Archive

Archive for January, 2013

ifec ชูแอพพลิเคชั่น PageScope Mobile for iOs/Andriod รับกระแสโมบายพริ้นติ้งมาแรงปี 56 หนุนปริมาณพิมพ์งานเพิ่ม

January 7th, 2013 No comments

ชี้กระแสโมบายออฟฟิศดันการสั่งพิมพ์งานผ่านอุปกรณ์ไร้สายเพิ่ม หลังสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตเติบโตพุ่ง องค์กรธุรกิจหนุนพนักงานใช้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวด้านการทำงาน สบช่องเร่งสร้างการรับรู้แอพพลิเคชั่น จากโคนิก้ามินอลต้า ชูจุดเด่นสามารถสั่งพิมพ์ จาก Cloud ทั้งอีเมล์ รูปภาพ งานเอกสาร เว็บไซต์หรือสั่งสแกนจากเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นเข้าสู่มือถือ ด้วยรูปแบบการใช้งานง่าย หนุนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านบริหารจัดการเอกสารภายในองค์กร และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายงานด้านเอกสารลง

นายคาวี แหวนทองคำ ผู้จัดการแผนกวางแผนและจัดการระบบงานเอกสาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ ifecผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเครื่องดิจิทัล มัลติฟังก์ชั่น ‘โคนิก้า มินอลต้า’ รายเดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า จากแนวโน้มองค์กรธุรกิจที่เปิดกว้าง ให้พนักงานสามารถใช้งานอุปกรณ์ไร้สายเข้ามาเชื่อมโยงระบบข้อมูลและซอฟต์แวร์ในองค์กร ด้วยแนวคิด (Bring Your Own Device) หรือ BYOD ผ่านเทคโนโลยีระบบสื่อสารไร้สายและ คลาว์คอมพิวเตอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของจำนวนอุปกรณ์ไร้สาย เช่น สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ส่งผลให้การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ไร้สายและเครื่องพิมพ์ เป็นสิ่งที่มี ความจำเป็นและมีความสำคัญมากขึ้น

บริษัทฯ จึงได้เร่งสร้างการรับรู้โมบายแอพพลิเคชั่น PageScope Mobile for iOS/Android ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ไร้สายกับเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น ให้ลูกค้าสามารถสั่งพิมพ์งานได้จากทุกที่ ด้วยจุดเด่นด้านการออกแบบฟังก์ชั่นการทำงานพิมพ์เอกสารจากอุปกรณ์ไร้สายสะดวก เหมือนการสั่งงานพิมพ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ และรองรับงานพิมพ์ได้ทุกประเภททั้งเอกสาร รูปถ่าย อีเมล์ ผ่านไวไฟ (wifi) สามารถเชื่อมต่อกับ Cloud Service ได้ทุกระบบ ทั้ง iCloud, GoogleDrive, Evernote, Dropbox และ MS Office365 โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าวได้แล้ว ผ่าน AppStore และ Google Play Store

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถสแกนเอกสารจากเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น ‘โคนิก้ามินอลต้า’ เข้าสู่อุปกรณ์ไร้สายได้โดยตรง ซึ่งเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการทำงานเอกสาร และช่วยในการบริหารจัดการงานเอกสารภายในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น รองรับการเติบโตของการใช้งานเอกสาร ในรูปแบบดิจิตอล และการสั่งพิมพ์งานผ่านอุปกรณ์ไร้สายหรือโมบายพริ้นติ้งที่จะมีปริมาณสูงขึ้นในอนาคต

“ปีนี้ 56 เรามองว่ากระแสโมบายด์พริ้นติ้งจะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ด้านการใช้งานให้แก่ผู้ใช้งานพิมพ์เอกสารภายในองค์กร ซึ่งทางโคนิก้ามินอลต้า ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นPageScope Mobile for iOS/Android ไว้รองรับการใช้งานโมบายพริ้นติ้ง เพื่อให้ลูกค้ามีความคล่องตัว ในการทำงานด้านการพิมพ์งานเอกสารและยังช่วยบริหารจัดการงานเอกสารภายในองค์กร ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การทำงานเอกสารผ่านเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นของลูกค้ามีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงยิ่งขึ้น” นายคาวี กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมด้านตัวเครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่น โคนิก้ามินอลต้าสีและขาวดำ ที่สามารถรองรับการสั่งพิมพ์เอกสารผ่านโมบายพริ้นติ้งมากกว่า 30 รุ่น โดยมีความเร็วในการพิมพ์เอกสารตั้งแต่ 20 ถึง 75 แผ่น/นาที เช่น เครื่องดิจิทัลมัลติฟังก์ชั่นสี bizhub C224 และรุ่น bizhub C35 ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ทำรายการส่งเสริมการขายผ่อนชำระเพียงเดือนละ 1,850 บาท จึงเชื่อมั่นว่า ด้วยแอพพลิเคชั่นดังกล่าวที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการใช้งานมากขึ้น และฟังก์ชั่นการทำงานของเครื่องที่หลากหลายรุ่นพร้อมให้บริการ จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย บริหารจัดการเอกสารภายในองค์กรลงได้

View :1519

อนุฯคุ้มครองโทรคมนาคมเสนอ กสทช.เฉียบขาดสั่งปรับบริษัทมือถือสูงสุด ๕ ล้านบาทต่อวัน

January 7th, 2013 No comments

ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ระบุสำนักงาน ควรเฉียบขาด สั่งปรับสูงสุด ๕ ล้านบาทต่อวัน ชี้ อย่าให้คำสั่งปรับทางปกครองเป็นเพียงการให้บริษัทจ่ายค่าเช่าในการกระทำผิดกฎหมายเท่านั้น เผยตัวเลขผู้ใช้บริการถูกบริษัทยึดเงินเฉลี่ยรายละ ๕๐๐ บาทแล้ว โดย พรีเพดมีคนใช้บริการ ๗๐ ล้านเลขหมาย

กรณีปัญหากำหนดระยะเวลาการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการล่วงหน้า (พรีเพด) ซึ่งยืดเยื้อมายาวนาน แม้ล่าสุดเลขาธิการ กสทช. ได้มีคำสั่งบังคับทางปกครองบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ ราย โดยให้บริษัทชำระค่าปรับทางปกครองในอัตราวันละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อสำนักงาน กสทช.ให้ครบถ้วนทั้งนี้ซึ่งคิดแล้วเป็นการจ่ายค่าปรับเป็นเงิน ๓ ล้านบาทต่อเดือน โดยมีคำสั่งปรับทางปกครองไปตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคมปีที่ผ่านมา

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า จากข้อมูลการร้องเรียนพบว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๕๒-๒๕๕๕ มีผู้บริโภคร้องเรียนกรณีนี้ทั้งสิ้น ๒,๔๙๔ กรณี ในจำนวนนี้เป็นผู้ร้องเรียนที่ถูกยึดเงินในระบบจำนวน ๖๘๗ กรณี เฉพาะรายที่แจ้งรวมเป็นเงินที่ถูกยึดจำนวน ๓๕๕,๒๒๕.๐๔ บาท หรือเฉลี่ยแล้วผู้ใช้บริการถูกยึดเงินจากระบบรายละ ๕๑๗.๐๖ บาท โดยผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินทั้งประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น ๗๐,๖๑๐,๔๙๐ เลขหมาย หากมีผู้บริโภคแม้เพียงร้อยละ ๑ หรือจำนวน ๗๐๐,๐๐๐ คน ถูกยึดเงินในระบบก็รวมเป็นเงินถึง ๓๕๐ ล้านบาทแล้ว แต่เงินค่าปรับของ ๓ บริษัทถูกคิดแค่ ๓ ล้านบาทต่อเดือนเท่านั้น ทั้งที่กระทำผิดกฎหมายและยึดเงินของผู้บริโภคไปแล้วจำนวนมาก

“ปัญหานี้ยืดเยื้อมานานคนใช้บริการมีมากถึง ๗๐ ล้านเลขหมาย สำนักงาน กสทช. ควรมีความเฉียบขาดมากกว่านี้ โดยเพิ่มค่าปรับทางปกครองในอัตราสูงสุดเป็นวันละ ๕ ล้านบาท เนื่องจากเป็นประเด็นที่เห็นการกระทำความผิดขัดต่อกฎหมายชัดเจน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯได้ทำความเห็นเสนอไปยัง กทค. ตั้งแต่เดือนกันยายนปี ๕๕ เพื่อขอให้มีการเพิ่มค่าปรับทางปกครองให้สอดคล้องกับความเสียหายของผู้บริโภค ประเด็นสำคัญนั้น ไม่ใช่ต้องการเงิน แต่ต้องการให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างแท้จริงและนำไปสู่การแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการยุติการกำหนดระยะเวลาการใช้บริการพรีเพดเสียที มิฉะนั้นคำสั่งปรับทางปกครองจะเป็นเพียงการให้บริษัทจ่ายค่าเช่าในการกระทำผิดกฎหมายเท่านั้น “ นางสาวสารีกล่าว

นางสาวสารี กล่าวต่อไปว่า เหตุผลที่สนับสนุนได้ดีก็คือ แม้ สำนักงาน กสทช. จะมีการออกคำสั่งทางปกครองไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้บริโภคจำนวนมากถูกกำหนดระยะเวลาการใช้บริการ ถูกยึดเงิน และถูกยึดหมายเลขโทรศัพท์อยู่เช่นเดิมหากนับตั้งแต่มีคำสั่งทางปกครองตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม ปีที่ผ่านมา มีสูงถึง ๓๓๐ ราย แบ่งเป็น ถูกกำหนดระยะเวลาใช้บริการ ๑๖๐ ราย ถูกยึดเงิน ๔๓ ราย และถูกยึดเลขหมาย ๑๒๗ ราย

พร้อมขอให้ผู้บริโภคช่วยกันร้องเรียนเรื่องนี้ให้มาก โดยสามารถร้องเรียนไปยังสำนักงาน กสทช. ๑๒๐๐ เพื่อให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการสั่งปรับทางปกครองแบบลงโทษให้สอดคล้องกับความเสียหายของผู้บริโภค และให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดทุกราย ปฏิบัติตามประกาศ เรื่อง กระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาข้อร้องเรียนของผู้ใช้บริการ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๕ คือ ในระหว่างการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ผู้ให้บริการต้องยุติการระงับบริการแก่ผู้ร้องเรียนทุกราย จนกว่าเรื่องร้องเรียนนั้นจะได้ข้อยุติด้วย

View :1359
Categories: 3G, Technology Tags:

เอไอเอส เผยยอดผู้ส่งความสุขปี’56 ผ่านเครือข่าย social network พุ่งสูงกว่าปกติถึง 300%

January 3rd, 2013 No comments

2 มกราคม 2556 : นายปรัธนา ลีลพนัง รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานดิจิตอล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เปิดเผยถึงพฤติกรรมการส่งความสุขและอวยพรปีใหม่ผ่านเครือข่ายมือถือ ว่า “การอวยพรปีใหม่ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงได้รับความนิยมและขยายรูปแบบการส่งที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นตามพัฒนาการของเทคโนโลยีแห่งโลกของ Online และ Social Media โดยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายก็คือ
- การอวยพรและการสื่อสารผ่านโลก Online บน ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Application อย่าง Facebook, LINE และ What’s App สูงขึ้นถึง 300% เมื่อเทียบกับปกติ โดยรูปแบบจะเป็นการส่งความสุขปีใหม่ในกลุ่มเพื่อนสนิท หรือ ผู้ที่อยู่ใน Community เดียวกัน โดยเฉพาะ Sticker Line น้องอุ่นใจธีมอวยพรปีใหม่ มีการส่งมากกว่า 3 ล้านครั้ง ในช่วงคืนวันปีใหม่
- SMS / MMS ยังคงมีการใช้อวยพร ส่งความสุขปีใหม่อย่างกว้างขวางในรูปแบบที่เป็นทางการจากคนรู้จักที่มิใช่กลุ่มเพื่อนสนิทใน Community เดียวกัน ทั้งนี้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 – 1 มกราคม 2556 มีปริมาณการส่ง SMS จำนวน 80 ล้าน ครั้ง MMS จำนวน 1.5 ล้านครั้ง
- เริ่มเห็น Trend การใช้งานเชิง CRM ที่ชัดเจนขององค์กรธุรกิจบริการต่างๆ ที่มีการใช้ SMS/MMS สื่อสาร อวยพรฐานลูกค้าของตัวเองมากยิ่งขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
และจากการที่เอไอเอส ได้มีการเตรียมความพร้อมเครือข่ายให้สามารถรองรับการใช้งานดังกล่าวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้การส่งความสุขของลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด จึงทำให้ลูกค้า เอไอเอสทุกท่านสามารถส่งความสุข และอวยพรปีใหม่กันได้ในแบบที่ตัวเองต้องการอย่างไร้ข้อจำกัด

หมายเหตุ :
-ปริมาณ SMS โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 ล้านข้อความ/วัน และปริมาณ MMS โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3 แสนข้อความ/วัน ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2555

View :1476

ฟูจิ ซีร็อกซ์ รุกธุรกิจปี 2556 ประเดิมโซลูชั่นใหม่ เน้นเจาะกลุ่มแมนูแฟคเจอริ่ง

January 2nd, 2013 No comments

ฟูจิ ซีร็อกซ์ขายโซลูชั่นใหม่ “Drawing Detection Box” ด้วยรูปแบบ solution package ที่มาพร้อมกับเครื่องถ่ายแบบแปลนรุ่น DocuWide 3055 และโปรแกรมจัดการเอกสาร DocuWorks 7.3 ตั้งเป้าเจาะกลุ่มธุรกิจแมนูแฟคเจอริ่ง มั่นใจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจยิ่งขึ้น ประเดิมปี 2556

มร.วาตารุ ยามากูชิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและวางแผนธุรกิจ Business Planning & Marketing Director บริษัท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ เตรียมรุกธุรกิจตั้งแต่ต้นปี 2556 ด้วยการวางจำหน่ายโซลูชั่นใหม่สำหรับงานในส่วน Production & Design โดยตั้งเป้าหมายเจาะกลุ่มธุรกิจ Manufacturing ด้วยโปรแกรมใหม่ของโซลูชั่นนี้ คือ “Drawing Detection Box” หรือ โปรแกรมตรวจเช็คความต่างของแบบแปลน ซึ่งโปรแกรมดังกล่าว มีเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจสอบความต่างของลายเส้นบนแบบแปลนกระดาษ และ ซอฟต์ไฟล์ได้ ซึ่งจะมีประโยชน์เพื่อลดขึ้นตอนในการตรวจสอบและวางแผนผลิต

จุดเด่นของโซลูชั่น Drawing Detection Box คือ ด้วยหลักการทำงานที่จะแสดงความเปลี่ยนแปลงหลังจากแก้ไข หรืออัพเดทจากต้นฉบับเดิม ความแตกต่างดังกล่าวจะแสดงเป็นเส้นวงในตำแหน่งที่มีการแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลง เช่น เส้นสีแดงจะแสดงถึงส่วนที่ลบ เส้นสีน้ำเงินคือส่วนที่มีการเพิ่มเติม

นอกจากนี้โซลูชั่น Drawing Detection Box ยังสามารถใช้งานร่วมกับเครื่องมัลติฟังก์ชั่นของ Fuji Xerox DMP-X เพื่อให้สามารถสแกนแบบแปลนกระดาษ ขนาด A3 และพิมพ์สำเนาที่มีลายเส้นแสดงความต่างได้ทันที หรือสามารถใช้ร่วมกับเครื่องถ่ายแบบแปลนแบบ Stand alone ได้โดยตรง เพียงต่อเครื่องผ่านเครือข่าย Network จาก Drawing Detection Box ผ่านเว็บของโปรแกรมในการอัพโหลดซอฟต์ไฟล์ ใน Drawing ที่มีขนาดใหญ่กว่า A3 ซึ่งโปรแกรมนี้จะส่งเป็นลิงค์ให้ดาวน์โหลดเป็นภาพ ที่ทำให้ช่วยลดระยะเวลาในการตรวจสอบความถูกต้องของแบบงานในส่วน Production design, R&D หรือ Q/C ในกระบวนการออกแบบและผลิตได้

โซลูชั่น Drawing Detection Box ยังรองรับการใช้งานกับโปรแกรมจัดการเอกสารอย่าง DocuWorks7.3 ที่รองรับการแก้ไข ใส่ข้อความเพิ่มเติม การลงนามอนุมัติ (e-Signature) การส่งต่อให้ผู้ใช้อื่นด้วย Document Tray ที่จะแจ้งเตือนให้ผู้รับงานทราบได้ทันที โซลูชั่นนี้จึงช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“ฟูจิ ซีร็อกซ์ เตรียมจัดจำหน่ายโซลูชั่น Drawing Detection Box ในรูปแบบ solution package ที่มาพร้อมกับเครื่องถ่ายแบบแปลนรุ่น DocuWid 3055 และโปรแกรมจัดการเอกสาร DocuWorks 7.3 โดยเตรียมกำหนดวางจำหน่ายในต้นเดือนมกราคม 2556 เป็นต้นไป” มร.วาตารุ กล่าวตอนท้าย

View :1398

ไอบีเอ็มครองแชมป์ผู้นำตลาดเซิร์ฟเวอร์ในไทย ด้วยยอดรายได้สูงสุดในไตรมาสสามปี 2555

January 2nd, 2013 No comments

ไอบีเอ็มรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจในอาเซียน โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในแง่รายได้ จากผลวิจัยของไอดีซี
ไอบีเอ็มประเทศไทย ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดเซิร์ฟเวอร์ในเมืองไทยในแง่รายได้ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 34% ทิ้งอันดับสอง 13.4 จุด

ความสำเร็จที่ต่อเนื่องของไอบีเอ็มเป็นผลมาจากการความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบ Smarter Computing โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาท้าทายมากมายที่องค์กรต่างๆ กำลังเผชิญอยู่ ตั้งแต่จุดอ่อนด้านความปลอดภัยไปจนถึงการบริหารจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยอาศัยเทคโนโลยีทางด้านโซเชียลและโมบายล์

ไอบีเอ็มรั้งตำแหน่งอันดับหนึ่งในตลาดเมืองไทยในด้านส่วนแบ่งรายได้ในไตรมาสสามของปี 2555 สำหรับเซ็กเมนต์ของตลาดเซิร์ฟเวอร์ดังต่อไปนี้:

➢ ตลาดไฮเอนด์ระดับองค์กรขนาดใหญ่ (เซิร์ฟเวอร์ราคา 250,000 ดอลลาร์ขึ้นไป) ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 79.1%
➢ ตลาดเซิร์ฟเวอร์ RISC/EPIC ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 49.3%
➢ ส่วนแบ่งรายได้สำหรับโรงงานผลิตสำหรับยูนิกซ์เซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ใช่ x86 อยู่ที่ 57%

โจ ดับบลิวซี ชาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ตำแหน่งผู้นำตลาดของเรานับเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ Smarter Computing ซึ่งอาศัยความแข็งแกร่งของไอบีเอ็มในเทคโนโลยีหลักๆ เช่น บิ๊กดาต้า การผนวกรวมระบบวิเคราะห์ข้อมูล การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ และคลาวด์คอมพิวติ้ง และที่ต่างจากคู่แข่งก็คือ ไอบีเอ็มนำเสนอโซลูชั่นที่หลากหลายให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ไปจนถึงโซลูชั่นที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพ และระบบที่ได้รับการอินทิเกรตโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้องค์กรทุกขนาดสามารถแก้ไขปัญหาท้าทายสำคัญๆ ทางด้านธุรกิจ และหวังว่าเราจะยังคงรักษาความเป็นผู้นำไว้ได้อย่างต่อเนื่อง”

นอกจากในประเทศไทยแล้ว ไอบีเอ็มยังรั้งตำแหน่งอันดับหนึ่งในอาเซียน ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 34.2% สำหรับเซ็กเมนต์ของตลาดเซิร์ฟเวอร์ดังต่อไปนี้:

➢ ตลาดไฮเอนด์ระดับองค์กรขนาดใหญ่ (เซิร์ฟเวอร์ราคา 250,000 ดอลลาร์ขึ้นไป) ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 77.7%
➢ ตลาดเซิร์ฟเวอร์ RISC/EPIC ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 54.7%
➢ ส่วนแบ่งรายได้สำหรับยูนิกซ์เซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ใช่ x86 อยู่ที่ 57.8%

ที่มา: รายงานยอดขายเซิร์ฟเวอร์รายในเอเชีย-แปซิฟิกของไอดีซี, ไตรมาสสามของปี 2555

View :1372
Categories: Technology Tags: ,

เดลล์ ซอฟต์แวร์ กรุ๊ป ช่วยตอบโจทย์ ไอที โมบิลิตี้

January 2nd, 2013 No comments

เดลล์ ซอฟต์แวร์ประกาศเปิดตัว K3000 Mobile Management Appliance อุปกรณ์บริหารจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ของ Dell KACE ซึ่งออกมาใหม่ล่าสุดโดยช่วยให้ผู้ดูแลไอทีทั้งหลายสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการนำอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้แพร่หลายภายในองค์กรยิ่งขึ้น ทั้งนี้ K3000 ขยายความสามารถในการจัดการระบบเพื่อบังคับใช้นโยบายด้านความปลอดภัยสำหรับการนำอุปกรณ์เคลื่อนที่ในระบบปฏิบัติการ iOS และแอนดรอยด์ทั้งขององค์กร และของส่วนตัวมาใช้ในเรื่องงาน ซึ่งการรวมระบบจัดการดังกล่าวเข้าไว้ในอุปกรณ์บริหารจัดการโมบาย K1000 Systems Management Appliance ช่วยให้ฝ่ายไอทีมีโซลูชั่นรวมที่ทรงพลัง และง่ายต่อการใช้งานในแง่ของการติดตาม ตรวจสอบ และบริหารจัดการเครื่องเดสก์ท็อป แล็ปท็อป เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และมีประสิทธิภาพ

จากการที่องค์กรตอบรับโอกาสที่เข้ามาพร้อมกับระบบโมบิลิตี้ ทำให้องค์กรเหล่านั้นต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เช่นกัน ไม่ว่าอุปกรณ์นั้นจะเป็นขององค์กร หรือเป็นอุปกรณ์ที่ถูกนำเข้ามาใช้ภายในสภาพแวดล้อมแบบ BYOD การที่อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องจัดการมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีความหลากหลายยิ่งขึ้นทำให้ความซับซ้อนในโครงสร้างพื้นฐานไอทีเพิ่มขึ้นเช่นกัน K3000 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้ฝ่ายไอทีในการตอบโจทย์ความท้าทายในเรื่องของการให้การสนับสนุน และรักษาความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ผ่านระบบการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยทำให้การจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

“การเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนตัวที่ต้องการต่อเชื่อมอุปกรณ์เข้ากับแหล่งข้อมูลขององค์กรสร้างความท้าทายให้กับองค์กรนั้นๆ” ฟิลิป เรดแมน รองประธานบริหารด้านการวิจัยของการ์ทเนอร์กล่าวใน ข่าวประชาสัมพันธ์ ที่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้ “อย่างไรก็ตาม การติดตั้งระบบที่ให้การสนับสนุนอย่างมีแบบแผนและให้การสนับสนุนได้ในหลายระดับ ช่วยให้องค์กรไอทีสามารถป้องกันข้อมูลทางธุรกิจ และบังคับใช้นโยบายเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ และเครือข่ายองค์กรได้มีอย่างประสิทธิภาพ ในขณะที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้อุปกรณ์ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดได้ ทั้งนี้ องค์กรจะพบว่าการนำระบบให้การสนับสนุนอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องยาก หากไม่มีการบริหารจัดการแพลตฟอร์มทั้งหมดตามข้อเรียกร้องจากภายในองค์กร ได้อย่างสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน”

Dell KACE K3000 Management Appliance เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ในสายของระบบจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ของเดลล์ ซึ่งรวมถึง Dell Wyse’s Cloud Client Manager และDell MDM ที่มอบความสามารถให้กับองค์กรในการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ปลายทางทุกประเภทได้อย่างครบถ้วนจากผู้จำหน่ายเพียงรายเดียว ไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อป แทบเล็ต สมาร์ทโฟน และ ธิน ไคล์เอนด์ รวมถึงการนำเสนอบริการจัดการในองค์กรขนาดใหญ่มากขึ้น

“นิยามของการจัดการระบบกำลังเปลี่ยนไป” นายเอกราช ปัญจวีณิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด “ในอดีต ลูกค้าเป็นผู้จัดการการใช้แล็ปท็อป เดสก์ท็อป และเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ลูกค้าจำนวนมากขึ้นต้องการระบบที่ตอบรับการใช้งานดีไวซ์ทุกประเภท รวมทั้ง สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่งความสามารถในการจัดการของ Dell KACE K3000 Mobile Management Appliance ช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับระบบที่ผสานการใช้งานทุกอย่างได้ลงตัว บริหารจัดการได้ง่าย และยังรักษาให้กับทั้งดีไวซ์ที่ใช้ รวมถึง ระบบปฏิบัติการ และอุปกรณ์ปลายทางทุกประเภทที่ใช้ในสภาพแวดล้อมไอทีขององค์กร” ช่วยให้ไอทีสามารถตอบรับเข้าสู่

Dell KACE K3000 Mobile Management Appliance เพิ่มขีดความสามารถการจัดการระบบในการบังคับใช้นโยบายด้านความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่บนระบบปฏิบัติการ iOS และแอนดรอยด์ ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้

· ติดตั้งอย่างปลอดภัยได้ในขั้นตอนเดียว ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้รวมถึงการติดตั้งเอเจนท์ K3000 ไปที่ตัวดีไวซ์ต่างๆ ผ่านสัญญาณเครือข่าย

· สนับสนุนสมาร์ทโฟนส่วนบุคคล และแท็บเล็บที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ Apple iOS 4.5 และ 6 ไอโฟน ไอแพด แอนดรอยด์ 2.2 อุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่ใช้ C2DM และแท็บเล็ต

· มีระบบรักษาความปลอดภัยของดีไวซ์ และระบบบริหารการใช้งานตามนโยบาย ซึ่งมีฟีเจอร์ที่ช่วยปกป้องข้อมูลขององค์กร เช่นการบริหารจัดการโปรไฟล์ การล็อคและปลดล็อคตัวดีไวซ์ รวมถึงการรีเซ็ตการตั้งค่าที่มาจากโรงงาน และการลบข้อมูลองค์กรผ่านสัญญาณเครือข่าย

· มีระบบจัดการแอพพลิเคชั่นที่ใช้ง่ายขึ้น ช่วยให้ใช้แอพพลิเคชั่นขององค์กรได้สะดวกทั้งบนอุปกรณ์ขององค์กร และอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล

· มองเห็นอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมดได้จากแผงควบคุมจุดเดียว ผ่านการผสานระบบงานร่วมกับ Dell KACE K1000 Systems Management Appliance ทั้งนี้ผู้ดูแลระบบไอทีสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ทั้งสองตัว ด้วยการลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว และสามารถมองเห็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ทุกชนิดทั้ง รวมถึงพีซี และเซิร์ฟเวอร์ได้จากแผงควบคุมเพียงจุดเดียว

Dell KACE จะนำเสนอ K3000 Mobile Management Appliance ช่วงต้นปี 2556 ให้กับลูกค้า KACE ในเดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมว่าผู้ดูแลระบบงานสามารถนำระบบจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้ได้อย่างไร เข้าไป ดาวน์โหลด “Enabling Safe and Secure BYOD in the Enterprise with Dell KACE K-Series Management Appliances.” ได้

View :1524

ก.ไอซีที ร่วมมือกับหัวเว่ยฯให้ความรู้ด้าน ICTแก่ประชาชนไทย

January 2nd, 2013 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระหว่างกระทรวงไอซีทีกับบริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด(Huawei Technology) ว่า “การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การสนับสนุนและยกระดับการพัฒนาการเรียนรู้ และการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศไทยซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อ 3.6.1ที่ระบุให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเร่งรัดพัฒนาโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ครอบคลุม ทั่วถึง เพียงพอ มีคุณภาพ ด้วยราคาที่เหมาะสม และการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่สังคมแห่งความรู้ภูมิปัญญา นวัตกรรม และ ความคิดสร้างสรรค์ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบทส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสาร ยกระดับคุณภาพการศึกษา เพิ่มศักยภาพในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล รวมถึงการลดการใช้พลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป และผู้ดูแลศูนย์การเรียนรู้ ชุมชนที่มีกระจายอยู่ทุกภาคของประเทศไทย ในการแสวงหาประสบการณ์โดยตรงจากการปฏิบัติงานในสถานที่จริง ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านICTทัดเทียมกับประเทศภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก

ทั้งนี้ บจ. จะให้การสนับสนุนความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารแก่กระทรวงไอซีที ในหลายมิติด้วยกัน อาทิ จัดการบรรยายทางวิชาการ ฝึกทดลองงาน ฝึกอบรม สัมมนาเชิงปฏิบัติ และกิจกรรมทางวิชาการอื่นเป็นระยะเวลารวมทั้งสิ้น 2,000 ชั่วโมงผ่านสถาบันการศึกษาหรือศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน รวมทั้งการจัดหาผู้บรรยาย เอกสารประกอบการบรรยายและสื่อการเรียนการสอน พร้อมประกาศนียบัตรให้กับนักเรียนที่สำเร็จการฝึกอบรมตามโครงการโดยกระทรวงไอซีทีจะให้ความช่วยเหลือเรื่องการประสานงานรวมถึงจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นให้กับ บจ. ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีระยะเวลาในการดำเนินการทั้งสิ้น 4 ปี

สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ไม่เพียงแต่ยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกันในการที่จะส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงาน ให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของประเทศไทยให้มีทักษะ ความรู้ และความสามารถทางวิชาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่การยกระดับคุณภาพชีวิตอีกด้วยนาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1536

สวทช. ประกาศผล 10 ข่าวดังวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2555

January 2nd, 2013 No comments

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวถึง การจัดอันดับ 10 ข่าวดังวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2555 ว่า เป็นกิจกรรมที่ สวทช./วท. จัดขึ้นมากว่า 19 ปีแล้ว เพื่อสร้างกระแสความนิยมและส่งเสริมความเข้าใจข่าวสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในกลุ่มเยาวชนและสังคมไทย โดยในปีนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป กว่า 3,000 คน ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายร้อยละ 48.1 เพศหญิงร้อยละ 51.9 อายุระหว่าง 20-25 ปี

ผลที่ได้จากการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การรับทราบเกี่ยวกับข่าวสารของประชาชนในรอบปี 2555 ที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและสนใจข่าวสารการเมืองมากกว่าข่าววิทยาศาสตร์ เนื่องจากข่าวการเมืองดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคน อีกทั้งเป็นกระแสสังคม ซึ่งตรงกันข้ามกับข่าววิทยาศาสตร์ที่มีผู้สนใจน้อยกว่า เนื่องจากเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจได้ยาก เป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่มที่จะสนใจ และเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว จึงได้รับความสนใจน้อยกว่าข่าวทั่วไป

อนึ่ง ข่าวที่ประชาคมวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในปีที่ผ่านมาคือ การค้นพบ Higgs boson particle ที่ CERN ซึ่งได้มีการประกาศต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กลับไม่ได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่อย่างใด

ดังนั้น การพัฒนาความสามารถและการสร้าง “นักวิชาชีพ” ด้าน “การสื่อสารวิทยาศาสตร์” เพื่อทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ให้เกิดความรู้สึกว่า วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัว และเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงมีความสำคัญเป็นประการต้นๆ สำหรับการสร้างบุคลากรมาร่วมขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมฐานความรู้และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศต่อไป

โดยผลการสำรวจข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจ 10 อันดับแรก มีดังนี้

อันดับที่ 1 “นาซาใช้ไทยวิจัยโลกร้อน (โครงการวิจัยชั้นบรรยากาศ)”

เนื่องจากชั้นบรรยากาศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีละอองแขวนลอย (Aerosol) ที่มาจากหลายแหล่ง เช่น เกลือทะเล การเผาไหม้ป่า และพื้นที่เกษตร การเผาไหม้น้ำมันและเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ จากละอองดินทราย ซึ่งปริมาณเข้มข้นของละอองเหล่านี้แปรปรวนอย่างมากตามพื้นที่และฤดูกาล ละอองดังกล่าวจะส่งผลต่อทัศนวิสัย เป็นอุปสรรคต่อการคมนาคมทางอากาศและสุขภาพ มีทั้งกลุ่มที่เร่งการก่อตัวของเมฆและฝน เช่น ละอองเกลือ และกลุ่มที่สลายเมฆและลดการเกิดฝน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชนิด ปริมาณ และกระบวนการพัดพาแนวราบและแนวดิ่งจะช่วยการพยากรณ์อากาศโดยเฉพาะการเกิดฝนแม่นยำมากขึ้นนอกจากนี้ ยังทำให้รูปแบบจำลองคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกเนื่องจากสภาวะโลกร้อนในอนาคตมีความเคลื่อนสูง เพราะละอองส่งผลให้ความเข้มของแสงอาทิตย์ที่กระทบพื้นโลกลดลง

โครงการดังกล่าวจะใช้อากาศยานประเภทต่างๆ เก็บข้อมูลชนิด ปริมาณ การพัดพาในบรรยากาศ ผลของละอองต่อการเกิดเมฆและฝนในภูมิภาค โดยเป็นอากาศยานของนาซา 3 ลำ ของหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตร 1 ลำ ซึ่งจะเก็บตัวอย่างอากาศและตรวจวัตถุทางอุตุนิยมวิทยาในชั้นบรรยากาศชั้นบนถึงระดับ 20 กิโลเมตร ซึ่งบอลลูนตรวจสภาพอากาศของไทยไม่สามารถทำได้ และจะมีนักวิจัยไทยจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร กรมอุตุนิยมวิทยา กรมอุทกศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยประโยชน์ต่อประเทศไทยคือ

ได้ข้อมูลเพื่อการปรับแก้สีภาพถ่ายดาวเทียมไทยโชต (ธีออส) และดาวเทียมเชิงแสงอื่นๆ ที่ได้รับการตำหนิว่าสีที่ถ่ายได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความผิดเพี้ยนไม่กลมกลืน ซึ่งความเข้าใจเชิงสถานที่และเวลาเกิดเมฆ จะช่วยให้วางแผนการถ่ายภาพได้แม่นยำมากขึ้น

อันดับที่ 2 การสร้างมูลค่าเปลือกไข่ ผลิตน้ำมันไบโอดีเซล

สวทช. โดยนักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้ศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยาผลิตไบโอดีเซล โดยแปรสภาพเปลือกไข่ มาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เปรียบเทียบกับตัวเร่งปฎิกิริยาแบบของเหลว เช่น โซดาไฟ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งที่ได้จากเปลือกไข่ หรือผลิตภัณฑ์ อีโค-คาทาล (Eco Catal) ทำให้กระบวนการผลิตไบโอ ดีเซลมีขั้นตอนที่สั้นลง อีกทั้งยังได้กลีเซอรีนและไบโอดีเซลที่มีความบริสุทธิ์สูง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการล้างน้ำและไม่ก่อให้เกิดน้ำเสียในกระบวนการผลิตไบโอ ดีเซลแบบทั่วไป ทั้งนี้งานวิจัยดังกล่าวพร้อมส่งต่อองค์ความรู้ให้กับอุตสาหกรรมผลิตไบโอ ดีเซล เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากตัวเร่งปฏิกิริยาจากเปลือกไข่เป็นวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศ โดยไม่ต้องนำเข้าเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปของเหลว งานวิจัยดังกล่าวยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจโรงฟักไข่ไม่ต้องเสียเงินในการ กำจัดเปลือกไข่เหลือทิ้งด้วยการฝังกลบกว่า 60,000 ตัน ต่อปี จึงเป็นผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี

อันดับที่ 3 นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศที่เหยียบดวงจันทร์คนแรกสิ้นชีพ

นีล อัลเดน อาร์มสตรอง (Neil Alden Armstrong) เป็นนักบินอวกาศสหรัฐอเมริกา ผู้เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลก โดยการนำยานอวกาศอพอลโล 11 จอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ มีการถ่ายทอดสดให้ผู้คนทั่วโลกเฝ้าติดตามชมกว่า 500 ล้านคน ยานอพอลโล 11 ถือเป็นเที่ยวบินอวกาศเที่ยวสุดท้ายของอาร์มสตรอง เพราะหนึ่งปีหลังจากนั้น อาร์มสตรอง ผันตัวเองเป็นศาสตราจารย์สอนวิชาวิศวกรรมการบินอวกาศ ในมหาวิทยาลัยซินซินนาติ และใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนใดๆ ทั้งสิ้น
วันที่ 25 ส.ค. 2555 นีล อาร์มสตรองได้เสียชีวิตที่เมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ (Cincinnati, Ohio) ด้วยโรคแทรกซ้อนจากการทำบายพาสเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจอุดตัน ขณะอายุได้ 82 ปี

อันดับที่ 4 เนคเทคเปิดตัวสมองกลเตือนภัยดินโคลนถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ผ่าน SMS

สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นำร่องติดตั้งระบบเตือนภัยสมองกลฝังตัว “Landslide Landing System” ใน 243 หมู่บ้าน 22 อำเภอพื้นที่เสี่ยงน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มใน จ. เชียงใหม่ ซึ่งระบบเตือนภัย ประกอบด้วย สถานีตรวจวัดระยะไกลทำงานด้วยพลังงานจากเซลแสงอาทิตย์ โดยมีอุปกรณ์ที่ติดตั้งกับสถานี คือ เครื่องวัดปริมาณน้ำฝน เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้นอากาศ โดยระบบจะส่งข้อมูลต่างๆ ไปยังเครื่องแม่ข่ายทุก 5 นาที ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลและนำไปสู่การแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายอำเภอ (ทั้งนี้ การส่ง SMS สามารถตั้งได้เป็นนาที หรือชั่วโมง เช่น ฤดูร้อน ไม่มีฝนตกอาจจะตั้งเวลาที่จะส่งข้อมูลให้ห่างขึ้น เพื่อประหยัดพลังงาน) โดยในกรณีสภาพอากาศปิด (ไม่มีแสงแดด) อุปกรณ์จะทำงานได้ต่อเนื่องไปอีก 15-20 วัน

อันดับ 5 nCA น้ำใส หายเหม็น ออกซิเจนสูง

นวัตกรรมแก้ปัญหาน้ำท่วมขังและเน่าเสีย ให้กลายเป็นน้ำดี ด้วยการใช้สารน้ำใส (nCLEAR) ในช่วงมหาอุทกภัย ปี 2554 พัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. โดยสารน้ำใส (nCLEAR) ผลิตขึ้นจากสารสกัดธรรมชาติและผงถ่าน ไม่มีอะลูมิเนียมหรือโลหะหนักผสมอยู่ สามารถจับตะกอนในน้ำได้รวดเร็ว และย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม หลังจากทิ้งให้ตกตะกอน น้ำจะใส ไม่มีกลิ่น และเมื่อต้มฆ่าเชื้อสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ นอกจากนั้น สารน้ำใส (nCLEAR) ยังสามารถใช้ร่วมกับเครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ (nAIR) ทำให้น้ำที่เน่าเสีย ใสสะอาดและมีออกซิเจนมากขึ้น โดย สวทช. ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสารน้ำใส (nCLEAR) แล้วในชื่อ nCA หรือเอ็นค่า กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา

อันดับที่ 6 ข้าวโพดพันธุ์ใหม่ “ข้าวเหนียวข้าวก่ำ”

“ข้าวโพดพันธุ์ ใหม่” “ข้าวเหนียวข้าวก่ำ” หรือ “ข้าวโพดข้าวเหนียว” เป็นข้าวพื้นบ้านทางล้านนา และภาคอีสานของไทย มีคุณสมบัติเฉพาะตัว คือ มีสีม่วงดำทั้งลำต้นและเมล็ด รสชาติ กลิ่นหอม มีทั้งความมัน ความเหนียว สามารถปลูกได้ดีในทุกสภาพ ให้ผลผลิตสูง และอุดมไปด้วยมีสารฟีนอลิกและสารแอนโทไซยานินสูง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมแฟนซี สีม่วง 111 ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่วิจัยและพัฒนาขึ้นโดยฝีมือนักวิจัยของไทย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา โดยเป็นพันธุ์ข้าวโพดสีม่วง นำมาผสมกับสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียว สกัดสายพันธุ์แท้จากคู่ผสมจนได้สายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง และคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมออกมาได้ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซี สีม่วง 111 และพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซี สีขาวม่วง 212 โดยใช้ระยะเวลาในการปรับปรุงพันธุ์ 6-7 ปี

อันดับที่ 7 ใช้แสงซินโครตรอนติดตาม วิเคราะห์ “ติ้วขน-สนสามใบ”สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง

เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประเทศ แม้ปัจจุบันการรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัดจะมีประสิทธิภาพสูงแต่ก็มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา และการดื้อยา จึงได้มีการศึกษาสารสกัดจากพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดการดื้อยา มาใช้เสริมยาเคมีบำบัดที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

จากการศึกษาพืชสมุนไพรหลายชนิด พบว่า สารสกัดจากกิ่งของพืช 2 ชนิด คือ ติ้วขนและสนสามใบ ให้สารออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยมีศักยภาพทำให้เซลล์มะเร็งค่อยๆ สลายตัวจากการทำลายตัวเองจากภายใน หรือเรียกว่า การตั้งโปรแกรมทำลายตัวเอง (Apoptosis) ซึ่งกระบวนการนี้ เป็นผลดีอย่างมากต่อการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากมีเพียงเซลล์มะเร็งเท่านั้นที่ตายลงไป ไม่มีผลต่อการทำลายเซลล์ปกติที่อยู่ข้างเคียง ร่างกายจึงไม่เกิดการอักเสบขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงต่อการใช้ยา และเพื่อให้ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่แท้จริงของพืชสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ คณะผู้วิจัย ซึ่งประกอบด้วย ภญ.รศ.ดร.นาถธิดา วีระปรียากูร อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ รศ.ดร.สหพัฒน์ บรัศว์รักษ์ อาจารย์ประจำคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ น.ส.ศศิภาวรรณ มาชะนา นักศึกษาปริญญาเอกภายใต้โครงการเครือข่ายเชิงกลยุทธ์เพื่อการผลิตและพัฒนาอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา จากมหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมกับ ดร.วราภรณ์ ตัณฑนุช และ ดร.กาญจนา ธรรมนู นักวิจัยจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ใช้เทคนิคจุลทรรศน์อินฟราเรด จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เพื่อตรวจวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในเชิงลึกที่เกิดขึ้นภายในเซลล์มะเร็ง ซึ่งสารสกัดสมุนไพร ทั้ง 2 ชนิดนี้ ทำให้เซลล์มะเร็งตายและมีกลไกการออกฤทธิ์ของพืชทั้งสองชนิด แตกต่างจากการรักษาโดยใช้ยาเมลฟาเลนหรือยาเคมีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

การใช้แสงซินโครตรอน ถือเป็นเทคนิคใหม่ในการวิจัยที่จะต้องวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงสารชีวโมเลกุลระดับเซลล์ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ จะนำไปสู่การนำพืชสมุนไพรไปใช้ประโยชน์จริงในอนาคต และจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการศึกษาและพัฒนาหาสารออกฤทธิ์ต้านมะเร็งจากพืชสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ต่อไป ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการทำงานวิจัยเชิงบูรณาการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดูแลสุขภาพ ของประชาชนชาวไทย และยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์พืชดั้งเดิมอีกด้วย

อันดับที่ 8 ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านดวงอาทิตย์

ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ (Transit of Venus) เป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา โดยที่ดาวศุกร์จะเคลื่อนที่ผ่านแนวเส้นตรงที่เชื่อมระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์ และโลก เรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกัน เมื่อสังเกตจากโลกจะเห็นดาวศุกร์ปรากฏเป็นจุดกลมเล็กเคลื่อนที่ผ่านดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่พิเศษและหาชมได้ยาก เนื่องจากจะเกิดขึ้นเพียง 4 ครั้งในรอบ 243 ปี โดยมีรอบการเกิดปรากฏการณ์เป็นคู่ แต่ละคู่จะห่างกัน 121.5 (+/- 8) ปี (และแต่ละครั้งใน 1 คู่นั้นจะเกิดห่างกัน 8 ปี) หากครั้งแรกของคู่แรกเกิดห่างจากครั้งแรกของคู่หลัง 129.5 ปี ครั้งแรกของคู่หลังจากห่างจากครั้งแรกของรอบถัดไป 113.5 ปี ซึ่งการสังเกตการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ยังเป็นการศึกษาวิจัยทางดาราศาสตร์ที่ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์อย่างแม่นยำ ซึ่งจะเห็นได้จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีการกล่าวถึงการสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ดังกล่าวมานานนับหลายศตวรรษ ในวันที่ 6 มิถุนายน 2555 จะเป็นอีกวาระหนึ่งที่คนไทยจะได้เห็นปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์เหนือฟ้าเมืองไทย ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผู้ที่มีชีวิต ณ ปัจจุบันจะมีโอกาสได้เห็น เนื่องจากปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2660 หรืออีกกว่าหนึ่งศตวรรษ

อันดับที่ 9 ซูปเปอร์มูน ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบ 6 ปี

วันที่ 6 พฤษภาคม 2555 เวลาประมาณ 03:34 น. (เวลาในประเทศไทย 10:34 น.) ดวงจันทร์ได้โคจรมาเข้าใกล้โลกที่สุดในรอบปีที่ระยะห่าง 356,953 กิโลเมตร และเนื่องจากเป็นวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงพอดี ผู้คนบนโลกจึงสามารถมองเห็นดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ประมาณ 2-3%
ซูเปอร์มูน เป็นปรากฏการณ์จันทร์เพ็ญ หรือจันทร์ดับซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเข้าใกล้โลกของดวงจันทร์ ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์แตกต่างกันไปแต่ละเดือนอยู่ระหว่าง 354,000 และ 410,000 กิโลเมตร เนื่องจากวงโคจรรูปวงรีของดวงจันทร์ และปรากฏการณ์ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เฉพาะดวงจันทร์เข้ามาใกล้โลกพอดีกับวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้ามาใกล้ที่สุดในรอบปีอีกด้วย โดยระยะห่างของการเข้าใกล้ของดวงจันทร์ จะมีความแตกต่างกันราวร้อยละ 3 ทั้งนี้เป็นเพราะวงโคจรของดวงจันทร์ไม่ได้เป็นวงกลมอย่างสมบูรณ์ ผลจากการที่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้น ทำให้ทิศทางของแรงกระทำต่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น น้ำลง แต่จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลก เช่น เหตุแผ่นดินไหวรุนแรง หรือกระแสน้ำที่ไหลอย่างผิดปกติ โดยกระแสน้ำทะเลซึ่งปกติมีการขึ้นและลง ในช่วงหลังเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสน้ำจะมีแรงเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เท่านั้น

อันดับที่ 10 นาซาค้นพบ “กรวด”ร่องรอยการกัดเซาะของธารน้ำบนดาวอังคาร

นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา เปิดการแถลงข่าวที่ห้องปฏิบัติการวิจัยการขับเคลื่อนยานอวกาศ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่ายานคิวริออซิตีที่ลงจอดบนดาวอังคารตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2555 ได้ค้นพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า บนดาวอังคารเคยมีธารน้ำมาก่อน โดยขนาดและรูปร่างของกรวดที่ถูกธารน้ำกัดเซาะนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นธารน้ำลึกและกระแสน้ำเชี่ยว โดยภาพและข้อมูลที่ได้มาจากยานสำรวจคิวริออสซิตี้ สะท้อนให้เห็นว่าครั้งหนึ่งดาวอังคารที่แห้งแล้ง เคยมีสภาพอากาศอบอุ่นและมีความชื้นมากกว่าปัจจุบัน ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังมีความพยายามในการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของหินกรวดมนที่ค้นพบ เนื่องจากจะช่วยเปิดเผยลักษณะเฉพาะของน้ำที่เคยมีอยู่บนดาวอังคาร ซึ่งจะเป็นสภาพสิ่งแวดล้อมในช่วงเวลาที่น้ำอยู่บนดาวอังคาร เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแหล่งน้ำบนดาวอังคารให้มากขึ้นกว่านี้ ซึ่งจะทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคารหรือไม่

View :1840

ดีแทครายงานยอดส่งความสุขปี 2556 ดาต้าฮิตโตกว่า 200% ตามกระแสสมาร์ทโฟนบูมรับ 3G

January 2nd, 2013 No comments

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เปิดเผยว่าสถิติการส่งความสุขในช่วงเคาท์ดาวน์และอวยพรปีใหม่ 2556 ของลูกค้าดีแทคฮิตส่งผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กมากเป็นประวัติการณ์ตามกระแสสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตบูมในช่วงปีที่ผ่านมา โดยยอดการใช้งานดาต้าของลูกค้าดีแทคผ่านเครือข่าย 3Gเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 200% โดยนิยมอวยพรปีใหม่ผ่าน Facebook, Twitter, Google+, Instagram, EyeEm, LINE และ WhatsApp เป็นต้น โดยมีพฤติกรรมการใช้งานหนาแน่นสูงสุดในช่วงเวลาประมาณ 22.00-22.15 น. เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ของเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยมียอดสูงสุด ณ ช่วงเวลาหนึ่งสูงสุดถึง 1.3 ล้านราย (concurrent users) ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น และวัยเริ่มต้นทำงาน

“สำหรับการอวยพรผ่าน MMS ในปีนี้มียอดประมาณ 8 แสนข้อความ โดยเติบโตกว่าปีก่อนเล็กน้อยซึ่งพฤติกรรมการใช้งานได้ปรับเปลี่ยนสู่ยุค 3G ที่นิยมส่งผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต่างๆ สำหรับ SMS มียอดอวยพรในช่วงนี้ประมาณ 40 ล้านข้อความ โดยมีการใช้งานหนาแน่นสูงสุดในช่วงเวลาประมาณ 00.00-01.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2556 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ม.ค. 2556 เวลา 8.00 น.) โดยทิศทางผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนในยุค 3G จะเริ่มปรับพฤติกรรมการส่งอวยพรปีใหม่ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กมากกว่า ซึ่งปรับตัวเป็นไปตามทิศทางของผู้ใช้งานทั่วโลกที่ใช้ SMS บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และนอกจากนั้นผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนจากดีแทคยังมีการใช้งานแพ็กเก็จที่คุ้มค่าอยู่แล้ว” นายปกรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เมื่อ 25 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา มียอดการใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมียอดการใช้งานเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% และ MMS เพิ่มขึ้นกว่า 4.5% หรือกว่า 2 แสนข้อความ สำหรับยอดการส่ง SMSยังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย หรือมียอดกว่า 10 ล้านข้อความ

ดีแทคได้อัพเกรดยกระดับโครงข่ายทั่วประเทศทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยเพื่อรองรับการใช้งานต่างๆ โดยสัญญาณใหม่ (new network) ของดีแทคได้เป็นพื้นฐานของโครงสร้างโครงข่ายที่สำคัญที่พร้อมจะอัพเกรดสู่เทคโนโลยีการสื่อสารแห่งอนาคตในรูปแบบอื่นๆ ได้ทันที โดยคุณภาพของสัญญาณใหม่ที่ดีแทคลงทุนได้ครอบคลุมทั่วพื้นที่โดยเป็น 2G กว่า 10,000 สถานีฐาน และเป็น 3G อีกกว่า 5,000 สถานีฐานทั่วประเทศอีกด้วย.

View :1481

ทรูมูฟ เอช เผยยอดการใช้ดาต้าช่วงเทศกาลปีใหม่ พุ่งสูงขึ้นกว่า 300% ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม ส่งความสุขผ่านแชตแอพพลิเคชั่นและสังคมออนไลน์

January 2nd, 2013 No comments

ทรูมูฟ เอช เผยคนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมส่งความสุขปีใหม่ ช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2555 – 1 มกราคม 2556 ลูกค้านิยมอวยพรถึงกันผ่านแชตแอพพลิเคชั่น และสังคมออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ยอดการใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 300% และการส่งความสุขด้วยข้อความสั้นผ่านโทรศัพท์มือถือ (SMS) มีการใช้งานน้อยลง แต่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ส่วน MMS มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 100%

ดร.อโณทัย รัตนกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ ธุรกิจโมบายล์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ประชาชนยังคงนิยมส่งความสุขและคำอวยพรให้กันผ่านมือถือ และจากการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟน รวมทั้งการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านแอร์การ์ด และสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ที่ง่ายขึ้น ผนวกกับบริการ 3G+ ที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วไทย ทำให้การส่งความสุขและอวยพรผ่านโซเซียลเน็ตเวิร์ค และแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตและมือถือเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งข้อความผ่านแชตแอพพลิเคชั่น อาทิ LINE, Whatsapp ที่สามารถส่งข้อความอวยพรหากลุ่มเพื่อนได้หลายๆ คนในเวลาเดียวกัน และส่งได้ทั้งข้อความ รูปภาพ สติ๊กเกอร์ เสียง และวิดีโอ รวมถึงบริการสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ค และ อินสตาแกรม ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคครั้งสำคัญ ตอบรับความต้องการใช้งาน 3G ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยในระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2555 – 1 มกราคม 2556 ยอดการใช้งานดาต้าพุ่งสูงขึ้นกว่า 300% เมื่อเทียบกับช่วงปีใหม่ของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ใกล้เคียงกับปริมาณการใช้งานในวันปกติตลอดทั้งปี เนื่องจากลูกค้าทรูมูฟ เอช เป็นผู้ที่นิยมใช้งานดาต้าอยู่ประจำอยู่แล้ว ทั้งนี้ การส่งความสุขด้วย SMS มีการใช้งานน้อยลง แต่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ส่วน MMS มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 100%”

View :1445