Archive

Archive for July, 2011

ไอดีซีระบุแรงหนุนจากจีนทำให้ตลาดพีซีในในเอเชียแปซิฟิกช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีขยายตัวถึง 13%

July 22nd, 2011 No comments

ไอดีซี บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาดชั้นนำระดับโลก เปิดเผยผลการสำรวจเบื้องต้นของสภาวะตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ว่าตลาดในภาพรวมนั้นเติบโตขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 และขยายตัวขึ้นถึงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ถือได้ว่าเป็นการกลับมามีอัตราการเติบโตเป็นเลข 2 หลักอีกครั้ง โดยมียอดจำหน่ายทั้งหมดแตะที่ระดับ 30.1 ล้านเครื่องด้วยกัน ซึ่งประเทศจีนคือประเทศที่มีอัตราการเติบโตในระดับสูงหลังจากที่ตลาดค่อนข้างซบเซาในช่วงต้นปีถึงแม้ว่าจะยังคงมีปัญหาในเรื่องของเงินเฟ้อรบกวนอยู่ก็ตาม ส่วนตลาดในประเทศอินโดนีเซียเองก็มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่เวนเดอร์ต่างก็แข่งกันผลักดันสินค้าของตนออกไปสู่ตลาดในชนบท แต่กระนั้นก็เริ่มมีความกังวลว่าอาจเกิดปัญหาสินค้าล้นตลาดตามมาได้ มีเพียงแค่ประเทศอินเดียเท่านั้นที่มีการเติบโตของตลาดสวนทางกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

นายไบรอัน มา รองประธานฝ่ายงานวิจัยตลาดอุปกรณ์ต่อพ่วง ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของไอดีซี กล่าวว่า ปัญหาเงินเฟ้อและภาวะสินค้าล้นตลาดถือเป็นหนามแหลมคมที่อาจทิ่มตำตลาดของหลายๆ ประเทศในเอเชียได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ตลาดยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางปัจจัยลบที่รายล้อมอยู่เหล่านี้ ซึ่งนั่นทำให้หลายฝ่ายเกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะยังคงขยายตัวในอัตราที่เป็นเลข 2 หลักได้ในอีกหลายปีข้างหน้า

การขยายธุรกิจออกไปยังเมืองในแถบชนบทของประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เลอโนโวกลับมามีผลงานที่ดีและทิ้งห่างเวนเดอร์รายอื่น ๆ ได้อีกครั้ง หลังจากที่ตลาดในจีนนั้นค่อนข้างซบเซาใน ไตรมาสแรกของปีนี้อันเนื่องมาจากช่วงวันหยุดยาว ในขณะที่เอเซอร์ก็สามารถจัดการกับปัญหาภายในที่เกิดหลังจากการควบรวมกิจการของฟาวเดอร์ในประเทศจีนได้สำเร็จในไตรมาสนี้ จนขยับขึ้นมาครองอันดับที่ 2 ส่วนเอชพีเองถึงแม้จะมียอดจำหน่ายที่ดีในประเทศจีน แต่ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดอื่น เช่นตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ส่งผลกระทบให้ยักษ์ใหญ่จากฟากอเมริการายนี้ตกลงไปอยู่อันดับที่ 4 ในที่สุด

ที่มา: ไอดีซี กรกฎาคม 2554
หมายเหตุ: ยอดจำหน่ายของฟาวเดอร์ได้ถูกนับรวมเข้ากับยอดจำหน่ายของเอเซอร์ตั้งแต่ ไตรมาสที่ 4 ปี 2553 เป็นต้นไป

View :1880

แซส คว้าผู้นำตลาดซอฟต์แวร์วิเคราะห์การป้องกันการฟอกเงิน

July 22nd, 2011 No comments

ได้รับการยกย่องถึงความสามารถที่เหนือกว่าในด้านการวิเคราะห์และการทำสถิติสำหรับลูกค้า

รายงานการประเมินผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ด้านการป้องกันการฟอกเงิน ทั่วโลก: ตลาดที่มีความตื่นตัวอย่างมาก (Global Anti-Money Laundering Vendor Evaluation: A Reinvigorated Market) ของบริษัท ไอต์ กรุ๊ป (Aite Group) จัดอันดับให้ SAS Anti-Money Laundering จากการเป็นผู้นำตลาดซอฟต์แวร์และบริการด้านการวิเคราะห์เชิงธุรกิจให้กลายเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านซอฟต์แวร์การป้องกันการฟอกเงิน (AML) โดยบริษัท ไอต์ กรุ๊ป ได้ดำเนินการสัมภาษณ์สถาบันการเงิน 36 แห่ง และกลุ่มผู้ขายชั้นนำในตลาด AML ทั่วโลกจำนวน 18 รายระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2554 โดยองค์กรทางการเงินได้ครอบคลุมใน 5 ทวีปและมีมูลค่าสินทรัพย์ตั้งแต่ 800 ล้านดอลลาร์ถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

รายงานดังกล่าว ได้กล่าวถึงคุณสมบัติด้านการวิเคราะห์ การผสานรวมข้อมูลแบบภาพ สถานการณ์จำลองที่มีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า และความสามารถในการปรับขนาดได้ว่า เป็นความแข็งแกร่งที่มีอยู่ในแซส โดยได้รับคะแนนสูงทั้งในด้านประสิทธิภาพและการตอบสนองการบริการของลูกค้า จะเห็นได้ว่า SAS Anti-Money Laundering ใช้การวิเคราะห์ เพื่อแจ้งเตือนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลให้กับธนาคาร โดยการลดผลบวกลวงและไม่มีการใช้ทรัพยากรด้านการสืบสวนสอบสวน

“บริษัท แซสได้นำขีดความสามารถด้านการวิเคราะห์ที่มีพลังอย่างมากให้กับตลาดแห่งนี้ ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับรากฐานของโซลูชั่นทางด้านสถิติ” นางจูลี คอนรอย แมคเนลลีย์ นักวิเคราะห์อาวุโสด้านแนวทางปฏิบัติสำหรับธนาคารเพื่อรายย่อย บริษัท ไอต์ กรุ๊ป กล่าว และว่า “บริษัท แซส มีสถานการณ์จำลองที่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้า ได้อย่างครอบคลุมและมาพร้อมกับโซลูชั่นที่ง่ายต่อการปรับใช้ตามต้องการของสถาบันทางการเงิน โดยสถาปัตยกรรมของโซลูชั่นดังกล่าวยังเหมาะอย่างยิ่งกับสถาบันที่มีขนาดเล็กซึ่งไม่มีคลังข้อมูล (Data Warehouse) เนื่องจากมีโครงสร้างของข้อมูลในการสร้างข้อมูลขนาดเล็ก(Data Mart) และสามารถรองรับจำนวนของข้อมูลที่มีความแตกต่างแต่มีความสัมพันธ์กันได้”

บริษัท ไอต์ กรุ๊ป ตั้งข้อสังเกตว่า “บริษัท แซส ยังพร้อมให้บริการโซลูชั่นของเทราดาต้าสำหรับ [สถาบัน] ขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยจะเห็นได้จากการพิสูจน์แนวคิดนี้ผ่านลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และบริษัท แซส ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประมวลผลทรานแซคชันได้ถึง 2.5 พันล้านรายการภายในหน้าต่างการประมวลผลแบบแบ่งส่วน”

รายงานฉบับนี้ยังได้กล่าวว่าตลาดซอฟต์แวร์ AML ทั่วโลกปัจจุบันมีมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะขยายตัว ในอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ระดับ 9% และในอีก 5 ปีนับจากนี้มีมูลค่าถึง 690 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 โดยปัจจัยสำคัญที่ผลักดันตลาดให้เติบโต ได้แก่ อัตราการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ตะวันออกกลางและแอฟริกา สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่หกำลังเปลี่ยนโซลูชั่นรุ่นเก่า และสถาบันการเงินขนาดเล็กที่ดำเนินการเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานแบบทำด้วยตนเองมาเป็นโซลูชั่นแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า โซลูชั่น AML ครอบคลุมถึงการตรวจสอบทางธุรกิจของลูกค้า การติดตามตรวจสอบกิจกรรมที่น่าสงสัย การจัดการกรณีต่างๆ และการกรองรายชื่อที่ต้องได้รับการจับตามองเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งหมดนี้มีพร้อมให้บริการใน SAS Anti-Money Laundering

ทั้งนี้ SAS Anti-Money Laundering เป็นส่วนหนึ่งของ SAS Enterprise Financial Crimes Framework for Banking ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีด้านการป้องกัน ตรวจหา และจัดการอาชญากรรมทางการเงินที่ครอบคลุมสายธุรกิจภายในแวดวงธนาคารปัจจุบัน

สำหรับสถาบันการเงินที่เลือกใช้ SAS Anti-Money Laundering แล้วในขณะนี้มีจำนวนกว่า 114 แห่ง อาทิ ธนาคารแบนโก เดอ โอโร ยูนิแบงก์ (ฟิลิปปินส์) ธนาคารควีนส์แลนด์ (ออสเตรเลีย) ธนาคารไชน่าคอนสตรัคชั่น (ฮ่องกง) คอสทัล เฟเดอรัล เครดิต ยูเนียน (สหรัฐอเมริกา) ธนาคารคอมมอนเวลธ์แห่งออสเตรเลีย (ออสเตรเลีย), ธนาคารเพื่อการพัฒนาฟิลิปปินส์ (ฟิลิปปินส์) ธนาคาอีออน (มาเลเซีย) ธนาคารฟุบอน(ฮ่องกง), ธนาคารฮานา (เกาหลี) ธนาคารอุตสาหกรรม (เกาหลี) ธนาคารคุคมิน (เกาหลี) ธนาคารที่ดินแห่งฟิลิปปินส์ (ฟิลิปปินส์) ธนาคารทหารผ่านศึกฟิลิปปินส์ (ฟิลิปปินส์) บริษัท ซัมซุง ซีเคียวริตีส์ (เกาหลี) และ ธนาคารซอฟเวอเรน (สหรัฐอเมริกา)

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ธนาคารหลายแห่งกำลังศึกษาโซลูชั่นป้องกันการฟอกเงิน เนื่องจากพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้มีการออกเป็นกฎหมายเรียบร้อยแล้ว โดยแซส ได้ติดตั้งโซลูชั่นป้องกันการฟอกเงินให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อนำไปใช้ตรวจสอบและติดตามบัญชีลูกค้าทั้งในส่วนของบัญชีเดิมที่มีความเคลื่อนไหวรวมทั้งบัญชีใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของธนาคารเป็นที่เรียบรอยแล้ว และขณะนี้ยังธนาคารอีกหลายแห่งที่แซสได้เข้าไปนำเสนอโซลูชั่นดังกล่าว

View :1567

ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ร่วมเตรียมความพร้อมป้องกันและรับมือการเกิดแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ

July 22nd, 2011 No comments


นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังร่วมเป็นประธานการสัมมนา เชิงปฏิบัติการผลกระทบจากแผ่นดินไหวระยะไกล ที่อาจจะมีต่อสาธารณูปโภคพื้นฐานและอาคารบ้านเรือนในกรุงเทพมหานคร ด้านกฎหมาย วิศวกรรม และการบริหารความเสี่ยง ว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศพม่าเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ซึ่งห่างจากกรุงเทพมหานคร 770 กิโลเมตรแต่ทำให้เกิดการสั่นไหวของอาคารสูงในเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากชั้นดินของกรุงเทพฯ เป็นดินอ่อนทำให้ความรุนแรงขยายตัวได้ 3 – 5 เท่าตัว และหากเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดรุนแรง หรือใกล้กับกรุงเทพมหานครมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ก็อาจส่งผลกระทบที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้เป็นวงกว้างเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นที่กรุงเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี พ.ศ. 2528 เพราะมีสภาพของชั้นดินเป็นดินอ่อนลักษณะเดียวกัน

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล กรุงเทพมหานคร จึงร่วมมือกับศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน จัดการสัมมนาระดมสมองจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและรับมือการเกิดแผ่นดินไหวที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

“การสัมมนาฯ ครั้งนี้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้แนวทางยุทธศาสตร์สำหรับการรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานคร จากแผ่นดินไหวระยะไกล ทั้งด้านกฎหมาย วิศวกรรม และการบริหารความเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วย การบรรยายภาพรวมของแผ่นดินไหวที่อาจจะมีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานคร ความเสี่ยงจากผลกระทบจากแผ่นดินไหวระยะไกลที่อาจจะเกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานคร แนวทางในการลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากแผ่นดินไหวแก่ภาคเอกชนและภาคประชาชน การสร้างการรับรู้และการเตรียมตัวเพื่อบรรเทาภัยจากความรุนแรง เป็นต้น โดยมีวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 24 คน มาให้ความรู้ รวมทั้งมีการระดมสมองจากผู้เข้าร่วมสัมมนาเพื่อวางแนวทางยุทธศาสตร์สำหรับการรับมือด้วย ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ระดมสมองเพื่อกำหนดแผนที่ยุทธศาสตร์หลัก และแนวทางแผนปฏิบัติการ (Roadmap and Strategic Action Plans) สำหรับการรับมือกับแผ่นดินไหว ที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพมหานคร และแนวทางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องข้อกำหนดทางอาคารของกรุงเทพมหานคร ที่จะสามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ โดยแนวทางยุทธศาสตร์ฯ ที่ได้นี้ จะนำไปใช้เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและรับมือการเกิดแผ่นดินไหวต่อไป” นายธานีรัตน์ กล่าว

View :1498

เทรนด์ ไมโคร แนะนำเคล็ดลับความปลอดภัยในการให้ข้อมูลทางออนไลน์

July 21st, 2011 No comments

โรเบิร์ต แมคอาร์เดล นักวิจัยอาวุโสด้านภัยคุกคาม บริษัท เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาถ้าคุณไม่เคยกังวลเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล คุณควรเริ่มกังวลได้แล้วในตอนนี้ เพราะดูเหมือนว่าปัญหาเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลกำลังขยายตัวไปอย่างมาก จริงๆ แล้วในโลกแห่งอุดมคติ เว็บไซต์และองค์กรต่างๆ ควรจะรักษาข้อมูลของเราได้ แต่เนื่องจากเรายังไม่ได้อยู่ในโลกที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นเราจึงต้องจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ให้ได้ก่อน”

โชคไม่ดีนักที่คำแนะนำส่วนใหญ่มักจะ “ให้คุณระแวดระวังในสิ่งคุณดำเนินการอยู่แล้ว” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เมื่อข้อมูลของคุณถูกขโมย ข้อมูลเหล่านั้นจะแพร่กระจายพร้อมให้วายร้ายออนไลน์นำไปใช้ประโยชน์ได้ คุณอาจไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาในทันที เว้นแต่ว่าข้อมูลที่รั่วไหลออกไปนั้นจะเป็นข้อมูลทางการเงิน แต่โดยส่วนตัวผมก็ยังไม่อยากจะให้ที่อยู่อีเมลของผมไปอยู่ในสมุดที่อยู่ของกลุ่มเพื่อนออนไลน์ด้วยซ้ำไป

สิ่งสำคัญก็คือ ทุกคนออนไลน์หมด ซึ่งรวมถึงตัวคุณ ตัวผม และผู้อ่านทั้งหลาย ดังนั้นทุกคนจึงต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลของตนให้ได้ ขณะนี้มีเว็บไซต์หลายแห่งทำการร้องขอข้อมูลมากจนเกินเหตุ โดยที่ตัวคุณเองก็อาจไม่ต้องการให้ไซต์เหล่านั้นรู้ก็ได้ ถามจริงๆ ว่าจำเป็นไหมที่คุณต้องบอกจำนวนเงินที่คุณหาได้บนกระดานข้อความให้คนอื่นทราบ หรือธุรกิจประเภทใดที่คุณกำลังทำงานอยู่ รวมทั้งคุณเกิดวันที่เท่าใด

คำถามต่อมาก็คือ เมื่อใดที่คุณควรให้ข้อมูลจริงออกไป ถ้าบางสิ่งเกี่ยวข้องกับเงินๆ ทองๆ (เช่น การซื้อหรือขายสิ่งของบางอย่าง) ก็อาจไม่ใช่เวลาที่จะต้องมานั่งโกหกกัน หรือในกรณีที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐหรือกลุ่มอื่นใดก็ตามที่อาจสร้างผลกระทบที่สำคัญตามมาหากคุณได้ให้ข้อมูลที่ผิดๆ หรือ “โกหก” ซึ่งนั่นก็ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย เช่น การเข้าร่วมในกระดานข้อความ คุณอาจต้องพิจารณา “โกหก” หรือให้ข้อมูลเท็จไป สาเหตุก็เพราะข้อมูลที่แท้จริงของคุณนั้นมีค่าเกินกว่าที่คุณจะยื่นให้กับใครแบบง่ายๆ เพราะอาจถูกนำไปใช้เพื่อการทำตลาดและการโฆษณาใดๆ ก็ได้

ส่วนหนึ่งที่คุณไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลจริงก็คือ คำถามในการกู้คืนรหัสผ่านที่ไซต์ยอดนิยมหลายแห่งมักจะใช้กัน บางไซต์อาจบังคับให้คุณเลือกคำถามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น “สัตว์เลี้ยงของคุณชื่ออะไร” แต่แย่อย่างมากตรงที่ข้อมูลในลักษณะนี้มีแนวโน้มที่จะไปปรากฏอยู่บนไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ และเทคนิคนี้ก็ถูกนำไปใช้ในการเจาะระบบอีเมลยาฮูของซาราห์ พาลิน อดีตผู้ว่าการรัฐอลาสกาและผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2551 สำเร็จมาแล้วด้วย

จะเป็นการดีกว่าไหมที่จะสร้างรหัสผ่านฉุกเฉินแบบสุ่มขึ้นมาใช้แทน โดยที่คุณสามารถจัดเก็บรหัสผ่านนั้นไว้ที่ใดก็ได้สักแห่งที่ปลอดภัย อย่างเช่น ในลิ้นชัก และให้ใช้รหัสผ่านฉุกเฉินนี้เป็นคำตอบสำหรับคำถามในการกู้คืนรหัสผ่าน สิ่งนี้จะทำให้แน่ใจได้ว่า คำตอบที่ “ถูกต้อง” สำหรับคำถามในการกู้คืนรหัสผ่านของคุณจะไม่เคยปรากฏอยู่บนโลกออนไลน์ และไม่สามารพบได้ด้วยเครื่องมือค้นหาต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต

เทรนด์ ไมโคร แนะนำเคล็ดลับเพื่อความปลอดภัยในการให้ข้อมูลทางออนไลน์ ดังนี้

อาชญากรไซเบอร์ไม่สามารถขโมยสิ่งที่คุณไม่ได้ให้ไว้บนเว็บไซต์ได้ ดังนั้นถ้าช่องให้ใส่ข้อมูลบนเว็บมีระบุไว้ว่า “ใส่หรือไม่ก็ได้” (optional) คุณก็ไม่จำเป็นต้องป้อนข้อมูลใส่ลงไป

ก่อนที่จะให้ข้อมูลของคุณ ขอให้พิจารณาว่าสิ่งที่คุณกำลังแลกเปลี่ยนด้วยนั้นมีค่าอันสมควรหรือไม่

ถ้ามีค่า ก็ให้พิจารณาอีกว่าคุณจำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด (และตามความเป็นจริง) ของคุณหรือไม่ ลองพิจารณาใช้ข้อมูลส่วนตัวที่แต่งขึ้นมาใหม่แทนจะดีกว่า

ในกรณีที่มีเรื่องเงินๆ ทองๆ มาเกี่ยวข้อง ให้ใส่ใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการให้ข้อมูลของคุณด้วย

View :1837

สินค้าแบรนด์เนมไฮเอนด์รุกตลาดออนไลน์เปิด รีบอนซ์ (ประเทศไทย) กับข้อเสนอผ่อน 0% นาน 10 เดือน

July 21st, 2011 No comments


เปิดตัวเว็บไซต์ รีบอนซ์ ไทยแลนด์ (www..com/tha ) ธุรกิจแนวใหม่จำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมสำหรับสมาชิก เอาใจแฟชั่นนิสต้าและผู้ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ทันสมัย ด้วยหลากหลายข้อเสนอสุดพิเศษที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าบริการคุณภาพระดับไฮเอนด์ได้ง่ายขึ้น ทุกที่ ทุกเวลา และคุ้มค่ายิ่งกว่ากับสิทธิพิเศษผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน และโปรโมชั่นพิเศษประจำวันที่ไม่ควรพลาด

นายสมเกียรติ ไชยศุภรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีบอนซ์ (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า “รีบอนซ์ (ออกเสียงแบบเดียวกับคำว่า Ribbon) ต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการจับจ่ายที่ไม่เหมือนใครบนโลกออนไลน์ด้วยแนวความคิด ‘Luxury you can afford’ ทำให้ลูกค้าของเราสามารถเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์เนมของแท้ระดับไฮเอนด์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ในราคาที่ถูกกว่าหน้าร้านของแบรนด์สินค้านั้นๆ เพราะทาง รีบอนซ์สั่งซื้อมาจากคลังสินค้าของผู้ผลิตในยุโรปและอเมริกาโดยตรง โดยสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าแฟชั่นจากแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกทั้ง กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ และรองเท้า

รีบอนซ์ช่วยให้ผู้ซื้อวางแผนการเงินในกระเป๋าได้ดียิ่งขึ้น ด้วยบริการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคือ ลูกค้าระดับ B ขึ้นไปที่รู้จักวางแผนการใช้เงินอย่างชาญฉลาด มีไลฟ์สไตล์ที่อินเทรนด์ และในแต่ละวันยังมีโปรโมชั่นสินค้าใหม่ราคาพิเศษสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทุกวันเริ่มตั้งแต่เวลา 11.00 น. โดยมีการเสนอ Events สินค้าใหม่ๆ ให้นักช้อปได้เลือกชมทุกวัน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของรีบอนซ์ ที่เชื่อว่าน่าจะจูงใจนักช้อปทั้งหลายให้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้เป็นจำนวนมาก

การสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าเป็นจุดเด่นอีกประการที่ทำให้การช้อปปิ้งกับรีบอนซ์ได้รับความนิยม ตั้งแต่กระบวนการจัดส่งจนถึงการรับประกันสินค้าโดยสินค้าจากรีบอนซ์จะได้รับการบรรจุอย่างดีในกล่องของขวัญสีดำเรียบหรูผูกโบว์สีทอง ส่งตรงถึงลูกค้าภายใน 7 วันโดยไม่คิดค่าส่ง และยังมีศูนย์บริการสมาชิกให้บริการด้านข้อมูล และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ อีกด้วย

รีบอนซ์รับประกันสินค้าบนเว็บไซต์และสินค้าที่ถูกจัดส่งถึงมือผู้รับทุกชิ้น ซึ่งล้วนเป็นของแท้ถูกลิขสิทธิ์ที่ทางรีบอนซ์มีการเสียภาษีนำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นการตอบสนองนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะของกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่รณรงค์ให้ผู้บริโภคใช้ของแท้ ซึ่งหากลูกค้าไม่พอใจสินค้าก็สามารถนำมาคืนได้ภายใน 14 วัน

นายสมเกียรติเผยอีกว่า เว็บไซต์รีบอนซ์เริ่มเปิดให้บริการในไทยมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2553 แล้ว โดยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเรื่อยมา จากนั้นได้ลงทุนร่วมกับ รีบอนซ์ สิงคโปร์ ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท เปิด บริษัท รีบอนซ์ (ประเทศไทย ) จำกัด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดในไทยที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องแต่ละเดือนสูงถึง 100% ปัจจุบันมีสมาชิกรวมแล้วกว่า 20,000 คน และมียอดขายรวมปี 2554 ครึ่งปีแรกที่ 20 ล้านบาท

ตัวเลขการเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นด้านราคา ความสะดวกรวดเร็วในการสั่งซื้อ จัดส่ง รวมถึงความน่าเชื่อถือของบริการต่างๆ ทำให้ทางบริษัทคาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปีนี้รีบอนซ์จะมีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 50,000 สมาชิก และมียอดขายกว่า 50 ล้านบาท

นอกจากสินค้าแฟชั่นแล้ว รีบอนซ์ยังมีสินค้าในกลุ่มอื่นๆ ด้วย อาทิ ข้อเสนอพิเศษเกี่ยวกับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ แพ็คเกจท่องเที่ยว ที่พัก โรงแรม และเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังในราคาพิเศษ ภายใต้ Reebonz City และ Reebonz Home ซึ่งได้ร่วมทำกิจกรรมการตลาดกับกลุ่มโรงแรมชั้นนำและผู้ผลิตสินค้าตกแต่งในประเทศ และพร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมนี้

ปัจจุบัน รีบอนซ์เป็นผู้นำในเอเชียโดยมีสมาชิกกว่า 350,000 ท่านและเปิดสำนักงานใน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย ไต้หวัน และไทย

View :4201

เอชพี อัดงบกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เติมพลัง เพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ SMBs สร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัย

July 21st, 2011 No comments

เอชพี เอาใจลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก เปิดตัวโซลูชั่นใหม่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมขยายโปรแกรมส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ช่วยลูกค้า SMBs (small and midsize businesses) สร้างการเติบโต ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และปกป้องทรัพย์สินขององค์กร

เอชพีคาดการณ์ว่าตลาดธุรกิจ SMBs มีมูลค่าสูงถึง 234,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด(1) ซึ่งธุรกิจ SMBs จะต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆ ได้แก่ การควบคุมค่าใช้จ่าย การจัดการประสิทธิผลในการทำงานของพนักงาน และการขอสินเชื่อต่างๆ ดังนั้น เอชพีจึงสร้างสรรค์โซลูชั่นและโปรแกรมต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนลูกค้ากลุ่มนี้ให้สามารถจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อนำมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัยได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เอชพียังขยายการลงทุนทางด้านการพัฒนาความรู้ให้แก่ธุรกิจ SMBsโดยสร้างศูนย์ฝึกอบรมใหม่รวม 40 แห่งภายใต้โปรแกรมเสริมสร้างความรู้สำหรับผู้ประกอบการ หรือ HP Learning Initiative for Entrepreneurs ) เพื่อส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อม (microenterprises) และธุรกิจ SMBs ให้มีช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยเอชพีมีศูนย์ฝึกอบรมดังกล่าวในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก รวมทั้งสิ้น 63 แห่งในประเทศต่างๆ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย และเกาหลี ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา เอชพีได้ขยายการลงทุนในโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการรวมเป็นจำนวนเงินกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานประมาณ 20,000 ตำแหน่ง และมีการสร้างธุรกิจใหม่ๆ อีกประมาณ 6,500 ราย

พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานด้วยการทำคอลลาบอเรชั่น

เอชพี นำเสนอเทคโนโลยีหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจ SMBs ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน มีประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น และมีการทำงานร่วมกันของระบบต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานของพนักงาน โซลูชั่นใหม่ของเอชพีมีคุณสมบัติเด่นดังนี้

· เพิ่มประสิทธิผลในการดำเนินงานด้วยเซิร์ฟเวอร์ HP ProLiant ML110 G7 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ระดับเริ่มต้นที่ใช้งานและบริหารจัดการง่าย ทั้งยังสนับสนุนแอพพลิเคชั่นออฟฟิศระดับพื้นฐาน ได้แก่ การส่งข้อมูลผ่านเว็บ (Web messaging) การจัดทำฐานข้อมูลขนาดเล็ก การจัดทำไฟล์และพิมพ์ข้อมูล และแอพพลิเคชั่นเฉพาะด้านต่างๆ

· ปรับขยายประสิทธิภาพการทำงานด้วยเซิร์ฟเวอร์ HP ProLiant DL120 G7 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์แบบแร็กระดับเริ่มต้นแต่ประสิทธิภาพสูง สนับสนุนแอพพลิเคชั่นหลากหลายประเภท อาทิ แอพพลิเคชั่นระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที การส่งข้อมูลผ่านเว็บ (Web messaging) การจัดทำไฟล์และพิมพ์ข้อมูล แอพพลิเคชั่นขนาดเล็กสำหรับการใช้งานกับอินเทอร์เน็ต รวมถึงการเชื่อมต่อเข้าสู่เว็บไซต์ต่างๆ

· เพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการด้วยอุปกรณ์สวิตช์ HP V1810-48G ซึ่งสามารถบริหารจัดการผ่านเว็บ โดยรองรับถึง 48 พอร์ต จึงสามารถผนวกรวมกับระบบเครือข่ายต่างๆ ที่ใช้อยู่เดิมได้อย่างง่ายดาย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ตามต้องการ รองรับการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

· ประหยัดไฟ เนื่องจากใช้อุปกรณ์สวิตช์ HP V1410 unmanaged Fast Ethernet switch series แบบมาตรฐานและติดตั้งได้ง่าย มีคุณภาพตรงตามมาตรฐาน IEEE รองรับความต้องการอุปกรณ์เครือข่ายระดับเริ่มต้นของธุรกิจ SMBs

· เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล HP P2000 G3 Modular Smart Array (MSA) ซึ่งเป็นหนึ่งในโซลูชั่นจัดเก็บข้อมูลระดับเริ่มต้นรายแรกในวงการไอที สนับสนุนการทำงานร่วมกับ VMware API for Array Integration และ VMware VCenter ส่งเสริมลูกค้าระดับ SMBs ให้มีประสิทธิภาพการทำงานเทียบเท่าระดับองค์กร ทั้งยังมีความสามารถในการบริหารจัดการร่วมกับ VMware ได้อีกด้วย นอกจากนี้ โซลูชั่น HP Insight Control Storage Module Manager for VMware vCenter ยังสนับสนุนการบริหารจัดการและการติดตามผล
การทำงานของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และระบบเครือข่ายในอุปกรณ์เสมือนหรือเวอร์ช่วลแบบ vCenter console ได้เป็นอย่างดี

เพิ่มการปกป้อง ลดความเสียหายทางธุรกิจ

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของปริมาณข้อมูลและอีเมล์ทำให้ธุรกิจ SMBs ต้องเผชิญความเสี่ยงและมีความซับซ้อนในการทำงานเพิ่มขึ้น และยังอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกู้ระบบที่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ โซลูชั่นใหม่ของเอชพีช่วยแก้ปัญหาความท้าทายต่างๆ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจSMBs ดังนี้

· ประหยัดค่าบริหารจัดการสูงถึงร้อยละ 30 และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยผนวกรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ ด้วยโซลูชั่น HP Branch Office Consolidation ทำให้เกิดเป็นโซลูชั่นสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้จัดทำแผนธุรกิจได้อย่างกระชับและชัดเจน ทั้งยังมีซอฟต์แวร์การบริหารจัดการเพื่อช่วยธุรกิจ SMBs ยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทำงานง่ายขึ้นและเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตลอดจนมีการประสานงานร่วมกันอย่างกลมกลืน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความเสี่ยงในการทำงาน และสนับสนุนการทำงานของสำนักงานสาขาต่างๆ (2)

· ประหยัดเวลาในการสำรองข้อมูลถึงร้อยละ 90 และลดเวลาที่ใช้ในการกู้คืนระบบอีกร้อยละ 87 (3) โดยใช้โซลูชั่น HP Business Risk Mitigation ซึ่งเป็นโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร โดยสามารถตั้งค่าระบบสำหรับเครื่องเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่าย ทั้งยังสนับสนุนซอฟต์แวร์การจัดการที่ใช้ในเครื่องพีซี พรินเตอร์ และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อปกป้องและรักษาความปลอดภัยให้แก่ข้อมูลที่มีความพร้อมในการใช้งานสูง ตลอดจนกู้คืนระบบล่มที่เกิดขึ้นนอกสถานที่ได้เป็นอย่างดี

· ลดความเสี่ยงจากการสูญเสียข้อมูลสำคัญด้วยโซลูชั่น ซึ่งจะทำหน้าที่แบ็กอัพไฟล์ข้อมูลบนเครื่องพีซีของพนักงานอย่างมีเสถียรภาพ สามารถจัดเก็บข้อมูลได้อีกครั้งอย่างรวดเร็วในกรณีเกิดไฟดับ ไฟล์ขัดข้อง หรือเครื่องพีซีหายหรือถูกขโมย

สร้างช่องทางใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างการเติบโตในอนาคต

การมีข้อมูลและความรู้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจจะช่วยสร้างแต้มต่อในการแข่งขันทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับธุรกิจขนาดกลางส่วนใหญ่นั้น การดำเนินการดังกล่าวมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น เอชพีจึงได้เพิ่มโซลูชั่นอัจฉริยะทางธุรกิจ (business intelligence solutions) ไว้ในพอร์ทโฟลิโอ HP AppSystem เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการจัดการข้อมูลมากมายเกี่ยวกับลูกค้าสามารถทำได้อย่างง่ายๆ โดยประกอบด้วยโซลูชั่นดังนี้

· โซลูชั่น HP Business Decision Appliance สามารถวิเคราะห์แหล่งข้อมูลทั้งที่มีอยู่เดิมและข้อมูลใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเปิดให้บริการแก่ธุรกิจขนาดกลาง โดยเป็นการผนวกรวมแพลทฟอร์มเอชพีและไมโครซอฟท์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อจัดส่งข้อมูลให้แก่สมาชิกในองค์กรทุกคน

· โซลูชั่น HP Business Data Warehouse Appliance เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลาง ประกอบด้วยซอฟต์แวร์ที่มีการตั้งค่าระบบและติดตั้งล่วงหน้าในแพลทฟอร์มแบบเดี่ยว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้องค์กรขนาดกลางมีช่องทางใหม่ๆ ในการเพิ่มรายได้และความภักดีของลูกค้า

View :1637

ทีเอ็มบี ชูศักยภาพแห่งเทคโนโลยี USSD เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล”

July 21st, 2011 No comments

TMB หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ปฏิวัติวงการธนาคาร ชูสุดยอดเทคโนโลยี “USSD” พัฒนาระบบการชำระสินค้าและบริการอัตโนมัติรูปแบบใหม่ผ่านโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในเมืองไทย “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” (TMB ) “รู้ยอดก่อน อนุมัติจ่ายด้วยตัวคุณ”ผู้ช่วยตัวใหม่ที่จะทำให้ลูกค้าไม่พลาดเมื่อถึงเวลาจ่ายบิล โดดเด่นด้วยระบบบริการแจ้งทุกยอดใช้จ่าย และแสดงยอดคงเหลือในบัญชีให้ลูกค้าทราบทันที ก่อนกดจ่ายเงินด้วยตัวเอง ให้อิสระในการควบคุมความเคลื่อนไหวทางบัญชีของตัวเองอย่างแท้จริงด้วย Cross Operator Design ชำระสินค้าและบริการได้โดยไม่จำกัดเครือข่ายโทรศัพท์ สะดวก รวดเร็ว สามารถทำรายการได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMB กล่าวว่า “เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการที่ตรงจุดของลูกค้า ทีเอ็มบีได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ปฏิวัติวงการธนาคารด้วยความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ล่าสุดเปิดตัวนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” (TMB Beep & Bill Payment) สุดยอดนวัตกรรมการบริการชำระสินค้าและบริการอัตโนมัติผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ด้วยโปรแกรมที่พัฒนา ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน โดยบริการดังกล่าวเสมือนหนึ่งผู้ช่วยส่วนตัวที่จะช่วยให้ลูกค้าไม่พลาดเมื่อถึงเวลาจ่ายบิล สามารถทำรายการ ได้ทันที โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา”

“จากการสำรวจพฤติกรรมการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชำระค่าสินค้าและบริการในปัจจุบัน ลูกค้าจะชำระผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ ชำระผ่านเคาน์เตอร์ เซอร์วิสหรือจุดบริการลูกค้า ซึ่งลูกค้าจะต้องถือเงินสดไปชำระด้วยตนเอง ทำให้เสียเวลาในการเดินทาง การรอคิวและยังเสียค่าธรรมเนียมการให้บริการ ในขณะที่ลูกค้าบางกลุ่มเลือกชำระเงินโดยการหักผ่านบัญชีธนาคาร หรือหักผ่านบัตรเครดิต โดยอัตโนมัติเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน ซึ่งลูกค้าหลายรายไม่มั่นใจกับยอดค่าใช้จ่ายที่โดนหักหรือเกิดความไม่แน่ใจในยอดเงินคงเหลือภายในบัญชี และมีหลายกรณีที่ลูกค้ามีเงินในบัญชีไม่เพียงพอ ทำให้บางครั้งเกิดปัญหาตามมา อาทิ ถูกระงับการจ่ายไฟฟ้า ระงับบริการโทรศัพท์ ซึ่งการเปิดบริการ ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล นี้ จะทำให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินดีขึ้น โดยทีเอ็มบี ได้นำเทคโนโลยี USSD เข้ามาใช้ในการวางระบบการชำระเงินให้กับลูกค้า ซึ่งธนาคารฯ จะส่ง SMS แจ้งเตือนการชำระเงิน พร้อมยอดค่าใช้จ่ายไปยังโทรศัพท์มือถือของลูกค้าทุกรุ่นทุกระบบ ก่อนวันครบกำหนดชำระ 1-3 วัน จากนั้น ลูกค้าเพียงแค่ส่งข้อความยืนยันกลับ ก็จะสามารถชำระเงินได้ทันที สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องรอคิวอีกต่อไป”

นายธีรศักดิ์ วงศ์ปิยะ เจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกรรม สายงานผลิตภัณฑ์เงินฝากและการชำระเงิน TMB กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริการ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” ถือเป็นการนำเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและความปลอดภัยในการส่งถ่ายข้อมูลอย่างระบบ USSD (Unstructured Supplementary Services Data)ที่สามารถ ใช้งานได้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครื่องที่ใช้ระบบ GSM ซึ่งถือเป็นบริการเสริมทางข้อมูลแบบไม่มีโครงข่าย เป็นการให้บริการข้อมูลจากผู้ให้บริการสู่ผู้ใช้บริการผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้งานทั้ง 2 ฝ่ายด้วยความเร็วสูง โดยข้อมูลที่ส่งผ่านระบบจะมีลักษณะคล้าย SMS แต่ข้อความที่ได้ส่งออกจากระบบ USSD จะไม่ถูกบันทึกลงอุปกรณ์ใดๆ โดยทั้งสิ้น ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่โดดเด่นในแง่ของการรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ และการรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทีเอ็มบีจึงได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาเป็น Software ภายใต้ชื่อระบบงาน Beep & Bill ขึ้นเป็นธนาคารแรกของประเทศไทย โดยระบบดังกล่าว ถือเป็นนวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถรู้ข้อมูลภายในบัญชีก่อนการตัดสินใจกดชำระบิลค่าบริการต่างๆ ผ่านมือถือทุกรุ่นที่รองรับบริการ SMS โดยไม่ต้องดาวน์โหลด Application หรือเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เนต หรือใช้งาน wifi ใดๆ ทั้งสิ้น”

“สำหรับระบบงาน Beep & Bill Payment เป็นโปรแกรมที่ทีเอ็มบีได้คิดค้นขึ้นและได้เริ่มพัฒนาระบบมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2553 ร่วมกับนักพัฒนา Software เพื่อให้ระบบงานดังกล่าวสามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการทำงานของระบบดังกล่าว จะเป็นการผสมผสานระหว่างระบบ SMS และ USSD โดยเมื่อมียอด ค่าใช้บริการจากผู้ให้บริการสาธารณูปโภคต่างๆ แจ้งยอดเข้ามายังบัญชีของลูกค้า ทางธนาคารฯ จะดำเนินการส่ง SMS แจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของลูกค้าที่ได้ลงทะเบียนสมัครใช้บริการ โดยจะแจ้งทั้งยอดการชำระเงิน พร้อมแสดงยอดเงินคงเหลือปัจจุบันในบัญชีให้ลูกค้าทราบ พร้อมกับรหัสสำหรับให้ลูกค้าตอบกลับเพื่อยืนยันความประสงค์ในการชำระยอดเงินดังกล่าว เมื่อลูกค้ากดรหัสดังกล่าวกลับมา จะเป็นคำสั่งตรงไปยังระบบ USSD โดยทางธนาคารฯ รับรองว่า ทุกข้อความที่ส่งผ่านระบบ USSD จะไม่มีค่าล้มเหลวเกิดขึ้น และถูกส่งตรงถึงธนาคารอย่างแน่นอน จากนั้นระบบจะส่งข้อความในลักษณะ Pop Up Data มายังมือถือของลูกค้าภายใน 10-15 วินาที จากนั้นระบบจะดำเนินการตัดยอดเงินดังกล่าวจากบัญชีลูกค้า เมื่อทำรายการสำเร็จจะมี SMS ยืนยันการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือทันที”

นายธีรศักดิ์ กล่าวเสริมว่า การเลือกใช้ระบบ USSD ในการทำธุรกรรมทางการเงินให้กับลูกค้าทีเอ็มบี ถือเป็นระบบที่มีความเสถียรสูงและยังสามารถการันตีการรักษาความปลอดภัยทางด้านข้อมูลได้ 100% โดยรหัสที่ส่งจากระบบจะเป็นในลักษณะรหัสใช้ครั้งเดียว (One time password) ด้วยระบบเลข 3 หลัก ซึ่งได้วางระบบรองรับและหมุนเวียนรหัสไว้อย่างรัดกุม นอกจากนี้ ระบบ Beep & Bill Payment ถือเป็นการให้บริการในรูปแบบ Cross Operator Design ที่ให้อิสรภาพที่แท้จริงในการชำระสินค้าและบริการโดยไม่จำกัดเครือข่ายโทรศัพท์ โดยทีเอ็มบี ได้ดำเนินการวางระบบ USSD เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายหลักของไทย ประกอบด้วย AIS, dtac และ True move ด้วยการกำหนดหมายเลขในการใช้บริการผ่านการกด *400 ตามด้วย รหัสชำระเงินที่ธนาคารกำหนดให้ ก็สามารถใช้บริการได้โดยทันที นอกจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการวางระบบเชื่อมโยงกับ TOT และโครงข่าย 3G ในอนาคตอีกด้วย”

สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่สนใจ สามารถสมัครรับบริการแจ้งเตือนอัตโนมัติ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการของผู้ให้บริการรายใหญ่ ทั้ง 7 ราย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง การสื่อสารแห่งประเทศไทย AIS และ True ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รวมทั้ง dtac และ ทีโอที ที่พร้อมจะให้บริการลูกค้าในเดือนสิงหาคมและกันยายน ตามลำดับ รวมทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อบุคคลของทีเอ็มบี

สำหรับวิธีการสมัคร ลูกค้าสามารถทำได้หลายช่องทาง ทั้ง ผ่านเครื่อง ATM เครื่องฝากเงินอัตโนมัติของทีเอ็มบี ตลอดจนทีเอ็มบีอินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง และที่ทีเอ็มบี ทุกสาขา ทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าจะสามารถประหยัดได้มากยิ่งขึ้น ด้วยค่าบริการรับชำระเงินในราคาเดียว เพียง 5 บาท เท่ากันหมดทุกบิล โดยธนาคารจะยกเว้นค่าบริการทุกรายการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ศกนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่มาใช้บริการของเรา

ลูกค้าของธนาคาร และลูกค้าของผู้ให้บริการทุกบริษัท ที่สนใจใช้บริการ “ทีเอ็มบี บี๊บ แอนด์ บิล” สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ทีเอ็มบี ทุกสาขากว่า 450 สาขาทั่วประเทศ หรือ TMB Call Center 1558 หรื ดูรายละเอียด ได้ที่ tmbbank.com View :1723

“คอมมาร์ต เอ็กซ์เจน 2011” เปิดตลาดไอทีครึ่งปีหลัง ระเบิดพลังขาชอป กระตุ้นกำลังซื้อรับรัฐบาลใหม่

July 21st, 2011 No comments

เริ่มแล้ว !! มหกรรมไอทีสุดยิ่งใหญ่รับรัฐบาลใหม่ “” เปิดตลาดไอทีไทยครึ่งปีหลัง ตามกระแสไอทีประชานิยม มีครบทุกโปรฯ โชว์ทุกเทคโนโลยี งานนี้ชอปสนุก ลุ้นนั่ง ฮ. เฮรับรถ พร้อมจัดหนักโปรโมชันสุดพิเศษ สุดคุ้ม ลดสูงสุด 70%  จับตาตลาดแท็บเล็ต ยอดขยับโตขึ้น 2 เท่าจากงานก่อนหน้าได้หรือไม่ ฟากโน้ตบุ๊คดั้มราคาโดนๆ ไม่ถึง 1 หมื่น กระตุ้นตลาดไอทีขาขึ้น คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 3,000 ล้านบาท ดันยอดไอทีครึ่งปีหลังกระฉูดแน่นอน พบกันระหว่างวันที่ 21 – 24 กรกฎาคม 2554 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ

นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “คอมมาร์ต” กล่าวว่า เออาร์ไอพี ร่วมกับบริษัทคู่ค้าไอทีชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที “คอมมาร์ต เอ็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2011” ภายใต้แนวคิด “eXpress your eXperience : เปิดพลังสร้างสรรค์ความเป็นคุณ” ในงานครั้งนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ (Gadget) น่าสนใจมากมาย ที่ยังไม่วางขายในประเทศไทยนำมาโชว์และร่วมประมูลในงานมากกว่าทุกครั้ง ตลอดจนโปรโมชันพิเศษที่นำมา ลด แลก แจก แถม ในสไตล์ของงาน คอมมาร์ต  และงานนี้คงต้องจับตาแท็บเล็ต ว่าจะขยับยอดขายเพิ่มขึ้นจากงาน “คอมมาร์ต ซีมาร์ต 2011” เป็น 2 เท่าได้หรือไม่

“ตามธรรมเนียมของงานคอมมาร์ต ทราบกันดีว่าสินค้าไอทีที่มาจำหน่ายในงานเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเยี่ยม ราคาถูก ส่งผลให้งาน คอมมาร์ต ในแต่ละครั้งยอดขายไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท โดยมีส่วนผลักดันให้ตลาดไอทีเติบโตได้ตามเป้า คือ 14 % ภายในปีนี้    สำหรับครึ่งปีหลังนี้   คาดว่าจะเป็นช่วงขาขึ้นของตลาดไอทีในประเทศ  เพราะสอดรับกับช่วงที่ประเทศมีรัฐบาลใหม่พอดี  โดยความต้องการใช้ไอทียังมีเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ  ก็เข้ามาเสริมการเรียน การสอน ทั้งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ รวมทั้งพนักงานบริษัท และองค์กรต่างๆ  ด้วย  ซึ่งจะเห็นว่า   อุปกรณ์ไอทีเข้าไปมีบทบาทในทุกส่วนของการใช้ชีวิตประจำวันของทุกเพศ  ทุกวัย  และในปัจจุบันสถาบันการศึกษาบางแห่ง ก็หันมาให้แท็บเล็ตแทนหนังสือบ้างแล้ว ซึ่งก็เป็นทิศทางที่ดีในอนาคตของตลาดไอที” นายปฐม กล่าว

สำหรับสินค้าใหม่ๆ ที่น่าสนใจหลากหลายยี่ห้อที่นำมาจำหน่ายในราคาพิเศษ มีให้เลือกสรรมากมายโดยเฉพาะแท็บเล็ตที่กระแสตอนนี้มาแรงอย่างมาก  อาทิ  Ipad , Toshiba , Acer, Dell, Sony, HTC Flyer version 2.3, Samsung Tab Gloria ขนาด 10 นิ้ว จะมาจำหน่ายในราคาพิเศษ ส่วนระบบปฏิบัติการที่จะเปิดตัวในงานนี้ อาทิ Android 3.0 และ Mac OS X Lion  นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันในราคาพิเศษสุด ที่บริษัทคู่ค้าพันธมิตรเตรียมขนมา ลด แลก แจก แถม อีกมากมาย อาทิ โซนแอสเซสเซอร์รี่และฮาร์ดแวร์เฮาส์ ลดสูงสุด 70% ด้านโน้ตบุ๊กราคาโดนๆ ไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท อาทิ โน้ตบุ๊กซัมซุง RV – 413-S02TH ราคาเพียง 8,900 บาท (ไม่รวม Vat) , มินิโน้ตบุ๊ก 12.1 จาก ASUS เพียง 9,900 บาทเท่านั้น และชอปครบทุก 10,000 บาท มีสิทธิ์ลุ้นตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ 2 ที่นั่งฟรี (วันละ 3 รอบ) ส่วนโน้ตบุ๊ก ACER Aspire One เพียง 9,900 และเปิดตัวครั้งแรกในงานนี้ Iconia Tab W501 (3G) ราคาเพียง 20,900 บาท พร้อมของแถมมากมาย พิเศษสุดสำหรับผู้ที่ชอปสินค้ายอด สูงสุดในงาน จะได้นั่งเฮลิคอปเตอร์พร้อมคนสนิทชมวิวรอบกรุงเทพฯ อีกด้วย และผู้ที่ซื้อสินค้าไอทีครบทุก 3,000 บาท  มีสิทธิ์ได้รับคูปองชิงโชคลุ้นรับรถยนต์ นิสสัน มาร์ช มูลค่ากว่า 4 แสนบาท และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

ทางด้าน เทคโนโลยีที่น่าสนใจ ที่เป็นไฮไลท์ของงานคอมมาร์ต ครั้งนี้ ได้แก่ Toshiba Qosmio F750 โน้ตบุ๊ค 3D มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวแรกของโลก Lens for Iphone  ที่จะตอบสนองสาวกไอโฟนได้อย่างน่าประทับใจ โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนจากกล้องดิจิตอลธรรมดาติดกับเครื่องไอโฟน ให้กลายเป็นกล้องแบบมืออาชีพได้,  Seagate  GoFlex  Satellite ฮาร์ดดิสก์พกพาไร้สาย รุ่นแรกของโลกที่เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi,  John’s Phone มือถือแอนตี้สมาร์ท โฟนตัวแรก,  ปากกาไฮเทค (Magic Pen) เขียน – บันทึกไฟล์ ส่งต่อง่ายด้วยปลายปากกา  นอกจากนี้ ยังมี Mini Camcorder กล้องสายลับตัวจิ๋ว : คุณภาพเกินตัว ซึ่งสินค้าเหล่านี้จะนำมาโชว์และร่วมประมูลในงานในราคาเริ่มต้นที่ 1 บาท

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Workshop ที่น่าสนใจไม่ควรพลาด อาทิ  ข้อมูลหาย กู้กลับได้ด้วย ศูนย์กู้ข้อมูล IDR อนาคตของ Social media จะเป็นอย่างไร ,  รู้ก่อนสาย! ภัยจากอีเมล์และโซเชียลเน็ตเวิร์ก By Computer. Today / Panda ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมฟังได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วน Workshop ที่เสียค่าอบรม หัวข้อละ 600 บาท Format มือใหม่ หัดล้างเครื่อง ลงโปรแกรม ง่ายๆชิวๆ เน็ตเวิร์คง่ายๆ ทำได้เองจริงนะ   ติดตั้ง App บน iPhone / iPad ง่ายๆ ไม่เสียเงินสักบาท    สนใจสำรองที่นั่งกันได้ที่ www.commartthailand.com นอกจากนี้ ยังมีมุม Buyer Guide’s ปรึกษาก่อนซื้อ ตรวจสอบก่อนกลับ  กับทีมบรรณาธิการจาก  นิตยสาร Commart  และพลาดไม่ได้ กิจกรรม Auction การประมูลสินค้าไอทีคุณภาพเยี่ยม

สำหรับบริษัทไอทีชั้นนำ และพันธมิตรผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการจัดงาน  “คอมมาร์ต เอ็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2011” ประกอบด้วย บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย),  บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด,  บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด,  บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด, บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน),  บริษัท ฮาร์ดแวร์ เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยศรีปทุม

โน้ตบุ๊คในงานคอมมาร์ต เอ็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2011 ราคาพิเศษไม่ถึง 1 หมื่นบาท

แท็บเล็ตสินค้าสุดฮิตได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในงานคอมมาร์ต เอ็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2011

แบล็กเบอร์รี่ Playbook โปรโมชั่นพิเศษในงานฟรี WIFI ให้เล่นไม่อั้นนาน 3 เดือน (100 ท่านแรก)

ICONIA TAB A500 จาก Acer แอนดรอย 3.0 สามารถอัพเดทเป็น แอนดรอยด์ 3.1 ได้ดาวน์โหลดฟรีมากกว่า 150,000 แอพ

Qosmio F750-1004X จากToshiba โน้ตบุ๊ค 3 มิติ โดยไม่ต้องใช้แว่นเครื่องแรกของโลก

View :1938

ก.ไอซีที เตรียมพร้อมซักซ้อมรับมือภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

July 21st, 2011 No comments

นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยถึงการซ้อมรับมือภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ครั้งที่ 1 ตามโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังภัยคุกคามการกระทำความผิดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ว่า ปัจจุบันภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้นเกิดขึ้นหลายรูปแบบ ทั้งภัยคุกคามที่เกิดจากการใช้ / เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของบุคคล สถาบัน หรือก่อความไม่สงบ ภัยคุกคามที่เกิดจากโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นด้วยความประสงค์ร้าย ที่มุ่งให้เกิดความขัดข้องหรือเสียหายกับระบบ ภัยคุกคามที่เกิดจากความพยายามบุกรุก / เจาะเข้าระบบ หรือระบบถูกครอบครองโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งภัยคุกคามที่เกิดจากการฉ้อฉล ฉ้อโกง หรือการหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ เป็นต้น

ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้ดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามหลากหลายรูปแบบดังกล่าว ด้วยการจัดทำโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังภัยคุกคามการกระทำความผิดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และจัดกิจกรรมการซักซ้อมรับมือภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงความจำเป็นในการเตรียมรับมือภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในหน่วยงานระดับกระทรวงฯ รวมทั้งเพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือเมื่อเกิดภัยคุกคามฯ ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมความเสียหาย แก้ไข และกู้คืนระบบได้ตามกรอบขั้นตอนการปฏิบัติงานที่วางไว้ ตลอดจนเพื่อจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งนโยบายหรือมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัย ด้านกฎหมาย ด้านบุคลากร และระบบที่พร้อม  ใช้งานเพื่อรับมือกับภัยคุกคามดังกล่าวอีกด้วย

สำหรับรูปแบบการซักซ้อมรับมือภัยคุกคามฯ นั้น ได้มีการจำลองเหตุการณ์ภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยให้ผู้แทนหน่วยงานของรัฐระดับกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมการซักซ้อมในบทบาทสมมติ เช่น ผู้พบเหตุ / ผู้แจ้งเหตุ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง / ผู้บริหารฝ่ายงานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงาน ผู้ดูแลระบบของหน่วยงานที่ถูกภัยคุกคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และให้เผชิญกับสถานการณ์จำลองที่กำหนด นั่นคือ ภัยคุกคามที่เกิดจากระบบของหน่วยงาน  ถูกเจาะ และมีเว็บไซต์เลียนแบบหน่วยงานอื่นติดตั้งอยู่ ซึ่งต้องดำเนินการแก้ไขปิดเว็บไซต์เลียนแบบดังกล่าวโดยด่วน เป็นต้น

“ในการซักซ้อมรับมือภัยคุกคามฯ นั้น ต้องยึดรูปแบบและขั้นตอนตามกรอบการปฏิบัติงานที่วางไว้ โดยเริ่มจาก 1.การระบุเหตุและรายงานภัยคุกคามฯ เพื่อตรวจสอบและบันทึกภัยคุกคามฯ ประเมินผลกระทบ และระบุถึงหน่วยงาน / บุคคลที่เกี่ยวข้องในการ  แจ้งเหตุและรับมือภัยคุกคามฯ 2.การควบคุมภัยคุกคามฯ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากภัยคุกคามฯ ให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุดและป้องกันไม่ให้มีการลุกลามหรือขยายวงไปยังจุดอื่นๆ 3.การแก้ไขเหตุและกำจัดเหตุของภัยคุกคามฯ ที่เกิดขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามในลักษณะเดิมซ้ำอีก 4.การกู้คืนระบบ ให้อยู่ในสภาพการให้บริการแบบปกติ และ 5.กิจกรรมภายหลังการคุกคามฯ เป็นการประเมินผลในการดำเนินการรับมือภัยคุกคามฯ รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบ และบันทึกรายงานการดำเนินงาน เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทราบและใช้เป็นกรณีศึกษาในภายหลัง” นางเมธินี กล่าว

ส่วนหน่วยงานที่เข้าร่วมการซักซ้อมรับมือภัยคุกคามฯ ครั้งนี้ มีจำนวน 26 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี หน่วยงานระดับกระทรวง 18 กระทรวง และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอีก 7 หน่วยงาน

View :1451

เออาร์ไอพี เปิดงานคอมมาร์ต เอ็กซ์เจน 2011

July 21st, 2011 No comments


บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัทพันธมิตรธุรกิจไอทีชั้นนำ เปิดงาน“คอมมาร์ต เอ็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2011 “eXpress your eXperience : เปิดพลังสร้างสรรค์ความเป็นคุณ” งานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอทีที่ใหญ่ที่สุดอย่างเป็นทางการ โดยมี นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน)(ที่ 3 จากซ้าย) และนายแจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ ประธานบริษัท กลุ่มแอดวานซ์ รีเสิร์ช จำกัด (ทึ่ จากซ้าย) เป็นประธานเปิดงานร่วมกัน โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 24 กรกฎาคม 2554 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ

View :2346