Archive

Archive for May, 2013

แสนสิริตอบสนองชีวิตแบบคอนเวอร์เจนซ์ ร่วมมือพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาต่อยอดนวัตกรรมใหม่ “โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น”

May 21st, 2013 No comments

เพื่อบริการแบบไร้รอยต่อแก่ลูกบ้านแสนสิรินำร่อง 11 โครงการแรก เริ่ม 22 พ.ค นี้

แสนสิริ ไม่หยุดนิ่งในการเป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดสานต่อการพัฒนาแอพพลิเคชั่นร่วมกับบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มอบบริการแบบไร้รอยต่อสู่ลูกบ้านแสนสิริตอบรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิตัล เพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นโดยเปิดตัว “โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น”นวัตกรรมใหม่ที่สามารถให้บริการ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ รองรับการใช้งานถึง4 ช่องทาง นำร่อง11 โครงการโดยพร้อมเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค 2556นี้

นายอุทัย อุทัยแสงสุขรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานในการสร้างสรรค์โครงการคอนโดมิเนียม ทำให้แสนสิริเข้าใจถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัยในโครงการเป็นอย่างดี ซึ่งก่อนหน้านี้ แสนสิริได้นำเสนอบริการ “Excellent Service” ที่โครงการ ควอทโทร บาย แสนสิริ (ทองหล่อ ซอย4)เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมาแล้วโดยใช้งานได้ด้วยหน้าจอระบบสัมผัสที่มีเพียงจุดเดียวในโครงการ ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของแสนสิริในการมอบความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านประกอบกับคำมั่นที่ยืนยันว่าจะพัฒนาและนำการบริการดังกล่าวไปใช้ให้สอดคล้องกับโครงการอื่นๆมากขึ้นจากจุดเริ่มต้นดังกล่าว แสนสิริจึงร่วมมือกับบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาระบบ “โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น” เพื่ออำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของลูกบ้านของเราได้อย่างรวดเร็วทันใจขึ้น และครอบคลุมความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้จริงทั้งยังสอดคล้องกับการใช้ชีวิตในยุคดิจิตัล โดยจะนำมาใช้ในโครงการนำร่องถึง 11 โครงการโดยแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเรื่องการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยการลดขั้นตอนการแจ้งเตือนต่างๆ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วผ่านระบบออนไลน์ และยังมั่นใจได้ว่าข้อมูลต่างๆ จะได้รับการดำเนินการ และสามารถตรวจสอบได้ซึ่งแสนสิริจัดเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทยที่มีการพัฒนาซอฟแวร์แอพพลิเคชั่นเพื่อการบริการลูกค้า

“โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น”นับเป็นช่องทางพิเศษเพื่อให้ลูกบ้านและนิติบุคคลของแต่ละโครงการได้ใช้งานบริการต่างๆทางระบบออนไลน์ ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบอย่างง่ายดายผ่านระบบปฏิบัติการที่หลากหลายถึง 4 ช่องทาง ได้แก่iOS, Android, Website และ จอ Touch Screen ที่มีประจำอยู่ในทุกโครงการ ซึ่งสามารถใช้งานได้ถึง 3 ภาษา ได้แก่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดแก่ลูกบ้าน โดยไม่ต้องตรวจสอบกล่องจดหมาย ป้ายประกาศหรือเช็คอีเมล์อีกต่อไปทั้งยังสามารถล็อคอินเข้าสู่ระบบโครงการที่ท่านเป็นเจ้าของได้มากกว่าหนึ่งโครงการผ่านระบบเพียงระบบเดียวอีกด้วย” นายอุทัย กล่าว

นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติรองกรรมการผู้จัดการอาวุโสบริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเสริมว่า การที่พลัส เข้ามาร่วมพัฒนาระบบ“โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น”นี้นับว่าเป็นการสร้างความต่าง และสร้างมาตรฐานการให้บริการที่สมบูรณ์แบบ ให้เข้าถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัยทั้งไทย และต่างชาติในไทย โดยเป็นการยกระดับด้านบริการสู่ความเป็นเลิศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จนเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจที่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ในระดับสากลในเมืองไทยได้อย่างทุกวันนี้“โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น” ชูจุดเด่นในด้านมาตรฐานการบริการที่เท่าเทียมกันและมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ดังนั้น ลูกบ้านจึงสามารถมั่นใจได้ว่า ทุกคำร้องเรียนหรือคำติชม จะได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่นิติบุคคลจนถึงระดับผู้บริหารระดับสูงของแสนสิริตามลำดับขั้น พร้อมการแจ้งเตือนว่าการดำเนินการอยู่ในระหว่างขั้นตอนใด นอกจากนี้ “โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชั่น”ยังมีความน่าสนใจในความเป็น Eco-Friendly Orientedเนื่องจากเป็นการลดการใช้กระดาษ (Paperless) และทรัพยากรให้น้อยที่สุด ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อการใช้งานเพียงปลายนิ้วสัมผัส อาทิ Personal Message – ส่งข้อความส่วนตัวแก่นิติบุคคลพร้อมการรับการตอบกลับได้อย่างรวดเร็ว, Delivery – บริการแจ้งเตือนจดหมายและพัสดุเข้าโดยไม่ต้องมาติดต่อเอง, Finance – บริการแจ้งยอดชำระค่าบริการรายเดือนรูปแบบต่างๆ, Homecare – แจ้งเรื่องร้องเรียนถึงงานซ่อมแซม พร้อมรองรับการถ่ายภาพเพื่อแนบไฟล์ภาพประกอบคำอธิบายได้อย่างรวดเร็วฉับไว, Phone Directory – ระบบสมุดรายชื่อโทรศัพท์ของนิติบุคคล แผนกแม่บ้านและหน่วยรักษาความปลอดภัยและ Suggestion Box – ระบบกล่องรับความคิดเห็น เป็นต้น

ทั้งนี้ โครงการนำร่องทั้ง 11 โครงการของแสนสิริ ประกอบด้วย คีนน์ บายแสนสิริ, ซีล บาย แสนสิริ, วายน์ บาย แสนสิริ, ไพน์ บาย แสนสิริ, ทีล สาทร – ตากสิน , เวีย โบทานิ, เวีย31, เวีย49, เดอะเบส สุขุมวิท77 และโครงการในหัวหิน ได้แก่ โครงการบ้านแสนคราม และเชโลน่าเขาเต่าเป็นต้นโดยแสนสิริ และพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาซอฟแวร์แอพพลิเคชั่นต่อไปให้ดียิ่งขึ้นโดยคาดว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบแจ้งเตือน(Push Notification) และ การโต้ตอบแบบ Real time ให้มีการตอบสนองแบบ Interactive เพื่อสร้างความสะดวกสบายและตอบรับทุกไลฟ์สไตล์เหนือระดับของลูกบ้านแสนสิริอย่างต่อเนื่อง

View :1173
Categories: Application Tags:

ดีแทคประกาศความสำเร็จ ยอดผู้ใช้ดีเซอร์เพลงออนไลน์ได้รับความนิยมสูงสุด พร้อมเปิดตัว dtac Deezer4Artists ในประเทศไทย

May 21st, 2013 No comments

RAT_0238
· ยอดผู้ใช้บริการดีแทค ดีเซอร์พุ่งสูงมากกว่า 300,000 รายและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 1 ล้านรายในสิ้นปี พ.ศ.2556
· ทำการเปิดตัว Deezer4Artists (D4A) ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อทลายกำแพงกั้นระหว่างศิลปินไทยและแฟนเพลงทั่วโลก

21 พฤษภาคม พ.ศ.2556 – ดีแทคฉลองความสำเร็จในการทำธุรกิจร่วมกับดีเซอร์ จากแอพพลิเคชั่นให้บริการเพลงออนไลน์ชั้นนำของโลก ด้วยยอดผู้ใช้บริการดีแทค ดีเซอร์ที่พุ่งสูงมากกว่า 300,000 รายและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 1 ล้านรายในสิ้นปี พ.ศ.2556พร้อมเปิดตัว dtac Deezer4Artists (D4A) แพลตฟอร์มอัจฉริยะล่าสุดที่ช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าศิลปินและแฟนเพลงทั่วโลกให้ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม การประกาศในวันนี้แสดงให้เห็นความพยายามอย่างต่อเนื่องของดีแทคและดีเซอร์ในการคืนอิสระและสร้างคุณค่าแก่วงการเพลงรวมไปถึงช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและแฟนเพลงให้แน่นเฟ้นมากยิ่งขึ้น

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า“วันนี้ ดีแทค ดีเซอร์ ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นแอพฟังเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีจำนวนฐานลูกค้ามากว่า 3 แสนราย มีจำนวนรายชื่อเพลงที่ถูกฟังมากกว่า 5 แสนเพลง พร้อมยอดการใช้งานฟังเพลงไปแล้วมากกว่า 8 ล้านครั้งและก้าวต่อไปของเราคือการประกาศความพร้อมที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ขยายให้ลูกค้าดีแทคพรีเพดได้สนุกสนานเพลิดเพลินกับ 20 ล้านเพลงจาก ดีแทค ดีเซอร์ในราคาสุดคุ้มเร็วๆนี้ซึ่งการพัฒนา คอนเทนต์ของ dtac DEEZER ในครั้งนี้นับเป็นการต่อยอดวิสัยทัศน์ของดีแทคในการก้าวสู่มิติใหม่ “TriNet 3 โครงข่ายอัจฉริยะ” หนึ่งเดียวของไทยที่มีคลื่นความถี่มากที่สุด บนแบนด์วิธที่กว้างที่สุด พร้อมมุ่งสู่ธุรกิจโมบายอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบ ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่พร้อมลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายที่มีศักยภาพเต็มที่ อุปกรณ์สื่อสารที่หลากหลาย การใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลกในการพัฒนาเครือข่าย ความพร้อมในการให้บริการด้านคอนเทนต์อย่างครบวงจร ให้ลูกค้าสามารถฟังเพลงได้ไม่จำกัดกว่า 20 ล้านเพลงจากทั่วทุกมุมโลกได้ทุกที่ ทุกเวลาอย่างราบรื่นยิ่งกว่าบนเครือข่าย dtacTriNet”

นายนัดดา บุรณศิริ กรรมการผู้จัดการบริษัทวอร์นเนอร์มิวสิค (ประเทศไทย) กล่าวว่า“วอร์นเนอร์มิวสิคและค่ายเพลงพันธมิตรเห็นว่านี่เป็นโอกาสในการสร้างรายได้สำหรับวงการอุตสาหกรรมดนตรีซึ่งแฟนเพลงสามารถสนับสนุนศิลปินคนโปรดของพวกเขาได้โดยตรงด้วยการฟังเพลงจากดีเซอร์และนำไปแชร์ต่อให้กับครอบครัวเพื่อนฝูงรวมไปถึงคนรู้จักซึ่งถ้าดีเซอร์ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ก็จะเป็นกำลังสำคัญสำหรับวงการเพลงไทยในอนาคตอันใกล้ได้อย่างแน่นอน”

นายวัลลภ เลิศมงคล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส (ดิจิตอล) บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อก่อนค่ายเพลงมีข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์แบบชัดๆ น้อยมาก ส่วนใหญ่ที่ได้มามักจะเป็นข้อมูลกว้างๆ สิ่งที่ทำได้ก็คือใช้วิธีประเมินเทรนด์ของเพลงหรือศิลปินนั้นๆ เอาเองจากที่ต่างๆ เช่น รายการวิทยุ เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เทรนด์ที่แท้จริงๆ แต่ฟังก์ชั่น Deezer4Artists ที่เพิ่มเข้ามานั้นทำให้เราเห็นความเคลื่อนไหว เห็นอุปสงค์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในหลายมิติ เช่น จำนวนการฟังเพลงเห็นหน้าตากลุ่มลูกค้าว่าเขาคือใครรู้ว่าฐานของลูกค้าจริงๆ อยู่ที่ไหนทำให้เราสามารถวิเคราะห์ กำหนดกลยุทธ์การตลาดได้อย่างแม่นยำและเข้าถึงฐานแฟนเพลงจริงๆ ของแต่ละศิลปินได้มากยิ่งขึ้น”

มร. เอเซล ดูเช่ซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีเซอร์ กล่าวเสริมว่า “นี่คือช่วงเวลาสำคัญสำหรับแฟนเพลงและศิลปินเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ปราการขวางกั้นการค้นหาและเข้าถึงเพลงทั้งหมดได้ถูกทลายลงอย่างสิ้นเชิง โดยเราช่วยให้แฟนเพลงทั่วโลกสามารถเข้าสู่จักรวาลที่เติมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน สัมผัสเพลงแนวใหม่พร้อมยกระดับสุนทรียภาพในการฟังเพลงของพวกเขาและในขณะเดียวกัน เรายังใช้เครื่องมืออันยอดเยี่ยมทำหน้าที่สนับสนุนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเหล่าศิลปินและแฟนเพลง รวมไปถึงการวิเคราะห์เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าปัจจัยใดเป็นเหตุให้พวกเขาตกหลุมรักเพลงนั้นๆ ซึ่งในปัจจุบัน เครื่องมือดังกล่าวสามารถสร้างหรือทำลายศิลปินได้เลยทีเดียว”

D4A: โปรแกรมแบบองค์รวมที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและแฟนเพลง
D4Aประกอบด้วย 4 ฟีเจอร์หลักซึ่งนำเสนอตัวช่วยเพื่อให้ศิลปินและค่ายเพลงมีความเข้าใจในแฟนเพลงอย่างแท้จริงมอบความสามารถในการจัดการพื้นที่หน้าเพจบนดีเซอร์แก่ศิลปินและค่ายเพลงพร้อมอำนวยความสะดวกแฟนเพลงในการค้นหาติดตามรวมไปถึงเพลิดเพลินไปกับเพลงพิเศษของศิลปินคนโปรดได้อีกด้วย

ตัวช่วยวิเคราะห์ข้อมูลดีเซอร์: ศิลปินและค่ายเพลงจะสามารถเข้าถึงการประมวลผลข้อมูลซึ่งมาจากการตามติดความเคลื่อนไหวเพลงของพวกเขาไปทั่วโลกได้แบบเรียลไทม์เครื่องมือนี้ยังจัดหาข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคแก่ศิลปินและค่ายเพลงทำให้พวกเขามีความเข้าใจในกลุ่มผู้ฟังรวมถึงรู้ว่าเพลงใดกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้นอกจากนั้นดีเซอร์ยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ทุกคนด้วยดีเซอร์เวอร์ชั่นย่อที่มีความคล้ายคลึงกันกับหัวข้อแนวโน้ม(Trending topics)บนโซเชียลมีเดียยอดนิยมอย่าง Twitter เพื่อให้คนทั่วโลกได้รับรู้ว่าศิลปินใดกำลังเป็นที่จับตามองและช่วยแฟนเพลงค้นพบพร้อมติดตามความเคลื่อนไหวของเหล่าศิลปินใหม่

ผู้จัดการแอคเคาท์อัจฉริยะ: ศิลปิน ค่ายเพลงและผู้ให้บริการเพลงในรูปแบบดิจิตอล จะได้รับแอคเคาท์ที่ผ่านการรับรองแล้วจากดีเซอร์โดยแอคเคาท์ดังกล่าวจะปรากฏให้เห็นบนดีเซอร์เพื่อให้แฟนเพลงสามารถติดตาม มีปฏิสัมพันธ์และรับชมเพลย์ลิสต์ ข่าวสาร กิจกรรมคอนเสิร์ตรวมไปถึงพฤติกรรมการฟังเพลงของพวกเขาได้

เพจดีเซอร์: เครื่องมือที่ได้รับการออกแบบมาให้เพจศิลปินบนดีเซอร์สามารถปรับแต่งได้ โดยศิลปินที่มีแอคเคาท์ดีเซอร์สามารถอัพโหลดรูปภาพ อัพเดทสถานะและบริหารจัดการหน้าของตนเองอย่างอิสระ อีกทั้งพวกเขายังสามารถเชื่อมเพจดังกล่าวไปยังแอคเคาท์ใน Facebook และ Twitter ได้อีกด้วย

ตัวช่วยอัพโหลดดีเซอร์: ช่วยให้ศิลปินสามารถอัพโหลดไฟล์เสียงได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเสียงสัมภาษณ์ถาม-ตอบ หรือแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับอัลบั้มและเพลงตัวอย่างของศิลปิน ทำให้เขาใกล้ชิดเหล่าแฟนเพลงยิ่งขึ้นพร้อมอำนวยความสะดวกให้พวกเขาสามารถแชร์ข้อมูลข่าวสารพิเศษต่างๆได้มากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

มร. เอเซล กล่าวปิดท้าย“คุณค่าระยะยาวของเพลงต้องอาศัยความร่วมมือในการเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเหล่าศิลปินและแฟนเพลง โดยเรายินดีที่จะใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน”

View :1225
Categories: Application Tags:

ติ๊กเก้อ จับมือพันธมิตรต่อยอดความสนุก แชร์ “ตราติ๊กเก้อ” ลุ้นรับเสื้อยืดสุดแนว

May 21st, 2013 No comments

Print

ติ๊กเก้อ สนุกสุดๆ จนหยุดไม่อยู่ ฉลองยอดดาวน์โหลดทะลุ 3 ล้านครั้ง จัดแคมเปญชวนผู้ใช้แชร์รูปพร้อม “ตราติ๊กเก้อ” ประโยคโดนๆ ใหม่ล่าสุดบนโลกโซเชียล ลุ้นรับเสื้อยืดแนวๆ 500 ตัวฟรี ร่วมเป็นสมาชิกครอบครัวติ๊กเก้อ

นางสาวณัชฌารีย์ ณัฐณิชาพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด บริษัท แอปโซลูท เพลย์ จำกัด ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสุดแนว “ติ๊กเก้อ” เปิดเผยว่า หลังจากที่แอพพลิเคชั่นติ๊กเก้อเปิดให้ดาวน์โหลดตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 3 ล้านครั้ง ถือเป็นแอพพลิเคชั่นของคนไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงผ่านมา ซึ่งที่ผ่านมาติ๊กเก้อยังคงอัพเดทประโยคเด็ดๆ โดนๆ เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการฉลองก้าวแรกความสำเร็จของติ๊กเก้อ จึงได้จัดแคมเปญเพื่อต่อยอดความสนุกแบบไม่รู้จบ โดยได้จับมือกับพันธมิตรแบรนด์ต่างๆ ที่มาร่วมสร้างสีสันให้กับผู้ใช้ได้คลิกและแชร์ประโยคใหม่ๆ ภายใต้กรุ๊ป “ตราติ๊กเก้อ” อาทิ อยุธยา อลิอันซ์, ยาโยอิ, เอ็มเค, เอสซีบี ธนาคารไทยพาณิชย์, เพย์สบาย, ภูเรือ มิวสิค เฟสติวัล เวชพงศ์โอสถ และ เบนโล (เช็ครายชื่อพันธมิตรด้วยจ้า มีอีกเพิ่มได้นะ) ให้ผู้ใช้เลือกประโยคจากกรุ๊ป “ตราติ๊กเก้อ” และแชร์พร้อมรูปภาพขึ้นบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook, Instagram เป็นต้น ลุ้นรับเสื้อยืดสุดแนว โดยแคมเปญดังกล่าว จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. เป็นต้นไป

“ติ๊กเก้อเกิดจากแนวคิดว่าอยากให้คนใช้ได้สนุกกับการใช้แอพพลิเคชั่นง่ายๆ ตอนนี้มีผู้ใช้ประมาณ 3 ล้านราย ติ๊กเก้อจึงคิดเกมให้ทุกคนได้สนุกร่วมกันแบบไม่ต้องคิดมาก แค่มาแชร์รูปพร้อมประโยคโดนใจเหล่านี้ขึ้นบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ติดตามกติกาได้ที่ Facebook Fanpage ของติ๊กเก้อ ลุ้นรับเสื้อยืด ใส่แล้วมาร่วมเป็นครอบครัวติ๊กเก้อด้วยกัน” นายยุคลอาจ กล่าว

สำหรับพันธมิตรที่ร่วมกับติ๊กเก้อสร้างสรรค์แคมเปญครั้งนี้ จะได้สร้างความใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น สร้างการจดจำในสินค้าที่มาพร้อมกับความสนุกสนาน ซึ่งด้วยฐานลูกค้าหลักล้านรายของติ๊กเก้อ เชื่อว่าจะช่วยในด้านการสื่อสารภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์พันธมิตรได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ติ๊กเก้อ ยังเตรียมแคมเปญอีกมากไว้ให้ผู้ใช้ได้ร่วมเล่นอย่างต่อเนื่อง โดยต่อไปเตรียมพบกันในงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป ที่จะจัดช่วงปลายเดือน พ.ค. นี้!!

View :1714
Categories: Press/Release Tags:

รัฐบาลฮ่องกงปฏิรูปการบริการสาธารณะ โดยเลือกใช้โซลูชั่น SAS® Visual Analytics ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน

May 21st, 2013 No comments

Hong Kong-big-data-spiral
กรุงเทพฯ ( 20 พฤษภาคม 2556) – หน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพแห่งฮ่องกง (Hong Kong Efficiency Unit) ได้แนะนำเทคโนโลยีและแนวทางด้านธุรกิจใหม่ เพื่อช่วยหน่วยงานภาครัฐของฮ่องกงสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น โดยขณะนี้หน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพฯได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานด้วยการเลือกใช้ SAS® Visual Analytics เพื่อให้ได้มุมมองของข้อมูลเชิงลึกและตรงตามเป้าหมายของหน่วยงานสำหรับการพัฒนาหน่วยงานท้องถิ่นทั่วภูมิภาคให้สามารถจัดเตรียมบริการแก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
โครงการนี้ช่วยให้หน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพฯสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของประชาชนในรูปแบบกราฟิก การพัฒนาของข้อมูลในเชิงลึก และการค้นพบโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมเพื่อช่วยในการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรของตนได้

“การปรับใช้ซอฟต์แวร์จากแซสถือเป็นแนวทางใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก รวมถึงการนำข้อมูลจากการวิเคราะห์มาปฏิรูปบริการสาธารณะของภาครัฐ ซึ่งช่วยสร้างความพึงพอใจในการให้บริการแก่ประชาชน และนี่คือสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นภายในหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพฯ” นายไว่-ฝุ่ง ยุก ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพแห่งฮ่องกง กล่าว และเพิ่มเติมว่า “ซอฟต์แวร์แซสช่วยให้เราสามารถตรวจสอบข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับการร้องเรียนจากประชาชนและสร้างมุมมองเชิงลึกอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งสิ่งสำคัญอยู่ที่ระยะเวลาในการทำความเข้าใจข้อมูลที่มีอยู่ ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะมีปริมาณมากน้อยเพียงใดก็ตาม”
นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับอาวุโสของหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพฯ ยังสามารถดูแผนภูมิและกราฟที่สร้างขึ้นจากข้อมูลทั้งหมด ผ่านทางคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป หรืออุปกรณ์มือถือสมาร์ทโฟนได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “SAS Visual Analytics ถือเป็นโซลูชั่นที่มีนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีของฟังก์ชั่นด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง โดยได้รับการยอมรับสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาลจากหลายองค์กร และยังใช้ระยะเวลาไม่นานในการวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็นส่วนสนับสนุนองค์กรต่างๆในการพัฒนาตนเอง อีกทั้งช่วยในการปรับกระบวนการและวิธีการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์กร และประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับองค์กร สำหรับในประเทศไทยมีหลายองค์กรที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาองค์กรและการแข่งขันด้านธุรกิจ จึงนำโซลูชั่น SAS Visual Analytics เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อช่วยปรับและวางแผนกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรด้วยเช่นกัน”

เกี่ยวกับ SAS® VISUAL ANALYTICS

SAS Visual Analytics เป็นโซลูชั่นแบบ In-Memory ที่สามารถสำรวจข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ใช้สามารถกำหนดรูปแบบ ระบุโอกาสสำหรับการวิเคราะห์เพิ่มเติม และนำเสนอผลลัพธ์ในรูปแบบกราฟิกผ่านการรายงานทางเว็บไซต์หรือ iPad และแท็บเล็ต Android

ทั้งนี้ SAS Visual Analytics สามารถอ่านข้อมูลในหน่วยความจำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นนำไปสู่การประมวลผลและการแสดงผลข้อมูลที่รวดเร็ว โดยผู้ใช้สามารถสำรวจข้อมูลทั้งหมด ดำเนินการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลนับพันล้านแถวได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือวินาที และนำเสนอผลลัพธ์ในรูปแบบกราฟิก ตลอดจนสามารถระบุรูปแบบ แนวโน้ม และความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นภายในข้อมูลได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีการนำเสนอในรูปแบบกราฟิกตามมา

สำหรับวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณสามารถรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของ SAS Visual Analytics คือการทดลองใช้งานเองโดยตรง โดยแซสได้สร้างระบบออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าวที่ SAS Visual Analytics demo เว็บไซต์ http://www.sas.com/apps/sim/redirect.jsp?detail=SIM105309_4175

View :1589
Categories: Software Tags:

โพลีคอมแต่งตั้ง แบรด เกรย์ เป็นผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

May 21st, 2013 No comments
แบรด เกรย์

แบรด เกรย์

สิงคโปร์ – 20 พฤษภาคม 2556: โพลีคอม อิงค์ (Nasdaq: PLCM) ผู้นำระดับโลกในด้านระบบสื่อสารและการทำงานร่วมกันแบบครบวงจร (Unified Communications and Collaboration – UC&C) บนมาตรฐานเปิด ประกาศแต่งตั้ง แบรด เกรย์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีหน้าที่บริหารจัดการธุรกิจและผลักดันยอดขายในภูมิภาคนี้ รวมไปถึงการพัฒนาธุรกิจในตลาดใหม่ๆ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย

ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 22 ปีในธุรกิจไอที โทรคมนาคม และเครือข่ายองค์กร เกรย์จะมุ่งเน้นการขยายฐานคู่ค้าและพันธมิตรของโพลีคอมสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงการเสริมสร้างสัมพันธภาพกับผู้ให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโซลูชั่นแบบโฮสต์ เกรย์มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านการพัฒนาธุรกิจ การบริหารงานคู่ค้าสัมพันธ์และกลยุทธ์สำหรับบริษัทข้ามชาติ ก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมงานกับโพลีคอม เกรย์ได้ใช้เวลากว่า 11 ปีในการดำรงตำแหน่งผู้บริหารของ Juniper Networks ในเอเชีย-แปซิฟิก โดยเขาได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางด้านคู่ค้าสำหรับบริษัทฯ และขยายรายได้ให้เติบโตจนแตะระดับ 200 ล้านดอลลาร์ต่อปีสำหรับภูมิภาคนี้ นอกจากนี้เขายังเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารหลายตำแหน่งของ Bay Networks และ 3Com ในอินโดนีเซียอีกด้วย

“ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสใหม่ๆ มากมายสำหรับการขยายธุรกิจของโพลีคอม” ไมเคิล แอลป์ ประธานประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของโพลีคอมกล่าว “ผมรู้สึกดีใจอย่างมากที่แบรดเข้าร่วมคณะผู้บริหารที่แข็งแกร่งของเราในเอเชีย ด้วยความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับภูมิภาคนี้รวมถึงความเชี่ยวชาญในการเสริมสร้างศักยภาพแก่คู่ค้า ผมมั่นใจว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการจัดการโอกาสและความท้าทายที่โดดเด่นในตลาดที่เต็มไปด้วยความหลากหลายนี้”

เกรย์มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเพราะเขาเคยอาศัยและทำงานอยู่ในหลายๆ ประเทศในเอเชีย รวมถึงอินโดนีเซียและสิงคโปร์ และเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ การจัดทำแผนงานความร่วมมือสำคัญๆ และการบริหารทีมงานฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด และฝ่ายช่องทางจัดจำหน่ายซึ่งทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด

“ผมรู้สึกดีใจอย่างมากที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานของโพลีคอมและมีโอกาสที่จะนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชั่นที่เหนือชั้นให้แก่ตลาด เราจะประสานงานร่วมกับเครือข่ายคู่ค้าและพันธมิตรจำนวนมากเพื่อผลักดันการปรับใช้ระบบวิดีโอเพื่อการทำงานร่วมกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น โดยเราจะกระชับความสัมพันธ์กับคู่ค้าและพันธมิตรที่มีอยู่ ควบคู่ไปกับการขยายฐานความร่วมมืออย่างแข็งแกร่ง” เกรย์กล่าว

View :1163
Categories: Press/Release Tags:

อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเตือนผู้ให้บริการ๓จี มาตรฐานความเร็วในการส่งข้อมูลต้องไม่ต่ำกว่า ๓๔๕ เค

May 21st, 2013 No comments

อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เผย บริษัทยังทำผิดเงื่อนไขใบอนุญาต เหตุเพราะโปรโมชั่น กำหนดค่าเอฟยูพี ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ใน ประกาศ กสทช. คือต้องไม่ต่ำกว่า ๓๔๕ กิโลบิตต่อวินาที หลังพบ แจ้งมาตรฐานความเร็วขั้นต่ำที่ผู้บริโภคได้รับตกลงเหลือเพียง๖๔ กิโลบิตต่อวินาทีเท่านั้น พร้อมหนุน กสทช. เร่งรัดบริษัทลดค่าบริการให้ได้ร้อยละ ๑๕

(๒๐ พ.ค.๕๖) ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการหารือกันเกี่ยวกับบริการ ๓จี ในหลายประเด็น ซึ่งที่ประชุมได้มีมติสนับสนุนการดำเนินการของ กสทช กรณีเร่งรัดเพื่อให้เกิดการลดค่าบริการ ๓ จีลงร้อยละ ๑๕ ให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ยังพบว่าผู้ให้บริการยังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ ๓ ในประเด็นคุณภาพการให้บริการและการคุ้มครองผู้ใช้บริการ ซึ่งระบุว่า ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีการควบคุมคุณภาพบริการให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมาคมประเภทข้อมูลสำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบุว่า ความเร็วเฉลี่ยในการส่งข้อมูลของบริการ ๓จี ต้องไม่ต่ำกว่า ๓๔๕ กิโลบิตต่อวินาที
“จากข้อมูลโปรโมชั่นของผู้ให้บริการพบว่า อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำกว่าที่กำหนดตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทข้อมูลสำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ คือความเร็วในการดาวน์โหลดต้องไม่ต่ำกว่า ๓๔๕ กิโลบิตต่อวินาที และความเร็วในการอัปโหลดต้องไม่ต่ำกว่า ๑๕๓ กิโลบิตต่อวินาที แต่จากรายการส่งเสริมการขายใหม่เพื่อให้บริการ๓จี พบว่าได้กำหนดอัตรารับรองในการรับส่งข้อมูลขั้นต่ำนั้นต่ำลงกว่าเมื่อครั้งเป็นบริการ ๒G คือ อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลขั้นต่ำเหลือเพียง ๖๔,๑๒๘และ ๒๕๖ กิโลบิตต่อวินาที เท่านั้น” อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกล่าว

ดร.เดือนเด่นกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังเห็นว่า ควรมีการกำหนดมินิมัมแพ็คเกจ ที่เป็นมาตรฐานไว้และหากพบว่ามีการใช้บริการเกินกว่ามิติมัมแพ็คเกจ ก็ควรมีการแจ้งเตือนกันผู้ใช้บริการ เพื่อป้องกันปัญหาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ผู้ให้บริการควรมีการแจ้งเตือนเรื่องค่าใช้จ่ายการใช้บริการ เช่นในต่างประเทศ หากการใช้บริการของผู้ใช้บริการมีการเปลี่ยนแปลงไปแบบผันผวนเช่น ใช้มากกว่าปกติไป ๒ ถึง ๓ เท่าตัว จะต้องแจ้งผู้ใช้บริการทราบ เพื่อเป็นกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคแบบอัตโนมัติ ซึ่งสำหรับประเทศไทยพบว่า มีบางบริษัทที่โทรสอบถามลูกค้าหากมีการใช้บริการที่มากผิดปกติ ซึ่งควรทำให้เป็นมาตรฐานเป็นการทั่วไป “ ดร.เดือนเด่นกล่าว

นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้บริโภคที่ใช้บริการ ๓จีประสบปัญหาโดยรวมคือ กรณีโปรโมชั่นเดิม หรือลูกค้ารายเดิมที่เคยใช้บริการ๓จีภายใต้โครงข่าย ๒จี นั้นพบว่า มีการลดค่าบริการให้จริง แต่บริษัทมิได้แจ้งรายละเอียดสิทธิประโยชน์ให้ผู้ใช้บริการทราบ เช่น ลดค่าบริการให้ลูกค้าจาก ๖๙๙ บาทเหลือ ๔๙๙ บาท แต่ไม่แจ้งสิทธิประโยชน์ให้ทราบ ,ลดค่าบริการให้จริงแต่ก็ลดสิทธิประโยชน์ลงด้วย เช่น เคยใช้บริการเสียงได้ ๔๐๐ นาทีถูกลดเหลือ ๓๐๐ นาที , หรือยังไม่ดำเนินการลดค่าบริการให้กับผู้ใช้บริการเลย

รวมถึงการไม่โอนย้ายเงินคงเหลือในระบบให้ใน กรณีการโอนย้ายบริการจาก ๒ จีไป๓จี ของผู้ใช้บริการระบบเติมเงิน หรือกรณีการโอนย้ายเครือข่ายแล้วไม่สามารถใช้บริการไม่ได้ เมื่อผู้ใช้บริการต้องการโอนย้ายไปผู้ให้บริการรายใหม่ แต่บริษัทไม่ดำเนินการให้โดยอ้างว่าต้องอยู่กับผู้ให้บริการรายเดิม ๙๐ วัน ซึ่งประกาศ กสทช. ไม่เคยกำหนดให้ผู้ใช้บริการต้องกับอยู่ผู้ให้บริการรายเดิม ๙๐ วัน แต่ผู้ใช้บริการสามารถโอนย้ายเครือข่ายเมื่อใดก็ได้ ,ปัญหาความครอบคลุมของพื้นที่ให้บริการ เช่นมีการประชาสัมพันธ์ แต่ไม่มีการให้บริการในพื้นที่นั้น เป็นต้น

View :1174
Categories: 3G Tags:

ดีแทคชูวิสัยทัศน์ “Internet for all” ยกระดับเข้าถึงโมบายล์อินเตอร์เน็ตด้วย TriNet ทุกพื้นที่ทั่วไทย พร้อมทดสอบสัญญาณการใช้งาน 77 จังหวัดสร้างความมั่นใจ ประเดิมอีสานภาคแรก

May 21st, 2013 No comments

dtac77_2783rz_77

ดีแทคพร้อมลุยโครงการ 77/77 อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล โรด ทริป (77/77 Internet For All Road Trip) หลังเปิดตัว TriNet สามโครงข่ายอัจฉริยะหนึ่งเดียวในไทย พร้อมผลักดันความเท่าเทียมในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทุกพื้นที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วประเทศ สร้างมิติใหม่ใช้ภาคโทรคมนาคมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ ลุยประเดิมไดร์ฟเทสต์อีสานภาคแรกทดสอบสัญญาณเพื่อสร้างความมั่นใจ เชื่อการใช้งานอีสานยังเติบโตได้อีกมาก

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าโครงการ 77/77 ดีแทค อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล โรด ทริป (77/77 Internet For All Road Trip) เป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของ “Internet for all” ที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของดีแทคที่ต้องการให้คนไทยทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ภายใน 3 ปี เพื่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและโอกาสต่าง ๆ ที่เท่าเทียมกัน และส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในที่สุดด้วยการครอบคลุมของสัญญาณคุณภาพ TriNet จากดีแทคที่เป็นโครงข่ายอัจฉริยะหนึ่งเดียวของไทยที่มีคลื่นความถี่มากที่สุด บนแบนด์วิธที่กว้างที่สุด

“การใช้งานอินเทอร์เน็ตในภาคอีสานยังสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะที่ผ่านมาประสบปัญหาการเข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแบบเดิมที่มาตามสาย ทำให้มีอุปสรรคในการเข้าถึงของแต่ละพื้นที่ แต่ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 3G จะทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างเท่าเทียมและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ถ้าเทียบกับทุกภาคแล้วอัตราการเข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile penetration rate) ของภาคอีสานยังต่ำกว่าภาคอื่นคือ 64.12% ของจำนวนประชากรในภูมิภาค ในขณะที่กรุงเทพมีอัตราการเข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สูงสุดอยู่ที่ 84% ของประชากรในภูมิภาค นอกจากนั้น ภาคอีสานยังมีอัตราการเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีสื่อสารและมีการใช้งานเพียง 21.5% ต่ำกว่ากรุงเทพซึ่งสูงถึง 44.4% ของจำนวนประชากรในภูมิภาค แนวโน้มที่น่าสนใจคือภาคอีสานกลับมีอัตราการเติบโตการใช้ดาต้าสูงสุดกว่าทุกภูมิภาคในประเทศไทย คือ จาก 8% เป็น 13% ภายใน 6 เดือน” นายจอนกล่าว
dtac77_3156
ภาคอีสานมีประชากรมากที่สุดคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ หรือคิดเป็นจำนวนประชากรประมาณกว่า 23 ล้านคน ดีแทคจึงให้ความสำคัญแก่ภาคอีสานไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย โดยเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงข่ายการใช้งานครอบคลุมทั้ง 850 MHz, 1800MHz และ 2100 MHz ซึ่งก็คือโครงข่ายอัจฉริยะ TriNet นั่นเอง และเร็วๆ นี้ดีแทคจะเปิดตัวมือถือโออีเอ็มที่ผลิตขึ้นมาสำหรับดีแทคโดยเฉพาะเพื่อรองรับการใช้งานทั้ง 3 โครงข่ายในเครื่องเดียวทั้งแบบฟีเจอร์โฟน และสมาร์ทโฟนมาทำตลาดในราคาที่คุ้มค่าสำหรับลูกค้าดีแทค ทั้งนี้ ดีแทคยังมีแนวคิด More Choice เกิดจากกลยุทธ์การมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้า Customer Centricity ด้วยการศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างจริงจังเพื่อนำมาสร้างสรรค์แพ็กเกจบริการ และผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมระดับราคาที่มีความเหมาะสม คุ้มค่าที่สุด เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าสามารถเลือกจับคู่แพ็กเกจการใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้ตามการใช้งานจริงด้วยตัวเองอย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ดีแทคยังได้ปรับเปลี่ยนศูนย์บริการดีแทคและลงทุนครั้งใหญ่เป็นการลงทุนกว่า 150 ล้านบาทในภาคอีสาน โดยนำความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมาเป็นโจทย์ในการออกแบบบริการต่างๆ ตามแนวคิด Customer Centricity แนวคิดใหม่ที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายดีแทคได้จัดรูปแบบร้านเป็น 3 รูปแบบคือ ดีแทคฮอลล์ ดีแทคเซ็นเตอร์ และดีแทคเอ็กซ์เพรส เพื่อตอบสนองการขายและบริการแบบครบวงจร (Sales & Service Integration) ซึ่งมีมุมที่ลูกค้าจะได้ทดลองใช้งานและเลือกซื้อสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ต่าง ๆ มีบริการแนะนำการใช้งานเครื่องและเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสม

ผลการศึกษาระบุว่าการเพิ่มขึ้นของบริการ 3G จะส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อระดับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ โดยตรง และการเพิ่มขึ้นทุก 10% ของการใช้งานจาก 2G เป็น 3G จะทำให้รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี (GDP per captita) สูงขึ้นประมาณ 0.15% และจะช่วยเร่งกระตุ้นภาคเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ Internet for All ดีแทคกำลังผลักดันหลายโครงการให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมกับสังคมไทย อาทิ โครงการ Best Start ซึ่งสืบเนื่องมาจากผลการศึกษา ที่พบว่า ในแต่ละปี มีเด็กทารกแรกเกิดกว่า 5 หมื่นคนไม่ได้จดทะเบียนเกิด นำมาซึ่งปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการเข้ารับการรักษา ทำให้ไม่ได้รับการรักษาและดูแลสุขภาพและการพัฒนาการทางร่างกายอย่างเหมาะสม รวมไปถึง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เข้ารับการดูแลฝากครรภ์กับแพทย์ ดีแทคจึงได้ร่วมมือกับกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ UNICEF เปิดการบริการ Mother and Child Information Service Center ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับแม่และเด็ก เพื่อการพัฒนาอนาคตของชาติที่ยั่งยืน และทางด่วนข้อมูลการเกษตร ที่เปิดช่องทางให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทางด้านการเกษตรและการทำตลาดผ่านโครงข่ายมือถือดีแทค

ทั้งนี้ โครงการ 77/77 อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล โรด ทริป (77/77 Internet For All Road Trip) ดีแทคยังได้นำทีมทดสอบสัญญาณไดร์ฟเทสต์ (drive test) ไปทุกจังหวัดทั่วไทย ซึ่งเริ่มที่ภาคอีสานเป็นภาคแรก และยังมีภาคอื่นๆ ตามมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการนี้จะตอกย้ำความสำเร็จจากการเปิดตัว TriNet จากดีแทค หรือ โครงข่ายอัจฉริยะที่รวมคลื่น 1800 เมกะเฮิร์ตซ์ คลื่น 850 เมกะเฮิร์ตซ์ และคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ เข้าไว้ด้วยกัน และเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมหนึ่งเดียวของไทยที่มีคลื่นความถี่มากที่สุด บนแบนด์วิธที่กว้างที่สุด เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจโมบายอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบอีกด้วย

View :1970
Categories: 3G Tags:

เอกสารข่าว”กรณีเว็บสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีถูกแฮก และมีการหมิ่นนายกรัฐมนตรี”

May 9th, 2013 No comments

ปัญหาการแฮกเว็บ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี. เกิดขึ้นจากการทำ SQL Injection ด้วยการเข้าไปกรอกข้อมูล และเปลี่ยนข้อมูลในเว็บ และมีการใช้วิธีการอำพรางตัว เพื่อไม่ให้รู้ได้ว่าผู้ทำผิดเป็นใคร

ดังนั้น การรู้ตัวผู้กระทำความผิด จะต้องมาจากการรวบรวมพยานหลักฐานดิจิทัล และกระบวนการสืบสวนสอบสวน ซึ่งขณะนี้ ก็ได้เบาะแสแล้ว แต่คงไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เพราะอาจส่งผลต่อรูปคดี

โดยในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ได้มีการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยการเอา log หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ ที่ทำให้ทราบว่า รูปแบบ (pattern) ของการกระทำความผิดเกิดได้อย่างไร และจากที่ไหนเป็นหลัก โดยการทำงานเกิดจากความร่วมมือของทีมสำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทีมไทยเซิร์ต สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเน้นการรวบรวมและวิเคราะห์พยานหลักฐานดิจิทัล ส่วนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เน้นการสืบสวนสอบสวน สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)เป็นหน่วยงานเพิ่งตั้ง 2 ปี ดูแล ThaiCERT ภายหลังจากทราบว่า มีการกระทำความผิดเมื่อวันที่ 8 ช่วงบ่าย ก็มีการวางแผนการดำเนินการ รวบรวมและวิเคราะห์พยานหลักฐานเบื้องต้น ใช้เวลาประมาณ 12 ชม. เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำ image หรือทำสำเนาของพยานหลักฐานมาใช้ในการวิเคราะห์ เพราะข้อมูลมีเป็นจำนวนมาก แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามกระบวนการพิสูจน์พยานหลักฐานดิจิทัล เพื่อไม่ให้พยานหลักฐานนั้นปนเปื้อนและถูกโต้แย้งเรื่องความน่าเชื่อถือ ซึ่งการจับกุมนั้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการเร็วๆ นี้ แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีลักษณะอาญา การเข้าดำเนินการจับกุมต้องทำด้วยความรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิของผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหา หรือจับแพะ โดยความผิดนั้น เข้าข่ายความผิดอยู่ ๒ ส่วน (ทั้งนี้ แล้วแต่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานสอบสวนจะตั้งข้อกล่าวหาตามพยานหลักฐาน) คือ 1) ความผิดตามกฎหมายการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (4 มาตรา) อยากทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนว่า การกระทำความผิดนั้น เป็นการเข้าไปยังเว็บของรัฐที่เป็นบริการสาธารณะ หากมีผู้หนึ่งผู้ใดทำเช่นนั้น ย่อมหมายความว่า อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการให้บริการของรัฐทางออนไลน์ ก็อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดหลายมาตราด้วยกัน ตั้งแต่ การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นๆ โดยมิชอบที่เขามีมาตรการป้องกันเอาไว้ (มาตรา 5 และมาตรา 7 กฎหมายการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์) และการเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ (มาตรา 9) และเนื่องจากเว็บสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นเว็บที่ถือเป็นบริการสาธารณะของรัฐ ก็อาจเข้าข่ายเป็นความผิดที่อาจได้รับโทษหนักขึ้น (มาตรา 12 (2) โทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี) 2) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา (1 มาตรา) (มาตรา 328 ปอ.) ในกรณีที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรี

สาเหตุที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องนี้เป็นการกระทำที่อุกอาจเพราะใช้วิธีการทำความผิดผ่านเว็บของรัฐ ซึ่งมีผลกระทบที่สำคัญมาก ต่อความน่าเชื่อถือของระบบของรัฐ ที่อาจมีใครพยายามกระทำความผิดต่อเว็บอื่นอีก โดยนโยบายของรัฐบาลทุกประเทศที่มุ่งไปในทางเดียวกัน คือ ส่งเสริมให้ประชาชนทำธุรกรรมทางออนไลน์ ย่อมได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล นอกจากนี้ หากพิจารณากรณีของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศ แต่ฝ่ายจัดการไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศไปด้วย สำหรับการแก้ไขปัญหาเว็บไซต์หมิ่นสถาบันนั้น กระผมเองมั่นใจว่าทุกรัฐบาลให้ความสำคัญ แต่การให้ข่าวหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการนั้น อาจแตกต่างกัน บางรัฐบาลก็ให้ข่าว เหมือนเป็น KPI แต่ในปัจจุบันนี้ กระทรวงฯ ได้ให้หลายทีมช่วยกันวิเคราะห์กลไกของการแก้ไขปัญหา พบว่า การแก้ไขปัญหาโดยไม่ไปกระตุ้นให้คนทั่วไปสนใจอยากรู้อยากเห็น น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เพราะหากปล่อยให้การประชาสัมพันธ์ไปสร้างแรงจูงใจและแรงกระตุ้นให้กับผู้ที่ไม่อยากเกี่ยวข้อง เข้าไปเกี่ยวข้อง ความบอบช้ำและผลกระทบก็จะยิ่งมากตามไปด้วย จึงเสนอว่าไม่ควรนำทั้ง 2 กรณี ไปเปรียบเทียบกันพร้อมกันนี้ ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ กฎหมายการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (CC) ร่างปรับปรุงเสร็จแล้ว ได้รับฟังความเห็นไปแล้ว 3 ครั้ง ไม่รวมการรับฟังในลักษณะ focus group อีกหลายครั้ง ขณะนี้ เหลือเพียงขั้นตอนนำเสนอเข้าครม. (ภายใน 2 เดือน) โดยระหว่างนี้ ก็จะมีการนำเสนอร่างต่อสาธารณชนเป็นระยะๆ เพราะกว่าร่างจะผ่านสภานั้น คงใช้เวลาอีกพอสมควร อาจมีเทคโนโลยีและรูปแบบการกระทำความผิดที่จำเป็นต้องรับฟัง หรือ update ให้ทันสมัยตลอดเวลาแนวทางการดำเนินการ Security ของประเทศนั้น นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ด้วยการตั้งคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติขึ้นมา เพื่อให้บูรณาการการดำเนินการเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ โดยจะมีการผลักดันกรอบนโยบายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์, มีการแบ่งขอบเขตการทำงานที่ครอบคลุม 6 ด้าน ได้แก่ ด้านกลาโหม (เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายหรือวินาศกรรม), Incidents Response, Law Enforcement, Capacity Building, Public Awareness, R&D โดยมีสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)เป็นฝ่ายเลขานุการ และมีทางศูนย์รักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ กระทรวงกลาโหม และส่วนงานกำกับดูแลการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ อีกทั้งแนวทางการเสนอแนะในการดำเนินการเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ได้มีข้อเสนอแนะทั้งในระยะเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งโดยการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความตระหนักถึงภัยที่จะเกิดขึ้น การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อทำการ scanning ตรวจสอบช่องโหว่ ในลักษณะเป็น Security Clearance Day โดยให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการตามมาตรการที่ไทยเซิร์ต สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พร้อมให้คำแนะนำและเสนอแนะมาตรการดำเนินการทางปฏิบัติ

เพื่อประโยชน์ต่อการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และระยะยาว ให้มีการกำหนดมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของเว็บไซต์ และมาตรการการตรวจประเมินระบบเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง การพัฒนาทักษะด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับผู้ดูแลระบบเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อบูรณาการทำงานของหน่วยงานภาครัฐในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยผ่านการผลักดันของคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการด้าน Security ที่เป็นระบบ และควรผลักดันให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยที่คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการระดับชาติอีกชุดหนึ่งที่ได้ผลักดันมาตรการทางด้านความมั่นคงปลอดภัยออกมาบังคับใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหน่วยงานภาครัฐให้มีความจริงจังมากยิ่งขึ้น

View :1340

คนไทยแห่ใช้โซเชี่ยลมีเดียเติบโตสูงสุด 163% อินสตาร์แกรมเติบโตอันดับหนึ่ง

May 9th, 2013 No comments

คนไทยแห่ใช้โซเชี่ยลมีเดียเติบโตสูงสุด 163% อินสตาร์แกรมเติบโตอันดับหนึ่ง พบคนไทยถ่ายรูปอัพโหลดสูงสุดปีละ 70 ล้านภาพ ยูทูป (Youtube) เติบโตอันดับสอง คนไทยอัพโหลดวีดีโอเข้ายูทูปสูงถึง 5.3 ล้านวีดีโอ ส่วนเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์เติบโตต่อเนื่อง และผู้หญิงใช้โซเชี่ยลมีเดียมากว่าผู้ชาย สุวรรณภูมิเป็นสถานที่มีคนเช็กอินมากที่สุดในไทย มือถือกลายเป็นช่องทางหลักของการเข้าถึงโซเชี่ยลมีเดียของคนไทย การเติบโตของ 3G เป็นตัวพลักดันโซเชี่ยลมีเดียเติบโต โดยข้อมูลจากงาน Thailand Zocial Award 2013

Zocial
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซเชี่ยลอิงค์ ผู้จัดงาน Thailand Zocial Award 2013 งานมอบรางวัลให้กับ คน แบรนด์และบริษัทที่การใช้การโซเชี่ยลมีเดียสูงสุดประจำปี เผยถึงข้อมูลเชิงลึกของการใช้โซเชี่ยลมีเดียของคนไทย ภาพรวมมีการเติบโตขึั้นสูงสุด 163% เมื่อเทียบจากปีก่อน คนไทยนิยมใช้ อินสตาร์แกรมเพิ่มสูงสุดถึง โดยมีภาพถ่ายจากคนไทยสูงถึง 70 ล้านภาพต่อปี โดยภาพถ่ายที่มีคนกดไลค์มากที่สุด ได้แก่ภาพของ บอย ปกรณ์ (@boy_pakorn) และยูทูป เว็บไซต์วีดีโอที่คนไทยนิยม มีคนไทยอัพโหลดวีดีโอเข้าไปมากกว่า 5.3 ล้านคลิป โดยมีการอัพโหลดสูงถึง 2,500 คลิปต่อวันเลยทีเดียว

ในงานมีการมอบรางวัลให้กับคน แบรนด์และบริษัทที่ใช้โซเชี่ยลมีเดีย โดย ค่ายหนัง จีทีเอช ได้รับรางวัลแบรนด์สุดยอดโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ และคุณตัน อิชิตัน ได้รับรางวัลนักธุรกิจยอดเยี่ยมบนโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ รางวัลเฟซบุ้คเพจที่มีคนกดไลค์สูงสุดในประเทศไทย และดารานักแสดงหญิงยอดนิยมทางโซเชี่ยลมีเดียได้แก่ ชมภู อารียา ส่วนฝ่ายชายได้แก่ มาริโอ้ เมาเรอร์ ทางด้านศิลปินเดี่ยวยอดเยี่ยมบนโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ได้แก่ นิชคุณ และศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยมได้แก่ วงบอดี้แสลม นอกจากนี้ยังมี รางวัลสุดยอดนักข่าวชายได้แก่ กิตติ สิงห์หาปัตย์ และสุดยอดนักข่าวหญิง ได้แก่ ซี ฉัตรปวี และรางวัลเน็ตไอดอลหญิงยอดเยี่ยม คือ น้องเนย รักษ์โลก เน็ตไอดอลชายยอดเยี่ยมคือ ปลื้ม VRZO สุดท้ายรางวัลรายการอินเทอร์เน็ตทีวียอดเยี่ยม คือ VRZO โดยข้อมูลนี้สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.ZocialRank.com/award

โดยงานนี้จัดเป็นครั้งแรกของประเทศไทยโดย โซเชี่ยลอิงค์ร่วมมือกับ เอ็นบีซี และโชว์โนลิมิต เป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัว กับการใช้โซเชี่ยลมีเดียในประเทศ และเป็นการมอบรางวัลให้กับ บุคคลรวมถึงองค์กรที่มีการใช้โซเชี่ยลมีเดียอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารกสิกรไทย ไทยแอร์เอเซีย เมเจอร์ซินิเพล็กซ์ สนุกดอทคอม โนเกีย ไฮเนเก้น

ข้อมูลเพิ่มเติม www.ZocialRank.com/award

View :1588
Categories: Social Media/ Social Network Tags:

เอฟดีเค จัดตั้งบริษัทสาขาในไทย ตั้งเป้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

May 8th, 2013 No comments

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 3 พฤษภาคม 2556 – เอฟดีเค (FDK) บริษัทในเครือของฟูจิตสึ กรุ๊ป และผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่ระดับโลก เปิดเผยแผนการขยายธุรกิจ ด้วยการจัดตั้งสำนักงานสาขาที่กรุงเทพฯ

สำนักงานสาขาแห่งใหม่นี้เริ่มเปิดดำเนินงานเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2556 โดยจะทำหน้าที่กระตุ้นยอดขายในตลาดใหม่ๆ เช่น เวียดนาม เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา

นายมิชิมาซา โมชิซูกิ ประธานบริษัทเอฟดีเค คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเมื่อปีที่แล้ว ยอดขายของบริษัทเติบโต 10-15% ด้วยเหตุนี้ จึงตัดสินใจที่จะจัดตั้งบริษัทสาขาในประเทศไทย เพราะไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพสูงสุดในภูมิภาคนี้ เนื่องจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง เราคาดหมายว่าตลาดและยอดขายในส่วนนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นโอกาสที่ดีสำหรับ AEC ซึ่งจะเริ่มต้นในปี 2558 โดยจะส่งผลดีต่อธุรกิจของเราในภูมิภาคนี้”

นายมาซากิ มิอุระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟดีเค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ภารกิจแรกสำหรับสำนักงานสาขาในประเทศไทยก็คือ การขยายสำนักงานขายและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายการตลาด เพื่อผลักดันยอดขายในภูมิภาคนี้ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เมื่อปี 2555 บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น “PremiumG” ซึ่งเป็นแบตเตอรี่อัลคาไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่อัลคาไลน์รุ่นอื่นๆ ของฟูจิตสึ, “แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ของฟูจิตสึ” ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่มีการคายประจุไฟต่ำ และ “แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนของฟูจิตสึ” สำหรับการชาร์จสมาร์ทโฟนอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรายังจัดหาระบบสตอเรจที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยมีการใช้เทคโนโลยีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องของเอฟดีเค ทั้งในส่วนของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์”

เอฟดีเคจะจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำคัญๆ เช่น แบตเตอรี่แห้ง, แบตเตอรี่ลิเธียม, แบตเตอรี่ Ni-MH, ลิเธียมไอออน คาปาซิเตอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านทางตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย

“ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทนำเสนอแก่ลูกค้าทั่วโลกสอดรับกับแนวคิดหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. มุมมองที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นหลัก, 2. แนวทางการผลิตแบบ “Monozukuri” ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ รวมถึงการปรับปรุงระบบและกระบวนการผลิต และ 3. การสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า โดยอาศัยเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดจากแบตเตอรี่อีกด้วย”นายมิอุระ กล่าวทิ้งท้าย

View :1092
Categories: Press/Release Tags: