Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

เอไอเอสยืนยันจัดเต็มเครือข่ายช่วงเทศกาลปีใหม่

December 27th, 2011 No comments

เอไอเอส เตรียมจัดเต็มเครือข่ายเป็นพิเศษ เพื่อรองรับการใช้งานในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555

นางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยถึง มาตรการเตรียมความพร้อม ด้านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ว่า “เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านสามารถส่งความสุขถึงกันได้อย่างไม่ขาดตอนระหว่างช่วงของการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ เอไอเอสจึงได้เตรียมความพร้อมเครือข่ายอย่างเต็มที่ ประกอบด้วย

1. การเตรียมความสามารถในการรองรับการใช้งาน (Capacity Preparation)
เพิ่มปริมาณในการรองรับการใช้งาน (Radio Capacity) ในแหล่งท่องเที่ยว และสถานที่จัดกิจกรรม Count Down ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเป็นพิเศษ รวมถึงสถานีรถโดยสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอชิต,เอกมัย หรือสายใต้ใหม่ โดยเพิ่มความสามารถในการรองรับการใช้งานจากปกติอีกกว่า 50% ของการใช้งาน ทุกประเภท ทั้งนี้ในส่วนของ SMS นั้น รองรับได้ถึง 24 ล้านข้อความต่อชั่วโมงและ MMS รองรับได้ถึง 400,000 ข้อความต่อชั่วโมง รวมไปถึง Data ที่เพิ่มการรองรับขึ้นอีก.เท่าตัว
2. การเตรียมความพร้อมของบุคลากร (Resource Preparation)
นอกเหนือจากวิศวกรที่ปฏิบัติหน้าที่ 24 ชั่วโมง ตามปกติ ณ ศูนย์บริหารเครือข่าย ส่วนกลาง (Network Management Center) และศูนย์บริหารเครือข่ายส่วนภูมิภาค (Regional Operation Center) แล้ว ยังได้เตรียมวิศวกร Stand by เพิ่มเติม ณ บริเวณสถานีฐานในเขตกรุงเทพฯและหัวเมืองทั่วประเท ในช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคม ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้รวมไปถึง Call center ที่พร้อมเป็นผู้ช่วยคุณ 24 ชั่วโมงเช่นเดิม
3. แผนรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน (Contingency Plan)
ทีมผู้บริหารและพนักงานทุกส่วนเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง และติดตามการใช้งานในทุกๆบริการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาหรือเพิ่มปริมาณการใช้งานได้อย่างทันท่วงที รวมไปถึงการเตรียมความพร้อม ร่วมกับฝ่ายอาคารและสถานที่ในทุกพื้นที่พร้อมทั้งประสานงานร่วมกับผู้ให้บริการรายอื่นๆทั้งในและต่างประเทศ, Supplier, Subcontractors, Content Provider รวมไปถึงการไฟฟ้าฯ เพื่อให้สามารถประสานงานแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
“ทั้งนี้ในนามของเอไอเอส ขออวยพรให้ประชาชนชาวไทย มีความสุขสดชื่น ตลอดจนมีสุขภาพ แข็งแรง รวมถึงประสบความสำเร็จในกิจการงานทุกๆอย่างสมตามที่หวังไว้ในศักราชใหม่ที่จะถึงนี้ สำหรับเอไอเอสแล้วก็จะยังคงทำหน้าที่มอบบริการที่สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ทุกท่านอย่างต่อเนื่องต่อไป” นางวิไล กล่าวในตอนท้าย

View :1760
Categories: Press/Release, Telecom Tags: ,

ก.ไอซีที จับมือ 3 หน่วยงานพัฒนาการใช้ ICT ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

December 23rd, 2011 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ระหว่าง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ว่า รัฐบาลได้มีนโยบายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเร่งรัดพัฒนาโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วถึง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารให้กับประชาชนเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบท

“กระทรวงไอซีที ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้กับประชาชนของประเทศ จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่มีภารกิจในการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับนโยบายช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 3 หน่วยงาน คือ สสค. สวทช. และ สกว. จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมขึ้น เพื่อขยายโอกาสการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กด้อยโอกาสให้ดียิ่งขึ้น โดยบันทึกข้อตกลงฯ ฉบับนี้จะเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกันในการที่จะส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จ และยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของทั้ง 4 หน่วยงาน ให้มีทักษะ ความรู้และความสามารถทางวิชาการที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่กลุ่มคนด้อยโอกาสในสังคม รวมถึงเป็นการส่งเสริมสนับสนุนความร่วมมือทางด้านงานวิชาการ งานวิจัย และนวัตกรรมที่มีคุณภาพระหว่างกันอีกด้วย

ด้าน นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสามารถในการต่อเชื่อมถึงกันของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ออกไปยังพื้นที่ทุรกันดารหรือเป็นพื้นที่เป้าหมายที่มีเด็กด้อยโอกาสจำนวนมาก อีกทั้งเพื่อเป็นเครื่องมือในการขยายผลต้นแบบการทำงานช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ ที่ได้มีการวิจัยพัฒนาไว้ในพื้นที่นำร่องต่างๆ ของทั้ง 4 หน่วยงาน รวมถึงเพื่อส่งเสริมระบบการจัดการเชิงพื้นที่ในเรื่องเด็กด้อยโอกาส โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพัฒนาให้เกิดระบบข้อมูลสนับสนุนการบริหารจัดการของหน่วยงานในพื้นที่ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือดูแลเด็กด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ และเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนให้กระทรวงฯ สามารถบรรลุเป้าหมายในเรื่องนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการจัดการเชิงพื้นที่ในการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ” นางจีราวรรณ กล่าว

สำหรับสาระสำคัญๆ ของบันทึกความร่วมมือทางวิชาการฉบับนี้ ก็คือ การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารและกำกับทิศทางความร่วมมือทางวิชาการในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งเป็นคณะกรรมการร่วม 4 หน่วยงาน เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นชอบและกำกับทิศทางการพัฒนาโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่างกระทรวงฯ กับ สสค. สวทช. สกว. และองค์กรเครือข่ายภาคี รวมทั้งวางแผนผลักดันโครงการความร่วมมือที่มีความสำคัญให้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ในระบบงานประจำของแต่ละหน่วยงานเพื่อสร้างความยั่งยืนในการดำเนินงานระยะยาว นอกจากนี้ยังจะร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาระบบการจัดการระดับมหภาคทั้งในเชิงองค์กรและกลไกทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ขึ้นมารองรับการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม รวมทั้งการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ ตลอดจนการเรียนรู้ของเด็กและประชาชนผู้ด้อยโอกาสในสังคมในระยะยาวอีกด้วย

View :1267

ทรูมูฟ เอช ปลื้มความสำเร็จ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Wireless Broadband Alliance ครั้งที่ 20 ผู้นำบริการ WiFi ทั่วโลกเข้าร่วมงานกันพร้อมหน้า

December 23rd, 2011 No comments

ทรูมูฟ เอช ผู้นำบริการ 3G ตัวจริง บนเครือข่ายไร้สายใหม่ 3G+ ที่แรงกว่า เร็วกว่า และครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ผงาดร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม (WBA) ครั้งที่ 20 ในฐานะผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในประเทศไทย ที่เป็นสมาชิก WBA และยังเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารของสมาพันธ์อีกด้วย โดยการประชุม WBA ครั้งที่ 20 มีกำหนดจัดที่กรุงเทพฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้ต้องย้ายไปจัดที่สิงคโปร์ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีผู้ให้บริการ WiFi ชั้นนำทั่วโลกเข้าร่วมการประชุมอย่างเนืองแน่น

นายสุพจน์ มหพันธ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจบริการระหว่างประเทศ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรูมูฟ เอช รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุม WBA ครั้งที่ 20 รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินรายการในการสัมมนาเรื่อง “การทำโรมมิ่ง WiFi เป็นประโยชน์หรือโทษต่อผู้ให้บริการการสื่อสารเคลื่อนที่” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานอย่างมาก โดยกลุ่มทรู ในฐานะเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง WBA และมีส่วนร่วมวางมาตรฐานบริการ WiFi ระดับโลกมาโดยตลอด ยังคงมุ่งมั่นที่จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อน และสร้างความก้าวหน้า ให้กับอุตสาหกรรม WiFi ตลอดจนบริการการสื่อสารเคลื่อนที่ทั่วโลก”

การประชุม WBA จัดขึ้นเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง เป็นการประชุมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกสมาพันธ์ WBA และผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จากทั่วโลก ได้พบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเทรนด์โลก ตัวอย่างที่ดีในวงการ เทคโนโลยีและพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อสร้างประโยชน์และความก้าวหน้าแก่อุตสาหกรรม WiFi ทั้งด้านบริการ การเชื่อมต่ออย่างราบรื่น การโรมมิ่ง WiFi และการออฟโหลดข้อมูลต่างๆ

ทั้งนี้ WBA เกิดจากความร่วมมือของผู้ให้บริการชั้นนำในอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สาย ที่มุ่งเน้นมอบ ประสบการณ์การใช้งาน WiFi ยุคอนาคต และตั้งเป้าให้บริการ WiFi ฮอตสปอตสาธารณะ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านจุดในปี 2554 ไปสู่ 5.8 ล้านจุดในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้นถึง 350% ในยุคที่มีการเติบเป็นอย่างมากนี้ ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ได้รับเลือกให้ทดลองประสบการณ์การใช้งาน WiFi ยุคอนาคต หรือ Next Generation Hotspot (NGH 2.0) ผ่านบริการของกลุ่มทรู ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรม WiFi ร่วมกับผู้นำอุตสาหกรรมในประเทศอื่นๆ

ล่าสุด ทรูมูฟ เอช เป็นผู้ให้บริการ WiFi ในประเทศไทยเพียงรายเดียวที่เปิดโรมมิ่ง WiFi ระหว่างประเทศ ร่วมกับผู้ให้บริการ WiFi รายอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกของ WBA ส่งผลให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อ WiFi ได้กว่า 100,000 จุดทั้งในและต่างประเทศ

View :1315

วัน-ทู-คอล! จับมือ Click for Clever ติวเข้มแอดมิชชั่นโค้งสุดท้ายฟรี!

December 22nd, 2011 No comments

! ร่วมกับเว็บไซต์ www.clickforclever.com ติวเตอร์ออนไลน์รายแรกในประเทศไทย เปิดตัวโครงการ “ by One-2-Call! ระเบิดความรู้ สู่มหาวิทยาลัย” โครงการติวสอบแอดมิชชั่นที่จัดเต็มทุกเนื้อหา ไม่หวงวิชา ไม่กั๊กความรู้ เผยทุกกลเม็ดเคล็ดลับ การพิชิตข้อสอบเข้าสู่มหาวิทยาลัย ซึ่งนักเรียนทั่วประเทศสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง อย่างแท้จริง พร้อมเปิดตัวช่องทางการติวออนไลน์บนมือถือตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน *456# เป็นครั้งแรก

โครงการ“Click for Clever by One-2-Call! ระเบิดความรู้ สู่มหาวิทยาลัย” ติวโค้งสุดท้ายและเก็งข้อสอบ ก่อนแอดมิชชั่น เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ วัน-ทู-คอล! และ บ๊อบ-ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ ติวเตอร์ผู้มากประสบการณ์ เจ้าของเว็บไซต์ www.clickforclever.com ติวเตอร์ออนไลน์รายแรกในประเทศไทยซึ่งมีสถิติผู้ชมคลิปวีดีโอมากถึง 1,500,000 ครั้ง และ มีสมาชิกเว็บไซต์กว่า 70,000 คน ภายใน 4 เดือนแรกที่เปิดตัว

นายอเนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด เอไอเอส กล่าวว่า “ที่ผ่านมา วัน-ทู-คอล! จัดกิจกรรมสำหรับวัยทีน และวัยเรียนในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องดนตรี และการเปิดเวทีอิสระให้วัยทีนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและความสามารถอย่างสร้างสรรค์มาโดยตลอด สำหรับโครงการ “Click for U by One-2-Call! ระเบิดความรู้ สู่มหาวิทยาลัย” ซึ่งวัน-ทู-คอล!ให้การสนับสนุนนี้ เป็นความมุ่งมั่นให้น้องๆได้รับประสบการณ์แนวใหม่ในสไตล์ Edutainment ที่ผสานเอาสาระเข้ากับความบันเทิง เพื่อให้การเรียนรู้สาระวิชาการไม่เป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่สามารถเข้าถึงวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่ชอบความท้าทายและสนุกสนานได้เป็นอย่างดี เป็นการเสริมศักยภาพทางด้านวิชาการให้เข้ากับวัยทีนยุคใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา เพื่อให้น้องๆมัธยมปลายมีความพร้อมในการเตรียมตัวเข้าสู่มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง เนื่องจากน้องๆสามารถเข้าร่วมกิจกรรมติวเข้มนี้ได้ฟรี พิเศษสำหรับน้องๆที่ใช้ วัน-ทู-คอล! รับสิทธิ์ติวออนไลน์บนมือถือได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพียงกด *456# แล้วโทรออก นอกจากนี้ยังรับหนังสือประกอบการเรียนจำนวนกว่า 3,000 หน้าฟรี “

ทางด้าน นายณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ ติวเตอร์ผู้มากประสบการณ์ เจ้าของเว็บไซต์ www.clickforclever.com กล่าวว่า “ความโดดเด่นของกิจกรรม Click for U by One-2-Call! อยู่ที่รูปแบบการเรียนรู้ ซึ่งเรานำรูปแบบนี้มาจากการสอนของ www.clickforclever.com โดยเป็นการนำรูปแบบของการจัดรายการโทรทัศน์ มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อออนไลน์ ถ่ายทอดโดย TJ หรือ Teaching Jockey ผู้สอนมากความรู้และประสบการณ์ที่ทั้งสนุกได้สาระอัดแน่น เป็นครั้งแรกของโลก ทำให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ทั้งนี้โครงการนี้จัดกิจกรรมโรดโชว์ลงพื้นที่ไปหาน้องๆ ทั้ง 4 ภาค 4 จังหวัด น้องๆจะได้รับการติวเข้มสดๆ ในกิจกรรมโรดโชว์ ในเนื้อหาการเรียนในระดับมัธยมปลายครบทั้ง 7 รายวิชาหลัก ประกอบไปด้วย คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคมศึกษา ในรูปแบบใหม่ที่สนุกสนาน พร้อมด้วยแบบทดสอบวัดแวว เพื่อค้นหาคณะที่ใช่สำหรับตนเอง ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินๆที่น้องๆชื่นชอบ ยิ่งไปกว่านั้น น้องๆทุกคนยังจะได้รับรหัสเพื่อใช้ชมคลิปวีดีโอติวสอบ 100 ชั่วโมงบนเว็บไซต์ www.clickforclever.com ฟรีอีกด้วย”

โดยกิจกรรมโรดโชว์ จะจัดขึ้น 4 ภูมิภาคของประเทศ ดังนี้
ภาคใต้ 14 ม.ค. 55 จ.สุราษฎร์ธานี ณ หอประชุมวชิราลงกรณ
ภาคเหนือ 21 ม.ค. 55 จ.เชียงใหม่ ณ เชียงใหม่ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา
แอร์พอร์ตเชียงใหม่
ภาคอีสาน 28 ม.ค. 55 จ.ขอนแก่น ณ ขอนแก่น ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น
ภาคกลาง 29 ม.ค. 55 จ.กรุงเทพฯ ณ แจ้งวัฒนะ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ

ผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.clickforclever.com ตั้งแต่วันนี้ – 29 ม.ค. 55

View :1441

ดีแทคขออภัยลูกค้ากรณีเครือข่ายมีปัญหา ประกาศชดเชยให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ

December 22nd, 2011 No comments

ย้ำจุดยืนมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ดีๆ ในการติดต่อสื่อสารต่อไป

ดร. ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)

22 ธันวาคม 2554 – บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “” ขอโทษลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเชิงเทคนิคของระบบเครือข่ายวานนี้ (21 ธันวาคม) พร้อมประกาศชดเชยค่าบริการให้แก่ลูกค้าทุกรายทั้งในระบบพรีเพดและลูกค้ารายเดือนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว

ดร. ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ดีแทคได้ปรับปรุงระบบและย้ายฐานข้อมูลไปสู่ระบบใหม่ในระหว่างคืนวันที่ 20 ธันวาคม ถึงเช้าวันที่ 21 ธันวาคม บริษัทฯ ได้ดำเนินการถ่ายโอนฐานข้อมูลทางเทคนิคจากระบบอุปกรณ์เดิมของเราไปสู่อุปกรณ์ใหม่อันถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามต่อเนื่องของเราที่จะยกระดับระบบโทรคมนาคมของบริษัท และฐานข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกส่งต่อไปยังระบบ Home Location Register หรือ HLR ต่างๆ ของเรา โดยมีทีมงานเทคโนโลยีของบริษัทฯ ติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา อย่างไรก็ดี ได้พบว่าเกิดปัญหาในเชิงเทคนิคขึ้นกับอุปกรณ์ HLR ตัวหนึ่งของเรา ผลที่เกิดขึ้นคือ ลูกค้าส่วนหนึ่งของเราประสบปัญหาในการโทรออกหรือรับสายเข้า ในที่สุดจึงทำให้ระบบติดขัดมากขึ้น อันเนื่องมาจากการใช้งานที่หนาแน่น และส่งผลกระทบต่อเครือข่ายโดยรวม”

“เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ฝ่ายเทคนิคของบริษัทฯ ก็ได้ทำงานอย่างเต็มกำลังและความสามารถเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา เพื่อจะทำให้อัตราความสำเร็จในการโทร.กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จากความพยายามในการแก้ไขปัญหาในทันที ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดดีขึ้นในเวลา 13.30 น. และระบบกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างมีเสถียรภาพภายในเวลา 15.00 น. อย่างไรก็ดี ระหว่างเวลา 17.30-18.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีระบบถูกใช้งานมากอีกช่วงเวลาหนึ่ง เราพบว่าอัตราความสำเร็จในการเชื่อมต่อลดต่ำลงอีกครั้ง ซึ่งทีมงานเทคโนโลยีของเราได้รีบแก้ไขปัญหา และดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ำอีก”

“พวกเราผู้บริหาร และพนักงานของดีแทคต้องกราบขออภัยลูกค้าของเราในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น เราตระหนักดีว่า ไม่มีหนทางใดที่เราจะสามารถนำเวลาของท่านที่สูญเสียไปกลับมาได้ อย่างไรก็ดี พวกเราอยากจะแสดงความรับผิดชอบของเราด้วยการชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้แก่ลูกค้าทุกคน ด้วยการชดเชยค่าบริการให้แก่ลูกค้าทุกรายทั้งในระบบพรีเพดและลูกค้ารายเดือนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเวลา 12.00 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม จนถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 22 ธันวาคมนี้” ดร. ดามพ์ กล่าว

“ในระหว่างนี้ ดีแทคจะดำเนินการทุกประการที่สามารถทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดียวกันนี้ขึ้นอีก และให้ลูกค้าสามารถติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูง ครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง บริษัทฯ ขอเรียนย้ำว่า เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดที่เราสามารถจะจัดให้ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าตลอดเวลา” ดร. ดามพ์กล่าวย้ำ

View :1344

สวทช.กระทรวงวิทย์ฯส่งนวัตกรรมแก้น้ำเน่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้วในชื่อ nCA หรือ เอ็นค่า

December 22nd, 2011 No comments

ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานงานแถลงข่าว นวัตกรรมแก้น้ำเน่าเสียเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือระบบ”น้ำใส หายเหม็น ออกซิเจนสูง”หลังทดสอบสำเร็จได้ผลดีมากในระดับหมู่บ้านแถบลำลูกกา ปทุมธานี ในพื้นที่กว่า 9000 ล้านลูกบาศก์เมตร ปรากฏว่าน้ำที่ขังเน่าเสียมีสภาพใสและดีขึ้น ตลอดจนออกซิเจนสูง จนสามารถสูบออกจากชุมชนโดยไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้น้ำที่สูบออกยังสามารถนำไปเลี้ยงปลาในบ่อได้อีกด้วย ซึ่ง สวทช.ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้วในชื่อ nCA หรือเอ็นค่า โดย ดร.ปลอดประสพกล่าวในรายละเอียดว่า

“มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น นอกจากความสูญเสียแล้ว สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นหลายอย่าง ยังแสดงให้เห็นถึงน้ำจิตน้ำใจของคนไทยที่ไม่ทอดทิ้งและไม่ปล่อยให้ผู้เสียหายต่อสู้กับโชคชะตาทุกข์โศกโดยลำพัง หากแสดงให้เห็นถึงพลังจิตอาสาในทุกๆระดับ หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทุ่มเทงบประมาณ CSR เพื่อการเยียวยาผู้ประสบภัย มีไม่น้อยที่จับมือกันทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อเข้าไปร่วมฟื้นฟูชุมชนที่ถูกน้ำท่วมขัง เพื่อให้ฟื้นกลับคืนโดยเร็ว อาทิการดำเนินการของ สวทช.ร่วมกับเครือข่ายในการดำเนินการนำนวัตกรรมที่เกิดจากการค้นคว้าวิจัยของ สวทช.คือสารจับตะกอนจากสารสกัดธรรมชาติและเครื่องเพิ่มออกซิเจนแบบประหยัด เข้าไปร่วมฟื้นฟูหมู่บ้านทรงพลคลอง 2 ลำลูกกา ซึ่งเป็นที่มาของการจัดงานแถลงข่าวในวันนี้

ทั้งนี้ ผลการนำนวัตกรรมเอ็นค่าเข้าไปทดสอบในระดับหมู่บ้าน โดยใช้พื้นที่หมู่บ้านทรงพล ชุมชนแถบคลอง 2 ลำลูกกา ซึ่งมีน้ำท่วมขัง 30-40 cm ขนาดปริมาณปริมาตรน้ำท่วมขังทั้งหมด = 100x220x0.4 = 8,800 ลบ.ม มีชาวบ้านพักอาศัยประมาณ184 หลังคาเรือน พื้นที่เป็นแอ่ง มีขยะ ยุงมาก มีพื้นที่เป็นซอยย่อยบ้าง โดยชาวบ้านมีสภาพความเป็นอยู่น่าเห็นใจและอยากได้รับความช่วยเหลือมาก โดยหลังจากที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่น้ำที่ท่วมขังกว่า ~9,000 ลบ ม ปรากฎว่าน้ำที่ขังและเน่าเสียดีขึ้น น้ำใสขึ้น ไม่เหม็น ยุงน้อยลง ซึ่งพอน้ำดีขึ้น ก็เริ่มมีการสูบออกตั้งแต่วันที่13 ธค. 54 โดยได้รับการสนับสนุนวางแผนการสูบน้ำและดำเนินการโดยร.12 พัน 3 ดำเนินการสูบน้ำที่มีคุณภาพดีแล้วออกจากชุมชนโดยไม่ไปสร้างผลลบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทราบจากผู้นำชุมชนว่าน้ำสูบออกไปบ่อเลี้ยงปลาเก่าที่ติดกับหมู่บ้านและอาจลงสู่คลองต่อไป

ผลจากนวัตกรรมดังกล่าว นอกจากจะดีและมีประโยชน์ต่อทั้งเรื่องการจัดการกับน้ำเสียที่ท่วมขังเพื่อให้ชาวบ้านในบริเวณที่น้ำท่วมขังได้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เด็กๆได้กลับคืนสู่ห้องเรียนแล้ว นวัตกรรมนี้ยังสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมในอนาคต เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีในอนาคตของคนไทยและสอดคล้องกับกลยุทธ์การสร้างโอกาสในการแข่งขันสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการปล่อยของเสียจากภาคอุตสาหกรรมอันจะนำไปสู่การแก้ไขและลดปัญหาเรื่องมลภาวะและการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไปด้วย “ ดร.ปลอดประสพกล่าว

นอกจากนี้ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวเพิ่มเติมว่าผลสำเร็จของงานวิจัยดังกล่าว ทางเอ็มเทค/สวทช.) ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)โดยระบบดังกล่าว ประกอบด้วย สารจับตะกอนเพื่อให้น้ำใส หรือ สาร nCLEAR (เอ็น-เคลียร์) และ เครื่องเติมอากาศด้วยปั๊มที่ออกแบบอย่างง่าย ราคาประหยัด โดยเรียกว่า nAIR (เอ็น-แอร์) ทั้งนี้ “สารจับตะกอนเพื่อให้น้ำใส”นั้น ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติและผงถ่าน ไม่มีอะลูมิเนียมหรือโลหะหนักผสมอยู่ สามารถจับตะกอนในน้ำได้อย่างรวดเร็ว และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ฉะนั้นจึงมีความปลอดภัยในการนำไปใช้งานและไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม น้ำที่ได้หลังจากตกตะกอนและกรองตะกอนออก จะเป็นน้ำใส กลิ่นไม่เหม็น ดังนั้นหากต้องการนำน้ำนี้ไปใช้อุปโภค หรือบริโภคจำเป็นต้องผ่านกรรมวิธีในการฆ่าเชื้อโรคที่ถูกต้อง เช่น การฆ่าเชื้อด้วยความร้อนโดยการต้ม หรือ การผสมสารคลอรีนเจือจาง เป็นต้น

ทั้งนี้ระบบน้ำใส-หายเหม็น-ออกซิเจนสูง ดังกล่าว สวทช.รวมเรียกว่า nCA (เอ็น-ค่า) ซึ่ง สวทช.ได้ดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า nCA นี้ กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว ดร.ทวีศักดิ์ กล่าว

View :1571

แนวโน้มและการคาดการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยและการจัดเก็บข้อมูลปี 2012

December 22nd, 2011 No comments

โดย ประมุท ศรีวิเชียร ผู้จัดการประจำประเทศไทย
บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่น ประเทศไทย จำกัด

ประมุท ศรีวิเชียร


แนวโน้มด้านการรักษาความปลอดภัยในปี 2012
ปี2011 เป็นปีที่ถูกจดจำในฐานะที่เราได้เห็นการวางรากฐานการสืบทอดของ Stuxnet นอกจากนี้ปี 2011 จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นปีของภัยคุกคามบนอุปกรณ์โมบายหลังจากมัลแวร์บนระบบโมบายเริ่มต้นเคลื่อนไหวอย่างจริงจังมากขึ้น ท้ายที่สุด เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2011 จะพบว่าเป็นปีแห่งการโจมตีแบบมีเป้าหมายที่มีการใช้ประโยชน์จากใบรับรองอิเล็กทรอนิกซ์ของจริงซึ่งถูกขโมยมา
เราคิดว่ารูปแบบการโจมตีเหล่านี้จากปี 2011 จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้ง 2012 ต่อไปนี้เรามาดูกันแบบเจาะลึกลงไปในแต่ละรูปแบบ:

ภัยคุกคามแบบฝังตัวขั้นสูง (Advanced persistent threats – ATPs) ยังคงมุ่งเป้าไปที่องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคสำคัญ ขณะที่การปกป้องระบบโครงสร้างสำคัญได้รับการตื่นตัวมากขึ้น

จากการสำรวจการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานสำคัญล่าสุดของไซแมนเทค (Symantec Critical Infrastructure Protection (CIP Survey) เมื่อเร็วๆ นี้พบว่าในปีนี้องค์กรทั่วไปมีส่วนร่วมในโปรแกรม CIP ของรัฐบาลน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ความเป็นจริงมีองค์กรเพียงร้อยละ 37 ที่เข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าวอย่างสมบูรณ์ หรือเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในปีนี้เมื่อเทียบกับในปี 2010 ที่มีถึงร้อยละ 56 จึงไม่น่าแปลกใจที่ความพร้อมด้าน CIP โดยรวมในระดับโลกได้ลดลงโดยเฉลี่ยถึง 8 จุด (จากร้อยละ60 ถึง 63 เมื่อเทียบกับร้อยละ 68 ถึง 70 ในปี 2010 สำหรับผู้ตอบแบบสอบถามที่แจ้งว่ามีการเตรียมตัวอย่างจริงจัง)

เมื่อรวมกับพัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคาม Dequ, ผลสำรวจส่วนใหญ่จะมีความหนักใจ เนื่องจากเป้าหมายของ Duqu ก็คือการเก็บรวบรวมข้อมูลและทรัพย์สินขององค์กร เช่น ส่วนประกอบที่มักพบเห็นในสภาพแวดล้อมที่มีระบบควบคุมทางอุตสรกรรม (Indutrial control environment) ผู้อยู่เบื้องหลัง Duqu จะมองหาข้อมูลเห็นเอกสารการออกแบบระบบ เพื่อช่วยในการสร้างรูปแบบการโจมตีระบบควบคุมทางอุตสาหกรรมในครั้งต่อไป ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า Duqu เป็นตัวการต่อยอดจากการพัฒนา Stuxnet นั่นเอง

ถึงตอนนี้เราไม่อาจคิดไปเองว่านักโจมตีที่อยู่เบื้องหลังDuqu ยังไม่ได้ข้อมูลที่เขาต้องการนอกจากนี้มีความเป็นไปได้ที่มีภัยคุกคามที่มีลักษณะคล้ายกัน และยังไม่ได้ถูกค้นพบอีกด้วย ดังนั้นจึงเหมือนว่า ปี 2011 เป็นปีของการวางรากฐานสำหรับการโจมตีในลักษณะที่เหมือนกับ Stuxnet

การใช้สมาร์ทโมบายที่เพิ่มขึ้นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงตามมา โดยเฉพาะมัลแวร์บนโมบายและการสูญหายของข้อมูล
— จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
การ์ทเนอร์ระบุว่ายอดขายของสมาร์ทโฟนจะทะลุ 461 ล้านเครื่องภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งมากกว่ายอดการส่งมอบเครื่องพีซีในช่วงเดืยวกัน ในความเป็นจริงภายในสิ้นปี 2011 ยอดขายสมาร์ทโฟนกับแท็บเล็ตรวมกันจะมากกว่าตลาดพีซีถึงร้อยละ 44

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์ประเภทนี้ได้สร้างความสนใจให้กับบรรดาอาชญากรไซเบอร์’ และส่งผลให้เห็นการขยายตัวอย่างแท้จริงของจำนวนของมัลแวร์บนอุปกรณ์แบบพกพาในปี 2011 จากมัลแวร์แบบง่ายๆ ที่เพียงแค่ทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อรู้สึกอึดอัดใจไปจนถึงมัลแวร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการทำเงิน และมัลแวร์มุ่งเน้นการขโมยข้อมูล จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า 2011 เป็นปีแรกที่มัลแวร์บนอุปกรณ์แบบพกพาได้กลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงสำหรับองค์กรธุรกิจ และผู้บริโภค

นอกจากนี้ แม้ว่า 2011 จะเป็นปีของการคุกคามจากภายนอก แต่บรรดาหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูล (ซีไอเอสโอ) ได้เริ่มที่หันมาเน้นการป้องกันจากภายใน เหตุผลหลักเพราะความนิยมอุปกรณ์พกพาที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์พกพาส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์แท็บเลตได้กลายเป็นความกังวลหลักเมื่อพนักงานได้นำเอาแท็บเลตของตนเองมาเชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กรจำนวนมาก ซึ่งเกินความสามารถขององค์กรที่จะรักษาความปลอดภัยและจัดการอุปกรณ์เหล่านั้น ตลอดจนป้องกันข้อมูลที่พนักงานเข้าถึงผ่านทางแท็บเลต

องค์กรกำลังเห็นผลิตผลในการทำงานของพนักงานเพิ่มขึ้นและยินดีที่อุปกรณ์ดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางธุรกิจ แต่การนำแท็บเลตมาใช้งานอย่างรวดเร็วก็สามารถทำให้องค์กรตกอยู่ในความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูลจากคนในทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ ด้วยแท็บเลตที่อยู่ในมือ สิ่งที่กลายเป็นความกังวลก็คือบุคคลภายในที่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญโดยไม่อยู่ในการตรวจสอบจากฝ่ายไอที ที่สำคัญหากเป็นผู้ไม่หวังดี ก็จะนำเอาข้อมูลสำคัญดังกล่าวออกนอกองค์กร

การแพร่กระจายของอาชญากรรมไซเบอร์จากอาชญากรใต้ดินสู่การทำในรูปธุรกิจอย่างจริงจังส่งผลให้การโจมตีแบบมีเป้าหมายมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากรายงาน November Intelligence Report ของไซแมนเทคแสดงให้เห็นว่าการโจมตีแบบมีเป้าหมายเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในปี 2011 องค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 2,500 คนถูกโจมตีมากที่สุด โดยการโจมตีแบบมีเป้าหมายถูกตรวจพบและป้องกันเฉลี่ย 36.7 ครั้งต่อวันในระหว่างปี 2011

ในทางกลับกัน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีพนักงานน้อยกว่า 250 คน การโจมตีแบบมีเป้าหมายถูกตรวจพบและป้องกันที่ 11.6 ครั้งต่อวันในช่วงเวลาเดียวกัน

จำนวนการโจมตีแบบมีเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจากแรงผลักดันของการช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยบรรดาบริษัทที่ใช้ประโยชน์จากการจารกรรมทางไซเบอร์เพื่อซื้อหาข้อมูลสำคัญของคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น สมมติว่าองค์กรกำลังเตรียมลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในโรงงานผลิตสารเคมีใหม่ก็ใช้การโจมตีแบบมีเป้าหมายกับคู่แข่งในการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่สำคัญของคู่แข่ง และเพื่อให้แน่ใจว่าได้เปรียบทางการแข่งขัน

ไซแมนเทคที่เพิ่งค้นพบชุดของการโจมตีที่มีชื่อรหัสว่า “Nitro” ที่มีเป้าหมายหลักคือบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องในการวิจัย พัฒนา และการผลิตสารเคมี ตลอดจนวัสดุขั้นสูง มีบริษัทด้านเคมีรวมทั้งสิ้น 29 แห่ง และอีก 19 แห่งในด้านอื่นๆ ร่วมถึงบริษัทด้านการป้องกันประเทศยืนยันว่าได้ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีครั้งนี้ เป้าหมายของการโจมตีเหล่านี้เพื่อรวบรวมข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา เช่น เอกสารการออกแบบ สูตร และกระบวนการผลิ

การแฮ็กผู้ให้บริการใบรับรอง Secure Sockets Layer (SSL) Certificate และภัยคุกคามจากมัลแวร์ที่ใช้ใบรับรอง SSL ในทางที่ผิด ได้กลายเป็นประเด็นในปี 2011 โดยการผลักดันของผู้ออกใบรับรอง SSL (CAs) และเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองและลูกค้าของพวกเขา

ความสนใจของสาธารณชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ผู้ออกใบรับรอง SSL เช่น DigiNotar และ Comodo ถูกโจมตีและขโมยข้อมูลสำคัญไป กลายเป็นประเด็นอันดับ 1 ในปี 2011 ขณะที่มีมัลแวร์จำนวนมากมีการใช้ประโยชน์จากใบรับรอง SSL ที่อาชญากรได้จากการขโมยมา

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ลูกค้าองค์กร และผู้บริโภคทั่วไปเริ่มมีความต้องการรักษาความปลอดภัย SSL ที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งเริ่มต้นจากการผลักดันให้ผู้ออกใบรับรอง และเจ้าของเว็บไซต์ต้องดำเนินการป้องกันการหลอกลวงในแบบ social engineering มัลแวร์และมัลแวร์ที่มุ่งประโยชน์ด้านการโฆษณา ด้วยความนิยมของการใช้อุปกรณ์พกพา และการแพร่กระจายของบริการบนคลาวด์ภายในองค์กรต่างๆได้ก่อให้เกิดช่องโหว่ของระบบ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในด้านการพิสูจน์ตัวตนบน SSL ที่มีความน่าเชื่อถือ และแข็งแกร่งมากขึ้นสำหรับการใช้งานอุปกรณ์พกพา และคลาวด์ นอกจากนี้ลูกค้ายังเริ่มตระหนักถึงการรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ของพวกเขาเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่ายังมีองค์กรเป็นจำนวนมากที่ยังคงอาศัยแค่การออกใบรับรอง SSL โดยที่ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพเพียงพอไว้รองรับ

หัวข้อในปี 2011 นอกจากเป็นเรื่องเหตุการณ์การโจมตีและจารกรรมข้อมูลสำคัญ ผู้ให้บริการให้ใบรับรอง SSL จะเป็นประเด็นลดการใช้เทคโนโลยี SSL หรือแม้กระทั้งความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมออนไลน์ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าทั้งสองกรณีอาจเกินจริงไปบ้าง เนื่องจากโดยตัวเทคโนโลยี SSL เองนั้นไม่ใช่จุดอ่อน ของกรณีศึกษาอย่าง DigiNotar แต่เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าองค์กรจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลความมั่นคงปลอดภัยของโครงสร้างระบบให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบให้บริการ CA เองต้องมีการวางมาตรฐานด้านความปลอดภัยทั้งในส่วนกระบวนการทำงานและพิสูจน์ตัวตน นอกจากนี้หากความมั่นใจในด้านออนไลน์ล้มเหลว หมายถึงจะไม่มีใครออนไลน์อีกต่อไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้

แนวโน้มการจัดเก็บข้อมูลในปี 2012

แนวโน้ม :
• มีการเกี่ยวข้องกันมากขึ้นในส่วนของเทคโนโลยีบนระบบเวอร์ชวลและฟิสิคอล
• การสำรองข้อมูลจะกลับมาในปี 2012
• การกำกับดูแลข้อมูลกลายเป็นคำยอดฮิตเชิงบวก
• องค์กรจะทำการทดสอบระบบการกู้คืนข้อมูลในภาวะวิกฤติอย่างสม่ำเสมอ
• รูปแบบของไพรเวทคลาวด์มีความหลากหลายมากขึ้น

เทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรง:
มีการเกี่ยวข้องกันมากขึ้นในส่วนของเทคโนโลยีบนระบบเวอร์ชวลและฟิสิคอล

เรื่อง :
โครงการทำเวอร์ชวลไลเซชันมักจะเริ่มต้นจากโครงการขนาดเล็ก และจะเติบโตจนกลายเป็นส่วนใหญ่ของสภาพแวดล้อมด้านไอทีในที่สุด ในปี 2012 หลายองค์กรจะรวมทีมงานของโครงการ VM ที่และโครงสร้างพื้นฐานเข้ากับไอทีขององค์กร ซึ่งจะเน้นความจำเป็นในการทำให้ทรัพยากรไอทีทางฟิสิกคอลและเวอร์ชวลทำงานร่วมกันเป็นแพลตฟอร์ม

ในระหว่างงานประชุม VMworld ที่ผ่านมา เรารู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นตู้แร็กเซิร์ฟเวอร์สูง 6 ฟุตหลายตัวในงาน (พนักงานคนหนึ่งได้ถ่ายภาพตู้แร็กสำหรับฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันถึง 15 ตู้) บ่อยครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีได้รับเอาข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานแบบเวอร์ชวลมามากมาย แต่พวกเขากลับลืมไปว่าการทำงานแบบเวอร์ชวลยังคงต้องอาศัยฮาร์ดแวร์แบบฟิสิคอล อีกทั้งฮาร์ดแวร์ใหม่ที่จำเป็นสำหรับโครงการใหม่ก็หมายถึงค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่พบว่าเกิดการใช้งานเซิร์ฟเวอร์/หน่วยจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น องค์กรต่างๆ ที่นำวิธีการแบบ silo มาใช้จะทำให้การปรับใช้ VM ล้าหลัง ในขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนทำเวอร์ชวลไลเซชันจะยังคงลดลงอันเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสภาพแวดล้อมการทำงานที่แยกจากกัน ซึ่งชะลอความสามารถขององค์กรในการแปลงระบบทางฟิสิคอลเป็นระบบเวอร์ชวล องค์กรที่แยกการจัดการหน่วยจัดเก็บข้อมูล และซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลสำหรับเซิร์ฟเวอร์ทางฟิสิคอลและเวอร์ชวลจากกัน เริ่มมีจำนวนน้อยลง คำตอบของการจัดการความซับซ้อนนี้ก็คือการสร้างมาตรฐานให้กับแพลตฟอร์มที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้ด้วยเครื่องมือที่ทำงานข้ามแพลตฟอร์มทางฟิสิคอลและเวอร์ชวลที่หลากหลายเพื่อจัดการระบบ ความพร้อมในการใช้งาน การสำรองข้อมูล การจัดการหน่วยจัดเก็บข้อมูล และการรักษาความปลอดภัย ฯลฯ

ส่งผลให้การจัดการระบบรักษาความปลอดภัย การจัดการสตอเรจ และการสำรองข้อมูลของทรัพยากรไอทีที่ดูแลได้ทั้งฟิสิคอลและเวอร์ชวลกลายเป็นมาตรฐานในการทำงาน

ประเด็นสนับสนุน :
• นอกจากนี้เพื่อให้มองเห็นถึงความเป็นเจ้าของข้อมูล องค์กรต้องสามารถมองเห็นรายละเอียดปลีกย่อยของสภาพแวดล้อมทางฟิสิคอลและเวอร์ชวลทั้งหมดของพวกเขา
• วีเอ็มแวร์ยังคงเป็นผู้ค้าที่ถูกพูดถึงเสมอเมื่อองค์กรด้านไอทีพูดคุยเกี่ยวกับการทำเวอร์ชวลไลเซชันเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กร แต่ซีทริกซ์ และไมโครซอฟท์กำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดยเกือบร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีไฮเปอร์ไวเซอร์สำรองไว้ใช้งานที่บริษัทของพวกเขา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าองค์กรไม่ได้สร้างมาตรฐานบนแพลตฟอร์มตัวใดตัวหนึ่ง เท่านั้น
• จากการสำรวจของอินฟอร์เมชันวีคเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของคุณสมบัติในการทำเวอร์ชวลไลเซชัน ผู้ตอบแบบสำรวจมองว่าความพร้อมในการใช้งานสูงมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนราคาตามมาเป็นอันดับที่สอง
• การสำรวจเดียวกันแสดงให้เห็นว่าองค์กรส่วนใหญ่มีการนำเอาเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชัน การทำเวอร์ชวลไลเซชันเซิร์ฟเวอร์ และหน่วยจัดเก็บข้อมูลไปใช้แล้วร้อยละ 45 และ 43 ตามลำดับ
• จากการสำรวจของอินฟอร์เมชันวีค องค์กรมีการใช้ประโยชน์จากการทำเวอร์ชวลไลเซชันแอพพลิเคชันทางธุรกิจที่สำคัญเช่นกัน: โดยร้อยละ 59 วางแผนทำแอพพลิเคชันฐานข้อมูลแบบเวอร์ชวลในอีก 12 เดือนข้างหน้า ร้อยละ 55 วางแผนทำเว็บแอพพลิเคชันฐานแบบเวอร์ชวล และร้อยละ 47 วางแผนทำแอพพลิเคชันอีเมล์ และปฏิทินแบบเวอร์ชวล
• จากการสำรวจของไซแมนเทค องค์กรมักจะใช้ทีมงานที่แตกต่างกันสำหรับดูแลสภาพแวดล้อมทางฟิสิคอล และเวอร์ชวล ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างคน การฝึกอบรม และเครื่องมือเพิ่มขึ้น ความเป็นจริงร้อยละ 31 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาใช้ทีมงานแยกต่างหากสำหรับการสำรองข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์แบบฟิสิคอล และเวอร์ชวล
• จากการสำรวจเดียวกันแสดงให้เห็นว่าองค์กรที่ใช้ทีมงานที่แยกจากกันจะให้ความสำคัญในเรื่องการสำรอง และกู้คืนข้อมูลน้อยกว่า และทีมงานมีความพึงพอใจกับความน่าเชื่อถือน้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้น 3 ใน 4 ขององค์กรที่ใช้ทีมงานแยกจากกันยินดีให้มีการรวมทีมเป็นทีมเดียว ตลอดจนมีองค์กรที่ใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวร้อยละ 77 กำลังพิจารณาเปลี่ยนไปใช้โซลูชันด้านการสำรองข้อมูลตัวเดียว
• ด้วยการใช้โซลูชันเดียวในการสำรองข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ทั้งแบบฟิสิคอลและเวอร์ชวล ช่วยให้องค์กรต่างๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงาน และการฝึกอบรม และพวกเขามักจะพบว่าการค้นหาและกู้คืนไฟล์ การแก้ไขปัญหา และการทำรายงานเกี่ยวกับการสำรองข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น (ร้อยละ 53 บอกว่าช่วยให้การจัดเจ้าหน้าที่และการฝึกอบรมง่ายขึ้น ร้อยละ52 บอกว่าช่วยให้การแจ้งเตือน แก้ไขปัญหา และรายงานง่ายขึ้น ร้อยละ 51 ไบอกว่าช่วยให้การค้น หาและการกู้คืนง่ายขึ้น)

การสำรองข้อมูลกลับมามีบทบาทสำคัญปี 2012

เรื่อง:
ตลาดการสำรองข้อมูลจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากตลาดที่เคยขยายตัวช้ากลับมีตัวเลขการเติบโตที่น่าประทับใจ การสำรองข้อมูลที่ถูกผนวกเข้ากับการป้องกันเวอร์ชวลแมชีน การทำซ้ำข้อมูล การจัดการsnapshot อุปกรณ์ และการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อรูปแบบการดำเนินงานที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

องค์กรที่มีการพึ่งพาการทำsnapshot มากกว่าการสำรองข้อมูล และไม่ได้ติดตั้งเทคโนโลยีการทำซ้ำข้อมูล หรือการกู้คืนข้อมูลในระดับย่อยลงไปสำหรับสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลจะเห็นว่ามีช่วงระยะเวลาในการสำรองและกู้คืนเพิ่มขึ้น แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผู้ค้าให้คำแนะนำจะเปลี่ยนวิธีการป้องกันข้อมูลซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในแต่ละปีได้หลายล้านดอลลาร์

นอกจากนี้องค์กรที่ใช้เครื่องมือสำรองข้อมูลที่แตกต่างกันสำหรับทุกแพลตฟอร์มจะเป็นการเพิ่มระดับความซับซ้อนภายในสภาพแวดล้อมของพวกเขาเอง จึงจำเป็นต้องยกระดับการรวมศูนย์ขึ้น โดยเฉพาะองค์กรที่คาดหวังที่จะย้ายไปสู่คลาวด์ และเดินหน้าปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของตนสู่โลกเวอร์ชวลอย่างต่อเนื่อง

ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลที่มีการใช้งานระบบทำซ้ำข้อมูล การบริหารจัดการsnapshot เทป หรือดิสก์สำรองแยกจากกัน กลยุทธ์ด้านการสำรองVMware และ Hyper-V จะช่วยให้กระบวนการสำรองข้อมูลง่ายขึ้น ความคิดของแพลตฟอร์มในการกู้คืนข้อมูลในแต่ละระดับจากแบ็คอัพเพียงครั้งเดียว จะมีความต้องการมากขึ้นเพราะการกู้คืนจากการทำการสำรองข้อมูลแบบแยกส่วนในแต่ละรูปแบบข้อมูล มีความซับซ้อนมาก ผู้ค้าจะต้องทำการรวมศูนย์เทคโนโลยีใหม่เพื่อลดความซับซ้อนลง

ประเด็นสนับสนุน :
• ข้อมูลปริมาณมหาศาล : ข้อมูลปริมาณมหาศาลที่เกิดจากการทำเวอร์ชวลไลเซชัน การใช้งานแอพพลิเคชันใหม่ และความต้องการทำธุรกิจตลอดเวลาก่อให้เกิดปัญหากับระบบสำรองข้อมูลแบบเก่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็กจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ถึงเวลาแล้วสำหรับหาวิธีการใหม่ ไอดีซีรายงานสถานะของ ‘ขนาดของข้อมูลดิจิตอล’ ว่าจะโตขึ้นจาก 1.8 เซตต้าไบต์ในปี 2011 เป็นมากกว่า 7 เซตต้าไบต์ในปี 2015
• มีแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น: วีเอ็มแวร์ยังคงเป็นผู้ค้าที่ได้รับการกล่าวถึงเมื่อองค์กรด้านไอทีพูดถึงการทำเวอร์ชวลไลเซชันเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กร เกือบร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อินฟอร์เมชันวีคสำรวจข้อมูลมีการใช้งานไฮเปอร์ไวเซอร์สำรองในองค์กรของพวกเขา
• ช่วงระยะเวลาในการสำรองข้อมูลไม่พอ: เนื่องจากการเจริญเติบโตของข้อมูล ช่วงระยะเวลาในการสำรองข้อมูลแบบเดิมที่กำหนดเป็นตลอด 24 ชั่วโมง หรือในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ใช้ไม่ได้กับบางองค์กร จึงจำเป็นต้องหาแนวทางใหม่
• การสำรองข้อมูลของสำนักงานระยะไกลมีปัญหา: กระบวนการดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนเกินไปสำหรับทรัพยากรที่หลายองค์กรมีอยู่ในสำนักงานระยะไกล จึงจำเป็นต้องหาแนวทางใหม่
• การเก็บรักษาข้อมูลสำรองแบบไม่มีขีดจำกัดจะลดลง: นโยบายการเก็บรักษาข้อมูลสำรองแบบไม่มีขีดจำกัดจะลดน้อยาลงในปี 2012 เพราะองค์กรที่ถูกบังคับให้จัดการกับข้อมูลปริมาณมหาศาล เทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นช่วยให้องค์กรช่วยขจัดข้อมูลที่มากมายเหล่านี้ได้
• รูปแบบของงานด้านการสำรองข้อมูลจะเริ่มปลี่ยนแปลงไป: ไซแมนเทคจะนำเสนอเทคโนโลยีใหม่เพื่อช่วยแก้ไขความท้าทายในอุตสาหกรรมการสำรองข้อมูลเพื่อช่วยให้การป้องกันข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และสามารถรับมือกับปริมาณมากข้อมูลและความเข้มงวดของข้อตกลงด้านระดับของการให้บริการ
• ในปี 2011 ไซแมนเทคได้เห็นแนวโน้มว่าบางองค์กรได้ใช้ทางลัดในการสำรองและจัดเก็บข้อมูล เช่น Snapshot หรือการทำงานทดแทนกันเมื่อระบบใดระบบหนึ่ง failovers ในการสำรองข้อมูลที่เป็นจริงหรือการใช้เทคโนโลยีการสำรองข้อมูลในส่วนของการจัดเก็บ
• อย่างไรก็ตาม Snapshot จะไม่ได้รับการพัฒนาหรือปรับขนาดได้ และเมื่อต้องการข้อมูล การกู้คืนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในปี 2012 จะเห็นความล้มเหลวที่สำคัญบางอย่างในการกู้คืนข้อมูล หากองค์กรไม่ใช้แพลตฟอร์มการสำรองข้อมูลแบบองค์รวมที่ใช้กับสภาพแวดล้อมทั้งทางแบบฟิสิคอลและเวอร์ชวล และทำให้ผู้ดูแลระบบไอทีกู้คืนข้อมูลได้ง่าย

###

View :1917

บราเดอร์ มั่นใจภาพรวมธุรกิจไอทีเมืองไทยปี 54 เติบโตกว่า 10%

December 22nd, 2011 No comments

เดินหน้าสร้างแบรนด์ขยายฐานลูกค้า ดึงดนตรีเป็นสื่อเชื่อม พร้อมเตรียมเผยโฉมสินค้าใหม่รับกระแส Wireless ตลอดปี 55

โชว์วิสัยทัศน์สานต่อผู้นำตลาดปริ้นเตอร์เมืองไทย มั่นใจตลาดยังไปได้สวย คาดปิดฉาก ปี 54 ตลาดรวมจะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% แม้ภาวะวิกฤติ เพราะต้องจัดซื้อทดแทนของเดิมที่เสียหาย รุกขยายฐานลูกค้าผ่านกลยุทธ์ “Music Marketing” หลังประสบความสำเร็จอย่างมาก จากการจัดกิจกรรมครั้งล่าสุด “Brother The CMYK Concert Project” ชี้ปี 54 เป็นปีแห่งโลกไร้สาย (Wireless) เตรียมยกทัพสินค้าใหม่ตอบโจทย์ตลาดแบบครบครัน

นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจไอทีเมืองไทยได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยบราเดอร์ได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งนี้ด้วยการร่วมมือกับศูนย์บริการในเครือ และศูนย์ตัวแทนจำหน่ายในทุกพื้นที่ประสบอุทกภัยให้บริการซ่อมฟรีแก่ลูกค้าที่อยู่ในระยะประกัน และฟรีค่าแรงแก่ลูกค้าที่หมดระยะประกันไปแล้ว ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มกราคม 2555 ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 20 ราย และสำหรับผู้ที่ต้องการหาซื้อเครื่องใหม่ทดแทนเครื่องที่ชำรุด บราเดอร์ ได้จัดโปรโมชั่น Annual sale ขึ้น เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในราคาพิเศษตลอด เดือนธันวาคม 54 ทั้งยังจัดกิจกรรมให้บรรดาแฟนเพจใน Facebook ได้มีส่วนร่วมบริจาคผลิตภัณฑ์ ในเครือบราเดอร์รวมมูลค่ากว่า 70,000 บาท ผ่านการกด “LIKE” เพื่อเลือกหน่วยงานที่ต้องการมอบผลิตภัณฑ์จากบราเดอร์ให้แก่หน่วยงาน ทั้งภาคการศึกษา การสาธารณสุข และภาคธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบอุทกภัย และยังได้ร่วมบริจาคเงิน 100,000 บาท ผ่านสภากาชาดไทย ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา

“ผมเชื่อว่าภาพรวมของธุรกิจไอที โดยเฉพาะตลาดปริ้นเตอร์ในปี 54 จะยังสามารถเติบโตได้แม้ในปีนี้จะมีผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อต้นปี และน้ำท่วมช่วงปลายปีนี้ก็ตาม แต่เป็นผลกระทบทางอ้อม และเป็นระยะสั้น เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาที่เราประสบปัญหาด้านการเมือง ซึ่งเป็นผลกระทบทางตรง และใช้เวลานาน ดังนั้นผมเชื่อว่าในปี 54 ตลาดปริ้นเตอร์จะสามารถสร้างอัตราเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% ซึ่งบราเดอร์ คาดว่าเราจะสามารถเติบโตได้ไม่น้อยกว่าอัตราเติบโตของตลาดรวม โดยที่ผ่านมา 8 เดือน บราเดอร์ สามารถสร้างอัตราเติบโตของทุกส่วนธุรกิจได้กว่า 10% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้” นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ กล่าวแสดงความเชื่อมั่น พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “ปีนี้ บราเดอร์ ประสบความสำเร็จ อย่างมาก จาก ปริ้นเตอร์อิ้งค์เจ็ทมัลติฟังชั่นในรุ่นที่มีระบบแฟ็กซ์ ที่สามารถสร้างแชร์ในตลาดได้ประมาณ 30% เช่นเดียวกับ ปริ้นเตอร์เลเซอร์มัลติฟังก์ชั่นที่มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20% ที่ได้มีการแนะนำสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มความต้องการสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรุ่น Duplex ที่สามารถพิมพ์ 2 หน้าอัตโนมัติ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งนวัตกรรมสินค้าที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ บราเดอร์ นี้เองที่ช่วยทำให้สินค้าของเราสามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้น”

สำหรับภาพรวมธุรกิจไอทีในปี 55 นั้น นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า ปี 55 น่าจะเป็นปีทองของโลกไร้สาย (Wireless) ที่เน้นในเรื่องของ Connectivity กับสินค้าไอทีต่างๆ อาทิ สมาร์ทโฟน, ไอเพด, แท็บเลตต่างๆ นอกเหนือจากตัว Wireless , Wi-Fi แล้วก็คิดว่าตัว Cloud Printing จะเป็นอีกเทรนด์ที่มาแรงเช่นกัน โดยแต่ละแบรนด์จะเน้นแข่งขันที่นวัตกรรมและฟังก์ชั่นเป็นหลัก ในส่วนของปริ้นเตอร์เองก็ต้องยึดถือการนำเสนอสินค้าตามเทรนด์ดังกล่าวเช่นกัน

View :1310

WD พร้อมโชว์ศักยภาพผู้นำฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในงาน BOI Fair 2011 ชู 6 มิราเคิลที่ผลักดันองค์กรสู่ความเป็นเลิศในอุตสาหกรรม

December 22nd, 2011 No comments

เวสเทิร์น ดิจิตอล เตรียมจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์กลุ่มคอนซูเมอร์ อิเลคทรอนิกส์
และสโตเรจในงานบีโอไอ แฟร์ 2011 มหกรรมแสดงนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 5-20 มกราคม 2555 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

งานบีโอไอแฟร์ 2011 เป็นมหกรรมแสดงนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทั้งนี้ งานบีโอไอแฟร์ 2011 ได้ถูกเลื่อนจากช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554 เนื่องจากผลกระทบน้ำท่วม โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิดรวมพลังน้ำใจ “โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ “Going Green for the Future” มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย และให้สอดคล้องกับการกำหนดทิศทางพัฒนาของประเทศให้เจริญเติบโตทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สังคมไทยก้าวไปสู่สังคมที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยและตลาดโลกหลังจากที่ได้ผ่านพ้นอุทกภัยครั้งใหญ่

โดยภายในงานครั้งนี้ จะมีการจัดนิทรรศการกลางแจ้งและนิทรรศการภายในอาคาร รวมพื้นที่จัดงานโดยรวมประมาณ 240,000 ตารางเมตร โดยเวสเทิร์น ดิจิตอลอยู่ในกลุ่มผู้แสดงนิทรรศการภายในอาคาร บริเวณโซน ในอาคารชาเลนเจอร์ 3

ภายในบูธจัดแสดงของ WD มีคอนเซ็ปต์ว่า “The HEART Disk Drive” ที่สื่อถึงความตั้งใจของทีมงาน WD ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจของลูกค้าทุกคน อันเปรียบเสมือนหลักธรรมและรากฐานแห่งความสำเร็จของบริษัท โดย WD จะจัดแสดง สิ่งมหัศจรรย์ที่เป็นแกนสำคัญผลักดันให้ WD สามารถก้าวขึ้นสู่ความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมด้านนี้ นับตั้งแต่ได้เปิดดำเนินการในประเทศไทยมาเป็นเวลา 9 ปี ที่ประกอบไปด้วย 1) Green & Clean Technology Today & Future: ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ นำเสนอเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย 2) Thailand Prime Minister Best Industry Award in 2011: รางวัลแห่งเป็นเลิศที่สุดในอุตสาหกรรม 3) In-depth Collaboration: องค์กรแห่งความร่วมมือเชิงลึกทางการวิจัยและพัฒนาร่วมกับหน่วยงานของรัฐบาลและมหาวิทยาลัย 4) Happy Workplace: สถานประกอบกิจการที่อบอวลไปด้วยความสุข 5) First Product R&D in Thailand: เป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดฟ์รายแรกที่มีการทำ R&D เต็มรูปแบบในประเทศไทย และ 6) Size: หน่วยการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและในประเทศไทย และครองความเป็นเจ้าตลาดของอุตสาหกรรม

จากสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ WD ได้รับผลกระทบจนต้องหยุดการผลิตของโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมนวนครและบางปะอินเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ และกลับมาดำเนินการผลิตฮาร์ดไดรฟ์ตามปรกติของตึกหนึ่งในส่วนโรงงานที่บางปะอินเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ มุมแสดงนิทรรศการชื่อ “Flood Recovery Corner” ภายในบูธ WD จะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของ WD ในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม การร่วมแรงร่วมใจของทีมงาน รวมทั้งการแสดงน้ำใจให้ความช่วยเหลือของพนักงาน WD จากทั่วโลก ในการร่วมกันฟื้นฟูชีวิตและชุมชนของผู้ประสบภัยน้ำท่วม

นอกจากนี้ WD จะจัดแสดงเทคโนโลยีโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคล หรือ เพอซัลนอล คลาวด์ (PERSONAL CLOUD) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงและแบ่งปันไฟล์ข้อมูลดิจิตอลบนเครือข่ายในบ้านได้อย่างอิสระและมีความปลอดภัยสูง โดยใช้ฮาร์ดไดรฟ์เครือข่ายรุ่น My Book® Live™ เป็นตัวเชื่อมต่อกับเครือข่ายในบ้าน เพื่อสร้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลดิจิตอลที่ใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลได้ทั้งจากภายในบ้านและจากนอกบ้านได้ทุกเวลา โดยผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ และผ่านโปรแกรมแอพลิเคชั่นของ WD ได้แก่ WD Photos™ และ WD 2go™

นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการหัวอ่าน-เขียน (ประเทศไทย) บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด แสดงความคิดเห็นว่า “บริษัทรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในงานบีโอไอแฟร์ 2011 ซึ่งเป็นนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ในรอบทศวรรษ ที่แสดงถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศที่มาลงทุนในเมืองไทย
งานครั้งนี้จะช่วยดึงความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศให้กลับคืนหลังจากที่ได้เผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ สำหรับ WD แล้ว BOI คือมิตรรัก พันธมิตรที่ใกล้ชิด และผู้ที่มีพระคุณของเรา เรายินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของงานและร่วมสนับสนุนให้ประสบความสำเร็จสูงสุด เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการลงทุนในประเทศไทย”

ค้นข้อมูลเกี่ยวกับการร่วมออกงาน BOI Fair ที่ WD@BOI Fair คลิก http://www.facebook.com/pages/WD-BOI-Fair/125215814234004?sk=info หรือเฟซบุ๊ค แฟนเพจ WD ในประเทศไทย คลิก http://www.facebook.com/wdcthailand

View :1759

รมว.วิทย์ฯ ลงพื้นที่จัดโซนนิ่ง (Zoning) ปลูกข้าวพร้อมแจกจ่ายพันธุ์ “หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” ให้แก่เกษตรกร อ.ผักไห่ อยุธยา เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

December 22nd, 2011 No comments

ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลงพื้นที่แจกจ่ายพันธุ์ข้าวหอม “หอมชลสิทธิ์ ทนน้ำท่วมฉับพลัน” พร้อมร่วมหว่านข้าวกับเกษตรผู้ประสพอุทกภัยน้ำท่วม อ.ผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดย โครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สังกัด สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสหกรณ์การเกษตรผักไห่ จำกัด ภายใต้โครงการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีในระดับชุมชน

ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า อุทกภัยในประเทศไทย ปี 2554 เป็นอุทกภัยรุนแรงที่เกิดขึ้น มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 12.8 ล้านคน พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 12.61 ล้านไร่ โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวถูกน้ำท่วมและได้รับผลกระทบเกือบ 10 ล้านไร่ โดยเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล็งเห็นความสำคัญของการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โดยได้จัดทำโครงการช่วยเหลือทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรของไทยที่ประสบอุทกภัย เช่น โครงการแผนฟื้นฟูโดยการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่นาปรัง โดยในระยะแรก จะรวบรวมเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีจากเครือข่ายเกษตรกร เพื่อกระจายให้กับเกษตรกรในเขตภาคกลางที่ประสบอุทกภัยปลูก เช่น จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครสวรรค์ เพื่อใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ปลูกในฤดูนาปี 2555 ต่อไป และในระยะยาว จะเน้นส่งเสริมชุมชนเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้ปลูกเอง และนำไปสู่ธุรกิจการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ และเพื่อความยั่งยืนในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวสำรองสำหรับรองรับภัยธรรมชาติ

จากข้อมูล พื้นที่ จ.อยุธยา พบปัญหาน้ำท่วมทุกปี ในเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูการทำนาปรังทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ดังนั้น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะใช้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการนำความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในงานบริหารทรัพยากร เช่น การจัดทำ Zoning พื้นที่ปลูกข้าวที่เหมาะสมในการปลูกข้าวนาปีและข้าวนาปรัง การบริหารจัดการน้ำ และประยุกต์ใช้แบบจำลอง เพื่อคาดการณ์ระยะเวลาที่ควรปลูก-เก็บเกี่ยวล่วงหน้า รวมถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคแมลง เพื่อให้เกษตรกรวางแผนการผลิตได้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ เป็นการลดความเสี่ยงหรือความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร เป็นต้น

จากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในปีนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงกับเกษตรกรที่มีอาชีพทำนาเป็นหลัก ไร่นามากกว่าหลายล้านไร่เกิดความเสียหาย เมื่อข้าวไม่ทนต่อสภาวะน้ำท่วมขังย่อมส่งผลต่อความเสียหายของผลผลิต ดังนั้น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้มอบหมายให้

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค/สวทช. มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพปรับปรุงพันธุ์ข้าว พันธุ์หอมชลสิทธิ์ ทนน้ำท่วมฉับพลัน โดยเป็นการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ข้าว IR57514 ซึ่งเป็นพันธุ์ทนน้ำท่วมฉับพลันกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ข้าวหอมชลสิทธิ์ถูกคัดเลือกให้มีคุณสมบัติการหุงต้มแบบข้าวขาวดอกมะลิ เมล็ดข้าวมีกลิ่นหอม สามารถปลูกได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี และสามารถทนอยู่ในน้ำได้นานถึง 2-3 สัปดาห์ มีผลผลิตข้าวเปลือกในระดับ 900 – 1000 กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะกับพื้นที่ ภาคกลางที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ง่าย เช่น พื้นที่ ต.ผักไห่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมเป็นประจำทุกปี

ปัจจุบัน ไบโอเทค/ สวทช. ประสบผลสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย โรค และแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ ได้แก่ สายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทนน้ำท่วมฉับพลัน, สายพันธุ์ กข 6 ต้านทานโรคไหม้, สายพันธุ์ข้าวแก้วเกษตรต้านทานโรคไหม้ และ ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่ง สวทช. ได้นำสายพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ดังกล่าวไปเผยแพร่ ส่งเสริมให้เกษตรกรในหลาย ๆ พื้นที่แล้ว ได้แก่ จ.สกลนคร อุบลราชธานี น่าน เชียงราย นครพนม ลำปาง ชัยภูมิ นครพนม สุพรรณบุรี นครปฐม ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุตรดิตถ์ ร้อยเอ็ด มุกดาหาร พิจิตร เฉพาะพันธุ์หอมชลสิทธิ์นี้ ได้มีการเผยแพร่ไป ที่เกษตรกรที่ประสบภัยน้ำท่วมที่พิจิตร ตั้งแต่ปี 2551 แต่ได้มาส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่สหกรณ์การเกษตรผักไห่เป็นแห่งแรก

ด้าน ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วท กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ แก่เกษตรกร อ.ผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตนยังมีกำหนดการที่จะไปร่วมปักป้ายเพื่อตรวจวัดระดับปริมาณท่วมสูงสุดในเขตพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้เห็นความชัดเจนของระดับที่ท่วมในการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด พร้อมทั้งเสนอที่จะสนับสนุนงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำและเป็นโมเดลในปีต่อไปอีกด้วย”

View :1677
Categories: Press/Release, Science, Technology Tags: