Archive

Archive for May, 2012

ภาพรมว.ไอซีทีนำชมขั้นตอนการทดสอบแท็บเล็ต

May 25th, 2012 No comments
View :1346

ก.ไอซีที วางกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ

May 24th, 2012 No comments

นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยถึงโครงการการจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะหน่วยงานฝ่ายบริหารที่ดูแลนโยบายด้านการสื่อสารของประเทศ ได้จัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติขึ้น เพื่อให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปตามบทบาทที่กฎหมายกำหนด และการดำเนินนโยบายในด้านโทรคมนาคมของประเทศไทยในสภาพแวดล้อมปัจจุบันและอนาคตเป็นไปอย่างมีทิศทางที่เหมาะสม ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ตลอดจนสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน

“กรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาตินี้ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแนวโน้มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทบทวนสภาพแวดล้อมของตลาดโทรคมนาคมไทยในปัจจุบัน และทบทวนสถานภาพ บทบาท ความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในภาครัฐตามกฎหมาย รวมทั้งเพื่อกำหนดทิศทางในการพัฒนากิจการโทรคมนาคม ทั้งด้านโครงข่ายสื่อสารภาคพื้นดิน โครงข่ายการสื่อสาร ไร้สาย และการสื่อสารผ่านดาวเทียม โดยคำนึงถึงการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน การบริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง (Universal service) อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และสร้างความมั่นคงในการสื่อสารให้สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้ พร้อมกันนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางและกำหนดนโยบายการเปิดตลาดโทรคมนาคมพื้นฐาน และการสื่อสารผ่านดาวเทียมที่เหมาะสมของประเทศไทย ตลอดจนเพื่อกำหนดกรอบแนวทางการกำกับดูแลการประกอบกิจการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแนวทางในการพัฒนาการประกอบกิจการโทรคมนาคมของผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนอีกด้วย” นางเมธินี กล่าว

ในการดำเนินโครงการฯ นี้ ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลนโยบาย แผนงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรอบนโยบายโทรคมนาคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแนวโน้มเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง สภาพแวดล้อมของตลาดโทรคมนาคมของไทย ในปัจจุบัน ตลอดจนบทบาท สถานภาพ และความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในภาครัฐตามกฎหมายใหม่ๆ โดยคำนึงถึงการหลอมรวมทางเทคโนโลยี (Technological convergence) นอกจากนี้ยังมีการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาโครงข่าย บรอดแบนด์แห่งชาติ ทั้งเทคโนโลยีโครงข่ายมีสาย และไร้สาย แนวทางการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure sharing) และแนวนโยบายในการกำหนดสิทธิแห่งทาง (Rights of way) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมมากที่สุด แนวทางการเปิดตลาดโทรคมนาคมที่เหมาะสมของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกอบกิจการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน และกิจการดาวเทียมสื่อสาร (Communication satellite) หรือกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แนวนโยบายต่อการให้บริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง (Universal service) ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และแนวทางนโยบายด้านความมั่นคงในการสื่อสารทั้งภาวะปกติและภาวะวิกฤติ เช่น ภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ อย่างมีประสิทธิผล

“ภายหลังจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำมาจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติแล้ว กระทรวงฯ ได้ มีการทำแบบสอบถาม และสำรวจความคิดเห็นเพื่อรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกรอบนโยบายดังกล่าว รวมทั้งมีการจัดประชุมระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อระดมความคิดเห็น รวบรวมข้อเสนอ ตลอดจนจัดสัมมนาเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กสทช. ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและด้านโทรคมนาคม ผู้บริโภค และประชาชนทั่วไปที่สนใจ พร้อมทั้งจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่สาธารณชนใน 4 ภูมิภาคด้วย ซึ่งกระทรวงฯ จะได้รวบรวมข้อเสนอแนะและความคิดเห็นต่างๆ เหล่านั้นมาใช้ในการปรับปรุงกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น” นางเมธินี กล่าว

View :1263
Categories: Press/Release Tags:

12 เทรนด์ สูตรสำเร็จของธุรกิจยุคโลกไร้พรมแดน

May 24th, 2012 No comments

ฟูจิตสึเผยรายงานพิเศษ บทวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญทางธุรกิจที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในอนาคต

ฟูจิตสึ ผู้ให้บริการด้านไอทีรายใหญ่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น และอันดับสามของโลก ได้รวบรวมแนวคิดและวิสัยทัศน์ทางด้านเทคโนโลยีเพื่อองค์กรธุรกิจจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก นำเสนอแนวโน้ม 12 ประการที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคในรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไว้ในรายงานพิเศษ “Technology Perspectives A thought-provoking look at key forces of change” ดังนี้

1. ยุคแห่งข้อมูลเชิงลึกแบบฉับพลัน ผ่าน “ คลาวด์ – HPC”

ในโลกของยุคข้อมูลข่าวสารนั้นความรวดเร็วในการเข้าถึงและความสามารถในการรวบรวมสารสนเทศจากรอบด้าน ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร และคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าระบบต่างๆจะมีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งในแง่ของระบบและการพัฒนาการของการเชื่อต่อถึงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งความต้องการข้อมูลเชิงลึกแบบฉับพลัน ก่อให้เกิดสถาปัตยกรรมด้านการประมวลผลรูปแบบใหม่ ขณะที่บทบาทของไคลเอ็ต/เซิร์ฟเวอร์ที่กำลังโดดเด่นมากว่า 30 ปี กำลังจะหายไป บทบาทสำคัญจะตกอยู่ที่ระบบคลาวด์ ระบบประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC – High-Performance Computing) ระบบวิเคราะห์เชิงลึก และลักษณะการทำงานแบบอัตโนมัติระหว่างเครื่องจักรกลด้วยกันโดยที่มนุษย์ไม่ต้องเข้ามาดูและสั่งการแต่เป็นการนำเทคโนโลยียุคใหม่เข้ามาเสริมชีวิตประจำวันได้อย่างน่าสนใจ

2. ธุรกิจไร้พรมแดน “เชื่อมต่อแบบไร้ขีด”

ธุรกิจไร้พรมแดนมอบช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าให้แก่ธุรกิจในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดเล็กสามารถให้บริการโซลูชั่นแก่ธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกได้โดยไม่ติดข้อจำกัด ก่อให้เกิดโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย คลาวด์จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของบริการยุคใหม่ ภายใต้ความยืดหยุ่นที่มากขึ้นแก่ผู้บริโภค

3. เทคโนโลยีเพื่อมนุษย์ “Human Centric”

ระบบประมวลผลที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางถือเป็นการพัฒนาการอันยิ่งใหญ่แห่งยุคศตวรรษที่ 21 มีแนวคิดหลักอยู่ที่การสร้างสรรค์แนวทางการทำงานของระบบไอทีให้ผสานกลืนกับรูปแบบการดำรงชีวิตของมนุษย์ ถือเป็นการต่อยอดจากยุคที่มีคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเป็นศูนย์กลาง และเป็นการพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ครั้งยื่งใหญ่อีกครั้ง โดยจะเข้ามาเปลี่ยนลักษณะการบริโภคและการดำเนินชีวิตของผู้คนให้มีความสะดวกขึ้น การนำเสนอสิ่งต่างๆ แก่ผู้บริโภคจะสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละคนมากขึ้น อันเป็นผลมากจากความชาญฉลาดของระบบ ที่สามารถจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภคแต่ละคนได้อย่างละเอียด

4. ยุคแห่งสารสนเทศ ไม่ใช่เทคโนโลยี “Data Center not only Technology”

ในอนาคต สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพย์สินใหม่ที่ช่วยสร้างสรรค์พัฒนาธุรกิจ ในการแข่งขันทางธุรกิจ ผู้ชนะคือผู้ที่ดึงประโยชน์ออกมาจากข้อมูลที่มีอยู่มากมายรอบข้างได้มากที่สุด ภายใต้อุปสรรคของปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นที่ต้องเผชิญบนโลกนี้ถึง 5,000 ล้านกิกะไบต์ในทุกๆ 2 วันและมากขึ้นเรื่อยๆ ยุคต่อไปถือเป็นยุคแห่งการแข่งขันด้านข้อมูลข่าวสาร แข่งกันมากขึ้นเพื่อให้เข้าใจลูกค้าได้ดีกว่าเดิม องค์กรที่ไม่สามารถดึงประโยชน์จากสารสนเทศออกมาใช้งานได้จะกลายเป็นองค์กรที่ล้าหลังและขาดความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับคู่แข่ง

5. โลกแห่งการเชื่อมต่อ “Internet of Thing”

เหมือนว่าทุกสสารของโลกนี้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ภายใต้นิยามว่า Internet of Thing หรือสิ่งที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ในอนาคตการโต้ตอบแบบอัตโนมัติระหว่างอุปกรณ์กับอุปกรณ์จะมีเพิ่มมากขึ้นจนสามารถทำงานได้เองโดยที่มนุษย์ไม่ต้องเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่ในอนาคตจะถูกสร้างขึ้นโดยจักรกลที่มีความสามารถที่ใกล้เคียงมนุษย์ไปทุกขณะ

6. รูปแบบทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป “Cloud Changing”

การดำเนินธุรกิจในยุคใหม่ แต่ละบริษัทมีอิสระในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่โลกเวอร์ช่วลที่จับต้องไม่ได้ แต่เป็นแรงผลักดันสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ ปัญหาการติดตั้งที่ซับซ้อนมีการลงทุนค่าฮารด์แวร์อย่างมหาศาลเริ่มหมดไปด้วยแนวคิดของคลาวด์ และจะเริ่มเห็นผู้ให้บริการโซลูชั่นต่างนำเสนอแพลตฟอร์ม ซอฟต์แวร์ และบริการต่างๆ ในลักษณะทีมีความเฉพาะเจาะจงในฟังก์ชั่นการทำงานมากขึ้น และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ บางครั้งลูกค้าก็กลับเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นได้เช่นเดียวกัน

7. ปัจจัยจากโลกภายนอก “Crowdsourcing or co-creation”

ในอีก 5 ปีข้างหน้า เส้นแบ่งกั้นระหว่างองค์กร ผู้บริโภค และซัพพลายเออร์ จะลดลงจนแทบนิยามไม่ได้ ด้วยแนวคิดใหม่อย่าง คราวด์ซอร์สซิ่ง (crowdsourcing) หรือ โค-ครีเอชั่น (co-creation) ธุรกิจต้องหันมามองปัจจัยภายนอกมากกว่าเดิม องค์กรไม่สามารถที่จะยืนหยัดอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป รวมไปถึงเรื่องของระบบความปลอดภัยที่ต้องไม่ใช่เรื่องการครอบครอง ควบคุม แต่ต้องมองถึงการปกป้องบุคคลและสารสนเทศมากขึ้นกว่าเดิม

8. ปฏิบัติการแห่งการมอบทางเลือก “Way to Success”

ปัจจุบันแนวคิดของการให้พนักงานใช้อุปกรณ์ดิจิตอลส่วนตัวในที่ทำงานกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งบริษัทเองก็ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านซอร์ฟแวร์ไปได้พอสมควร แต่จะมีปัญหาอุปสรรคในดเนการควบคุมการใช้งานและปัญหาการรั่วไหลและความปลอดภัยต่างๆ ดังนั้นการให้พนักงานใช้เหมือนกันหมดไม่ไช่ทางออกที่เหมาะสมในอนาคตแต่ควรให้พนักงานเลือกอุปกรณ์ที่พึงพอใจได้เอง อย่างไรก็ดีหากวางแผนอย่างเหมาะสม ก็สามารถเปลี่ยนบทบาทของเทคโนโลยีที่สร้างปัญหาเรื่องความปลอดภัย ให้กลายเป็นคำตอบที่ต้องการได้ไม่ยาก โดยอาศัยเทคโนโลยีคลาวด์ เวอร์ช่วลไลเซชั่น หรือซอฟต์แวร์เชิงบริการ หลักการสำคัญคือ ควรรู้ว่าใครต้องการอะไร และจับคู่ทางเลือกให้เหมาะสมที่สุดกับผู้ใช้แต่ละคน

9. ปฏิวัติรูปแบบการทำงานในยุคโซเชียลมีเดีย “Social Media”

ยุคปัจจุบันทุกคนต่างกลายเป็นผู้เสพติดโซเซียลมีเดีย และได้ปฏิวัติรูปแบบการดำเนินธุรกิจลักษณะเดิมให้ยากต่อการควบคุมและหลายองค์กรต่างขยาดกับการขยับตัวเข้าหาสื่อดังกล่าว แต่ต้องไม่ลืมว่าพลังของโซเชียลมีเดีย คือ พลังแห่งการเชื่อมต่อ และหากใช้อย่างเหมาะสม ก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างดี ที่ต้องตระหนักไว้ก็คือ ยุคแห่งการดำเนินธุรกิจจะก้าวเข้าสู่การข้ามเส้นแบ่งบทบาทของผู้คนที่เป็นไปอย่างอิสระบนโลกโซเชียลมีเดียที่นับวันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

10. ขุมพลังแห่งฝูงชน “Power of Human”

โลกที่ทุกส่วนเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างสะดวกบนโลกออนไลน์ และผู้คนทั่วโลกจะมีส่วนช่วยกันสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดเรื่องการทำงานร่วมกับฝูงชนบนโลกออนไลน์ กำลังกลายเป็นเป็นมิติใหม่ที่จะช่วยสร้างจุดแข็งให้แก่บริษัท ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรและผู้บริโภค ในแบบที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ และยังเปิดมิติใหม่ที่ช่วยให้องค์กรเข้าถึงบริการ หรือองค์ความรู้ที่สามารถนำมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจตนเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วย

11. โครงสร้างองค์กรที่เปลี่ยนไป “Flexible organization”

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ในยุคอนาคตแนวคิดที่จะรวบทุกสิ่งไว้ในมืออาจไม่ไช่ทางออกที่ดี และไม่สำคัญเท่าการบริหารจัดการห่วงโซ่แห่งคุณค่าของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เหมือนเดิมไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภครูปแบบใดก็ตาม ดังนั้นธุรกิจจำเป็นต้องมองรูปแบบการดำเนินกิจการใหม่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวที่สุด และเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ระบบบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานด้านสารสนเทศกลายเป็นเรื่องสำคัญในยุคระบบนิเวศน์แบบดิจิตอลที่เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน รูปแบบการดำเนินกิจการลักษณะเดิมๆจะไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป

12. สิ้นมนตร์ขลังแห่งโลกโมบาย “ Mobility Life”

ผู้บริโภคจะคุ้นเคยกับบริการบนระบบคลาวด์ผ่านอุปกรณ์พกพามากขึ้น และเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการใช้งานครั้งใหญ่ เมื่อผสานกับหลากหลายทางเลือกด้านการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ทั้ง 3G, 4G หรือแม้แต่ 5G ที่เริ่มมีการพูดถึง ก็จะเร่งความเร็วในการเปลี่ยนแปลงให้มากกว่าเดิม โลกโมบายจะกลายเป็นสิ่งสามัญขั้นพื้นฐานสำหรับองค์กรธุรกิจ และผู้บริโภคทั่วไป เราจะได้เห็นอุปกรณ์หลากหลายที่ทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างราบรื่น รวดเร็วขึ้น ทั้งในการประมวลผลและการเชื่อมต่อ รวมถึงเรื่องความปลอดภัยชั้นสูง และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ ซึ่งทั้งหมดจะฝังกลบยุคแห่งพีซี และนำเราก้าวเข้าสู่โลกโมบายอย่างแท้จริง

View :1705

TCCT เผยแผนใหญ่ “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ล้ำสมัย เลือกไอบีเอ็ม เป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และคัดสรรที่ตั้งศูนย์ใหม่

May 24th, 2012 No comments

ทีซีซี เทคโนโลยี () ผู้นำการให้บริการดาต้าเซนเตอร์ที่เป็นอิสระระดับแนวหน้าของประเทศไทย ได้มอบหมายให้ไอบีเอ็มเป็นผู้พัฒนา ออกแบบกลยุทธ์ รวมถึงรูปแบบของดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่หรือ “” โดยไอบีเอ็มจะให้คำปรึกษาเพื่อการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน และคุณภาพการบริการด้วยขนาดและทำเลที่เหมาะสมสูงสุดสำหรับลูกค้าในแต่ละประเภทธุรกิจ ด้วยประสบการณ์และคุณภาพการบริการมาตรฐานระดับสากล ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์วิจัย ไอบีเอ็มจะช่วยให้ทีซีซี เทคโนโลยี สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานของราคาและประโยชน์ที่สมเหตุสมผลสำหรับการลงทุนครั้งนี้

ปัจจุบัน ธุรกิจในประเทศไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากเหตุการณ์เหนือความคาดหมายต่างๆ ทั้งภัยทางธรรมชาติและเหตุการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ผู้ประกอบการต่างๆจึงตระหนักถึงความสำคัญของการใช้บริการฐานข้อมูลสำรอง หรือดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นศูนย์สำรองข้อมูลอีกแห่งเพื่อลดความเสี่ยง เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าวของธุรกิจ ทีซีซี เทคโนโลยีจึงได้เพิ่มขีดความสามารถรวมถึงขยายรูปแบบการให้บริการโดยวางแผนสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” โดยเป็นศูนย์แห่งอนาคต เพื่อรองรับลูกค้าธุรกิจขนาดต่างๆทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค โดยมีกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ธุรกิจประเภทสถาบันการเงิน อุตสาหกรรม ธุรกิจบริการด้านไอทีไปจนถึงโทรคมนาคมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งแต่ละธุรกิจที่กล่าวมาล้วนให้ความสำคัญกับข้อมูลทางธุรกิจและข้อมูลของลูกค้า

นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ที.ซี.ซี.เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “เราไว้วางใจไอบีเอ็มให้ทำการศึกษาวิจัยในการสำรวจและคัดเลือกทำเลที่ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ให้กับTCCT ผนวกกับการวิเคราะห์ถึงขนาดที่เหมาะสม และกลยุทธ์การสร้างศักยภาพสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ เนื่องจากในปัจจุบัน มีความต้องการบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นมากจากหลากหลายประเภทธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค โดยมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองทั่วโลก การไว้วางใจให้ผู้เชี่ยวชาญด้านดาต้าเซ็นเตอร์ดูแลข้อมูลสำคัญต่างๆให้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถลดต้นทุนโดยพิจารณาบริการของเราแทนการลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ ศูนย์สำรองข้อมูล และการจ้างวิศวกรคอมพิวเตอร์ในการดูแลดาต้าเซ็นเตอร์ด้วยตนเอง ในฐานะผู้นำการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นอิสระชั้นแนวหน้าของประเทศไทย เราพร้อมตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นและขยายศักยภาพด้วยการวางแผนสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” โดยจะสร้างเป็น ดาต้าเซ็นเตอร์คอมมิวนิตี้ อันจะประกอบด้วยธุรกิจต่างๆจากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถรองรับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยTCCTจะเป็นศูนย์กลางการเก็บข้อมูล และเป็นผู้บริหารจัดการข้อมูลด้วยระบบไอทีอย่างชาญฉลาด เราต้องการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำซึ่งโดดเด่นด้วยขนาด ทำเลและบริการที่ดีที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกไอบีเอ็มซึ่งมีความเชี่ยวชาญระดับโลกและมีบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบให้คำแนะนำจนไปถึงการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ มาทำการศึกษาวิจัยให้กับเราและสามารถตอบสนองความต้องการจุดนี้ได้อย่างครบถ้วน”

“เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ของTCCTจะใช้กลยุทธ์ “3S” โดยมุ่งหมายที่จะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย โดยมีคุณสมบัติที่มีความยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ และความสามารถในการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นสูง รวมถึงสามารถสองตอบความต้องการของลูกค้าที่ต้องการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มจากเดิมอีกด้วย
โดยกลยุทธ์ “3S” คือ

• Size (ขนาด) จากความต้องการของTCCT ไอบีเอ็มจะศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ขนาดในการสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและสามารถรองรับรูปแบบการบริการที่จะนำเสนอให้แก่ลูกค้าอีกด้วย
• Site (ทำเลที่ตั้ง) การเลือกทำเลที่ตั้งของศูนย์แห่งใหม่จะเป็นการผนวกรวมความเชี่ยวชาญของไอบีเอ็มในฐานะผู้มีประสบการณ์การให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสากลที่ได้ศึกษาวิจัยและวางแผนการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบยกพื้น (Raised-Floor) กว่า 30 ล้านตารางฟุตให้กับองค์กรมาแล้วทั่วโลก กับความชำนาญในการเลือกสรรทำเลที่ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยของTCCTซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเซียได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ทีมงานผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ของไอบีเอ็มจะทำการศึกษาวิจัย รวบรวมข้อมูลแนวโน้มตลาด ความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย แล้วจึงจะทำการสำรวจทำเลที่ตั้ง โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปวิเคราะห์โดยใช้โมเดลช่วยการตัดสินใจและเครื่องมือการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ทำเลที่เหมาะสมที่สุดในการสร้าง“เมกะดาต้าเซ็นเตอร์”
• Services (บริการ) จากคำปรึกษาของไอบีเอ็ม TCCTจะสามารถตัดสินใจเรื่องรูปแบบดาต้าเซ็นเตอร์และการบริการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้ในอนาคต โดยขนาดและทำเลที่ตั้งจะต้องเหมาะสมกับบริการที่จะให้กับลูกค้า

บริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนและกลยุทธ์ดาต้าเซ็นเตอร์ของไอบีเอ็มจะช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีอยู่และดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะสร้างใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ เช่น การขยายตัวของธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และความสามารถในการให้บริการ โดยไอบีเอ็มสามารถช่วยลูกค้าตั้งแต่การวางแผนที่รัดกุมเพื่อลดความเสี่ยง ลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน รวมถึงลดความซับซ้อนในการสร้างหรืออัพเกรดดาต้าเซ็นเตอร์ ไอบีเอ็มยังสามารถช่วยเลือกสรรเทคโนโลยี ทำเลที่ตั้งของศูนย์ และรูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมทางไอทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงช่วยออกแบบ ติดตั้งและสร้างสมาร์ทเตอร์ดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการบริหารจัดการ ทำการทดสอบและติดตั้งให้แก่ลูกค้า

“ไอบีเอ็มรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่TCCTได้เลือกไอบีเอ็มเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ที่จะช่วยตอบโจทย์ทางธุรกิจและเสริมความเป็นผู้นำของTCCTในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วยบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ครบครันและความเชี่ยวชาญระดับโลกของไอบีเอ็ม เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเสริมศักยภาพให้TCCTสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างเหนือระดับ” นายฟรานซิส ฟง ผู้อำนวยการ ธุรกิจบริการ ไอบีเอ็มอาเซียนกล่าว

ปัจจุบันTCCTมีดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ 3 แห่ง คือ
• ระดับองค์กร: ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับองค์กรธุรกิจ (Enterprise Data Centers) ได้แก่ เอ็มไพร์ทาวเวอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ (ETDC) สาทร และ บางนาดาต้าเซ็นเตอร์ (BNDC) ตั้งอยู่บนอาคาร TCIF ห่างจากสนามบินนานาชาติเพียง 10 กิโลเมตร
• ระดับอุตสาหกรรม: ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับอุตสาหกรรม ได้แก่ Industrial Data Center at Amata (AMDC)
• ระดับภูมิภาค: ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาค (International Data Center) ได้แก่ (KMDC) ที่จะสร้างขึ้นที่ประเทศกัมพูชา

View :1608

เอไอเอสเปิด “AIS Total Experience” ที่สุดของงานบริการลูกค้า ผ่านเอไอเอส ช็อปแห่งใหม่ เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว

May 24th, 2012 No comments


เอไอเอส เผยพร้อมเดินหน้าก้าวสู่อีกขั้นของงานบริการลูกค้า ด้วยที่สุดของการบริการ และสร้างประสบการณ์เชิงบวก ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ทุกขั้นตอนของงานบริการ สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคุณให้สะดวกขึ้น ภายใต้แนวคิด Total Experience แบบเบ็ดเสร็จครบครันในจุดเดียว ผ่านเอไอเอส ช็อป สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว

คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้า และการบริการเอไอเอส กล่าวว่า “นอกจากที่เราจะมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่าย AIS 3G ให้มีคุณภาพแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับงานด้านการบริการ ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้ามากกว่า 34 ล้านรายทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตในแบบคุณ” ซึ่งปัจจุบันเอไอเอสได้เดินหน้า สร้างมิติใหม่ให้กับงานบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และสัมผัสประสบการณ์เชิงบวก (Customer Experience Champion)”

“โดยหัวใจสำคัญงานบริการของเอไอเอสคือ การเข้าใจและเห็นภาพความต้องการของลูกค้าและสามารถนำมาพัฒนา เพื่อตอบสนองลูกค้าได้อย่างตรงใจ ผ่านหลากหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการบริการหลังการขาย ที่เราจัดอบรมพนักงานซึ่งพร้อมให้คำแนะนำ ช่วยเหลือลูกค้าอย่างมืออาชีพและเรายังร่วมกับพาร์ทเนอร์กว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ จัดมอบสิทธิพิเศษ ที่จะทำให้คุณสนุกสนานไปกับทุกๆวันของการใช้ชีวิตในแบบคุณ”

ล่าสุดเอไอเอสได้เดินหน้าพัฒนา อีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการส่งมอบบริการ ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์เชิงบวกไปพร้อมๆกันผ่าน Customer Touch Point ที่ยกระดับสู่ Experience Shop โดยเฉพาะเอไอเอส ช็อปแห่งล่าสุด ณ ชั้น 2 เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว ซึ่งลูกค้าจะได้สัมผัสกับเทคโลโลยีสุดล้ำ อาทิ การจัดอุปกรณ์โอนถ่ายข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ความเร็วสูง หรือ Express Data Transfer ที่ทำให้การเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว รวมไปถึงการติดตั้งระบบ eService Kiosk ที่จะเป็นเสมือนอีกหนึ่งผู้ช่วยให้ลูกค้าทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จ่าย โอน เติม ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ และสัมผัส AIS Free Wifi ที่ให้คุณสามารถเชื่อมต่อโลก online ได้อย่างไม่มีสะดุด เพียงกดรหัส *199*999# นอกจากนี้เรายังมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอส ที่มาใช้บริการภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กับส่วนลด ทั้งกิน ทั้งช็อปปิ้ง กว่า 30 ร้านค้า อีกด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานบริการจากเอไอเอส ที่เราพร้อมเดินหน้าพัฒนาและส่งมอบให้กับลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณอย่างต่อเนื่อง

View :2699

ฟูจิตสึเปิดตัว “LIFEBOOK LH772″​ รุกตลาดโน้ตบุ๊กมัลติมีเดียระดับพรีเมี่ยมด้วยโทนสีแนวใหม่พาสเทลพิงค์

May 24th, 2012 No comments

ฟูจิตสึเปิดตัวโน้ตบุ๊กระดับพรีเมี่ยมผสานขุมพลังขับเคลื่อนโปรเซสเซอร์ใหม่ล่าสุด Intel Core generation 3 พร้อมสอดแทรกปรัชญา “Takumi” ในการออกแบบ LIFEBOOK LH772 ตอบสนองความต้องการด้านมัลติมีเดียและความบันเทิงด้วยลำโพง ONKYO® จากประเทศญี่ปุ่น ประสานกับระบบเสียงสุดพิเศษ DTS UltraPC II Plus สร้างความสุนทรีย์แค่ปลายนิ้วสัมผัส

นายเชาวนะ สุนทรพฤกษ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิก จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้เปิดตัว Fujitsu LIFEBOOK รุ่นแรกที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดจากอินเทล โดยเป็นโน้ตบุ๊กมัลติมีเดียระดับพรีเมี่ยมจากประเทศญี่ปุ่นที่สอดแทรกปรัชญา Takumi ในการออกแบบ Fujitsu LIFEBOOK LH772 เพื่อสร้างโน้ตบุ๊กที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านความสวยงามและเปี่ยมประสิทธิภาพ

“ฟูจิตสึตระหนักถึงความเป็นโน้ตบุ๊กจากประเทศญี่ปุ่นรวมถึงปรัชญา Takumi จึงได้ถ่ายทอดออกมาเป็น Fujitsu LIFEBOOK LH772 โน้ตบุ๊กที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านความสวยงามและฟังก์ชั่นการทำงานที่ครบครัน” นายเชาวนะ กล่าวและว่า “เราพยายามรักษาพันธสัญญาความเป็น Made-in-Japan เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ และล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีเพื่อให้ลูกค้าตื่นตาตื่นใจกับ LIFEBOOK ที่จะเปิดตัวในปี 2555 นี้”

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ LIFEBOOK ไลน์ใหม่ในปี 2555 จึงได้รับการออกแบบโดยสอดแทรกปรัชญา Takumi ที่สะท้อน 4 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ Infinity Mark – สัญลักษณ์ของความเป็นเลิศและนวัตกรรม F-Line – คีย์บอร์ดที่โดดเด่นด้วยรูปตัว F แสดงถึงฝีมือและความใส่ใจในรายละเอียด Zen-like Rounded Profile – บ่งบอกถึงความเรียบง่าย “น้อยแต่มากด้วยประสิทธิภาพ” และสุดท้าย User-Centric Shared Details – ความสวยงามที่คำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้เครื่อง ด้วยแป้นวางฝ่ามือปรับระดับ แป้นพิมพ์คีย์บอร์ดแบบ dichromatic ปุ่มเปิด/ปิด ทำจาก chrome ล้อมรอบด้วยวงแสง และพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ที่จัดระเบียบอย่างลงตัวเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน

นายเชาวนะ กล่าวว่า LIFEBOOK LH772 สามารถสร้างความสุนทรีย์เพียงแค่ปลายนิ้ว และเพลิดเพลินไปกับคุณภาพของเสียง ด้วยลำโพง ONKYO® ที่ส่งมอบพลังเสียงแบบสุดยอด เสริมพลังยิ่งขึ้นไปอีกด้วยระบบเสียง DTS UltraPC II Plus ที่ช่วยลดเสียงรบกวนเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ถึงขีดสุด

Fujitsu LIFEBOOK LH772 ขับเคลื่อนด้วย Intel® Core™ i7 – Generation 3 โปรเซสเซอร์ใหม่ล่าสุด Quad Core ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม Chief River ยิ่งไปกว่านั้นยังมาพร้อมกับ Intel® Turbo Boost Technology Boost Technology 2.0, กราฟฟิค 2GB NVIDIA® Optimus™ และจอแสดงผลแบบ LCD ขนาด 14 นิ้ว แบบ High Definition SuperFine สร้างความลงตัวระหว่างประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน LIFEBOOK LH772 มี 3 สี ให้เลือก ได้แก่ สีดำประกาย, สีขาว urban และ สีชมพูคอสมอส

นอกจากนี้ LIFEBOOK LH772 ยังมาพร้อมกับ Face Sense Utility ฟังก์ชั่นอันชาญฉลาดที่จะตรวจจับใบหน้าของผู้ใช้เพื่อ หยุดหรือเริ่มการใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ และเพิ่มความสะดวกสบายของการพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ดขนาด Full-sized แบบ dichromatic พร้อมด้วยแป้นพิมพ์หมายเลข 10 คีย์ รวมทั้งที่วางฝ่ามือแบบป้องกันรอยนิ้วได้ นอกจากนั้นยังมี scroll wheel, touch pad, เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ และไฟ LED แสดงสถานะต่างๆ เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานอย่างสูงสุด เหนือชั้นยิ่งขึ้นกับนวัตกรรมฟิลเตอร์ กรองฝุ่น ที่จดสิทธิบัตรที่ญี่ปุ่น เพื่อดักจับฝุ่นแก้ปัญหาการอุดตันของช่องระบายอากาศ ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องความสะอาดแล้วยังเป็นการยืดอายุการใช้งานของเครื่องอีกด้วย

View :1733
Categories: Gadgets, Press/Release Tags:

ททท. จับมือ โนเกีย ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยผ่าน Mobile Application

May 24th, 2012 No comments

พร้อมเปิดตัว “The New Amazing Thailand” และเกมส์ “Thailand Racing by Smile Land” บนแพลตฟอร์ม Windows Phone เป็นครั้งแรก

นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย () พร้อมด้วยนายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ หัวหน้าฝ่ายสนับสนุนนักพัฒนาและระบบนิเวศน์การสื่อสารไร้สาย โนเกีย ประเทศไทย และตลาดเอเชียเกิดใหม่ ร่วมแถลงข่าว “ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น” เพื่อประกาศการร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่าง กับ โนเกีย เปิดตัวโมบายแอพพลิเคชั่น “The New Amazing Thailand” พร้อมต่อยอดเกมส์ “Thailand Racing by Smile Land” สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนโนเกียบนระบบปฏิบัติการ Windows Phone และแพลตฟอร์มอื่นๆ อีกด้วย

นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า “ผมมีความยินดีที่ ททท. ได้ร่วมมือ โนเกีย ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมสำหรับโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยโมบายแอพพลิเคชั่น บนสมาร์ทโฟน Nokia ในระบบปฏิบัติการ Windows Phone จากความสำเร็จในการทำการตลาดผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น Amazing Thailand ในแพลตฟอร์มยอดนิยมทั้งโนเกีย ไอโฟน แอนดรอยด์ แบล็คเบอร์รี่ และไอแพด ในช่วงที่ผ่านมา ในปีนี้ ททท.จึงได้เปิดตัว “The New Amazing Thailand” โมบายแอพพลิเคชั่นบนทุกแพลตฟอร์ม โดยได้มีการเปลี่ยนรูปแบบดีไซน์ พัฒนาเนื้อหาเพิ่มเติมทั้งข้อมูลด้านการท่องเที่ยว โปรโมชั่นสิทธิพิเศษจากผู้ประกอบการและจากตัวแทนจำหน่ายท่องเที่ยวออนไลน์ในประเทศไทย พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลก

รวมทั้งได้ร่วมกับโนเกียในการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับแพลตฟอร์ม Windows Phone เป็นครั้งแรก โดยตั้งเป้าหมายจำนวนผู้ดาวน์โหลดโมบายแอพพลิเคชั่น Amazing Thailand อีกเท่าตัว จากปีที่แล้วที่ทำได้กว่า 300,000 ดาวน์โหลด ซึ่งการทำการตลาดท่องเที่ยวผ่านสมาร์ทโฟน ถือเป็นช่องทางใหม่ที่มีศักยภาพในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เป็นกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงได้เกิดการรับรู้ ซึ่ง ททท. พร้อมเปิดรับนวัตกรรมและความร่วมมือเช่นนี้เสมอ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สามารถช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี”

ทั้งนี้ ไฮไลท์ของ โมบายแอพพลิเคชั่น “The New Amazing Thailand” คือการพัฒนาฟีเจอร์ที่เป็นฟังก์ชั่นการใช้งานให้สามารถใช้งานได้สอดคล้องกับความสนใจและเอื้อประโยชน์ต่อนักท่องเที่ยวขณะเดินทาง เช่น Augmented Reality หรือ AR เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นสัญลักษณ์และข้อมูลการท่องเที่ยวต่างๆที่อยู่รอบตัว, QR code scanner เพื่อเรียกดูข้อมูลการท่องเที่ยว, Interactive Map เพื่อเสนอแนะการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ผ่านทางแผนที่บนสมาร์ทโฟน , Search และ Filter ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถค้นหาและเรียกดูข้อมูลได้ตามความสนใจหรือประเภทของสถานที่ ตลอดจนฟีเจอร์ Check-In สำหรับแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทยผ่านทาง Facebook โดยคาดว่าโมบายแอพพลิเคชั่นใหม่นี้จะสามารถเพิ่มความถี่ในการใช้งาน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยด้วยดิจิตอลแพลตฟอร์มและโมบายแอพพลิเคชั่นของ ททท. อีกด้วย

นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ หัวหน้าฝ่ายสนับสนุนนักพัฒนาและระบบนิเวศน์การสื่อสารไร้สาย โนเกีย ประเทศไทย และตลาดเอเชียเกิดใหม่ กล่าวว่า “โนเกียรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ ททท. ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยด้วยโมบายแอพพลิเคชั่น และส่งเสริมระบบนิเวศน์การสื่อสารไร้สาย ด้วยการนำเสนอแอพพลิเคชั่นที่ตอบโจทย์ความสนใจของนักท่องเที่ยว และสนับสนุนนักพัฒนาไทยในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นดีๆ ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้ใช้ โดยแอพพลิเคชั่นใหม่ที่เปิดตัวในวันนี้สามารถใช้งานได้บนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Nokia Lumia 900, 800, 710 และ 610 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายแล้วในประเทศไทย เมื่อสมาร์ทโฟนที่โดดเด่นในเรื่องของความเร็ว ความง่ายในการใช้งาน มาผนวกกับแอพพลิเคชั่นดีๆ เชื่อแน่ว่าจะมอบประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมให้กับนักท่องเที่ยว”

นอกจากนี้ โนเกีย ยังได้ร่วมกับ ททท. ในการพัฒนาเกมส์ “Thailand Racing by Smile Land” สำหรับแพลตฟอร์ม Windows Phone โดยเฉพาะ ซึ่งเกมส์นี้เป็นการแข่งขันด้านความเร็วตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วประเทศ โดยได้นำฉากสถานที่ท่องเที่ยวจากเกมส์ Smile Land บน Facebook มาเป็นสนามแข่ง ผนวกกับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นในแต่ละสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งการแข่งรถ แข่งเรือ แข่งจักรยาน หรือแข่งขันโดยการใช้สัตว์เป็นพาหนะ รวมทั้งเพิ่มลูกเล่นด้วยการเก็บของที่ระลึกและไอเท็มพิเศษเพื่อเก็บคะแนนสะสมไว้ในเกม Smile Land บน Facebook ได้อีกด้วย ซึ่งคาดว่า ทั้ง “The New Amazing Thailand” และ “Thailand Racing by Smile Land” โมบายแอพพลิเคชั่นนี้จะส่งเสริมภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้เป็นอย่างดีผ่านทางกลุ่มผู้ใช้ Nokia Lumia ที่มีอยู่ทั่วโลก

นักท่องเที่ยวสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นใหม่ได้ที่ mobile.tourismthailand.org หรือสนุกสนานกับเกมส์ Smile Land โดยเข้าไปที่ www.smilelandgame.com

View :1672

“คอมมาร์ต เน็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2012” สนุกสนานไปกับเทรนด์ “Modern Play”

May 23rd, 2012 No comments

บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที ภายใต้ชื่อ “คอมมาร์ต” เปลี่ยนลุคงานไอทียิ่งใหญ่กลางปี เป็น “” จับตลาดนิวเจเนอร์เรชัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Modern Play” หลากเทรนด์ หลายสไตล์ ไปกับโลกไอที เลือกชอปได้ตามสไตล์คุณ พันธมิตรพร้อมขนโปรฯ จัดหนักรับเปิดเทอม ทั้งถูกกว่า ดีกว่า แรงกว่าและคุ้มกว่า พิเศษสำหรับสาวก New iPad ซื้อและรับเครื่องได้ไม่จำกัดจำนวน ภายในงานจะมีการจัดพื้นที่โชว์นวัตกรรมไอที (Gadgets) และเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุดจากพันธมิตรคู่ค้าและจากต่างประเทศที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ อาทิ Toshiba Flash Air Wireless SDHD เมมโมรี่การ์ดตัวแรกของโลกที่มีระบบ Wireless LAN, Sony Smart Watch นาฬิกาข้อมือสุดเท่ห์ที่รองรับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์, Fujitsu Arrows Tab F-01D สุดยอด Tablet ที่ไม่หวั่นสายฝน, และไฮไลท์อื่นๆ รวมถึงโซนสำหรับการทดลองใช้กล้อง DSLR จากหลายแบรนด์ดังเพื่อให้แฟนคอมมาร์ตได้สัมผัสก่อนใคร

ส่วนกิจกรรมเสวนา Workshop ที่น่าสนใจ เข้ากับกระแส อาทิ แท็บเล็ต ป.1 อะไรที่มากกว่าการเรียนรู้ในห้องเรียน, เทคนิคการถ่ายภาพด้วยแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าไอทีครบทุก 3,000 บาท รับคูปองชิงโชคลุ้น ALL NEW ISUZU D-MAX V-CROSS รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่าเฉียดล้านบาท และลงทะเบียนก่อนเข้างานลุ้นตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพฯ – ฮ่องกง และรางวัลอื่นๆ อีกมากมายให้ร่วมลุ้นใน Commart Game Show และร่วมประมูล Gadget และสินค้าไอทีคุณภาพเยี่ยมหลากหลายกับ Commart Auction รวมทั้งตามต่อกับกิจกรรม Net Gen TJ Search เฟ้นหาคนรุ่นใหม่หัวใจเทคโนโลยี และกิจกรรมอื่นๆ อีกมายมาย โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 มิถุนายน 2555 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สนใจสามารถเข้าชมงานสดๆ หรือดูรายละเอียดได้ทาง www.commartthailand.com

View :1254

แท็ปเล็ตล็อตแรก 2,000 เครื่องถึงไทยแล้ว

May 23rd, 2012 No comments
View :1542
Categories: Press/Release Tags:

ดีแทคเปิดจอง Samsung Galaxy S III 24 พฤษภาคมนี้ พร้อมพาลูกค้า 10 คู่เที่ยวเกาหลี

May 23rd, 2012 No comments


ดีแทคเปิดตลาดแอนดรอยด์ยอดนิยม Samsung Galaxy S III ด้วยความเป็นที่สุดของสมาร์ทโฟน แพ็กเกจ และการใช้งาน เพื่อประสบการณ์ที่ดีกว่าบน dtac 3G และ dtac wi-fi มอบโปรโมชั่นแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตชุดจัดเต็มคุ้มค่าสำหรับแฟนพันธ์แท้สมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์ แพ็กเกจ Galaxy SIII Super Deal ค่าบริการเริ่มต้นเพียงเดือนละ 499 บาท สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัด ใช้งานโทรได้ถึง 550 นาที นาน 18 รอบบิล พร้อมรับฟรี dtac wi-fi นาน 6 เดือน และผ่อน 0% นาน 10 เดือน เปิดให้ลูกค้าดีแทคจองเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ผ่าน www.dtac.co.th พิเศษสำหรับผู้ที่สั่งจองผ่านเว็บไซต์ภายในวันที่ 3 มิถุนายน ลุ้นทัวร์เที่ยวเกาหลี 5 วัน 4 คืน ฟรี และ 2,000 ท่านแรกที่จองผ่านเว็บไซต์จะได้รับ Micro SD Card 16GB นอกเหนือจากการจองล่วงหน้าแล้ว ลูกค้าที่สนใจยังสามารถเป็นเจ้าของ Samsung Galaxy S III ได้ที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคตั้งแต่ 3 มิถุนายน 55 เป็นต้นไป และจำหน่ายครบทุกช่องทางทั่วประเทศ 7 มิถุนายนนี้

Samsung Galaxy S III เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์ที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษเพื่อรองรับการใช้งานของผู้ใช้งาน ด้วยความสามารถที่ชาญฉลาด สอดรับกับทุกความคิดและตอบสนองความต้องการได้อย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด “Designed for Humans, Inspired by Nature” ด้วยการออกแบบที่มีแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ เรียบง่าย และงามสง่า ด้วยพลังประมวลผลระดับสุดยอดและสมรรถนะที่เหนือชั้นด้วยพลังจาก Quad Core CPU Exynos 1.4 GHz (Greatness) ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ใช้งานง่าย แต่เปี่ยมด้วยพลัง (Intelligence) เชื่อมต่อ แชร์อย่างเพลิดเพลิน (Sharing)

นายปภาพรต ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า “ดีแทคต้อนรับ Samsung Galaxy S III สู่ทัพสมาร์ทโฟนดีแทคด้วยความตื่นเต้น เพราะนอกจากจะได้ทำตลาดสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่ลูกค้าในเมืองไทยรอคอยแล้ว Samsung Galaxy S III ยังจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสมาร์ทโฟนของดีแทคได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่ดีที่สุดที่ดีแทคจำหน่ายในขณะนี้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ความนิยมแอนดรอยด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเป็นจำนวนกว่า 500% จากปี 2010 สำหรับลูกค้าดีแทคสมาร์ทโฟนเองก็มีสัดส่วนการใช้งานบนแอนดรอยด์สูงถึงเกือบ 20% โดยดีแทค

เชื่อมั่นว่าอีก 1-2 ปีข้างหน้าสัดส่วนการใช้งานของแอนดรอยด์ในระบบจะเติบโตขึ้นราว 40% ของสมาร์ทโฟน ทั้งหมด ตามการเติบโตในตลาดโลก และในครั้งนี้ดีแทคนำโปรโมชั่นการใช้งานอินเทอร์เน็ตชุดใหญ่มามอบให้กับลูกค้าเพื่อให้ใช้งานบน dtac 3G และ dtac wi-fi ได้อย่างสนุกและจุใจมากกว่าครั้งใด ๆ พร้อมสิทธิ์ผ่อน 0% 10 เดือน ตามแนวคิดทางการตลาด “สมาร์ทโฟน 3G จากดีแทคใครๆก็มีได้” นอกจากนี้เรายังจัดรางวัลพิเศษลุ้นเที่ยวเกาหลีฟรีสำหรับลูกค้าที่สั่งจองผ่านทางเว็บไซต์ และเพื่อกระจายบริการไปถึงลูกค้าในจังหวัดต่าง ๆ ดีแทคยังเปิดให้ลูกค้าที่สั่งจองสามารถเลือกรับสินค้าจากหน้าร้านของดีแทคได้ทั่วประเทศด้วย”

“ความสำเร็จอีกประการหนึ่งซึ่งเป็นจุดแข็งของดีแทค คือการมุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าผ่านช่องทางบริการต่างๆ จากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนล่าสุดครั้งนี้และครั้งที่ผ่านมา ดีแทค ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทั้งด้านผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าใช้งานสมาร์ทโฟนที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ดีที่สุด และดีแทคเชื่อมั่นว่า Samsung Galaxy S III ใช้งานบนเครือข่ายดีแทคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุดอีกด้วย” นายปภาพรตกล่าวปิดท้าย

Samsung Galaxy S III จากดีแทคมอบข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่สั่งจองผ่านทาง www.dtac.co.th ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคมเวลา 15.00 น.เป็นต้นไป รวมทั้งลูกค้าที่ซื้อจากหน้าร้าน ราคาเครื่องที่ 21,900 บาท รับสิทธิ์ผ่อน 0% นาน 10 เดือน พร้อมจดทะเบียนแพ็กเกจ Galaxy SIII Super Deal ใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัด (FUP 2GB) และใช้งานโทรได้เดือนละ 550 นาที ในอัตราค่าบริการพิเศษเริ่มต้นเพียงเดือนละ 499 บาทในรอบบิลที่ 1-6 และ 649 บาทต่อเดือนในรอบบิลที่ 7-18 พร้อมฟรีใช้งาน dtac wi-fi นาน 6 เดือน พิเศษเมื่อจองผ่านเว็บไซต์ของดีแทคระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2555 นี้ ลูกค้าจะได้รับสิทธิ์ลุ้นเที่ยวเกาหลีฟรีรางวัลละ 2 ที่นั่งจำนวน 10 รางวัล นอกจากนั้นลูกค้าที่สั่งจอง 2,000 ท่านแรกยังจะได้รับ Micro SD Card 16GB ด้วย

สำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อสินค้าจากหน้าร้าน สามารถซื้อ Samsung Galaxy S III ได้ที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคในเขตกรุงเทพฯในวันที่ 3 มิถุนายน และที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคและดีแทคเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป สามารถติดตามรายละอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dtac.co.th

View :1748
Categories: Press/Release Tags: