Archive

Archive for May, 2012

ก.ไอซีที เชิญร่วมการทดสอบ World IPv6 Launch

May 30th, 2012 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ภายหลังจากกระทรวงไอซีที ได้ประกาศนำประเทศไทยสู่ IPv6 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการหมดลงของหมายเลข IPv4 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับภูมิภาคเอเชียเป็นภูมิภาคแรกของโลก ซึ่งจะทำให้การขยายตัวและการบริการอินเทอร์เน็ตในภูมิภาคนี้ประสบปัญหาอย่างมากในอนาคตอันใกล้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตยุคหน้า (Next Generation Internet หรือ IPv6) ทั้งนี้ เพื่อให้การขยายตัวของอินเทอร์เน็ตในอนาคตสามารถทำงานร่วมกันบนเครือข่าย IPv6 และ IPv4 ได้

“การเข้าสู่ IPv6 นับเป็นการ upgrade อินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ซึ่งการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครือข่ายไปสู่ IPv6 ให้ได้ผลที่ดีนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมการและวางแผนอย่างเป็นระบบ” นางจีราวรรณ กล่าว

โดยตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552 – 2556 ในยุทธศาสตร์ที่ 4 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารและบริการของภาครัฐ มาตรการ 4.1 การสร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบการผลักดันการใช้ ICT ในการบริหารและบริการของภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐแบบบูรณาการ โดยกำหนดกรอบนโยบายที่เกี่ยวกับข้อมูลและการสื่อสารข้อมูลที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพ รวมถึงกำหนดกรอบนโยบายและแผนการดำเนินงานเพื่อให้โครงข่ายภาครัฐสามารถรองรับการใช้งานและให้บริการอินเทอร์เน็ตโปรโทคอลรุ่น 6 หรือ IPv6 ได้ภายใน ปี 2555

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาบริการบรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) ให้เป็นบริการที่มีความสำคัญเทียบเท่าบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยต้องมีการพัฒนาโครงข่าย บรอดแบนด์อย่างทั่วถึง เพียงพอ รวมทั้งให้บริการในราคาที่เหมาะสม ภายใต้การแข่งขันเสรีที่เป็นธรรม ตลอดจนครอบคลุมประชากร ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ภายในปี 2558 และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ภายในปี 2563 พร้อมกันนี้ ยังมีนโยบายสนับสนุนการใช้อินเทอร์เน็ต เช่น นโยบาย Free WiFi นโยบาย One Tablet Per Child และการสนับสนุนให้เกิด 3G และ LTE เป็นต้น

ดังนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายดังกล่าว กระทรวงไอซีที จึงได้ร่วมกับสมาคมไอพีวี 6 ประเทศไทย และผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารโทรคมนาคมต่าง ๆ วางแผนการดำเนินการ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะเตรียมการ (พ.ศ. 2554 – 2555) ดำเนินการประเมินความพร้อมของเครือข่าย สร้างเครือข่ายการทดสอบ IPv6 ของประเทศ ดำเนินการทดสอบ IPv6 และดำเนินการฝึกอบรมแก่บุคลากร รวมถึงผู้ให้บริการการสื่อสารอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ตลอดจนประกาศแผนปฏิบัติการ IPv6 ซึ่งยึดตามแผนปฏิบัติการ IPv6 ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ

ระยะที่ 2 ระยะดำเนินการ (พ.ศ. 2556 – 2558) จะดำเนินการเปลี่ยนถ่ายจากเครือข่าย IPv4 ไปยังเครือข่ายที่สนับสนุนได้ทั้ง IPv4 และ IPv6 ในเครือข่ายและบริการภาครัฐ รวมถึงดำเนินการให้เครือข่าย IPv6 เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และจัดให้มีการทดสอบบริการอิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่าย IPv6 เพื่อให้แน่ใจว่าอินเทอร์เน็ตของประเทศไทยมีมาตรฐานและความมั่นคง นอกจากนี้ยังร่วมผลักดันและสนับสนุนภาคเอกชนให้มีการดำเนินการที่สอดคล้องกับแผนดังกล่าวด้วย

ในการดำเนินการระยะที่ 1 เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมานั้น ได้มีการจัดการทดสอบในงาน Day ซึ่งได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าทุกภาคส่วนมีความตระหนักในปัญหาการขาดแคลนหมายเลข IP โดยผู้ร่วมงานครั้งนั้นได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ หน่วยงานส่วนใหญ่มีความพร้อมและจะเริ่มใช้งาน IPv6 ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี เนื่องจากอุปสรรคในด้านความพร้อม ด้านบุคลากร อุปกรณ์ และโปรแกรมประยุกต์ใช้งาน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่หน่วยงานต่างๆ ถึงร้อยละ 70 มีความกังวลว่าอาจจะไม่รองรับการทำงานบนเครือข่าย IPv6

สำหรับในปีนี้ทั่วทั้งโลกได้พร้อมใจกันให้บริการผ่านเครือข่าย IPv6 ในวันที่ 6 มิถุนายน 2555 ภายใต้ชื่อว่า World IPv6 Launch โดยในวันดังกล่าวทั้ง Google, Facebook, Yahoo และผู้ให้บริการรายอื่น ๆ รวมถึงผู้ค้าอุปกรณ์ และองค์กรขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกจะเริ่มให้บริการผ่านเครือข่าย IPv6 ซึ่งต่างจากปีที่แล้วที่เป็นเพียงการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ปิดการใช้งาน IPv6
“ในส่วนของรัฐบาลจะมีการนำบริการภาครัฐเข้าร่วมทดสอบความพร้อมในวัน World IPv6 Launch ดังกล่าวด้วย โดยมีหน่วยงานที่ประสงค์เข้าร่วมทดสอบแล้วจำนวน 33 หน่วยงาน นอกจากนี้ หลังจากวันเริ่มทดสอบ World IPv6 Launch 2012 แล้ว จะจัดให้มีงาน Thailand IPv6 Conference Day 2012 ในวันที่ 26 มิถุนายน 2555 เพื่อนำผลและประสบการณ์ในการทดสอบดังกล่าวทั้งจากภาครัฐและเอกชน มานำเสนอและแลกเปลี่ยนร่วมกัน ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดสนใจร่วมทดสอบ IPv6 กระทรวงฯ ขอเชิญเข้าร่วมการทดสอบ IPv6 ได้ในวันที่ 6 มิถุนายน 2555 โดยสามารถติดตามความก้าวหน้าและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ipv6.ega.or.th และ http://www.worldipv6launch.org” นางจีราวรรณ กล่าว

View :1455
Categories: Internet Tags:

เอไอเอส เตรียมความพร้อมเครือข่ายรับ ประชุม World Economic Forum on East Asia (WEF)

May 30th, 2012 No comments

นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “จากการที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออกหรือ ระหว่างวันที่ 30 พ.ค. – 1 มิ.ย.ศกนี้ นั้น เพื่อยืนยันถึงศักยภาพความพร้อมด้านเทคโนโลยีของประเทศและ อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศต่างๆรวมถึงสื่อมวลชนให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการประชุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอไอเอสจึงเตรียมความพร้อมด้านเครือข่ายและบริการด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย ประกอบด้วย

· ดำเนินการติดตั้งเทคโนโลยี 4G บริเวณห้องสื่อมวลชน ทั้งนี้สืบเนื่องจากการอนุมัติโดย กสทช. ให้ TOT ผ่านการทำงานของเอไอเอส โดยใช้คลื่น 2.3 GHz พร้อมจุดบริการ Notebook และ 4G Dongle รวมถึงการกระจายสัญญาณในลักษณะของบริการ Wifi จาก 4G ณ บริเวณดังกล่าว

· จัดเตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่ รวมถึงติดตามเฝ้าระวังคุณภาพเครือข่ายทั้งเส้นทางการเดินทางและสถานที่ประชุม รวมถึงสถานที่จัดเลี้ยง ตลอด 24 ชั่วโมงของช่วงการประชุม

· ประสานงานกับโอเปอเรเตอร์ ผู้ให้บริการต่างประเทศกว่า 40 แห่งจากทุกประเทศที่เข้าร่วมประชุม เพื่อเตรียมพร้อมกรณีหากเกิดปัญหาการใช้งานของผู้เข้าร่วมเพื่อให้การประชุมไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสาร

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเตรียมความพร้อมในฐานะภาคเอกชนที่เป็นผู้นำระบบการสื่อสารจะมีส่วนสนับสนุนให้การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออกหรือ World Economic Forum on East Asia (WEF) ณ ประเทศไทย เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้” นายวิเชียร กล่าวในตอนท้าย

View :1341

ก.ไอซีที จับมือ กลุ่มบีเอสเอ ศึกษาแนวทางนำ Cloud Computing มาใช้พัฒนาเศรษฐกิจเพื่อรองรับ AEC 2015

May 29th, 2012 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในงานสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ “Thailand’s Economic Growth in Digital Environment and amid Transmission to AEC 2015: Readiness of Laws and Regulations” ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ) จัดงานสัมมนาครั้งนี้ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทศึกษาเปรียบเทียบเรื่องนโยบายและกฎหมายของประเทศต่างๆ ทั้งหมด 24 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน สำหรับการประเมินความพร้อมของนโยบายและกฎหมายของประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ ในมุมมองที่เกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจในโลกยุคดิจิตอล (Digital Economy) บนสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเติบโตของเศรษฐกิจระหว่างการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

“กระทรวงฯ มีหลักการและนโยบายที่ชัดเจนเพื่อใช้ประโยชน์จากระบบ Cloud Computing ในการส่งเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันทางธุรกิจในตลาดภูมิภาคนี้ รวมถึงสร้างศักยภาพทางธุรกิจแก่ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ ประชาชนโดยทั่วไป และภาครัฐ ซึ่งรายงานการศึกษาดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือสำคัญอันหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจบนระบบ Cloud Computing และนำไปสู่การสนับสนุนภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้เดินหน้าเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” นางจีราวรรณ กล่าว

งานสัมมนาเชิงวิชาการครั้งนี้ เป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากงานสัมมนาเชิงวิชาการ ในหัวข้อ “Digital Economy and Cloud Computing Scorecard” ซึ่งกระทรวงฯ ได้เคยร่วมกับ บีเอสเอ จัดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา โดยเนื้อหาหลักของงานสัมมนาปีนี้ได้เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับประเด็นด้านนโยบายและกฎหมาย เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในยุคดิจิตอล (Digital Economy) และ Cloud Computing รวมทั้งเน้นเรื่องการเชื่อมโยงเข้ากับการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักในการสัมมนาครั้งนี้ คือ ผู้บริหารระดับสูง หรือผู้มีอำนาจสั่งการ (CIO) ของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน

สำหรับสาระสำคัญที่น่าสนใจของการสัมมนาฯ ครั้งนี้ ได้แก่ 1. เกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพของ Cloud Computing ที่ใช้สำหรับวัดความพร้อมของประเทศไทย และผลกระทบต่อการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย 2. Cloud Computing มีส่วนช่วยในการกำหนด ASEAN ICT Master Plan ได้อย่างไร 3.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศในโลก Cloud Computing และนโยบายด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับ Cloud Computing ในระดับชาติ เป็นต้น

ส่วน มร.โรเจอร์ ซัมเมอร์วิลล์ ผู้อำนวยการอาวุโส ด้านนโยบายภาครัฐของบีเอสเอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า Cloud Computing เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยอาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาล หน่วยงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะต้องวางโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพื่อให้ระบบ Cloud Computing เติบโตต่อไป และสร้างประโยชน์สูงสุดในการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้แก่ประเทศนั้นๆ ในตลาดโลก ซึ่งรายงานการศึกษาที่จัดทำโดย บีเอสเอ ฉบับนี้ยังจะช่วยประเทศไทย และประเทศอื่นๆ อีก 23 ประเทศ สำรวจตรวจสอบสิ่งแวดล้อมด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่มีอยู่ในประเทศ เพื่อดูว่ามีปัจจัยใดบ้างที่จะส่งผลกระทบทำให้ประเทศต่างๆ ไม่สามารถรับประโยชน์สูงสุดจากระบบ Cloud Computing ได้

รายงานการศึกษาดังกล่าวได้นำเสนอแนวทางการริเริ่มและวางนโยบายที่ประเทศต่างๆ สามารถนำไปใช้ และควรจะพิจารณานำไปใช้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบ Cloud Computing และในรายงานยังนำเสนอการพิจารณาปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างงานบนระบบ Cloud Computing ที่จะเพิ่มโอกาสความได้เปรียบทางเศรษฐกิจได้อย่างมากมาย

นอกจากนี้ รายงานการศึกษาดังกล่าว ยังระบุว่าประเทศไทยได้รับคะแนนสูงในบางด้าน เช่น ความพร้อมของกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่สนับสนุนการทำธุรกรรมบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) และการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature) แต่สำหรับความพร้อมด้านอื่นๆ ได้แก่ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy Protection) กลับมีคะแนนไม่สูงมากนัก ถึงกระนั้น ประเทศไทยยังคงมีความพร้อมในเรื่องอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ (Cybercrime) เพราะมีการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง และประกาศใช้แล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลบนระบบ Cloud Computing โดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ยังต้องส่งเสริมและสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว รวมถึงการสืบสวน สอบสวนอาชญากรรมบนโลก ไซเบอร์ และการพัฒนาเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Rights) มาตรฐานการระงับและการคัดกรองข้อมูลข่าวสาร (Censorship, Filtering) รวมทั้งการบังคับใช้ระบบเทคโนโลยีเฉพาะทาง (Technology Mandates) อีกด้วย

View :1689

ไอบีเอ็มและทีซีซีเทคโนโลยี ประกาศความร่วมมือโครงการเมกะดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของประเทศไทย

May 29th, 2012 No comments

ทีซีซี เทคโนโลยี (TCCT) ผู้นำการให้บริการดาต้าเซนเตอร์ที่เป็นอิสระระดับแนวหน้าของประเทศไทย ได้มอบหมายให้ไอบีเอ็มเป็นผู้พัฒนา ออกแบบกลยุทธ์ รวมถึงรูปแบบของดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่หรือ “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” โดยไอบีเอ็มจะให้คำปรึกษาเพื่อการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน และคุณภาพการบริการด้วยขนาดและทำเลที่เหมาะสมสูงสุดสำหรับลูกค้าในแต่ละประเภทธุรกิจ ด้วยประสบการณ์และคุณภาพการบริการมาตรฐานระดับสากล ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์วิจัย ไอบีเอ็มจะช่วยให้ทีซีซี เทคโนโลยี สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานของราคาและประโยชน์ที่สมเหตุสมผลสำหรับการลงทุนครั้งนี้

นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ที.ซี.ซี เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “เราไว้วางใจไอบีเอ็มให้ทำการศึกษาวิจัยในการสำรวจและคัดเลือกทำเลที่ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ให้กับทีซีซีที ผนวกกับการวิเคราะห์ถึงขนาดที่เหมาะสม และกลยุทธ์การสร้างศักยภาพสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ เนื่องจากในปัจจุบัน มีความต้องการบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นมากจากหลากหลายประเภทธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค โดยมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองทั่วโลก การไว้วางใจให้ผู้เชี่ยวชาญด้านดาต้าเซ็นเตอร์ดูแลข้อมูลสำคัญต่างๆให้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถลดต้นทุนโดยพิจารณาบริการของเราแทนการลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ ศูนย์สำรองข้อมูล และการจ้างวิศวกรคอมพิวเตอร์ในการดูแลดาต้าเซ็นเตอร์ด้วยตนเอง ในฐานะผู้นำการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นอิสระชั้นแนวหน้าของประเทศไทย เราพร้อมตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นและขยายศักยภาพด้วยการวางแผนสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” โดยจะสร้างเป็น ดาต้าเซ็นเตอร์คอมมิวนิตี้ อันจะประกอบด้วยธุรกิจต่างๆจากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถรองรับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยทีซีซีทีจะเป็นศูนย์กลางการเก็บข้อมูล และเป็นผู้บริหารจัดการข้อมูลด้วยระบบไอทีอย่างชาญฉลาด เราต้องการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำซึ่งโดดเด่นด้วยขนาด ทำเลและบริการที่ดีที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกไอบีเอ็มซึ่งมีความเชี่ยวชาญระดับโลกและมีบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบให้คำแนะนำจนไปถึงการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ มาทำการศึกษาวิจัยให้กับเราและสามารถตอบสนองความต้องการจุดนี้ได้อย่างครบถ้วน”

นายยศ กิมสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริการ บริษัทไอบีเอ็มประเทศไทยจำกัด กล่าวว่า “ไอบีเอ็มรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทีซีซีทีได้เลือกไอบีเอ็มเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ที่จะช่วยตอบโจทย์ทางธุรกิจและเสริมความเป็นผู้นำของทีซีซีทีในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วยบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ครบครันและความเชี่ยวชาญระดับโลกของไอบีเอ็ม เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเสริมศักยภาพให้ทีซีซีทีสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างเหนือระดับ”

“เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ของทีซีซีทีจะใช้กลยุทธ์ “3S” โดยมุ่งหมายที่จะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย โดยมีคุณสมบัติที่มีความยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ และความสามารถในการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นสูง รวมถึงสามารถสองตอบความต้องการของลูกค้าที่ต้องการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มจากเดิมอีกด้วย

โดยกลยุทธ์ “3S” คือ
• Size (ขนาด) จากความต้องการของทีซีซีที ไอบีเอ็มจะศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ขนาดในการสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและสามารถรองรับรูปแบบการบริการที่จะนำเสนอให้แก่ลูกค้าอีกด้วย
• Site (ทำเลที่ตั้ง) การเลือกทำเลที่ตั้งของศูนย์แห่งใหม่จะเป็นการผนวกรวมความเชี่ยวชาญของไอบีเอ็มในฐานะผู้มีประสบการณ์การให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสากลที่ได้ศึกษาวิจัยและวางแผนการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบยกพื้น (Raised-Floor) กว่า 30 ล้านตารางฟุตให้กับองค์กรมาแล้วทั่วโลก กับความชำนาญในการเลือกสรรทำเลที่ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยของทีซีซีทีซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเซียได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ทีมงานผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ของไอบีเอ็มจะทำการศึกษาวิจัย รวบรวมข้อมูลแนวโน้มตลาด ความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย แล้วจึงจะทำการสำรวจทำเลที่ตั้ง โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปวิเคราะห์โดยใช้โมเดลช่วยการตัดสินใจและเครื่องมือการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ทำเลที่เหมาะสมที่สุดในการสร้าง“เมกะดาต้าเซ็นเตอร์”
• Services (บริการ) จากคำปรึกษาของไอบีเอ็ม ทีซีซีทีจะสามารถตัดสินใจเรื่องรูปแบบดาต้าเซ็นเตอร์และการบริการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้ในอนาคต โดยขนาดและทำเลที่ตั้งจะต้องเหมาะสมกับบริการที่จะให้กับลูกค้า

บริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนและกลยุทธ์ดาต้าเซ็นเตอร์ของไอบีเอ็มจะช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีอยู่และดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะสร้างใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ เช่น การขยายตัวของธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และความสามารถในการให้บริการ โดยไอบีเอ็มสามารถช่วยลูกค้าตั้งแต่การวางแผนที่รัดกุมเพื่อลดความเสี่ยง ลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน รวมถึงลดความซับซ้อนในการสร้างหรืออัพเกรดดาต้าเซ็นเตอร์ ไอบีเอ็มยังสามารถช่วยเลือกสรรเทคโนโลยี ทำเลที่ตั้งของศูนย์ และรูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมทางไอทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงช่วยออกแบบ ติดตั้งและสร้างสมาร์ทเตอร์ดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการบริหารจัดการ ทำการทดสอบและติดตั้งให้แก่ลูกค้า
ข้อมูลเพิ่มเติม

ปัจจุบันทีซีซีทีมีดาต้าเซ็นเตอร์อยู่สามแห่ง 3 แห่ง คือ
• ระดับองค์กร: ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับองค์กรธุรกิจ (Enterprise Data Centers) ได้แก่ เอ็มไพร์ทาวเวอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ (ETDC) สาทร และ บางนาดาต้าเซ็นเตอร์ (BNDC) ตั้งอยู่บนอาคาร TCIF ห่างจากสนามบินนานาชาติเพียง 10 กิโลเมตร
• ระดับอุตสาหกรรม: ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Data Center) ได้แก่ Amata Industrial Estate (AMDC)
• ระดับภูมิภาค: ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาค (International Data Center) ได้แก่ (KMDC) ที่จะสร้างขึ้นที่ประเทศกัมพูชา
ท่านสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tcc-technology.com

View :1578

เอปสันเผยผลงานปี 54 ยอดขายทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้าปี 55 โตอีก 15%

May 29th, 2012 No comments

ประเทศไทย ประกาศผลการดำเนินงานปี 2554 ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 13% พร้อมส่งสินค้ารุ่นใหม่ และเปิดไลน์สินค้าใหม่ รุกตลาดลูกค้าองค์กรทุกระดับ รับกระแสเศรษฐกิจฟื้นตัว

มร.เออิจิ คาโตะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทเอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด


มร.เออิจิ คาโตะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทเอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานใน ปีที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ มียอดขายในทุกหมวดสินค้าเพิ่มขึ้นโดยรวม 13% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมในช่วงปลายปี ทั้งนี้เป็นผลจากการที่บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ส่งสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดหลายรุ่นติดต่อกัน เพื่อเข้าถึงลูกค้าองค์กรในหลายระดับ และยังเปิดไลน์สินค้าใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสามารถเปิดตลาดใหม่ๆ ได้ บวกกับการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จนได้รับความไว้ใจจากลูกค้าในหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มหันมาลงทุนในโครงการต่างๆ มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี บริษัทฯ จึงเชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตในปีนี้ที่ 15% ได้

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หมวดสินค้าของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตเกินความคาดหมาย ได้แก่ กลุ่มสินค้าทีเอ็มพรินเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มธุรกิจซึ่งเอปสันเป็นผู้นำตลาดมาโดยตลอด โดยมีการขยายตัวอย่างโดดเด่นถึง 40% เป็นผลจากห้างร้านจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจาก น้ำท่วม กลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง และเปลี่ยนอุปกรณ์ไอทีภายในร้านใหม่ บวกกับร้านค้าขนาดเล็กมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

“สำหรับอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ เอปสันมียอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 25% โดยไฮไลท์อยู่ที่ พรินเตอร์ระบบหมึกสีต่อเนื่อง หรือ เอปสัน แอล ซีรี่ส์ (L Series) ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า เครื่องแท็งค์แท้ ที่ผ่านมาเอปสันเปิดตัวไป 3 รุ่น และได้ผลตอบรับดีมาก จากกลุ่มเอสเอ็มอี ออฟฟิศโซโห และสถาบันศึกษา และจากผลสำรวจของ GFK เอปสันยังคงเป็นผู้นำในตลาดซิงเกิ้ล ฟังก์ชั่น อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ และมีอัตราการเติบโตสูงสุดในตลาดมัลติ ฟังก์ชั่น ซึ่งในภาพรวมของตลาดนี้ เอปสันมีส่วนแบ่งการตลาดในด้านรายได้เป็นอันดับหนึ่ง อยู่ที่ 30.2%”

นายยรรยง ยังได้กล่าวถึงกลยุทธ์ในปีนี้ว่า บริษัทฯ จะโฟกัสสินค้าที่มีการเติบโตอย่างชัดเจน อาทิ สินค้าในกลุ่มธุรกิจ โปรเจคเตอร์ และอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ พร้อมเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ทั้งยังจะเดินหน้ารุกตลาดใหม่ๆ ด้วยสินค้ารุ่นใหม่ ที่เน้นความคุ้มค่าและต้นทุนการใช้งานที่ต่ำ ในขณะเดียวกัน ก็จะรักษาความต่อเนื่องในการสร้างแบรนด์ ผ่านการเป็นพาร์ทเนอร์ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“ในอีกด้านหนึ่ง เอปสันจะเพิ่มความเข้มข้นในการบริหารจัดการช่องทางการขาย โดยเน้นการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจให้กับทีมขายในแต่ละช่องทาง เกี่ยวกับคุณค่าและความคุ้มค่าในการลงทุนที่ผลิตภัณฑ์เอปสันมอบให้กับลูกค้า ทั้งยังรักษาความต่อเนื่องในการจัดกิจกรรมทางการตลาด เพื่อสนับสนุนพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายทุกช่องทาง ที่สำคัญ เอปสันจะรักษาความเป็นที่หนึ่งในด้านการให้บริการหลังการขาย”

“สำหรับทิศทางธุรกิจของเอปสันในปี 2555 นี้ บริษัทฯ ยังโฟกัสที่ตลาดองค์กรธุรกิจอยู่ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีโอกาสในการขยายตัวอีกมาก ธุรกิจขนาดเล็กเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน ธุรกิจเอสเอ็มอีและโซโหก็มีโอกาสขยายตัว มีความต้องการใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ก็มองหาโซลูชั่นที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงาน พร้อมกับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน และประหยัดเวลา รวมไปถึงการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อย่างภัยธรรมชาติ” นายยรรยง กล่าวต่อ

นอกจากนี้ เอปสัน ประเทศไทย ยังได้เปิดตัวสินค้าใหม่ และสินค้าไลน์ใหม่ ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งประกอบด้วย บิสิเนส สแกนเนอร์ จำนวน 1 รุ่น คือ Epson DS-30 สแกนเนอร์ขนาดพกพาสะดวก สำหรับนักธุรกิจ น้ำหนักเบาเพียง 325 กรัม รองรับเอกสารในการสแกนได้หลากหลาย ตั้งแต่ขนาดนามบัตร ถึง A4 ราคา 7,990 บาท

อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ สี ขนาด A3 สำหรับองค์กรธุรกิจ จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ Epson WorkForce WF-7011 เครื่องรุ่น ซิงเกิ้ล ฟังก์ชั่น ความเร็วในการพิมพ์สูงสุดถึง 34 หน้าต่อนาที พิมพ์เอกสารในระบบการพิมพ์ 2 หน้า ด้วยความเร็ว 7.7 ipm ใช้งานแบบไร้สายผ่าน WIFI สั่งพิมพ์ตรงจากอุปกรณ์สื่อสารแบบพกพาต่างๆ ผ่าน Epson iPrint 2.0, Apple’s airport และ Google Cloud Printing พิมพ์งานขนาดโปสเตอร์ A3 พิมพ์งานต่อเนื่องไม่สะดุด ด้วยถาดป้อนกระดาษ 2 ชั้น รองรับกระดาษได้สูงสุดถึง 500 แผ่น ราคา 9,900 บาท

Epson WorkForce WF-7511 เครื่องรุ่นมัลติ ฟังก์ชั่น พิมพ์ความเร็วสูงสุด 34 หน้าต่อนาที และพิมพ์ 2 หน้า ด้วยความเร็ว 7.7 ipm รองรับงานถ่ายเอกสารขนาด A3 สแกนที่ความละเอียดสูงสุดถึง 1200×2400 dpi รับ/ส่ง แฟกซ์ ง่ายดาย สามารถใช้งานแบบไร้สายผ่าน WIFI จอแสดงผล ขนาด 2.5 นิ้ว และช่องเสียบ memory card ราคา 13,900 บาท

เลเซอร์ พรินเตอร์ จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ Epson AcuLaser C500DN เครื่องพิมพ์เลเซอร์สี สำหรับธุรกิจขนาดกลาง
และขนาดใหญ่ พิมพ์งานเต็มประสิทธิภาพด้วยความเร็วสูงถึง 45 แผ่น/นาที พร้อมระบบการพิมพ์ 2 หน้า อัตโนมัติ รองรับการทำงานแบบเครือข่ายผ่านการต่อเชื่อมทาง Ethernet ทนทานสามารถรองรับการทำงานสูงได้ 120,000 แผ่นต่อเดือน ตลับผงหมึกขนาดใหญ่ พิมพ์ได้มากถึง 18,000 แผ่นต่อตลับดำ และ 12,000 แผ่นต่อตลับสี ต้นทุนการพิมพ์ต่ำเพียง 59 สตางค์ (พิมพ์ดำ) และ 2.9 บาท (พิมพ์สี) สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมชุดเย็บกระดาษเอกสารอัตโนมัติ เย็บกระดาษหนา สูงสุดถึง 50 หน้าในพริบตา ราคา 51,900 บาท

Epson AcuLaser M7000N เลเซอร์ พรินเตอร์ ขาวดำ ขนาด A3 ระดับเวิร์คกรุ๊ป สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ความเร็วในการพิมพ์ 32 แผ่น/นาที รองรับการทำงานแบบเครือข่ายผ่าน Ethernet พิมพ์ได้มากถึง 100,000 แผ่นต่อเดือน ตลับผงหมึกขนาดใหญ่ พิมพ์ได้มากถึง 15,000 แผ่นต่อตลับดำ ด้วยต้นทุนการพิมพ์ต่ำเพียง 89 สตางค์ มีฟังชั่น Advanced IPSec/SSL และ Print Job Interruption ช่วยจัดการเอกสารที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ ราคา 51,000 บาท

Epson AcuLaser C9300N เลเซอร์ พรินเตอร์ สี ขนาด A3 เพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ สามารถพิมพ์ 30 แผ่น/นาที ทั้งพิมพ์สี และดำ นอกจากนี้ยังสามารถพิมพ์งาน A3 ได้ 17.3 แผ่นต่อนาที รองรับการทำงานแบบเครือข่าย พิมพ์ได้มากถึง 100,000 แผ่นต่อเดือน ตลับผงหมึกขนาดใหญ่ Epson AcuBrite ต้นทุนการพิมพ์ต่ำเพียง 59 สตางค์ (พิมพ์ดำ) และ 94 สตางค์ (พิมพ์สี) ราคา 119,000 บาท

ลาเบล พรินเตอร์ หรือ เครื่องพิมพ์ฉลาก หนึ่งในสินค้าไลน์ใหม่ ที่เอปสันทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้ พร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ Epson LabelWorks LW-300 เครื่องพิมพ์ฉลากแบบมือถือ พร้อมคีย์บอร์ดในตัว รองรับเทปขนาด 9 มม. และ 12 มม. ของเอปสัน สามารถจัดบรรทัดการพิมพ์ได้ 2 บรรทัด เก็บรูปแบบที่ออกแบบไว้แล้วได้ถึง 30 แบบ พร้อมเรียกใช้งานได้ทันที ระบบตัดเทปที่มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้ประหยัดกว่า และพิมพ์ได้มากกว่าในปริมาณเทปเท่ากัน ใช้งานง่าย ด้วยแป้นพิมพ์ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม จับถนัดมือ ใช้งานได้ทั้งไฟ AC หรือ ถ่าย AAA 6 ก้อน มีจอ LCD แสดงผล 1 บรรทัด ราคา 1,790 บาท

Epson LabelWorks LW-400 เครื่องพิมพ์ฉลากแบบมือถือ ที่เพิ่งได้รับรางวัลด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์จากเวทีระดับโลกอย่าง iF Product Design Awards 2012 ที่ประเทศเยอรมัน ตัวเครื่องสามารถรองรับเทปขนาด 9 มม. 12มม. และ 18 มม. ของเอปสัน สามารถพิมพ์บาร์โค้ดได้ถึง 9 รูปแบบ จัดบรรทัดการพิมพ์ได้ 4 บรรทัด จัดเก็บรูปแบบที่ออกแบบไว้ได้ 50 แบบ ระบบตัดเทปที่มีประสิทธิภาพ มีจอ Backlit LCD แสดงผล 2 บรรทัด แสดงผลก่อนการพิมพ์ ราคา 2,290 บาท

Epson LabelWorks LW-900P เครื่องพิมพ์ฉลากระดับมืออาชีพ สามารถต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ ทั้งพีซี และ Mac
พิมพ์ได้ทั้งภาษาอังกฤษและไทย ด้วยซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย รองรับเทปขนาด 9 มม. 12มม. 18 มม. 24 มม. และ 36 มม. ของเอปสัน สามารถพิมพ์บาร์โค้ด 9 รูปแบบ โปรแกรม Label Editor สำหรับแก้ไขฉลากที่ใช้งานง่าย และผู้ใช้สามารถออกแบบฉลากเองได้ ไม่ว่าใส่ภาพ กรอป บาร์โค้ด หรือสัญลักษณ์ นำเข้าข้อมูลในรูปแบบ csv, txt, และ xls(x) และพิมพ์ฉลากในแต่ละบรรทัดของข้อมูลได้ สามารถตัดเก็บมุมของฉลาก รวมไปถึงการตัดฉลากแบบ Half Cut เพื่อความสวยงามและ สะดวกในการลอกเทปออก ราคา 6,990 บาท

นอกจากนี้ เอปสันยังได้เปิดตัวเครื่องบันทึกข้อมูลพร้อมพิมพ์หน้าแผ่นซีดี ประสิทธิภาพสูงสำหรับองค์กรธุรกิจ จำนวน 3 รุ่น คือ Epson DiscProducer PP-50, PP-100 และ PP-100N เพื่อรองรับงานเขียนหรือบันทึกข้อมูลลงแผ่น Printable CD/DVD และพิมพ์หน้าแผ่นในขั้นตอนเดียวด้วยความเร็วสูงสุด 30 แผ่นต่อชั่วโมง รองรับการทำงานแบบเครือข่ายผ่าน Ethernet ในรุ่น PP-100N งานพิมพ์มีความละเอียดสมจริง ด้วยหัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ หมึก 6 สี มาพร้อมระบบแขนกลอัจฉริยะ จับแผ่นซีดีโดยไม่มีการสัมผัสหน้าแผ่น ลดการสูญเสียระหว่างการผลิต เครื่องรุ่น PP-50 สามารถรองรับงานพิมพ์สูงสุด 50 แผ่น เปิดตัวในราคา 79,000 บาท และเครื่องรุ่น PP-100 และ PP-100N รองรับงานพิมพ์ 100 แผ่น ราคา 129,000 บาท และ 149,000 บาท

และสุดท้าย อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ พร้อมระบบนำกระดาษแบบหนามเตย เพื่องานพิมพ์ที่ต้องการความเที่ยงตรงแม่นยำ เน้นการพิมพ์กระดาษต่อเนื่องโดยเฉพาะ รองรับงานพิมพ์ฉลาก รูปแบบต่างๆ และบาร์โค้ดหลากหลายรูปแบบ หัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ หมึก 4 สี ให้ความละเอียดงานพิมพ์ได้เหมือนจริง ใช้งานได้นานถึง 600,000 แผ่น เปิดตัวพร้อมกันในวันนี้ 2 รุ่น คือ Epson GP-M810 เครื่องพิมพ์ขาวดำ และ Epson GP-C810 เครื่องพิมพ์สี ในราคา 32,500 บาท

นายยรรยง กล่าว “สำหรับไลน์สินค้าใหม่ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ทั้งลาเบล พรินเตอร์ และเครื่องบันทึกข้อมูลพร้อมพิมพ์หน้าแผ่นซีดี จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับเอปสัน ในการแข่งขันกับคู่แข่ง สินค้าที่หลากหลายขึ้นจะทำให้เอปสัน สามารถเจาะเข้าถึงตลาดและลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของแบรดน์เอปสัน ทั้งในเรื่องของคุณภาพ และความคุ้มค่า บวกกับเทคโนโลยี หัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ ของเอปสันที่เป็นยอมรับในเรื่องของความทนทาน และประสิทธิภาพในการพิมพ์งาน สินค้าไลน์ใหม่จะได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่ต้องการของลูกค้า ได้โดยไม่ยาก”

“นอกจากนี้แล้ว ในปี 2555 นี้ ยังเป็นปีครบรอบ 70 ปี การก่อตั้งบริษัทเอปสัน สินค้าไลน์ใหม่ที่นำมาเปิดตัวในไทยครั้งนี้ เป็นเหมือนกับของขวัญชิ้นหนึ่งที่ยืนยันถึงความสำเร็จอันยาวนานในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ของเอปสัน โดยเฉพาะตัวเครื่องบันทึกข้อมูลพร้อมพิมพ์หน้าแผ่นซีดี ที่เป็นการผสานเทคโนโลยีหัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ กับระบบแขนกลอัจฉริยะที่บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาขึ้นเอง”

“ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมปลายปีที่แล้ว ทางเอปสัน ประเทศไทย ได้คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบมากระดับหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าผิดคาด สินค้าในหลายหมวดกลับมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนถึงในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ ความต้องการลงทุนเพิ่มเติมจากกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจในทุกขนาดก็ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจที่จะเดินหน้ารุกตลาดเต็มที่มากยิ่งขึ้น ยิ่งในเวลานี้ บริษัทฯ มีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งผลิตภัณฑ์ ซึ่งครอบคลุมทุกความต้องการขององค์กรธุรกิจทุกขนาด ความพร้อมในด้านช่องทางจำหน่าย และการให้บริการหลังการขาย บวกกับนโยบายผลักดันเศรษฐกิจของรัฐบาล และการกลับมาลงทุนด้านไอทีของหน่วยงานราชการ และการปรับตัวรับมือขององค์กรเอกชนขนาดใหญ่ ในการรับมือกับภัยธรรมชาติ ทำให้ปีนี้เป็นปีแห่งโอกาสของเอปสันอย่างแท้จริง” นายยรรยง กล่าวสรุป

View :1321

เอเชียเพย์ แนะนำเทคโนโลยีล่าสุดด้านอีเพย์เม้นท์ เสริมความปลอดภัยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

May 29th, 2012 No comments


ข้อมูลจากรายงานของบริษัท ผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และจัดทำระบบ ชำระเงินออนไลน์ชั้นนำในเอเชียเปิดเผยว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตสูงถึง 15 – 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ด้วยระบบ และบริการเสริมต่างๆด้านการชำระเงินออนไลน์ที่หลากหลาย ทำให้ในปัจจุบันคนไทยมีความพร้อมมากขึ้นที่จะสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ อีกทั้งด้วยค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบที่ถูกลงกว่าในอดีต ทำให้บริษัททุกขนาดขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขายออกไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจห้างสรรพสินค้าไปจนถึงธุรกิจประกันภัยต่างก็เปิดให้มีบริการชำระเงินออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่บริษัท และอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าซึ่งสามารถเข้ามาซื้อสินค้าออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา

นายโจเซฟ ชาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียเพย์ กล่าวว่า “สิ่งที่นักช้อปออนไลน์ให้ความสำคัญมากที่สุด คือ “ความปลอดภัย” ดังนั้นร้านค้าออนไลน์ที่มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัยจะสร้างความเชื่อมั่น และประสบความสำเร็จได้มาก เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้ากับเว็บไซต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ดังนั้นการตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเพย์เม้นท์ (ePayment) ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูง และน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซควรให้ความสนใจ”

ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะให้บริการและจัดหาโซลูชั่นด้านการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย ครบวงจร ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งมีความปลอดภัยสูงให้แก่ธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย และทั่วโลก บริษัท เอเชียเพย์ จึงเปิดให้บริการระบบ “สยามเพย์” (SiamPay) ซึ่งเป็นบริการด้านการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความล้ำหน้า และความปลอดภัยสูง ระบบสยามเพย์ยังได้รับมาตรฐาน PCI compliant และมี SSL data encryption ในระบบตรวจสอบผู้ซื้อ buyer authentication capacity เพื่อให้ทุกการดำเนินการและการเก็บข้อมูลเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้เพื่อช่วยป้องกันร้านค้าจากการทุจริตออนไลน์ สยามเพย์ได้ทำการติดตั้งโซลูชั่นในการป้องการทุจริตบนแพลทฟอร์มชำระเงินสยามเพย์ ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสอบรายการชำระเงินที่เกิดขึ้นทุกรายการอย่างละเอียด และจะส่งผลลัพธ์การแจ้งเตือนไปยังร้านค้าออนไลน์ทันทีที่พบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการทุจริตในรายการนั้นๆ โดยที่ผ่านมาบริษัท เอเชียเพย์ ยังได้รับการรับรองให้เป็นผู้ทำระบบ 3D-Secure สำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศให้กับวีซ่า มาสเตอร์การ์ดอเมริกันเอ็กซ์เพรส และเจซีบี

นายโจเซฟยังกล่าวอีกว่า “ในการพัฒนาระบบควบคุมความเสี่ยงให้ตรงตามความต้องการของธนาคาร, สถาบันการเงินต่างๆ และธุรกิจในกลุ่มเสี่ยงนั้น เรามีความยินดีที่จะนำเสนอบริการล่าสุดที่ชื่อว่า สยามเพย์ ePayAlert (ระบบบริหารจัดการความเสี่ยง) ซึ่งจะมีกลไกการควบคุมความเสี่ยงเต็มรูปแบบ และยืดหยุ่นได้ตามความต้องการของแต่ละธุรกิจ ระบบป้องกันการทุจริตแบบใหม่นี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าระบบความเสี่ยงในแบบเดิม โดยระบบของเราเปิดโอกาสให้เจ้าของธุรกิจสามารถออกแบบกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงได้เองเพื่อให้ตรงกับปัญหาที่ตนเองกำลังประสบอยู่”

นอกจากนี้ สยามเพย์ยังเป็นผู้ให้บริการที่มีช่องทางการชำระเงินกว้างขวางและครอบคลุมที่สุดในเอเชีย ด้วยการรองรับการชำระเงินได้จากบัตรเครดิตนานาประเทศ, บริการหักบัญชีออนไลน์ (Debit Payment) และบริการกระเป๋าเงินออนไลน์ (ewallets) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย จีน และประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซ์ ได้แก่ บริการ China UnionPay, AliPay, MyClear, POLi, BancNet และอื่นๆ ที่จะทำให้ร้านค้าประสบความสำเร็จในธุรกิจระหว่างประเทศ

และสยามเพย์ยังมีระบบการบริหารจัดการแบบวันสต็อปเซอร์วิส (one stop service) ที่รวมการจัดการต่างๆมาไว้ที่เดียว สามารถทำให้ร้านค้าสามารถตรวจสอบรายละเอียดยอดธุรกรรมต่างๆ ได้ในหน้าเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับเงินจากช่องทางไหนก็ตาม และสามารถดาวน์โหลดรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงการวิเคราะห์ยอดขายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายแก่ร้านค้า ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสยามเพย์เยี่ยมชมได้ที่ www.siampay.com หรืออีเมล enquiry@siampay.com

View :1567

ไซแมนเทคเผยรายงานภัยคุกคามด้านความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต ระบุ การโจมตีเพิ่มขึ้น 81 เปอร์เซ็นต์

May 28th, 2012 No comments

ไซแมนเทค (Nasdaq: SYMC) เปิดเผยรายงานภัยคุกคามด้านความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต (Internet Security Threat Report) ฉบับที่ 17 ซึ่งระบุว่า แม้ว่าจำนวนช่องโหว่ของระบบลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่จำนวนการโจมตียังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 81 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังเน้นย้ำว่าการโจมตีขั้นสูงแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายกำลังแพร่ขยายไปสู่องค์กรทุกขนาดและบุคลากรหลากหลายกลุ่ม อีกทั้งปัญหาข้อมูลรั่วไหลยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผู้โจมตีก็พุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์พกพาเพิ่มมากขึ้น

“ในปี 2554 อาชญากรไซเบอร์ ทำให้เกิดการขยายตัวของจำนวนการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้นถึง 81 เปอร์เซ็นต์ ไซแมนเทคยังตรวจพบว่าการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตผ่านทางอุปกรณ์พกพาที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยอุปกรณ์ดังกล่าว ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีเพื่อเจาะข้อมูลสำคัญๆ ดังนั้นองค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้นในการปกป้องข้อมูลลับบนอุปกรณ์เหล่านี้” นายประมุท ศรีวิเชียร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ไซแมนเทค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

รายงานภัยคุกคามด้านความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตประจำปี 2554 – ไม่มียาครอบจักรวาลสำหรับป้องกันการโจมตีทั้งหมด
ปกป้องธุรกิจเอสเอ็มบีให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามบนอินเทอร์เน็ต

การโจมตียังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไซแมนเทคปิดกั้นการโจมตีที่เป็นอันตรายกว่า 5,500 ล้านครั้งในช่วงปี 2554 เพิ่มขึ้น 81 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ จำนวนมัลแวร์ยังเพิ่มเป็น 403 ล้านรูปแบบ ขณะที่จำนวนการโจมตีเว็บต่อวันเพิ่มขึ้น 36 เปอร์เซ็นต์

ขณะเดียวกัน ระดับของสแปมลดลงอย่างมาก และช่องโหว่ใหม่ๆ ที่ตรวจพบก็ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ สถิติเหล่านี้เมื่อเทียบกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของมัลแวร์แสดงให้เห็นภาพรวมที่น่าสนใจ กล่าวคือ ผู้โจมตีได้ปรับใช้ชุดเครื่องมือการโจมตีที่ใช้งานง่ายเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากช่องโหว่ที่มีอยู่ อาชญากรไซเบอร์ได้เปลี่ยนย้ายจากสแปมไปสู่เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเริ่มการโจมตีเป้าหมาย ลักษณะของเครือข่ายเหล่านี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจอย่างผิดๆ ว่าตนเองไม่ได้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงแต่อย่างใด และปัจจุบัน ผู้โจมตีก็ใช้ไซต์เครือข่ายเหล่านี้เพื่อล่อหลอกเหยื่อรายใหม่ๆ เนื่องจากเทคนิคการหลอกล่ออย่างแนบเนียนและลักษณะเฉพาะของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เชื่อมโยงถึงกัน จึงเป็นเรื่องง่ายที่ภัยร้ายจะแพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปยังคนอื่นๆ

การโจมตีขั้นสูงแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายแพร่กระจายสู่องค์กรทุกขนาด
การโจมตีแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 77 ครั้งต่อวัน เป็น 82 ครั้งต่อวันเมื่อสิ้นปี 2554 การโจมตีแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายใช้วิธีการล่อหลอกเหยื่อและมัลแวร์ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ โดยในอดีต การโจมตีแบบนี้จะพุ่งเป้าไปที่องค์กรภาครัฐและหน่วยงานราชการ แต่ในช่วงปี 2554 การโจมตีแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายมีลักษณะหลากหลายมากขึ้น

การโจมตีแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะองค์กรขนาดใหญ่อีกต่อไป ทั้งนี้ กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของการโจมตีในลักษณะนี้พุ่งเป้าไปยังองค์กรที่มีพนักงานน้อยกว่า 2,500 คน และเกือบ 18 เปอร์เซ็นต์พุ่งเป้าไปยังบริษัทที่มีพนักงานไม่ถึง 250 คน องค์กรเหล่านี้อาจตกเป็นเป้าหมาย เพราะว่าอยู่ในห่วงโซ่อุปทานหรือเครือข่ายคู่ค้าและพันธมิตรของบริษัทขนาดใหญ่ และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่อ่อนแอกว่า ยิ่งไปกว่านั้น 58 เปอร์เซ็นต์ของการโจมตีพุ่งเป้าไปที่พนักงานระดับล่างในส่วนงานต่างๆ เช่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และฝ่ายขาย พนักงานในตำแหน่งงานเหล่านี้อาจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง แต่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับบริษัท บุคลากรเหล่านี้สามารถค้นหาได้ง่ายบนระบบออนไลน์ และมักจะได้รับข้อซักถามและไฟล์แนบจากบุคคลที่ไม่รู้จัก

การเพิ่มขึ้นของปัญหาข้อมูลรั่วไหล อุปกรณ์สูญหาย นับเป็นเรื่องน่ากังวลใจสำหรับอนาคต
ในช่วงปี 2554 ข้อมูลประจำตัวผู้ใช้ราว 232 ล้านรายการได้ถูกโจรกรรมหรือโดยเฉลี่ยประมาณ 1.1 ล้านรายการต่อเหตุการณ์ ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีอื่นๆ ก่อนหน้านี้ การเจาะระบบคือภัยร้ายที่สำคัญที่สุด ส่งผลให้มีการเปิดเผยข้อมูลประจำตัวผู้ใช้ 187 ล้านรายการในปี 2554 ซึ่งนับว่าเป็นการละเมิดความปลอดภัยที่มียอดตัวเลขสูงสุดเมื่อปีที่แล้วเมื่อเทียบกับการละเมิดประเภทอื่นๆ อย่างไรก็ดี สาเหตุหลักของปัญหาข้อมูลรั่วไหลซึ่งอาจนำไปสู่การแอบอ้างก็คือ คอมพิวเตอร์หรือสื่อบันทึกข้อมูลอื่นๆ สูญหาย เช่น , USB หรืออุปกรณ์แบ็คอัพ โดยการละเมิดที่เกี่ยวเนื่องกับการโจรกรรมหรือการสูญหายนี้ส่งผลให้ข้อมูลประจำตัวผู้ใช้ 18.5 ล้านรายการตกอยู่ในภาวะเสี่ยง

ขณะที่ยอดขายแทบเล็ตและสมาร์ทโฟนยังคงแซงหน้าพีซี ข้อมูลสำคัญๆ ก็จะพร้อมใช้งานบนอุปกรณ์พกพาเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันพนักงานมักจะนำสมาร์ทโฟนและแทบเล็ตติดตัวไปยังที่ทำงานอย่างกว้างขวางจนหลายๆ องค์กรไม่สามารถคุ้มครองและจัดการอุปกรณ์ดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง สถานการณ์นี้อาจส่งผลให้เกิดปัญหาข้อมูลรั่วไหลเพิ่มมากขึ้น เพราะหากอุปกรณ์พกพาสูญหาย ก็ย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อข้อมูลหากไม่ได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม ผลการวิจัยล่าสุดของไซแมนเทคชี้ว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของโทรศัพท์ที่สูญหายจะไม่ได้รับคืน และ 96 เปอร์เซ็นต์ จะมีปัญหาข้อมูลรั่วไหลรวมถึงโทรศัพท์ที่ได้รับคืน

ภัยคุกคามต่ออุปกรณ์พกพาก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อองค์กรธุรกิจและผู้บริโภค
ช่องโหว่บนอุปกรณ์พกพาเพิ่มขึ้น 93 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 2554 และในขณะเดียวกัน ภัยคุกคามต่อระบบปฏิบัติการ Android ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่จำนวนช่องโหว่ในแพลตฟอร์มโมบายล์เพิ่มสูงขึ้น ผู้สร้างมัลแวร์ก็พยายามปรับแต่งมัลแวร์ที่มีอยู่เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์พกพา ทั้งยังสร้างมัลแวร์สำหรับอุปกรณ์พกพาโดยเฉพาะอีกด้วย ดังนั้นปี 2554 จึงนับเป็นปีแรกที่มัลแวร์แบบโมบายล์กลายเป็นภัยร้ายที่จับต้องได้สำหรับองค์กรธุรกิจและผู้บริโภค โดยภัยคุกคามเหล่านี้ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูล การส่งเนื้อหาคอนเทนต์ และการตรวจสอบติดตามผู้ใช้

View :1533

รายงานฉบับใหม่ของอีริคสันสะท้อนความพึงพอใจของผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

May 28th, 2012 No comments

· ConsumerLab ได้ทำการสำรวจความเห็นออนไลน์เรื่องคุณภาพของเครือข่าย ผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนในประเทศฟินแลนด์และเนเธอร์แลนด์

· ความครอบคลุมและความเร็วของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่คือสองปัจจัยหลักที่มีผลกระทบโดยตรงกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ

· ผู้ให้บริการจำเป็นต้องรักษาระดับคุณภาพของเครือข่ายให้เกินความคาดหวังของลูกค้า

รายงานฉบับใหม่ของทีมงานวิจัย ConsumerLab ของบริษัทอีริคสันได้ทำการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยมีข้อสรุปที่น่าสนใจว่า กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้สมาร์ทโฟนนั้นจะประสบกับปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในทุกๆสัปดาห์ โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างคิดว่าปัญหานี้เกิดจากความบกพร่องในเครือข่ายของผู้ให้บริการของตน

รายงานวิจัยนี้เกิดขึ้นในปี 2011 เพื่อศึกษาประสบการณ์และความเห็นของผู้บริโภคในคุณภาพของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในประเทศฟินแลนด์และเนเธอร์แลนด์

โดยมีการสำรวจความเห็นออนไลน์เรื่องคุณภาพของเครือข่าย กับ 1,000 ผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนในแต่ละประเทศ และยังได้มีการใช้ Application ติดตั้งบนโทรศัพท์ iPhone และ Android เพื่อรายงานปัญหาใด ๆ ที่พวกเขาพบในระหว่างการใช้โทรศัพท์

Mr Anders Kalvemar หัวหน้าทีมงานวิจัยของ ConsumerLab ได้กล่าวสรุปว่า จากปัญหาทั้งหมดที่ถูกรายงานผู้ใช้ส่วนใหญ่มองว่ามีประมาณสองสามประเด็นที่น่ารำคาญและเกิดขึ้นบ่อยๆ

และเป็นที่น่าสนใจที่ว่า 47 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามต่างคิดว่าต้นต่อของปัญหาต่างๆเกิดจากความล่าช้าของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ25 เปอร์เซ็นต์ คิดว่า application นั้นเป็นสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น และมีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์ที่คิดว่าเกิดจากโทรศัพท์ของพวกเขา

ปัญหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อผู้บริโภคเข้าชมเว็บไซต์ (43 เปอร์เซ็นต์), ดาวน์โหลดไฟล์ (10 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่การส่งข้อความการสนทนาหรือ e-mail (ร้อยละ 9) หรือในขณะที่ดูวิดีโอ (8 เปอร์เซ็นต์)

โดยรายงานนี้ยังเปิดเผยให้เห็นว่า 51 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้มีความพึงพอใจมากกับเครือข่ายผู้ประกอบการของพวกเขา ในขณะที่ 47 เปอร์เซ็นต์ไม่มีแสดงความเห็น แต่อีก 3 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าพวกเขาไม่พอใจ

ดังนั้นคำถามที่น่าสนใจก็คืออะไรเป็นที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจในเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ โดยรายงานฉบับนี้ได้มีการสรุปว่า สองปัจจัยหลักที่มีผลกระทบโดยตรงกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการคือ ความครบคลุมของเครือข่ายและความเร็วของเครือข่าย

Mr Kalvemark ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า ผู้ใช้จำนวนมากต่างประสบปัญหานี้ค่อนข้างบ่อย โดยเราเห็น ผู้ใช้ที่มาร์ทโฟนเริ่มจะลอการยึดติด (loyalty) กับแบรนด์และเครือข่าย และผู้ใช้บริการที่มีความพึงพอใจมากก็จะแนะนำผู้ให้บริการของตนกับผู้อื่นอีกด้วย ซึ่งก็หมายความว่าผู้ให้บริการจำเป็นต้องรักษาระดับคุณภาพของเครือข่ายให้เกินความคาดหวังของลูกค้าและ การให้บริการในระดับปานกลางหรือพอใช้นั้นคงจะไม่เพียงพอในการที่จะรักษาลูกค้าที่มีอยู่ของพวกเขาไว้

แต่อย่างไรก็ตามความพึงพอใจในเครือข่ายยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความภักดีของผู้ใช้บริการและลดอัตราการย้ายออกของผู้ใช้บริการเช่นกัน จากผลการศึกษานี้ได้ชี้ให้เห็นว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีความพึงพอใจในระดับปานกลางกล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะอยู่กับผู้ให้บริการของพวกเขา แต่ว่า 78 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีความพึงพอใจอย่างมากต่่างยืนยันที่จะยังคงอยู่กับผู้ให้บริการของพวกเขาต่อไป

ซึ่งหมายความว่าหากผู้ให้บริการสามารถทำให้ลูกค้าที่มีความพึงพอใจในระดับปานกลางดีขึ้นเป็นพอใจมากแล้ว พวกเขาก็จะสามารถเพิ่มโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้เหล่านั้นจะอยู่กับพวกเขาต่อไป 50 เปอร์เซ็นต์

นาย บัญญัติ เกิดนิยม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและองค์กรสัมพันธ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การศึกษา ของConsumerLabนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและบทบาทของอีริคสันที่ช่วยสนับสนุนผู้ให้บริการต่างๆสามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งานในเครือข่ายให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมาร์ทนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเราแล้ว

View :1600

เปิดโลก Gadgets งานคอมมาร์ต เน็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2012

May 28th, 2012 No comments

บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที ภายใต้ชื่อ “คอมมาร์ต” เปลี่ยนลุคงานไอทียิ่งใหญ่กลางปี เป็น “” จับตลาดนิวเจเนอร์เรชัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Modern Play” หลากเทรนด์ หลายสไตล์ ไปกับโลกไอที เลือกชอปได้ตามสไตล์คุณ ภายในงานจะมีการจัดพื้นที่โชว์นวัตกรรมไอที () และเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุดมาสร้างสีสัน เพิ่มเติมความน่าสนใจ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพร้อมรองรับทุกการใช้งานในวันนี้ อาทิ

Toshiba FlashAir Wireless SDHD Memory Card Memory Card ตัวแรกของโลกที่มีระบบ Wireless LAN

Toshiba FlashAir Wireless SDHD Memory Card Memory Card ตัวแรกของโลกที่มีระบบ Wireless LAN


นวัตกรรมของการ์ดเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่เก็บข้อมูลอย่างเดียว แต่ยังสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย เพื่อถ่ายโอนข้อมูลหรืออัพโหลดรูปภาพได้ทันที่ Toshiba FlashAir เป็นการ์ดหน่วยความจำในรูปแบบ SD Card ที่ได้รวมเอาอุปกรณ์ Wireless ไว้ในตัว คุณสามารถใช้มันร่วมกับกล้องถ่ายภาพ เพื่อบันทึกภาพต่างๆ ได้ตามปกติ ในขณะเดียวกันก็ยังตั้งโปรแกรมให้มันส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทผ่านการเชื่อมต่อไร้สายได้ทันที หรือจะสั่งให้อัพโหลดภาพขึ้นไปเก็บไว้บนอินเทอร์เน็ตหรือบนบล็อกก็สามารถทำได้

Sony SmartWatch นาฬิกาข้อมือที่รองรับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ สุดเท่ห์

Sony SmartWatch นาฬิกาข้อมือที่รองรับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ สุดเท่ห์

นาฬิกาสุดล้ำจาก Sony ที่ไม่ได้ช่วยเพียงแค่บอกเวลาเท่านั้น แต่หน้าที่ของมันยังสามารถแสดงข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายเข้า สายที่ไม่ได้รับ ข้อความ ตารางนัดหมาย รวมไปถึงข้อความที่ถูกโพสต์ ถูกคอมเม้นต์ต่างๆ บนโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter ผ่านการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android โดยใช้ Bluetooth สะดวกสบาย ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยๆ

SAGEMCOM SIXTY DIGITAL CORDLESS TELEPHONE โทรศัพท์บ้านไร้สายระบบดิจิตอล ในรูปแบบ Retro

SAGEMCOM SIXTY DIGITAL CORDLESS TELEPHONE โทรศัพท์บ้านไร้สายระบบดิจิตอล ในรูปแบบ Retro

โทรศัพท์เก๋ๆ สไตล์ยุค 60’s ที่ถูกนำมาใส่ให้เต็มไปด้วยเทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่หน้าจอแบบสัมผัสที่สามารถใช้สั่งงานได้อย่างสะดวกในทุกๆ เมนู อิสระกับการใช้งานด้วยหูฟังแบบไร้สาย พร้อมเครื่องตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติที่สามารรถบันทึกเสียงฝากข้อความไว้ได้นานถึง 20 นาที ตัวเครื่องมาพร้อมกับหน่วยความจำภายในที่สามารถบันทึกเบอร์และชื่อผู้ติดต่อไว้ได้ พร้อมแสดงชื่อและเบอร์เมื่อมีสายเข้า นี่แหละ ความทันสมัยในสไตล์ย้อนยุค

Sony Tablet P 5.5 Tablet สายพันธุ์ใหม่ หน้าจอคู่ 5.5 นิ้ว

Sony Tablet P 5.5 Tablet สายพันธุ์ใหม่ หน้าจอคู่ 5.5 นิ้ว


แท็บเล็ตสไตล์ใหม่ที่ทำให้คุณลืมรูปแบบกระดานชนวนไปได้เลย ด้วยการดีไซน์แบบฝาพับที่ช่วยให้ขนาดของมันเล็กกะทัดรัด สะดวกแก่การพกพา พร้อมด้วยหน้าจอใหญ่เต็มตา 5.5 นิ้ว ถึง 2 จอ พร้อมระบบทัชกรีนที่ลื่นไหล รันแอพพลิเคชันได้อย่างสนุกสนานผ่านระบบปฏิบัติการ Android 3.0 Honeycomb พร้อมซีพียู Dual Core ความเร็ว 1GHz ที่สำคัญสำหรับคอเกม Sony Table P มาพร้อมกับ Play Station Certified ที่ให้คุณโหลดเกมมันส์ สารพัดเกมมาเล่นได้ไม่รู้เบื่อ

Fujitsu Arrows Tab F-01D สุดยอด Tablet ที่ไม่หวั่นสายฝน

ทุกคนทราบกันดีว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่ถูกกับน้ำ แต่ไม่ใช่สำหรับ Fujitsu Arrows Tab F-01D สุดยอด Tablet ที่ได้รับการออกแบบมาให้แตกต่างออกไปด้วยดีไซน์ที่สามารถกันน้ำได้ไม่กลัวเปียก ทั้งวัสดุและการออกแบบระบบต่างๆ ภายในได้มาตรฐาน IPX5/7 ซึ่งสามารถกันได้ตั้งแต่ละอองน้ำที่กระเด็นใส่เช่นสายฝน จนไปถึงการกันน้ำในแบบแช่ลงไปทั้งเครื่อง ซึ่งสามารถกันน้ำได้ถึง 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที เลยทีเดียว คราวนี้จะเอาไปใช้เล่นระหว่างทำมิวสิคกลางสายฝนให้คนอิจฉาเล่นก็ไม่ต้องกลัวมันจะพังแล้ว

Flying Alarm Clock นาฬิกาปลุกสุดล้ำ

Flying Alarm Clock นาฬิกาปลุกสุดล้ำ


สำหรับคนที่ตื่นยาก แม้ว่าจะตั้งนาฬิกาปลุกแล้ว แต่ก็ยังมีความสามารถจะลุกขึ้นมากดให้มันหยุดดัง โดยที่ “ยังไม่ตื่น” ได้อีก ถ้าหากไม่อ่อนใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องเล่นไม้แข็งกับเจ้า Flying Alarm Clock ที่จะกระชากวิญญาณคุณกลับมาจากความฝันเพื่อควานหาเจ้าใบพัดตัวป่วนที่บินหนีออกไปจากฐานนาฬิกาในเวลาที่คุณตั้งปลุกไว้ กลับมาเสียบกลับที่ฐานให้ได้ ไม่งั้นไม่หยุดดัง … แบบนี้จะตื่นได้หรือยัง

I Watch โทรศัพท์มือถือในรูปแบบนาฬิกาข้อมือ

I Watch โทรศัพท์มือถือในรูปแบบนาฬิกาข้อมือ


เอาใจเหล่าสาวก Apple กับไอเดีย concept นาฬิกา iWatch โดยการออกแบบของ ADR Studio จากประเทศอิตาลี ซึ่งการออกแบบก็เหมือนกับผลิตภัณฑ์ของ Apple ทั่วๆไปที่มีความทันสมัยเตะตาด้วยตัว Body ที่ทำมาจากอลูมิเนียม โดยที่เจ้า iWatch นี้สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone หรือ iPads ด้วย Wi-Fi หรือ Bluetooth นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ pico projector ที่สามารถฉายภาพหรือ VDO ได้!!

Gadgets เหล่านี้จะเปิดประมูลในงานเริ่มต้นที่ 1 บาท โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 มิถุนายน 2555 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สนใจสามารถเข้าชมงานสดๆ หรือดูรายละเอียดได้ทาง www.commartthailand.com

View :1748

สุขสันต์วันแฮปปี้ ครบรอบ 9 ปีเต็ม มอบของขวัญให้ลูกค้าแฮปปี้โทรฟรี 99 นาทีในวันที่ตรงกับวันเกิด

May 25th, 2012 No comments


แฮปปี้ขอขอบคุณจากใจที่รักกันมานานเป็นเวลา 9 ปีเต็มแล้วที่เราให้บริการการสื่อสารแก่ลูกค้าตามสไตล์แฮปปี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแฮปปี้รวมเรื่องราวที่สร้างรอยยิ้มไว้มากมาย นับตั้งแต่วันที่เราเริ่มให้บริการจาก “แฮปปี้ดีพร้อมท์” มาเป็น “แฮปปี้จากดีแทค” จากลูกค้าเพียง 5 ล้านรายในวันนั้นเป็น 21 ล้านรายในวันนี้ แฮปปี้สร้างสรรค์บริการเพื่อลูกค้าในแต่ละกลุ่มแต่ละช่วงวัยโดยยึดถือลูกค้าเป็นสำคัญ นวัตกรรมของแฮปปี้ก็เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เช่น ซิมรุ่นเล็กสำหรับคนโทรน้อย ใช้ได้นาน, บัตรเติมเงินราคาเล็กที่สุด 50 บาทเจาะตลาดต่างจังหวัด, ใจดีให้ยืม เอาใจกลุ่มนักศึกษาที่ค่าโทรหมดก่อนได้รับเงินค่าขนม ซึ่งได้ต่อยอดมาถึงใจดีให้ยืมบีบีในช่วงที่สมาร์ทโฟนเป็นที่นิยมและการใช้งานดาต้าของลูกค้าเติบโต ฯลฯ

ปีที่ 9 นี้เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าเราได้เลือกของขวัญเพื่อขอบคุณทุกคนที่รักกันมาตลอด 9 ปี เป็นของขวัญที่เป็นประโยชน์กับการใช้งานเพื่อที่เราจะได้ฉลองวันครบรอบ 9 ปีไปด้วยกัน

แฮปปี้ให้ลูกค้าทุกหมายเลขโทรฟรีหาเบอร์ดีแทควันละ 99 นาที เพียงใส่ตัวเลขวันเกิดและทำรายการจากมือถือ โดยกด *9000*วันที่เกิดเป็นตัวเลข 2 หลัก# แล้วกดโทรออก สมัครได้ตั้งแต่วันนี้และใช้สิทธิ์โทรฟรีวันละ 99 นาทีในวันที่ตรงกับวันเกิดได้ทุกเดือนตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2555 โดยไม่เสียค่าบริการ เราจะช่วยเติมความสุขให้มากยิ่งขึ้น และต่อรอยยิ้มสำหรับลูกค้าที่ค่าโทรหมดสามารถให้พวกเขากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

View :1894
Categories: Press/Release Tags: