Archive

Archive for September, 2012

ดีแทคจับมืออาร์เอสเปิดตัวแอพพลิเคชั่นลาลีกา

September 17th, 2012 No comments

ชวนลูกค้าชมถ่ายทอดสดแมตช์ดังแบบคมชัดคุณภาพ HD และจัดคอนเทนต์ครบเอาใจคอบอลชาวดีแทคเต็มพิกัด

ดีแทคร่วมมือกับอาร์เอส เปิดตัวแอพพลิเคชั่นลาลีกา จัดคอนเทนต์บอลที่คนทั่วโลกรอคอยส่งตรงมือถือลูกค้าดีแทคและแฮปปี้เท่านั้นเพื่อให้ชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันลาลีกาแบบคมชัดที่สุดในระบบ HD และสนุกกับคอนเทนต์สุดมันส์เต็มรูปแบบ ไฮไลท์การแข่งขันตลอดฤดูกาล พิเศษการตั้งเตือนการแข่งขันแมตช์สำคัญเพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดชม พร้อมฟังก์ชั่นการแชร์ตารางการแข่งขันไปยัง Facebook และ Twitter และเกาะติดตารางคะแนนกันแบบแมตช์ต่อแมตช์

ลูกค้าดีแทคและแฮปปี้ สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นลาลีกาฟรีได้แล้วทาง App Store และ Google Play และสามารถสนุกไปกับการชมถ่ายทอดสดได้อย่างสบายใจ เมื่อสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตแบบไม่จำกัดเริ่มต้นแค่ 399 บาท

ในภาพ – นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น () และนางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. พร้อมทั้งศิลปินอาร์เอส เชน ธนา ลิมปยารยะ และเนย ซินญอริต้า ลลิตา สิงห์โตทอง ร่วมกันโปรโมตแอพพลิเคชั่นลาลีกา

View :1692

อินเทลประกาศผลผู้ชนะการแข่งขัน Catch and Win รอบแรก พร้อมจัดต่อเนื่องให้ผู้บริโภคทั่วประเทศลุ้นรับอัลตร้าบุ๊กจนถึง 16 กันยายนนี้

September 13th, 2012 No comments

บริษัท ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดย ดรรชนีพร พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยนิธิพัฒน์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด มอบรางวัล เอเซอร์ อัลตร้าบุ๊ก ให้กับ สุชาดา เชิดชูธรรม คมศักดิ์ พิพิธสมบัติ และณัฐมน เศรษฐพิทยากุล ผู้ชนะจากกิจกรรม Catch and Win ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ Ultrabook Zone พันธ์ทิพย์ พลาซ่า สาขาประตูน้ำ เซียร์ รังสิต และพาวเวอร์บาย

ดรรชนีพร พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อินเทลได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมากจากการเปิดตัวกิจกรรม Catch and Win สำหรับการผลักดันอัลตร้าบุ๊ก นวัตกรรมคอมพิวเตอร์สายพันธุ์ใหม่ซึ่งตอบโจทย์ที่สุดของประสิทธิภาพ ด้วยการตอบสนองอันรวดเร็ว อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม พร้อมด้วยรูปแบบและดีไซน์สุดหรู ทันสมัย และบางเฉียบ โดยได้สร้างแอพพลิเคชั่น Intel Pocket® บนสมาร์ทโฟน สำหรับการร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน ทำให้มีผู้เข้าร่วมลงทะเบียนเพื่อเล่นกิจกรรมในครั้งนี้มากกว่า 10,000 คนในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนของการจัดกิจกรรมดังกล่าว”

กิจกรรม Catch and Win เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญทางการตลาดเพื่อตอกย้ำคุณสมบัติและประสิทธิภาพอันเหนือชั้นของอัลตร้าบุ๊กให้ผู้บริโภคได้รับรู้อย่างกว้างขวาง ทั้งยังเป็นการมอบโอกาสพิเศษให้ผู้บริโภคสามารถสามารถร่วมสนุกผ่านแอพพลิเคชั่น Intel Pocket® บนสมาร์ทโฟน เพื่อสแกนหา อัลตร้าบุ๊กภายในสถานที่ๆ กำหนดใน Ultrabook City หรือบริเวณ Ultrabook Zone ของร้านค้าไอทีต่างๆ ทั่วประเทศที่ร่วมรายการ และลุ้นรับอัลตร้าบุ๊กเป็นของรางวัล โดยกิจกรรมดังกล่าวจะจัดไปจนถึงวันที่ 16 กันยายน ศกนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดของการจัดกิจกรรม กติกาและเงื่อนไขการเข้าร่วมสนุกได้ที่ http://catchme.intel.com/th

View :1352
Categories: Press/Release Tags:

ก.วิทย์ฯ ติดปีกเศรษฐกิจไทยสู่ AEC จัดงาน NSTDA Investors’ Day 2012 โชว์นวัตกรรมเด่นแห่งปี

September 12th, 2012 No comments

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดงาน NSTDA Investors’ Day ประจำปี 2555 ในวันพฤหัสบดี ที่ 20 กันยายน 2555 เวลา 08.00-16.30 น. ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้แนวคิด “นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC” ทั้งนี้เพื่อให้กลุ่มนักธุรกิจเป้าหมายมีโอกาสเข้าถึงผลงานของนักวิจัยไทยที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ และสื่อถึงความสำคัญของการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับผลกระทบของการเปิดเสรีทางการค้าของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558

ดร. ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นประธานในการแถลงข่าวครั้งนี้เปิดเผยว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีนโยบายเร่งด่วนที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ โดยเฉพาะการเร่งสร้างนักวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ขณะเดียวกันก็มีบทบาทหน้าที่ในการสนับสนุนและผลักดันผลงานเหล่านั้นให้เป็นที่จับต้องได้ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีออกสู่ภาคเอกชน เพื่อผลิตเป็นสินค้าและบริการที่เกื้อหนุนเศรษฐกิจ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง เช่นสาขาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการลดภาวะโลกร้อน ฯลฯ เพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนที่จะมาถึงในอีก 3 ปีข้างหน้า

“เราต้องเร่งสร้างผลงานวิจัยเพื่อนำออกสู่อุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ หรือจะเป็นการต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว แต่ยังไม่ลงตัว หรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด หรือไม่สามารถผลิตออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ เราก็สามารถเอามาต่อยอดให้ทันสมัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมได้ โดยให้ตอบรับกับกระแสสังคม” ดร. ปลอดประสพฯ กล่าว

ดร. ปลอดประสพฯ ยังระบุอีกว่าการตอบรับจากภาคเอกชนจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีและเป็นตัวกระตุ้นให้นักวิจัยเกิดความภูมิใจและเข้าใจความต้องการของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น อันจะนำไปสู่การปรับกระบวนความคิดในการคิดค้นงานวิจัยที่สามารถนำออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งจะเป็นการเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ด้าน ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. ได้เปิดเผยถึงภาพรวมของการจัดงาน NSTDA Investors’ Day ว่า สวทช. ได้จัดงานดังกล่าวขึ้นเป็นประจำทุกปี และจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในปีนี้ โดยมีเจ้าภาพร่วม หน่วยงานพันธมิตร และผู้สนับสนุนการจัดงานซึ่งประกอบด้วย สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรนารี (มทส.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)

ดร. ทวีศักดิ์ฯ ยังกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน NSTDA Investors’ Day ว่างานนี้จัดขึ้นเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่ามีศักยภาพสูงในการลงทุน โดยจุดเด่นภายในงานปีนี้ได้แก่ การเปิดให้มีการเจรจาธุรกิจแบบ One on One Matching เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงในเชิงพาณิชย์ และกิจกรรมนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีต่อนักลงทุนในช่วง Investment Pitching โดยเฉพาะการนำเสนอ 5 ผลงานเด่นจาก สวทช. ที่มีศักยภาพพร้อมสำหรับการลงทุนในปีนี้ซึ่งได้แก่ แผ่นแปะรักษาสิว (Q ACNES) ตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งจากเปลือกไข่เพื่อการผลิตไบโอดีเซล (Eco–Catal) เครื่องมือตรวจวินิจฉัยใส้เดือนฝอย (F4-KIT) (From Farm to Fine Fork KIT ) ชุดทดสอบออกซิเจนละลายน้ำแบบพกพา (DO-DEE) และเครื่องวัดและวิเคราะห์ขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (DustDETEC)

สำหรับผลงานที่น่าสนใจจากหน่วยงานพันธมิตรอื่นๆ ได้แก่ ระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากเศษอาหาร เทคโนโลยีการผลิตโลหะกึ่งของแข็งด้วยการปล่อยฟองแก๊ส คลังแอนติบอดี้มนุษย์ และครีมนวดสลายเซลลูไลท์ เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีโซนการจัดแสดงนิทรรศการผลงานเทคโนโลยีต่างๆ อีกกว่า 27 ผลงาน เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกสรร หากสนใจสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับนักวิจัยได้ ณ บูธนั้นๆ รวมทั้งโซนของการจัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีของ สวทช. ทั้งนี้ภายในงานยังสามารถร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง “ความสำคัญของตลาดทุนกับการขับเคลื่อนธุรกิจเทคโนโลยีของไทย” และ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ (10 Technologies to Watch)” รวมทั้งการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “ธุรกิจมั่งคั่งด้วยเทคโนโลยี รับมือเปิดเสรีทางการค้า” และ “นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC”

อนึ่งงาน NSTDA Investors’ Day ปีแรกจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2553 ภายใต้แนวคิด “ธุรกิจเทคโนโลยี ของดีสำหรับนักลงทุน” ปีที่สองจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2554 ภายใต้แนวคิด “ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืน” โดยมีกลุ่มนักลงทุนและนักธุรกิจให้ความสนใจและมีกระแสตอบรับเพิ่มมากขึ้นทุกปี

View :1572

ก.ไอซีที จับมือ ไอทียู จัดประชุม WTIM 2012 เพื่อพัฒนางานด้านสถิติและตัวชี้วัด ICT ระดับสากล

September 12th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในงานแถลงข่าวการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศปี ค.ศ. 2012 ว่า กระทรวงไอซีที ร่วมกับ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) กำหนดจะจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 10 ประจำปี ค.ศ. 2012 (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting : WTIM 2012) ขึ้นระหว่างวันที่ 25 -27 กันยายน 2555 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิรลด์ กรุงเทพฯ เพื่อมุ่งเน้นการนำเสนอค่าสถิติต่างๆ ที่ใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีและตอบสนองความต้องการของประชาชนในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวง หน่วยงานสถิติแห่งชาติ ผู้กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม/ ICT ผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคม/ ICT นักวิชาการ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติและการจัดทำตัวชี้วัดสังคมสารสนเทศ จากประเทศสมาชิก ITU จำนวน 193 ประเทศทั่วโลก รวมประมาณกว่า 400 คน ที่เข้าร่วมประชุม ได้รับความรู้รวมทั้งแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีและสามารถนำไปพัฒนาหน่วยงานของตนเอง เพื่อเตรียมตัวรองรับ AEC ในปี ค.ศ. 2015

“ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลสถิติและตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายของประเทศแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการประเมินผลการดำเนินงานว่าบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลสถิติและตัวชี้วัดที่มีอยู่นั้นแสดงว่าประชากรโลกมีแนวโน้มการเชื่อมโยงเข้าหากันผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยปัจจุบัน 1 ใน 3 ของประชากรโลกสามารถเข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ส่งผลให้การใช้งานแบนด์วิธของโลกเพิ่มปริมาณสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งในกลุ่มประเทศยุโรป อเมริกา เอเชีย และแอฟริกา และการใช้เทคโนโลยีไร้สายก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 6 พันล้านหมายเลข โดยมีประชากรโลกมากกว่าร้อยละ 90 สามารถเข้าถึงโครงข่าย 2G ขณะที่ร้อยละ 45 เข้าถึงโครงข่าย 3G ได้

สำหรับประเทศไทยนั้น เคยเป็นต้นแบบของการพัฒนาทางด้าน ICT ในพื้นที่ห่างไกล (ICT in village) และเป็นที่ยอมรับขององค์กรระหว่างประเทศในการดำเนินการเพื่อลดความเลื่อมล้ำในการเข้าถึง ICT ของประชาชนที่อยู่ในชนบทห่างไกล แต่ปัจจุบันอันดับการแข่งขันและขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2006 หรือ พ.ศ.2549 จากที่ Network Readiness Index ของไทยเคยอยู่ที่อันดับ 34 ในปี 2006 ได้ลดลงมาอยู่ที่อันดับ 77 ในปี 2012 รวมทั้งการกระจายตัวของ ICT ก็จะกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มากกว่าในต่างจังหวัดหรือชนบท โดยกรุงเทพมหานครมีครัวเรือนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ร้อยละ 35.6 ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเพียงร้อยละ 7.3” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

ดังนั้น การจัดทำสถิติและตัวชี้วัดต่างๆ ให้ครอบคลุม โดยจัดเก็บข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ รวมทั้งประชาชน จึงเป็นสิ่งสำคัญ และกระทรวงฯ ยังได้ตระหนักถึงความจำเป็นของการจัดเก็บข้อมูลในระดับบุคคลและครัวเรือน ซึ่งข้อมูลในระดับย่อยดังกล่าวนี้ มีความสำคัญอย่างมากเพราะหากรัฐได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและตรงจุดก็จะสะท้อนภาพที่แท้จริงของการพัฒนาทั้งในระดับภาพรวมของประเทศและระดับพื้นที่ที่แสดงสถานการณ์ด้านโทรคมนาคมและ เทคโนโลยีสารสนเทศ อันจะช่วยให้กระทรวงฯ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทราบถึงปัญหาและจุดบกพร่องในการดำเนินงานที่ผ่านมาและเร่งแก้ไขในจุดดังกล่าว หรือปรับเปลี่ยนนโยบายให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันของภาคโทรคมนาคมและ เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดประชุม WTIM 2012 ครั้งนี้ ก็เพื่อให้เป็นเวทีกลางในการหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่ว่าด้วยสถิติและตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ การกำหนดตัวชี้วัดและคำจำกัดความ ความท้าทายที่เกี่ยวกับการวัดระดับสังคมสารสนเทศ และแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดทำสถิติและตัวชี้วัดด้านนี้ให้สะท้อนความเป็นจริงและครอบคลุมมิติต่างๆ อย่างครบถ้วน เพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและติดตามผลการพัฒนาด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ

ส่วนรายละเอียดของการประชุมฯ จะนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อาทิ การชี้วัดเรื่องบรอดแบนด์ ทั้งด้านราคา ความเร็ว และขีดความสามารถ การชี้วัดพัฒนาการในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามผลการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ในประเด็นด้านการศึกษา ธุรกิจ และความมั่นคงปลอดภัย การทบทวนและปรับปรุงแก้ไขตัวชี้วัดเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับครัวเรือน และการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับบุคคล รวมทั้งประเด็นที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น การชี้วัดเรื่องการส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล และเนื้อหาที่แสดงผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

“การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม WTIM 2012 ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เน้นย้ำถึงบทบาทและการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ในฐานะประเทศสมาชิกของ ITU และสมาชิกของสหประชาชาติ พร้อมกันนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติและการจัดทำตัวชี้วัด รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีโอกาสในการเข้าร่วมการประชุมระดับโลก อีกทั้งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้แทนจากประเทศต่างๆ ตลอดจนสามารถนำความรู้และผลการประชุมมาปรับใช้ในการดำเนินงานตามภารกิจที่หน่วยงานนั้นๆ รับผิดชอบด้วย” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1605

ก.ไอซีที เดินหน้าจัดกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน

September 12th, 2012 No comments

นายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในงานแถลงข่าวกิจกรรมการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีและการสื่อสารในระดับชุมชนเพื่อมุ่งลดช่องว่างระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบท จึงได้ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน มาตั้งแต่ปี 2550 – 2555 เพื่อติดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงตามสถานที่ต่างๆ ในชุมชนที่มีความพร้อมและเหมาะสม โดยปัจจุบันสามารถจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ได้เป็นจำนวน 1,880 ศูนย์ ครอบคลุมพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และกระทรวงฯ มีแผนที่จะจัดตั้งเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปีงบประมาณ 2556 กระทรวงฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนให้ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบัน รวมทั้งยกระดับศูนย์การเรียนรู้ฯ ที่มีอยู่เดิมให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นด้วย

“การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงสารสนเทศให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น สร้างแหล่งเรียนรู้ด้าน ICT และสืบค้นสารสนเทศ พัฒนาศูนย์ฝึกอบรมด้าน ICT รวมถึงการสร้างห้องเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรับบริการข้อมูลข่าวสาร และบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ตลอดจนสร้างประโยชน์แก่สินค้า และอาชีพของชุมชน เพื่อการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมผ่านเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนทั่วประเทศ ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนจึงเป็นกิจกรรมหลักที่จะนำไปสู่การผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้” นายณัฐพงศ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการเพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนสามารถให้บริการอย่างยั่งยืนตลอดไปนั้น กระทรวงฯ จำเป็นที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนในหลายๆ ด้าน ซึ่งด้านหนึ่งที่จะดำเนินการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการที่กระทรวงฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2554 และได้มีการจัดตั้งคณะทำงานสนับสนุนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว คือ การจัด “กิจกรรมการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน” โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้กับศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนที่เป็นศูนย์นำร่อง ซึ่งมีศักยภาพและความเข้มแข็งในการดำเนินงาน จากนั้นจึงมีการขยายผลเพื่อให้ศูนย์ฯ เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และการเรียนรู้ของชุมชนด้วยการใช้สื่อ ICT ที่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างมูลค่าสินค้าและบริการของชุมชนผ่านเครือข่ายสังคม (Social Networking) ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะผลักดันให้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา (Smart Thailand) หรือหมายถึงสังคมที่มีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างชาญฉลาดพร้อมที่จะเป็น “พลเมืองโลก” และ “พลเมืองอาเซียน” ในยุคโลกไร้พรมแดน และรองรับการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีก 3 ปีข้างหน้า ได้อย่างเต็มภาคภูมิต่อไป

View :1463

มาร์เวลเปิดตัวเกมบนสมาร์ทโฟน “Avengers Initiative” จับ “Hulk” ชูโรงเอาใจสาวกทั่วโลก

September 12th, 2012 No comments

เอนเตอร์เทนเมนท์ ค่ายการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เปิดตัว “อเวนเจอร์ส อินิชิเอทีฟ” () นำตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวลมาทำเป็นเกมสำหรับไอโฟนและสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์บางรุ่น โดยซูเปอร์ฮีโร่ที่จะเป็นตัวเอกในเกมคือ ฮัลค์ (Incredible ) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครที่โด่งดังและเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดของมาร์เวล เรื่องราวในเกมจะดำเนินต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งมีฟรีคอนเทนต์เกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ ในกลุ่มอเวนเจอร์ส อีกด้วย คอเกมสามารถดาวน์โหลดเกมนี้ได้ในราคา 6.99 เหรียญสหรัฐ

นายทีคิว เจฟเฟอร์สัน รองประธานฝ่ายการผลิตเกมของมาร์เวล กล่าวว่า “Avengers Initiative เป็นโปรเจคท์เกมสำหรับโทรศัพท์มือถือครั้งใหญ่ที่สุดของมาร์เวล นำความสมจริงของภาพและความสนุกของการเล่นเกมจากเกมคอนโซลมาสู่โทรศัพท์มือถือ พร้อมทั้งประสบการณ์แปลกใหม่อย่างไม่หยุดยั้งด้วยตัวละครจาก Avengers ที่จะเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ”

Avengers Initiative พัฒนาโดยบริษัท ไวด์โหลด เกมส์ (Wideload Games) ในเมืองชิคาโก เป็นเกมการต่อสู้แบบ gesture-based มีจุดเด่นที่ภาพคมชัดความละเอียดสูงแบบเอชดีและการต่อสู้สุดมันที่ออกแบบมาสำหรับการเล่นบนโทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะ ซึ่งผู้เล่นสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้อย่างฉับไวและง่ายดายด้วยปลายนิ้ว เข้าสู่โลกแห่งการต่อสู้อันดุเดือดด้วยพลังมหาศาล ท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์และการโจมตีอันทรงพลัง นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถปรับแต่งลักษณะของฮัลค์ด้วยการเก็บสะสมแต้มแลกคอสตูม ปลดล็อกขุมพลังความสามารถ รวมถึงอัพเกรดสถิติการต่อสู้ของฮัลค์ได้อีกด้วย

ใน Avengers Initiative เวอร์ชั่นแรก ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็นฮัลค์ภายหลังเกิดเหตุการณ์ลึกลับที่เรียกว่า Pulse ซึ่งทำให้บรรดาปิศาจและเหล่าตัวร้ายที่มีพลังพิเศษหลุดออกมาจากที่คุมขังซึ่งเป็นความลับสุดยอดของหน่วย S.H.I.E.L.D. ผู้เล่นจึงต้องพยายามเพิ่มพลังและเลเวลเพื่อปราบเหล่าวายร้ายตัวฉกาจที่สุดของโลก เช่น Wendigo, Abomination และ Skrulls

สำหรับเหตุการณ์ Pulse ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในเกมของมาร์เวลบนเฟซบุ๊คคือ Marvel: Avengers Alliance และกลายเป็นส่วนหนึ่งในโครงเรื่องของ Avengers Initiative ทั้งสองเกมมีความเชื่อมโยงกันและผู้เล่นสามารถสะสมแต้ม ปลดล็อคไอเท็มต่างๆ และเพิ่มเลเวลผ่าน Marvel XP ซึ่งจะติดตามความก้าวหน้าในเกม รางวัลที่ได้ และให้ผู้เล่นได้ใกล้ชิดกับเหล่าตัวละครของมาร์เวลมากยิ่งขึ้นผ่านเกมต่างๆ

ผู้ใช้ไอโฟน4 ไอโฟน4S ไอแพด2 และนิวไอแพด สามารถดาวน์โหลด Avengers Initiative ผ่านแอพสโตร์ http://bit.ly/PS6UTO ส่วนโทรศัพท์ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play ในราคา 6.99 เหรียญสหรัฐ

View :1497

ก.ไอซีที พร้อมร่วมมือยกระดับผู้ประกอบการ OTOP

September 6th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการยกระดับผู้ประกอบการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แบบบูรณาการ ( Plus) ว่า โครงการยกระดับผู้ประกอบการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แบบบูรณาการ หรือ PLUS เป็นโครงการที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ริเริ่มขึ้น เพื่อบูรณาการความร่วมมือการดำเนินงานโครงการดังกล่าวตามนโยบายรัฐบาล กับ 6 หน่วยงาน คือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและขยายช่องทางการตลาด ตลอดจนเพื่อพัฒนาและสร้างมาตรฐานผู้ประกอบการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์

ในส่วนของกระทรวงไอซีที มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานภายใต้สังกัด 2 หน่วยงาน คือ ไปรษณีย์ไทย และ กสทฯ ได้ร่วมมีบทบาทในการสนับสนุนการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และขยายช่องทางการตลาดธุรกิจแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่ง ไปรษณีย์ไทย นั้น เป็นหน่วยงานที่ไม่เคยหยุดนิ่งมีการพัฒนาเครือข่ายขนส่งสู่บริการโลจิสติกส์ครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งทั้งระบบ ด้วยการเชื่อมโยงกับทุกโครงข่ายเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวก รวดเร็ว คุ้มค่า ตอบสนองการทำธุรกิจของคนไทย โดยเฉพาะ SMEs และ e-Commerce ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ จึงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้อย่างมืออาชีพ สำหรับบทบาทของ ไปรษณีย์ไทย ในโครงการฯ นี้ คือ การอำนวยความสะดวกโดยเปิดช่องทางการสั่งซื้อสินค้า OTOP และให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านหน้าเว็บไซต์ www.postshop.co.th และ Call Center 1545 รวมทั้งการนำศักยภาพที่มีอยู่ในด้านเครือข่ายทั่วประเทศ และระบบ logistic มาเป็น ผู้จัดส่งสินค้าให้แก่ผู้สั่งซื้อ

ด้าน กสทฯ นั้น มีพันธกิจในการให้บริการเครือข่ายการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีและการบริการที่ดีที่สุด และเป็นพันธมิตรชั้นนำขององค์กรทั้งในและต่างประเทศในด้านการติดต่อสื่อสาร ส่วนบทบาทของ กสทฯ ในโครงการ OTOP PLUS คือ การจัดทำ e-Commerce System เพื่อให้มีการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะมีการแสดงสินค้าในรูป e-Exhibition การจัดทำ e-Smart OTOP เพื่อให้มีการตรวจสอบข้อมูลของสินค้าผ่านทาง QR code และสามารถสั่งซื้อซ้ำได้ทาง Smart phone รวมทั้งการจัดอบรมผู้ประกอบการ สมาชิก สสว. กว่า 1,000 ราย เพื่อให้ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต

“กระทรวงไอซีที พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการยกระดับสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ OTOP ให้ประชาชนมีทางเลือกใหม่ในการเข้าถึงสินค้าในระดับชุมชนมากยิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีช่องทางในการกระจายสินค้าโดยทำหน้าที่เป็นหน้าร้านออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการอีกด้วย ส่วนผู้บริโภคก็สามารถซื้อสินค้า OTOP ได้อย่างสะดวกง่ายดายผ่านช่องทางสายด่วนหมายเลข 1545 ซึ่งรับบริการทั้งสั่ง และ ส่ง รวมทั้งผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตที่จะเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นความสามารถในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาโครงการฯ ให้ก้าวไปสู่การให้บริการในรูปแบบ Smart OTOP Plus ต่อไปในอนาคต” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1353

วิจัยอีริคสันเผยตลาดอุปกรณ์สมาร์ทโมบายล์โตอย่างมาก

September 6th, 2012 No comments

จำนวนผู้ใช้แท็บเล็ตในประเทศไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตัว (จาก 2% เป็น 8%) ในระยะเวลาหกเดือนข้างหน้า และจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% #

ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟน คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพื่อเข้าถึงบริการด้านการบันเทิง และเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างทันท่วงที

จากการวิจัยพบว่า การใช้งานด้านการสื่อสาร (เช่น โทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ท, อีเมล, โซเชียลเน็ทเวิร์ค, การส่งข้อความ, และ VoIP เป็นต้น) รายการทีวี และวีดีโอ น่าจะเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนการใช้งานด้านอื่น เช่น การโทรศัพท์แบบเห็นหน้า (video calling), push to talk, การแปลงเสียงเป็นข้อความ (speech-to-text), อีเมล, และการใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป ถือได้ว่ามีการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องและนักพัฒนาโมบายล์แอ็พพลิเคชั่นต่างๆ

ผลจากการวิจัยนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่าผู้ให้บริการจำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายของตน ให้พร้อมรองรับสมาร์ทโฟน ขยายพื้นที่ครอบคลุมให้ทั่วถึง เพื่อเพิ่มคุณภาพสัญญาณ ความเร็วในการรับส่งข้อมูล ความเสถียรของระบบ รวมทั้งความพร้อมเพื่อรับมือกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของการสื่อสารข้อมูลบนมือถือ ซึ่งถูกผลักดันโดยบริการประเภท non-voice ต่างๆ

# ตามข้อมูลที่ผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความสนใจ

ผลการสำรวจโดย Ericsson ConsumerLab พบว่าผู้บริโภคในประเทศไทยให้ความสนใจกับอุปกรณ์มือถือมากขึ้น รวมทั้งมีการใช้งานบางประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุด

“ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแท็บเล็ต คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพราะขนาดที่เหมาะแก่การพกพา และซื้อเพื่อใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ในขณะที่ปัจจัยหลักในการใช้ คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพื่อเข้าถึงบริการด้านการบันเทิง และเพื่อรับข้อมูลอย่างทันต่อเหตุการณ์” นาย Afrizal Abdul Rahim หัวหน้าศูนย์ ConsumerLab แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิก กล่าว

ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันพวกเขาใช้สมาร์ทโฟนเพื่อใช้บริการ voice, SMS, และอินเตอร์เน็ททั่วไป เป็นส่วนใหญ่ แต่การใช้งานประเภทอื่นๆ เช่น การโทรศัพท์แบบเห็นหน้า (video calling), push to talk และ การแปลงเสียงเป็นข้อความ (speech-to-text) เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และน่าจะเติบโตได้ดีที่สุดในอนาคต

สำหรับแอ็พพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด และสร้างแรงผลักดันให้ตลาดสื่อสารข้อมูลบนมือถือ ได้แก่ ด้านเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ตามด้วยเกมส์ และการค้นหาข้อมูลทั่วไป

และเมื่อถูกถามว่าพวกเขาใช้แอ็พพลิเคชั่นบ่อยแค่ไหน ผู้ตอบแบบสอบถาม 15 เปอร์เซ็นต์ ให้ข้อมูลว่าพวกเขาใช้หลายครั้งต่อวัน, 14 เปอร์เซ็นต์ใช้อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อวัน, และ 29 เปอร์เซ็นต์ใช้วันละหนึ่งครั้ง

เมื่อศึกษาถึงแอ็พพลิเคชั่นและการดาวน์โหลดที่น่าจะเป็นที่นิยมในอนาคต พบว่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารยังคงเป็นที่นิยมสูงสุด ตามด้วยรายการทีวี และวีดีโอที่ขึ้นมาอยู่เป็นอันดับสาม

การแสดงความสนใจในแอ็พพลิเคชั่นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับบริการด้านการสื่อสารและเอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นหลัก ซึ่งผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ให้บริการด้านการบันเทิง ควรให้ความสำคัญและเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้มากขึ้น

“สำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย ผลการสำรวจนี้ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาโครงข่าย ซึ่งต้องรองรับการเจริญเติบโตของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รวมทั้งแสดงให้เห็นประเภทของการใช้งานและบริการอันเป็นที่นิยมสำหรับการสื่อสารข้อมูลบนมือถือ และสำหรับผู้ค้าปลีก ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงเหตุผลหลักในการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์สื่อสารต่างๆอีกด้วย” นาย Afrizal กล่าว

เป็นที่คาดการณ์กันว่าโปรโมชั่นแบบเติมเงิน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการใช้งานสมาร์ทโฟนในประเทศไทยให้สูงขึ้น “ความคุ้มค่าของบริการถือเป็นสิ่งที่ลูกค้าในตลาดเติมเงินให้ความสำคัญมาก ดังนั้นโปรโมชั่นที่เหมาะสมจึงควรเป็นแพ็คเกจขนาดเล็ก กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดเติมเงินที่มี ARPU ต่ำนั้น คือการเสนอแพ็คเกจที่หลากหลาย ตรงกับลักษณะการใช้งานของลูกค้าให้มากที่สุด และในขณะเดียวกันต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถควบคุมการใช้จ่ายของตนเองได้ การแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างเหมาะสม และการสร้างพันธมิตรกับ content provider ถือเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนให้มีการใช้อินเตอร์เน็ทบนมือถือเพิ่มมากยิ่งขึ้น” นาย Afrizal กล่าว

นาย Joacim Damgard ประธานอีริคสันประเทศไทย กล่าวด้วยว่า “ผลการวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของตลาดในอนาคตจะถูกผลักดันโดยการใช้อินเตอร์เน็ทบนมือถือ และเหล่าผู้ให้บริการจะเตรียมพร้อมรับมือกับตลาดที่เติบโตรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ผู้ให้บริการต้องพร้อมพัฒนาเครือข่ายให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ขยายพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณอย่างเพียงพอ เพื่อให้บริการได้ด้วยความเร็วสูงและมีเสถียรภาพ รวมทั้งต้องสามารถรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือ ซึ่งถูกผลักดันด้วยบริการแบบ non-voice ประเภทต่างๆ” นาย Joacim กล่าว

หมายเหตุ

Ericsson ConsumerLab ได้ทำการศึกษาแบบตัวต่อตัวกับกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย อายุ 16-60 ปี ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชากรจำนวน 16.8 ล้านคนในทางสถิติ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจโดย TNS ในกว่า 58 ประเทศ กับกลุ่มตัวอย่างรวมทั้งหมดถึง 47,577 คน Ericsson ConsumerLab มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการศึกษาพฤติกรรมและการให้คุณค่า รวมไปถึงวิธีการแสดงออกและความคิดของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์และบริการ ICT ประเภทต่างๆ Ericsson ConsumerLab ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดและผู้บริโภคอีกด้วย

Ericsson ConsumerLab ได้รับความรู้จากการศึกษาผู้บริโภคทั่วโลก โดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างกว่า 100,000 คน ในกว่า 40 ประเทศ และในมหานครกว่า 15 แห่ง ในแต่ละปี ซึ่งถือเป็นตัวแทนประชากรกว่า 1.1 พันล้านคนในเชิงสถิติ มีการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และได้ใช้เวลานับร้อยๆชั่วโมงในการสัมภาษณ์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคจากหลากหลายวัฒนธรรม

และเพื่อให้เรามีความใกล้ชิดกับตลาดและผู้บริโภค Ericsson ConsumerLab จึงมีนักวิเคราะห์ในเกือบทุกภูมิภาคที่มีอีริคสันอยู่ ซึ่งทำให้เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดและโมเดลของธุรกิจ ICT ทั่วโลก

View :1484

ดีแทคยอมชำระค่าปรับ 10 ลบ. จากเหตุการณ์บริการขัดข้องผลจากความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เทคนิค

September 6th, 2012 No comments

5 กันยายน 2555 – นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ได้กล่าวในงานแถลงข่าวซึ่งจัดโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าดีแทคพร้อมที่จะชำระค่าปรับ จำนวน 10 ล้านบาท ตามคำสั่งปกครองของ กสทช. โดยจะไม่ดำเนินการอุทธรณ์แต่อย่างใด โดยค่าปรับดังกล่าว จะเป็นจำนวนเพิ่มเติมจากการชดเชยนาทีโทรฯ ฟรีที่ดีแทคมอบให้กับลูกค้าที่ได้แสดงความจำนงเข้ามาแล้วกว่า 3 ล้านราย จากสาเหตุการบริการขัดข้องเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555

นายจอน  เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ กล่าวว่า การที่ดีแทคตัดสินใจยอมชำระค่าปรับตามที่ กสทช. กำหนด แม้ว่า จำนวนลูกค้าของดีแทคที่ถูกผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะมีจำนวนเพียงประมาณ 1.6 ล้านหมายเลข จากฐานลูกค้าทั้งหมดของดีแทค ประมาณ 24 ล้านคน และยอมชำระค่าปรับ แม้ว่า ความขัดข้องทางบริการ อันเป็นผลจากความขัดข้องของอุปกรณ์ MPLS Signaling Server  นั้น เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัทฯ   รับจ้างติดตั้งอุปกรณ์ เข้าไปดำเนินงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง ที่สำนักงานชุมสายรังสิตของบริษัทฯ

“บริษัทฯ ยอมชำระค่าปรับ โดยไม่อุทธรณ์แต่ประการใด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้าของเรา และต่อ กสทช. ในฐานะที่เราทำให้คนเหล่านั้น ต้องผิดหวังจากการทำงานของเรา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก เนื่องจากเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ โดยมีเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัทรับจ้างติดตั้งอุปกรณ์เพียงคนเดียว ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพ และคุณภาพชั้นสูงของระบบ network ของเราแต่ประการใด” นายจอน กล่าว

“อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงได้รีบดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ในการชดเชยให้กับลูกค้าของเรา จนถึงบัดนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการชดเชยให้ลูกค้าของเราไปแล้วกว่า 3 ล้านคน  มีมูลค่าการชดเชยประมาณ 100 ล้านบาท และเป็นที่คาดการณ์ว่า มูลค่าการชดเชยดังกล่าว อาจสูงถึง 300 ล้านบาท เมื่อถึงวันสุดท้ายของการแจ้งขอรับบริการโทรฯ ฟรี ในวันที่ 14 กันยายน ศกนี้ บริษัทฯ ให้การชดเชยแก่ลูกค้าของเราทุกท่านที่แจ้งแสดงความจำนงเข้ามา แม้ว่า บริษัทฯ ทราบจากการประมาณการณ์ว่า ลูกค้าที่ถูกผลกระทบโดยตรงนั้น น่าจะมีเพียง 1.6 ล้านหมายเลข จากจำนวนการใช้บริการโดยเฉลี่ยในวันดังกล่าว ประมาณ 4.8 ล้านหมายเลข” นายจอน อธิบาย

“แม้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดีแทคจะประสบเหตุขัดข้องในการให้บริการหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่ไม่อยากให้มองว่า แนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป มีเพียงเหตุการณ์เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุปกรณ์ในระบบ network ส่วนเหตุการณ์ที่เหลือเกี่ยวข้องกับการที่สาย fiber optic ถูกตัดขาด หรือความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เทคนิคดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจอย่างสูงเกี่ยวกับคุณภาพของระบบ network และบริการของบริษัทฯ รวมทั้งคุณภาพของบุคลากรของเรา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะเพิ่มมาตรการป้องกันให้มากขึ้น จากมาตรการต่างๆ ที่เรามีอยู่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า กฎระเบียบและขั้นตอนการทำงานต่างๆ จะได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญที่สุดคือ บริษัทฯ จะต้องทำงานให้หนักขึ้น ในการที่จะพยายามชนะใจลูกค้าของเราอีกครั้งหนึ่ง” นายจอน กล่าวสรุป

อนึ่ง การที่ดีแทคต้องชำระค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท ในครั้งนี้ ถือเป็นการชำระค่าปรับที่เป็นประวัติศาสตร์ สำหรับธุรกิจที่ให้บริการสาธารณูปโภค ทั้งในภาคธุรกิจโทรคมนาคม และภาคธุรกิจอื่นๆ เพราะไม่เคยปรากฏว่า มีบริษัทใดต้องชำระค่าปรับ อันเนื่องจากสาเหตุการให้บริการต่อผู้บริโภคโดยขาดประสิทธิภาพมาก่อน

View :1306

คำชี้แจงจากดีแทค เรื่องมาตรการการชดเชยให้กับลูกค้าผู้ถูกผลกระทบจากเหตุการณ์วันที่ 28 สิงหาคม 2555

September 4th, 2012 No comments

ตามที่ได้มีผู้สอบถามเกี่ยวกับมาตรการของดีแทคในการชดเชยให้กับลูกค้าผู้ถูกผลกระทบจากเหตุขัดข้องในการใช้บริการ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 นั้น บริษัทฯ ใคร่ขอชี้แจง ดังต่อไปนี้

· บริษัทฯ กราบขออภัยเป็นอย่างยิ่งต่อลูกค้าของบริษัทฯ ผู้ถูกผลกระทบ สำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น
· ลูกค้าของเรามีความสำคัญเป็นอันดับแรก และบริษัทฯ มีความมุ่งมั่น ที่จะให้บริการที่ดีที่สุด เพื่อความพึงพอใจของลูกค้าของเราในทุกเวลา
· บริษัทฯ เห็นว่า มาตรการการชดเชยที่บริษัทฯ ได้กำหนดขึ้น พร้อมวิธีการปฏิบัติ มีความเหมาะสมตามสมควร สำหรับ ความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นต่อลูกค้าของเรา
· ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกค้าของบริษัทฯ จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ศกนี้ มีวงจำกัด รวมเวลาทั้งสิ้นที่ส่งผลกระทบต่อลูกค้า ประมาณ 65 นาที โดยสามารถแบ่งออกเป็นช่วงเวลาคร่าวๆ ช่วงละประมาณ 30 นาที ระหว่างเวลา 11.06 น. ถึง 11.20 น. และอีกครั้งหนึ่งระหว่างเวลา 12.00 น. ถึง 12.45 น.
· จำนวนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้นมีประมาณไม่เกินร้อยละ 20 ของหมายเลขของลูกค้าทั้งหมด ซึ่งบริษัทฯ ตระหนักว่า มีลูกค้าเพียงบางส่วนในจำนวนดังกล่าว ที่พยายามทำการโทรออก หรือรับสายในช่วงเวลาดังกล่าว
· มาตรการการชดเชย ได้คำนึงถึงข้อมูลข้างต้น ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว มิได้เลือกปฏิบัติ หากแต่ต้องการมุ่งชดเชยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
· การมอบเวลาโทรฯ ฟรี ให้กับลูกค้าของเรา ทั้งลูกค้าประเภทรายเดือนและเติมเงิน นั้น เป็นการชดเชย โดยเฉลี่ยประมาณ 10 เท่าของการใช้งานตามปกติของลูกค้าทั้งสองกลุ่ม ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่า เป็นการชดเชยที่ยุติธรรมและสมเหตุผล ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทฯ จำเป็นต้องจำกัดเวลาสำหรับการใช้เวลาโทรฯ ฟรีดังกล่าว โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้าประเภทเติมเงิน นั้น ก็เนื่องด้วยลูกค้ากลุ่มดังกล่าว เป็นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯ และบริษัทฯ ต้องการให้แน่ใจว่า การใช้เวลาโทรฯ ฟรี ของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว จะไม่ก่อผลกระทบต่อการใช้งานโทรศัพท์ของลูกค้ากลุ่มอื่น ในช่วงเวลาการใช้บริการแออัด
· นอกจากนี้ มาตรการชดเชยของบริษัทฯ ยังได้คำนึงถึง กลุ่มลูกค้าที่ใช้ซิมการ์ดอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ จะได้รับการชดเชยในลักษณะที่ใกล้เคียงกันกับกลุ่มลูกค้าประเภทซิมการ์ดเพื่อการโทรฯ เข้าออก
· บริษัทฯ ต้องกราบขออภัยเป็นอย่างยิ่งสำหรับการโทรฯ ที่หนาแน่นในช่วงเช้าของวันที่ 29 สิงหาคม ศกนี้ สำหรับหมายเลขบริการลูกค้า ที่บริษัทฯ ขอให้ลูกค้า โทรฯ แจ้งความประสงค์เพื่อรับการชดเชย หมายเลขบริการลูกค้าดังกล่าวสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าได้วันละประมาณ 1.2 ล้านรายต่อวัน ซึ่งเราเชื่อว่า ภายในวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม ศกนี้ บริษัทฯ น่าจะสามารถรองรับความประสงค์ของลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ดี บริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาว่า จะมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะยืดเวลาการโทรฯ เข้าให้กับลูกค้าออกไปอีก
· บริษัทฯ ใคร่ขอความกรุณาให้ลูกค้า โทรฯ เวลาใดก็ได้ตามแต่ที่ท่านสะดวก ระหว่างวันที่ 29 ถึง 31 สิงหาคม ศกนี้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งแต่อย่างใด พนักงานของบริษัทฯ พร้อมที่จะให้บริการแก่ท่านตลอด 24 ชั่วโมง บริษัทฯ เชื่อว่า เราน่าจะสามารถดูแลความต้องการของลูกค้าทุกท่านได้อย่างทั่วถึง
· สุดท้ายนี้ พวกเราที่ ขอกราบขออภัยลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบ และความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณสำหรับอุปการคุณของทุกท่าน บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ต่อ คุณภาพของระบบเครือข่าย และบริการของบริษัทฯ รวมทั้งเชื่อมั่นในพนักงานทุกคนของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นในการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของบริษัทฯ คือการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา ด้วยความหวังว่า ลูกค้าของเราในวันนี้ จะเป็นลูกค้าของเราตลอดไป

View :1293
Categories: Press/Release Tags: