุณรุ่งโรจน์ รัตนาภากร ผู้จัดการบริษัท Avnet สาขาประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านจัดจำหน่ายโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีเป้าหมายที่จะนำเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาสู่ตลาดประเทศไทยผ่านตัวแทนจำหน่ายของเรา การได้โซลูชั่นของ Bitdefender เข้ามาในสายผลิตภัณฑ์ของเราทำให้ตัวแทนจำหน่ายได้เปรียบในการแข่งขัน สามารถตอบสนองความต้องการโซลูชั่นความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของลูกค้าตัวเองได้มากกว่า การลงทุนร่วมกันระหว่าง Avnet และ Bitdefender ทำให้พาร์ทเนอร์ได้ประโยชน์ต่างๆ อันรวมถึงด้านการอบรมและการตลาดที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าแก่บริการที่มีให้สำหรับลูกค้าปลายทางของพาร์ทเนอร์ด้วย

คุณมิฮาว โดมินิค ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ Bitdefender ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “โซลูชั่นความปลอดภัยของ Bitdefender เป็นซอฟต์แวร์ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งมากที่สุดในตลาดที่มีการยอมรับในระดับโลก และได้รับการยกย่องให้เป็นเทคโนโลยีแอนติไวรัสอันดับหนึ่งจากองค์กรอิสระระดับนานาชาติอย่างเช่น AV-Comparatives จากออสเตรีย หรือ PC Welt จากเยอรมัน ไม่นานมานี้ Bitdefender ยังชนะรางวัลจำนวนมาก และได้รับเกียรติในตลาดความปลอดภัยระดับโลกต่างๆ อันได้แก่ “สุดยอดผลิตภัณฑ์แห่งปี” โดย AV-Comparatives “สุดยอดซอฟต์แวร์กู้คืนระบบ” โดย AV-Test “Editor’s Choice” และ “แอนติไวรัสที่ดีที่สุดในปี 2556” โดย PC Mag ทั้งหมดนี้ช่วยยืนยันความเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์แอนติไวรัสเหนือคู่แข่ง ผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดของ Bitdefender ที่เพิ่งมีการแถลงข่าวไป “GravityZone” เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วระดับสุดยอด และมีประสิทธิภาพสูง มุ่งเน้นการปกป้องระบบการทำงานของลูกค้าระดับองค์กรที่มีการใช้ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบรวมศูนย์กลางขนาดใหญ่ ซึ่งอาจรวมถึงเดสก์ท็อป อุปกรณ์พกพา และเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้สภาพแวดล้อมการทำงานแบบเวอร์ช่วล”

เมื่อกล่าวถึงการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับ Avnet คุณมิฮาว ได้กล่าวว่า “Avnet เป็นผู้จัดจำหน่ายโซลูชั่นที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ และให้ความสำคัญรวมถึงมีประสบการณ์ในการผลักดันการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยในตลาดประเทศไทย ด้วยทรัพยากรด้านการขายในท้องถิ่นและความสามารถทางเทคนิคของ Avnet ซึ่งรวมถึงความรู้ความสามารถของพาร์ทเนอร์ ผมเชื่อว่าจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ยิ่งใหญ่แก่ทั้งสองบริษัทในระยะยาว”

เกี่ยวกับ Bitdefender®
Bitdefender เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาสายผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการรับรองระดับโลกที่ทำงานรวดเร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ถือเป็นผู้บุกเบิกในตลาด คิดค้นและพัฒนาระบบป้องกันที่ได้รับรางวัลมาตั้งแต่ปี 2544 ปัจจุบัน เทคโนโลยีจาก Bitdefender ได้สร้างความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานในโลกดิจิตอลกว่า 400 ล้านรายทั้งระดับผู้ใช้ตามบ้านและระดับองค์กรทั่วโลก

เกี่ยวกับ Avnet Technology Solutions
ในฐานะผู้จัดจำหน่ายโซลูชั่นไอทีระดับโลก Avnet Technology Solutions ได้มีความร่วมมือร่วมกับพาร์ทเนอร์และซัพพลายเออร์ในการสร้างและจำหน่ายโซลูชั่นด้านการบริการ ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ที่ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าปลายทางทั้งภายในท้องถิ่นและทั่วโลก กลุ่มบริษัทนี้ได้ให้บริการลูกค้าและซัพพลายเออร์ในอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกาและแคริบเบียน เอเชียแปซิฟิค และยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยสร้างรายได้กว่า 10.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2556 Avnet Technology Solutions เป็นกลุ่มปฏิบัติการของบริษัท Avnet สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม http://www.ats.avnet.com/

เกี่ยวกับ Avnet
บริษัท Avnet (NYSE: AVT) อยู่ในกลุ่ม Fortune 500 เป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ที่สุดสำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องแก่ลูกค้าทั่วโลก Avnet ได้ผลักดันความสำเร็จของพาร์ทเนอร์ด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลกร่วมกับฐานลูกค้าโดยให้บริการและโซลูชั่นที่คุ้มค่าและมีการเพิ่มมูลค่า ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเมื่อ 29 มิถุนายน 2556 Avnet ทำรายได้ถึง 25.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม www.avnet.com

View :1322
Categories: Press/Release Tags:

Frost & Sullivan: Shift toward Integrated Solutions Key to Growth of Asia-Pacific Secure Content Management Market

January 27th, 2014 No comments

The IT convergence and information-centricity trends are driving the secure content management (SCM) market in Asia-Pacific as vendors in this space look to offer web and e-mail security as integrated rather than standalone solutions. The value offered by these converged solutions has encouraged cost-conscious enterprises in the region to adopt SCM.

New analysis from Frost & Sullivan (http://www.networksecurity.frost.com), Asia-Pacific CY2012, finds that the market earned revenues of US$675.1 million in 2012 and estimates this to reach US$1995.4 million in 2019. The research covers the e-mail and web security segments.

“With more firms looking to leverage the potential offered by the web, there is high demand for web security solutions that enable organizations to strike a fine balance between restricting and allowing web access for employees,” said Frost & Sullivan Information & Communication Technologies Research Analyst Vu Anh Tien. “Enterprises are particularly looking to better manage employee Web behavior, increase visibility, and obtain greater control over Web content.”

The rise of enterprise mobility trends such as bring your own devices and bring your own applications is intensifying the Web and e-mail security issues faced by companies across Asia-Pacific, thus making a stronger business case for SCM solutions. The greater threat exposure brought about by mobile devices that could become attack vectors or pose a higher risk due to human errors is compelling organizations to adopt these solutions.

“As a result, the SCM market in the region is veering towards integrated security solutions that not only prevent spam or block access to malicious websites, but also monitor Web and e-mail traffic in mobile devices to protect against data loss, advanced persistent threats, and distributed denial of service,” remarked Anh Tien.

However, the increasing convergence of security products that provide the full range of firewall, monitoring, and file sharing protection is decreasing the proportion spent on the e-mail and Web security segments. The saturation of the anti-spam market and the perception that anti-spam products are just basic, commoditized components of any security suite also limit the scope of the SCM market in the region.

Moreover, the lack of new innovation in recent years has caused the e-mail and Web security segments to be overshadowed by other security technologies in certain instances. As such, the onus is on content security vendors to widen the capabilities of their e-mail and Web security products to create greater value for customers and sustain growth in the Asia-Pacific SCM market.

View :1338

วีเอ็มแวร์ซื้อกิจการแอร์วอช (AirWatch)

January 27th, 2014 No comments

เพิ่มศักยภาพการบริการลูกค้าด้วยโซลูชั่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการจัดการของผู้ใช้อุปกรณ์ ประยุกต์ใช้บนเดสก์ท็อปและบนสภาพแวดล้อมของโทรศัพท์มือถือ

โชว์ผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2556 ขยายตัว 15%

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 27 มกราคม 2557 – วีเอ็มแวร์, อิงค์ (NYSE: VMW ) ผู้นำระดับโลกในด้านเวอร์ชวลไลเซชั่นและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ประกาศการลงนามในข้อตกลงขั้นสุดท้ายที่ วีเอ็มแวร์จะเข้าซื้อกิจการของแอร์วอช (AirWatch) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชั่นเพื่อการจัดการ และการรักษาความปลอดภัยระบบเคลื่อนที่สำหรับองค์กร โดยวีเอ็มแวร์จะเข้าซื้อกิจการแอร์วอชด้วยเงินสดมูลค่าราว 1.175 พันล้านดอลลาร์ และจะมีการแบ่งชำระเป็นงวดๆ ละประมาณ 365 ล้านดอลลาร์ และส่วนที่เป็นหุ้น ทีมงานของแอร์วอชจะยังคงทำงานโดยรายงานตรงต่อจอห์น มาร์แชล ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม End-User Computing ของวีเอ็มแวร์ที่นำโดย ซานเจย์ พูเนน รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไป ส่วน อลัน เด็บเบีย เรย์ ผู้ร่วมก่อตั้ง แล ประธานกรรมการของแอร์วอชซึ่งได้รับหน้าที่กำกับดูแลคณะกรรมการชุดใหม่ของแอร์วอชจะทำงานโดยรายงานตรงต่อ มร. แพท เจลซิงเจอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวีเอ็มแวร์

มร. แพท เจลซิงเจอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวีเอ็มแวร์ กล่าวว่า แอร์วอชได้ให้การจัดการระบบเคลื่อนที่สำหรับองค์กรที่มีความปลอดภัยที่ดีที่สุดแก่ธุรกิจหลายพันแห่งทั่วโลก ดังนั้นการซื้อกิจการในครั้งนี้จะทำให้วีเอ็มแวร์สามารถเพิ่มองค์ประกอบพื้นฐานในพอร์ตโพลิโอด้านการประมวลผลสำหรับผู้ใช้วีเอ็มแวร์ทั่วไปได้ ซึ่งจะทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของพนักงานที่ทำงานแบบเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการรักษาความปลอดภัยอีกต่อไป

มร. อลัน เด็บเบียเรย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานของแอร์วอช กล่าวว่า แอร์วอชมีความตั้งใจที่จะผลักดันให้ธุรกิจต่างๆประสบความสำเร็จด้านการทำงานแบบเคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีแนวโน้มของการได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมากกว่า 2 พันล้านเครื่องทั่วโลก และมากกว่าครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์เหล่านั้นถูกนำมาใช้ในองค์กรต่างๆ การเข้าร่วมกับผู้สรรสร้างนวัตกรรมอย่างวีเอ็มแวร์ จะส่งผลให้ แอร์วอช มีโอกาสที่จะนำโซลูชั่นที่ล้ำสมัยระดับแนวหน้าไปสู่ลูกค้าและคู่ค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้นทำให้กลุ่มลูกค้าได้ใช้ประโยชน์ในรูปแบบของการทำงานแบบเคลื่อนที่บนคลาวด์ได้อย่างเต็มที่

แอร์วอช เป็นบริษัทเอกชนที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ใน แอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชั่นสำหรับองค์กรเพื่อใช้ในการจัดการ อุปกรณ์พกพา, จัดการแอพพลิเคชั่น และเนื้อหาที่ใช้งานแบบเคลื่อนที่ โดยมีลูกค้ามากกว่า 10,000 รายทั่วโลก มีพนักงานอยู่ในสำนักงาน 9 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วโลกมากกว่า 1,600 คน ใน โซลูชั่นของแอร์วอชให้แพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์แก่องค์กรเพื่อจัดการอุปกรณ์พกพา ให้กับพนักงานที่ทำงานแบบเคลื่อนที่ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างมีระบบความปลอดภัย ซึ่งคาดว่าสำนักงานใหญ่ในเมืองแอตแลนตาแห่งนี้ จะมีการขยายพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานด้านระบบเคลื่อนที่ของวีเอ็มแวร์ ต่อไป

มร.ซานเจย์ พูเนน รองประธานบริหารแลผู้จัดการทั่วไปกลุ่ม End-User Computing วีเอ็มแวร์กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของวีเอ็มแวร์ คือการให้พื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่มีระบบความปลอดภัย ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้เร็วขึ้น ดังนั้นการรวมตัวกันระหว่างแอร์วอชและวีเอ็มแวร์จะทำให้ความสามารถในการส่งมอบคุณค่าบริการที่มากขึ้นตรงไปยัง
ลูกค้าและคู่ค้าทั้งในสภาพแวดล้อมการใช้งานแบบอยู่ในสำนักงานและแบบเคลื่อนที่อย่างสมบูรณ์แบบ

การเข้าซื้อกิจการนี้จะช่วยขยายกลุ่มธุรกิจระบบประมวลผลสำหรับผู้ใช้ของวีเอ็มแวร์ เทคโนโลยีของ AirWatch จะก่อให้เกิดกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชั่นโมบายล์ที่ขยายใหญ่ขึ้นและเสริมสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ของวีเอ็มแวร์ การเข้าซื้อกิจการนี้ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการบริหารของทั้งวีเอ็มแวร์และแอร์วอทช์ และการเข้าซื้อกิจการนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 โดยจะต้องได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบและเงื่อนไข การเข้าซื้อกิจการจะได้รับเงินทุนสนับสนุนผ่านทางเงินสดจากงบดุลและเงินรายได้จากหนี้เพิ่มเติมประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับการจัดหาจากอีเอ็มซี นอกจากนี้ วีเอ็มแวร์จะยังคงดำเนินการตามโครงการซื้อคืนหุ้นต่อไป

ผลประกอบการเบื้องต้นไตรมาส 4 ปี 2556

วีเอ็มแวร์ ประกาศผลประกอบการเบื้องต้นช่วงไตรมาส 4 ปี 2556 รายได้รวมในช่วงไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 1.48 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ15 เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่ 4 ของ ปี 2555 โดยไม่รวมรายได้จากไพโวทอลซอฟท์แวร์ อิงค์ และขายกิจการบางส่วนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปี 2556 ทำให้รายได้รวมในช่วงไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2555

มร.โจนาธาน ชัดวิค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและรองประธานบริหารของวีเอ็มแวร์ กล่าวว่า วีเอ็มแวร์ พึงพอใจกับรายได้รวมช่วงไตรมาส 4 ที่สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้อย่างยิ่ง และรายได้จากใบอนุญาตช่วงไตรมาส 4
อยู่ที่ 687 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงไตรมาส 4 ของปี 2555 โดยไม่รวมรายได้จากไพโวทอลซอฟท์แวร์ อิงค์ และการขายกิจการบางส่วนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปี 2556 ส่วนรายได้จากใบอนุญาตสำหรับ
ช่วงไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2555*

กำไรสุทธิจากการดำเนินงานแบบ Non-GAAP1 ในช่วงไตรมาส 4 อยู่ที่ร้อยละ 35.6 ในขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานแบบ GAAP ในช่วงไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ร้อยละ 25.2

แหล่งค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
• อ่านบล็อกที่โพสต์โดย ซานเจย์ พูเนน รองประธานบริหาร และผู้จัดการทั่วไปกลุ่ม End-User Computing ของ วีเอ็มแวร์
• เชื่อมต่อกับวีเอ็มแวร์บนทวีตเตอร์ และเฟซบุ๊ค

เกี่ยวกับวีเอ็มแวร์

วีเอ็มแวร์คือผู้นำระดับโลกในด้านเวอร์ชวลไลเซชั่นและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ซึ่งช่วยให้องค์กรธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคของคลาวด์ ลูกค้าไว้วางใจในเทคโนโลยีของวีเอ็มแวร์สำหรับการปรับปรุงรูปแบบการสร้าง การส่งมอบ และใช้งานทรัพยากรเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างลงตัว วีเอ็มแวร์มีรายได้ 4.61 พันล้านดอลลาร์ในปี 2555 มีลูกค้ากว่า 500,000 ราย และพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 55,000 ราย บริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์ และมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ www.vmware.com

เกี่ยวกับ AirWatch

แอร์วอชคือผู้ให้บริการชั้นนำการรักษาความปลอดภัยระบบเคลื่อนที่ และการจัดการความสามารถด้านการทำงานแบบเคลื่อนที่สำหรับองค์กรที่มีพนักงานมากกว่า 1,600 คนทำงานอยู่ในสำนักงาน 9 แห่งทั่วโลก โดยมีองค์กรมากกว่า 10,000 แห่งใน 150 ประเทศใช้ประโยชน์จาก AirWatch Enterprise Mobility Management Platform ซึ่งรวมถึงโซลูชั่นด้านการจัดการอุปกรณ์พกพา อีเมล์ แอพพลิเคชั่น เนื้อหา แล็ปท็อป และบราวเซอร์ชั้นนำของอุตสาหกรรม องค์กรต่างๆ สามารถติดตั้งโซลูชั่นเหล่านี้แบบเดี่ยวๆ เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดในการนำอุปกรณ์ของคนเองมาใช้ในการทำงานของแต่ละองค์กร ใน AirWatch Workspace ประกอบด้วยโซลูชั่นต่างๆ หรือแพลตฟอร์เพื่อการทำงานแบบเคลื่อนที่ระดับองค์กรที่มีความสามารถในการปรับขนาดได้สูง และทำงานได้ครอบคลุม ด้วยทีมวิจัยและพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม แอร์วอชช่วยให้รองรับแพลตฟอร์มของระบบเคลื่อนที่ได้อย่างกว้างขวาง การพัฒนาโซลูชั่นที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมอย่าง AirWatch Secure Content Locker และทำงานร่วมกับผู้ผลิตอุปกรณ์ และผู้ให้บริการโซลูชั่นทางเทคโนโลยีชั้นนำในระบบนิเวศของระบบเคลื่อนที่

View :1125
Categories: Press/Release Tags:

จอน เฟเดอริค บัคซอส ซีอีโอ ของเทเลนอร์ ได้รับเลือกเป็นประธาน GSMA

October 31st, 2013 No comments

jon-fredrik-baksaas-2
กรุงเทพฯ 30 ตุลาคม 2556, นายจอน เฟรดริค บัคซอส ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ กรุ๊ป ได้รับเลือกเป็นประธานคนใหม่ของ GSMA สมาคมที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สายจากทั่วโลกเกือบ 800 ราย โดยนายจอน เฟรดริค บัคซอส เข้ารับตำแหน่งต่อจากนายฟรังโก้ แบคนาเบ้ โดยจะดำรงตำแหน่งไปจนสิ้นสุดวาระของคณะกรรมการชุดปัจจุบันในเดือนธันวาคม ปี 2557

ในฐานะประธานของ GSMA นายจอน เฟรดริค บัคซอส จะรับผิดชอบด้านทิศทางกลยุทธ์ของสมาคม ซึ่งนอกจากจะมีสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สายจากทั่วโลกเกือบ 800 รายแล้ว ยังรวมไปถึงอีก 250 บริษัทที่อยู่ในแวดวงที่เกี่ยวข้อง เช่นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์ ผู้ให้บริการโครงข่าย บริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่น เช่นสถาบันการเงิน เฮล์ธแคร์ ธุรกิจสื่อ การคมนาคม นอกจากนี้ GSMA ยังเป็นผู้จัดงานอีเว้นท์สำคัญๆ ของอุตสาหกรรม เช่น โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส และ โมบายล์ เอเชีย เอ็กซ์โป อีกด้วย

“ผมยินดีที่จะได้ร่วมงานกับคณะกรรมการท่านอื่นๆ ทีมงานของ GSMA และสมาชิกทั้งหมดของเราเพื่อที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของเราให้ก้าวหน้าต่อไป ผมถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำงานในอุตสาหกรรมที่สร้างความแตกต่างให้กับทุกคนในสังคม เป้าหมายสูงสุดของเราวันนี้คือการที่จะเชื่อมต่อทุกชีวิตบนโลกด้วยอินเตอร์เน็ต และการที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ GSMA จะมุ่งมั่นพัฒนาระบบโครงข่าย พัฒนาบริการที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมในการเจรจากับหน่วยงานรัฐบาลที่กำกับดูแล” นายบัคซอส กล่าว

“วันนี้เราอยู่ในช่วงรอยต่อที่สำคัญของอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สายที่ผู้คนจำนวนมากมีการเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ดิฉันมีความยินดีที่จะได้ร่วมงานกับคุณจอน เฟรดริค บัคซอส และคณะกรรมการของ GSMA ท่านอื่นๆ ในการร่วมกันพัฒนาโปรแกรมทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อต่อยอดการเติบโตและการลงทุนในตลาดการสื่อสารไร้สาย เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับทุกๆคนบนโลกใบนี้” นางสาวแอนน์ บูแวโร่ ตำแหน่ง Director General ของ GSMA กล่าว

นายจอน เฟรดริค บัคซอส วัย 59 ปี เป็นชาวนอร์เวย์ และทำงานอยู่ในแวดวงโทรคมนาคมมากว่า 25 ปี โดยดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของเทเลนอร์กรุ๊ปตั้งแต่ปี 2545 นายบัคซอสเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ VimpelCom , Svenska Handelsbanken AB, GSMA และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาของ Det Norske Veritas นายบาคซาสจบการศึกษาปริญญาโทจาก Norwegian School of Economics and Business Administration และหลักสูตรเพิ่มเติมจาก IMD กรุงโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

View :1287
Categories: Press/Release Tags:

CAT รุกวางระบบสำรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ (DR-Site) พร้อมแผนบริหารความต่อเนื่องให้สหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด

October 24th, 2013 No comments

IMG_8705

วันนี้ (24 ตุลาคม 2556) เวลา 10.30 น. ณ ศูนย์บริการลูกค้า CAT ถนนแจ้งวัฒนะ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT โดย นายวิโรจน์ โตเจริญวาณิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (สายงานการตลาด) CAT และนายปิยะวัตร์ มหาเปารยะ ประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จํากัด (สอ.กสท.) พร้อมทีมผู้บริหารของสององค์กรได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ โครงการจัดทําศูนย์รับเหตุฉุกเฉินและระบบสํารองคอมพิวเตอร์ (Disaster and Recovery Site: DR-Site) และแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจในระบบไอทีที่สำคัญ (IT Business Contingency Plan: IT-BCP) ให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด

นายปิยะวัตร์ มหาเปารยะ ประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด (สอ.กสท.) เปิดเผยว่า สอ.กสท. ได้พัฒนาศูนย์รองรับเหตุฉุกเฉินและระบบสำรองคอมพิวเตอร์ (Disaster Recovery Site: DR-Site) โดยเลือก CAT เป็นผู้พัฒนาระบบสํารองและกู้คืนข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญหรือ IT Business Management Plan ให้สามารถพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เหตุจลาจล และภัยพิบัติ เป็นต้น รวมทั้งมีการเตรียมพร้อมในส่วนของสำนักงานชั่วคราว (Temp Office) และเคาน์เตอร์ให้บริการทางการเงินแก่สมาชิกเฉพาะกิจ เพื่อรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว

“สอ.กสท. เชื่อมั่นในความพร้อมของ CAT ซึ่งมีจุดแข็งในด้านโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ ระบบสำรองและกู้คืนข้อมูลสารสนเทศที่พร้อมให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งทีมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการทดสอบแผนบริหารความต่อเนื่อง ทั้งความพร้อมของระบบสำรองและกู้คืนข้อมูลสารสนเทศอย่างเต็มรูปแบบที่จำลองสถานการณ์เสมือนจริง และสม่ำเสมอ จึงมั่นใจได้ว่า สอ.กสท. สามารถรองรับการให้บริการทางด้านการเงินให้แก่สมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็นการปฏิบัติตามระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ 2553 ว่าด้วยมาตรฐานขั้นต่ำในการควบคุมภายในและรักษาความปลอดภัยสำหรับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ใช้โปรแกรมระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูล รวมถึง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550”

นายวิโรจน์ โตเจริญวาณิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (สายงานการตลาด) บมจ.กสท โทรคมนาคม (CAT) เปิดเผยว่า CAT ได้ให้การบริการจัดทำศูนย์รองรับเหตุฉุกเฉินและสำรองระบบคอมพิวเตอร์ในโครงการฯ ของ สอ.กสท. อย่างครบวงจร โดยได้ทำการพัฒนาและติดตั้งระบบสํารองและกู้คืนข้อมูลสารสนเทศ (DR Site) ในระบบศูนย์สำรองที่มีมาตรฐานสากลในการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ISO 27001 รวมทั้งการให้คำปรึกษาพร้อมจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่อง ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลในการบริหารความต่อเนื่องธุรกิจ ISO 22301

นอกจากนี้ยังมีระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพและมีความมั่นคงปลอดภัยสูง ที่สามารถเชื่อมโยงการสำรองข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีความเป็นปัจจุบัน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน CAT จะสามารถเตรียมระบบสำนักงานชั่วคราว (Temp Office) และพื้นที่ในการรองรับการเปิดเคาน์เตอร์การให้บริการทางการเงินเฉพาะกิจได้ทันที เพื่อตอบโจทย์การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจของ สอ.กสท.

ทั้งนี้บริการศูนย์รองรับเหตุฉุกเฉินและระบบสำรองคอมพิวเตอร์ รวมถึงการให้คำปรึกษาและจัดทำแผนบริหารธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Management: BCM) เป็นหนึ่งในกลุ่มบริการ CAT cyfence ที่ให้บริการรักษาความปลอดภัยระบบไอทีสำหรับลูกค้าองค์กรและหน่วยงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร

View :1672
Categories: Press/Release Tags:

สพธอ.จับมือ SANS ดันคนไทยสู่หลักสูตรสกัดภัยไซเบอร์ระดับโลก ผสานความร่วมมือ5 ข้อเพื่อไทยเป็นผู้นำไซเบอร์ระดับภูมิภาค

October 23rd, 2013 No comments

Photo Caption_ข่าวใต้ภาพ

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา : ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ThaiCERT) ภายใต้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) และSANS Institute (SANS) สถาบันฝึกอบรม ออกใบรับรอง และวิจัยระดับนานาชาติในด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ได้รับความเชื่อถือและใหญ่ที่สุดในโลก จัดงานแถลงความร่วมมือและลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระดับประเทศครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มบุคลากรไทยด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) ซึ่งจะนำประเทศไทยไปสู่การเป็นผู้นำทางไซเบอร์ในระดับภูมิภาค

น.อ.รศ.ดร.ประสงค์ ประณีตพลกรัง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เกียรติเป็นประธานและสักขีพยาน ในพิธีลงนาม MOU ระหว่าง 2 หน่วยใหญ่ โดยนางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สพธอ. หน่วยงานหลักของประเทศไทยในการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้มีความน่าเชื่อถือและมีความมั่นคงปลอดภัยจากภัยคุกคามด้านสารสนเทศ รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรให้มีความแข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้แก่ประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมี ThaiCERT ภายใต้การกำกับดูแลของ สพธอ. เป็นกลไกหลักในภารกิจดังกล่าว และนาย Mason Brown ประธานและผู้บริหารสูงสุด (Director and CEO) ของ SANS สถาบันอบรมและออกใบรับรองด้านความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ระดับสูง (Information Security) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีหลักสูตรมากกว่า 50 หลักสูตร พร้อมใบรับรองด้าน Information Security กว่า 25 ประเภท สำหรับความร่วมมือครั้งนี้จะเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ของชาติ โดยมีปัจจัยสู่ความสำเร็จ 5 ข้อคือ (1) ค้นหาผู้ที่มีความสามารถพื้นฐานและมีศักยภาพในการอบรมหลักสูตร (2) อบรมด้วยเนื้อหาที่ทันสมัย เชื่อถือได้ และผ่านการรับรองแล้ว (3) คัดเลือกผู้ฝึกอบรมที่มีความสามารถและทักษะการสอนที่ดีเลิศ (4) รับรองผู้เข้าอบรมว่าเข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริง โดยประเมินจากการลงมือปฏิบัติจริง และ (5) ตั้งกลุ่มผู้มีความสามารถที่จัดโปรแกรมอบรมได้ด้วยตัวเองและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถเป็นเลิศต่อไปได้ เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน

นาย Mason Brown เผยว่า “การโจมตีทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนและแปลกใหม่ขึ้นทุกวัน จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมและพัฒนาผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของไทยให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ น่ายินดีที่สพธอ. และ ThaiCERT ได้แสดงความทุ่มเทอย่างมากในความร่วมมือครั้งนี้

ส่วน นางสุรางคณา วายุภาพ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การรับมือภัยคุกคามอย่างมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนบุคลากรและยกระดับความสามารถของพวกเขาให้ทัดเทียมกับสากล จากสถิติเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีผู้ที่ได้รับใบรับรองของ SANS จากสิงคโปร์ถึง 375 คน ส่วนมาเลเซีย 206 คน ขณะที่มีคนไทยได้รับเพียง 38 คนเท่านั้น ความร่วมมือกับSANSอย่างเป็นรูปธรรมครั้งนี้จะนำเราไปในทิศทางที่ต้องการได้” นางสุรางคณา กล่าวปิดท้าย

View :1240
Categories: Press/Release Tags:

‘Focus’ เปิดตัว ‘Anti-Shock’ ฟิล์มกันกระแทก พร้อมโปรโมชั่น ‘ติดปั๊บ รับโชค’ ในงาน Thailand Mobile Expo 2013 Showcase

October 3rd, 2013 No comments

Focus Anti-shock Presentation
วันนี้ (3 ตุลาคม 2556) ‘Focus’ เปิดตัวสินค้าใหม่ ‘Focus Anti-Shock’ ฟิล์มกันกระแทกหน้าจอ ผลิตจากวัสดุคุณภาพด้วยเทคโนโลยีฟิล์ม 4 ชั้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำ และรักษาส่วนแบ่งตลาดแผ่นฟิล์มกันรอยหน้าจอ สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งได้รับการการันตีจากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลล์ ว่าเป็นแบรนด์ฟิล์มกันรอยที่มียอดจำหน่ายและได้รับความพึงพอใจจากผู้ใช้งานทั่วประเทศสูงสุดในปี 2555 ที่ผ่านมา พร้อมจัดหนักโปรโมชั่นเอาใจลูกค้าที่เลือกซื้อมือถือใหม่ในงาน Thailand Mobile Expo 2013 Showcase มหกรรมมือถืองานใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งสุดท้ายของปีนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมชมโชว์ทดสอบทุบหน้าจอมือถือและมินิคอนเสิร์ตจาก “หนูนา – หนึ่งธิดา โสภณ”

นายอมรศักดิ์ แดงแสงทอง รองประธานฝ่ายการตลาด บริษัท ดีพลัส อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฟิล์มกันรอยหน้าจอสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต อันดับหนึ่งของไทย ภายใต้แบรนด์ ‘Focus’ เปิดเผยว่า ในงาน Thailand Mobile Expo 2013 Showcase ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 3 – 6 ตุลาคม 2556 นี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘Focus: Anti-Shock’ ฟิล์มกันกระแทกสำหรับหน้าจอสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยีแผ่นฟิล์ม 4 ชั้น ที่เพิ่มชั้นพิเศษ Shock Absorptive & Highly Flexible layer มีความยืดหยุ่นทนทานสูง ช่วยดูดซับและกระจายแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นกับหน้าจอได้เป็นอย่างดี

“ในวันนี้ เราก้าวไปอีกขั้นสำหรับผลิตภัณฑ์ ‘Focus Anti-Shock’ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตยุคใหม่ ที่หน้าจอมีขนาดใหญ่และเสี่ยงต่อการแตกร้าวได้ง่าย ทั้งนี้ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของโฟกัสได้ร่วมทำการทดสอบกับภาควิชาวิศวกรรมการผลิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งได้ผลทดสอบยืนยันว่าฟิล์ม ‘Focus Anti-Shock’ สามารถรองรับแรงกระแทกและลดปัญหาหน้าจอแตกได้มากกว่าฟิล์มกันรอยทั่วไป มากกว่า 1.7 เท่า อีกทั้งช่วยปกป้องหน้าจอจากรอยขีดข่วน เนื้อฟิล์มเป็นแบบใส คงสีสันความคมชัดของหน้าจอและลดการเกิดคราบรอยนิ้วมือได้มากกว่าฟิล์มใสแบบทั่วไป” นายอมรศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์แผ่นฟิล์มกันรอยหน้าจอสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตให้เป็นอันดับที่ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทฯ ครองส่วนแบ่งการตลาดฟิล์มกันรอยในสัดส่วน 65% ของตลาดโดยรวมทั่วประเทศที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาทต่อปี

“จุดเด่นที่ทำให้เราเป็นผู้นำตลาด คือบริษัทให้ความสำคัญกับทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ อีกทั้งมีโรงงานผลิตเป็นของเราเอง ส่งผลทำให้เราสามารถคิดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมรองรับความหลากหลายของรุ่นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ที่ออกวางจำหน่ายได้อย่างรวดเร็ว มีมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพการผลิตสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่นำเข้าสินค้าต่างๆ จากต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำและมีปัญหาด้านคุณภาพ” นายอมรศักดิ์กล่าว

ภายในงานนี้ Focus ได้เตรียมฟิล์มกันรอยและกันกระแทกหน้าจอ มารองรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรุ่นใหม่ๆ ที่เตรียมเปิดตัวภายในงานรวมถึงรุ่นยอดนิยมในปัจจุบัน เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่บูธตลอดงาน พร้อมกับจัดกิจกรรมทดสอบฟิล์มกันกระแทก และมินิคอนเสิร์ต โดย หนูนา หนึ่งธิดา โสภณ ในวันที่ 3 ตุลาคม 2556 เวลา 13.00 น. ณ บูธ M1 หน้า Plenary Hall

สำหรับผู้ที่ติดฟิล์มกันรอยที่บูธโฟกัสภายในงาน จะได้สิทธิลุ้นโชค 2 ชั้น แจก Samsung Galaxy Note 3 แก่ผู้โชคดีทุกวัน วันละ 1 เครื่อง และร่วมสนุกกับแคมเปญ ‘ติดปั๊บ รับโชคกับโฟกัส’ แจก Samsung Galaxy Note 8.0 จำนวน 60 เครื่อง ซึ่งถือเป็นโปรโมชั่นใหญ่เพื่อตอบแทนลูกค้าร่วมกับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยกติกาง่ายๆ พิมพ์ Focus ตามด้วย รหัสในซองฟิล์ม 10 หลัก ส่งมาที่ 4141333 (ครั้งละ 3 บาท) ประกาศผลทุกวันจันทร์ เวลา 10.00 น. ทาง Facebook.com/FocusFilm เริ่ม 1 ตุลาคม – 29 พฤศจิกายน 2556

“แคมเปญ ติดปั๊บ รับโชคกับโฟกัส และการโปรโมทผลิตภัณฑ์ Focus Anti-Shock ทางเราได้เตรียมแผนสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร ผ่านทางสื่อโฆษณาโทรทัศน์ วิทยุ สื่อรถไฟฟ้า และสื่อออนไลน์เต็มรูปแบบ รวมถึงเตรียมจัดกิจกรรมโรดโชว์ ท้าทดสอบฟิล์มกันกระแทก ตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อาคารสำนักงาน และช็อปปิ้งมอลล์ ชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ ตลอดเดือนต.ค.-พ.ย. นี้ ด้วยงบการตลาดราว 20 ล้านบาท จากงบการตลาดที่วางไว้ 50 ล้านบาทในปีนี้ โดยคาดว่าแคมเปญนี้จะกระตุ้นยอดจำหน่ายฟิล์มในไตรมาสสุดท้ายของปีเพิ่มขึ้นราว 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา” นายอมรศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

View :1448

เอไอเอส 3G 2100 จัดเต็มกองทัพสมาร์ทดีไวซ์สุดล้ำ พร้อมโปรฯสุดคุ้มบุกงาน “Thailand Mobile Expo 2013 Showcase”

October 2nd, 2013 No comments

1

เอไอเอส 3G 2100 ตัวจริง มาตรฐานโลก เตรียมยกขบวนกองทัพสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตสุดล้ำบุกงาน “Thailand Mobile Expo 2013 Showcase” พร้อมจัดเต็มหลากหลายโปรโมชั่นสุดคุ้ม เอาใจสาวกเอไอเอสโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น
· Samsung Galaxy Note 3 กับส่วนลดแพ็กเกจรายเดือน 50% นานสูงสุด 18 เดือน พร้อม e-book จาก AIS Book store และ หนัง HD จาก AIS Movie store แบบจุใจ

· LG G2 กับส่วนลดแพ็กเกจรายเดือน 50% นาน 6 เดือน
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องราคาพิเศษสุดๆ กว่าใคร ทั้ง iPhone 4S 16GB รับส่วนลดค่าเครื่องถึง 3,800 บาท พร้อมส่วนลดแพ็กเกจรายเดือน 50% นานสูงสุด 18 เดือน และ BlackBerry Z10 รับส่วนลดค่าเครื่องถึง 5,090 บาท พร้อมส่วนลดแพ็กเกจรายเดือน 50% นาน 6 เดือน รวมทั้งสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ อีกกว่า 30 รุ่น ที่มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมาย อาทิ เครื่องรุ่นพิเศษ ราคาสบายกระเป๋า ที่มีจำหน่ายเฉพาะบูธเอไอเอสเท่านั้น อย่าง Sony Xperia E และ LG L1 แอนดรอยด์โฟนรุ่นเล็ก สเปคแรง พร้อมส่วนลดแพ็กเกจรายเดือน 50% นาน 6 เดือน เป็นต้น

พิเศษ! สำหรับลูกค้าเอไอเอส 3G 2100 ที่ซื้อสมาร์ทโฟนราคา 5,000 บาทขึ้นไป รับฟรีสิทธิพิเศษชุดใหญ่ ทั้งอินเตอร์เน็ต 3GB, ตุ๊กตาอุ่นใจ 3G ลิมิเต็ท อิดิชั่น และติดฟิล์มกันรอยคุณภาพเยี่ยมทุกเครื่อง สาวกสมาร์ทดีไวซ์ไม่ควรพลาด! พบกัน ที่บูธเอไอเอสในงาน “Thailand Mobile Expo 2013 Showcase” ตั้งแต่วันที่ 3 – 6 ตุลาคม 2556 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้องเพนนารี่ ฮอลล์

View :1339
Categories: Press/Release Tags:

TACGA ดึงเกรแฮมคลาร์ก กูรูแอนิเมชั่น ชื่อดังจากฮอลลีวูด ปั้นผู้ประกอบการไทยหวังผลิตงาน 3มิติ ป้อนตลาดโลก

September 10th, 2013 No comments

TACGA จับเทรนด์ภาพยนตร์ แอนนิเมชั่น 3 มิติ ทั่วโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น พร้อมจัด โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “3 มิติ Stereoscopic for Movie and Animation” 11-13 กันยายน 2556 ณ โรงแรมอโณมา ราชดำริ กับกูรู เกรแฮมคลาร์ก จากฮอลลิวูด เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยรับจ้างผลิตงาน หวังดึงต่างชาติใช้ไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตคอนเทนต์ 3 มิติ

นายนิธิพัฒน์ สมสมาน นายกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสความนิยมดูภาพยนตร์ 3 มิติ เพิ่มสูงขึ้นไปทั่วโลก โดยปี 2012 เพียงปีเดียวมีการผลิตภาพยนตร์และแอนนิเมชั่น 3 มิติที่เข้าฉายในโรงภาพยนต์ทั่วโลกมากถึง 44 เรื่อง ประกอบกับโรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ได้เพิ่มความสามารถในการรับชมภาพยนตร์ในรูปแบบ 3 มิติเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมรับชมภาพยนตร์และแอนนิเมชั่น 3มิติของผู้ชมทั่วโลก

ทั้งนี้ด้วยแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และแอนนิเมชั่นในตลาดโลก สมาคมฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุน จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟแวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัด “โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (workshop) 3 มิติ Stereoscopic for Movie and Animation” สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป ให้มีศักยภาพเทียบเท่าระดับสากล เพื่อรองรับการจ้างผลิตผลงานในลักษณะ 3 มิติที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก และเพิ่มโอกาสให้ประเทศไทยกลายเป็นแห่งผลิตคอนเทนต์ 3 มิติของโลก

สำหรับวัตถุประสงค์การจัดสัมมนาครั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมการขยายตลาดแอนิเมชั่นและภาพยนตร์ในรูปแบบ3 มิติ ของไทย รวมทั้งผู้ประกอบการได้เรียนรู้และเข้าใจการสร้างงานแอนิเมชันและภาพยนตร์ในรูปแบบ 3 มิติ ส่งเสริมให้เกิด IP (Intellectual Property) และการผลิตงานที่เป็นรูปแบบของ 3 มิติ และสร้างความตื่นตัวและการรับรู้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โฆษณา และแอนิเมชั่นของไทยในวงกว้าง

“การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทย ให้เรียนรู้การสร้างสรรค์งานภาพยนตร์และแอนิเมชันในรูปแบบ 3 มิติ ทั้งในเรื่องของเทคนิคการทำงาน กระบวนการทำงานและมุมมองทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ผลงาน จะสามารถเพิ่มมูลค่าของงาน อีกทั้งเพิ่มโอกาสทางการขายแอนิเมชันในตลาดโลกได้มากยิ่งขึ้น” นายนิธิพัฒน์ กล่าว

นายนิธิพัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (workshop) 3 มิติ Stereoscopic for Movie and Animation” จะจัดขึ้นวันที่ 11-13 กันยายน 2556 ณ โรงแรมอโนมา ราชดำริ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญงาน 3 มิติ ระดับโลก เกรแฮมคลาร์ก ปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่าย Stereography ของบริษัท Stereo D. ซึ่งให้บริการการผลิตและดูแลเรื่องการสร้างสรรค์ความเป็น 3 มิติของภาพยนตร์ยอดนิยมหลายเรื่อง เช่น “JACKASS 3D,” “THOR,” “CAPTAIN AMERICA,” “TITANIC 3D,” “JURASSIC PARK 3D,” “PACIFIC RIM,”and “THE AVENGERS.” เป็นต้น

View :1263
Categories: Press/Release Tags:

ผู้บริโภคเจอ “ซิมดับ” ล่วงหน้าก่อนสัมปทานสิ้นสุด เหตุถูกโอนย้ายอัตโนมัติ “หมอลี่” จี้สำนักงาน กสทช. เร่งบังคับผู้ให้บริการมือถือทำตามกฎหมาย

September 10th, 2013 No comments

แม้ยังไม่ถึงวันที่ 15 กันยายน ที่สัญญาสัมปทานการให้บริการมือถือจะสิ้นสุดลง แต่ผู้ใช้บริการมือถือค่ายทรูมูฟบางส่วนประสบปัญหา “ซิมดับ” เรียบร้อยแล้ว หลังถูกโอนย้ายไปยังบริการทรูมูฟ-เอชโดยอัตโนมัติและถูกล็อกห้ามย้ายกลับหรือย้ายไปค่ายอื่นใน 90 วัน “หมอลี่” ชี้การโอนย้ายบริการเป็นสิทธิของผู้บริโภคที่ต้องแสดงเจตนา การที่ผู้ให้บริการกำหนดกติกาว่าใครไม่แจ้งความประสงค์แปลว่าต้องการโอนย้าย เข้าข่ายผิดประกาศของ กสทช. ทั้งเรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม และเรื่องหลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งนี้ได้ทำหนังสือให้สำนักงาน กสทช. ตรวจสอบข้อกฎหมายพร้อมเร่งดำเนินการให้ถูกต้องแล้ว

จากกรณีสัญญาสัมปทานการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเครือข่ายทรูมูฟและดีพีซีหรือดิจิตอลโฟนกำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 กันยายน ศกนี้ อันเป็นที่มาให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ออกประกาศ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานหรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือที่ กสทช. เรียกว่า “ประกาศห้ามซิมดับ” แต่ปรากฏว่าในขณะนี้กลับเกิดปัญหา “ซิมดับ” ขึ้นแล้ว โดยตลอดช่วงต้นผู้ใช้บริการของเครือข่ายทรูมูฟมีการร้องเรียนและการโพสข้อความตามเว็บไซต์ต่างๆ จำนวนมาก ว่าประสบปัญหาไม่สามารถใช้บริการได้ตามปกติ โดยบางกรณีเพียงไม่สามารถรับสายได้ แต่บางกรณีใช้ไม่ได้ทั้งโทรออกและรับสาย ภายหลังจากที่ถูกโอนย้ายบริการไปยังเครือข่ายทรูมูฟ-เอช ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นที่มีการร้องเรียนและแสดงความคิดเห็นกันมาก เนื่องจากในการโอนย้ายดังกล่าวนั้น ทางผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการไม่ได้เป็นฝ่ายแจ้งความประสงค์ แต่เกิดจากการดำเนินการโดยอัตโนมัติของทางบริษัท

ทั้งนี้ ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางบริษัททรูมูฟ ได้เริ่มส่งข้อความสั้น (SMS) ถึงผู้ใช้บริการ แจ้งว่า ทาง กสทช. ได้กำหนดให้บริษัทแจ้งว่าการให้บริการของบริษัทในคลื่น 1800 MHz จะสิ้นสุดลง 15 ก.ย. 56 และจะใช้งานต่อได้ไม่เกิน 15 ก.ย. 57 และเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ในการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทจะดำเนินการอัพเกรดเลขหมายให้เป็นทรูมูฟเอชโดยอัตโนมัติก่อนวันสิ้นบริการ 15 ก.ย. 56 กรณีไม่ต้องการอัพเกรดจะต้องโทรแจ้ง ซึ่งต่อมาปรากฏข้อความลักษณะเดียวกันบนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทด้วย

เรื่องดังกล่าวมีการวิจารณ์จากผู้ใช้บริการอย่างกว้างขวาง ในประเด็นที่ว่าเป็นรูปแบบของการบังคับโอนย้ายโดยผู้บริโภคไม่ได้เลือก และโอนย้ายก่อนถึงวันสัมปทานสิ้นสุดลง ตลอดจนมีประเด็นกระทบถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ เช่น ผู้บริโภคต้องการใช้โปรโมชั่นเดิม หรือบางรายไม่ได้อยากใช้บริการของทรูมูฟเอชและพร้อมจะยุติการใช้บริการไปพร้อมกับการยุติบริการของทรูมูฟ เป็นต้น

ต่อเรื่องนี้ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ตนได้รับทราบเรื่องและได้ทำหนังสือถึงสำนักงาน กสทช. แล้ว เพื่อให้ตรวจสอบว่าการโอนย้ายผู้ใช้บริการโดยอัตโนมัตินั้นเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และสอดคล้องกับมติ กทค. หรือไม่ ตลอดจนให้สำนักงาน กสทช. กำหนดแนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วย

“ในส่วนการวิเคราะห์ของผมเห็นว่าเรื่องการโอนย้ายอัตโนมัตินั้นขัดต่อประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม และเรื่องหลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. 2549 เพราะไม่เป็นไปตามหลัก “เสนอสนองตรงกัน” ขณะเดียวกันก็ขัดต่อประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วย เพราะประกาศข้อ 6 ระบุชัดเขนว่า “การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสิทธิของผู้ใช้บริการ” และข้อ 9 กำหนดว่า “ในการขอโอนย้ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้ผู้ใช้บริการยื่นคำขอ…” เพราะข้อกำหนดของบริษัทกลายเป็นว่า ใครไม่อยากถูกโอนย้ายต้องเป็นฝ่ายยื่นเรื่อง หากอยู่เฉยเท่ากับยอมรับการโอนย้ายอัตโนมัติ”

กสทช. ประวิทย์ระบุด้วยว่า การกระทำดังกล่าวของบริษัทมีการอ้าง กสทช. ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้อง ทั้งที่ความจริงที่ กสทช. ให้ทำคือให้แจ้งเรื่องวันสิ้นสุดสัมปทานและแจ้งสิทธิการโอนย้าย นอกจากนี้ในการพิจารณากรณีร่างประกาศเรื่องนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ก็ยืนยันหลักการโอนย้ายตามความสมัครใจของผู้บริโภคมาโดยตลอด การกระทำดังกล่าวจึงขัดกับมติ กทค. ด้วย จึงเป็นหน้าที่ของสำนักงาน กสทช. ที่จะบังคับให้บริษัทดำเนินการให้ถูกต้องตามมติและตามกฎหมาย

ส่วนประเด็นเรื่องมีปัญหาในการใช้บริการหลังโอนย้ายนั้น กสทช. ประวิทย์ชี้ว่าน่าจะเป็นข้อขัดข้องทางเทคนิค ซึ่งบริษัทจะต้องเร่งตรวจสอบและแก้ไขต่อไป แต่สิ่งที่มีหลักกฎหมายชัดเจนอยู่แล้วคือ หากผู้บริโภคประสงค์จะโอนย้ายค่ายเมื่อไร ทางผู้ให้บริการจะต้องตอบสนอง ไม่สามารถอ้างเรื่องต้องคงอยู่จนครบ 90 วันได้ เพราะ กสทช. ไม่เคยให้ความเห็นชอบกับการกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เป็นหลักเกณฑ์ที่ผู้ให้บริการไปกำหนดกันเอาเอง ดังนั้นจึงขอส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการใช้สิทธิ โดยไม่หลงเชื่อคำบอกเล่าของพนักงานของบริษัท และหากประสบปัญหาก็แจ้งร้องเรียนมายัง กสทช. หมายเลข 1200 ได้

View :1232
Categories: Press/Release Tags: