Archive

Archive for August, 2013

“JMART” เชื่อ Q3/56 ดีต่อ ทั้งปีรายได้-กำไรโต40% แจงเตรียมนำ JAS ASSET บ.ลูกเข้า mai ไตรมาส 3 ปีหน้า

August 19th, 2013 No comments

มั่นใจแนวโน้มผลงาน Q3/56 สุดแจ่ม จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับผลบวกจากเทคโนโลยี 3G ดันยอดขาย Smart phone และ Tablet เพิ่มขึ้น “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” แม่ทัพใหญ่บริษัทฯ มั่นใจ
ผลงานทั้งปีไม่ทำให้ผิดหวัง ตั้งเป้าหมายรายได้ – กำไรปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 40% และเตรียมนำ JAS ASSET บริษัทลูกเข้าตลาด mai ไตรมาส 3 ปีหน้า เสริมทัพ JMART ให้แข็งแกร่งขึ้นมากในอนาคต ทั้งนี้ ผลงาน Q2/56 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 95.40 ลบ. จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 68.91ลบ. คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 38.44 % แถมบอร์ดบริษัทฯใจดีจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.31 บ./หุ้น กำหนดจ่ายวันที่ 6 ก.ย.นี้

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท


นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ดำเนินธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่า และธุรกิจติดตามหนี้สินและซื้อหนี้ ในนามบริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2556 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมาและงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เร่งทำการตลาดและวางเป้าหมายที่จะเปลี่ยนระบบ 2G มาเป็น 3G ในปีนี้นั้น จะเป็นโอกาสสำคัญที่สนับสนุนให้บริษัทฯ มียอดขาย Smart phone และ Tablet เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ เข้าไปเปิดสาขาในประเทศพม่าแล้ว 3 สาขา และมีเป้าหมายจะเปิดสาขาเพิ่มเป็น 20 สาขาภายในปีนี้ และ 90 สาขาภายใน 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้นำในธุรกิจจำหน่าย
มือถือและอุปกรณ์สื่อสารที่ประเทศพม่าในอนาคต และถือเป็นการเตรียมพร้อมรับการเปิด AEC ในปี 2558 อีกด้วย
“บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายปีนี้จะเปิดสาขาในประเทศเพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่มี 220 สาขา เป็น 250 – 255 สาขา ซึ่งลดลงจากที่คาดการณ์ว่าจะเปิด 280 สาขา เนื่องจากอัตราค่าเช่าพื้นที่อยู่ในระดับสูง ไม่คุ้มต่อการลงทุน โดยจากการมุ่งหน้าขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทฯ จะสามารถเพิ่มยอดขายSmart phone และ Tablet ให้สูงขึ้นได้ อีกทั้ง มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังเทคโนโลยี 3G จะเข้ามาอย่างชัดเจนกว่าครึ่งปีแรก หลังค่ายมือถือเร่งทำการตลาดอย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ยอดขายบริษัทฯ โดยเฉพาะ Smart phone เพิ่มขึ้นอย่างมาก และมั่นใจเป้าหมายรายได้-กำไรปีนี้ที่วางไว้เติบโตไม่ต่ำกว่า 40% จะเป็นไปตามนั้น ” นายอดิศักดิ์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2556 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 95.40 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 68.91ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น26.49 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.44 โดยบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากรายได้การขายและบริการที่ 2,431.23 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,843.52 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 587.71 ล้านบาท หรือร้อยละ 31.88 เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าประเภท Smart phone และ Tablet เพิ่มขึ้น 582.04 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.60 นอกจากนี้รายได้ยังเพิ่มขึ้นจากบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งทำธุรกิจให้เช่าพื้นที่ โดยรายได้เพิ่มขึ้น 19.09 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามรายได้จากการติดตามหนี้สินและบริการอื่นของบริษัทเจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ลดลงราว 13.42 ล้านบาท เนื่องจากซื้อหนี้เข้ามาบริหารและปริมาณงานรับจ้างติดตามหนี้น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 387.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111.38 ล้านบาท หรือร้อยละ 41.65 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวดหกเดือนแรก (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556) ในอัตรา 0.31 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 27 สิงหาคม 2556 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 กันยายน 2556)

“ผลงานในไตรมาส 2/56 ที่ออกมาถือว่าน่าพอใจ บริษัทมีการเติบโตที่ดี มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 38% เนื่องจากตลาดมือถือ 3G ในช่วงที่ผ่านมาคึกคัก สนับสนุนให้บริษัทฯ มียอดขาย Smart phone และ Tabletเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับในช่วงก่อนหน้านี้ บริษัทฯ เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน” นายอดิศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก JMART ดำเนินธุรกิจบริหารพื้นที่ค้าปลีก ศูนย์รวมจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในรูปแบบ IT Junction มีการเติบโตอย่างชัดเจนมาก โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2556 มีรายได้อยู่ที่ 79 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้านี้อยู่ที่ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.6%และมีแผน จะขยายสาขาในปีนี้เป็น 42 สาขา จากปีก่อนมี 35 สาขา ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนผลงานบริษัทฯให้มีการเติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ วางแผนนำ JAS ASSET เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า และเชื่อว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญสนับสนุนให้ JMART มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

View :1612

กทค. ชี้ DTAC ผิด เก็บค่าโทรเกิน 99 สตางค์ สั่งคืนเงินส่วนเกินให้ผู้บริโภคพร้อมดอกเบี้ย

August 19th, 2013 No comments

() พิจารณาเรื่องร้องเรียนกรณีเก็บค่าโทรมือถือเกิน 99 สตางค์รายแรกแล้ว สั่ง ต้องคืนเงินส่วนที่เก็บเกินให้ผู้บริโภคพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 แต่ยังไม่ยอมให้มีมาตรการเยียวยาเป็นการทั่วไป ส่งผลให้ผู้บริโภคที่ประสบปัญหายังต้องร้องเรียน จึงจะได้เงินคืน

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เปิดเผยถึงผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคโดยที่ประชุม กทค. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมได้วางบรรทัดฐานต่อกรณีการคิดค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2G ในอัตราที่เกินกว่า 99 สตางค์ แล้วว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย นั่นคือประกาศ กสทช. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ. 2555 ดังนั้นจึงมีมติให้ผู้ให้บริการต้องคืนเงินส่วนที่เก็บเกินไปนั้นให้แก่ผู้บริโภคที่ร้องเรียน โดยจะต้องจ่ายดอกเบี้ยของเงินส่วนเกินนั้นด้วย ในอัตราร้อยละ 15 ตามอัตราที่บริษัทเรียกเก็บจากผู้บริโภคในกรณีที่ชำระค่าบริการล่าช้า

“มตินี้เป็นการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ร้องเพียงรายเดียว ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการของดีแทค แต่จากกรณีเดียวนี้ก็เป็นบรรทัดฐานว่า ผู้ให้บริการทุกรายที่มีหน้าที่ตามประกาศเรื่องอัตราขั้นสูงนั้น หากมีการเรียกเก็บเงินเกินกว่าอัตราที่ประกาศกำหนด แล้วผู้บริโภคมีการร้องเรียนเข้ามา ก็จะต้องถูกสั่งให้คืนเงินที่เก็บเกินไปนั้นพร้อมดอกเบี้ยเช่นเดียวกันทุกๆ ราย”

นายประวิทย์กล่าวต่อไปด้วยว่า เป็นที่น่าเสียดายที่ กทค. ไม่ยอมมีมติสั่งเป็นการทั่วไปในเรื่องดังกล่าว ทั้งๆ ที่ทางผู้ร้องเรียนรายนี้ก็มีคำร้องขอในประเด็นดังกล่าวด้วย ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคที่ประสบปัญหาไม่จำเป็นต้องมาร้องเรียนกันทุกคน และ กทค. ก็ไม่ต้องพิจารณาเรื่องร้องเรียนเป็นกรณีๆ ไป โดยถ้า กทค. มีมติออกมา สำนักงาน กสทช. ก็จะสามารถสั่งการให้บริษัทที่คิดค่าบริการเกินดำเนินการคืนเงินแก่ผู้ใช้บริการทั้งหมด

นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่า สำนักงาน กสทช. มีการเสนออีกวาระหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันให้ กทค. พิจารณา นั่นคือ เรื่องมาตรการเยียวยาผู้ร้องเรียนกรณีถูกคิดค่าบริการเกินอัตราขั้นสูงฯ ซึ่งมีข้อเสนอประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการคือ 1)ให้ผู้ร้องเรียนมีสิทธิชำระค่าบริการเฉพาะส่วนที่เห็นว่าไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด (99 สตางค์) ได้ 2) เมื่อมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว หากพบว่าไม่เป็นการเรียกเก็บเกินอัตรา ก็ให้มีสิทธิเก็บเงินต่อไปได้ แต่ถ้าเป็นการเรียกเก็บเกิน ก็ต้องคืนเงินส่วนต่างพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตาม กทค. ไม่ได้พิจารณาวาระดังกล่าว เนื่องจากทางส่วนงานเจ้าของเรื่องได้ขอถอนข้อเสนอออกไปเพื่อปรับปรุงใหม่ หลังจากพบว่า ในการแสดงความเห็นชั้นกลั่นกรองเรื่องก่อนบรรจุวาระ กทค. ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการที่เสนอ

“มีผมที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของสำนักงาน โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ข้อ 1) เพราะรู้ว่าเรื่องการไม่ยอมรับชำระเงินบางจำนวนนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคถูกต้อนเข้าตาจนในที่สุด กล่าวคือ เมื่อมีปัญหาการโต้แย้งเรื่องค่าบริการบางส่วน โดยทั่วไปแล้วผู้บริโภคเพียงไม่อยากจ่ายค่าบริการส่วนที่ยังมีข้อติดใจหรือข้องใจ และพร้อมจ่ายค่าบริการส่วนที่ไม่มีปัญหา แต่ที่ผ่านมาก็ทำไม่ได้ เพราะผู้ให้บริการหรือบริษัทจะยอมรับชำระยอดเต็มเท่านั้น ผู้บริโภคจึงเลือกไม่ชำระ และพอครบสองรอบบิล บริษัทก็ใช้สิทธิตามกฎหมายระงับหรือตัดบริการของผู้บริโภค เท่ากับบังคับผู้บริโภคให้เลิกโต้แย้งโดยปริยาย เพื่อแลกกับการได้ใช้บริการ ดังนั้นข้อเสนอของสำนักงาน กสทช. ในข้อแรกจึงนับว่ามาถูกทาง ส่วนข้อ 2) ก็เป็นหลักที่ถูกต้อง ซึ่งผมเสนอด้วยซ้ำว่า ควรกำหนดเป็นมาตรการทั่วไป ไม่ใช่ใช้กับคนที่มาร้องเรียนเท่านั้น แต่เนื่องจาก กทค. ท่านอื่นๆ เห็นว่าการพิจารณาเรื่องร้องเรียนนั้นจำเป็นต้องดูเป็นกรณีๆ ไป เพราะข้อเท็จจริงแต่ละกรณีมีความแตกต่างกัน ความจริงเหตุผลนี้ผมก็ไม่เถียง แต่ก็เห็นว่ามาตรการที่เสนอนั้นก็มีเงื่อนไขเฉพาะ ไม่ได้ครอบคลุมจนกว้างไปหมด ก็เลยเสียดายที่ยังต้องให้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายเริ่มต้นร้องเรียนเข้ามา ซึ่งผมก็อยากชักชวนนะครับ เพื่อที่จะได้รับการคุ้มครองในบรรทัดฐานเดียวกันกับกรณีที่ กทค. พิจารณาแล้ว ขณะเดียวกันผมก็แจ้งให้สำนักงานเร่งรัดเสนอเรื่องร้องเรียนกรณีค่าบริการเกิน 99 สตางค์รายอื่นๆ เข้ามาด้วย เพราะทราบว่ามีอีกเกือบ 130 เรื่อง” กสทช. ประวิทย์กล่าวในที่สุด

View :1318

เอไอเอส 3 จี 2100 ตัวจริงมาตรฐานโลก เกี่ยวก้อย น้องเมย์-รัชนก อินทนนท์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยก้าวสู่การเป็น “ตัวจริงในแบบคุณ”

August 16th, 2013 No comments

มอบกำลังใจน้องเมย์-รัชนก อินทนนท์และโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอดกว่า 1 ล้านสองแสนบาท

16 สิงหาคม 2556 : 3จี 2100 ตัวจริงมาตรฐานโลก มอบกำลังใจสนับสนุนเส้นทางแห่งการเป็นนักแบดระดับโลกให้แก่ “น้องเมย์-รัชนก อินทนนท์” แชมป์โลกหญิงแบดมินตันคนไทยคนแรก และโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด พร้อมควงแขนเป็นพรีเซ็นเตอร์ สร้างแรงบันดาลใจสื่อคุณค่าความเป็น “ตัวจริง” แก่คนไทย

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “นอกเหนือจากการมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย ให้สามารถเชื่อมโยง เสริมศักยภาพให้แก่คนไทย และอุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศ จากเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่าเป็น “ตัวจริง มาตรฐานโลก” รวมถึง การที่ชาวเอไอเอส เกือบหมื่นกว่าชีวิต ที่ต่างมุ่งมั่น ทำงานอย่างหนัก ด้วยความรู้ ความชำนาญที่สั่งสมกันมา เพื่อให้ก้าวสู่ความเป็น “ตัวจริงในใจคุณ” แห่งโลกมือถือให้ได้แล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างแรงบันดาลใจที่จะเป็น “ตัวจริงในแบบคุณ” ให้แก่คนไทยทุกคนมาโดยตลอด เพราะเชื่อในความเป็น “ตัวจริง” ที่เกิดจากความมุ่งมั่น ตั้งใจ และเป็นพื้นฐานให้ประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกแห่งวงการกีฬา ที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงคุณค่าแห่งความเป็นตัวจริง และเป็นจุดที่เราเชื่อว่าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนไทยได้ในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นที่ผ่านมาเอไอเอส จึงได้ร่วมสนับสนุนการเป็นตัวจริงในโลกแห่งวงการกีฬาของไทยมาอย่างตัวเนื่อง อาทิ การสนับสนุนฟุตบอล “เอไอเอส ลีกภูมิภาค” ที่นอกจากจะมีส่วนช่วยทำให้เกิดกระแสความนิยมให้แก่วงการฟุตบอลบ้านเราเป็นอย่างยิ่งแล้ว ยังทำให้เกิดความสามัคคีในชุมชนระดับภูมิภาคทั่วประเทศอีกด้วย รวมไปถึงการที่เอไอเอส ได้ร่วมมอบกำลังใจให้แก่นักกีฬาไทย ที่ได้สร้างชื่อ ฝากผลงาน ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศจากแมทช์การแข่งขันสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นโอลิมปิกและพาราลิมปิก มาอย่างต่อเนื่อง
5
สำหรับ “น้องเมย์-รัชนก อินทนนท์” นั้น เราเชื่อว่าทุกคนคงให้การยอมรับว่า เธอเป็น “ตัวจริงมาตรฐานโลก ในใจมหาชน” อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่พรสวรรค์ หากเป็นเพราะความมุ่งมั่น อุตสาหะฝึกซ้อมอย่างหนัก สร้างความแข็งแกร่ง ทั้งร่างกายและจิตใจ จนทำให้เธอประสบความสำเร็จก้าวสู่ความเป็นแชมป์โลกในวันนี้ ซึ่งเอไอเอส ขอร่วมแสดงความยินดี และมอบกำลังใจให้เธออย่างต่อเนื่อง จากการที่ก่อนหน้านี้เราได้ร่วมแสดงความยินดีจากการแข่งขันโอลิมปิกครั้งล่าสุด และสนับสนุนค่าบริการดาต้าให้เธอได้สื่อสารกลับบ้าน ในช่วงเวลาที่เธอจะต้องเดินทางไปร่วมการแข่งขันในทัวร์นาเม้นท์ต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง
“วันนี้เพื่อขอบคุณที่ทำให้คนไทยมีความสุขอีกครั้ง จากผลงานในการแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์โลก เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ 2013 ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งเธอได้พิสูจน์ความเป็น “ตัวจริง มาตรฐานโลก” อย่างชัดเจน รวมถึงเพื่อสนับสนุนให้เธอเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางของ “ตัวจริง มาตรฐานโลก” ได้อย่างราบรื่น เอไอเอส 3 จี จึงขอมอบกำลังใจให้แก่เธอ ประกอบด้วย
1. มอบเงินสดจำนวน 500,000 บาท ให้แก่น้องเมย์
2. มอบเหรียญทองคำ แกะสลักชื่อ น้องเมย์-รัชนก อินทนนท์ ตัวจริงมาตรฐานโลก น้ำหนัก 25 บาท มูลค่า 500,000 บาท
3. มอบค่าบริการดาต้าให้แก่น้องเมย์ เพื่ออำนวยความสะดวกตลอดช่วงเวลาแห่งการเดินทางเพื่อแข่งขันในต่างประเทศ
และ 4. มอบเงินสดสนับสนุนโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด 200,000 บาท เพื่อสร้างน้องเมย์ 2-3-4 ต่อไปเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านสองแสนบาท

“อีกทั้ง จากวันนี้เป็นต้นไป น้องเมย์จะได้ให้เกียรติเป็น Presenter ของ เอไอเอส 3G 2100 ตัวจริงมาตรฐานโลก เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เพื่อร่วมกันสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนไทยในการก้าวสู่การเป็น “ตัวจริงในแบบคุณ” ต่อไป”

โดยนายสมชัย กล่าวในตอนท้ายว่า “เอไอเอส 3 จี 2100 ที่ขณะนี้กำลังพัฒนาบริการที่ดีที่สุดอย่างไม่หยุดยั้ง และมีเครือข่ายครอบคลุมแล้วในหัวเมืองทั้ง 77 จังหวัด พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้แก่ “ตัวจริง มาตรฐานโลก” อย่างน้องเมย์-รัชนก เพื่อร่วมเดินไปบนเส้นทางแห่งตัวจริง ส่งมอบความสุขให้แก่คนไทยด้วยกันตลอดไป”

View :1354

TCELS ประกาศความสำเร็จ เดินหน้าจัดงาน “ ASEAN Life Sciences Conference and Exhibition ” ต่อเนื่องทุกปี

August 16th, 2013 No comments

นายนเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี () เปิดเผยว่า ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ ได้ร่วมมือกับกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องถึง 8 หน่วยงาน ร่วมกันจัดงาน “ 2013 ” ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 17 – 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย นักบริหาร, CEO, ผู้นำองค์กร นักวิชาการ และภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ตลอดจนภาคประชาชนที่สนใจ มีการจับคู่ธุรกิจ ทั้งสิ้น 125 คู่ สัดส่วนในการเจรจาต่อยอดธุรกิจ 6:1 หรือประมาณ 21 คู่ ซึ่งค่าเฉลี่ยมีการลงทุน ประมาณ 30 ล้านบาท/ธุรกิจ ดังนั้น จากการจัดงานครั้งนี้ จึงสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ในระยะหลังจาก 1 ปี เป็นต้นไป ประมาณ 630 ล้านบาท และยังมีในส่วนของการประชุม Asia Bio Business Partnering 2013 จำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานจาก 7 ประเทศ ญี่ปุ่น 5 บริษัท สาธารณรัฐประชาชนจีน 13 เกาหลี 11 บริษัท ไทย 30 บริษัท สิงคโปร์ 1 บริษัท มาเลเซีย 1 บริษัท สหรัฐอเมริกา 2 บริษัท กิจกรรมหลักเป็นการเจรจาธุรกิจ การบรรยายสถานการด้านอุตสาหกรรมชีวภาพของแต่ละประเทศภาคีสมาชิก ศึกษาดูงานอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศไทย โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก Betagro และ Biotech ในการเข้าเยี่ยมชม ศึกษาดูงาน

จากกการดำเนินการครั้งนี้ ได้รับเสียงชื่นชมจากประเทศที่เข้าร่วมว่าประเทศไทยมีศักยภาพ เป็นอย่างสูงทั้งเรื่องอุตสาหกรรมชีวภาพและการเชื่อมต่อธุรกิจเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในปี2014 ประเทศจีนจะเป็นเจ้าภาพงาน Asia Bio Business Partnering 2014 ณ เมืองเสิ่นยาง มณฑลเหลียวหนิงต่อไป

“ จากความสำเร็จในครั้งนี้ทาง TCELS เตรียมเดินหน้าจัดงาน ASEAN Life Sciences Conference and Exhibition ในปีถัดไป และจะจัดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกๆ ปี โดยคาดว่าในปีหน้า จะมีผู้ประกอบการ ผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากใกล้ปีเป้าหมายสำหรับการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนเข้ามาทุกทีซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาให้ก้าวทันนานาประเทศ เพื่อรองรับเขตการการค้าเสรี งาน ASEAN Life Sciences Conference and Exhibition จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ ” นายนเรศ กล่าว

สำหรับงาน “ ASEAN Life Sciences Conference and Exhibition 2013 ” ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (TCELS) ร่วมกับ 8 หน่วยงานหลักด้านชีววิทยาศาสตร์ของไทยอันได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา , International Society for Pharmaceutical Engineering (ISPE) Thailand Affiliate, ASIA Bio BUSINESS PARTNERING( ABBP ), สมาคมเภสัชกรการอุตสาหกรรม (ประเทศไทย) สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน, คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพไทย ร่วมกันจัดงานขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของกลุ่มประเทศอาเซียน พร้อมแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของไทย ทั้งนี้สำหรับท่านที่พลาดโอกาสเข้าร่วมงานในครั้งนี้ สามารถเข้าร่วมติดตามรายละเอียดต่างๆของงาน ASEAN Life Sciences Conference and Exhibition ได้ที่ www.aseanlifesciences.org

View :1424

งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2556 สาระสำคัญต่างๆ ของ สทน.

August 16th, 2013 No comments

สทน.ได้จัดนิทรรศการเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของการเกษตร ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้ในเรื่องของการเกษตรมากมาย เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกษตรกรพบ เช่น ปัญหาโรคพืช ปัญหาแมลงวันผลไม้รบกวนผลผลิตจำพวกผลไม้ พืชให้ผลผลิตน้อย พืชไม่เจริญเติบโต ดูดซึมไม่ดี และพืชคาดการดูแล หากเกษตรกรหรือผู้ดูแลไม่สะดวกในการดูแล เป็นต้น สทน.จึงค้นคว้างานวิจัยทางการเกษตร จนสามารถนำเอาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ มาช่วยในการสร้างงานวิจัย ให้สามารถแก้ไขปัญหาที่ประสบเหล่านั้นได้ และได้ถ่ายทอดออกมาให้เข้าใจง่ายในรูปแบบของนิทรรศการเรียนรู้และจับต้องได้ “นิวเคลียร์กับการเกษตร” ที่จะเกิดขึ้น ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปีนี้ ได้แก่

1. ไคโตซาน เราอาจจะทราบโดยทั่วไปว่า ไคโตซาน เป็นสารช่วยกระตุ้น การดูดซึมของพืชสกัดได้จากเปลือกกุ้ง เปลือกปูและแกนของหมึกทะเล ซึ่งมีจำหน่ายมากมายในท้องตลาด แต่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่พบทั่วไปนั้น มีโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่มาก เป็นปัญหากับพืชตรงที่ พืชไม่สามารถดูดซึมนำไคโตซานนี้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือยากกว่าที่พืชควรจะได้รับ สทน. จึงมีการนำเอาไคโตซานนี้มาทำการฉายรังสี เพื่อให้รังสีนั้นทำขนาดของโมเลกุลในไคโตซานปกตินี้ย่อยเล็กลง เมื่อพืชดูดซึมนำไปใช้ให้เป็นพลังกระตุ้นการดูดซึม ก็จะทำให้พืชนั้นใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงทำให้ไคโตซานของ สทน. ที่ผ่านการฉายรังสีนี้ พืชมีการตอบสนองได้ดีกว่า และพืชเจริญเติบโตได้ดีว่า ไคโตซานท้องตลาดมาก(มีของจริงให้เห็นและสัมผัส)

2. สารละลายไหม เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สทน.ได้นำเอา เศษไหมแทบจะไร้มูลค่ามาสกัดเอาสารละลายโปรตีนไหมโดยผ่านการฉายรังสีเพื่อทำให้สะอาดปลอดเชื้อจุลินทรีย์มาผสมกับ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทางผิวพรรณมากมาย เช่น สบู่ไหม แชมพูสระผม ครีมนวด ครีมทาผิว ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณของเรานั้นได้รับสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อผิวได้อย่างเต็มที่ ผิวพรรณจึงมีความเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น เป็นที่นิยมของคุณแม่บ้าน พ่อบ้านทั้งหลาย ในปีนี้ เรานำสารละลายไหมนี้ หมักบ่มจนได้ที่ เป็นสูตรเฉพาะของ สทน. มาแก้ไขปัญหาให้เกษตรกร เพราะเนื่องจาก โปรตีนในไหมมีมาก และหลายชนิดมีความจำเป็นกับพืช เป็นที่ต้องการของพืชสูง เปรียบเสมือนเป็นฮอร์โมนบำรุงชั้นดี ที่ทำให้พืชเจริญงอกงามแข็งแรง ให้ผลผลิตดี ดก ใหญ่ สดอยู่ได้นานขึ้น เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรมากขึ้น ไม่เป็นอันตรายต่อพืชและผู้ใช้ เพราะไม่ใช่สารเคมี โดยใช้กับพืชต่างๆ หลากหลายชนิดเช่น มังคุด เงาะ เห็ด ข้าว มันสำปะหลัง กล้วยไม้ หรือแม้แต่สามารถนำมาผสมในอาหารสัตว์ได้อีกด้วย เช่น อาหารกุ้งแม่น้ำ อาหารจิ้งหรีด เป็นต้น(ผสมอาหารกุ้ง ทำให้กุ้งตัวโต น้ำหนักดี ราคาดี, ผสมในน้ำดื่มจิ้งหรีด ทำให้จิ้งหรีดตัวอวบโต มันอร่อย ขายดี)(มีของจริงให้เห็นและสัมผัส)

3. พอลิเมอร์อุ้มน้ำ ในยุคของความเร่งรีบ มีเวลาน้อยและจำกัด ต้องมีสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้ชีวิตของเรามากขึ้น เราจึงอาจจะไม่มีเวลาที่จะดูแลพืชที่เราปลูกเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไปพืชอันแสนรักอาจจะตายไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับท่านที่ชอบปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรกนั้น คงมีความสุขกับการ

เห็นพืชได้เจริญเติบโตงอกงามดี ออกดอกสวยๆ ออกผลงามๆให้ได้ชื่นชม แต่ก็อาจจะไม่ดีแน่หากต้องไปอยู่ที่อื่นไกลๆ นานๆ แล้วไม่มีเวลาพอที่จะดูแลพืชเหล่านี้ สทน. จึงคิดค้นพอลิเมอร์อุ้มน้ำนี้ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลต้นไม้ กล่าวคือ พอลิเมอร์นี้ผลิตจากมันสำปะหลังที่ได้จากธรรมชาติ แล้วนำมาฉายรังสีเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาบนสายโซ่ของแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งจะทำให้ตัวมันเองอุ้มน้ำได้ดี ถึง 500 เท่า เปรียบเสมือนเป็นแหล่งเก็บกักน้ำเอาไว้ เมื่อผสมคลุกเคล้าเข้ากับดินแล้ว พอลิเมอร์อุ้มน้ำนี้ จะทำหน้าที่ให้ดินมีความชื้นได้นานแม้ไม่รดน้ำให้กับดินหรือพืชเป็นระยะเวลานับเดือน แล้วพืชก็สามารถอยู่เพราะมีความชิ้นตากพอลิเมอร์ที่ผสมกับดินนี้และด้วยคุณสมบัติของพอลิเมอร์อุ้มน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นยังสลายไปกับดินได้ เมื่อมันละลายเสื่อมสภาพลง ไม่เป็นอันตรายต่อพืชและดินอีกด้วย(มีของจริงให้เห็น สัมผัสและสามารถร่วมกิจกรรมเพื่อนำต้นไม้พอลิเมอร์กลับบ้านได้)

4. แมลงวันผลไม้ เกษตรกรผู้ค้าผลไม้ไทยมีปัญหาเกี่ยวกับผลผลิตน้อย มีผลกระทบทางการส่งออกผลไม้ไทยไปต่างประเทศ ส่วนหนึ่งมากจากการที่ เกษตรกรปลูกผลไม้นั้นถูกรบกวนจากแมลงวันผลไม้ จนทำให้ผลผลิตตกต่ำลง สทน. จึงมีงานวิจัย การทำหมันแมลงวันผลไม้โดยการฉายรังสีขึ้น เพื่อกำจัดต้นตอของเจ้าตัวร้ายที่ทำให้ผลผลิตของผลไม้ไทยลดลง วิธีง่ายๆ โดยการดักจับแมลงวันผลไม้ตามธรรมชาติมาคัดสายพันธ์ที่มีมาก มีการแพร่ระบาดสูง แล้วทำการเพาะเลี้ยงเพื่อสังเกตพฤติกรรม เมื่อได้แล้ว เราจึงเลี้ยงเพื่อนำเอาดักแด้ของมันมาฉายรังสีแกมมาเพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งทำให้มันเป็นหมัน แล้วทำการรอฟักออกจากดักแด้ ซึ่งช่วงระหว่างรอนี้ เราจะทำการย้ายดักแด้เหล่านี้ ไปไว้ในพื้นที่สวนผลไม้ โดยคำนวณสัดส่วนของพื้นที่ ต่อแมลงวันผลไม้เป็นล้านตัว แล้วเมื่อแมลงวันผลไม้เหล่านี้ฟักเป็นตัว มันจะบินไปจับคู่กับแมลงวันผลไม้ในธรรมชาติ แต่ไม่สามารถที่จะฟักไข่ได้ ผลไม้ของเกษตรกรก็ไม่เน่าเสีย สามารถที่จะเพิ่มผลิตผลได้มากตามที่ตลาดต้องการ และวิธีนี้ยังทำให้เกษตรกรไม่ใช้ยาฆ่าแมลงอีกด้วย โดยได้ทำสำเร็จไปแล้วในหลายพื้นที่ของประเทศ เช่น นครนายก จันทบุรี แพร่ เป็นต้น(มีของจริงให้เห็นและสัมผัส)

จากงานวิจัยต่างๆ เหล่านี้ สทน. ได้ทำการช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีความกินดีอยู่ดีมีสุข รายได้เพิ่มพูน ผลผลิตมีคุณภาพยิ่งขึ้น เกษตรกรไทยก็ยิ้มได้ สนใจขอเชิญที่งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ปี 2556 ณ ศูนย์นิทรรศการ ไบเทค บางนา วันนี้ถึง 21 สิงหาคม 2556 เวลา 09.00 น. – 20.00 น.

View :1548

BOI, NSTDA และ TESA ร่วมกับ 6 สถาบันการศึกษา รุกหน้าพัฒนาบุคลากรทางด้าน Electronic Design

August 15th, 2013 No comments

Bหวังชูไทย เป็นอุตสาหกรรมฐานความรู้แห่งแรกของ AEC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และสร้างรายให้กับประเทศ

บีโอไอ สวทช. และทีซา ผนึกกำลังกับ 6 มหาวิทยาลัย 7 ห้องปฏิบัติการ ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ รุกหน้าพัฒนาบุคลากรทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ หวังยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมฐานความรู้ (Knowledge Industry) เป็นแห่งแรกของ AEC เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างมูลเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมของประเทศไทย ตลอดจนดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ มาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมฐานความรู้เพิ่มมากขึ้น

o สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน : บีโอไอ (Thailand Board of Investment: )
o สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ: สวทช. (National Science and Technology Development Agency : )
o สมาคมสมองกลฝังตัวไทย (Thai Embedded Systems Association: )

“อุตสาหกรรมการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ () เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้เป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ทำให้เกิดการนำผลผลิตไปใช้ต่อยอดในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งล้วนแต่เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างสูงในปัจจุบัน และทั้งสามอุตสาหกรรมดังกล่าว ยังมีมูลค่ารวมทั้งโลกสูงกว่าหนึ่งแสนล้านเหรียญสหรัฐ การเจริญเติบโตของบริษัทออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยกำลังถูกจำกัด เนื่องจากบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นสาขาที่ขาดแคลน และขาดการสนับสนุนผลักดันจากทุกภาคส่วนทำให้นักศึกษารุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะศึกษาทางด้านนี้ หันไปเลือกทำงานทางด้านที่เป็นไปตามกระแส และยังขาดการสนับสนุนในแง่เครื่องมือ และอุปกรณ์ ทำให้ไม่สามารถผลิตบุคลากรทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างต่อเนื่อง เป็นการทิ้งโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยเติบโตไปในทางธุรกิจฐานความรู้ไปอย่างน่าเสียดาย

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการสร้างทรัพยากรบุคลากรที่มีคุณภาพ และมีจำนวนเพียงพอต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทย จึงได้มอบหมายให้สมาคมสมองกลฝังตัวไทย (Thai Embedded Systems Association: TESA) เป็นผู้บริหารโครงการพัฒนาบุคลากรทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสร้างทรัพยากรบุคคลให้มีความรู้ความสามารถในระดับที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ โดยในเฟสที่ 1 เป็นโครงการนำร่อง ร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างห้องปฏิบัติการกับ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด บริษัท ดีไซน์ เกทเวย์ จำกัด บริษัท โตโยต้า ทูโช อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ไทยเจอเทค จำกัด โดยสนับสนุนให้ ห้องปฏิบัติการ ของมหาวิทยาลัยภายใต้ความร่วมมือ 6 แห่ง 7 ห้องปฏิบัติการ ที่จะมีการลงนามความร่วมมือในวันนี้ ได้แก่
1. ห้องปฏิบัติการวิจัยระบบสมองกลฝังตัวและการออกแบบวงจรรวม (Embedded System and Integrated Circuits Design (ESID) Research Laboratory) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. ห้องปฏิบัติการด้านการออกแบบวงจรรวมและระบบบูรณาการพลังงานต่ำ (Laboratory on Low-Power Integrated Circuits and Systems) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3. Pervasive Integrated Circuits And Systems on Chip Laboratory (PICASSO) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง
4. Embedded Systems Laboratory สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง
5. VLSI Design for Embedded System with Intelligence Laboratory (VDSI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
6. ห้องวิจัยระบบเครือข่ายสมองกลฝังตัวเพื่อความฉลาดแวดล้อม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Thammasat Embedded Networked System for Ambient Intelligence laboratory (TENSAI)
7. Ubiquitous Networked Embedded Systems Laboratory (UbiNES) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

โดยแต่ละห้องปฏิบัติการ จะจัดอบรมเพิ่มเติม และจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนิสิตนักศึกษา ได้หันหาสนใจ แสวงหาความรู้ และเพิ่มความสามารถทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 2 กิจกรรมมุ่งเน้น สร้างแรงบันดาลใจ ปูความรู้พื้นฐาน ชั้นปีที่ 3 เน้นความรู้รอบด้านสามารถประมวลรวบรวมความรู้ได้ พร้อมไปร่วมฝึกงานทำโจทย์จริง และชั้นปีที่ 4 เน้นความเชี่ยวชาญ ความรู้เฉพาะด้านมากขึ้น และต่อยอดไปถึงการทำ โปรเจ็กต์จบร่วมกับบริษัท จากนั้นเมื่อใกล้จะเรียนจบ ก็จะมีการทำสัญญากับบริษัท แล้วเข้าไปฝึกอบรมเชิงทัศนคติ หรือ Boot Camp อีกด้วย” ผศ.อภิเนตร อูนากูล นายกสมาคมสมองกลฝังตัวไทย (TESA) กล่าว

พร้อมทั้งได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “ปัจจุบันมีบริษัทน้อยมากในประเทศไทยที่ใช้แนวทางของการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ และวงจรรวม (Electronic/IC Design) เป็นแนวทางหลักในการดำเนินธุรกิจ ทั้งๆ ที่ บริษัทสามารถทำรายได้มากกว่า 3-5 ล้านบาทต่อคน โดยที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดทางด้านกำลังคน ทำให้บริษัททางด้านนี้ไม่สามารถขยายขนาดของธุรกิจขึ้นไปถึงระดับเกินหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐอย่างที่ไต้หวัน หรือเกาหลีใต้ทำได้ จำนวนวิศวกรออกแบบของบริษัทเหล่านี้ยังมีอยู่เพียงไม่เกินสามสิบคน และเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า 10 คนต่อปี หากต้องการที่จะสร้างบริษัทออกแบบวงจรรวมที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก จำเป็นต้องเพิ่มกำลังคนให้ได้อย่างน้อย 30 คนต่อปี และภายใน 10 ปี บริษัทควรจะมีวิศวกรออกแบบอย่างน้อย 500 คน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการสร้างบุคลากรในภาคการศึกษาและห้องแล็บสำหรับการวิจัยพัฒนาทางด้านวงจรรวมไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

แม้ประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญของโลก แต่หากพิจารณาถึงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ และวงจรรวม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำของอิเล็กทรอนิกส์แล้ว จัดว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งทำให้มูลค่าเพิ่มที่ประเทศได้รับไม่สูงเท่าที่ควร อันเนื่องจากบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ และวงจรรวมมีไม่เพียงพอ แตกต่างจากประเทศไต้หวันหรือเกาหลีใต้ ซึ่งมีการสนับสนุนอุตสาหกรรมการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ และวงจรรวมอย่างชัดเจน จนประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาเพียง 10 ปี การที่จะปรับฐานะของประเทศจากการเป็นผู้ใช้งานหรือรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มาเป็นผู้นำทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ และวงจรรวม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยศักยภาพของบุคลากร ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ และวงจรรวม ในการพัฒนาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบดังกล่าว ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในอุตสาหกรรมทางด้านยานยนต์ โทรคมนาคม และอิเล็กทรอนิกส์ ตามการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดยานยนต์ ตลาดโทรคมนาคม และตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก หากประเทศไทยสามารถปรับตัวและเร่งสร้างบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบวงจรรวม เพื่อตอบสนองตามความต้องการของตลาดโลกได้ทัน ย่อมสามารถนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศได้”

View :1367
Categories: Technology Tags: , , ,

ลูกค้าเอไอเอสชม พรีเมียร์ลีกอังกฤษ แบบสดๆ บนมือถือ ครบทั้ง 380 แมทช์เป็นครั้งแรก ในราคาพิเศษ 199 บาท/เดือน ตลอดฤดูกาล

August 15th, 2013 No comments

image002

14 สิงหาคม 2556 : 3G 2100 ผู้สนับสนุนหลักการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษฤดูกาล 2013-2016 ในประเทศไทย เอาใจคอบอลทั่วประเทศ เปิดปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ ออกแคมเปญ “AIS Mobile Barclays Premier League” เป็นครั้งแรกที่ให้เฉพาะลูกค้าเอไอเอสชมถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ครบทั้ง 380 แมทช์ บนมือถือทุกประเภททั้ง Smart Phone และ Feature Phone ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเครือข่ายคุณภาพ 3G 2100 ตัวจริง มาตรฐานโลก ด้วยความคมชัดระดับ HD ตลอดฤดูกาล จัดเต็มทั้ง แอพฯ AIS Mobile BPL , แพ็กเกจ Premier League Live ที่อัดแน่นไปด้วย Content พรีเมียร์ลีกอังกฤษแบบจุใจ อาทิ คลิปการแข่งขันย้อนหลัง 10 ปี , วิเคราะห์เจาะลึกคู่ต่อคู่จากขอบสนาม เป็นต้น , แพ็กเกจ Premier League Live Score และซิม AIS Premier League พิเศษ! สมัครแพ็กเกจ Premier League Live ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 56 ในราคาเพียง 199 บาท/เดือน ตลอดฤดูกาล แค่กด *909# แล้วโทรออก

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “เอไอเอสสนับสนุนกิจกรรมทางด้านกีฬาและมีส่วนร่วมในการให้กำลังใจกับนักกีฬาไทยมาโดยตลอด อาทิ การสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลเอไอเอสลีกต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ,การมอบรางวัลแห่งความสำเร็จให้กับนักกีฬาไทยในกีฬาโอลิมปิค และพาราลิมปิกที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะเราเชื่อว่าความมุ่งมั่น ตั้งใจ จะทำให้สามารถก้าวสู่การเป็นตัวจริงในระดับโลกได้ วันนี้ เอไอเอส 3G 2100 ตัวจริง มาตรฐานโลก ในฐานะผู้นำในการให้บริการโทรศัพท์มือถือของไทย ตอบโจทย์นโยบายหลักในการทำการตลาดภายใต้แนวคิด Quality DNAs ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพในทุกมิติของการบริการ โดยคำนึงถึงความต้องการและประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นหลัก จึงออกแคมเปญใหม่ “AIS Mobile Barclays Premier League” ขึ้น โดยนำ Content ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของชาวไทยและคนทั่วโลก มาให้เฉพาะลูกค้าเอไอเอส ได้ชมกันแบบสดๆ บนมือถืออย่างไร้ข้อจำกัด ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเครือข่ายคุณภาพ ครบทั้ง 380 แมทช์ตลอดฤดูกาลแรก ด้วยความคมชัดระดับ HD เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย”

โดย นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส กล่าวเพิ่มเติมว่า “แคมเปญ “AIS Mobile Barclays Premier League” ถือเป็นการมอบสิทธิพิเศษให้เฉพาะลูกค้าเอไอเอสที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล
ให้สามารถรับชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษบนมือถือทุกประเภทได้อย่างเต็มอิ่มในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
· แอพฯ AIS Mobile BPL เพียงกด *909# แล้วโทรออก เพื่อดาวน์โหลด App Mobile BPL มาไว้บนมือถือทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android และสำหรับลูกค้าที่ใช้มือถือ Feature phone หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ สามารถชมได้ผ่าน wap.mobilelife.co.th/mobilebpl
· แพ็กเกจ Premier League Live แพ็กเกจดูบอลพรีเมียร์ลีกสดผ่านมือถือครบทั้ง 380 แมทช์ พิเศษ! เหลือเพียงเดือนละ 199 บาท ตลอดฤดูกาล จากปกติเดือนละ 299 บาท เมื่อสมัครตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 56 พร้อมอัดแน่นไปด้วย Content พรีเมียร์ลีกอังกฤษแบบจุใจ ทั้งชม Match Rerun ได้ครบทุกแมทช์ , Real Time Score Update อัพเดททุกผลคะแนนแบบลูกต่อลูก , Archive ที่เดียวที่รวบรวมคลิป Hi-light ฤดูกาลล่าสุด และคลิปย้อนหลังที่เป็นที่สุดของการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษไว้กว่า 10 ปี , League Info ข่าวสาร ตารางการแข่งขัน และตารางคะแนนรวม , Exclusive Clip รายงานสดวิเคราะห์เจาะลึกการแข่งแบบคู่ต่อคู่จากขอบสนามประเทศอังกฤษ และ Alert on App แจ้งเตือนทุกความเคลื่อนไหวของทีมโปรดตลอดเวลา
· แพ็กเกจ Premier League Live Score แพ็กเกจรายงานสดผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษผ่านทาง SMS พร้อมชม Clip การยิงประตูแบบลูกต่อลูก และคลิปวิเคราะห์จากกูรู ในอัตราค่าบริการ 49 บาท/สัปดาห์ โดยสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 7 วัน ในการสมัครครั้งแรก
· ซิม AIS Premier League ซิมใหม่ลายพรีเมียร์ลีก ที่ผลิตเดือนละมากกว่า 5 แสนใบ ออกมาเอาใจคอบอลโดยเฉพาะ

โดยลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจ Premier League Live , แพ็กเกจ Premier League Live Score รวมทั้งร่วมสนุกกับกิจกรรมโหวตและเกมส์ตอบคำถามเกี่ยวกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลมากมายได้ทุกเดือน อาทิ รถยนต์ Toyota Vios , แพ็คเกจทัวร์พร้อมตั๋วชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกติดขอบสนามประเทศอังกฤษ , ทองคำ และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท

พิเศษสำหรับแมทช์เปิดสนามในวันที่ 17 ส.ค. 56 นี้ เอไอเอสจะจัดกิจกรรมเอาใจคอบอลให้ร่วมสนุกในงาน “AIS Mobile BPL Exclusive Party” กระทบไหล่ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังของเมืองไทย อาทิ กระแต-ศุภักษร , โบวี่-อัฐมา , ฮั่น-เดอะสตาร์ , แมทธิว-ลีเดีย เป็นต้น พร้อมชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแมทช์แรกของฤดูกาล 2013-2014 ร่วมกัน ณ พารากอนฮอลล์ 3 ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ลูกค้าเอไอเอสที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ เพียงกด *909*9# แล้วโทรออก

“เราเชื่อมั่นว่าด้วยประสิทธิภาพของเครือข่ายคุณภาพของเอไอเอส 3G 2100 ตัวจริง มาตรฐานโลก เมื่อผสานรวมกับ Content ระดับโลกอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ จะทำให้ลูกค้าเอไอเอสที่เป็นแฟนบอลตัวจริง ได้รับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟกว่าใครในการชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษบนมือถือทุกที่ ทุกเวลา ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบคุณได้อย่างแท้จริง” นายฐิติพงศ์ กล่าวสรุป

View :1538

แบล็คเบอร์รี่ จัดตั้งคณะกรรมการวางแผนทางเลือกเชิงกลยุทธ์

August 15th, 2013 No comments

วอเตอร์ลู, ออนตาริโอ – BlackBerry Limited (NASDAQ:BBRY) (TSX:BB) ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมเครื่องมือสื่อสารไร้สาย ประกาศคณะกรรมการของบริษัทได้จัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อวางแผนทางเลือกเชิงกลยุทธ์ทั้งการเพิ่มมูลค่าและขนาดของเพื่อเร่งการพัฒนาระบบปฎิบัติการ BlackBerry 10 ทางเลือกเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ประกอบด้วย กิจการร่วมค้า หุ้นส่วนบริษัท และการสร้างพันธมิตร นอกจากนี้อาจมีการเพิ่มการขายของบริษัท หรือการทำธุรกรรมที่เป็นไปได้อื่น ๆ ซึ่งคณะกรรมการชุดพิเศษประกอบด้วย Barbara Stymiest, Thorsten Heins, Richard Lynch และ Bert Nordberg โดยมี Timothy Dattels เป็นประธาน

หลังการประกาศของคณะกรรมการชุดพิเศษ Prem Watsa ประธานและCEO ของ Fairfax Financial บริษัทซึ่งเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BlackBerry ถือว่าเป็นเรื่องซึ่งมีความเหมาะสมและจะเป็นการลดข้อขัดแย้งซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในกระบวนการต่อจากนี้ โดย Mr. Watsa ได้กล่าวต่อว่า ทาง Fairfax Financial นั้นยังคงสนับสนุน BlackBerry ในการเดินหน้าของคณะกรรมการและการจัดการในครั้งนี้ และยังไม่มีความคิดที่จะขายหุ้นของ BlackBerry ที่ถืออยู่

Timothy Dattels ประธานคณะกรรมการชุดพิเศษ กล่าวว่า “ในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้บริหารและคณะกรรมการ มีนโยบายมุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวแพลตฟอร์ม BlackBerry 10 และ BES 10 เพื่อสร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่งและพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอนาคตของบริษัท ในการเพิ่มมูลค่าระยะยาวให้กับลูกค้าและผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญและเน้นการสร้างความแข็งแกร่งเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการผลิต และแนวทางในการแข่งขัน โดยเราเชื่อว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการใช้แผนทางเลือกเชิงกลยุทธ์”

Thorsten Heins ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ แบล็คเบอร์รี่ กล่าวเสริมว่า “เรายังคงเห็นโอกาสในระยะยาวที่น่าสนใจสำหรับ BlackBerry 10 เรามีเทคโนโลยีพิเศษที่จะมัดใจลูกค้า เรามีงบดุลที่ดี และเรามีความยินดีกับอีกก้าวของการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ในฐานะของคณะกรรมการชุดพิเศษนั้น เราได้มุ่งเน้นไปที่การเตรียมทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่จะดำเนินการไปด้วยกันกับการลดค่าใช้จ่าย การขับเคลื่อนและการเร่งการใช้งาน BES 10 อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการขับเคลื่อน BlackBerry 10 ในตลาดสมาร์ทโฟน รวมถึงการเปิดตัว BBM ในรูปแบบ คลอสแพลตฟอร์มให้สามารถรองรับทุกระบบปฏิบัติการ และการสร้างโอกาสการใช้ประโยชน์จาก BlackBerry Global Data ที่มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือที่สุด”

View :1216

เอคเซนเชอร์เผยวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีแห่งปี 2556 “ดิจิตอล” ตัวแปรขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่

August 15th, 2013 No comments

กรุงเทพฯ 14 สิงหาคม 2556 – (มีชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กว่า ACN) จัดทำรายงานการวิจัยใหม่เรื่อง “วิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีแห่งปี 2556” (The Accenture Technology Vision 2013) เพื่อศึกษาเจาะลึกถึงอนาคตของเทคโนโลยีไอทีระดับองค์กร พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและซอฟท์แวร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการทำธุรกิจ โดยจากการศึกษาดังกล่าวพบว่า การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ผนวกกับโมบายล์ คอมพิวติ้ง ระบบด้านการวิเคราะห์ และระบบคลาวด์จะปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของธุรกิจต่างๆ โดยบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่โลกแห่งดิจิตอลจะมีความพร้อมมากขึ้นในการใช้โอกาสทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งในตลาดได้อย่างดี

ผลการวิจัยดังกล่าวยังชี้ว่า จากการที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจต่างๆ เกือบทุกด้าน ส่งผลให้ธุรกิจทุกประเภทเป็นธุรกิจแบบดิจิตอล ซึ่งผู้บริหารระดับสูงทุกตำแหน่ง นอกเหนือจากประธานเจ้าหน้าที่ด้านสารสนเทศ ต้องสามารถเข้าใจ นำไปปรับใช้ และสร้างคุณค่าให้แก่องค์กรของตนได้ดียิ่งขึ้น

นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย เอคเซนเชอร์

นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย เอคเซนเชอร์


นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย เอคเซนเชอร์ กล่าวว่า “องค์กรต่างๆ พร้อมด้วยผู้นำขององค์กรนั้นๆ ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใช้เทคโนโลยีในการสร้างความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์และบริการให้แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นมากขึ้น และขับเคลื่อนการเติบโตและขีดความสามารถในการสร้างผลกำไรขององค์กร ซึ่งรายงานการวิจัยเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีฉบับล่าสุดของเอคเซนเชอร์พบว่าเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายนั้นเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เพียงแต่ผู้บริหารจำเป็นต้องเข้าใจบทบาทและความสำคัญของสิ่งเหล่านี้เพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในยุคดิจิตอล อาทิ โมบิลิตี้คลาวด์”

7 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคต
ผลการศึกษาดังกล่าวนำเสนอ 7 เทรนด์เทคโนโลยีที่จะช่วยให้องค์กรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและซอฟท์แวร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจในยุคดิจิตอล

· ยกระดับสร้างความสัมพันธ์มิติใหม่กับลูกค้าในยุคดิจิตอล
เทคโนโลยีช่วยให้องค์กรสามารถเข้าใจลูกค้าได้ดีกว่าที่เคยมีมา แต่หลายองค์กรยังไม่ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นและลึกซึ้ง และเพิ่มความภักดีของลูกค้าอย่างเต็มที่ ซึ่งเทคโนโลยีโมบายล์คอมพิวติ้ง เครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ค และบริการที่ออกแบบหรือนำเสนอตรงตามความต้องการและลักษณะการทำงานของลูกค้านั้น ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถติดต่อเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันบริษัทหลายรายกลับมองว่าช่องทางเหล่านี้เป็นเพียงช่องทางการติดต่อสื่อสารหรือการทำธุรกรรมมากกว่าเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทำให้สูญเสียโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

นายนนทวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยมีศักยภาพในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาและยกระดับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าไม่ให้เป็นเพียงการติดต่อทำธุรกรรมโดยทั่วๆ ไป แต่เป็นการสร้างสัมพันธภาพกับกลุ่มลูกค้าแบบเฉพาะตัวที่มีความแน่นแฟ้น โดยการใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงลึกและช่องทางดิจิตอลต่างๆในการเข้าถึงข้อมูล จะทำให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์มิติใหม่นี้จะทำให้บริษัทไทยต่างๆ ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการนำเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งปรับกลยุทธ์การเจาะตลาดใหม่ เพื่อดำเนินการแบบของไอทีและฝ่ายธุรกิจต่างๆ”

· วางแผนเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เพื่อข้อมูลที่ “ใช่”
ซอฟท์แวร์แอพพลิเคชั่นระดับองค์กรในปัจจุบันส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้มีฟังก์ชั่นเฉพาะเพื่อรองรับข้อมูลที่สนับสนุนฟังก์ชั่นนั้นๆ องค์กรจึงมักพบว่า ข้อมูลที่ตนมีอยู่ไม่สามารถนำมาใช้เพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ เนื่องจากไม่มีการวางแผนการเก็บข้อมูลที่ธุรกิจต้องการตั้งแต่เริ่มแรกที่ออกแบบแอพพลิเคชั่นนั้นๆ ดังนั้น องค์กรยุคใหม่ต้องมีกลยุทธ์สำคัญในการได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกซึ่งเป็นข้อมูลที่ธุรกิจของตนต้องการอย่างแท้จริง โดยเริ่มจากการการวางแผนและออกแบบแอพพลิเคชั่นเพื่อได้ข้อมูล “ที่ถูกต้อง” และให้ความสำคัญกับข้อมูลเป็นเสมือนสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนผลสัมฤทธิ์ในการทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้องค์กรมีมีแต้มต่อเหนือคู่แข่ง

· นำข้อมูลมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว (Data Velocity)
นอกจากความหลากหลาย (variety) และปริมาณอันมหาศาล (volume) ของข้อมูลแล้ว ความเร็ว (velocity) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่บริษัทต่างๆ ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยรูปแบบการทำงานได้ทุกที่ (mobility) และการบริโภคไอทีกันอย่างแพร่หลาย ทำให้เกิดการคาดหวังของผู้บริโภคในการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วฉับไวและการนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ โซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง เทคโนโลยี in-memory computing การวิเคราะห์ข้อมูลสุดล้ำ ระบบดาต้าเวอร์ช่วลไลเซชั่น ระบบการสอบถามข้อมูล (streaming data querying) ทำให้สามารถนำข้อมูลทั้งหมดมาใช้ในการตัดสินใจและดำเนินการทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลมีการนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางและองค์กรเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลเชิงลึกที่สามารถสร้างแต้มต่อในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ดังนั้น ทักษะในการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลของแต่ละองค์กรจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วฉับไวก่อนที่จะสูญเสียโอกาสดีๆ ไป

· ใช้ ‘โซเชียล’ ในการทำงานภายในองค์กร
ความนิยมอย่างแพร่หลายของโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ สไกป์ และกูเกิล พลัส ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารของผู้คนปัจจุบัน การนำกลไกแบบ ‘โซเชียล’ ที่พนักงานมีความคุ้นเคยและใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว มาใช้ในกระบวนการทำงานและสื่อสารภายในองค์กร จึงสามารถเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานได้มากขึ้น ดังนั้น การประสานงานในการทำงานอย่างราบรื่นจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้โซเชียลมีเดียของพนักงาน แต่ต้องเกิดจากการขับเคลื่อนให้งานและกระบวนการต่างๆเป็นไปในรูปแบบ ‘โซเชียล’ ยิ่งขึ้น

· ขับเคลื่อนการทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นระบบเครือข่ายด้วยซอฟท์แวร์
ปัจจุบัน ธุรกิจต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของระบบแอพพลิชั่น เครือข่าย และช่องทางการสื่อสารต่างๆ ส่งผลให้การควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลเป็นสิ่งหนึ่งที่ท้าทายที่สุดของฝ่ายไอทีในองค์กร การทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นหรือระบบเสมือนของเครื่องเซิร์ฟเวอร์อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้านอื่นๆ ทำให้การทำงานมีความคล่องตัวมากขึ้น แต่ระบบเครือข่ายส่วนใหญ่ยังไม่มีการทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นแต่อย่างใด โซลูชั่น software-defined networking หรือ SDN เป็นโซลูชั่นการจัดการเครือข่ายโดยใช้ซอฟท์แวร์แทนระบบฮาร์ดแวร์ เพื่อให้องค์กรต่างๆมีความคล่องตัวในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งยังสามารถตั้งค่าการต่อเชื่อมของระบบต่างๆ ได้ใหม่โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนคุณสมบัติตามปกติที่มีอยู่เดิม ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ จึงสามารถดูแลและบริหารการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ผนวกรวมบริการคลาวด์ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนด้านระบบเครือข่ายได้เพิ่มขึ้น

· มาตรการรุกและตั้งรับภัยคุกคามบนโลกไซเบอร์ยุคใหม่
แม้ว่าเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยจะมีพัฒนาการที่ล้ำหน้าอย่างมาก แต่การป้องกันธุรกิจในยุคดิจิตอลยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง จุดเกิดภัยคุกคามบนโลกไซเบอร์ได้แพร่ขยายลุกลามสู่อุปกรณ์ที่มีหลากหลายขึ้น ผู้ใช้งานที่มีจำนวนมากขึ้น และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายกว้างขึ้น ดังนั้น การรักษาความปลอดภัยระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพที่สุดจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการเชิงรุกที่เป็นมากกว่าการป้องกัน ฝ่ายไอทีไม่เพียงต้องอัพเดทความรู้เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยอยู่เสมอ แต่จะต้องรู้เท่าทันและรู้จักกับผู้คุกคาม พร้อมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนมาตรการป้องกันขององค์กรให้สอดคล้องกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้องค์กรต้องใช้สถาปัตยกรรมระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีที่มีความยืดหยุ่น และมีมาตรการป้องกัน”เชิงรุก” เพื่อจัดการและรับมือกับการคุกคามในรูปแบบต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

· เพิ่มคุณค่าแก่ธุรกิจด้วยเทคโนโลยีคลาวด์
เทคโนโลยีคลาวด์มาพร้อมกับคุณประโยชน์อันมหาศาล และพร้อมช่วยเหลือบริษัทต่างๆ พัฒนาธุรกิจของตนให้แตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่ง สามารถนำสินค้าและบริการออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น และตอบสนองโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น ในขณะนี้ จึงถึงเวลาที่ธุรกิจต่างๆ ต้องถามตนเองแล้วว่า “เราควรใช้เทคโนโลยีคลาวด์อย่างไร?” มากกว่า “ทำไมเราจึงต้องใช้เทคโนโลยีคลาวด์?” องค์กรหลายแห่งได้ติดตั้งเทคโนโลยีคลาวด์บนระบบไอทีแบบเดิมและนำไปใช้กับซอฟท์แวร์ที่มีอยู่เดิมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมแบบ “ไฮบริด” ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวนั้น องค์กรดังกล่าวต้องมีความเข้าใจอย่างถูกต้องและชัดเจนและสามารถเข้าถึงทักษะ สถาปัตยกรรม การกำกับดูแล และการรักษาความปลอดภัยของแอพพลิเคชั่น แพลตฟอร์ม และระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่อยู่ในระบบคลาวด์

“ปัจจุบัน ความท้าทายที่แท้จริงของธุรกิจไทยในยุคดิจิตอล คือ การสร้างโมเดลธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและสามารถรองรับสภาพแวดล้อมที่ใช้ซอฟท์แวร์และแอพพลิเคชั่นเป็นแรงขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่น และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จดังกล่าว องค์กรต่างๆ ต้องนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลที่ยังไม่มีการจัดระเบียบและมีปริมาณมหาศาล เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดและสามารถนำมาใช้ ขับเคลื่อนธุรกิจของตนให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้โอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ได้อย่างเต็มที่ เพิ่มความภักดีของลูกค้า และสร้างผลสัมฤทธิ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น” นนทวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา เอคเซนเชอร์ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ภาพรวมขององค์กรธุรกิจทั้งหมด และนำข้อมูลที่ได้มาใช้กำหนดเทรนด์ไอทีใหม่ๆ ที่มีส่งผลกระทบต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานการวิจัยเรื่องเทรนด์เทคโนโลยี ปี 2556 สามารถเข้าไปดูได้ที่www.accenture.com/technologyvision

View :1314

ทรูไลฟ์ เปิดตัว “myLife” คอมมูนิตี้ไร้ขีดจำกัด และ “App Maker by iTrueMart” ช่องทางทำการตลาดใหม่สำหรับผู้ประกอบการ SME

August 15th, 2013 No comments

IMG_2680
กรุงเทพฯ 14 สิงหาคม 2556: แสดงศักยภาพผู้นำด้านคอนเทนต์และอี-คอมเมิร์ซ
มั่นใจความสำเร็จด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นและบริการ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ตามกลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ นำเสนอ 2 นวัตกรรมสุดล้ำ ทั้ง ที่สร้างกระแสใหม่ให้โลกโซเชี่ยล สำหรับผู้ชื่นชอบการแชทและแชร์ โดยไม่ต้องมีแอพก็แชทหากันได้ทุกมือถือ แถมเหนือกว่าแอพแชทใดๆ ครั้งแรกในโลกด้วยฟังก์ชั่นแชร์รายการทีวีและเพลงโปรด ให้คู่สนทนาได้สนุกกับการดูและฟังไปพร้อมกัน และ เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้สามารถสร้างแอพ อี-คอมเมิร์ซด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ และผู้จัดการทั่วไป ทรูไลฟ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ทรูไลฟ์ เป็นผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์ และอี-คอมเมิรซ์ ที่มีบทบาทสำคัญในการตอบโจทย์กลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ของกลุ่มทรู โดยผสมผสานองค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน คือ Commerce, Content, Community และ Communicator เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ซึ่งในส่วนของ Commerce นั้น ทรูไลฟ์เป็นผู้นำธุรกิจด้านอี-คอมเมิร์ซ ตลอดระยะเวลา 9 ปี ผ่านเว็บไซต์ iTrueMart และ WeLoveShopping.com ด้วยจำนวนผู้เข้าเว็บไซต์รวมกันวันละกว่า 500,000 คน ผู้เข้าชมวันละ 2.5 ล้านเพจวิว ร้านค้ากว่า 300,000 ร้าน สินค้ากว่า 8,000,000 ชิ้น และพาร์ทเนอร์กว่า 200 แบรนด์คุณภาพ สำหรับด้าน Content ทรูไลฟ์ ผลิตและให้บริการคอนเทนต์ที่ครอบคลุมทุกความสนใจในชีวิต ตั้งแต่ดูหนัง ดูทีวี ฟังเพลง อ่านหนังสือ ช้อปปิ้ง เล่นเกม เดินทาง อาหารการกิน สุขภาพ และความรู้สำหรับเด็ก ทั้งแบบดิจิตอล และอินเตอร์แอคทีฟ ซึ่งมีผู้สนใจเข้ามาใช้บริการผ่านเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นวันละกว่า 400,000 คน มียอดดาวน์โหลดแอพรวมแล้วกว่า 16 ล้านครั้ง ล่าสุดในด้าน Community และ Communicator ทรูไลฟ์ รุกครองใจคนรุ่นใหม่ นำเสนอ 2 นวัตกรรม ฝีมือคนไทย มาตรฐานโลก “myLife” พื้นที่สังคมออนไลน์โฉมใหม่ เพิ่มกระแสโซเชียล เน็ตเวิร์ค และ “App Maker by iTrueMart” บริการสร้างแอพ อี-คอมเมิร์ซด้วยตัวเองสำหรับผู้ประกอบการ SME”

นายสืบสกล สกลสัตยาทร ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และทรู แอพ เซ็นเตอร์ บริษัท ทรู ดิจิตอล คอนเท้นท์ แอนด์ มีเดีย จำกัด กล่าวว่า “myLife” เป็นบริการที่เปิดโอกาสให้คอมมูนิตี้ที่ชื่นชอบเรื่องเดียวกันได้พูดคุยและแชร์กันในกลุ่ม โดดเด่นด้วย 2 ความพิเศษ ได้แก่
· การแชทแบบไร้ขีดจำกัดบนมือถือทุกรุ่น ทั้งผ่านแอพในสมาร์ทโฟน และแชทฟรี ด้วย SMS ผ่านแอพ myLife สำหรับ Feature Phone ระบบทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช
· ฟังก์ชั่นที่พัฒนาขึ้นใหม่ซึ่งไม่เคยมีโซเชียล เน็ตเวิร์คใดในโลกเคยทำมาก่อน คือการแชร์รายการทีวีและเพลงโปรด ให้เพื่อนได้ดูและฟังไปพร้อมๆ กันอย่างสนุกสนาน
นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นที่โดนใจอื่นๆ อีก อาทิ
1. myStuff ให้เก็บรูปภาพที่แชร์ไว้บน myLife ได้อย่างไม่จำกัด
2. myLife Social สามารถเขียน Status, Upload รูปภาพ, Share Video, Share Location ไปยังเพื่อนๆ ในกลุ่มได้ และเชื่อมต่อไปยัง Facebook และ Twitter ของตัวเองได้ด้วย
3. Games สนุกๆ สำหรับเล่นบนมือถือ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปิดบริการอี-คอมเมิร์ซใหม่สำหรับผู้ประกอบการ SME ได้แก่ “App Maker by iTrueMart” สร้างแอพ อีคอมเมิร์ซด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์ ไม่ต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่ง เพื่อช่วยรวบรวมฐานลูกค้า สร้างความผูกพัน นำไปสู่ธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคง โดยแอพดังกล่าวมีฟังก์ชั่น อาทิ
· Push notification ส่งตรงโปรโมชั่นสู่กลุ่มเป้าหมาย
· Loyalty Program ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าด้วยการสะสมคูปองหรือแสตมป์
· Dashboard ติดตามความเคลื่อนไหวธุรกิจ วิเคราะห์การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดได้แบบ Real-Time
· เชื่อมต่อโลกออนไลน์ เพื่อกระจายแคมเปญสู่โซเชียล

View :1363