Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

Autodesk นำไปสู่ยุคใหม่ของการออกแบบบนคลาวด์ มหาวิทยาลัยออโตเดสก์ 2012 เปิดเผยครั้งแรกของโลกกับ 3D CAD ที่ครอบคลุมบนคลาวด์

December 12th, 2012 No comments


กรุงเทพฯ, มหาวิทยาลัยออโตเดสก์ – 12 ธันวาคม 2555 – ออโตเดสก์, อิงค์ (NASDAQ: ADSK) ผู้นำระดับโลกด้านคลาวด์เบสด้านการออกแบบและเอ็นจิเนียร์ซอฟต์แวร์ เปิดเผยตัวอย่างของ Autodesk Fusion 360 ครั้งแรกของโลกที่นำเสนอโมเดล ครอบคลุมคลาวด์เบส 3 มิติที่มหาวิทยาลัยออโตเดสก์

Autodesk Fusion 360 ช่วยให้มืออาชีพด้านการออกแบบและวิศวกรรมสร้างสรรค์การออกแบบผลิตภัณฑ์ 3 มิติและทำงานร่วมกับผู้อื่นบนคลาวด์ได้งายขึ้น เทคโนโลยีคลาวด์อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Autodesk Fusion 360 ทำให้เข้าถึงได้ทุกที่และทุกเวลาจากโทรศัพท์มือถือหรือเว็บเบราเซอร์ และใส่ข้อมูลสำคัญให้เป็นศูนย์กลางในการออกแบบ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการออกแบบในลักษณะเปิด, ช่วยให้นักออกแบบทำงานได้ง่ายและแก้ไขข้อมูล CAD ได้จากทุกๆ แหล่งข้อมูลอย่างแท้จริง

“คลาวด์สามารถทำให้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นศูนย์กลางของกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างอิสระได้จากทุกที่ทุกเวลา” กล่าวโดย โรเบิร์ต บัซ ครอส รองประธานอาวุโสฝ่ายการออกแบบ, วงจรชีวิตและการจำลองที่ออโตเดสก์ “Autodesk Fusion 360 ทำให้การทำงานง่ายและเป็นโซลูชั่นการออกแบบคลาวด์เบสที่สมบูรณ์สำหรับนักออกแบบและวิศวกร”

Autodesk Fusion 360 ยกระดับแพลทฟอร์มคลาวด์เบส Autodesk 360 และเพิ่มรายการสำหรับผู้ผลิตอีกด้วย ซึ่งประกอบไปด้วย Autodesk PLM 360 ผลิตภัณฑ์คลาวด์เบสสำหรับการจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ และ Autodesk Simulation 360 เป็นชุดเครื่องมือที่ครอบคลุมการจำลองและการส่งข้อมูลแบบปลอดภัยบนคลาวด์

อุตสาหกรรมการออกแบบ 3 มิติและเครื่องกลบนคลาวด์
เครื่องมือการออกแบบที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจระดับมืออาชีพขนาดเล็ก ความสามารถของ Autodesk Fusion 360 ครอบคลุมไปได้ทุกซอกทุกมุมของการออกแบบอุตสาหกรรมและเครื่องจักรกล คลาวด์นำเสนอการเข้าถึงข้อมูลจากทุกที่ทุกเวลา พร้อมกับความสามารถในการพัฒนาการทำงานและความร่วมมือกันทางสังคม Autodesk Fusion 360 ยังเชื่อมต่อกับความสามารถขั้นสูง เช่น ม็อคอัพขนาดใหญ่, การจำลอง, ระบบการจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์และการแสดงผล

สร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ให้กับผู้ใช้
Autodesk Fusion 360 มอบประสบการณ์การใช้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงผ่านอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายสอดคล้องกับบทบาทและระดับของความเชี่ยวชาญของผู้ใช้ Autodesk Fusion 360 ให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้มือใหม่เพื่อเพิ่มความเร็วในระยะเวลาการเรียนรู้และความสามารถในการปิดคำแนะนำและเข้าถึงฟังก์ชั่นที่ลึกกว่าสำหรับนักออกแบบมืออาชีพ สามารถเริ่มการออกแบบได้ภายในไม่กี่นาทีและสามารถบูรณาการการทำงานกับเครื่องมือการทำงานร่วมกันในสังคมได้

เมื่อเร็วๆ นี้ Redpoint Studios ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบและให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมผลิตภัณฑ์มีฐานอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้ใช้ Autodesk Fusion 360 ช่วยลูกค้าของพวกเขาในการนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น “ระยะเวลาการเรียนรู้นับเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสหรือประสบการณ์ วันที่ผมสร้างแบบจำลองของอาคารและการส่งผ่านนั้นต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือไม่ก็เป็นปีในการทำงานให้สำเร็จในโปรแกรมออกแบบ NURBS” กล่าวโดย แมทธิว แฮร์ริส นักออกแบบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ Redpoint Studios, LLC

การจัดหา
Autodesk Fusion 360 จะสามารถหาใช้ได้ในราคาที่สามารถจ่ายได้สำหรับธุรกิจทุกขนาด โมเดลการส่งนี้จะให้ความยืดหยุ่นสูงสุดและขจัดค่าใช้จ่ายล่วงหน้าของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายประจำปีของการปรับปรุงและอัพเกรดซอฟต์แวร์ Autodesk Fusion 360 เป็นไอเดียที่เหมาะสมสำหรับมืออาชีพและธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังมองหาเครื่องมือออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยืดหยุ่นเหมาะสำหรับความต้องการในโปรเจ็คของพวกเขา

Autodesk Fusion 360 คาดว่าจะสามารถใช้ได้ทั่วไปในปีหน้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมท่านสามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.autodesk.com/fusion360

เกี่ยวกับออโตเดสก์
ออโตเดสก์ อิงก์ เป็นผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์เพื่องานออกแบบในด้าน 3D design งานเอ็นจิเนียร์และเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มีลูกค้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการผลิต, การออกแบบและก่อสร้าง และมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ รวมไปถึง 17 อะคาเดมี่ที่ได้รางวัลชนะเลิศสำหรับสาขา Best Visual Effects ที่ใช้ซอฟต์แวร์, แอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ, คลาวด์เซอร์วิสและชุมชนออโตเดสก์ในการออกแบบ วิช่วลไลซ์ จำลองและติดต่อสื่อสารกับแนวความคิดของพวกเขา ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2525 ที่ได้เริ่มเปิดตัวซอฟต์แวร์ AutoCAD บริษัทออโตเดสก์ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่องสำหรับตลาดทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมท่านสามารถเยี่ยมชมที่ www.autodesk.com

เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยออโตเดสก์
มหาวิทยาลัยออโตเดสก์ (Autodesk University) เป็นกิจกรรมประจำปีของคนในออโตเดสก์และการประชุมกันของผู้ใช้ ซึ่งรวมไปถึงกิจกรรมของมหาวิทยาลัยออโตเดสก์ที่ลาสเวกัส เช่นเดียวกับกิจกรรมระหว่างประเทศอย่าง มหาวิทยาลัยออโตเดสก์ญี่ปุ่น, บราซิล, รัสเซีย, เยอรมนีและจีน เนื้อหาออนไลน์ที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ได้ผ่าน Autodesk University Virtual กิจกรรมในปี 2555 นี้จะนำนักออกแบบ, วิศวกร, สถาปนิกและดิจิตอลอาร์ตทิสกว่า 70,000 คนมารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้, เชื่อมต่อและสำรวจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเยี่ยมชมได้ที่ Autodesk University

View :1383
Categories: Press/Release Tags:

ดีแทคและยูนิเซฟร่วมลงนามใน MoU เพื่อรณรงค์เรื่องสิทธิเด็ก

December 12th, 2012 No comments

12 ธันวาคม 2555 – นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น และนายพิชัย ราชภัณฑารี (ซ้าย) ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมกันลงนามในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างดีแทค และยูนิเซฟ ประเทศไทย การลงนามนี้เป็นความตกลงร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีไร้สายในการรณรงค์เรื่องการพัฒนาคุณภาพเด็กตั้งแต่แรกเกิด ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็กในประเทศไทย พิธีดังกล่าวมี นายอานันท์ ปันยารชุน (กลาง) ทูตยูนิเซฟประจำประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยาน ในการดำเนินการโครงการนี้ ดีแทคมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีการสื่อสารมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่กลุ่มสตรีและเด็กด้อยโอกาสซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล

View :1361
Categories: Press/Release Tags:

ครั้งแรกกับเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพื่อเยาวชนและผู้สูงวัย www.ลำไย.com โดยมูลนิธิลองกานอยด์

December 12th, 2012 No comments


ครั้งแรกกับเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพื่อเยาวชนและผู้สูงวัย www.ลำไย.com โดยมูลนิธิลองกานอยด์ เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูลและบทความสาระน่ารู้เกี่ยวกับผลไม้ลำไย รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเยาวชนและผู้สูงวัยโดยเฉพาะ พร้อมเชิญชวนโหวตศิลปินดีเด่นผู้อุทิศตนเพื่อสังคมและผู้สูงวัยผ่านทาง เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/L.sharesmile ซึ่งจะประกาศผลในงานแชร์สมาย บาย ลองกานอยด์ ครั้งที่ 2 วันที่ 24 ธันวาคม 2555 ณ สโมสรทหารบกวิภาวดี

เภสัชกร อัครวิชญ์ วินิจเขตคำนวณ ประธานมูลนิธิลองกานอยด์ เปิดเผยว่า “www.ลำไย.com โดยมูลนิธิลองกานอยด์ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมพัฒนา สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปรวมถึงผู้สูงวัยที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคข้อ เข่า กล้ามเนื้อ เอ็น แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการรักษาให้กลับมามีรอยยิ้ม และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายครีมนวดสารสกัดเมล็ดลำไยลองกานอยด์มาสมทบทุนช่วยเหลือผู้สูงวัย รวมถึงบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือพระสงฆ์ที่ชราภาพ พระสงฆ์ผู้อาพาธ ผู้ป่วยสูงวัยที่ยากไร้และผู้ป่วยอนาถาตามโรงพยาบาลต่างๆ ด้วย”

www.ลำไย.com เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลและบทความสาระน่ารู้เกี่ยวกับผลไม้ลำไย ซึ่งในอดีตผลไม้ลำไยนั้นมีราคาตกต่ำภายหลังจากที่เกษตรกรแปรรูปอบแห้งแล้ว เมล็ดลำไยจำนวนมากจะถูกนำไปเผาทิ้งจนเกิดเป็นมลภาวะ เมล็ดลำไยถือเป็นขยะที่ใครๆต่างมองว่าไม่มีค่า ในขณะที่ตำราแพทย์แผนจีนโบราณกล่าวว่า ลำไยเป็น 1 ใน 5 ผลไม้อายุวัฒนะ จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นงานวิจัยโดย ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ที่ค้นพบว่าในเมล็ดลำไยอุดมไปด้วย Gallic, Ellagic และสารฟลาโวนอยด์อีกหลายๆชนิด ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง สามารถใช้บำบัดอาการมะเร็ง รวมทั้งอาการอักเสบของไขข้อและกล้ามเนื้อ ด้วยทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรหรือสวก.เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับลำไย จึงมีการพัฒนาสารสกัดเมล็ดลำไยขึ้นเป็นครีมนวดที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสลายองค์ประกอบพื้นฐานของกระดูกอ่อนได้ดี อีกทั้งยังยับยั้งเอนไซม์แมทริกซ์เมทัลโลโปรทีเนสไม่ให้ย่อยสลายโครงสร้างกล้ามเนื้อคลอลาเจน และอิลาสตินมีส่วนช่วยยับยั้งการสึกหรอของกระดูกและกล้ามเนื้อก่อนเวลาอันควร

นอกจากนี้ www.ลำไย.com และมูลนิธิลองกานอยด์ยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมสนุกกับกิจกรรมคลิกโหวตเพื่อมอบรางวัล Popular Vote The Aged Award 2012 รางวัลศิลปินดีเด่นผู้อุทิศตนเพื่อสังคมและผู้สูงวัยผ่านทาง เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/L.sharesmile และ www.ลำไย.com ภายใต้คำนิยาม “วัยรุ่นไทย หัวใจใหม่ ดูแลผู้สูงวัย” ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนรุ่นใหม่ให้ใส่ใจกับผู้สูงวัย โดยพิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นในงานแชร์สมาย บาย ลองกานอยด์ ครั้งที่ 2 หรือโครงการนวัตกรรมไทย ปันรอยยิ้ม (เพื่อผู้สูงวัย) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2555 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 15.00 น. ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ (ชั้น 3) สโมสรทหารบกวิภาวดี กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจากท่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงาน

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การตรวจสุขภาพและนวดบำบัดโดยนักกายภาพ พยาบาล และหมอนวดเพื่อสุขภาพ ทำนายดวงชะตารับศักราชใหม่กับหมอดูชื่อดัง 12 ท่าน เสวนาสุขภาพกับคุณหมอ สอนเทคนิคการนวดบำบัดด้วยตนเองที่บ้านโดยผู้อำนวยการโรงเรียนสอนนวดแผนไทยเชียงใหม่ และมูลนิธิลองกานอยด์ร่วมกับสหพันธ์ชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค และชมรมชี่กง กรมอนามัยจัดกิจกรรมทำบุญส่งท้ายปีทำดีเพื่อสังคมไปพร้อมๆ กันด้วย

“นอกจากนี้ www.ลำไย.com และมูลนิธิลองกานอยด์จะนำรายได้จากการจำหน่ายครีมนวดสารสกัดเมล็ดลำไยและเงินบริจาคเสื้อโครงการแชร์สมาย ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2555 จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2556 ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อสมทบทุนมูลนิธิบ้านบางแคในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และในวันงานกล่องเปล่าครีมนวดสารสกัดเมล็ดลำไยลองกานอยด์ทุกกล่องจะมีมูลค่า 5 บาท เพื่อสมทบทุนให้แก่มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย ผู้สนใจเข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สำรองที่นั่งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 053-222-778 หรือคลิกไปที่ www.ลำไย.com รับจำนวนจำกัดเพียง 1,000 ที่นั่งเท่านั้น” เภสัชกรอัครวิชญ์กล่าวสรุป

View :1374
Categories: Press/Release Tags:

Consumer and Commercial Printer Market Improves Despite Slower Government Spending, Says IDC

December 7th, 2012 No comments

Bangkok, December 6, 2012 – The overall multi function-printer (MFP) and single-function printer (SFP) market experienced a healthy quarter-on-quarter (QoQ) growth of 15.8% in 3Q 2012 after the market rebounded from a slower 2Q 2012. The total printer market registered a total of 528,827 units shipped in 3Q 2012 as compared to 456,799 units in the previous quarter. Out of the overall total, inkjet SFP and MFP registered a total of 368,723 units followed by laser SFP and MFP with a total of 143,434 units and Serial Dot Matrix (SDM) with 16,670 units shipped in 3Q 2012. (Refer to figure 1 for percentage share).

The inkjet SFP and MFP market registered a robust QoQ growth of 5.3% and 21.6% respectively with an overall shipment of 98,335 units for inkjet SFP and 270,388 units for inkjet MFP in 3Q 2012. The overall sales are contributed by the commercial based inkjet models as vendors have been constantly targeting the SOHO and SME sector with newer mid range inkjets offering more functionality with lower print cost.

On the other hand, the laser SFP and MFP market experienced a decent QoQ growth of 26.8% and 5.5% in 3Q 2012 respectively with an overall shipment of 90,051 units for laser SFP and 53,383 units for laser MFP in 3Q 2012.

Donovan Low, Associate Market Analyst for ’s Imaging, Printing and Document Solutions research in Thailand says, “The printer market has shown some signs of improvement after a slow quarter in 2Q 2012 as traditionally, the market is more dynamic in terms of overall corporate and consumer spending in 3Q 2012. However, there is not as much government spending on printers as anticipated before as much of the government’s budget being allocated elsewhere. The result is that most vendors have been targeting other verticals such as banking and manufacturing”.

“Although there is an increase in sales for consumer printers, particularly in the lower end inkjet and laser models, there has been indication that much of the consumer spending has been shifted to tablets and mobile devices which in recent times has seen an increase. On top of that the global economic issues have taken its toll and have caused uncertainty amongst consumers as retail sales are reportedly being the hardest hit”, adds Donovan.

FIGURE 1: 3Q 2012 Thailand HCP Shipments

Source: IDC Asia/Pacific Quarterly HCP Tracker, 3Q 2012

Note: Line printer shipments represented less than 1.0% of the total HCP market in 3Q 2012.
As the slower period approaches again, the printer market is affected by the slowdown especially in the retail market as well as fewer corporate and government projects kicking off. However, the government announcement to lower corporate taxes from 30% to 23% will likely help to boost the commercial printer market in 2013. IDC expects several slow months ahead especially toward the end of the year with a forecast of 12.7% decline for the rest of 2012.

View :1229
Categories: Press/Release, Technology Tags:

ดีแทคเปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่ Watchever เปิดช่องทางความบันเทิงอย่างถูกต้องบนมือถือ

December 7th, 2012 No comments

6 ธันวาคม 2555 – ดีแทคแนะนำแอพพลิเคชั่น Watchever เอาใจลูกค้าดีแทคและแฮปปี้ให้ได้ชมภาพยนตร์และซีรี่ส์ลิขสิทธิ์ยอดนิยม พร้อมทั้งชมทีวีสด ๆ บนมือถือได้สะดวกทุกที่บน dtac เดินหน้าเพิ่มคอนเทนต์พิเศษ โดยจะมีทั้งภาพยนตร์ไทยจากค่ายดัง ภาพยนตร์ต่างประเทศจากฮอลลีวู้ด เกาหลี และทั่วโลก ที่คัดสรรมาให้เลือกชมเป็นจำนวนมาก เตรียมมอบความบันเทิงเต็มที่ในช่วงเปิดตัวอย่างเป็นทางการต้นปีหน้า

Watchever เปิดตัวใน App Store ให้ลูกค้าได้ดาวน์โหลดมาแล้วระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการทดลองตลาด โดยที่ผ่านมามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการกว่า 100,000 ราย และมียอดการใช้งานวิดีโอสตรีมมิ่งกว่า 350,000 ครั้งต่อเดือน คาดว่าในช่วงต้นปีหน้าเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะรองรับลูกค้าที่สนใจเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก โดยดีแทคได้เตรียมนำภาพยนตร์ชื่อดังจากเกาหลีมาให้ลูกค้าได้ชมเป็นครั้งแรกในเมืองไทยด้วย

ลูกค้าแฮปปี้และดีแทคสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Watchever ได้ทั้ง App Store และ Google Play

View :1461
Categories: Press/Release Tags:

ความเห็นต่อการที่ศาลปกครองไม่รับฟ้องคดีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G

December 4th, 2012 No comments

ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
3 ธันวาคม 2555

ตามที่ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นฟ้อง กสทช. ในการประมูล เนื่องจากผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ผมเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นข่าวดีในแง่ที่จะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้บริการ ในเวลาอีกไม่นาน อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวได้ทำให้เห็นถึงความยากลำบากของประชาชนในการตรวจสอบการดำเนินงานของ กสทช. ทั้งที่เชื่อได้ว่า มีความผิดปรกติหลายประการในการออกแบบการประมูล ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและประชาชน

ผมมีความเห็นและข้อเสนอแนะดังนี้

ประการที่หนึ่ง กสทช. ไม่ควรแอบอ้างว่า การไม่รับฟ้องดังกล่าวเป็นการรับรองความถูกต้อง และชอบด้วยกฎหมายของการออกแบบการประมูลของตน เนื่องจากศาลปกครองยังไม่ได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม กสทช. ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการออกแบบการประมูลในอนาคตให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง ไม่สร้างความเสียหายแก่รัฐและประชาชนซ้ำอีก

ประการที่สอง ปปช. ซึ่งเป็นกลไกที่เป็นอิสระในการตรวจสอบการประมูล 3G ที่เหลืออยู่ ควรเร่งพิจารณากรณีร้องเรียนเรื่องความผิดปรกติในการประมูลดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อป้องกันการออกแบบการประมูลที่สร้างความเสียหายแก่รัฐและประชาชนในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต

ประการที่สาม ศาลปกครองควรให้คำอธิบายว่า ในอนาคตประชาชนจะสามารถตรวจสอบการออกกฏและการกำกับดูแลของ กสทช. ได้อย่างไร เนื่องจากศาลตีความผู้เสียหายที่สามารถฟ้องคดีในความหมายแคบ และแนะนำให้ผู้ฟ้องคดีในช่วงแรกให้ไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ต่อมาก็มีคำวินิจฉัยว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจในการฟ้องคดี จนนำมาสู่การไม่รับคำฟ้อง

นอกจากนี้ ศาลปกครองควรเร่งพิจารณาคดีสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ที่ค้างอยู่โดยเร็ว เพื่อให้เกิดความชัดเจน และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมในการแข่งขันในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด

View :1428
Categories: Article, Press/Release Tags:

ธอมัสไอเดียระบุเทรนด์ดิจิตอลคอมเมิร์ซปีหน้ามาแรง แนะนักการตลาดไทยเตรียมกลยุทธ์ครบทุกดิจิตอลแพลตฟอร์มรับมือคู่แข่งข้ามชาติ

November 26th, 2012 No comments

อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล CEO บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด

ธอมัสไอเดีย อินเตอร์แอคทีฟเอเยนซี่ชั้นนำของไทย ชี้เทรนด์ดิจิตอลคอมเมิร์ซปีหน้ามาแรง แนะนักการตลาดไทยควรเร่งสร้างระบบสู่ผู้บริโภคทั่วโลกผ่านออนไลน์ และจัดกลยุทธ์ให้พร้อมเพื่อรับมือคู่แข่งข้ามชาติหลังมือถือไทยเข้าสู่ยุค 3 จีและเปิดเสรีอาเซียน เผยความสำคัญของดิจิตอลแพลตฟอร์มเกิดขึ้นเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคสู่ยุคดิจิตอล รวมถึงงบการตลาดออนไลน์ปีหน้าโดยประมาณเป็น 5-10% ของงบการตลาด คาดส่งผลกระทบมูลค่าสื่อโฆษณาออนไลน์เป็น 3 % ของมูลค่าสื่อโดยรวม

น.ส. อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล CEO บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด เผยว่าสาเหตุที่ปีหน้า 2013 จะเป็นปีที่การแข่งขันดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งจะข้ามขั้นสู่ยุคดิจิตอลคอมเมิร์ซที่สร้างรายได้ตอบโจทย์นักการตลาดมากขึ้นว่า “เป้าหมายสูงสุดของผู้ประกอบการและนักการตลาด คือ การสร้างรายได้และจำนวนลูกค้าที่ภักดีในแบรนด์ที่เพิ่มมากขึ้น ปรากฎการณ์ Digital Disruption เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลกระทบโดยตรงกับเจ้าของสินค้าและบริการ เราได้เห็นตัวอย่างของแบรนด์และสินค้าระดับโลกหลายรายที่ต้องปิดตัวเพราะก้าวไม่ทันกระแสดิจิตอล รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและภาครัฐที่ต้องมีการพัฒนาและปรับตัวให้ทันเช่นกัน”

เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) องค์กรในประเทศไทยต้องเริ่มใช้กลยุทธ์ดิจิตอลเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจไปยังประเทศใกล้เคียง โดยต้องเตรียมความพร้อมของพนักงาน คู่ค้าตลอดจนกระบวนการทางธุรกิจเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางดิจิตอล การเตรียมความพร้อมด้านดิจิตอลเริ่มต้นจากความเข้าใจและการกำหนดแผนกลยุทธ์ทางด้านดิจิตอลอย่างชัดเจน ซึ่งอาจประกอบด้วยสามขั้นตอน ได้แก่

1. Local Takeoff เป็นขั้นตอนสำคัญที่องค์กรต้องเริ่มดำเนินงานผ่านทางดิจิตอล โดยมองจากกลุ่มลูกค้าและผู้บริโภคเป็นหลัก โดยต้องเริ่มศึกษาและกำหนดกลยุทธ์ดิจิตอลที่เหมาะสมกับองค์กร การใช้ดิจิตอลแบรนด์ดิ้งเพื่อขยายภาพลักษณ์ขององค์กรและแบรนด์ไปยังกลุ่มผู้บริโภคออนไลน์ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการจัดเตรียมทีมงานอีบิสสิเนส เพื่อดำเนินงานด้านการค้าผ่านออนไลน์ รวมถึงการสื่อสารการตลาด และเปิดช่องทางการใช้ดิจิตอลคอมเมิร์ซ

2. Regional Reach เป็นการขยายผลของกลยุทธ์ดิจิตอลในประเทศออกสู่ประเทศเป้าหมายในภูมิภาค

3. Regional Integration เป็นการอินทริเกรทเอาผลการดำเนินงานในแต่ละประเทศเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ และการสื่อสารการตลาด

หากมองในแง่ของนักการตลาด จากเดิมที่เราสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ ได้สำเร็จในปีที่ผ่านมา อาจจะไม่เพียงพอแล้วในวันพรุ่งนี้ หลายๆ องค์กรเริ่มตระหนักและลงทุนกับการสร้างธุรกิจในรูปแบบของดิจิตอลคอมเมิร์ซและพร้อมใช้งานทันทีเมื่อระบบเชื่อมโยงการทำงานภายในองค์กรพร้อม เพราะนวัตกรรมออนไลน์นี้จะกลายเป็นสำนักงานขายที่สำคัญในการซื้อขายไม่น้อยไปกว่าช่องทางออฟไลน์เลย และมีคู่แข่งที่พร้อมจะเข้ามาชิงตลาดและลูกค้าของเราไปได้โดยง่ายด้วย

นักบริหารและผู้ประกอบการทั้งหลายควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตลาดที่ต้องพึ่งดิจิตอลคอมเมิร์ซเป็นสำคัญ ทั้งนี้ อุไรพร ในฐานะที่คลุกคลีวงการออนไลน์มาร์เก็ตติ้งมามากกว่า 10 ปี ได้รวบรวมข้อมูลและสรุปเทรนด์การตลาดออนไลน์ในยุคดิจิตอลคอมเมิร์ซที่เด่นๆ และมาแรงมาให้ทราบ เพื่อให้นักการตลาดได้รับมือกับความเข้มข้นในปีหน้า ดังนี้

1) เชื่อมประสบการณ์ผู้ซื้อผ่านมือถือด้วยแอพ

IN-STORE MOBILE APP FOR SHOPPER EXPERIENCE INTEGRATION

แอพมือถือสำหรับต่อยอดประสบการณ์ผู้ซื้อในร้านค้า

มือถือทำให้กระบวนการซื้อขายปิดได้ทันทีเพียงปลายนิ้ว “คลิก” เทรนด์ที่จะมาให้เห็นกันมากขึ้น คือการเชื่อมโยงเอาประสบการณ์ในขณะที่ผู้บริโภคเดินเลือกซื้อสินค้า กับการเข้าหาข้อมูลทางมือถือเพื่อจับจ่ายใช้สอยพร้อมๆ กัน กลยุทธ์การใช้แอพพลิเคชั่น “In-Store App” จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักการตลาดต้องก้าวให้ทัน โดยเฉพาะร้านค้าปลีกที่พยายามต่อสู้ไม่ให้ร้านค้าตนเองเป็นแค่โชว์รูมสินค้า และต้องการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างกว่าร้านค้าออนไลน์ เพื่อดึงดูดลูกค้า

2) ร้านค้าออนไลน์ตัวเร่งหลักในการขยายธุรกิจ

E-STORE SPEEDS BUSINESS GROWTH

การลงทุนสร้างช้อปออนไลน์ ให้ความรวดเร็วและเปิดโอกาสทางการขายสร้างรายได้ก้อนใหม่

ด้วยพฤติกรรมผู้ซื้อที่เปลี่ยนไปและระบบโลจิสติคส์ที่มีศักยภาพมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการเปิดร้านค้าแบบรวดเร็วบนพื้นที่ออนไลน์ที่ไร้พรมแดน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคใน Untapped Markets เราจะได้เห็นแบรนด์ชั้นนำ ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีก ประกาศขยายการค้าขายในประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็วด้วย E-Store มากกว่าการเปิดร้านค้าจริง ร้านค้าออนไลน์จะเป็นร้านค้าสาขาที่ใหญ่ที่สุดของหลายๆ แบรนด์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการสร้างแพลตฟอร์มดิจิตัลคอมเมิร์ซที่มีประสิทธิภาพและสามารถขยายตัวได้ รวมทั้งการบริหารจัดการสินค้าและวางกลยุทธ์ในการขาย

3) โปรโมชั่นเฉพาะตัวผ่านมือถือ

PERSONALIZED PROMOTION IN CONSUMER’S POCKET

กระตุ้นการขายด้วยเทคโนโลยีออนไลน์ ยื่นข้อเสนอที่โดนใจลูกค้าแบบตัวต่อตัว

การทำงานของออนไลน์แพลตฟอร์มทั้งหมดเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายที่ทรงพลังทางการตลาดได้อย่างคาดไม่ถึง เพราะเทคโนโลยีอินเตอร์แอคทีฟในแต่ละแพลตฟอร์มและ e-CRM มีฐานข้อมูลส่วนตัวของกลุ่มเป้าหมาย เป็นตัวช่วยให้นักการตลาดวิเคราะห์ได้ลึกถึงความต้องการในใจของผู้บริโภคแต่ละคนได้ในทันที การสร้างกลไกอัตโนมัติที่ทำให้ระบบค้นหาสินค้าและนำเสนอโปรโมชั่นที่เร้าใจกว่า ผ่านรูปแบบของ Passbook ของแอปเปิ้ล, อีคูปองต่างๆ การสะสมคะแนนออนไลน์ รวมถึงความง่ายของระบบจ่ายเงินผ่าน Mobile Payment นอกจากจะทำให้การตัดสินใจซื้อเกิดเร็วแล้ว ยังช่วยให้นักการตลาดวางแผนจัดการทั้งระบบปฏิบัติการออนไลน์และออฟไลน์คู่ขนานกันได้สะดวกยิ่งขึ้น

4) ต่อยอดโซเชียลมีเดียไปโซเชียลคอมเมิร์ซ

FROM SOCIAL MARKETING TO SOCIAL COMMERCE

โซเชียลคอมเมิร์ซเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย

ที่ผ่านมาเราได้ใช้ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเพื่อสร้าง Brand Awareness ให้เกิดและค้นหาจนเจอแฟนพันธุ์แท้ตามช่องทางออนไลน์ต่างๆ ขั้นตอนต่อไปคือกลยุทธ์สำคัญสู่การเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซที่ช่วยให้เรา “ขาย” ได้จริงๆ ความพิเศษของโซเชียลคอมเมิร์ซ คือ การเน้น People-Centric มากกว่า Product-Centric เทรนด์ของโซเชียลไซต์ที่ใช้ Curator มาเป็นผู้คัดสรรสินค้าให้แฟนพันธุ์แท้แบบ Recommended Marketing เป็นกระแสใหม่ในโลกออนไลน์ ที่ทำให้เกิดโซเชียลคอมเมิร์ซได้อย่างแท้จริง

5) สมาร์ทโฟนจุดเปลี่ยนสื่อโฆษณา

MOBILE ADVERTISING – THE SMARTPHONE POWER

เมื่อโฆษณายุคดิจิตอล พุ่งตรงเข้าสู่มือกลุ่มเป้าหมายผ่านสมาร์ทโฟนและแทบเล็ต

สมาร์ทโฟนเปิดช่องทางการตลาดใหม่ให้กับธุรกิจ ด้วยจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟน (มากกว่า 10 ล้านคนในไทย) และการเปิดใช้ระบบ จะทำให้การใช้ Device ใหม่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น จนนักการตลาดให้ความสนใจและมองหาโอกาสในการสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มนี้ ถึงแม้วันนี้รูปแบบของการโฆษณาผ่านมือถือยังเป็นขั้นเริ่มต้น สื่อก็ได้เริ่มวางแนวทางในการให้บริการและการขายอย่างจริงจัง สมาร์ทโฟนช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกมากให้กับค่ายมือถือและสื่อโฆษณารูปแบบใหม่อย่างน่าจับตามอง Mobile Advertising จึงกลายเป็นคำตอบสำหรับโจทย์หลักของนักโฆษณาทั้งหลาย ทำให้สมาร์ทโฟนและแทบเล็ตมีบทบาทมากขึ้น และบรรดานักโฆษณาทั้งหลายต้องปรับตัวให้พร้อมสร้างเทคโนโลยีโฆษณาดิจิตอลใหม่ๆ ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้แพลตฟอร์ม การออกแบบเนื้อหาในพื้นที่หน้าจอที่มีขนาดแตกต่างกัน

6) กลยุทธ์ดิจิตอลเชื่อมต่อทุกช่องทางออนไลน์เพื่อชนะใจลูกค้า

DIGITAL STRATEGY: INTEGRATION TO WIN THEM ALL

ไม่ใช่แค่วางกลยุทธ์ของแต่ละดิจิตอลแพลตฟอร์มแต่ต้องวางกลยุทธ์ดิจิตอล Digital Strategy เป็นภาพใหญ่

ถึงวันนี้องค์กรต่างได้ทดลองดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งในหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดด้วย E-mail, Search, Blogger, หรือโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ยังคงมีข้อข้องใจว่าไม่สามารถ Integrate การสื่อสารผ่านช่องทางเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดความต่อเนื่องในการสื่อสารระหว่างแบรนด์ต่อผู้ติดตาม หรือระหว่างสมาชิกในสังคมออนไลน์ที่แบรนด์ได้สร้างขึ้น เป็นความท้าทายของนักการตลาดที่ต้องวางกลยุทธ์ดิจิตอลเป็น Umbrella Strategy ให้ได้ เพื่อให้การต่อเชื่อมกลยุทธ์ในดิจิตอลแพลตฟอร์มอื่นๆ สอดประสานกันอย่างลงตัวในการ Execution

“ข้อแนะนำสำหรับนักการตลาด อำนาจและอิสระของผู้บริโภคในการเลือกผ่านช่องทางดิจิตอลมีมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลแลกปลี่ยนข่าวสารและช้อปปิ้งข้ามโลกเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้แบรนด์ของตัวเองมีสินค้าและบริการที่ต้องการด้วย ถ้าแบรนด์หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ตอบสนองไม่ทันก็อาจสูญเสียลูกค้าได้โดยง่าย ดังนั้น จำเป็นมากที่องค์กรต้องมีวิสัยทัศน์และนโยบายในการให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ดิจิตอลมากขึ้น พัฒนาศักยภาพของทีมวางแผนและทีมปฏิบัติการ โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีและการพัฒนาระบบเพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับส่วนงานขาย ขนส่ง บริการ ฯลฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้เป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ โดยมีดิจิตอลคอมเมิร์ซช่วยขับเคลื่อนยอดขายจากผู้ซื้อที่มีอยู่ทั่วโลก” อุไรพรเสริมท้าย

สำหรับธอมัสไอเดีย ในปีหน้าจะเน้นการให้บริการด้านกลยุทธ์ดิจิตอลที่ครบวงจร ครอบคลุมทุกดิจิตอลแพลตฟอร์ม อาทิ วางกลยุทธ์ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งพร้อมดำเนินการพัฒนาและบริหารแคมเปญออนไลน์ การวางกลยุทธ์ดิจิตอลมีเดีย การบริหารและวิเคราะห์โซเชียลมีเดียพร้อมต่อยอดเต็มรูปแบบ รวมถึงวางกลยุทธ์ดิจิตอลคอมเมิร์ซพร้อมการสร้างสรรค์ระบบอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ และระบบ e-CRM ดูแลฐานข้อมูลลูกค้า ต่อเชื่อมกับเว็บไซต์ โมบายและ แอพพลิเคชั่น

View :1849

เดลล์ขับเคลื่อนสถาปัตยกรรม Fluid Data ครั้งใหม่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงบนสตอเรจ เพื่อประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และการปกป้องที่ดีกว่า

November 26th, 2012 No comments

· ระบบปฏิบัติการ Dell Compellent Storage Center 6.3 เวอร์ชั่นใหม่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรันเวิร์กโหลดสำหรับองค์กรได้สูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ และเป็นสตอเรจรุ่นแรกที่เพิ่มแบด์วิธ อีกเท่าตัว ด้วยไฟเบอร์แชนนัล 16 กิกะบิต แบบเอ็นด์ทูเอ็นด์ ตั้งแต่ เซิร์ฟเวอร์ สวิทช์ ไปจนถึงสตอเรจ
· ซอฟต์แวร์อะเรย์ Dell PowerVault MD3 รุ่นใหม่ มีความสามารถในการปกป้องข้อมูลที่ดีขึ้น ใช้พื้นที่บนสตอเรจได้อย่างคุ้มค่า และรองรับการทำเวอร์ชวลไลเซชั่น ในราคาที่เหมาะสม พร้อมโซลูชั่นประสิทธิภาพสูง
· สายผลิตภัณฑ์การปกป้องข้อมูลที่มาพร้อมกับโซลูชั่นใหม่ คือ Dell PowerVault DL4000 มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ AppAssure ที่มีคุณสมบัติต่างๆ มากมาย มาในเครื่อง “1U backup appliance”

กรุงเทพฯ 26 พฤศจิกายน 2555: เดลล์ประกาศอัพเดตสายผลิตภัณฑ์สตอเรจแบบเอ็นด์ทูเอ็นด์ ซึ่งได้รับการออกแบบสำหรับสถาปัตยกรรม Fluid Data ขั้นสูง เพื่อช่วยลูกค้าจัดการกับข้อมูลได้อย่างเหมาะสมในทุกจุดของวงจรการเก็บข้อมูล

นายเอกราช ปัญจวีณิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โดยปกติแล้วระบบไอทีและดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กรควรที่จะสามารถรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะลูกค้าต้องประสบกับปัญหาการใช้งานเทคโนโลยีในโมเดลต่างๆ นับตั้งแต่เครื่องไคลเอ็นด์ ไปจนถึงระบบคลาวด์ และระบบคอนเวอร์จ” พร้อมกล่าวเสริมว่า “เดลล์เป็นผู้ค้าที่ดีที่สุดด้วยสถาปัตยกรรมสตอเรจแบบเอ็นด์ทูเอ็นด์ ซึ่งสามารถจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างดีที่สุดในทุกจุดของวงจรการเก็บข้อมูล จากสถาปัตยกรรม Fluid Data ของเดลล์ที่สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด ซึ่งทำให้มีความสามารถใหม่ๆ ที่ใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น และส่งผลให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง”

Dell Compellent และ PowerVault Md3 รุ่นใหม่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบบอัตโนมัติ
ระบบปฏิบัติการ Dell Compellent Storage Center 6.3 array ที่ประกาศเปิดตัวในวันนี้ ช่วยยกระดับในการขยายระบบและประสิทธิภาพให้กับสตอเรจอะเรย์ Dell Compellent ทั้งนี้ คอนโทรลเลอร์ Compellent SC8000 ที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ Storage Center 6.3 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดถึง 100 เท่า เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นเก่าในการทดสอบเวิร์กโหลดงานองค์กร นอกจากนี้แล้ว จากการเปิดตัวครั้งนี้ ส่งผลให้เดลล์เป็นผู้ผลิตสตอเรจรายแรกในตลาดที่ประกาศคุณสมบัติใหม่ของสตอเรจไฟเบอร์แชนนัล 16 กิกะบิต แบบเอ็นด์ทูเอ็นด์ ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ สวิทช์ และสตอเรจ ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิธและความเร็วในการเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่นสำคัญทางธุรกิจและข้อมูลถึงสองเท่าตัว

จากการออกแบบเพื่อองค์กรธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ รวมถึงการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง สตอเรจอะเรย์ Dell Compellent มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ดีที่สุดในตลาดในการจัดลำดับความสำคัญของการเก็บข้อมูลได้อย่างอัตโนมัติ การปกป้องข้อมูลขั้นสูง และการใช้งานง่าย คุณสมบัติเหล่านี้ บวกกับความสามารถในการรองรับการขยายระบบได้สูง โมดูล่าดีไซน์ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถอัพเดตซอฟต์แวร์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และขยายได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้อง “ยกระบบโครงสร้างพื้นฐานเก่าออกและแทนที่ด้วยระบบใหม่” ทั้งนี้ จากเอกสารทางเทคนิคฉบับใหม่ของไอดีซี สนับสนุนโดยเดลล์ การติดตั้งใช้งานสตอเรจ Compellent จะได้สิ่งที่ดีกว่า 2 เท่า ทั้งในเรื่องอายุการใช้งาน โดยองค์กรที่ไม่ได้ใช้โซลูชั่นสตอเรจจากเดลล์ ได้ลงระบบ Compellent ทุกๆ 6.9 ปี เทียบกับสตอเรจอื่นที่ต้องลงระบบใหม่ทุกๆ 3.5 ปี2

คุณสมบัติใหม่ที่มากับซอฟต์แวร์ Storage Center 6.3 ประกอบด้วย
· ยกระดับการซิงโครไนซ์ในการทำสำเนาข้อมูล ที่ช่วยปรับปรุงเรื่องเสถียรภาพในการกู้คืนข้อมูล และความยืดหยุ่นในการทำไซต์สำรองข้อมูลหลายแห่ง ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อลดเวลาในการทำกู้คืนข้อมูลและจุดที่ต้องการกู้คืนข้อมูล
· สนับสนุนการเชื่อมต่อการทำงานกับ Windows Server 2012 รุ่นใหม่
· ยกระดับระบบรักษาความปลอดภัยและเวลาในการบริหารจัดการ ด้วยการสนับสนุนการทำงาน Active Directory และ LDAP ซึ่งเชื่อมต่อสตอเรจ Compellent กับไดเรกทอรี่ขององค์กรได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้การพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งาน และขบวนการในการอนุญาตเข้าใช้งานข้อมูลจากเพียงยูสเซอร์เดียว
· ปรับปรุงระบบความปลอดภัยของภาครัฐ ด้วยการสนับสนุนมาตรฐาน USGv6/IPv6 ที่ทำให้การใช้งานเลขที่ไอพีขยายออกไป
· ความสามารถในการแจ้งเตือนอัจฉริยะและการแทนที่ข้อมูลขนาดใหญ่ ในอะเรย์หลายๆ ตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการใช้งาน และความสามารถในการมอนิเตอร์
ซอฟต์แวร์ตัวใหม่ที่เรียกว่า Dell PowerVault MD3 software enhancements ช่วยขยายขีดความสามารถในการปกป้องข้อมูล ประสิทธิผล การใช้พื้นที่บนสตอเรจและความสามารถในการรองรับเวอร์ชวลไลเซชั่น โดยถูกออกแบบให้ระบบมีเสถียรภาพสูงสุดถึง 99.999 เปอร์เซ็นต์ คุ้มค่าคุ้มราคาด้วยสตอเรจอะเรย์ที่มีประสิทธิภาพสูง
การยกระดับการปกป้องข้อมูลด้วย “Dynamic Disk Pool” ทำให้การจัดการดิสก์ง่ายขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลใหม่ โดยการกระจายข้อมูลไปยังทุกไดร์ฟ ลดเวลาได้มากในการกู้คืนข้อมูลของไดร์ฟที่เสียไป นอกจากนี้แล้ว ความสามารถในการทำสำเนาข้อมูลผ่านเทคโนโลยีไฟเบอร์แชนนัลที่มีอยู่ ร่วมกับไอพีเบสแบบใหม่ ยังช่วยให้การทำสำเนา แบบอะซิงโครไนซ์ ได้ระยะทางไกลขึ้น และปรับปรุงความเร็วในการใช้งานแอพพลิเคชั่น เพื่อรองรับการล่มของไซต์งาน
แอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ที่มากับสตอเรจ PowerVault MD3 รุ่นใหม่ และความสามารถของ “VMware vStorage APIs for Array Integration (VAAI)” ช่วยลดโหลดระหว่างสตอเรจกับเซิร์ฟเวอร์ ทำให้งานบนสตอเรจเบาลง ส่วนความสามารถใหม่ในการทำธินโพรวิชั่นนิ่ง ทำให้สตอเรจอะเรย์ สามารถจัดสรรพื้นที่เก็บข้อมูลได้แบบอัตโนมัตโดยไม่ต้องกันพื้นที่ล่วงหน้า ทำให้การขยายพื้นที่บนสตอเรจเป็นเรื่องง่าย และมีประสิทธิผลเรื่องค่าใช้จ่าย
เดลล์เร่งเครื่องสายผลิตภัณฑ์ในการปกป้องข้อมูล เพื่อทำให้การทำสำรองและกู้คืนข้อมูลง่ายขึ้น
การเติบโตของเดลล์ด้านสายผลิตภัณฑ์ปกป้องข้อมูล ทำให้ลูกค้าทุกขนาดมีโซลูชั่นและแอพพลิเคชั่นที่เหมาะสมในการปกป้องข้อมูล และความสามารถในการกู้คืนข้อมูลได้ทันท่วงทีบนเวอร์ชวล ฟิสิคัล และสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ เดลล์นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรในการทำสำรองข้อมูล การทำสำเนาข้อมูล และการกู้คืนข้อมูล ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปรับปรุงความคล่องตัวให้ระบบไอที และช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้ว สายผลิตภัณฑ์การปกป้องข้อมูล ประกอบด้วย:

· Dell PowerVault DL4000 ได้รับการออกแบบสำหรับองค์กรธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง และสำนักงานที่มีออฟฟิศในที่ต่างๆ สตอเรจรุ่นนี้มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ Dell AppAssure ในการทำสำรองข้อมูล ที่ทำให้การทำสำรองทำได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ และโซลูชั่นในการกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติ เพื่อการทำแอพพลิเคชั่นที่สำคัญทางธุรกิจ และปกป้องข้อมูล ที่มาพร้อมกับการเชื่อมต่อการทำงานของซอฟต์แวร์และระบบการจัดการได้อย่างราบรื่น เครื่องนี้มาพร้อมกับความจุสตอเรจภายในขนาด 5.5 เทอราไบต์ โดยเครื่อง 1U มีคุณสมบัติในการทำ snapshot การทำสำเนาข้อมูล (replication) การขจัดข้อมูลซ้ำซ้อน(de-duplication) และการบีบอัดซอฟต์แวร์(compression) เพื่อทำให้การบริหารความจุในการสำรองข้อมูลมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานจะได้รับประโยชน์จากการทำโฮสติ้งเสมือน 2 ระบบ ซึ่งช่วยปกป้องแอพพลิเคชั่นสำคัญได้ถึง 2 เซิร์ฟเวอร์ พร้อมกับระบบการกู้คืนข้อมูลที่รวดเร็ว
· Quest NetVault Backup 9.0 ซอฟต์แวร์ปกป้องข้อมูลใหม่ Quest ได้ถูกรวมไว้ใน NetVault Extended Architecture (NetVault XA) มาพร้อมกับส่วนติดต่อผู้ใช้งานใหม่(graphical user interface) และชุดบริการ เพื่อการเชื่อมต่อเทคโนโลยีหลายๆ เทคโนโลยี ในการปกป้องข้อมูลของ Quest ซอฟต์แวร์นี้ช่วยให้องค์กรธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ จัดการการปกป้องข้อมูลได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ป้องกันแอพพลิเคชั่นสำคัญภายใต้สภาพแวดล้อมของระบบฮาร์ดแวร์และระบบเวอร์ชวลที่แตกต่างกัน ความสามารถในการทำงานข้ามแพลตฟอร์มของ NetVault ได้ขยายการรองรับ Windows Server 2012 และ Novell Open Enterprise Server 11 รวมถึงซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ยังช่วยยกระดับคุณสมบัติใหม่ ประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายระบบให้กับ Windows Server 2012 Hyper-V และ VMware vSphere® นอกจากนี้แล้ว การทำสำเนาข้อมูลไปยังโซลูชั่นขจัดข้อมูลซ้ำซ้อน ใน NetVault SmartDisk ช่วยให้การเคลื่อนย้ายข้อมูลในดาต้าสตอเรจและการกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
· Dell PowerVault DL2300 สตอเรจรุ่นใหม่ที่ช่วยปกป้องข้อมูลระดับเอ็นเทอร์ไพร์ซนี้ เชื่อมการทำงานเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge ตระกูลที่ 12 กับ CommVault Simpana ซอฟต์แวร์ในการปกป้องข้อมูลรุ่นใหม่ เพื่อใช้งานกับองค์กรขนาดใหญ่ในการทำสำรองข้อมูล การกู้คืนข้อมูล การจัดเก็บ และการขจัดข้อมูลซ้ำซ้อน ทั้งสำหรับระบบเซิร์ฟเวอร์ทางฟิสิคัลและทางระบบเสมือน เพื่อให้การติดตั้งง่ายเพียงคลิกเดียว โซลูชั่นในการทำทดสอบก่อนใช้งานจริง เครื่องรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับโพรเซสเซอร์และหน่วยความจำรุ่นล่าสุด ในการติดตั้งดาต้าเบสเพื่อการขจัดข้อมูลซ้ำซ้อน เพื่อประสิทธิภาพในการทำสำรองข้อมูลที่ดีขึ้น ผู้ใช้งานสามารถประหยัดเวลาในการบริหารงานจากคุณสมบัติใหม่ที่มาพร้อมกัน นโยบายในการทำระบบอัตโนมัติเพื่อการจัดการการทำสำรองข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูล

สาสน์จากผู้บริหาร
นายเอกราช ปัญจวีณิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สตอเรจ Dell Compellent มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานไอที และเรายังคงสานต่อในการมองไปข้างหน้าเพื่อปรับปรุงสิ่งใหม่ และคุณสมบัติที่สามารถตอบสนองต่อการใช้งานสตอเรจสำหรับองค์กรขนาดใหญ่” พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “การที่มีระบบที่ให้ประสิทธิภาพมากขึ้น 2 เท่าเมื่อเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่น หมายความว่า การเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศที่สำคัญเร็วขึ้นด้วยเมื่อผู้ใช้งานต้องการ เรามีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมในการผนวกเข้ากับ การตรวจสอบ Active Directory เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการเข้าถึงข้อมูล”

ไมเคิล แร็พพ์ เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ หน่วยงานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา วิทยาลัยเพื่อการศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยฮูสตัน กล่าวว่า “พวกเราเชื่อมั่นในระบบกู้คืนข้อมูล AppAssure และใช้งานมาแล้วหลายปีบนแพลตฟอร์มสตอเรจที่หลากหลาย” พร้อมเสริมว่า “การผนวกรวมซอฟต์แวร์ปกป้องข้อมูลเข้ากับแพลตฟอร์มที่สร้างมาโดยเฉพาะ ทำให้ลูกค้าติดตั้ง AppAssure ได้ง่ายขึ้นและมีประโยชน์สูงสุด ด้วยขั้นตอนติดตั้งที่น้อยที่สุดเพื่อใช้งาน”

ความพร้อมในการวางจำหน่าย
· Dell Compellent Storage Center 6.3 รุ่นเบต้าจะพร้อมลงตลาดในช่วงต้นปี 2556 และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 2 ปีเดียวกัน
· ซอฟต์แวร์ปรับปรุง Dell PowerVault MD3 และ Dell PowerVault DL2300 พร้อมวางจำหน่ายแล้ว
· Dell Quest NetVault Backup 9.0 จะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
· Dell PowerVault DL4000 จะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสแรกปี 2556

View :1473
Categories: Press/Release Tags:

กระทรวงอุตฯ สร้างเครือข่ายอี-โลจิสติกส์ ลดต้นทุนเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทย

November 21st, 2012 No comments

สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม สรุป โครงการ Backhauling ใช้ระบบไอทีสร้างเครือข่ายภาคเหนือ-อีสาน ลดจำนวนรถเที่ยวเปล่า ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้ ตั้งเป้าปี 56 ขยายเครือข่ายภาคตะวันออก-ใต้ หนุนอุตสาหกรรมไทยรับเปิดเออีซี

นายเสน่ห์ นิยมไทย อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือ กพร. กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมการใช้และเชื่อมโยงระบบ Backhauling ของภาครัฐและเอกชนเพื่อลดสัดส่วนการวิ่งรถเที่ยวเปล่า เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยการลดจำนวนการวิ่งรถเที่ยวเปล่า โดยนำระบบไอทีมาใช้บริหารจัดการ ผ่านการสร้างเครือข่าย เพื่อรับมือการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี

ทั้งนี้ ผลสรุปการดำเนินโครงการในปีแรก มีผู้ประกอบการลงนามเอ็มโอยูเข้าร่วม 35 ราย จากภาคเหนือและภาคอีสาน นำระบบ Backhaul และระบบทีเอ็มเอส (Transport Management System) มาใช้งาน ซึ่งระบบได้ทำงานอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยพบว่าเพียงเดือนแรก มีผู้ประกอบการขนส่งกว่า 70 รายเข้าร่วม เบื้องต้นมีการลงประกาศรถเที่ยวเปล่า 18 คัน และมีสินค้ามาประกาศหารถขนส่ง 10 คัน และเกิดการจับคู่ได้สำเร็จ 8 คู่ คิดเป็นระยะทางลดจำนวนรถวิ่งเที่ยวเปล่า 5,292 กิโลเมตร และเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการขนส่ง 114,000 บาท

“ผลสรุปดังกล่าว เกิดจากการใช้ระบบเพียงเดือนเดียว และมีผู้ร่วมจำนวนจำกัดเท่านั้น แต่สามารถเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการได้ 114,000 บาท ถ้าดำเนินโครงการเป็นเวลา 1 ปีมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมากขึ้น จะเพิ่มรายได้เป็นหลักล้านบาทแน่นอน” นายเสน่ห์ กล่าว

ปัจจุบัน ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทยคิดเป็นประมาณ 15.2% ของ GDP โดยในต้นทุนดังกล่าว การขนส่งสินค้าทางถนน คิดเป็น 88.6% ของการขนส่งทั้งหมด ซึ่งการลดจำนวนรถเที่ยวเปล่า จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนลงได้ ทั้งเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ การจัดการสินค้าคงคลัง การขยายโกดัง สินค้าไปถึงที่หมายเร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการดำเนินการ

นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักโลจิสติกส์ กล่าวว่า ต้นทุนที่สูงจากการขนส่ง ทำให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขัน ดังนั้นการสร้างกลไกเพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ จึงเป็นเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการขนส่งของไทย ต้องมีมาตรฐานบริการ และการใช้เทคโนโลยีระดับสูง ต้องมีการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ

ในปีงบประมาณ 56 สำนักโลจิสติกส์ได้เตรียมเดินหน้าโครงการ backhauling ต่อเป็นปีที่ 2 โดยเตรียมงบประมาณเบื้องต้น 4 ล้านบาท สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งเชื่อมโยงข้อมูลรถขนส่งเที่ยวเปล่า ผ่านระบบ Backhauling เปิดเส้นทางภูมิภาคใหม่ เช่น ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ สร้างเครือข่ายโลจิสติกส์อย่างน้อย 2 กลุ่ม กลุ่มละไม่น้อยกว่า 15 ราย โดยในเครือข่าย ต้องมีการใช้ระบบบริหารจัดการขนส่ง และระบบบริหารจัดการรถขนส่งเที่ยวเปล่า ซึ่งเป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และจัดฝึกอบรมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ที่เข้าร่วม นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายใน 3 ปีนี้ จะต้องเพิ่มผู้ใช้ระบบให้ได้ 300 ราย

“หลักการของระบบเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ผู้ประกอบการขนส่งลงประกาศรถเที่ยวเปล่าทางเว็บไซต์ ผู้ค้าลงประกาศสินค้าที่ต้องการขนส่ง ระบบจะทำการจับคู่ที่เหมาะสมและคัดเลือกมาให้ จากนั้นสามารถติดต่อระหว่างกัน หากตัดสินใจใช้บริการ รถเที่ยวเปล่าก็ลดลง สินค้าก็จัดส่งได้” นางอนงค์ กล่าว

สำหรับการทำงานของระบบมีการทำงานผ่านระบบเว็บเบส โดยผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนและเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ www.thaibackhaul.org ทำให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แค่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตก็สามารถใช้งานได้แล้ว โดยรายละเอียดของระบบ backhaul ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลและแสดงผลให้ผู้ประกอบการ ซึ่งระบบได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อย พร้อมเปิดรับสมัครผู้ประกอบการใหม่เข้าร่วมใช้บริการ

ระบบ backhaul เป็นการใช้งานเว็บเซอร์วิส ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้จากทุกแห่ง แต่ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องมีการติดตั้งระบบบริหารจัดการขนส่ง หรือ ทีเอ็มเอส (Transport Management System) ช่วยในการจัดการระบบงาน และเก็บข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่การรับสินค้าจากลูกค้า รายละเอียดผู้ส่ง-ผู้รับ การคุมรถและพนักงานประจำรถช่วยสร้างการทำงานที่เป็นระบบ และความน่าเชื่อถือให้กับผู้ประกอบการ

โครงการในปี 55 ที่ผ่านมา ได้คัดเลือกผู้ประกอบการขนส่งใน 2 เส้นทางหลัก คือ เส้นทางภาคอีสานและภาคเหนือ เนื่องจากทั้ง 2 เส้นทางนี้มีการจัดตั้งสมาคมของผู้ประกอบการขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการและดูแลกันเองในระดับที่ดี มีเครือข่ายที่เชื่อมข้อมูลถึงกันในระดับหนึ่งแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำระบบไอทีเข้าไปเสริมประสิทธิภาพ

สำหรับในภาคอีสาน ประกอบด้วยผู้ประกอบการ 12 ราย คือ หจก.พนาวันขนส่ง, บริษัท อินโดจีนอินเตอร์กรุ๊ป จำกัด, หจก.หิรัญทรานสปอร์ต, บริษัท มีโชคขนส่ง จำกัด, บจก.โคราชส่องแสง เอ็นเตอร์ไพรส์, หจก. ลิ้มไทเฮงขนส่ง, บริษัทร้านพระราม ลอจิสติกส์, บริษัทสิงห์ทองทรัคทรานสปอร์ต, หจก. บุญรักษาขนส่ง, หจก.ยรรยงขนส่ง, บริษัท แชมป์เปี้ยนขนส่ง จำกัด และ บจก.สหมิตรเดินรถจันทบุรี

ส่วนผู้ประกอบการในภาคเหนือและกรุงเทพ มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 23 ราย คือ บจก.แอปป้า ฟอร์เวิดเดอร์, หจก.พี.เอ.เอส. โลจิสติกส์, หจก.ส.สังวาล ทรานสปอร์ต, บจก.เจเอสเอสอาร์ อ๊อกชั่น, หจก.พิพัฒน์ เจริญยนต์, บจก.ศรีทรัพย์ ขนส่ง, บจก.ก. เกียรติชัยพัฒนาขนส่ง, หจก.กู้เกียรติขนส่ง, บจก.นายไล้ ทรานสปอร์ต (1995), บจก.ออนเนอร์ โลจิสติกส์, บจก ตะวันออกโปลีเมอร์ อุตสาหกรรม, หจก อุดรรุ่งเจริญ, บริษัท เคอรี่ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด, หจก.โชคไพบูลย์, บริษัท 96 ชิปปิ้ง ขนส่ง จำกัด, บจก.ตลาดเครื่องจักรเก่า, หจก.สหกิจ นอร์เทิร์น, บจก.ทีปต์ศิริกรุ๊ป, บจก.88 ทรานสปอร์ต, บจก.รวมสี่ธนาชัยทรานสปอร์ต, หจก.เค.ที.พี่ เซอร์วิส, บจก.เพอร์เฟคเทรลเลอร์ และบจก.บี.ที.เซอร์วิส

View :1189
Categories: Press/Release Tags:

ม.หอการค้าไทยวางใจใช้คลาวด์โซลูชั่นของไอบีเอ็ม รองรับสังคมยุคดิจิตอล พัฒนาระบบการศึกษามิติใหม่ “ยูทีซีซี ไฮบริดเลิร์นนิ่ง ซิสเท็ม”

November 21st, 2012 No comments

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วางใจใช้โซลูชั่นไอบีเอ็มสมาร์ทบิสสิเน็สเดสก์ทอปคลาวด์ และเซิร์ฟเวอร์ไอบีเอ็มพัฒนาระบบการศึกษามิติใหม่ “ยูทีซีซี ไฮบริดเลิร์นนิ่ง ซิสเท็ม” เสริมความคล่องตัวให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงและใช้สื่อการเรียนการสอนได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยคอมพิวเตอร์ในทุกแพลตฟอร์ม สนองแนวคิด “Anytime, Anywhere & Any devices” เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนในระบบอีเลิร์นนิ่ง (e-Learning) อย่างเต็มรูปแบบ

รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า “มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาการศึกษาเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมใหม่ในโลกยุคดิจิตอล ดังนั้น ทางมหาวิทยาลัยฯ จึงต้องเร่งเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี โดยล่าสุดได้ลงทุนพัฒนาระบบการเรียนรู้ยุคใหม่ ยูทีซีซี ไฮบริดเลิร์นนิ่ง ซิสเท็ม เพื่อสร้างสังคมการเรียนรู้ในยุคดิจิตอลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นผู้นำในระบบการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิ่งเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้อาจารย์และนักศึกษาสามารถสื่อสาร รวมถึงเข้าถึงเนื้อหาและสื่อการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องได้ทุกที่ ทุกเวลา ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยลัยใช้ สื่อการสอนที่หลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่สามารถรองรับการใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์มและหลากหลายระบบปฏิบัติการ (OS) มหาลัยจึงเลือกใช้เทคโนโลยีและโซลูชั่นของไอบีเอ็มเนื่องจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของไอบีเอ็มที่มีมานาน มีความพร้อมด้านบุคลากรและบริการหลังการขาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการ การดูแลรักษา และควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากระบบในระยะยาว”

เพื่อตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดและสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเรียนการสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทางมหาวิทยาลัยฯ ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับไอบีเอ็มในการพัฒนาโซลูชั่นที่จะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นไอแพด (iPad) ไอโฟน (iPhone) ซึ่งใช้ระบบไอโอเอส (iOS) หรือเครื่องแท็บเล็ตซึ่งใช้ระบบแอนดรอยด์ (Android) หรือ วินโดวส์ (Windows) สามารถเข้าถึงระบบอีเลิร์นนิ่งได้ทุกที่ ทุกเวลา ช่วยให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น เพราะนักศึกษาสามารถนำเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทมาเชื่อมต่อและใช้งานในระบบของทางมหาวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงแพลตฟอร์ม ทั้งยังช่วยให้ทางมหาวิทยาลัยใช้ประโยชน์จากระบบอีเลิร์นนิ่งที่มีอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพอีกด้วย”

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริการ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริการทางการศึกษาให้ดีขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราเชื่อว่าด้วยศักยภาพของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในฐานะสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจชั้นนำของไทย บวกกับโซลูชันที่ครบครันของไอบีเอ็มและความเชี่ยวชาญของบุคคลากร จะเสริมให้การเรียนการสอนในระบบ ไฮบริดเลิร์นนิ่ง 2.0 ดังกล่าวเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาศักยภาพของทั้งอาจารย์และนักศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของไทยให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ต่อไป”

สำหรับเทคโนโลยีที่ไอบีเอ็มนำมาใช้ในการพัฒนาระบบครั้งนี้ ได้แก่ไอบีเอ็มสมาร์ทบิสสิเนสเดสก์ทอปคลาวด์ (IBM Smart Business Desktop Cloud) เป็นโซลูชั่นในการสร้างสภาพการทำงานพีซีแบบเสมือน (Desktop Virtualization) ทำให้ผู้ใช้เดสก์ทอปหรืออุปกรณ์ใดก็ตามที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงและใช้งานเดสก์ทอปแอพพลิเคชั่นได้อย่างปลอดภัยในรูปแบบคลาวด์ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุน ประโยชน์ที่ได้รับ คือ กระบวนการประมวลผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ใช้เซิร์ฟเวอร์ในการประมวลผล โดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นแค่ช่องทางในการเชื่อมต่อเท่านั้น กรณีมีการอัพเดทซอฟแวร์ก็สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถลงอัพเดทที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์และกระจายสู่เครื่องลูกข่ายได้ในทันที ตัวอย่างเช่น อาจารย์ต้องใช้โปรแกรมเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่าในการเรียนการสอนก็สามารถอัพเดทได้ทันที ต่างจากในอดีตที่อาจารย์ต้องให้นักศึกษาทุกคนกลับไปลงโปรแกรมก่อน ซึ่งสร้างความยุ่งยากต่อเจ้าหน้าที่เทคนิคในการลงโปรแกรมให้นักศึกษาที่อาจมาลงพร้อมๆ กันเป็นจำนวนพันคน แต่ถ้าใช้เชิร์ฟเวอร์เป็นตัวกระจายอัพเดทนั้น จะทำให้รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ เซิร์ฟเวอร์ IBM X series ยังช่วยยืดอายุการใช้งานคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าได้อีกหลายปี เนื่องจากการประมวลผลหลักจะโยงเข้ามาที่ตัวเซิร์ฟเวอร์เป็นหลัก ทำให้แม้ใช้งานเครื่องเก่าแต่ยังได้ใช้เทคโนโลยีที่อัพเดทอยู่เสมอ

View :1363
Categories: Press/Release Tags: