Archive

Archive for November, 2011

เลอโนโว มอบโปรโมชั่นชุดใหญ่จัดเต็มคุ้ม 3 ต่อ ทั่วประเทศ

November 28th, 2011 No comments

มอบโปรโมชั่นชุดใหญ่จัดเต็มคุ้ม 3 ต่อ กับโปรโมชั่นจ่ายสบายๆ แถมได้คืน พร้อมรับของสมนาคุณพิเศษสุดคุ้ม โดยมีรุ่นต่างๆให้เลือกทั้งคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันและโน้ตบุ๊คพกพา ให้คุณเลือกสรรข้อเสนอถูกใจได้แล้วที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย และการกลับมาอีกครั้งกับคาราวานสินค้า 4 ภาค ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 ธันวาคม นี้ เท่านั้น

นายจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ล่าสุด “ในขณะนี้ เรามุ่งทำตลาดในต่างจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเราได้รับกระแสตอบรับในผลิตภัณฑ์อย่างดีมากในช่วงแคมเปญการตลาดทั้งเฟสที่ 1 Are You Lenovo และเฟสที่ 2 For those who DO โดยทางเลอโนโวได้วางแผนจัดคาราวานสินค้าเลอโนโวให้ลูกค้าในต่างจังหวัด ทั้ง 4 ภาค เริ่มตั้งแต่ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ พร้อมปิดท้ายด้วยกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ถึงประมาณกลางเดือนธันวาคม 2554”

โปรคุ้ม 3 ต่อ

คุ้ม 1 โปรสบายๆ ชำระสินค้าแบ่งจ่ายสบายๆ 0% นาน 10 เดือน
คุ้ม 2 โปรได้คืน รับเงินคืนสูงสุด 3,000 บาท เมื่อผ่อนชำระผ่านบัตรเฟิร์สช้อย
คุ้ม 3 โปรสุดคุ้ม รับของสมนาคุณฟรีมากมาย อาทิ อัพเกรด RAM 4 GB, External Hard Disk, เมาส์ไร้สาย, หูฟัง, USB Flash Drive 8GB

เตรียมพบกับข้อเสนอพิเศษกับคาราวานผลิตภัณฑ์ของเลอโนโวทั่วประเทศ อาทิ พัทยา ระยอง เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา หาดใหญ่ สำหรับลูกค้าในจังหวัดอื่นๆ สามารถรับสิทธิ์โปรโมชั่นพิเศษได้ที่ ตัวแทนจำหน่ายเลอโนโวใกล้บ้านคุณ นอกจากนี้ ทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณซื้อ ทางเลอโนโวจะนำรายได้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จำนวน 100 บาท/เครื่อง ผ่านทางสภากาชาดไทย

คาราวานผลิตภัณฑ์ของเลอโนโวทั่วไทย
เชียงใหม่
• เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่ ชั้น 3 และโซน IT City ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2554
• คอมพิวเตอร์พลาซ่า เชียงใหม่ ชั้น G ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2554
• พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า เชียงใหม่ ชั้น G และโซน IT City ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2554

ขอนแก่น
• ตึกคอม ขอนแก่น ชั้น 3 และโซน IT City ตั้งแต่วันที่ 24 – 30 พฤศจิกายน 2554
• ตึกคอม ขอนแก่น ชั้น G และโซน IT City ตั้งแต่วันที่ 1 – 4 ธันวาคม 2554

นครราชสีมา
• ไอที พลาซ่า โคราช ชั้น 2 และโซน IT City ตั้งแต่วันที่ 1 – 11 ธันวาคม 2554
• เดอะมอลล์ โคราช ชั้น 1 อีเวนท์ฮอลล์ ตั้งแต่วันที่ 24 – 30 พฤศจิกายน 2554

หาดใหญ่
• บิ๊กซี ซูปเปอร์เซ็นเตอร์ หาดใหญ่ ชั้น 2 และโซน IT ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2554

กรุงเทพฯ
• พันธุ์ทิพย์ บางกะปิ และประตูน้ำ กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2554

ติดตามข่าวสารข้อมูลหรือผลิตภัณฑ์ล่าสุดของเลอโนโวได้ที่เว็บไซต์ www.lenovo.com/th หรือสมัครดูได้ที่ Lenovo RSS Feeds (http://news.lenovo.com) หรือติดตามผ่าน Facebook (www.facebook.com/lenovo.lover) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1800-060-087 หรือ 02-689-6451

View :1297

เอไอเอส จับมือ ซัมซุง เปิดตัว “ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต”

November 28th, 2011 No comments

จับมือ เขย่าวงการสมาร์ทดีไวส์เมืองไทยอีกครั้งกับ กาแล็คซี่โน้ต-Samsung Galaxy Note สุดยอดสมาร์ทโฟนไฮบริทรุ่นใหม่ล่าสุดที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต บนสุดยอดเครือข่าย AIS 3G เพื่อชีวิตในแบบคุณ พร้อมแพ็คเกจสุดคุ้ม และศูนย์รวม Applications แบบจัดเต็ม

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “ในฐานะ Operator หน้าที่หลักคือ เดินหน้าสรรหาบริการที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองทางเลือกในการใช้ชีวิตให้แก่ลูกค้า ภายใต้แนวคิด DNAs คือ Device, Network, Application และ Service ซึ่งทั้ง 4 ส่วนจะต้องผสมผสานอย่างลงตัวจึงจะนำมาซึ่งรูปแบบบริการที่สมบูรณ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่ม สำหรับภาพรวมของการพัฒนาเครือข่ายซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักนั้น ปัจจุบันเอไอเอสได้ขยาย 3G 900 ครอบคลุมกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงอีก 9 จังหวัดหลักเรียบร้อยแล้ว โดยสิ่งที่เอไอเอสมุ่งเน้นคือ ความง่าย สะดวกและคุ้มค่าที่จะให้ลูกค้าทั้ง Prepaid และ Postpaid เข้าใช้ 3G ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิม ซึ่งสอดคล้องกับยอดการใช้งาน Data ที่มีการเติบโต 71% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา ด้วยปริมาณผู้ใช้งานมากกว่า 7.5 ล้านคน”
“สำหรับเทรนด์การใช้งาน Smart Phone ตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นอย่างมาก โดยเอไอเอสยังคงทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง ดังเช่นการร่วมกับซัมซุง ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ทำงานกับเอไอเอสมาโดยตลอดและประสบความสำเร็จทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดมิติใหม่ของ Special Device รูปแบบใหม่ๆในประเทศไทย อย่างล่าสุดกับการเปิดตัว ซัมซุงกาแล็คซี่โน้ต ซึ่งถือเป็น category ใหม่ของ Device อันเกิดจากการผสมผสานระหว่าง Phone และ Tablet เข้าด้วยกัน อีกทั้งยังเติมเต็มการใช้งานด้วย S Pen ที่ตอบโจทย์ Natural User Interface ของลูกค้าได้อย่างลงตัว เมื่อผสมผสานเข้ากับสุดยอดเครือข่าย เอไอเอส 3G , การอำนวยความสะดวกในการติดตั้ง Application ที่เอไอเอสจัดให้ลูกค้าเป็นพิเศษ โดยมอบ Micro SD 4 GB พร้อม adapter รวมไปถึงสิทธิในการสมัครแพ็กเสริม ก็ยิ่งทำให้ ซัมซุงกาแล็คซี่โน้ต จากเอไอเอส สามารถเติมเต็มความต้องการของสาวกสมาร์ทดีไวส์ได้มากยิ่งกว่าใครแน่นอน”

นายวิชัย พรพระตั้ง ผู้อำนวยการธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุงในฐานะผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทั้งในระดับโลกและประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นนำเสนออุปกรณ์สื่อสารที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการ เพื่อทำให้ชีวิตในรูปแบบ On-the-Go สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น “ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต (Samsung Galaxy Note)” อีกหนึ่งในความภาคภูมิใจ ของซัมซุงที่เป็นวิวัฒนาการผสมผสานระหว่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต มาพร้อมปากกามหัศจรรย์ S Pen สามารถใช้จด ขีดเขียน ตัดต่อ ตกแต่ง หรือวาดภาพได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายเทียบเท่ากระดาษและปากกาจริงๆ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของนักเดินทาง นักธุรกิจ ตลอดจนนักศึกษาที่ต้องเดินทางตลอดเวลา ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต ถือเป็นเซ็กเมนท์ใหม่ที่ซัมซุงสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใช้ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต และยังคงต้องใช้การจดบันทึกหรือสนุกกับการวาดภาพและตกแต่งภาพแล้วอัพโหลดขึ้นโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ เพื่อแบ่งปันความสนุกให้กับเพื่อนๆ ด้วยซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต การพกกระดาษกับปากกาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป พร้อมกันนี้ฟีเจอร์อื่นๆ ก็ยังมีความโดดเด่นล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ HD Super AMOLED จอแรก บนสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยขนาด 5.3 นิ้ว กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมออโต้โฟกัสและแอลอีดีแฟลช และกล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซลสำหรับใช้งานวีดิโอคอล”

“สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างซัมซุงและเอไอเอสในครั้งนี้จะเป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการอุปกรณ์สื่อสารในประเทศไทยอีกครั้งในการสร้างเซ็กเมนต์ใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน” นายวิชัยกล่าวเสริม

ซัมซุง กาแล็คซี่โน้ต จาก เอไอเอส เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 22,900 บาท (รวม VAT) พร้อมสิทธิผ่อน 0% นาน 10 เดือนที่เอไอเอสช็อป และเทเลวิซที่ร่วมรายการ ทั่วประเทศ ลูกค้าเอไอเอส รับสิทธิสมัคร แพ็กเสริม 399 บาท ฟรี 3G/EDGE+ 3GB/เดือน นาน 12 เดือน สมัครโทร *212341 ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2555

View :1643

แคนนอนเปิดตัว Canon PIXMA Ink Efficient E500

November 28th, 2011 No comments

แคนนอนตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิตอลอิมเมจจิ้งเปิดตัวพรินเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด Canon PIXMA Ink Efficient E500ตอบโจทย์ผู้ใช้ Home Use และกลุ่มธุรกิจ ด้วยคุณภาพและการทำงานแบบ ออลอินวัน ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพโดดเด่นมีสไตล์ด้วยสีสันและรูปทรงทันสมัยพร้อมด้วยเทคโนโลยีความประหยัดแบบสุดคุ้ม และฟังก์ชั่นพิเศษ FastFront และ Auto Photo Fix II ให้คุณใช้งานง่ายดั่งมืออาชีพ

คุณวรินทร์ ตันติพงศ์พานิช ผู้อำนวยการอาวุโส และ ผู้จัดการทั่วไปส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)เปิดเผยว่า “ตั้งแต่ปี 2005ที่บริษัทแคนนอนฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มออลอินวันพรินเตอร์ แคนนอนมียอดธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกปี เห็นได้จากที่แคนนอนสามารถครองความเป็นเจ้าตลาดพรินเตอร์ทั้งแบบซิงเกิ้ลฟังก์ชั่น และออลอินวันได้ยาวนานถึง 11 ปีซ้อน และมีมาร์เก็ตแชร์ของเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบบออลอินวันมากถึง 53.2%ในครึ่งปีแรกของ 2554และในปลายนี้แคนนอนเองไม่หยุดเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การใช้งานให้กับลูกค้าในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับพรินเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่แคนนอนได้นำเทคโนโลยี Hybrid System อัจฉริยะด้วยการผสมสีแบบไล่ระดับ เหมาะสมต่อการพิมพ์ภาพถ่าย ทั้งยังให้คุณภาพงานสีสวยและคมชัด ผสานเข้ากับระบบหัวพิมพ์แบบ FINE (Full-Photolithography Inkjet Nozzle Engineering)โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มธุรกิจและผู้ที่เน้นปริมาณการพิมพ์ ด้วยความโดดเด่นด้านความประหยัดที่ไม่ลดทอนคุณภาพการพิมพ์ โดยหมึกแคนนอนแท้ตลับหนึ่งสามารถพิมพ์เอกสารได้มากถึง 800 แผ่น ด้วยต้นทุนในการพิมพ์เพียงแผ่นละ 49 สตางค์*เท่านั้น และยังเพิ่มฟังก์ชั่นพิเศษมากมายให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายและสะดวกขึ้น”

Canon PIXMA Ink Efficient E500 ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจด้วยความคุ้มทุนครบทุกฟังก์ชั่นลงตัวทุกการใช้งานทั้งพริ้นท์ สแกน และถ่ายเอกสาร ในเครื่องเดียวโดดเด่นด้วยความสามารถในการพิมพ์ เพียงตลับหมึกเดียว สามารถผลิตเอกสารขาวดำ ได้มากถึง 800 แผ่น พร้อมคุณภาพงานสวยคมชัดความละเอียดสูงสุดถึง 4800 dpi อณูหมึกเล็ก 2 พิโคลิตร ด้วยระบบหัวพิมพ์แบบ FINE ช่วยให้ประหยัดค่าหมึกและไม่ต้องคอยเปลี่ยนตลับหมึกบ่อยพร้อมคุณภาพงานสุดประทับใจ

นอกเหนือจากความประหยัดสุดคุ้มแล้ว Canon PIXMA Ink Efficient E500ยังมาพร้อมกับความสะดวกสบายในการใช้งาน ด้วยระบบ FastFront ที่ทำให้การเปลี่ยนหมึกไม่ยุ่งยากอีกต่อไป เพราะสามารถเปลี่ยนตลับหมึกได้ทันใจจากถาดด้านหน้าพรินเตอร์ สะดวกยิ่งขึ้นด้วยระบบTwo Ways Paper Feeding หรือการป้อนกระดาษแบบ 2 ทิศทาง การันตีความเร็วในการพิมพ์ เพียง 1 นาที สามารถพิมพ์ภาพถ่ายได้ถึง 5 ภาพ ถ่ายเอกสารสีได้รวดเร็วในเวลาแค่ 30 วินาที และ 44 วินาที สำหรับพิมพ์ภาพขนาด 4×6 นิ้ว พร้อมด้วย Quiet Modeทำงานเงียบ ไร้เสียงดังรบกวนซึ่งสามารถตั้งให้ทำงานในโหมดนี้ได้ทุกฟังก์ชั่นทั้งการพิมพ์การถ่ายเอกสาร และสแกน

และเพื่อตอบโจทย์สำหรับกลุ่มผู้ใช้ Home Use ด้วยความคุ้มคุณภาพแคนนอนยังได้พัฒนาเทคโนโลยีมากมายเพิ่มความสนุกสนานให้กับผู้ใช้ ซึ่งอัดแน่นอยู่ใน Canon PIXMA Ink Efficient E500 รุ่นนี้ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์แห่งจินตนาการ Fun Filter Effect เปลี่ยนรูปถ่ายธรรมดาให้เป็นภาพแปลกตาอาทิ Fish-Eye Effect ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปคน สัตว์ หรือวัตถุในภาพให้โค้งนูนเสมือนถ่ายภาพจากเลนส์กล้องแบบฟิชอาย, Miniature Effect สามารถปรับสัดส่วนความชัด-เบลอของภาพเสมือนโมเดลเมืองจำลอง ฯลฯ ซึ่งไม่ว่าจะใช้ฟังก์ชั่นไหน ซอฟต์แวร์ใดก็ตาม งานทั้งหมดที่ได้จะออกมาสมบูรณ์แบบด้วยฟังก์ชั่น Auto Photo Fix II ช่วยปรับสมดุลระดับสีอัตโนมัติ ให้งานละเอียดสวยอย่างมืออาชีพรวมทั้งเทคโนโลยีอื่นๆ ประกอบด้วย ระบบ ChromaLife100 ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี FINE, หมึกแท้แคนนอน และกระดาษพิมพ์ภาพแคนนอน ให้ภาพสวยคงทนต่อแสงแดดและความชื้น ยืดเวลาการเก็บรักษาภาพได้ยาวนานขึ้น ขณะที่เทคโนโลยี Dual Color Gamut Processing ให้ภาพสีสวยเหมือนต้นฉบับจากทั้งสแกนและพิมพ์ภาพส่วนผู้ใช้กล้องถ่ายภาพแคนนอน จะได้พบกับความสนุกสุดล้ำด้วยโปรแกรมใหม่ Full HD Movie Print ให้คุณพริ้นภาพจากไฟล์วีดีโอได้ทันใจทุกช็อต หรือจัดภาพทั้งหมดอย่างมีสไตล์เพียงการสั่งตัดต่อภาพแค่ครั้งเดียว

และแคนนอนยังได้เปิดตัวแคมเปญพรินเตอร์คู่คุ้ม Canon PIXMA Ink Efficient E500 โดยใช้งบโฆษณาประมาณ 50 ล้านบาท ในภาพยนต์โฆษณาใหม่ชื่อเรื่อง Love at First Sight เพื่อมาบอกเล่าเรื่องราวของการพบรักของหนุ่มสาวกับเครื่องพรินเตอร์ตัวใหม่ ซึ่งเมื่อใครเห็นก็ต้องตกหลุมรักภาพยนต์โฆษณาชุดนี้เริ่มออกอากาศพร้อมกันในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2554 และติดตามพบกับกิจกรรมภายใต้แคมเปญพรินเตอร์คู่คุ้ม
Canon PIXMA Ink Efficient E500 อีกมากมาย
Canon PIXMA Ink Efficient E500 มี 2 สี คือ สี Aurora Blue และสี Piano Black ให้ความรู้สึกหรูหราตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น สนนราคาที่ 2,790 บาท มาพร้อมชุดตลับหมึกมาตรฐาน 1 ชุด พร้อมรับประกันสินค้าเป็นระยะเวลาถึง1 ปี สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02 – 344-9999 หรือ www.canon.co.th

View :2275

ไอดีซีระบุ แม้สิ่งเดียวที่แน่นอนที่สุดในปี 2555 คือความไม่แน่นอน แต่การใช้จ่ายด้านไอซีทีจะยังคงเติบโตต่อไป

November 28th, 2011 No comments

บริษัทไอดีซีเผยว่าสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มว่าจะเต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอนตลอดปี 2555 นั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไอดีซีได้นำมาประกอบการการคาดการณ์ 10 แนวโน้มสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในปี 2555 ซึ่งถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะมีความผันผวนที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่องค์กรต่างๆ ก็ยังคงมั่นใจว่าจะยังคงเติบโตได้ในภูมิภาคนี้ เหล่าผู้บริหารน่าจะต้องประสบกับความยากลำบากในการตัดสินใจลงทุน โดยเรามีโอกาสที่จะเห็นองค์กรต่างๆ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีไอซีทีในรูปแบบที่ใหม่ขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถรักษาอัตราการเติบโตเอาไว้ ข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดของเรื่องนี้นั้นจะอยู่ในรายงานฉบับใหม่ของไอดีซีที่มีชื่อว่า “ Asia/Pacific (excluding Japan) ICT 2012 Top 10 Predictions”

นายเคลาส์ มอเทนเซ็น หัวหน้าฝ่ายงานวิจัยด้านเทคโนโลยีเกิดใหม่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2555 ที่เต็มไปด้วยความผันผวนนั้น สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอนนั่นเอง ถึงแม้ว่าประเทศในภูมิภาคนี้จะสามารถรับมือกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่องค์กรส่วนใหญ่ยังคงพยายามลดความสูญเสียจากการลงทุนด้านไอซีทีในปี 2555 อยู่ดี”

“แต่เมื่อนำเอาความระมัดระวังมารวมเข้ากับความทะเยอทะยาน องค์กรต่างๆ จึงต้องหาหนทางในการทำกำไรจากการเติบโตภายในภูมิภาค ในขณะเดียวกันก็จะต้องตอบสนองต่อความความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของทั้งบรรดาผู้บริโภคและเหล่าพนักงานที่มีความรู้และมีอิสระในการเลือกมากขึ้น และต้องทำการลงทุนอย่างชาญฉลาดเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บตัวหากมีวิกฤติระลอกอื่นเข้ามาซ้ำเติม”

ไอดีซีตระหนักดีถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี 2555 แต่ก็ไม่เชื่อว่าการใช้จ่ายด้านไอซีทีในเอเชียแปซิฟิกจะได้รับผลกระทบมากนัก โดยไอดีซีคาดว่าถึงแม้สภาพเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน องค์กรต่างๆ ในภาคธุรกิจจะยังคงเดินหน้าใช้จ่ายด้านไอซีทีอย่างค่อนข้างระมัดระวังต่อไป ซึ่งปริมาณการใช้จ่ายด้านไอซีทีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่นในปี 2555 นั้นมีแนวโน้มขึ้นสูงถึง 653 พันล้านเหรียญสหรัฐ นั่นหมายถึงการขยายตัวขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายด้านไอซีทีของปี 2553 แต่อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตจะไม่สูงเท่ากับอัตราการเติบโตเมื่อปี 2553 และไอดีซีคาดว่าอัตราการเติบโตจะลดลงในช่วง 4-5 ปีหลังจากนี้ แต่กระนั้นก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 9% อยู่ดี

ข้อมูลที่ได้จากการศึกษางานวิจัยล่าสุด ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากการระดมสมองของนักวิเคราะห์ประจำประเทศและประจำภูมิภาค ทำให้ไอดีซีสามารถคาดการณ์ถึงแนวโน้มสำคัญ 10 ประการที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดไอซีทีในเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่นได้ดังต่อไปนี้

1. เพื่อเกิดใหม่ในตลาดเกิดใหม่: รูปแบบการทำธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่สัญชาติเอเชียที่เกิดใหม่จะขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่ของการใช้จ่ายด้านไอซีทีในปี 2555
ไอดีซีพบว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ในรูปแบบใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงสภาพตลาดในปัจจุบันเกิดขึ้น ซึ่งเราเรียกรวมว่าเป็น “บริษัทขนาดใหญ่สัญชาติเอเชียที่เกิดใหม่” บริษัทเหล่านี้มีความกระหายที่จะเติบโตและขยายขอบเขตของธุรกิจออกไปในพื้นที่ต่างๆ โดยมีดีเอ็นเอที่ต่างออกไปจากองค์กรที่มาจากตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างสิ้นเชิง และนั่นนำไปสู่คำถามที่ว่ารูปแบบการทำธุรกิจของบริษัทข้ามชาติแบบเดิมๆ นั้นยังคงเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดอยู่หรือไม่ ซีไอโอทั้งหลายในบริษัทเกิดใหม่เหล่านี้กำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ ที่จะยกระดับความสามารถในการแข่งขันของตนเองและหาหนทางทำให้การลงทุนด้านไอทีของพวกเขาผลิดอกออกผลเร็วขึ้น ไอดีซีคาดว่าบริษัทขนาดใหญ่สัญชาติเอเชียที่เกิดใหม่นี่เองที่จะช่วยผลักดันให้เกิด “คลื่นลูกใหม่” ของการใช้จ่ายด้านไอซีที ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น โมบิลิตี้ คลาวด์ การวิเคราะห์เชิงธุรกิจและโซเชียลมีเดีย เป็นต้น

2. คุณค่าของความมีหนึ่งเดียว: ธุรกิจในเอเชียจะเห็นคุณค่าของการมีสินค้าไอทีเพียงรูปแบบเดียว
ความซับซ้อนของตลาดในเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เกิดการเห็นคุณค่าและเล็งเห็นถึงความจำเป็นของการมีสินค้า/บริการขายออกสู่ตลาดเพียง “รูปแบบเดียว” เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่า การขายสินค้า/บริการเพียงชนิดเดียว สามารถสร้างรูปแบบการทำธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนให้กับผู้ขายหรือผู้ให้บริการได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือบริษัทแอ๊ปเปิ้ลที่มุ่งเน้นไปที่ความเรียบง่าย คือมีโทรศัพท์มือถือวางจำหน่ายเพียงรูปแบบเดียวและมีมีเดียแท็บเล็ตวางจำหน่ายเพียงรูปแบบเดียว ในยุคก่อนที่แอ๊ปเปิ้ลจะโด่งดังขึ้นมา หลายคนเชื่อว่าการมีสินค้าออกวางจำหน่ายอย่างหลากหลายคือปัจจัยที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจโทรศัพท์มือถือได้ แต่ไอดีซีคาดการณ์ว่าบริษัททั้งหลายที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับไอซีทีจะเริ่มพิจารณาปรับใช้รูปแบบการทำธุรกิจแบบ “รูปแบบเดียว” เช่นนี้จากปี 2555 เป็นต้นไป

3. ทำให้ 2 + 2 = 1: การให้บริการคลาวด์ที่มีการจัดรวมการบริการเป็นกลุ่มจะนำไปสู่ “เอาท์ซอสซิ่ง 3.0”
ในปี 2554 ไอดีซีประมาณการว่าแอพพลิเคชั่นระดับองค์กรใหญ่ใหม่ๆ กว่า 80% จะถูกพัฒนาสำหรับ “พับบลิคคลาวด์” และภายในปี 2558 การใช้จ่ายที่เกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นระดับองค์กรใหญ่นั้นจะมาจากคลาวด์ ประมาณ 20% ดังนั้นผู้ใช้บริการคลาวด์จะต้องบริหารจัดการปริมาณของบริการและเวนเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความยุ่งยากและซับซ้อนขึ้นในการบริหารจัดการซึ่งกลับกลายเป็นว่าการประยุกต์ใช้คลาวด์หาได้ทำให้การบริหารจัดการทำได้ง่ายขึ้นแต่อย่างใด เพื่อลบจุดอ่อนข้อนี้ ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป ผู้ให้บริการคลาวด์จะเริ่มจัดหาเครื่องมือบริหารจัดการที่สามารถรวมเอาการจัดการบริการคลาวด์ในรูปแบบต่างๆ เข้าด้วยกันได้ นั่นก็คือการให้บริการคลาวด์ที่มีการจัดรวมการบริการเป็นกลุ่มหรือ Cloud Orchestration นั่นเอง ผลก็คือ ตลาดจะยังคงไม่พูดถึงการใช้บริการคลาวด์มากนักในช่วงระหว่างปีนี้จนถึงปี 2558 หากแต่จะนึกถึงการบริการในรูปแบบนี้ว่าเป็นการพัฒนาขึ้นของการเอาท์ซอร์ส หรือที่เรียกว่าเอาท์ซอสซิ่ง 3.0 แทน

4. “หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยข้อมูล” จะทำให้ “Big Data” เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจมากขึ้น
ไอดีซีคาดว่าเอเชียแปซิฟิกจะเริ่มเข้าสู่ยุคของ Big Data ได้ในปี 2555 ซึ่งข้อมูลจากการปฏิสัมพันธ์โดยใช้โซเชียลมีเดีย ข้อมูลจากมาตรวัดที่วัดผลแบบเรียลไทม์ ข้อมูลแบบ geospatial และข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ ในเรื่องของการจัดการกลยุทธ์การบริหารข้อมูลขึ้นมา เช่นเดียวกับทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ที่สุด จะได้มาจากเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงที่สามารถทำงานในสภาวะที่ข้อมูลที่องค์กรต่างๆ สร้างขึ้นมีปริมาณ อัตราความเร็ว และความหลากหลายเพิ่มมากขึ้นได้ เครื่องมือเหล่านี้ก็คือเครื่องมือการวิเคราะห์ Big Data นั่นเอง ไอดีซีเชื่อว่า จากการที่ตัวแปรและแบบจำลองสำหรับการวิเคราะห์ Big Data นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งใหม่ และต้องใช้ทักษะความสามารถระดับสูงในการวิเคราะห์ข้อมูล จะนำไปสู่การเกิดตำแหน่งงานใหม่ขึ้นในปี 2555 ซึ่งมีชื่อตำแหน่งว่า “Chief Data Scientist” หรือ “หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยข้อมูล” เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถวางกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ Big Data ได้นั่นเอง

5. Workload แบบใหม่บนคลาวด์จะเกิดขึ้น: นำโดยออโตเมชั่น
ไอดีซีคาดว่าในปี 2555 ความสามารถในการกำหนดประสิทธิภาพและทรัพยากรด้านไอทีจะกลายเป็นจุดสำคัญที่องค์กรใช้ในการสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางเช่นนี้ และไอดีซียังเชื่อว่า อันเนื่องมาจากการที่ workload ระลอกใหม่ๆ กำลังเคลื่อนเข้าสู่คลาวด์ ความสำคัญของการทำให้ขั้นตอนการทำงานด้านไอทีนั้นมีมาตรฐานเดียวกันและสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า “ออโตเมชั่น” จะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวและกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ซีไอโอให้ความสนใจในปี 2555 ที่จะถึงนี้ การลงทุนในเรื่องของการปรับเข้าสู่มาตรฐานและออโตเมชั่นจะทำให้องค์กรสามารถออกแบบ ปรับใช้ และดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับขั้นตอนการปฏิบัติงานหลัก รวมทั้งสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างไอทีและการปฏิบัติงานในภาคส่วนอื่นๆ ของธุรกิจได้ในที่สุด

6. ผู้รวบรวมไว้ซึ่งแอพพลิเคชั่น: ทีมเสาะหานวัตกรรมใหม่ที่ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมตั้งขึ้นเพื่อส่งคอนเทนต์ไปสู่บ้านคุณ
การเพิ่มปริมาณที่มากขึ้นอย่างมหาศาลของดิจิตอลคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นที่ใช้บนอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านเครือข่ายแบบทั้งมีสายและไร้สายนั้นนำมาซึ่งโอกาสครั้งใหม่สำหรับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม ซึ่งเป็นโอกาสที่จะรวบรวมเอาคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นเข้าด้วยกันเพื่อเสนอเป็นโซลูชั่นใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคได้ แต่การจะทำเช่นนี้ได้นั้น ต้องมีแผนกหรือทีมที่ดูแลในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการสรรหาแอพพลิเคชั่น ไปจนถึงกระบวนการนำมาผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะสามารถเสนอแอพพลิเคชั่นที่ “ใช่” ให้แก่ธุรกิจหรือผู้บริโภคทั่วไปได้สำเร็จ ไอดีซีเชื่อว่าในปี 2555 นี้ ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมที่มองการไกลจะสร้าง “ทีมเสาะหานวัตกรรมใหม่” ขึ้นมาเพื่อค้นหาแอพพลิเคชั่นและคอนเทนต์ที่เหมาะสม เพื่อนำเสนอให้กับผู้ใช้ในภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และ ฮอตสปอตต่างๆ

7. “การคาดเดาปัญหาล่วงหน้าได้” จะกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกของแพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์
ระบบไอทีที่คาดเดาไม่ได้นั้น จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสมรรถนะในการทำธุรกิจขององค์กร และเพื่อที่จะเอาชนะปัญหานี้ หลายองค์กรได้ใช้เงินทุนในจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะสร้างระบบสำรองที่มีทั้งเซอร์ฟเวอร์ ซิสเต็ม ดาต้า และเน็ตเวิร์ค แต่ไอดีซีเชื่อว่าในปี 2555 องค์กรที่มองการไกลจะมีแนวคิดที่ฉีกออกจากแนวคิดแบบเดิม องค์กรเหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากระบบเสมือนเพื่อสร้างพื้นที่เผื่อไว้สำหรับความขัดข้องในแพลตฟอร์มไอทีของตนเอง แทนที่จะต้องพึ่งพาแต่ระบบสำรองเพียงอย่างเดียว ไอดีซีคาดว่าแนวคิดนี้จะเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในปี 2555 และจะกลายเป็นวิธีปฏิบัติที่ได้รับความนิยมเมื่อต้องการที่จะวางระบบสภาพแวดล้อมเสมือนแบบ x86 ที่มีขนาดใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

8. บริษัทต่างๆ จะกลับไปสู่การใช้ไอทีแบบมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
ไอดีซีคาดว่า ในปี 2555 แนวโน้มของความไม่แน่นอนและความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจจะส่งผลให้ประเด็นเรื่อง “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” กลับขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนที่บริษัทในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญอีกครั้ง ทั้งการโฟกัสไปที่เทคโนโลยีที่ช่วยให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นไปที่ลูกค้า มัดใจลูกค้า ไปจนถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้เรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้ารายหลักๆ ได้มากขึ้น โดยในปี 2556 นั้น หากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น กระแสแนวคิดเรื่องของลูกค้าเป็นศูนย์กลางนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ไอดีซีเชื่อว่าวิธีการแบบมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าเช่นนี้จะเป็นส่วนสำคัญของการใช้ไอทีในบริษัทส่วนใหญ่ในปี 2558

9. การผสมผสานระหว่างอุปกรณ์พกพาและไอทีจะกรุยทางไปสู่ Workspace รูปแบบใหม่
ไอดีซีคาดการณ์ว่าองค์กรจะเริ่มสร้างสถาปัตยกรรมของ workspace ให้สอดคล้องกับโมบิลิตี้ คลาวด์ และดาต้าเซอร์วิส ในปี 2555 การอนุญาตให้พนักงานในองค์กร เริ่มนำอุปกรณ์ไอทีของตนเข้ามาใช้ในการทำงานประจำวันของพวกเขามากขึ้น หรือที่เรียกกันแพร่หลายว่า Consumerization นั้น จะสร้างความต้องการที่จะมีสภาพแวดล้อมการทำงานใหม่ๆ ขึ้น และไอดีซีเชื่อว่าในปี 2555 องค์กรจะเริ่มทดลองนำโซลูชั่นไร้สายมาปรับใช้ เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชุดใหม่ วางระบบใหม่ หรือเพิ่มไซต์การทำงานใหม่เกิดขึ้น

10. กลายเป็น “ชนชั้นกลาง”: สมาร์ทโฟนที่มีราคาต่ำกว่า 3,000 บาทจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญ
สมาร์ทโฟนได้ทำให้วงการคอมพิวเตอร์เข้าสู่ยุคใหม่ โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2555 ยอดการจัดส่งเครื่องสมาร์ทโฟนนั้นมีแนวโน้มว่าจะแซงยอดการจัดส่งของพีซี และเป็นที่คาดการณ์ว่าสมาร์ทโฟนจะขึ้นนำพีซีอย่างถาวร ไอดีซีเชื่อว่าในปี 2555 เราจะได้เห็นสมาร์ทโฟนที่มีราคาต่ำกว่า 3,000 บาทออกจำหน่ายสู่ตลาด ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่ ไอดีซียังเชื่ออีกว่าผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่เหล่านี้จะมีอาการ “เสพติดแอพพลิเคชั่นบนมือถือ” แบบเดียวกับที่เราได้เห็นในตลาดที่พัฒนาแล้วมาก่อนเช่นเดียวกัน

View :1627

วอลล์สตรีท ส่งแอพฯ “อิงลิช เอนี่ไทม์” และ “เดอะ วิลเลจ” ช่วยเหลือนักเรียนผู้ประสบภัยให้ฝึกภาษาและทบทวนหลักสูตรผ่านระบบออนไลน์

November 28th, 2011 No comments

มร.มิเชล เลอ เคอเลค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท ประเทศไทย นำทีมแนะนำ 2 ออนไลน์แอพพลิเคชั่น “English Anytime” และ “The Village” ที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญให้กับนักเรียนวอลล์สตรีทที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย ให้ฝึกภาษาและทบทวนหลักสูตรผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างเพลิดเพลิน อีกทั้งเป็นอีกช่องทางการในสื่อสารระหว่างนักเรียนวอลล์สตรีททั้ง 27 ประเทศทั่วโลก สำหรับนักเรียนที่สนใจใช้แอพพลิเคชั่น “The Village” สามารถใช้รหัสนักเรียนลงทะเบียนผ่าน www..in.th และสำหรับนักเรียนที่สนใจใช้ “English Anytime” สามารถติดต่อได้ที่ อีเมลล์ studentsupport@.in.th หรือทาง www..in.th หรือ โทร 02-660-3049

View :1239
Categories: Press/Release Tags:

ก.ไอซีที แจงแนวทางดำเนินการเมื่อพบเว็บไซต์ไม่เหมาะสมทางสื่อออนไลน์

November 25th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า การให้บริการเว็บไซต์ทั้งภายในและภายนอกประเทศได้มีการพัฒนารูปแบบไปอย่างรวดเร็วมาก โดยปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นเครือข่ายสื่อสังคมที่เผยแพร่เนื้อหาในรูปแบบ ข้อมูล ข่าวสาร และคลิปวิดีโอมากขึ้น ซึ่งทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสามารถแพร่ขยายไปทั่วโลก จึงทำให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีนำเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาเผยแพร่ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

ดังนั้น กระทรวงไอซีที จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานต่างๆ ประสานความร่วมมือในการระงับการเผยแพร่ไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ให้บริการได้ลบหน้า Facebook ที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นออก และทำให้ การดำเนินการระงับการเผยแพร่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากใน 1 บัญชี (Account) ของ Facebook จะประกอบไปด้วยรูปต่างๆ ซึ่งอาจทำให้มีหน้าต่างๆ ได้มากถึงหลักร้อย URL และเมื่อรวมกับหน้าต่างๆ ที่ถูก Share หรือ Comment ก็จะทำให้จำนวน URL เพิ่มขึ้นไปอีก การระงับการเผยแพร่ใน 1 Account จึงทำให้มี URL ที่ไม่เหมาะสมหายไปประมาณ 100 -1,000 รายการ โดยในช่วงเดือนต.ค. – พ.ย.ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการระงับการเผยแพร่ไปแล้วกว่า 60,000 URL

ส่วนการกด Share หรือ Like หรือ Comment นั้น เป็นการกระทำที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยที่ผู้กระทำอาจไม่รู้ตัว เนื่องจากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลต่อในทางอ้อม กระทรวงไอซีที จึงขอให้ประชาชนที่หวังดีและต้องการปกป้องสถาบันปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงฯ โดยหากพบเจอเว็บไซต์ไม่เหมาะสมขอให้แจ้งข้อมูลมาที่หมายเลข 1212 รวมทั้งหยุดการเข้าไปดูหน้าเว็บดังกล่าว และไม่บอกต่อ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบผู้กระทำความผิดได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับวิธีปฏิบัติเมื่อพบเจอเว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสมนั้น สิ่งที่ควรกระทำ คือ ห้ามกด Share โดยเด็ดขาด เช่นใน Facebook การกด Share จะทำให้เนื้อหาในเว็บไซต์นั้นไปปรากฏบนหน้าหลักของเพื่อนๆ ที่อยู่ในรายการชื่อของเรา ทำให้เป็นการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่ไม่เหมาะสมนั้นโดยไม่รู้ตัว การ share เพื่อให้เพื่อนๆ ได้เห็นถึงความไม่เหมาะสม และร่วมติเตียนผู้กระทำความผิดนั้น อาจจะทำให้การตรวจสอบเพื่อระงับการเผยแพร่นั้นทำได้ลำบาก เพราะฝ่ายตรวจสอบของผู้ให้บริการในต่างประเทศอาจเข้าใจไปว่า เนื้อหาที่เผยแพร่นั้นมีความน่าสนใจจึงมีการกด Share กันเป็นจำนวนมาก ทำให้การระงับการเผยแพร่ทำได้ยากขึ้น

นอกจากนั้นยัง ห้ามกด Like และห้าม Comment โดยเด็ดขาด เพราะการกระทำดังกล่าวจะทำให้ข้อความที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นไปปรากฏบนหน้า Wall หรือหน้าหลักของผู้กด Like และ Comment รวมทั้งจะเชื่อมต่อไปถึงหน้า Facebook ของกลุ่มเพื่อนอีกด้วย การที่ผู้ชม Facebook กด Like เพื่อติดตามความเคลื่อนไหว หรือโต้ตอบ จะยิ่งสร้างความสนใจให้กลุ่มเพื่อนที่เห็น และอาจร่วมในกระบวนการโต้ตอบด้วย จึงเท่ากับเป็นการกระจายข้อมูลข่าวสารและเพิ่มกระแสความนิยมให้กับเว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัว

“ปัจจุบันพบว่า มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่เข้าไปโต้ตอบกับพวกที่เผยแพร่เว็บไม่เหมาะสมในลักษณะหมิ่นสถาบัน โดยการกด Like , Comment หรือ Share นั้น อาจถูกนำชื่อ และรูปถ่ายไปสร้างหน้า Facebook ปลอมและเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ดังนั้น กระทรวงฯ จึงอยากขอให้ประชาชนทุกคนอย่ากด Like , Comment หรือ Share เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อ แต่หากได้มีการกดไปแล้วขอให้ทำการลบ Share กด Unlike และลบ Comment ที่เคยทำเอาไว้ เพื่อลดการเผยแพร่ และเจ้าหน้าที่จะสามารถดำเนินการตรวจสอบผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น

View :1293

เครือข่ายเอไอเอสพร้อมให้บริการในนิคมอุตสาหกรรมหลักแล้ว

November 25th, 2011 No comments


25 พฤศจิกายน 2554 : นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเอไอเอสในพื้นที่อุทกภัยนั้นถือได้ว่าเข้าสู่สภาวการณ์ปกติ มีเพียงพื้นที่ส่วนน้อยซึ่งน้ำยังคงท่วมขัง และการไฟฟ้างดจ่ายกระแสไฟ ซึ่งทำให้เอไอเอสยังไม่สามารถให้บริการได้ อย่างไรก็ตามหากบริเวณนั้นเป็นแหล่งชุมชนหรือพื้นที่สำคัญ ทีมวิศวกรจะใช้เครื่องปั่นไฟ เพื่อให้เครือข่ายสามารถให้บริการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในบริเวณดังกล่าว”

“สำหรับพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างนิคมอุตสาหกรรมหลักๆไม่ว่าจะเป็น นิคมไฮเทค, นิคม แฟ็คทอรี่ แลนด์, นิคมลำไทร, นิคมโรจนะ หรือนิคมบางปะอินนั้น ช่วงที่ผ่านมาทีมวิศวกรได้เร่งเข้าไปดำเนินการแก้ไข จนกระทั่งปัจจุบันเครือข่ายสื่อสารไร้สายในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวซึ่งกำลังเริ่มเปิดให้บริการอีกครั้ง ได้พร้อมให้บริการแล้ว 100% ทั้งในส่วนภาพรวมการใช้งานในบริเวณนิคมฯ หรือส่วนของคอร์ปอเรต โซลูชั่นส์ ซึ่งลูกค้าองค์กรใช้บริการจากเอไอเอสก็พร้อมใช้งานได้แล้ว 100% เช่นกัน โดยที่ผ่านมาเราได้ประสานงานกับลูกค้าองค์กรซึ่งเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งการเตรียมอุปกรณ์สำรอง (Spare Parts) เพื่อให้สามารถเปลี่ยนได้ทันทีกรณีหากตรวจสอบพบว่าได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม โดยหากลูกค้ารายใดพร้อมเปิดให้บริการ ทีมงานจะเข้าไปสนับสนุนโซลูชั่นส์ทางการสื่อสารทันที”

นายวิเชียรกล่าวยืนยันตอนท้ายว่า “แม้สถานการณ์ภาพรวมอุทกภัยหลายพื้นที่จะเริ่มคลี่คลาย แต่ทีมวิศวกรเอไอเอสยังคงเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกับเข้าไปฟื้นฟูเครือข่ายในพื้นที่อุทกภัยตลอดเวลา เพื่อให้ลูกค้าตลอดจนภาคธุรกิจ ติดต่อสื่อสารและเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง”

View :1435

‘ifec’ เปิดสายด่วนแนะซ่อมบำรุงเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น มอบส่วนลดค่าอะไหล่ 20-30% ช่วยลูกค้าฟื้นฟูธุรกิจหลังน้ำลด

November 23rd, 2011 No comments

” ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น “” เปิดสายด่วน Hot Line 02-718-8000 กด 4 ส่งเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำตรวจเช็คสภาพเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น พร้อมมอบส่วนลดอะไหล่และวัสดุ 20-30% หวังช่วยเหลือลูกค้าฟื้นฟูธุรกิจหลังผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วม

นายดำริห์ เอมมาโนชญ์ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ ifec ผู้นำเข้าและทำตลาดเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น ‘โคนิก้า มินอลต้า’ รายเดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดสายด่วน 02-718-8000 กด 4 เพื่อให้แนะนำซ่อมแซม และบำรุงรักษาเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม พร้อมส่งทีมช่างบริการจากโคนิก้า มินอลต้า เข้าไปตรวจเช็คสภาพความเสียหายของเครื่องให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ หากตรวจพบว่า สภาพเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นมีความเสียหายมาก ทีมเจ้าหน้าที่ก็พร้อมให้บริการยกเครื่องเข้ามาทำการตรวจเช็คสภาพเครื่องฟรีโดยไม่คิดค่าบริการ และยังมอบส่วนลดค่าอะไหล่และวัสดุ 20-30% เพื่อช่วยเหลือลูกค้าโคนิก้า มินอลต้า ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมให้สามารถกลับมาฟื้นฟูธุรกิจได้อีกครั้ง เพื่อหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ลูกค้าจะสามารถใช้งานเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นได้ทันที

“เราเปิดเบอร์สายด่วน 02-718-8000 กด 4 เพื่อให้ลูกค้าสามารถโทรเข้ามาขอคำแนะนำดูแลเครื่องหลังน้ำลด หรือขอความช่วยเหลือในการซ่อมแซม หากกรณีเครื่องฯ ได้รับความเสียหายมาก เราจะลดค่าอะไหล่และวัสดุ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าในช่วงฟื้นฟูกิจการอีกด้วย” นายดำริห์ กล่าว

View :1350

“เอซุส” จับมือ 3 พันธมิตร วงการไอที ช่วยเหลือเจ้าของคอมที่ประสบภัยน้ำท่วม ทุกรุ่น ทุกค่าย บริการเช็ค-ซ่อมเครื่องฟรี

November 23rd, 2011 No comments

บริษัท จำกัด ร่วมมือกับ เว็บไซต์ , บริษัท จำกัด และ บริษัท จำกัด จัดกิจกรรมแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคเหนือ โดยสามารถนำเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊ก ทุกรุ่น ทุกค่าย ไม่จำกัดยี่ห้อ มารับบริการตรวจเช็ค ฟรี! โดยบางรายการหากสามารถซ่อมแซมได้จะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่หากจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่ชื้นใหม่ เอซุสมอบส่วนลดค่าอะไหล่ให้ 30 % พบกัน ณ ร้านฮาร์ดแวร์เฮ้าส์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 26 – 28 พฤศจิกายน 2554 ระหว่างเวลา 09.00-20.00 น.

สำหรับในจังหวัดที่ประสบอุทกภัยอื่นๆ เช่น พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี และปทุมธานี โครงการมีแผนเดินทางลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเช่นกัน รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อ ASUS Call Center: 02-401-1717 หรือ www.asus.co.th หรือจะเข้ามาพูดคุยกับเราที่ www.facebook.com/ASUSThailand

View :1389

Samsung Galaxy Y พร้อม iLike SIM จาก ทรูมูฟ 3G + Wi-Fi

November 22nd, 2011 No comments

ทรูมูฟจับมือซัมซุงเปิดตัว SamsungGalaxy Y พร้อมกับ iLike SIM และแพ็กเกจเสริมเอาใจลูกค้าทรูมูฟที่เป็นสาวก Facebook และWhatsAppเพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่นและผู้เริ่มลองใช้สมาร์ทโฟน Android โดยมาพร้อมกับโปรโมชั่นแรง สุดคุ้มกับการสนุกบนสังคมออนไลน์ ทั้งยังให้ลูกค้าทรูมูฟได้สัมผัสประสบการณ์แบบเต็ม ๆ กับระบบปฏิบัติการ Android 2.3 Gingerbread เวอร์ชั่นล่าสุดจาก Google ที่มาพร้อมกับ CPU ความเร็วถึง 832 MHz ด้วยราคาที่ถือได้ว่าเป็นAndroid ที่ถูกที่สุด ณ ขณะนี้ พร้อมให้ลูกค้าทรูมูฟได้ แชท โหลด โหวต เม้นท์ แบบไม่อั้น ผ่าน 3G,Wi-Fi, EDGE/GPRS เต็มรูปแบบ บนเครือข่ายทรูมูฟ 3G + Wi-Fi เริ่มต้นเพียงวันละ 5 บาท สมัครวันนี้!!! รับสิทธ์ใช้ฟรี Facebook และ WhatsApp นาน 14 วันทันที

เตรียมเป็นเจ้าของ SamsungGalaxy Y สมาร์ทโฟนตัวเล็ก สเป็คแรง จากทรูมูฟ ด้วยราคาสุดคุ้มเพียง 4,790 บาทพร้อมโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 6 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการก่อนใครได้ในวันที่ 22 พ.ย. 54 ที่ทรูช้อปชั้นนำ 10 สาขาทั่วกรุงเทพ (ดิจิตอลเกตเวย์, เซ็นทรัลลาดพร้าว แจ้งวัฒนะ ปิ่นเกล้า พระราม 2, เดอะมอลล์ท่าพระ งามวงศ์วาน บางกะปิ และซีคอนสแควร์) และสิ้นเดือน พ.ย. นี้ ที่ทรูช้อปทุกสาขาทั่วประเทศ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1331 ทรูช้อป หรือ www.truemove.com

View :2118