Archive

Archive for August, 2011

ก.ไอซีที จับมือ สปริง นิวส์ เพิ่มช่องทางการเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติ

August 22nd, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ “การแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเตือนภัยพิบัติ” ระหว่าง ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและ บจ. สปริง คอร์ปอเรชั่น ว่า ปัจจุบันศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศภช.) เป็นหน่วยงานหลักของประเทศที่มีความสำคัญอย่างมากในการแจ้งเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ เพื่อลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นได้ทวีความรุนแรง และสร้างความเสียหายครอบคลุมไปในพื้นที่หลายจังหวัด โดยเฉพาะอุทกภัยที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ที่ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ดังนั้น ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อสร้างเครือข่ายในการเฝ้าระวังและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยศูนย์เตือนภัยฯ ได้ร่วม ลงนามบันทึกความเข้าใจ “การแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเตือนภัยพิบัติ” กับ บจ. สปริง คอร์ปอเรชั่น เพื่อเพิ่มช่องทางหลักอย่างเป็นทางการในการเผยแพร่ข้อมูลการเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติไปยังสาธารณชน โดยการใช้สถานีโทรทัศน์ “” (Spring News) เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งประชาสัมพันธ์เผยแพร่ภารกิจ และความสำคัญของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเตือนภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นไปยังสาธารณชน ผ่านทางเครือข่ายการรับชมของสถานีโทรทัศน์สปริง นิวส์ และเครือข่ายพันธมิตร รวมถึงระบบข่าวสั้นเตือนภัย (เอสเอ็มเอส) พร้อมกันนี้ยังเป็นการสนับสนุนและร่วมมือกันสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ ให้กับสาธารณชน เพื่อสร้างความพร้อมในการรับมือภัยธรรมชาติ ตลอดจนร่วมกันพัฒนาบุคลากร และระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” นางจีราวรรณ กล่าว

สำหรับสถานีโทรทัศน์ “สปริง นิวส์” เป็นสถานีข่าว 24 ชั่งโมง ออกอากาศทั้งระบบ C-Band และ KU-Band ผ่านช่องสัญญาณดาวเทียม THAICOM 5 และ NSS6 พร้อมเครือข่ายเคเบิลทุกจังหวัด ครอบคลุมผู้ชมโทรทัศน์กว่า 13 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ และสามารถรับชมได้ทาง Internet และ Social Network

View :1384

ริม ประกาศเปิดตัว BlackBerry Management Center บริการออนไลน์ สำหรับองค์กรธุรกิจขนาดย่อม

August 19th, 2011 No comments

บริการออนไลน์ ฟรี! ที่จะช่วยองค์กรธุรกิจขนาดย่อมในการบริหารจัดการและปกป้องแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนจากศูนย์กลางบนระบบคลาวด์

รีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือ ริม (Research In Motion – RIM) (NASDAQ: RIMM; TSX: RIM) ประกาศเปิดตัว BlackBerry® Management Center บริการออนไลน์ ฟรี* สำหรับองค์กรธุรกิจขนาดย่อม เพื่อการบริหารจัดการองค์กรหรือพนักงานที่ใช้งานแบล็กเบอร์รี่® สมาร์ทโฟนจากศูนย์กลางบนระบบคลาวด์ และปกป้องข้อมูลทางธุรกิจที่อยู่บนมือถือ โดยบริการดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อองค์กรธุรกิจที่มีพนักงานใช้งานแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนจำนวนสูงถึง 100 เครื่อง ในการเชื่อมต่อกับบริการอีเมล์จากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) รายต่างๆ หรือบริการเว็บอีเมล์ อย่าง Gmail, Hotmail, และ Yahoo!

มร. อลัน เพนซิค รองประธาน ฝ่ายบริหารจัดการผลิตภัณฑ์กลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์ บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแนะนำบริการระบบคลาวด์ใหม่ล่าสุดของริม ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อองค์กรธุรกิจขนาดย่อมโดยเฉพาะ บริการ เป็นบริการที่ใช้งานได้ฟรี นำเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและรองรับการใช้งานแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนของพนักงานในองค์กรบนระบบคลาวด์”

บริการ BlackBerry Management Center ช่วยให้การบริหารจัดการองค์กรหรือพนักงานที่ใช้งานแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนบนระบบคลาวด์เป็นไปได้อย่างง่ายดาย และช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญหายของมือถือหรือถูกขโมย และทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยองค์กรธุรกิจขนาดย่อมสามารถใช้บริการดังกล่าว ในการ:

- สำรองข้อมูลจากแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนแบบอัตโนมัติ ได้เป็นประจำทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลทางธุรกิจบนมือถือที่สูญหายไปกลับคืนมาได้

- ป้องกันข้อมูลบนแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนของพนักงาน ที่มีการสูญหายหรือถูกขโมย ด้วยการล็อคเครื่องจากระยะไกล และหากจำเป็นก็สามารถลบข้อมูลดังกล่าว รวมถึงข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำ microSD card ได้เช่นกัน

- ค้นหาตำแหน่งแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนที่หายไป ด้วยการล็อคเครื่องจากระยะไกล เปิดระบบเสียงเรียกเข้าให้อยู่ในระดับดัง และแสดงข้อความบนหน้าจอหลักของเครื่อง

- กู้คืนการตั้งค่าและข้อมูลจากมือถือเครื่องเก่า บนมือถือเครื่องใหม่หรือเครื่องสำรองได้อย่างง่ายดาย

- ตั้งค่ารหัสผ่านใหม่

ข้อมูลเกี่ยวกับ BlackBerry Management Center ซึ่งสามารถใช้บริการได้แล้ววันนี้ สามารถเข้าไปที่ www.blackberry.com/managementcenter และสำหรับหน้าเว็บภาษาไทย สำหรับองค์กรธุรกิจในประเทศไทย ไปที่ http://th.blackberry.com/BBMC

View :1331

ก.ไอซีที ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาวิชาการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

August 19th, 2011 No comments


นายวรพัฒน์ ทิวถนอม รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พร้อมด้วย พลเอกพหล สง่าเนตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมเป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ณ สโมสรทหารบก กรุงเทพฯ การสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวกับภัยคุกคามที่มาจากไซเบอร์ โดยการระดมผู้บริหาร ผู้ดูแลระบบ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสายงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน กว่า 400 คน มาร่วมสัมมนาฯ วางแผนปฏิบัติการป้องกันภัยคุกคามที่มาจากไซเบอร์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งถือเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการป้องกันภัยคุกคามดังกล่าว ตลอดจนเป็นการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีการป้องกันภัยคุกคามที่มาจากไซเบอร์ รวมถึงการวิจัยทางด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งจะ ทำให้เกิดเป็นเครือข่ายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย ที่ส่งผลให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของชาติในที่สุด

View :1881

ก.ไอซีที เชิญชวนประชาชนใช้บริการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน GCC 1111

August 19th, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินงานของศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน ( : ) ว่า ปัจจุบัน ได้ให้บริการข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ทั้ง 20 กระทรวง และอีก 13 หน่วยงานอิสระ โดยได้มีการประสานกับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลในการพัฒนาปรับปรุงข้อมูลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อนำเข้าข้อมูลที่ทันสมัยพร้อมให้บริการแก่ประชาชนอยู่ตลอดเวลา โดยแต่ละเดือนมีจำนวนสายเรียกเข้าเฉลี่ยประมาณ 600,000 ครั้ง ซึ่งสามารถแบ่งสัดส่วนจำนวนสายเรียกเข้าเป็นบริการสอบถามข้อมูลประมาณร้อยละ 70 และบริการรับเรื่องร้องเรียน ประมาณร้อยละ 30

สำหรับข้อมูลที่ประชาชนส่วนใหญ่สนใจสอบถามนั้นเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การทำบัตรประจำตัวประชาชน ครั้งแรก กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต การนำเงินบำนาญตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว เป็นต้น ซึ่ง GCC 1111 ได้มีการปรับปรุงในระบบเพื่อให้ข้อมูลต่างๆ เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าวประจำวัน ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลเศรษฐกิจและพยากรณ์อากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการให้ได้ตามที่เกณฑ์มาตรฐานการให้บริการข้อมูลข่าวสารเพื่อการควบคุมคุณภาพการให้บริการของ GCC 1111 เพื่อให้ตอบสนองบริการต่อประชาชนได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังได้พัฒนาคุณภาพของพนักงานรับสายอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดอบรมเพื่อมุ่งเน้นเพิ่มองค์ความรู้และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน รวมถึงการให้องค์ความรู้และพัฒนาการให้บริการกับพนักงานรับสายที่เข้าทำงานใหม่ เช่น หลักสูตรคุณภาพในการให้บริการ หลักสูตรทักษะการให้บริการงาน Call Center หลักสูตรจิตวิทยาในการทำงาน หลักสูตรองค์ความรู้ของกระทรวง เป็นต้น

“GCC 1111 ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทำความตกลงสร้างเครือข่ายร่วมกับศูนย์บริการข้อมูลสรรพากร (RD Call Center 1161) โดยการจัดให้มีทีมงานให้บริการข้อมูลด้านภาษีแก่ประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้าถึงเจ้าหน้าที่ได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนั้นยังได้มีการหารือร่วมกับสำนักงาน ตรวจคนเข้าเมือง ถึงแนวทางในการเชื่อมโยงการให้บริการ โดยเบื้องต้นให้ประชาชนสามารถติดต่อผ่านเลขหมาย 1178 ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือสามารถติดต่อมายัง GCC1111 เพื่อขอใช้บริการได้เช่นกัน ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะได้มีการพิจารณาทำความตกลงในการพัฒนาการให้บริการร่วมกันต่อไป” นางจีราวรรณ กล่าว

ปัจจุบัน GCC 1111 ได้เปิดบริการสอบถามข้อมูลทั่วไป ข้อมูลสถานที่ เลขหมายเพื่อการติดต่อ และรับเรื่องร้องเรียน ให้ประชาชนทั่วไปสามารถติดต่อได้ใน 4 ช่องทาง คือ โทรศัพท์หมายเลข 1111 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รับสายทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง อีเมล์ contact_1111@gcc.go.th เว็บไซต์ www.gcc.go.th และ โทรสารหมายเลข 1111

“กระทรวงไอซีที ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไปใช้บริการสอบถามข้อมูลจาก GCC 1111 ซึ่งได้มีการรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร และบริการจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ มาไว้ ณ จุดเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในการสอบถามข้อมูลต่างๆ ผ่านเลขหมาย GCC 1111 เพียงเลขหมายเดียว”

View :1556

กสิกรไทยให้ลูกค้า i-KooL เล่นเน็ต 3G ฟรีได้ 3เท่า เพียงเติม data ผ่าน K-Mobile Banking PLUS

August 19th, 2011 No comments

นายอาจ วิเชียรเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ นายสุรช ล่ำซำ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่เติมเงิน Data Real 3G (SIM Data) ราคา 100 บาท ผ่าน (บริการธนาคารทางโทรศัพท์มือถือกสิกรไทย) รับเน็ต 3G เพิ่ม 3 เท่า จาก 250 MB เป็น 750 MB และเติม Data 100 บาท ครบ 3 ครั้ง รับบัตรกำนัล Big C มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 15 ก.ย. 54 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 0 2888 8888 กด 03

View :2912

กรุงศรีเปิดตัว Krungsri Banking SIM ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย

August 19th, 2011 No comments


กรุงศรีรุกบริการธนาคารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Channel) ล่าสุดขึ้นแท่นผู้นำบริการธนาคารผ่านโทรศัพท์มือถือ นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทุกกลุ่ม ทั้งในแบบทั่วไป (Non-Smartphone) และแบบสมาร์ทโฟน (Smartphone) เปิดตัว ที่เพียงประกบแผ่นฟิล์มบนซิมการ์ดมาตรฐานทุกรุ่น ก็สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน โดยไม่ต้องเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต ครอบคลุมรุ่นโทรศัพท์มากที่สุด ใช้งานได้กับทุกค่ายโทรศัพท์มือถือ ด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด พร้อมนวัตกรรมKrungsri Mobile Application ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ด้วยบริการที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว อีกหนึ่งบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนปรับภาพลักษณ์และยกระดับทางการตลาด “Make Life Simple เรื่องเงิน เรื่องง่าย”

นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงศรีได้พัฒนาช่องทางบริการการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Channel) อย่างเต็มตัว สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมองค์กรของเราที่ก้าวไปพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัยในปัจจุบัน หนึ่งในนวัตกรรมอันโดดเด่นที่กรุงศรีนำเสนอ คือ Krungsri Banking SIM บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นช่องทางสำคัญที่จะช่วยทำให้ชีวิตของลูกค้าทุกคน สะดวกสบายขึ้น ลดความซับซ้อน และลดทอนเวลาในการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างชัดเจน ตอกย้ำภาพลักษณ์ ‘Make Life Simple เรื่องเงิน เรื่องง่าย’ ของกรุงศรี

Krungsri Banking SIM บริการรูปแบบใหม่ล่าสุด ที่แตกต่างจากบริการเดิมที่มีอยู่ในตลาดอย่างชัดเจน ด้วยเทคโนโลยีแผ่นฟิล์มที่ใช้ประกบบนซิมการ์ดขนาดมาตรฐานทุกรุ่น ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินแบบง่ายๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และยังสามารถใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือทุกรุ่น ทุกระบบ ลูกค้าสามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ด หรือเครือข่ายผู้ให้บริการ (Service Provider)

Krungsri Banking SIM จะช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมและใช้บริการทางการเงินได้อย่างหลากหลาย ทั้งการตรวจสอบยอดเงินในบัญชีหลัก และบัญชีรอง โอนเงินภายในและต่างธนาคาร เติมเงินมือถือ ชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ตรวจสอบการทำรายการย้อนหลัง และตรวจสอบหรือแลกเงินสด Yellow Points ซึ่งลูกค้าสามารถใช้งานได้สะดวกในทุกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตบนมือถือ โดยมีจุดเด่นเรื่องของความรวดเร็วของระบบปฏิบัติการในทุกขั้นตอนคำสั่งใช้งาน ด้วยความเร็วสูงสุดเมื่อเทียบกับรูปแบบธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน

Krungsri Banking SIM ยังมีระบบความปลอดภัยสูงสุด ด้วยการใช้ระบบความปลอดภัย 2 ชั้น (Double Security) โดยลูกค้าจะได้รับ PIN ตัวเลขจำนวน 4 หลัก และ Password ตัวเลขจำนวน 6 หลัก เพื่อเข้าสู่เมนูคำสั่ง และทำรายการ เมื่อลูกค้าทำรายการเสร็จสิ้นจะได้รับการยืนยันการใช้งานผ่าน SMS ทั้งนี้ ลูกค้าธนาคารสามารถเปิดใช้บริการ Krungsri Banking SIM ได้ที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยากว่า 600 สาขาทั่วประเทศ เพียงชำระค่าบริการรายเดือน 15 บาทต่อเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมซิม

นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านบริการทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรุงศรีกำลังพัฒนา Krungsri Mobile Application สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือในกลุ่ม สมาร์ทโฟน และผู้ใช้งานแทบเล็ต (Tablet) โดยเฉพาะ ถือเป็นแอพพลิเคชั่นแรกในตลาดที่สามารถรวบรวมผลิตภัณฑ์ทั้งของธนาคารและบริษัทในเครือรวมอยู่ในแอพพลิเคชั่นดังกล่าว โดยมีทั้งข้อมูลผลิตภัณฑ์ ข้อมูลล่าสุดของลูกค้าในแต่ละผลิตภัณฑ์ การเข้าถึงบริการอย่างครบวงจร และยังผนวกรวมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟน ที่สนุกสนานกับการแชร์คอนเท็นต์ การแสดงความเห็นในสังคมออนไลน์ไว้อย่างครบครัน ซึ่งถือว่าตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าว

นายฐากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันลักษณะการใช้งานโทรศัพท์มือถือของคนไทย มีสัดส่วนเป็นโทรศัพท์มือถือทั่วไป 80% และสมาร์ทโฟน 20% บริการทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรุงศรีสามารถครอบคลุมทุกกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่มีอยู่ในตลาด โดยไม่แยกระบบเครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่ง ที่สำคัญคือ สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้ในทุกจุดอย่างชัดเจน

“ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในทุกๆ ช่องทางของผลิตภัณฑ์และบริการ ทุกก้าวของพัฒนาการที่เกิดขึ้นของกรุงศรีนั้นได้เดินหน้าเป็นไปตามแผนการตอกย้ำภาพลักษณ์และยกระดับทางการตลาด Make Life Simple เรื่องเงิน เรื่องง่าย ผ่านการปรับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้สะดวกง่าย บริการบนมือถือดังกล่าวจึงเป็นหนึ่งบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นภายใต้แผนดังกล่าว” นายฐากร กล่าวในที่สุด

ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดต่อ Krungsri Call Center 1572

View :3201

MFEC มั่นใจครึ่งปีหลังทำผลงานโตต่อ หลัง Q2/54โชว์กำไรพุ่งเกือบ 200%

August 18th, 2011 No comments

” แม่ทัพใหญ่ มั่นใจผลประกอบการครึ่งปีหลังมีแนวโน้มโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก หลังอุตสาหกรรมไอทีขยายตัวคึกคัก หนุนปริมาณงานไหลเข้าตลาดเพิ่มขึ้น เชื่อสิ้นปีปั๊มรายได้ทะลุ 3,500 ลบ.หายห่วง ส่วนผลงานโค้ง 2 ปีนี้โชว์กำไรยอดเยี่ยมพุ่ง 199% จาก 20 ลบ.ในปีก่อน เป็น 61 ลบ. เป็นผลจากรายได้ที่โตถึง 103% จาก 532 ลบ.ในปีก่อนมา เป็น 1,077 ลบ. แถมหนุนผลงานครึ่งปีแรกสดใสกำไรทะลุ 82 ลบ. เพิ่มขึ้น 40ลบ. หรือ 96% จากงวดเดียวกันปีก่อน

ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC

นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังว่ายังขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตามทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมไอที โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมไอทีอย่างชัดเจน จึงเชื่อว่าจะมีงานใหม่ๆ ไหลเข้าสู่ตลาดอีกเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท และคาดว่ารับรู้รายได้ปีนี้ 70 – 80% ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปีถัดไป นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมประมูลงานใหม่ๆ ต่อเนื่องกระจายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเบื้องต้นเตรียมประมูลงานรัฐวิสาหกิจ มูลค่าอีกประมาณ 800 ล้านบาท ขณะเดียวกันได้เตรียมพัฒนาระบบ Software ต่างๆ เพื่อสร้าง Content ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นรองรับตลาดไอทีที่ขยายตัว ซึ่งในอนาคตมีโอกาสที่บริษัทฯ จะรับงานในภาครัฐบาลเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันบริษัทฯ รับงานภาครัฐบาลสัดส่วน 30% และรับงานภาคเอกชนสัดส่วน 70% ซึ่งการรับงานได้อย่างคล่องตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากการรวมตัวกับบริษัทไอทีชั้นนำในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ MFEC GROUP แข็งแกร่งมากขึ้น และมั่นใจว่าในปีนี้จะผลักดันรายได้ทั้งปีให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,500 ล้านบาทได้สำเร็จ

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2554 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 545 ล้านบาท หรือร้อยละ103จากงวดไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ที่มีรายได้ 532 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.22 บาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท หรือร้อยละ 199 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.08 บาท

ในขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2554 (มกราคม – มิถุนายน 2554) บริษัทฯ มีรายได้ 1,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 563 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.57 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,263 ล้านบาท และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.29 บาท เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท หรือร้อยละ 96 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 42 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.17 บาท สำหรับปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการส่งมอบงานได้ดีขึ้น ทำให้รับรู้รายได้เต็มที่ทั้งจากงานปัจจุบัน และงานที่ชะลอการส่งมอบมาจากช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา

“ผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ผ่านมาของบริษัทฯ ถือว่าน่าพอใจ ซึ่งตามปกติผลประกอบการครึ่งปีแรก คิดเป็น 40% ของรายได้รวม ขณะที่ 60% จะรอรับรู้ในครึ่งปีหลัง ซึ่งเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่วางไว้ 3.5 พันล้านบาทยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน และคาดว่าทำได้ตามที่วางไว้ จากความแข็งแกร่งของ MFEC GROUP ที่ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นและรองรับงานได้กว้างขวางขึ้น” นายศิริวัฒน์ กล่าว

*************************
ข้อมูลบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน)

บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ประกอบธุรกิจบริการให้คำปรึกษา พัฒนา และวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าวิสาหกิจ (Enterprise) ขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีพนักงานรวมบริษัทในเครือ 4 บริษัททั้งสิ้นกว่า 1,000 คน ในจำนวนนี้ ร้อยละ 80 เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างสูง มีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 200 บริษัท และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอที กลายเป็น MFEC GROUP ซึ่ง 3 บริษัทไอทีชั้นนำดังกล่าวประกอบด้วย

บริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด หรือ BAC เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนจำหน่ายของ IBM COGNOS ซอฟท์แวร์ด้าน Business intelligence (BI) รายเดียวในประเทศไทย

บริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์โดยเป็นบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติไทยผู้วิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนเอง เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท Motif เอง ที่ใช้ในระบบงานโอเปอเรชั่นของสถาบันการเงินการธนาคาร งานกฎหมาย การบริหารองค์กรภาครัฐ มีวิศวกรทางด้านซอฟแวร์กว่า 100 คน และมีลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่กว่า 20 แห่ง

บริษัท ซอฟต์สแควร์ กรุ๊ป ให้บริการด้านการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีบุคลากรประมาณ 400 คน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทในเครือ 8 บริษัท ถือเป็นบริษัทซอฟท์แวร์เฮาส์คนไทยที่มีอายุงานยาวนานและมีการเติบโตยั่งยืนต่อเนื่องที่สุด ปัจจุบันกลุ่มบริษัท ซอฟต์สแควร์ ได้รับความไว้วางใจในการจัดหาและติดตั้งระบบงานคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้กับองค์กรชั้นนำ ทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและอุตสาหกรรมการผลิตกว่า300 ราย ทั้งในและต่างประเทศ

View :1644

ทรูไลฟ์ เปิดตัว “iRu Day” เพื่อชีวิตไม่ตกเทรนด์ ระดมเหล่ากูรูขั้นเทพ อัพเดทเทคโนโลยี พร้อมแอพพลิเคชั่นล้ำต่อเนื่อง

August 18th, 2011 No comments

แนะนำ 3 แอพใหม่โดนใจ myLife, TrueLife TV และ Guru Daily

ทรูไลฟ์ ต่อยอดสร้างคอมมูนิตี้นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นไทย เปิดงาน เพื่อชีวิต “ไม่ตกเทรนด์” ครบวงจร รวมกูรูหลากหลายไลฟ์สไตล์อัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ อาทิ เทคโนโลยี Gadget แอพพลิเคชั่น ให้บล็อกเกอร์ Web Developer และผู้สนใจได้พบปะสังสรรค์ แชร์ประสบการณ์ และเสนอผลงาน ณ ทรูมูฟ สแควร์ (สยามสแควร์ ซอย 2) คอมมูนิตี้คนอินเทรนด์ เชิญชวนร่วมเป็นสมาชิก iRU Foundation Member รับสิทธิพิเศษสัมผัสนวัตกรรมจากทรูก่อนใคร พร้อมเปิด 3 แอพพลิเคชั่นใหม่อินเทรนด์ myLife, TrueLife TV และ Guru Daily (Beta Test) ที่รวมคอนเทนต์คุณภาพเชื่อมต่อโซเชียล เน็ตเวิร์ค สะดวก คุ้มค่า มั่นใจเติมเต็มหลากหลายไลฟ์สไตล์ เพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่และคนไทยโดยเฉพาะ

นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข กรรมการผู้จัดการ คอนเวอร์เจนซ์ กลุ่มบริษัททรู และกรรมการผู้จัดการ กลุ่มลูกค้าธุรกิจ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ทรูไลฟ์ ผู้ให้บริการดิจิตอลคอนเทนต์ ภายใต้กลุ่มทรู เล็งเห็นการเติบโตของการใช้งานคอนเทนต์ และดาต้าบนสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อสนองตอบความต้องการของคนไทยที่ไม่ยอมตกเทรนด์ จึงนำกลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ ผสมผสานเทคโนโลยีและคอนเทนต์ เปิดงาน “iRu Day” วันนัดพบของคนอินเทรนด์ คอมมูนิตี้แหล่งใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้น เปิดโอกาสให้นักพัฒนา บล็อกเกอร์ และผู้สนใจทั่วไป พบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อต่อยอดคอมมูนิตี้นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นเลือดไทย จาก “ App Center” สถาบันศูนย์กลางการศึกษาเพื่อการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับมือถือทุกแพลตฟอร์ม ณ ทรูมูฟ สแควร์ (สยามสแควร์ ซอย 2) ทั้งยังรวมกูรูจากหลากหลายไลฟ์สไตล์ อาทิ บัญชา ชุมชัยเวทย์, โจ๊กเกอร์-นพชัย มัททวีวงศ์, ประภัสสร เสวิกุล, นรเศรษฐ์ หมัดคง, ซี-ฉัตรปวีร์, วงลิปตา, แจ๊คกาลีน-ทีวีพูล, แป้งโกะ และ Jediyuth เป็นต้น มาอัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ ทั้งสาระ และบันเทิงครบวงจร เพื่อจุดประกาย เพิ่มแรงบันดาลใจสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาคอนเทนต์ ตลอดจนแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ให้ตอบสนองตรงใจคนไทยยิ่งขึ้น พร้อมเชิญชวนร่วมเป็นสมาชิก iRu Foundation Member เพื่อรับสิทธิพิเศษสัมผัสนวัตกรรมจากทรูไลฟ์ก่อนใคร

“iRu” มาจากคำว่า “ฉันรู้” แสดงถึงคนอินเทรนด์ ที่อัพเดทข้อมูลจากผู้รู้และผู้นำเทรนด์ตลอดเวลา ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทั้งยังได้รู้ประเด็นฮอตที่อยู่ในกระแส เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ครอบครัว และคนรอบข้าง สามารถรับข้อมูลข่าวสารทุกเรื่องที่อยากรู้ได้สะดวก รวดเร็ว ง่ายดาย และส่งตรงถึงมือทันที อินเทรนด์ตลอดไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์คอนเทนต์ต่างๆ อาทิ ภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์, ดนตรี, กีฬา, เทคโนโลยีและ Gadget, ครอบครัว เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปิดให้ทดลอง 3 แอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุด (Beta Test) ให้อินเทรนด์ก่อนใคร พัฒนาโดยคนไทยเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนไทยโดยเฉพาะ ได้แก่

myLife แอพพลิเคชั่นที่เชื่อมโซเชียล เน็ตเวิร์ค กับโลกสาระและบันเทิงต่างๆ ให้สามารถอัพเดทเรื่องส่วนตัว และอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ในโลก ได้พร้อมๆ กัน ด้วยคอนเทนต์หลากหลายไลฟ์สไตล์ถึง 14 หมวด ให้ผู้ใช้เลือกได้ตามต้องการ ซึ่งนอกจากจะไม่ตกเทรนด์แล้ว ยังเป็นคนแรกที่แชร์เทรนด์ให้เพื่อนฝูงในกลุ่ม

TrueLife TV แอพพลิเคชั่นสำหรับคนที่ติดทีวีให้สนุกมากขึ้น สามารถดูและแชตได้ทันทีกับเพื่อนที่ชื่นชอบรายการเดียวกัน ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยมีช่องรายการให้เลือกกว่า 500 ช่อง

Guru Daily แอพพลิเคชั่นที่รวบรวมคอนเทนต์มากมาย จัดแบ่งไว้ 14 ไลฟ์สไตล์ โดย 40 กูรู ที่สามารถเข้าถึงได้ในทุกช่องทาง ทั้งโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ค แล็บท็อป ไอแพด ผ่านเครือข่าย 3G / Wi-Fi / EDGE โดยผู้ใช้โทรศัพท์พื้นฐาน สามารถฟังข้อมูลข่าวสาร อัพเดทจากกูรู ได้ที่ *873# เลือกฟัง Tech & Gadget หรือสมัครแพ็คเกจ Guru Daily ที่ www.truelife.com สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนสามารถดาวน์โหลด Guru Daily ไว้บนมือถือ (ค่าบริการเพียง 9 บาทต่อวันเท่านั้น) ทดลองใช้ได้ฟรีตั้งแต่ 1 – 30 กันยายน 2554

“iRu Day” จะเปิดมิติใหม่ของคนรุ่นใหม่และคนไทยได้อินเทรนด์ พร้อมติดตามกระแสไลฟ์สไตล์ที่สนใจ เกาะติดทุกความเคลื่อนไหวได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถแบ่งปันเรื่องราว ข่าวฮอต ช็อตเด็ด ให้กลุ่มเพื่อนในโซเชียล เน็ตเวิร์คไม่ตกเทรนด์ มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ของกลุ่มทรู จะสามารถเติมเต็มการใช้ชีวิตของคนยุคดิจิตอลได้อย่างแน่นอน” นายอติรุฒม์ กล่าวสรุป

View :1831

ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ จับมือไมโครซอฟท์ เปิดตัวโซลูชั่นศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวมใหม่

August 18th, 2011 No comments

บริษัท คอร์ปอเรชัน หรือ เอชดีเอส ร่วมกับไมโครซอฟท์ เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชั่นศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวม (Converged Data Center Solutions – CDCS) โดยผนวก Microsoft® Hyper-V™ Cloud Fast Track และ Microsoft Exchange 2010 เป็นครั้งแรก ให้ลูกค้าที่ต้องการใช้งานในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงให้เป็นอย่างเหมาะสม อัตโนมัติ และมีประสิทธิภาพสูง

ผลิตภัณฑ์โซลูชั่นศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวม (Converged Data Center Solutions – CDCS) สามารถลดระยะเวลาการนำไปใช้ ตลอดจนทำให้การปรับใช้ระบบคลาวด์เป็นเรื่องง่ายและกระบวนการที่ทำงานแบบอัตโนมัติ Hitachi CDCS ได้รวมการปรับแต่ง ของระบบจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรขนาดใหญ่ และ ระบบประมวลผลแบบเบลด จากบริษัท ฮิตาชิที่มาพร้อมด้วยโครงสร้างเครือข่ายที่เป็นมาตรฐาน มาปรับใช้อย่างเหมาะสม ที่ครอบคลุม แอพพลิชั่นต่างๆ ในสภาพแวดล้อมของระบบคลาวด์ ภายใต้การนำระบบไปใช้ที่รวดเร็วขึ้น ขยายระบบได้ภายหลัง และมีกระบวนการเป็นอัตโนมัติ โซลูชั่นใหม่นี้ช่วยให้องค์กรสามารถปรับแต่ง สภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ จากสิ่งที่องค์กรมีอยู่ และสามารถคาดการณ์ผลจากการนำไปใช้และความคุ้มค่าได้เร็วขึ้น

นายวัชรสิทธิ์ สันติสุขนิรันดร์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ กล่าวว่า “กลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชั่นศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวม (Converged Data Center Solutions – CDCS) เป็นการผนวกกับ Microsoft® Hyper-V™ Cloud Fast Track และ Microsoft Exchange 2010 จะช่วยวางรากฐานระบบคลาวด์ หรือโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ ด้วยการปรับแต่งระบบของระบบต่างๆมาใช้ร่วมกันได้ อันได้แก่ ระบบจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล และการเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล องค์กรหลายแห่งต้องการได้รับประโยชน์จากระบบส่วนตัวภายใต้สภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นด้วยวิธีใดเนื่องจากมีข้อมูลน้อยมากสำหรับ มาตรฐาน การปรับแต่งเพื่อทำงานรวมกัน และการรับรอง สำหรับการนำใช้งานภายใต้สภาพแวดล้อมคลาวด์ ที่สามารถแสดงผลสำเร็จที่เด่นชัดและเชื่อถือได้ การผสานรวมอุปกรณ์ต่างๆ จาก ระบบจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล และเครือข่ายการสื่อสาร ของ Hitachi CDCS จะนำเอาจุดได้เปรียบที่เด่นชัดของความเชื่อมั่นของอุปกรณ์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ความรวดเร็วในการปรับใช้ ประสิทธิภาพ และระบบบริหารจัดการ ที่แตกต่างชัดเจนเมื่อเทียบกับโซลูชั่นที่มีการผสานรวมกันอย่างหลวมๆ โดยไม่ได้มีการปรับใช้ให้เหมาะสม นอกจากนี้ โซลูชั่นของฮิตาชิยังให้คำตอบ สำหรับที่องค์กรที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบคลาวด์ มีกระบวนการสั่งการและนำไปใช้ที่ง่าย ตลอดจนได้ผลการนำไปใช้ที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ”

นางสาวปัญจพร วิทยเลิศพันธุ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโสด้านเซิร์ฟเวอร์และแอพพลิเคชั่น แพลตฟอร์ม บริษัท (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ ประเทศไทย และฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้ร่วมกันประกาศ โซลูชั่นศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวม(CDCS) ในวันนี้ โดย โซลูชั่นศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวม(CDCS) ทำงานบน Microsoft Hyper-V Cloud Fast Track และ Microsoft Exchange 2010 ที่สามารถช่วยให้องค์กรมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อัตโนมัติ และเสมือนจริงที่มีประสิทธิภาพสูงและตรงความต้องการของลูกค้าในด้านความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ ด้านการคาดการณ์ และสามารถขยายได้อย่างราบรื่น โดยฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ และไมโครซอฟท์ ร่วมกันให้ออปชั่นที่หลากหลายสำหรับลูกค้าเพื่อให้ได้ประโยชน์จากโซลูชั่นนี้มากที่สุด เราทราบดีว่าธุรกิจมีความจำเป็นเฉพาะด้านและหลากหลายที่ต้องการความแตกต่างในการผสานรวมกัน เราจึงให้โซลูชั่นแบบเปิดและยืดหยุ่นเพื่อการป้องการการลงทุน ระยะยาวและสามารถปรับใช้กับระบบคลาวด์ของลูกค้าได้”

นายสุนิล ชวาล ผู้อำนวยการกลุ่มซอฟต์แวร์ และโซลูชั่นสำหรับคลาวด์ บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ กล่าว ว่า“บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ให้ความสำคัญกับการทำให้สภาพแวดล้อมระบบคลาวด์ของลูกค้าสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและเป็นเรื่องง่าย ขณะที่ต้องคุ้มค่าต่อการลงทุนด้านไอทีของลูกค้าด้วยและ Hitachi CDCSโซลูชั่นใหม่ของเรา ได้รวบรวมเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ความเชี่ยวชาญ และเชื่อมั่นได้ จากระบบจัดเก็บข้อมูลของฮิตาชิ ที่วันนี้ได้ มารวมเข้ากับระบบประมวลผล

สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ได้โดยง่าย มีต้นทุนที่เหมาะสม และเป็นระบบที่เชื่อถือได้ ลูกค้าของเราสามารถนำเสนอการให้บริการแบบคลาวด์ได้ในแบบที่ พวกเขาต้องการและสอดคล้องกับธุรกิจของตนได้มากที่สุด ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว โซลูชั่นเหล่านี้จะช่วยปรับเปลี่ยนศูนย์ข้อมูลเดิมของลูกค้าให้เป็นศูนย์ข้อมูลแบบอัตโนมัติ เพื่อให้เข้าใกล้ความต้องการทางธุรกิจ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทั้งหมดได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด”

ส่วนประกอบโซลูชั่นศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวมของฮิตาชิ(CDCS)

Hitachi CDCS ได้รวมระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบประมวลผล และเครือข่ายสื่อสารข้อมูล เข้ากับการจัดการซอฟต์แวร์ ทำให้กระบวนการเป็นแบบอัตโนมัติ และปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม สิ่งนี้ทำให้องค์กรสามารถจัดสรรทรัพยากรด้วยตนเองและติดตามการใช้งาน ตลอดจนการนำไปปรับใช้ที่เหมาะสมที่สุดที่ระดับแอพพลิเคชั่น แพลตฟอร์ม ไฮเปอร์ไวเซอร์ และให้ความยืดหยุ่นในการใช้เทคโนโลยีได้ตามต้องการ โดย CDCS ในช่วงเริ่มแรกนั้น จะประกอบด้วย

· ชุดโซลูชั่นของฮิตาชิพร้อมใช้กับ Microsoft® Hyper-V™ Cloud Fast Track: การผสานรวมของระบบการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลของฮิตาชิเข้ากับระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูล และ Microsoft Windows Server 2008 R2 พร้อมด้วย Hyper-V และ System Center สำหรับโครงสร้างพื้นฐานส่วนตัวในสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพสูง ที่จะนำไปสู่การทำให้กระบวนการแบบอัตโนมัติ และ การบริหารจัดการแบบทำงานเป็นหนึ่งเดียวของคุณลักษณะ Orchestration

· Hitachi Converged Platform for Microsoft Exchange 2010: ผลิตภัณฑ์แรก ของ กลุ่ม CDCS สำหรับแอพพลิเคชั่นเฉพาะ ที่ผ่านการทดสอบล่วงหน้า ถูกออกแบบขึ้นเพื่อให้วิศวกรระบบ สามารถนำไปใช้ที่รวดเร็วและ เข้ากันได้กับคุณสมบัติใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพของ Exchange 2010 ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งให้ใช้งานได้ยืดหยุ่นตามต้องการ การคาดการณ์ประสิทธิภาพการทำงานได้ และความสามารถในการปรับขนาดเพิ่มเติมได้อย่างราบรื่น ภายใต้การสนับสนุนจากHitachi Global Services และสะดวกต่อการสั่งซื้อในรูปแพคเกจที่จัดมาพร้อมใช้

Hitachi Unified Compute Platform (UCP): การบริหารจัดการแบบทำงานเป็นหนึ่งเดียวของคุณลักษณะ Orchestration ครอบคลุมทุกขอบเขตของเทคโนโลยี

UCP เป็นกลยุทธ์สำคัญของ ศูนย์ข้อมูลแบบผสานรวม ของบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ UCPจะให้การบริหารจัดการแบบทำงานเป็นหนึ่งเดียวและสามารถจัดการร่วมภายในกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชั่นแบบผสานรวมของฮิตาชิ และด้วยซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการแบบทำงานเป็นหนึ่งเดียวแบบใหม่นี้ ทำให้ UCP สามารถเป็นศูนย์รวมและจัดการบริหารเป็นหนึ่งเดียวกับ เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล และระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูล เสมือน ศูนย์รวมทรัพยากรเชิงธุรกิจ ผ่านอินเทอร์เฟสการใช้งานง่ายที่ครอบคลุม นอกจากนี้ จากการพัฒนาบนระบบอัจฉริยะที่ครอบคลุมขอบเขตเทคโนโลยีต่างๆ ยังได้ให้สภาพแวดล้อมการประมวลผลขนาดใหญ่ ที่มีความคล่องตัวในการนำไปใช้ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ ตลอดจนลดต้นทุนและความเสี่ยงผ่านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เป็นแบบอัตโนมัติ ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีความยืดหยุ่น

Hitachi Compute Blade: อุปกรณ์ประมวลผลพร้อมใช้สำหรับคลาวด์ ที่ยืดหยุ่นในการกำหนดระบบที่จะนำไปใช้งาน

เป็นที่ทราบกันดีว่า บริษัท ฮิตาชิ เป็นผู้จัดหาโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมและเชื่อถือได้โดยได้สร้างประโยชน์ที่โดดเด่นให้กับ ศูนย์ข้อมูลบางแห่งที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลกมาแล้ว บริษัท ฮิตาชิ อยู่ในธุรกิจด้านการประมวลผลมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปีในรูปของมรดกสืบทอดด้านเมนเฟรม และผลิตภัณฑ์ Hitachi Compute Blade ได้วางจำหน่ายในตลาดญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2547 กลยุทธ์ด้านการประมวผลของบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ คือการนำเอาเอกลักษณะเฉพาะ เบลดประมวลผลของตน มาผสานรวมฟังก์ชันการทำงานเข้ากับโซลูชั่น CDCSได้อย่างเหมาะสม ซึ่งนำเอาความเชื่อมั่นและประสิทธิภาพ ของอุปกรณ์ระดับองค์กรขนาดใหญ่มาใช้ โดยเมื่อผสานรวมเข้ากับระบบจัดเก็บข้อมูลของฮิตาชิแล้ว Hitachi Compute Blade จะสามารถนำเสนอการประมวลผลที่ผลักดันให้เกิดสภาพแวดล้อมCDCS และโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ของบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้อย่างสมบูรณ์

บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ นำเสนออุปกรณ์ประมวลผลพร้อมใช้สำหรับระบบคลาวด์ สองชุดที่มีความโดดเด่น ในการให้ความยืดหยุ่นในการกำหนดค่าของระบบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับลูกค้า ทั้งนี้ Hitachi Compute Blade 2000 และ Hitachi Compute Blade 320 มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีการแบ่งพาร์ติชันแบบลอจิคัล (LPAR) เป็นเบลดเซิร์ฟเวอร์ X86 ระดับแนวหน้าขององค์กรใหญ่ ให้ฟังก์ชันการทำงานแบบเมนเฟรม โดยเทคโนโลยี LPAR ของบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ เป็นคุณสมบัติด้านระบบเสมือนจริงแบบฝังตัวที่ทันสมัย ที่สร้างระบบเสมือนจริงได้ลงบนฮาร์ดแวร์ของเบลดเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากเป็นระบบเสมือนจริงที่ใช้ฮาร์ดแวร์ ทำให้เทคโนโลยี LPAR ให้ความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่า ด้วยการแบ่งพาร์ติชันในตัวฮาร์ดแวร์ ที่ยังคงสามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยีระบบเสมือนระดับซอฟต์แวร์ได้ด้วย ซึ่งนั่นจะช่วยให้ลูกค้าสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนเกิน ขณะที่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการจัดการ ความเชื่อถือได้ และคงประสิทธิภาพ ไปด้วยกัน โดย Hitachi Compute Blade 2000 ที่มี LPAR เป็นเบลดเซิร์ฟเวอร์เดียวที่รวมเอาเทคโนโลยี SMP interconnect แบบเฉพาะที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นด้วยการทำให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าเบรดหลายชุด ให้ทำงานร่วมกันในแบบระบบเดียวได้

นี้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่สามารถนำเสนอทางเลือกแบบเปิดสำหรับระบบไอทีเพื่อให้เกิดสิ่งดีที่สุดในสภาพแวดล้อมขององค์กร ทำให้ Hitachi Compute Blade สามารถให้เลือก LPAR ที่ทำงานอยู่ในเบลดหนึ่งเบลดใด ไม่ว่าจะใช้ Microsoft Hyper-V หรือ VMware ให้ขยายการทำงานไปยัง เบลด อื่นๆ ภายใต้ Chassis เดียวกันได้

ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากโซลูชั่น Hitachi CDCS

· ผลของการใช้งาน ที่คาดการณ์ได้ นำมาใช้ซ้ำได้ และเชื่อถือได้: ด้วยสถาปัตกรรมที่สามารถตรวจสอบวัดผลได้ล่วงหน้า โซลูชั่นที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในระดับองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อที่สามารถกำหนดค่าการใช้งานได้ก่อนแบบมีเป้าหมายและครอบคลุม ทำให้แน่ใจได้ถึงผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้และสอดคล้องกันเมื่อองค์กรสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ของตนขึ้นมา ในระบบนี้ยังมีคำแนะนำ แม่แบบเพื่อเรียกใช้ซ้ำ และกระบวนการทำงานเป็นอัตโนมัติในตัวที่สามารถขยายขีดความสามารถด้านการทำกระบวนการและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำอีกได้

· ระยะเวลาเร็วขึ้นให้เห็นถึงความคุ้มค่า: การนำไปใช้งานที่ง่ายขึ้น เร็วขึ้น จากสั่งงานจากจุดเดียวและการจัดสรรบริการ สำหรับวางแผนและการนำไปใช้จริง สำหรับโซลูชั่นแบบผสานรวมนี้ การกำหนดค่าล่วงหน้าคือกุญแจสำคัญในการช่วยลดเวลาในการนำไปใช้งานได้อย่างมาก กระบวนการทำงานอันชาญฉลาดแบบอัตโนมัติสำหรับขั้นตอนงานที่ซับซ้อน จะช่วยให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างรวดเร็วภายใต้การรับประกันที่วางใจได้ว่าส่วนประกอบของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจะได้รับการจัดวางและนำไปใช้อย่างเหมาะสม

· ระบบคลาวด์ในแบบของคุณเอง: ลูกค้าสามารถปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ของตนได้ ณ. ขณะนี้ ด้วยการรวมโซลูชั่นที่แตกต่างกันและแม้แต่ขยายโซลูชั่นเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานไอทีปัจจุบัน โดยโซลูชั่นที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมนี้ ใช้ได้กับงานทั่วไป งานที่มีความสำคัญทางธุรกิจ และ แอพพลิเคชั่นเฉพาะ ตลอดจนสภาพแวดล้อมไฮเปอร์ไวเซอร์ที่มีระดับ ของความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งครอบคลุม ตั้งแต่ รูปแบบที่กำหนดเฉพาะไปจนถึงรูปแบบผสมผสานที่ครอบคลุมระบบอื่นๆกว้างขึ้น

View :1722

สนุกดอทคอม ส่งสนุก! เพลย์ทาวน์ สร้างโซเชียลแพลตฟอร์ม สัญชาติไทย ตั้งเป้าผู้นำโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

August 18th, 2011 No comments

สนุกดอทคอม เว็บไซต์อันดับหนึ่งของประเทศไทย จับกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์ก หวังสร้างชุมชนแห่งใหม่บนโลกออนไลน์

บริษัท สนุก ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์สนุกดอทคอม เดินหน้าสานต่อความเป็นผู้นำในโลกออนไลน์ มุ่งโซเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้น เน้นพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นแพลตฟอร์มแบบเปิด ตอบสนองพฤติกรรมกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน พร้อมเปิดตัว “สนุก! เพลย์ทาวน์” โซเชียลเน็ตเวิร์กแพลตฟอร์มใหม่ รายแรกของประเทศไทย เอาใจคนชอบเล่นเกมส์โซเชียล ชูจุดเด่นเล่นเกมส์ปลอดภัย ด้วยระบบแยกเพื่อนเกมส์-เพื่อนสนิท พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมเกมส์โซเชียลฝีมือคนไทยสู่เวทีระดับโลก

นายต่อบุญ พ่วงมหา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สนุกออนไลน์ จำกัด เปิดเผยว่า “สนุกดอทคอม เล็งเห็นถึงการเติบโตของโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก ทางเราในฐานะเว็บไซต์อันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่ปัจจุบันให้บริการเว็บพอร์ทัล คอมมูนิตี้ อีคอมเมิร์ซ และบริการด้านมือถือ ได้ทำการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นแพลตฟอร์มระบบเปิด (Open Platform) เพื่อรองรับการติดต่อสื่อสารแบบโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไทย ในการเชื่อมโยงถึงกันได้หลากหลายเครือข่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ระบบเฟซบุ๊คคอนเนค (Facebook Connect) ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ใช้บริการสนุก! ไม่ต้องสร้างอีเมล์ใหม่ให้ยุ่งยาก และยังมีระบบสนุก! เว็บแชท (Sanook! Webchat) ที่ผู้ใช้บริการสามารถคุยข้ามเครือข่ายได้ทุกโปรแกรม อยู่บนหน้าเว็บสนุก! ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ค, เอ็มเอสเอ็น, จีทอล์ก และ คิวคิว นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถแบ่งปันเนื้อหาข่าวสารต่างๆ ที่อยู่ในทุกบริการของสนุก! ไปให้เพื่อนๆ ได้ง่ายขึ้นด้วยระบบแชร์คอนเท้นท์ (Share Contents) ไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ อย่างเฟซบุ๊ค, ทวิตเตอร์ หรือ กูเกิ้ลพลัสได้ตามสะดวก

และวันนี้ นับเป็นก้าวย่างสำคัญทางธุรกิจของสนุกดอทคอม ที่ได้ขยายขอบข่ายการให้บริการ ซึ่งพัฒนาด้วยฝีมือคนไทย ในรูปแบบโซเชียลเน็ตเวิร์กใหม่! สำหรับคนรักเกมส์แห่งแรกในประเทศไทย นั่นคือ สนุก! เพลย์ทาวน์”

นายพงส์ระพี ทองศรีนุ่น รองประธานฝ่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กและเกมส์ กล่าวว่า “การเปิดตัว สนุก! เพลย์ทาวน์ ในวันนี้ เราวางเป้าหมายให้เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กแพลตฟอร์ม สำหรับคนที่ชอบเล่นเกมส์โซเชียล หรือเรียกง่ายๆ ว่าเกมส์แนวเฟซบุ๊คนั่นเอง ซึ่งการวางโครงสร้างแพลตฟอร์ม จะคำนึงถึงความพึงพอใจและประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ การพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างตรงจุด อาทิเช่น ระบบแยกเพื่อนอัจฉริยะ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้ใครเป็นเพื่อนสนิท หรือเป็นแค่เพื่อนเล่นเกมส์ด้วยกัน โดยระบบจะแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างเพื่อนเกมส์ กับ เพื่อนสนิทอย่างชัดเจน ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีระบบเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติกับเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการที่ชอบแชร์ข้อความถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ต่างเครือข่ายสังคมออนไลน์ แต่ไม่อยากโพสต์ซ้ำหลายที่ให้ยุ่งยาก แค่เชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติเพียงครั้งเดียว เมื่อโพสต์ข้อความที่สนุก! เพลย์ทาวน์ ก็จะไปขึ้นที่เฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ทันที ใช้ง่าย สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น

ในส่วนของเกมส์โซเชียล สนุก! เพลย์ทาวน์ อัดแน่นด้วยเกมส์คุณภาพ ไม่มีพิษภัย เล่นสนุกเข้าใจง่ายไม่ต้องแปล เพราะทุกเกมส์เป็นภาษาไทย มีให้เลือกเล่นหลากหลายแนว ประกอบด้วย เกมส์ฟาร์มเกษตรสุขสันต์ (Farm World 2) เกมส์ทำฟาร์มที่มีสารพัดสิ่งให้เล่น ไม่ใช่แค่ปลูกผัก, เกมส์แอร์พอร์ท สนามบินหรรษา (Airport) เกมส์บริหารสายการบินรูปแบบใหม่ ไม่ซ้ำใคร, เกมส์เทรนเวิลด์ เมืองรถไฟมหาสนุก (Train World) เกมส์สไตล์คาวบอยตะวันตก ใช้รถไฟสร้างกำไรให้พอกพูน และ เกมส์แอนิมอล บลิทซ์ (Animal Blitz) เป็นเกมส์แนวเรียงเพชรที่ให้จับคู่สัตว์ป่าน่ารัก มีทั้งเวอร์ชั่นบนสนุก! เพลย์ทาวน์ และ เฟซบุ๊ค เป็นเกมส์ฝีมือคนไทยที่สามารถพัฒนาระบบเกมส์ให้เป็นโซเชียลกราฟ (Social Graph) ถือเป็นเกมส์แรกในโลกที่สามารถรวมเพื่อนต่างเครือข่ายสังคมออนไลน์ไว้ด้วยกัน

นอกจากนี้ สนุก! เพลย์ทาวน์ ยังเปิดรับและสนับสนุนซอฟแวร์เกมส์แอนิเมชั่นของไทย ให้ใช้ที่นี่เป็นช่องทางในการโปรโมทตัวเกมส์ให้เป็นที่รู้จักได้ง่ายขึ้น อีกทั้งผู้ใช้บริการที่ชอบลองเล่นเกมส์ใหม่ๆ ก็จะได้มีโอกาสร่วมทดสอบเกมส์ไปด้วยกัน เป็นการผลักดันผู้สร้างซอฟต์แวร์เกมส์แอนิเมชั่น ให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่ตรงใจผู้ใช้บริการชาวไทย และมีโอกาสเติบโตสู่เวทีระดับโลกอีกด้วย

เป้าหมายในอนาคตของ สนุก! เพลย์ทาวน์ จะมีการพัฒนาให้เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กแพลตฟอร์มที่รวมความบันเทิงครบวงจร โดยเพิ่มแอพลิเคชั่นที่สามารถปลั๊กอินคอนเท้นท์ยอดนิยมต่างๆ จากทุกบริการของสนุกดอทคอม ไม่ว่าจะเป็น ข่าวเด่น ข่าวดารา ดูดวง ฟังเพลง คลิปวิดีโอ ฯลฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น

View :1402