Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

ไอบีเอ็มรั้งแชมป์ผู้นำตลาดเซิร์ฟเวอร์องค์กรในอาเซียนไตรมาส 4 ปี 2554

March 28th, 2012 No comments

ไอบีเอ็มครองส่วนแบ่งตลาดรายได้เซิร์ฟเวอร์โดยรวมอันดับ 1 ในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในไตรมาส 4 ปี 2554

ไอบีเอ็มยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรของอาเซียน ในไตรมาส 4 โดยครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ได้อย่างแข็งแกร่ง ตามข้อมูลจากรายงานตลาดเซิร์ฟเวอร์รายไตรมาสในเอเซียแปซิฟิคของไอดีซีระบุว่า ไอบีเอ็มครองอันดับ 1 ในอาเซียนในแง่ของรายได้ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 40 เปอร์เซ็นต์มากกว่า HP ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 9 จุด โดยมาจากความสำเร็จของ IBM Power Systems™และ System z servers

สำหรับประเทศไทย ไอบีเอ็มเป็นผู้จำหน่ายเซิร์ฟเวอร์อันดับ 1 โดยครองส่วนแบ่งตลาดในแง่ของรายได้เซิร์ฟเวอร์โดยรวมสูงถึง 52.1 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนแบ่งรายได้จากตลาดเซิร์ฟเวอร์โดยรวมสูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 29.6 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554

นอกจากนี้ ไอบีเอ็มยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 สำหรับ:
➢ ตลาดเซิร์ฟเวอร์องค์กรระดับไฮเอนด์ (เซิร์ฟเวอร์ระดับราคา 250,000 ดอลลาร์ขึ้นไป) ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 79.8% (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 59.6 จุด)
RISC/EPIC ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 49.6% (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 18.1 จุด)
➢ ส่วนแบ่งตลาดในแง่ของรายได้จากยูนิกซ์เซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ใช่สถาปัตยกรรม x86 อยู่ที่ 64 เปอร์เซ็นต์ (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 39.7 จุด)
➢ ส่วนแบ่งตลาดในแง่ของรายได้จากลีนุกซ์เซิร์ฟเวอร์ อยู่ที่ 36.2 เปอร์เซ็นต์ (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ราว 7.9 จุด)

ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี บริษัท ประเทศไทย จำกัด


ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “การที่เรารั้งตำแหน่งผู้นำอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการลงทุนในระบบที่หลากหลายและเทคโนโลยีชั้นนำ โดยเรามุ่งมั่นผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรม การเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับขนาด และการปรับปรุงประสิทธิภาพ ไอบีเอ็มยังคงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างจริงจังเพื่อค้นหาหนทางใหม่ๆ ในการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือลูกค้า เราจึงพยายามที่จะนำเสนอโซลูชั่นที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ปรับขนาดได้อย่างเหมาะสม ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการใช้พลังงาน เพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ลูกค้าและเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขัน”

นอกจากนี้ พง เทเลอร์ (Phong Taylor) Vice President, System and Technology Group, IBM ASEAN กล่าวว่า “ ไอบีเอ็มรู้สึกภูมิใจในการเป็นผู้นำตลาดครั้งนี้ ด้วยคุณค่าของ Smarter Computing ที่รวมเอาความแข็งแกร่งของ Big Data การวิเคราะห์ข้อมูลOptimize System และคลาวด์ คอมพิวติ้ง มาเป็นสถาปัตยกรรมอัจฉริยะที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึก เพิ่มขีดความสามารถทางด้านไอที และนำเสนอบริการใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่า เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้องค์กรต่างๆ ได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และสมรรถนะ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า

ไอบีเอ็มมั่นใจว่า ในยุคใหม่ของระบบคอมพิวติ้ง ที่ไอบีเอ็มกำลังพัฒนาออกมา จะเป็นการรวบรวมเอาเซิรฟเวอร์รุ่นต่างๆ มาพัฒนารวมเรียกว่า เป็น ระบบบูรณาการอัจฉริยะ (Integrated Expertise) ซึ่งจะเป็นการติดตั้งที่รวมเอา ไอบีเอ็มเซมิคอนดัคเตอร์ การวิจัย และบริการ ซึ่งทำให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายทางด้านไอที ลดคนดูแลระบบ นอกจากเป็นการช่วยลดทรัพยากรการดูแลระบบแล้ว ยังทำให้การบริหารจัดการ และการลงทุนไอทีทำได้ถูกต้องตรงจุด ด้วยการใช้คลาวด์ ในการจัดการกับเวิร์คโหลดได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

ที่มา: รายงานตลาดเซิร์ฟเวอร์รายไตรมาสทั่วโลกและเอเซียแปซิฟิคของไอดีซี, ไตรมาสที่สี่ 2554

View :1575

สรอ.เดินหน้า ใส่บริการเสริม ปรับเครือข่ายสื่อสารเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐเป็น GIN 2.0

March 28th, 2012 No comments

มั่นใจช่วยหน่วยงานรัฐเชื่อมต่อบริการภาครัฐสำคัญๆ ผ่านเครือข่ายได้ทันที พร้อมปรับสร้างเครือข่ายใหม่ลดความซ้ำซ้อน เสริมเทคโนโลยีไฮเทครองรับ เพิ่มความเร็วของการใช้งาน

ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการ หรือ สรอ. เปิดเผยว่า ในไตรมาสสามของปีนี้ สรอ.ได้ผลักดันให้ ระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐหรือระบบ GIN เป็นเวอร์ชั่น GIN2.0 โดยจะทำเครือข่าย GIN ให้เป็นเครือข่ายที่ทันสมัยที่รองรับทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการผนวกเข้ากับระบบบริการสำคัญๆของภาครัฐ เพื่อเสริมประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้งานเครือข่าย GIN

เครือข่าย GIN2.0 ได้ยกระดับโครงข่ายหลักเป็นไปสู่ IPV6 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถรองรับการทำงานของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดได้ โดยหน่วยงานที่เชื่อมต่อสามารถเข้าสู่ระบบ IPV6 โดยอัตโนมัติ แต่หน่วยงานภาครัฐเองก็ต้องดำเนินการปรับปรุงระบบภายในของตนให้เป็น IPV6 เช่นกัน ซึ่งสรอ. กำลังช่วยผลักดันอยู่ทั้งการให้ความรู้ และเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นการเร่งให้เครือข่ายทั้งระบบเข้าสู่โปรโตคอลนี้โดยเร็วที่สุด นอกจากนั้น GIN2.0 ยังมีระบบ Time Stamp, Single Sign On, Advanced VDO Conference, System Center Configuration Manager (SCCM) ที่ทำให้ระบบ GIN2.0 มีความทันสมัยที่สุด โดยจะทยอยผลักดันออกมาให้บริการอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นหน่วยงานทุกหน่วยเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับ GIN2.0 แล้ว หากมีการบันทึกข้อตกลงกับหน่วยงานรัฐอย่าง ระบบทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง ที่เป็นระบบแจ้งรายละเอียดและยืนยันตัวบุคคล รหัส 13 หลักของงานทะเบียนราษฎร์ ประโยชน์คือ สามารถตรวจสอบประวัติบุคคลทั่วไปได้ โดยผ่านเครือข่าย GIN โดยที่ไม่ต้องเดินสายต่อตรงไปที่กรมการปกครองอีก, นอกจากนี้สรอ. ยังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับอีกหลายระบบงาน อย่างเช่น ระบบ GFMIS ของ กรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ ประโยชน์คือ หน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เชื่อมกับระบบนี้ผ่าน GIN2.0 สามารถกรอกความก้าวหน้าในการใช้งบประมาณของหน่วยงานไปยังกรมบัญชีกลางได้ทันที

ระบบ NSW ของกรมศุลกากร ซึ่งเป็นระบบการแลกเปลี่ยนเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ในด้านการทำใบอนุญาตการส่งออก-นำเข้า ซึ่งหน่วยงานรัฐต่างๆ สามารถตรวจสอบการเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้เข้ากับหน่วยงานของตนเองได้โดยทันที, ระบบ CABNET ของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือ สลค.ซึ่งเป็นระบบการแจ้งวาระการประชุมและส่งเอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการนำเรื่องเข้าประชุมครม. สามารถตรวจสอบวาระที่มีอยู่แล้ว และยังสามารถคาดการณ์ช่วงเวลาของการนำเสนอเรื่องเข้าประชุมของหน่วยงานตนเองได้ ทำให้เวลาที่ใช้ในการประสานงานลดน้อยลง

ระบบ GSMS ของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ซึ่งเป็นระบบการบริหารยุทธศาสตร์ขององค์การภาครัฐ เป็นระบบที่ช่วยในการออกแบบและการวางแผนการจัดการยุทธศาสตร์ การจัดทำแผนการปฎิบัติการและการติดตามความก้าวหน้าในการปฎิบัติงาน หน่วยงานภาครัฐที่ใช้ GIN2.0 ก็สามารถเชื่อมโยงและตรวจสอบแผนของหน่วยงานของตนเองเข้ากับระบบของกพร.ได้โดยทันที และสุดท้ายคือ ระบบเชื่อมโยงระบบสารบรรณภาครัฐ ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นระบบเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ที่ถือเป็นแอพพลิเคชันหลักในการทำงานอย่างหนึ่งของหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบัน

การเชื่อมโยงระบบงานหลักๆ ของภาครัฐ ให้สามารถใช้บริการผ่าน GIN ได้จะช่วยภาครัฐลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณด้านเครือข่ายได้เป็นอย่างมาก โดยหน่วยงานไม่จำเป็นต้องเดินสายเครือข่ายตรงไปที่หน่วยงานบริการระบบหลักต่างๆ อีกต่อไป สามารถใช้ผ่านเครือข่ายที่ให่บริการและดูแลโดยสรอ. ไดทันที ทั้งนี้ สรอ. เตรียมพิจารณาระบบงานอื่นๆ เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องในระยะถัดไป

สิ่งที่เสริมเข้ามาเพิ่มเติมจากเครือข่าย GIN เดิมอีกประเด็นคือ สรอ.ได้ทำการออกแบบโครงข่ายเน็ตเวิร์คใหม่ถือเป็นการลดความซ้ำซ้อนของโครงข่าย จากเดิมที่เน้นการเดินสายโครงข่ายคู่กันไประหว่าง CAT และ TOT ในจำนวนเท่ากัน มาเป็นการปรับเครือข่ายหลักและสำรองตามความต้องการจริงของหน่วยงานุผู้ใช้บริการ โดยเสริมบริการสำคัญตามมาตรฐานสากล และมีสร้างระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดความสะดวก และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเป้าหมายของสรอ.ในการให้บริการคือ หน่วยงานรัฐในกรุงเทพมหานคร จะมีการรับรองระดับการให้บริการ หรือ Service Level Agreement (SLA) ไม่ต่ำกว่า 99.3% ขณะที่ต่างจังหวัดจะเป็น 99.00% โดยเป็นการรับรองระดับบริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ที่ 99.50% ในปี 2555 และในปีถัดไปที่ กทม.จะเป็นขยับเพิ่ม SLA เป็น 99.50% ขณะที่ต่างจังหวัดจะเพิ่มเป็น 99.30% สำหรับอินเทอร์เน็ตเกตเวย์จะยังเพิ่มเป็น 99.95% โดยเน้นการบริหารเครือข่ายหลักไปที่ระดับกระทรวง และจังหวัดเป็นหลัก

นอกจากนั้นทางสรอ.ยังได้จัดทำระบบคอลล์เซ็นเตอร์ ที่เป็นศูนย์กลางการรับแจ้งและตอบปัญหาตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีหยุดพัก อย่างไรก็ตามแม้ว่าสรอ.จะทำการปรับปรุงการบริการส่วนเสริมที่ใช้ทางด้านเทคโนโลยี การบริการ และการเชื่อมโยงส่วนของข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาเสริม แต่ในส่วนของโครงข่ายหลักซึ่งถือว่าเป็นส่วนของการลงทุนนั้นในปีนี้สรอ.ได้รับพิจารณาอนุมัติงบประมาณปี 55 ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถจัดสรรเครือข่าย GIN เพื่อรองรับการใช้งานให้กับหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งได้ครบถ้วนตามที่ร้องขอ จึงจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากหน่วยงานรัฐนั้นๆ เพื่อให้บริการได้ตามวัตถุประสงค์ ด้วยการโอนงบประมาณหรือจัดทำสัญญาจ้างกับ สรอ. ในช่วงปีแรกเข้ามาแทนที่

View :1510

ก.ไอซีที จับมือ ก.เกษตรฯ และ ม.เกษตร ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม SMMS พยากรณ์ผลผลิตข้าว

March 28th, 2012 No comments

นางทรงพร โกมลสุรเดช ผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียมในการประมาณการเนื้อที่เพาะปลูกและผลผลิตพืชเศรษฐกิจ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยกระทรวงไอซีที ในฐานะเจ้าของโครงการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากดาวเทียม SMMS และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการข้อมูลและพัฒนาองค์ความรู้ ได้ให้ความร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินโครงการนำร่องพยากรณ์ผลผลิตข้าวโดยใช้ข้อมูลดาวเทียมร่วมกับการตั้งแปลงสังเกต

ในการดำเนินงานจะมีการนำข้อมูลดาวเทียม SMMS มาใช้ในการวิเคราะห์เนื้อที่เพาะปลูกข้าว และค่าดัชนีพืชพรรณ เพื่อหาความสมบูรณ์ของต้นข้าว รวมทั้งมีการวัดค่าการสะท้อนแสงจากเครื่องมือ Spectrometer ในทุกระยะการเจริญเติบโตของข้าว ตั้งแต่ช่วงต้นกล้า ช่วงแตกกอ ช่วงตั้งท้อง ช่วงออกรวง และช่วงเก็บเกี่ยว โดยข้อมูลทั้งหมดนี้จะนำมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ร่วมกับข้อมูลดาวเทียมเพื่อวิเคราะห์ช่วงการเจริญเติบโตของข้าวต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม SMMS มาใช้ประเมินเนื้อที่และและติดตาม การเพาะปลูกข้าวนาปรัง ปี 2555 เพื่อคาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น โดยจะนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม SMMS นี้มาใช้วิเคราะห์เดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 เป็นต้นมา ซึ่งคาดการณ์ว่าการนำข้อมูลจากดาวเทียมมาใช้นี้จะทำให้สามารถคาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสูตลาดได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากขึ้น และยังจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนกำหนดนโยบายและมาตรการต่างๆ ได้อีกด้วย

View :1308

เอไอเอส จับมือ พาร์ทเนอร์ธุรกิจหนังสือ พัฒนา AIS Book Store ไปอีกขั้น

March 28th, 2012 No comments

เปิดตัวแผงหนังสือพิมพ์ออนไลน์ – E-Daily Newspaper เสิร์ฟถึงมือพร้อมจัดเต็มแพ็คเกจหนังสือสุดคุ้ม รับงานหนังสือแห่งชาติ

เอไอเอส เดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำ Application ด้วยอีกก้าวของ AIS Bookstore สุดยอดร้านหนังสือในโลกออนไลน์ที่ครองใจคอหนังสือมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ติดอันดับ Top Ranking นานถึง 3 เดือน ด้วยยอดการดาวน์โหลดและซื้อหนังสือมากกว่า 2 ล้านเล่ม พร้อมควงแขนพาร์ทเนอร์ค่ายหนังสือพิมพ์เปิดตัวแผงหนังสือพิมพ์ออนไลน์ครั้งแรกในประเทศไทยบน AIS Bookstore รับงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 2555

ทีมผู้บริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส นำโดย นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด , นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานการตลาด และ นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริการเสริม ร่วมกับกลุ่มพาร์ทเนอร์จากธุรกิจหนังสือประกอบด้วย นิตยสาร 33 เล่มและหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ แถลงข่าวยืนยันความสำเร็จของ AIS Bookstore พร้อมอีกก้าวของสุดยอด Application เพื่อนักอ่านรุ่นใหม่

“เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปี 2555 ความต้องการใช้งาน Application ในภาพรวมเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งกล่าวได้ว่ามาจากปัจจัยหลักๆ อาทิ การเติบโตของ Smart Device ประเภทของ Tablet , พัฒนาการของ Application Developer ที่สามารถสร้างสรรค์ Application ออกมาอย่างมีสีสัน รวมไปถึงความตื่นตัวของ Operator ที่ต่างเดินหน้าพัฒนาเครือข่าย Data ไม่ว่าจะเป็น Wifi หรือ 3G ในพื้นที่ซึ่งต้องการใช้งาน Data สูงๆ ระหว่างที่รอ กสทช.เปิดประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ในส่วนของเอไอเอสเองก็ได้มีการพัฒนาทุกๆด้านดังกล่าวข้างต้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมมือกับ Partner ตามหลักของ Ecosystem ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกับผู้ผลิตคัดสรร Smart Device มามอบให้ลูกค้าก่อนใคร, การร่วมกับ Application Developer สร้าง Local Application หรือ นำ Contentใหม่ๆที่สอดคล้องกับ Lifestyle คนไทยส่งให้ถึงมือ รวมไปถึงการขยายเครือข่าย 3G/Wifi ในพื้นที่ซึ่งมีความต้องการใช้งาน Data ทั้งหมดนี้เป็นการทำงานภายใต้กรอบของ Quality DNAs จนทำให้ปัจจุบันเรามีลูกค้าที่ใช้งาน Data อยู่ถึงกว่า 10 ล้านราย และมีอัตราการเติบโตของการใช้งาน Data เทียบกับปี 2554 ถึง 150%”

“สำหรับ Trend ความนิยมการใช้ Application ของคนไทยนั้น มีความเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลากหลายกลุ่มที่สอดคล้องกับ Lifestyle ของผู้บริโภค เช่น Social Networking, Photo & VDO, Game, Sports, News และสิ่งที่กำลังอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคคือ Application เพื่อการอ่าน ที่เติบโตสอดคล้องกับ Trend ของ Smart Device ประเภท Tablet ซึ่งในส่วนของ AIS นั้นปัจจุบันเรามี Tablet ที่ร่วมกับ Partner จำหน่ายให้แก่ลูกค้าในทุก Segment โดยที่ผ่านมา เมื่อกรกฎาคม 2554 เอไอเอสได้เปิดตัว AIS Bookstore เคาน์เตอร์หนังสือบนโลก online ที่ใหญ่ที่สุดเป็นรายแรกของเมืองไทย โดยร่วมมือกับสำนักพิมพ์ชั้นนำในประเทศเปิดให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดนิตยสารและพ็อคเก็ตบุ๊ค จนกระทั่งในปัจจุบันมีมากกว่า 157 หัวหนังสือ จากกว่า 105 สำนักพิมพ์ ทั้งบน iOS และ Android และมีจำนวนการโหลด Application AIS Bookstore ไปไว้ใน Smart Device มากกว่า 3 แสนราย ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้ประกอบการในธุรกิจหนังสือและสิ่งพิมพ์ นอกจากจะมีความชำนาญในการสร้างสรรค์ Content แล้ว ยังมีวิสัยทัศน์ในการเข้าใจความต้องการของนักอ่านรุ่นใหม่เป็นอย่างดีอีกด้วย”

“ล่าสุดเพื่อเอาใจคอสภากาแฟที่ชื่นชอบการติดตามข้อมูลข่าวสารประจำวัน เอไอเอสจึงขยายรูปแบบของ Content บนชั้นหนังสือ AIS Bookstore ด้วยการเพิ่มแผงจำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวันในรูปแบบของหนังสือพิมพ์เต็มเล่มพร้อมเสิร์ฟถึงมือคุณทุกเช้าวันใหม่ ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณสามารถ update ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์เล่มโปรดได้ทันทีบน Smart Device ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามแล้ว ยังเปิดโอกาสให้คุณเลือกซื้อ เลือกเก็บหนังสือพิมพ์เล่มย้อนหลังที่มีข่าวปรากฏการณ์สำคัญๆ ได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วอีกด้วย โดยเบื้องต้นเอไอเอสได้เริ่มจับมือกับค่าย เนชั่น และ บริษัท วัฏฏะ จำกัด เปิดให้ลูกค้าซื้อหรือสมัครเป็นสมาชิกกับหนังสือพิมพ์รายวันประกอบด้วย หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, หนังสือพิมพ์คมชัดลึก, และหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ลูกค้าเอไอเอสที่ใช้ Smart Device ทั้ง iOS และ Android ซึ่งดาวน์โหลด Application AIS Bookstore มาแล้ว สามารถซื้อหนังสือพิมพ์รายวันได้ทั้งในราคาสมาชิก หรือ รายเล่ม ได้ทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในราคาเริ่มต้นเพียง 29 บาทต่อสัปดาห์”

นอกจากนี้เพื่อเป็นการต้อนรับงานเทศกาลสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปี 2555 และเอาใจหนอนหนังสือ เอไอเอสจึงได้จัดแพ็คเกจราคาสมาชิกของ AIS Bookstore ขึ้นในราคาสุดคุ้ม ตั้งแต่ 29 – 99 บาท โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่าง

View :1265
Categories: Press/Release Tags:

เปิดตัวเว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com)ศูนย์รวมธุรกิจอุตสาหกรรมออนไลน์ระดับโลก

March 27th, 2012 No comments

เพื่อผู้ประกอบการไทยและอาเซียน ขยายธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศฝั่งตะวันตก

เว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com)


เปิดตัวเว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com) ศูนย์รวมธุรกิจอุตสาหกรรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมขยายช่องทางสำหรับการซื้อขายสินค้าในปัจจุบัน ซึ่งจะครอบคลุมถึงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศไทย

มิตช์ ฟรี ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเอฟจี ดอทคอม กล่าวว่า “ประเทศไทยมีซัพพลายเออร์ด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีคุณภาพสูงและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งหลายบริษัทประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในธุรกิจด้านการส่งออก แต่ว่ายังมีบริษัทผู้ผลิตระดับโลกอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยและยังไม่มีโอกาสได้เข้าสู่ธุรกิจด้านการส่งออก ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อจากประเทศฝั่งตะวันตกเป็นจำนวนมากกำลังมองหาสินค้าคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม และมีความต้องการที่จะติดต่อกับซัพพลายเออร์ในไทยมากขึ้น เว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com) รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นสื่อเชื่อมโยงระหว่างซัพพลายเออร์ในไทยและกลุ่มผู้ซื้อจากประเทศฝั่งตะวันตก เราคิดว่านี่คือ ความสำเร็จทางธุรกิจสำหรับทุกๆ คน”

มร.ฟรีกล่าวต่อว่าเนื่องด้วยฐานอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่งของไทยผนวกกับการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2558 ซึ่งจะส่งผลดีกับเว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com) ที่จะช่วยเปิดโอกาสด้านการขายและการจัดหาแหล่งผลิตด้านอุตสาหกรรมระดับโลกไปยังนานาประเทศที่เป็นสมาชิกในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งมีประชาชนมากกว่า 500 ล้านคน และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมากกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีฐานการค้าทั้งหมดรวมมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

เว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com) ให้บริการในรูปแบบออนดีมานด์ที่มีการรวบรวมข้อมูลด้านอุตสาหกรรมการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลกให้เข้าสู่ตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นแหล่งจัดหาข้อมูลสินค้าสำหรับธุรกิจอุตสาหกรรมที่สะดวกง่ายดาย รวดเร็ว มีคุณภาพสูง และราคาเหมาะสม ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถคลิกดูได้ที่ www.MFG.com

ประเทศไทยนับเป็นผู้ผลิตที่มีความสำคัญมากในอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก และมีชื่อเสียงด้านการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร และชิ้นส่วนยานยนต์ ดังนั้นเว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com) จึงนับเป็นแพลตฟอร์มที่ดีในการแสดงความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของไทยไปสู่อุตสาหกรรมระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว

ล่าสุดเว็บไซต์เอ็มเอฟจีดอทคอม (MFG.com) ศูนย์รวมธุรกิจอุตสาหกรรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจัดงาน “เอเชีย ซัพพลายเออร์ ดิสคัฟเวอรี่ ทัวร์” (Asia Supplier Discovery Tour) เพื่อจัดหาซัพพลายเออร์ในกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งจากประเทศไทย เวียตนาม อินเดีย มาเลเซีย ไต้หวัน และฮ่องกง

มิตช์ ฟรี เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระดับโลก ด้วยการบริหารจัดการอย่างสร้างสรรค์และเป็นที่ยอมรับด้านความรอบรู้ มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ โดยนิตยสาร INC มอบรางวัล “ผู้ประกอบการแห่งปี” ให้ในปีพ.ศ. 2548 และยังได้รับรางวัล “ผู้ประกอบการแห่งปี” จาก Ernst & Young ในปีพ.ศ. 2551 ภายใต้การบริหารงานของมร.ฟรีทำให้บริษัทเอ็มเอฟจีดอทคอมได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตทางด้านเทคโนโลยีสูงสุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน มร.ฟรีเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายในการประชุมด้านเทคโนโลยีที่โรงเรียนธุรกิจเคลลอกที่มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น โรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด โรงเรียนวาร์ทัน และสมาคมวิศวกรรมด้านการผลิต

View :1561

โซนี่ อีริคสัน ประกาศปรับลดราคาสมาร์ทโฟน 4 รุ่นรวด

March 27th, 2012 No comments


ประกาศปรับลดราคาสมาร์ทโฟน 4 รุ่นรวด ได้แก่ Sony Ericsson Xperia ray จากราคา 9,990 บาท เหลือเพียง 8,490 บาท , Sony Ericsson Xperia mini pro จากราคา 7,990 บาท เหลือเพียง 6,490 บาท , Sony Ericsson Xperia mini จากราคา 6,990 บาท เหลือเพียง 5,990 บาท และ Sony Ericsson Live with walkman จากราคา 7,990 บาท เหลือเพียง 6,990 บาท โดยผู้สนใจสามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือโซนี่ อีริคสัน ทั่วประเทศ ร้าน Power Buy , ร้าน TG Phone ,ร้านซินเน็ค และ ร้าน Jay Mart หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทาง www.facebook.com/sonymobileth ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

View :1400

WD เผยโฉม MY PASSPORT เจเนอเรชั่นใหม่ ความจุเต็มอิ่ม 2TB

March 26th, 2012 No comments

ฮาร์ดดิสก์แบบพกพารุ่นยอดนิยม อวดรูปโฉมใหม่ระดับพรีเมี่ยม พร้อมปรับปรุงฟีเจอร์สำหรับปกป้องข้อมูลและการแบ็คอัพอัตโนมัติ


เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (WD) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลภายนอก วันนี้เปิดตัว My Passport® เจเนอเรชั่นล่าสุดจากตระกูลมาย พาสปอร์ต ฮาร์ดไดรฟ์แบบพกพารุ่นที่ขายดีที่สุด นำเสนอด้วยรูปลักษณ์และดีไซน์ใหม่กิ๊ก พร้อมความจุสูงถึง 2 เทราไบต์ (2TB) สูงที่สุดที่เคยมีมาในกลุ่มฮาร์ดไดรฟ์แบบพกพา My Passport รุ่นใหม่เสริมพลังด้วยโปรแกรม WD SmartWare™ ซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลอัตโนมัติ และ WD Security™ โปรแกรมรักษาความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลด้วยการตั้งรหัสผ่านและการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์

นอกเหนือจากรูปลักษณ์ใหม่ดีไซน์ระดับพรีเมี่ยม ฮาร์ดไดรฟ์รุ่นล่าสุดยังได้ออกแบบให้พื้นผิวนอกของตัวไดรฟ์มีความคงทนต่อรอยขีดข่วนและรอยนิ้วมือ ฮาร์ดไดรฟ์ My Passport เจเนอเรชั่นใหม่มอบความเร็วสุดยอดในการเชื่อมต่ออินเตอร์เฟส USB 3.0 และยังรองรับอินเตอร์เฟส USB 2.0 มาพร้อมโปรแกรมสำรองข้อมูลต่อเนื่องแบบอัตโนมัติ การป้องกันข้อมูลด้วยรหัสผ่านและการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์นอกจากนี้ ยังมีซอฟต์แวร์ที่มอบความยืดหยุ่นให้แก่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าการจัดเก็บข้อมูลตามรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งฟีเจอร์ทั้งหมด เฉพาะส่วนที่จำเป็น หรือการใช้ฮาร์ดไดรฟ์โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ My Passport รุ่นใหม่ความจุ 2TB นับเป็นฮาร์ดไดรฟ์ขนาดกะทัดรัดที่มอบความจุได้สูงสุดอย่างน่ามหัศจรรย์ จึงสามารถเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้ที่มีข้อมูลดิจิตอลจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น รูปถ่าย วิดีโอ เพลง หรือไฟล์ข้อมูลสำคัญต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ติดตั้งมาพร้อมสรรพ ทั้งการป้องกันข้อมูลด้วยรหัสผ่านและการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์ จึงช่วยปกป้องไฟล์สำคัญของคุณจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถจัดเก็บข้อมูลให้ปลอดภัยและให้คุณอุ่นใจอยู่เสมอไม่ว่าจะพกพาไปที่ไหนก็ตาม

WD MY PASSPORT 2TB


“สำคัญยิ่งกว่าเงินทองและของมีค่าอื่น ๆ ซึ่งเราจะเสียดายมากที่สุดหากเกิดการสูญหายของข้อมูลหรือคอมพิวเตอร์ถูกขโมยไป โดยที่ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในนั้น ดังนั้นเป้าหมายในการเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ยอดนิยม My Passport เจเนอเรชั่นใหม่ นั่นคือ ต้องการส่งเสริมให้ผู้บริโภคใส่ใจต่อการปกป้องข้อมูลของพวกเขาให้มากขึ้นก่อนที่เหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้น” มร. จิม เวลส์ รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์เอ็กซ์เทอนัล ฮาร์ดไดรฟ์และกลุ่มคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ของ WD กล่าวและว่า “My Passport รุ่นใหม่ช่วยแบ็คอัพและปกป้องรักษาชีวิตดิจิตอลของผู้คนได้ง่ายขึ้น มอบความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากกว่าเดิม เป็นส่วนผสมผสานที่ลงตัวของความจุขนาดมหึมากับความน่าเชื่อถือและเทคโนโลยีที่ใช้งานง่ายในรูปลักษณ์ที่เล็กกะทัดรัดและเงางาม”

My Passport 2TB เจเนอเรชั่นใหม่มาพร้อมการรับประกัน 3 ปีเต็ม วันนี้มีจำหน่ายแล้วผ่านตัวแทนจำหน่ายของ WD ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ราคาแนะนำขนาด 2 เทราไบต์ อยู่ที่ 7,600 บาท

View :1704

‘ifec’ ตั้ง ซัม เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) ลุยขาย Bizhub164 พื้นที่ภาคกลาง 23 จังหวัด

March 26th, 2012 No comments

เจาะลูกค้าธุรกิจขนาดเล็ก-โฮมออฟฟิศ ดันเป้าสิ้นปีทะลุ 2 พันเครื่อง

ifec ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น ‘โคนิก้า มินอลต้า’ รุกหนักเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น Bizhub164 ประกาศตั้ง “” เป็นพันธมิตรทางธุรกิจรูปแบบเอ็กซ์คลูซีพ ดีลเลอร์ 23 จังหวัดในเขตพื้นที่ภาคกลาง ชูความพร้อมด้านทีมงานและบริการเจาะลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กและโฮมออฟฟิศ หวังผลักดันยอดขายสิ้นปีกว่า 2,000 เครื่อง

นายดำริห์ เอมมาโนชญ์ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ ifec ผู้นำเข้าและทำตลาดเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น ‘โคนิก้า มินอลต้า’ รายเดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า จากนโยบายการทำตลาดเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น Bizhub 164 ซึ่งเป็นเครื่อง ขาวดำรุ่นเล็กที่มีฟังก์ชั่น ก็อปปี้ พริ๊นเตอร์ แฟกซ์ และสแกนเนอร์ ความเร็ว 16 แผ่นต่อนาที โดยมุ่งทำตลาดผ่านการตลาดแบบตรงและตัวแทนจำหน่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ

สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ เร่งผลักดันยอดขายในโมเดลดังกล่าวให้มากขึ้น โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งบริษัท ซัม เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นพันธมิตรทางธุรกิจในรูปแบบของเอ็กซ์คลูซีพ ดีลเลอร์ เครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นรุ่น Bizhub 164 เพื่อเป็นตัวแทนขายและทำตลาดในเขตพื้นที่ภาคกลางครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัด เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความพร้อมด้านการทำตลาดของซัม เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) ในการเจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กและโฮมออฟฟิศ ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการใช้เครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นที่ง่ายและมีฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย เพื่อช่วยการบริหารจัดการด้านเอกสารภายในสำนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีเป้าหมายต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รับรู้แก่ลูกค้ามากขึ้น

“เรามีนโยบายให้ความสำคัญกับการผลักดันตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมกันสร้างตลาดให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งการเลือก ซัม เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) มาเป็นตัวแทนขายเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น Bizhub 164 ที่เป็นกลุ่มเครื่องราคาประหยัดที่มีราคาต่ำกว่า 30,000 บาทในครั้งนี้ ช่วยให้เราผลักดันยอดขายเครื่องโมเดลดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 เครื่อง โดยจะเป็นยอดขายที่มาจากซัมฯ ประมาณ 1,000 เครื่อง” นายดำริห์ กล่าว

ด้านนายสุชินทร์ จันทร์ตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัม เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนการทำตลาดเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น Bizhub 164 นั้น บริษัทฯ จะเน้นการทำตลาดผ่านช่องทางขายในรูปแบบขายตรงไปยังลูกค้าภาคเอกชน สถาบันการเงิน กลุ่มลูกค้าภาคราชการและกลุ่มลูกค้าโครงการ ด้วยทีมงานขายของบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังจะจัดตัวแทนจำหน่ายช่วง (ซับดีลเลอร์) เพื่อร่วมกันทำตลาดผ่านการสนับสนุนกิจการรมการตลาดของ ifec ซึ่งคาดว่าจากแผนการทำตลาดครั้งนี้ จะช่วยผลักดันยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน

View :1227

ก.ไอซีที ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ASEAN CIO Forum 2012

March 26th, 2012 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในงานแถลงข่าว การจัดการประชุมผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ CIO ของอาเซียนครั้งที่ 1 ประจำปี 2555 หรือ 1st ว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 1st ระหว่างวันที่ 19 – 20 เมษายน 2555 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ร่วมกับ The Authority for Info-communications Technology Industry (AITI) ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ () และสมาคมซีไอโอ 16 (CIO16) แห่งประเทศไทย ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ ภายใต้แนวคิดการมุ่งให้ความสำคัญในการพัฒนาด้าน ICT (ICT Development) การปรับเปลี่ยนด้าน ICT (ICT Transformation) และการหาแนวร่วมด้าน ICT (ICT Crowd Sourcing)

“การจัดประชุม CIO ของอาเซียนครั้งนี้ จะเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงทางด้าน ICT ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีการพัฒนาขีดความสามารถทางด้าน ICT ควบคู่กันไปกับการปรับตัวให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อเตรียมการรองรับการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน ในปี 2558 เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนให้เจริญรุดหน้า และเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย

การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามเจตนารมณ์ของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของอาเซียน ค.ศ. 2015 (ASEAN ICT Master Plan 2015) หรือ AIM 2015 ที่ได้กำหนดกรอบการพัฒนาด้าน ICT ของอาเซียน โดยกำหนดให้การส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม และความร่วมมือในการพัฒนาด้าน ICT ระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยการจัดให้มีเวทีสำหรับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ CIO ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และประสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะสนับสนุนให้เกิดการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพื่อการเติบโต และการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ รวมจำนวน 600 คน” นางจีราวรรณ กล่าว

ด้านนายไชยเจริญ อติแพทย์ นายกสมาคม CIO 16 เปิดเผยว่า การจัดประชุม ASEAN CIO Forum ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทุกภาคส่วน ได้ตระหนัก เตรียมการ และดำเนินการ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการที่อาเซียนจะกลายเป็นประชาคมเดียวกัน ในปี 2558 โดยการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ตัวบุคคล กฎระเบียบภายในองค์กร ไปจนถึงระดับประเทศ และระดับภูมิภาค ซึ่งภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจต่างๆ จำนวนมากได้เริ่มดำเนินการวางแผนงาน กลยุทธ์ วางโมเดลธุรกิจแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และมีมิติใหม่ๆ อาทิ แนวทางที่มีผลในเชิงปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ ไปจนถึงแนวปฏิบัติเชิงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นต้น

“ในการประชุมครั้งนี้ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน จะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมอง ถ่ายทอดความรู้ และรับทราบนโยบายแผนงาน ICT ที่สำคัญๆ จากแต่ละประเทศ รวมทั้งรับทราบปัญหาอุปสรรคที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันหรือระหว่างกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ระบบ ICT ของอาเซียนในอนาคต โดยสมาคม CIO16 ได้นำเสนอรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ Public Private Partnership (PPP) เพื่อเป็นอีกกลไกหนึ่งในการเตรียมความพร้อมนำมิติใหม่เหล่านี้ไปดำเนินการ ซึ่ง ICT นั้นจะเป็นกลไกสำคัญในการรวบรวมและเสริมขีดความสามารถให้แก่บุคลากร ระบบ กระบวนการ และการใช้ประโยชน์จากการลงทุนที่มีเทคโนโลยีให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ซึ่งอาเซียนสามารถจะนำบทเรียนหลายๆ รูปแบบที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเปิด อียู (EU) มาเรียนรู้ปรับปรุงให้ดีกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า และปลอดภัยกว่าได้”

“ในงานนี้จะมีการเปิดประชุมโต๊ะกลม โดยเชิญ CIO จากประเทศสมาชิกอาเซียนหารือ เพื่อสร้างสรรค์การทำงานแบ่งความรับผิดชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดแนวทางการผลักดันการดำเนินงานด้าน ICT ร่วมกัน ในภูมิภาคอาเซียน สำหรับรูปแบบของการประชุมฯ นั้น จะเป็นการอภิปรายแบบเปิดและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยผู้มีเกียรติ ผู้กำหนดทิศทางนโยบายจากแต่ละชาติอาเซียนที่สำคัญๆ ผู้นำ ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ประกอบการเทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรม ICT จากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนมาแบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งหัวข้อของการอภิปรายทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับ ICT เพื่อเตรียมความพร้อมกับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่ถือเป็นการรวมตัวกันของชาติต่างๆ ที่มีทั้งความหลากหลายและความคล้ายคลึงกัน ดังนั้น การประชุมฯ ครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการใช้และรวบรวมทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับ ICT เพื่อสร้างและผสานรวมความแตกต่างในกลุ่มอาเซียนเข้าไว้ด้วยกัน”

“ตัวแทนของรัฐบาลจากประเทศสมาชิกอาเซียนต่างยอมรับว่า ICT จะยังคงเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการสร้างชาติ
ในด้านต่างๆ ไปอีก 2 – 3 ทศวรรษ อย่างไรก็ตาม อาเซียนมีจำนวนประชากรเกือบ 600 ล้านคน จึงยังมีพลเมืองจำนวนมากในหลายพื้นที่ที่ยังไม่สามารถเข้าถึง ICT ได้ ด้วยเหตุนี้ การทำงานร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้าน ICT ที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ภายใต้การสนับสนุนที่สำคัญตามหลักการ PPP พร้อมทั้งผู้สนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนของไทย จะช่วยผลักดันให้เกิดความร่วมมือทั้งจากภายในประเทศและระดับภูมิภาคได้” นายไชยเจริญ กล่าว

สำหรับหัวข้อในการประชุมฯ ครั้งนี้ นายกำพล ศรธนะรัตน์ เลขาธิการสมาคม CIO 16 กล่าวว่า จะครอบคลุมเนื้อหา
ที่เป็นประโยชน์ในภาพรวม ICT ของอาเซียน อาทิ ระบบการประมวลผลแบบคลาวด์ และการรักษาความปลอดภัยสำหรับระบบคลาวด์ การรวมระบบเครือข่าย ระบบมือถือ การสื่อสาร และผู้ให้บริการด้านเนื้อหา ระบบการรักษาความปลอดภัยสำหรับโลกไซเบอร์
การตรวจสอบพิสูจน์ทางไซเบอร์ และการสร้างมาตรฐานด้านธรรมาภิบาล ความเสี่ยง และการปฏิบัติตามระเบียบ (Governance, Risk and Compliance : GRC) สำหรับอาเซียน การเรียนรู้เพื่อปรับปรุงการใช้ ICT ช่วยจัดการวิกฤตการณ์จากสึนามิ น้ำท่วมใหญ่ในไทย และ หรือการใช้ไอซีที เพื่อความสมานฉันท์ของคนต่างเชื้อชาติภายในประเทศ เป็นต้น

“หัวข้อสำคัญต่างๆ เหล่านี้จะมีการลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับ “การสนับสนุน” ที่เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของ “ความร่วมมือ” เพื่อนำไปสู่การสร้างชุมชนที่ดีด้วย ICT และผู้เข้าร่วมประชุมฯ ยังจะได้พบกับนิทรรศการที่จัดแสดงเทคโนโลยีรวมทั้งโซลูชั่นใหม่ล่าสุด เพื่อใช้จัดการกับความท้าทายทางธุรกิจ ภัยคุกคาม และบริการต่างๆ ตามต้องการ (on demand) พร้อมกันนี้ยังมีการอภิปรายแบบกลุ่มจากมุมมองของผู้รู้จริงในแต่ละประเทศ ที่เปิดกว้างสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมฯ ภายใต้จุดมุ่งหมายเพื่อการสร้างความร่วมมือระหว่างกันในอาเซียน และเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเพิ่มความเชี่ยวชาญ ความปราดเปรื่อง และความคล่องแคล่วของซีไอโอหรือสิ่งที่ CIO จะต้องเป็นให้ได้ภายในปี 2558” นายกำพล กล่าว

นอกจากนั้นแล้วยังมีผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านไอทีของไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียน ยังจะได้มีการอภิปรายในหัวข้อที่น่าสนใจอาทิ พระราชกรณียกิจด้าน ICT เพื่อคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทย ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วิสัยทัศน์ของ CIO เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นประชาคมอาเซียน (Engaging the vision of CIOs to prepare ASEAN for a greater future as one community) และ Leader’s Note : iGov 2015 เป็นต้น

View :1398

คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม มีมติกรณีปัญหาพรีเพดและตู้เติมเงินออนไลน์

March 26th, 2012 No comments

อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เสนอ กสทช. ออกคำสั่งทางปกครองบริษัทมือถือ หลังพบแม้ กทค. มีมติห้ามกำหนดวันหมดอายุพรีเพด แต่ยังพบการร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง ด้านปัญหาตู้เติมเติมเงินออนไลน์ ประสานไอซีทีออกพ.ร.ก.ดูแลตู้เติมเงินออนไลน์เพื่อรองรับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยุคหลอมรวม และเตรียมสำรวจสถิติอมเงินของตู้แต่ละประเภทด้วย

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาตู้เติมเงินออนไลน์ และกำหนดระยะเวลาการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการล่วงหน้า (พรีเพด) กรณีการกำหนดระยะเวลาการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการล่วงหน้า (พรีเพด) นั้น นางสาวสารี กล่าวว่า ที่ประชุมอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม มีความเห็นว่า จากการที่ที่ประชุมกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ เคยมีมติภายใต้การหารือร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน และต่อมาได้ขยายระยะเวลาให้อีก ๖๐ วัน เพื่อให้เวลาบริษัทในการแสดงต้นทุนและเสนอระยะเวลาขั้นต่ำในการกำหนดระยะเวลาการใช้บริการพรีเพด ซึ่งเท่ากับว่าจะครบกำหนดประมาณวันที่ ๘ พฤษภาคมนี้ โดยในระหว่างนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดทุกรายต้องไม่มีการกำหนดระยะเวลาการใช้งาน และหากผู้บริโภครายใดถูกตัดบริการเนื่องจากถูกกำหนดระยะเวลาการใช้งาน ขอให้ร้องเรียนเข้ามาที่ กลุ่มงานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท.เดิม หมายเลข ๑๒๐๐ กด ๑

“ในระหว่างที่ยังไม่ได้ข้อยุตินี้ ที่ประชุมอนุกรรมการฯจึงขอให้ทุกบริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย โดยห้ามกำหนดระยะเวลาการใช้งาน ซึ่งในเบื้องต้นเราพบว่า แม้ กทค.จะมีมติว่า ในช่วงระหว่างนี้ห้ามกำหนดระยะเวลาการใช้บริการ แต่กลุ่มงานรับเรื่องร้องเรียนก็ยังได้รับการร้องเรียน ตั้งแต่ ๘ ก.พ ถึง ๑๙ มี.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการที่ถูกกำหนดวันใช้งาน ถูกยึดเงิน ถูกระงับเลขหมาย และถูกยกเลิกบริการจำนวน ๕๙ ราย เป็นของบริษัทเอไอเอส ๑๒ กรณี ดีแทค ๒๑ กรณี ทรูมูฟ ๑ กรณีและฮัทช์ ๒๔ กรณี จึงขอให้ กสทช.มีคำสั่งทางปกครองกับบริษัทมือถือที่ฝ่าฝืน มติ กทค.ดังกล่าว” ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมกล่าว

กรณีปัญหาตู้เติมเงินออนไลน์นั้นที่ประชุมได้มีการหารือกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นที่ทราบดีว่า รูปแบบการเติมเงินโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านตู้เติมเงินออนไลน์จะขยายตัวมากขึ้น เพราะบริษัทมือถือต้องการลดต้นทุนในการเติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือผู้มีรายได้น้อย โดยมีมูลค่าทางการตลาดกว่า ๙,๐๐๐ ล้านบาทต่อเดือนนั้น ที่ประชุมจึงได้พิจารณาในด้านกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วพบว่า เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงได้มีมติในกรณีนี้ใน ๔ ประเด็นคือ ให้สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือถึง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อขอความร่วมมือในการออกพระราชกฤษฏีกาที่ครอบคลุมถึงการใช้บริการตู้เติมเงินออนไลน์ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินโดยตรง

“เนื่องจากกระทรวงไอซีทีมีอำนาจตาม พรบ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการออกพรก.เพื่อควบคุมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามประเภทธุรกิจที่เห็นสมควร เช่น การที่กระทรวงไอซีทีออกพรก.ว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งให้อำนาจแบงค์ชาติดูแลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับช่องทางการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น M-pay ,ทรูมันนี่ เป็นต้น แต่ก็ยังมีช่องโหว่เนื่องจากตู้เติมเงินออนไลน์ถูกตีความว่าไม่ถือเป็นช่องทางการชำระเงิน แต่เป็นตัวแทนการซื้อขายสินค้า โดยมีแอร์ไทม์เป็นสินค้า จึงไม่เข้าข่าย พรก.ฉบับนี้ อีกทั้งตู้เติมเงินออนไลน์มีลักษณะของการหลอมรวมธุรกิจหลายประเภทคือ ทั้งเกมออนไลน์ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ จึงไม่ใช่การคิดสั้นๆแค่ให้ กสทช. ไปคุมแต่คงต้องพิจารณาในระยะยาวเพื่อรองรับการหลอมรวมของธุรกิจด้วย ซึ่งกระทรวงไอซีทีสามารถทำได้ด้วยการนำเข้าสู่ที่ประชุมอนุกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อพิจารณาออกพรก.ใหม่ที่ครอบคลุม” นางสาวสารีกล่าว

ประเด็นที่สองคือ การทำความเห็นเสนอให้กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทค.) เพื่อพิจารณาดำเนินการออกประกาศหรือมาตรการดำเนินการในเรื่องนี้ เนื่องจาก กทค. ได้เคยมีมติ เมื่อการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ วันที่ ๑๗ ม.ค.๕๕ ว่า “การประกอบธุรกิจตู้เติมเงินออนไลน์ และการเป็นตัวแทนในการขายบัตรเติมเงินและบัตรโทรศัพท์ต่างประเทศ ไม่ถือเป็นกิจการโทรคมนาคมที่ต้องได้รับใบอนุญาต อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินการมีลักษณะเป็นตัวแทนรับชำระเงินของผู้ประกอบการโทรคมนาคมจึงต้องมีสัญญาและความรับผิดชอบต่อต่อผู้ใช้บริการในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้บริการนี้” ซึ่งธุรกรรมตู้เติมเงินออนไลน์อาจเข้าข่ายตัวการตัวแทนตามกฎหมาย ที่ตัวการต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนในการละเมิด อีกทั้งตาม พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๗ (๑๓) ให้อำนาจ กสทช. ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการ…

“อนุกรรมการด้านกฎหมายของเราให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องของตัวการตัวแทน ดังนั้น กสทช. น่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคได้ จึงขอให้พิจารณาในข้อกฎหมาย และภาระในการพิสูจน์หลักฐานควรเป็นภาระของผู้ประกอบการ หรือในระหว่างสูญญากาศเช่นนี้หากมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาก็ควรถือว่าเป็นปัญหาของผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมด้วย “นางสาวสารีกล่าว

ส่วนมติที่ประชุมในประเด็นที่สามคือ มอบหมายให้คณะทำงานพัฒนาและยกระดับประกาศ กฎเกณฑ์ และกติกา ศึกษาแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาตู้เติมเงินออนไลน์ด้วย

ประเด็นที่สี่คือ ให้มีการสำรวจปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการตู้เติมเงินออนไลน์ในการใช้บริการโทรคมนาคมในประเด็นต่างๆเช่น ค่าธรรมเนียมในการใช้บริการ ความถี่ของการถูกกินเงิน การบันทึกข้อมูล ประสิทธิภาพของตู้เติมเงินแต่ละประเภท ฯลฯ เพื่อให้ข้อสรุปว่า ตู้ระบบใดที่มีประสิทธิภาพในการให้บริการมากที่สุดและแจ้งให้กับผู้บริโภคทราบต่อไป

View :1683