Archive

Archive for February, 2014

ทรูมูฟ เอช เปิดตัวมือถือ GO Live Facebook รองรับ 3G รุกตลาดมือถือ 3G

February 20th, 2014 No comments

Printกรุงเทพฯ 20 กุมภาพันธ์ 2557 – ผู้ให้บริการ 3G ที่ดีที่สุด ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดทั่วประเทศ ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์โฟนตระกูล GO Live รุ่นใหม่ล่าสุด GO Live รองรับ 3G ออกแบบสำหรับลูกค้าที่ชอบเล่นเฟซบุ๊คตลอดเวลาในทุกที่ โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ด้วยปุ่ม F-Button ที่ช่วยเชื่อมต่อเฟซบุ๊คได้อย่างรวดเร็วทันใจในปุ่มเดียว นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดบัญชีเฟซบุ๊คได้ง่ายกว่าเดิม เพียงใส่หมายเลขโทรศัพท์มือถือและยังได้รับการแจ้งเตือน (notification) จากเฟซบุ๊คผ่าน SMS ฟรี พร้อมอัดแน่นด้วยคุณสมบัติเด่น อาทิ หน้าจอขนาดใหญ่ 2.8 นิ้ว กล้องหน้าความละเอียด 0.3 ล้านพิกเซล กล้องหลังความละเอียดสูงสุดถึง 3 ล้านพิกเซล อึดกว่าด้วยแบตเตอรี่ขนาด 1400 mAh ในราคาเพียง 1,450 บาท รับประกันนาน 15 เดือน พร้อมด้วยโปรโมชั่นสุดคุ้ม สำหรับลูกค้าแบบเติมเงิน รับโบนัสคืนสูงสุด 1,290 บาท พร้อมเล่นเฟซบุ๊คฟรีไม่อั้น 30 วัน เมื่อเติมเงินครบ 50 บาท นานสูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้ารายเดือน รับส่วนลดค่าบริการรายเดือนรวม 1,290 บาท พร้อมใช้บริการ 3G และ WiFi ไม่จำกัด เล่นเฟซบุ๊คไม่อั้น เป็นเจ้าของ GO Live รองรับ 3G จากทรูมูฟ เอช ได้แล้ววันนี้ที่ร้านทรูช้อป ร้าน 7-Eleven ทรูสโตร์และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

ดร. กิตติณัฐ ทีคะวรรณ ผู้อำนวยการ ธุรกิจรีเทล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ปัจจุบันตลาดสมาร์ทโฟนมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% แต่ทรูมูฟ เอช ยังเล็งเห็นศักยภาพของตลาดฟีเจอร์โฟนซึ่งยังมีอยู่กว่า 40% ในตลาด เราจึงได้ออกแบบฟีเจอร์โฟนที่รองรับ 3G พร้อมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คสุดฮิตอย่างเฟซบุ๊ค เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ โดยทรูมูฟ เอช ภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับ เฟซบุ๊ค ผู้นำโซเชียลเน็ตเวิร์คระดับโลก นำเสนอ รองรับ 3G ฟีเจอร์โฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่เชื่อมต่อเข้าสู่เฟซบุ๊คได้อย่างง่ายดาย ผ่าน SMS ฟรี ทรูมูฟ เอช เชื่อมั่นว่า รองรับ 3G สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้ 3G ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการร่วมมือเป็นพันธมิตรกันครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน โดยผู้บริโภคก็จะได้ใช้โทรศัพท์มือถือคุณภาพดีเยี่ยมที่ออกแบบเป็นพิเศษเน้นเรื่องประโยชน์ของการใช้งานเป็นหลัก และได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการใช้เครือข่าย 3G ที่ดีที่สุด ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดของเรา ส่วนเฟซบุ๊คก็สามารถขยายฐานผู้ใช้งานได้มากขึ้น ในขณะที่ทรูมูฟ เอช ก็สามารถตอกย้ำความเป็นผู้นำทั้งทางด้านเสียงและดาต้าอีกด้วย”

มร. ไลออร์ ทาล หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Facebook กล่าวว่า “ภารกิจของเฟซบุ๊ค คือทำให้สมาชิกสามารถแชร์ และสร้างโลกที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงถึงกันได้มากยิ่งขึ้น สำหรับทรูมูฟ เอช มีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์โทรศัพท์มือถือ GO Live Facebook รองรับ 3G เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมมือกับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกัน ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้งานเฟซบุ๊คผ่านโทรศัพท์มือถือกว่า 17 ล้านคน จากการประกาศความร่วมมือกับทรูในวันนี้ เรามั่นใจว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวไทยสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและเฟซบุ๊คได้ง่ายยิ่งขึ้นเพียงแค่กดปุ่มเดียวบนโทรศัพท์มือถือเท่านั้น”

Go Live Facebook รองรับ 3G อัดแน่นด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าฟีเจอร์โฟนทั่วๆ ไป อาทิ หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 2.8 นิ้ว กล้องหน้า ความละเอียด 0.3 ล้านพิกเซล กล้องหลัง ความละเอียด 3.0 ล้านพิกเซล รองรับ 3G และ WiFi สามารถใช้เป็นตัวปล่อยสัญญาน WiFi (WiFi hot-spot) ได้อีกด้วย แบตเตอรี่ขนาด 1400 mAh ความจำภายใน 64 MB สามารถเพิ่มความจำภายนอกได้ถึง 16 GB ในราคาเบาๆ เพียง 1,450 บาท และยังเป็นโทรศัพท์เฮ้าส์แบรนด์รุ่นแรกที่มาพร้อมกับปุ่ม F-Button เพื่อเชื่อมต่อ Facebook ได้อย่างสะดวกรวดเร็วทันใจ

นอกจากนี้ทรูมฟ เอช ยังจัดโปรโมชั่นสุดคุ้มฉลองการเปิดตัว GO Live Facebook รองรับ 3G ดังนี้

สำหรับลูกค้าแบบเติมเงิน

· รับโบนัสค่าโทรและเน็ตฟรีสูงสุด 1,290 บาท : เติมเงินเท่าไร ได้โบนัสค่าโทรและเน็ตฟรี เท่ามูลค่าที่เติมเงิน สูงสุด 1,290 บาท

· รับสิทธิ์เล่นเฟซบุ๊ค ฟรี 30 วัน เมื่อเติมเงินครบ 50 บาท นานสูงสุด 1 ปี (ค่าบริการส่วนเกิน: ค่าโทร 0.99 บาท/นาที, 3G/EDGE/GPRS 1 บาท/MB, SMS 2 บาท/ข้อความ, MMS 5 บาท/ครั้ง, WiFi 1 บาท/นาที)

· รับการแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ค ผ่าน SMS ฟรี

· อัตราค่าบริการ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม): โทรทุกเครือข่ายนาทีละ 99 สตางค์ ตลอด 24 ชั่วโมง, SMS 2 บาท/ข้อความ, MMS 5 บาท/ครั้ง

สำหรับลูกค้าแบบรายเดือน

· รับส่วนลดค่าบริการรายเดือนรวม 1,290 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดค่าบริการในแต่ละรอบบิล

· ฟรี เล่นเฟซบุ๊คไม่อั้น พร้อมฟรี WiFi ไม่จำกัด นาน 12 รอบบิล
Screen Shot 2557-02-20 at 11.04.09 PM
*รับสิทธิ์ใช้ 3G/EDGE/GPRS ได้ที่ความเร็วสูงสุด 42 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps.) ตามปริมาณที่กำหนด หลังจากนั้นใช้ได้ไม่จำกัดปริมาณที่ความเร็วสูงสุด 64 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps.) สำหรับแพ็กเกจ iSmart299 และใช้ได้ไม่จำกัดปริมาณที่ความเร็วสูงสุด 128 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps.) สำหรับแพ็กเกจ iSmart399+ และ iSmart599

View :2242

ทูซีทูพี ขยายปีกผนึก มาสเตอร์การ์ด เปิดตัว “easyBills” ครั้งแรกของไทย

February 20th, 2014 No comments

IMG_1094

ให้ลูกค้าจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภค และเติมเงิน ผ่านบัตรเครดิต

กรุงเทพ 20 กุมภาพันธ์ 2557 – บริษัท (ประเทศไทย) จำกัด ผนึกความร่วมมือกับมาสเตอร์การ์ด เปิดตัว“easyBills” นวัตกรรมทางการเงินครั้งแรกของไทย ที่ให้ผู้ใช้สามารถจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภค เติมเงิน และบิลอื่นๆ ผ่านบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด ได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า ช่วยอำนวยความสะดวกในการจ่ายบิลให้ง่ายขึ้น ผ่านทางเว็บไซต์ www.easyBills.in.th หรือผ่านแอพพลิเกชั่น “easyBills” บนสมาร์ทโฟน แถมยังได้อะไรที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นคะแนนสะสมและการยืดเวลาการจ่ายด้วยการใช้บัตรเครดิต การเก็บบิลที่จ่ายประจำในรายการโปรด และที่สำคัญไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เมื่อใช้บัตรมาสเตอร์การ์ด ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2557

นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร กรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เป็นผู้นำในการให้บริการการรับชำระเงินแบบครบวงจร ทั้งในส่วนของ e-Commerce และ m-Commerce ครอบคลุมทุกช่องทางทั้งจากบัตรเครดิตชั้นนำทุกประเภท และการเรียกเก็บเงินแบบเงินสดผ่านเคาน์เตอร์รับชำระเงินชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงการชำระผ่านตู้เอทีเอ็มและช่องทางต่างๆของธนาคารภายใต้ชื่อบริการ 1-2-3 และในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าที่กังวลกับการจ่ายบิลอยู่เป็นประจำ ให้จ่ายบิลง่ายและสะดวกขึ้น บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวบริการ easyBills ซึ่งเป็นบริการทางการเงินยุคใหม่ที่จะเข้ามาตอบสนองคนยุคดิจิทัล ที่มีไลฟ์สไตล์คุ้นเคยกับโลกออนไลน์ ให้จ่ายบิลได้ง่ายขึ้น ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นบิลค่าน้ำ ค่าไฟ เติมเงินมือถือ ค่าโทรศัพท์ และบิลอื่นๆ ผ่านบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด โดยไม่ต้องสมัครหรือลงทะเบียนล่วงหน้า ผู้ใช้สามารถใช้บริการ easyBills ได้ที่ www.easyBills.in.th หรือผ่านแอพพลิเคชั่น easyBills บนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android และสำหรับช่วงแนะนำบริการใหม่นี้ เรามีความยินดีที่จะยกเว้นค่าบริการสำหรับ 3,000 ท่านแรกที่จ่ายแต่ละบิลในแต่ละเดือนจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2557″

นายปิยชาติ กล่าวต่อไปว่า บริการ “easyBills จ่ายบิลง่าย…ได้อะไรมากกว่า” ได้ถูกพัฒนาให้มีฟีเจอร์พิเศษมากมายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกข้อมูลบัตรเครดิตไว้เพื่อง่ายต่อการใช้บริการครั้งต่อไปด้วยความปลอดภัยมาตรฐานสากล PCIDSS Level 1 ที่บริษัทได้รับ การเก็บบิลที่จ่ายประจำไว้ในรายการโปรด การตรวจสอบการจ่ายบิลที่ผ่านมาได้ และการกำหนดเตือนการจ่ายบิลได้ด้วยตนเอง ผู้ใช้งานจะได้รับหลักฐานยืนยันการจ่ายบิลผ่านทางอีเมล์ทันทีที่ทำรายการสำเร็จ

ทางด้าน นายแอนโทนิโอ คอร์โร ผู้จัดการประจำประเทศไทยและพม่า กล่าวว่า “มาสเตอร์การ์ดมีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการมองหาช่องทางใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ถือบัตรที่มีความสนใจและมีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทาง ทูซีทูพี (ประเทศไทย) ในการช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าที่ต้องการชำระค่าสินค้าและบริการที่ใช้อยู่เป็นประจำ ผ่านช่องทางบริการออนไลน์รูปแบบใหม่ที่สะดวกและปลอดภัยผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด สามารถชำระบิลได้ทุกที่ ทุกเวลา และจ่ายบิลได้หลายรายการเพียงเข้ามาที่ easyBills ที่เดียว แค่คุณมีหมายเลขบัตรมาสเตอร์การ์ดของทุกธนาคาร ก็สามารถชำระบิลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และมั่นใจได้ในความปลอดภัยด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากล 3D Secure ของมาสเตอร์การ์ด”

easyBills “จ่ายบิลง่าย…ได้อะไรมากกว่า” นับเป็นช่องทางใหม่ของการจ่ายบิลแบบออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด โดยได้รับความสนับสนุนจากมาสเตอร์การ์ด ผู้ใช้สามารถจ่ายบิลค่าสาธารณูปโภค – ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา โทรศัพท์บ้าน เติมเงินโทรศัพท์มือถือ เติมเงิน e-wallet จ่ายบิลค่าประกัน ค่าสินค้าออนไลน์ ค่าเกมส์ ค่าหนังสือ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ จ่ายได้หลายบิลในที่เดียว และจ่ายที่ไหน เมื่อไรก็ได้ ที่สำคัญปลอดภัยด้วยมาตรฐานระดับสากลของการใช้บัตรเครดิตแบบออนไลน์ 3D Secure

นายปิยชาติ กล่าวต่อไปอีกว่า ในการออกบริการนี้ตั้งเป้าในช่วงปีแรกคาดว่าจะมีสมาชิกประมาณ 1 แสนราย โดยจะมียอดเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 1 หมื่นราย และในวันที่ 1 มีนาคมนี้ เราจะสามารถเปิดบริการได้เต็มรูปแบบ โดยให้บริการกว่า 40 บิล และตั้งเป้าที่จะขยายบิลให้ได้ไม่เกิน 100 ในปีนี้ และไม่เกิน 200 บิล เพื่อความสะดวกของลูกค้า

ซึ่งปัจุบัน เรามีสาขาบริการให้อยู่ 7 ประเทศ โดยมีสิงคโปร เป็นบริษัทแม่ และมีประเทศอินโดนีเซีย, พม่า, กัมพูชา, ลาว, ฮ่องกง และไทย โดยประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศที่สามารถทำรายได้หลักของบริษัทฯ ประมาณ 80 % ซึ่งมาจากยอดการใช้บัตรเครดิตของคนไทยที่มีอัตราการใช้บริการที่สูงที่สุดกว่า 17 ล้านใบ และในอนาคตคาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซ จะมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นถ้าเมื่อมีการเปิดตลาด AEC และจะทำให้ 2C2P มีอัตราการเติบโตอย่างมากแน่นอน นายปิยชาติ กล่าวปิดท้าย

เกี่ยวกับ 2C2P

2C2P ผู้นำในการให้บริการการรับชำระเงินแบบครบวงจร ทั้งในส่วนของ e-Commerce และ m-Commerce ครอบคลุมทุกช่องทางทั้งจากบัตรเครดิตชั้นนำทุกประเภท และ การเรียกเก็บเงินแบบเงินสดผ่านเคาน์เตอร์การรับชำระเงินชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงชำระผ่านตู้เอทีเอ็มและช่องทางต่างๆ ของธนาคาร เป็นบริษัทแรกๆ ในแถบเอเชีย แปซิฟิกที่ได้รับการรับรองด้านมาตรฐานการรับชำระเงินขั้นสูงด้านความปลอดภัย Payment Card Industry Data Security Standard (PCIDSS) จากสถาบัน PCI Security Standards Council รวมถึงเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัททั่วโลกที่ได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยจากบริษัทบัตรเครดิตชั้นนำ ในการรับชำระเงินแบบออนไลน์ ทั้งบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็น Verified by VISA, MasterCard SecureCode, JCB J/Secure และ AmericanExpress SafeKey และบริษัทยังมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอันยาวนานกว่า 10 ปี www.2C2P.com

เกี่ยวกับมาสเตอร์การ์ด

มาสเตอร์การ์ด (NYSE: MA) www.mastercard.com บริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมและการชำระเงินระดับโลก บริหารจัดการระบบชำระเงินที่รวดเร็วที่สุดในโลก เชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างผู้บริโภค สถาบันการเงิน พันธมิตรทางการค้า หน่วยราชการ และภาคธุรกิจในกว่า 210 ประเทศทั่วโลก ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของมาสเตอร์การ์ดช่วยให้ธุรกรรมเชิงพาณิชย์ทุกประเภท อาทิ การจับจ่ายซื้อของ การเดินทางท่องเที่ยว การเปิดธุรกิจ และการบริหารการเงินง่ายดายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ข้อมูลเพิ่มเติมของมาสเตอร์การ์ดสามารถดูได้ที่ทวิตเตอร์ @MasterCardNews ร่วมพูดคุยกันใน Cashless Pioneers Blog หรือลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารต่างๆ จากเราที่ Engagement Bureau

View :1666

Facebook เข้าซื้อกิจการ WhatsApp

February 20th, 2014 No comments

Screen Shot 2557-02-20 at 11.07.13 AM

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยเสริมศักยภาพด้านการเชื่อมต่อผู้คนและประโยชน์การใช้งานด้านต่างๆ ของ สู่โลกมากขึ้น

Facebook ประกาศข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการของ ในวันนี้ ซึ่งนับเป็นบริษัทด้านแพลตฟอร์มการสื่อสารผ่านมือถือที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว การซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมการจ่ายเป็นเงินสด 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจ่ายเป็นหุ้นของ Facebook มูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ข้อตกลงครั้งนี้ยังรวมถึงการมอบหุ้นแบบจำกัดจำนวนให้แก่ผู้ก่อตั้งและพนักงานของ เพิ่มอีกเป็นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะครอบคลุมเป็นเวลา 4 ปี

“WhatsApp เป็นช่องทางที่เชื่อมต่อกับผู้คนทั่วโลกถึง 1 พันล้านคน การให้บริการที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขนาดนี้นับเป็นสิ่งที่มีมูลค่าอย่างมหาศาล ผมรู้จักแจนมาเป็นเวลานาน และก็ตื่นเต้นมากที่ได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับเขาและทีมงาน เพื่อร่วมกันเปิดโลกให้กว้างขึ้น และเชื่อมต่อกันมากขึ้น” มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าว

View :1589

Thailand Mobile Expo 2014 ยอดเงินสะพัด

February 17th, 2014 No comments

tme2014_08
บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด ผนึกกำลังพันธมิตรโทรศัพท์มือถือกว่า 40 แบรนด์ดังชั้นนำ อาทิ Samsung, Nokia, OPPO, i-mobile, Sony, HTC ร่วมด้วยโอเปอเรเตอร์รายใหญ่ทั้ง 4 ค่าย AIS, , TrueMove H, TOT และบริษัทคู่ค้า จัดงาน “ 2014” ครั้งที่ 17 มหกรรมมือถือ ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เมื่อวันที่ 13 – 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

นาย โอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมของการจัดงาน “Thailand Mobile Expo 2014” ว่ามีจำนวนผู้เข้าชมงาน และยอดเงินสะพัดอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ แม้ว่าการจัดงานครั้งนี้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ รวมไปถึงการที่ยังไม่มีสินค้าใหม่ๆ มาเปิดตัวภายในงานมากนัก ส่งผลให้ยอดรวมที่ได้มีจำนวนลดลงกว่า 20% เมื่อเทียบกับการจัดงานในครั้งก่อน แต่ทั้งนี้จุดที่น่าสังเกตก็คือ จำนวนผู้เข้าชมงาน และยอดเงินสะพัดภายในงานครั้งนี้ กลับมีจำนวนใกล้เคียงกับการจัดงานเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ในขณะที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ เหมือนเช่นในตอนนี้ ซึ่งถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดี ในการตื่นตัวของตลาดมือถือหลังจากซบเซามานาน

นาย โอภาส กล่าวต่อว่า แนวโน้มในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนของผู้เข้าชมงานในครั้งนี้ ยังคงพุ่งเป้าไปยังสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งสังเกตได้ว่า กลุ่มผู้บริโภคได้มีการศึกษาหาความรู้ในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่าเหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองมาพอสมควร ทำให้ยอดขายของสมาร์ทโฟนจอใหญ่มีการกระจายออกไปในแต่ละ

กลุ่มระดับราคา ไม่กระจุกตัวอยู่แค่เฉพาะกลุ่มที่มีระดับราคาสูง หรือกลุ่มระดับราคาเริ่มต้นเพียง
อย่างเดียว โดยสัดส่วนยอดขายสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตภายในงานแยกตามระบบปฏิบัติการนั้น
แชมป์เก่าอย่าง Android ยังคงรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ กับยอดขายประมาณ 60% จากยอดขายทั้งหมด ตามมาด้วย iOS ที่สามารถแชร์ส่วนแบ่งจาก Android ได้มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยยอดขาย 30% เนื่องจากโปรโมชั่น iPhone จากผู้ให้บริการเครือข่ายค่ายต่างๆ นั้นเป็นที่ดึงดูดกลุ่มผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดจำหน่ายเครื่องแบบผูกสัญญาเพิ่มขึ้น และปิดท้ายด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Phone กับส่วนแบ่ง 10% จากยอดขายทั้งหมด ซึ่งได้นับรวมระบบปฏิบัติการ Windows บนแท็บเล็ต ซึ่งเป็นที่สังเกตได้ว่ากลุ่มผู้บริโภคหันมานิยมเลือกซื้อแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows กันมากขึ้น ด้วยเหตุผลหลักคือสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้อย่างสะดวก และคุ้นเคยไม่ต่างจากการทำงานบนโน้ตบุ๊ค หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป

นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้เห็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอที และกล้องถ่ายภาพรายใหญ่ หันมาสนใจในตลาดมือถือ และตัดสินใจเข้าร่วมงาน “Thailand Mobile Expo 2014” อย่างพร้อมเพรียง เป็นการเพิ่มความคึกคักให้กับตลาดมือถือ และแสดงให้เห็นว่าตลาดมือถือในบ้านเรายังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปได้อีก นายโอภาส กล่าวปิดท้าย

View :1271

“นาโนเทค” ผนึก พันธมิตร ขับเคลื่อนเวชสำอางไทย พร้อมแข่งขัน ตลาดอาเซียน

February 13th, 2014 No comments

P-ครีมและเจลมะขามป้อม (Large)

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเอมรัลด์ กรุงเทพฯ ถ.รัชดาภิเษก ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ( ) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) จัดประชุมวิชาการ เรื่อง “Moving Forward to Skin Care Cosmetics Innovation” เพื่อขับเคลื่อนนัวตกรรมด้านเครื่องสำอางใหม่ๆ เข้าไปสู่กระบวนการผลิต รวมทั้งแลกเปลี่ยนรับรู้ระเบียบข้อบังคับด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในเวทีระดับอาเซียนโดย โดยมีผู้ประกอบการเครื่องสำอาง หน่วยงานภาครัฐให้ความสนใจร่วมฟังสัมมนากว่า 200 คน

ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค กล่าวเปิดงาน ว่า การขับเคลื่อนนัวตกรรมด้านเครื่องสำอาง ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลกนั้น เป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการด้านเวชสำอางและระบบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากประเทศไทยผลิตเครื่องสำอางปีละกว่า 200,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศไทย

ศ.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า ที่สำคัญอย่างยิ่งประชาชนและผู้บริโภคก็มีความกังวลว่า ทำอย่างไรจะทำให้ได้เครื่องสำอางที่ดี ปลอดภัย ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดเครื่องสำอางจำเป็นต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น นวัตกรรมด้านนาโนเทคโนโลยีที่จะทำให้สารสกัดสมุนไพรที่ผสมในเครื่องสำอางต่างมีความคงตัวและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ดังนั้นนวัตกรร มสำหรับเครื่องสำอางจึงเป็นปัจจุยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบเครื่องสำอางไทยได้รับการยอมรับในนานาชาติมากขึ้น

“หากดูในตลาด จะมีนวัตกรรมเครื่องสำอางที่มีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งผู้ประกอบการต้องติดตามเทรนด์เครื่องสำอางของตลาดโลกให้ทัน เพื่อจะดูว่าความต้องการของตลาดโลกกับเทรนด์เครื่องสำอางที่ประเทศไทยผลิตนั้นตรงกัน” ผอ.ศูนย์นาโนเทค กล่าว และว่า อย่างไรก็ตามผู้ที่เข้ารับฟังการประชุมวิชาการที่นาโนเทค ร่วมกับพันธมิตรจัดขึ้นครั้งนี้ ผู้ประกอบการจะได้รับทราบว่า กระบวนการในการดูแล ความคุม และทดสอบความปลอดภัยของเครื่องสำอาง ตามที่สำนักการคณะกรรมการอาหารและยากำหนดนั้นเป็นอย่างไร และจะทำอย่างไรจึงจะได้รับการรับรองด้านเครื่องสำอางอย่างถูกต้องและได้ตามมาตรฐานที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีข้อระวังที่จะดูแลการผลิตและข้อกฎหมายต่างๆ ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น

ผอ.ศูนย์นาโนเทค กล่าวว่า ทั้งนี้ในโอกาสที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต้องยอมรับว่าประเทสไทยมีจุดแข็งในด้านส่งออกเครื่องสำอางเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาค อาเซียน และมีโอกาสแข็งขันสูงมาในเรื่องเวชสำอาง ซึ่งคาดว่าในปี 2558 ประเทศไทยจะมีการเติบโตในด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอางอย่างมากและได้เปรียบในการแข่งขันกับกลุ่มประเทศอาเซียน จึงเป็นโอกาสดีที่หน่วยงานภาครัฐและผู้ประกอบการตื่นตัวและเตรียมความพร้อมในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง

View :1791
Categories: Science Tags:

ดีแทคประกาศพันธกิจ Connecting Everyone by 2015 – Internet for All พร้อมเปิดให้บริการ 4G 2100MHz เร็วๆ นี้

February 13th, 2014 No comments

dtac_9161
13 กุมภาพันธ์ 2557 – ไตรเน็ต เตรียมเปิดให้บริการ 4G บน 2100MHz ต่อยอดประสบการณ์ลูกค้าเร็วๆ นี้ในพื้นที่กรุงเทพ พร้อมเร่งเปลี่ยนโครงข่ายสถานีฐานรองรับ 3G 2100MHz ทั่วประเทศภายในเดือนมิถุนายน มุ่งสานพันธกิจหลัก Connecting Everyone by 2015 –

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าดีแทคได้มุ่งสู่พันธกิจ Connecting Everyone by 2015 – Internet for all โดยใน ปีพ.ศ. 2558 ดีแทคอยากให้ลูกค้าดีแทคทุกคนสามารถเข้าถึงประสบการณ์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือ หรือแท็บเล็ต ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าประมาณ 38% จากลูกค้าทั้งหมดที่มีประสบการณ์โมบายล์อินเทอร์เน็ตแล้ว ทั้งนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสังคมไทย เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยรวมให้กับประเทศ และเชื่อมต่อช่องว่างในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ (Digital Divide)

ดีแทคมุ่งเน้นกลยุทธ์หลัก 3 แนวทาง กลยุทธ์แรก คือ Internet for All การทำให้คนไทยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ภายใน 3 ปี เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดประสบการณ์ใช้งานดาต้า ดีแทค ไตรเน็ตพร้อมเปิดให้บริการ 4G บนคลื่น 2100 MHz เร็วๆ นี้ ระหว่างนี้ดีแทค ไตรเน็ตและ Apple จะดำเนินการทดสอบการใช้งาน 4G ร่วมกัน เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดก่อนเปิดบริการ โดยในช่วงเริ่มต้นจะเปิดให้บริการ 300 สถานีฐานครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพชั้นใน ได้แก่ สีลม สาทร ปทุมวัน บางรัก พญาไท ราชเทวี คลองเตย ดินแดง ฯลฯ ดีแทค ไตรเน็ตมีแผนจะเปิดตัวให้บริการและแนะนำข้อมูลเพื่อกระตุ้นตลาดอีกครั้ง ทันทีที่เปิดให้บริการ 4G อย่างเป็นทางการ ดีแทคคาดว่ามีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของลูกค้าบนเครือข่ายดีแทคมากกว่า 1 ล้านเครื่องทั่วประเทศที่รองรับการใช้งาน 4G

ทั้งนี้ ดีแทค ไตรเน็ตได้เคยทดสอบ 4G เมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยดีแทคมีอุปกรณ์โครงข่ายที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ สามารถทำการอัพเกรดเครือข่ายทั่วประเทศจาก 3G เป็น 4G ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่เปลี่ยนการ์ด 4G ในตู้สัญญาณ ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น ส่งผลให้ดีแทค ไตรเน็ตเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายที่มีความพร้อมในการเปิดให้บริการ 4G ได้รวดเร็ว นอกจากพร้อมที่จะนำเทคโนโลยี 4G ที่ทันสมัยมาสู่ผู้ใช้งานแล้ว ยังเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะสามารถสร้างโอกาสต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานอย่างมหาศาลเพื่อผู้ใช้งานทั่วประเทศ

ขณะนี้ ยอดผู้ใช้งานดีแทค ไตรเน็ตมีมากกว่า 14 ล้านราย (ข้อมูล ณ 9 ก.พ. 2557) โดยมีสถานี 2100 MHz ที่ให้บริการแล้วครอบคลุมการใช้งานของประชากรประมาณ 55-60% มีจำนวนสถานีฐานรองรับ 3G 2100 MHz กว่า 5,900 แห่งทั่วประเทศ โดยดีแทค ไตรเน็ต มีแผนจะเปลี่ยนโครงข่ายทุกสถานีให้รองรับ 3G 2100 MHz ทุกสถานีทั่วประเทศเสร็จสิ้นภายในมิถุนายนนี้ เพื่อช่วยในการเข้าถึงบริการ 3G มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วในการใช้งานของอินเทอร์เน็ต

นายชัยยศ จิรบวรกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มลูกค้า บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ที่ 2 คือ Loved by Customers สร้างความรู้สึกรัก และประทับใจในบริการ เพื่อให้ลูกค้าแนะนำและบอกต่อกับเพื่อน ครอบครัว ญาติพี่น้อง ความสำเร็จที่มาจากการที่ลูกค้าชื่นชอบและแนะนำต่อไป ดีแทคจะใช้งบลงทุนจำนวน 800 ล้านบาท ในการปรับโฉมและขยายศูนย์บริการ 300 แห่ง ร้านค้าย่อยเติมเงิน 200,000 แห่ง ทุกตำบลทั่วประเทศ ลูกค้าจะได้สัมผัสกับแนวคิด One-stop service ได้รับความสะดวกในการใช้บริการอย่างครบวงจร ทั้งการให้คำแนะนำปรึกษา จำหน่าย และบริการหลังการขายที่ต่อเนื่องเป็นระบบเดียวกัน เพิ่มความเร็วในการให้บริการด้วยเครื่องมือดิจิตอล ให้ลูกค้าได้รับข้อมูลการบริการบนอุปกรณ์ต่างๆ ภายในศูนย์บริการอย่างรวดเร็ว

“เพิ่มศักยภาพพนักงานในการให้บริการด้วยโปรแกรม F.A.S.T มาจากการให้บริการแบบดีแทคสไตล์ Friendly: การเอาใจใส่ลูกค้า มีความเป็นมิตร และบริการเป็นกันเอง Active: มีความกระตือรือร้นในการให้บริการตลอดเวลา เห็นลูกค้าเป็นคนสำคัญ Smart: มีความรู้ความสามารถ ในสินค้าและบริการ มีทักษะในการแนะนำและแก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ และ Teamwork: ความสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข และพนักงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องสมาร์ทโฟน (Smart Phone Expert) ประจำศูนย์บริการ ยิ่งไปกว่านั้นคอลเซ็นเตอร์ยังมีกลุ่มพนักงานที่เชี่ยวชาญรับสายลูกค้าได้ถึง 10 ภาษา” นายชัยยศ กล่าว

นาย จอน กล่าวปิดท้ายว่า “กลยุทธ์ที่ 3 คือ Efficient Operations เป็นการมุ่งเน้นการปรับปรุงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในอนาคตและความคาดหวังของผู้ถือหุ้น การแข่งขันในยุคดิจิตอลที่เราต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพและการเปลี่ยนแปลง เพื่อส่งต่อประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้ลูกค้า ภายใต้ กลยุทธ์ดังกล่าว ดีแทคได้มีโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure sharing) เพื่อให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือไทย เช่าใช้โครงข่ายเสาโทรคมนาคม อุปกรณ์สื่อสัญญาณ สายไฟเบอร์ออพติกร่วมกันสู่การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ประหยัดงบลงทุน และเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินงานสู่บริการ

นอกจากนี้ ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว ดีแทคริเริ่มแนวคิด One Digital ที่มุ่งเปลี่ยนวัฒนธรรมและกระบวนการทำงานในองค์กรให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันในปัจจุบันที่เปลี่ยนจากธุรกิจวอยซ์เป็นดาต้า โดยดีแทคได้มุ่งเน้น 6 ข้อหลักคือ 1. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรดิจิตอล 2. การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานภายในเป็นดิจิตอล 3. การทำงานเน้นสไตล์ยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยน 4. เพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการให้บริการและช่องทางขาย 5. การนำโซเชียลมีเดียมาใช้ประโยชน์ในธุรกิจ สู่ช่องทางขายในอนาคต ที่ผ่านมา ดีแทค ออนไลน์ สโตร์สามารถมียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในไทย 6. การวางกลยุทธ์สร้างคอนเทนท์พาร์ทเนอร์ เพื่อผลักดันให้ดีแทคเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบ”

View :1474

แสนสิริ ปรับดีไซน์เว็บไซต์ www.sansiri.com

February 13th, 2014 No comments

บริษัท จำกัด (มหาชน) ปรับดีไซน์เว็บไซต์ www.sansiri.com พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพด้านการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโครงการที่อยู่อาศัยและข้อมูลทั่วไปของบริษัท
Screen shot sansiri
เพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่ต้องการหาที่อยู่อาศัยใหม่และผู้ลงทุนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเกือบ 2,000,000 (สองล้าน) รายหรือใช้บริการกว่า 19,000,000 (สิบเก้าล้าน) หน้า Pageviews ต่อปี รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่ช่วยสนับสนุนกิจกรรมด้านการตลาดและการขายโปรดักส์ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้เพิ่มฟังก์ชั่นการให้บริการที่โดดเด่น ได้แก่ การค้นหาบ้านได้จากทำเลที่ตั้งหรือ Based on User’s Location ที่สามารถตรวจจับตำแหน่งของผู้ใช้งานเพื่อแนะนำโครงการใกล้เคียงตามลำดับได้อย่างชาญฉลาด รวมถึง Smart Search สะดวกรวดเร็วกับระบบค้นหาที่สามารถแนะนำผลลัพธ์ได้ (Item Suggestion)
Sansiri Web1
นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ในการออกแบบเว็บไซต์คือ Responsive Design ซึ่งจะรองรับการแสดงผลอย่างสวยงามผ่านทุกขนาดหน้าจอ ทั้งจอคอมพิวเตอร์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต นับเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้ได้สมบูรณ์และ Full Screen Images ที่ออกแบบเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้สนใจโครงการด้วยภาพความละเอียดสูงและการแสดงผลแบบเต็มจอ โดยเริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป

View :1785
Categories: Technology Tags:

ดีแทคเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2556 รายได้จากการให้บริการโตต่อเนื่อง ยอดขายสมาร์ทโฟนพุ่ง สวนกระแสเศรษฐกิจซบเซา

February 13th, 2014 No comments

12 กุมภาพันธ์ 2557 – บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เผยผลประกอบการไตรมาส 4 รายได้รวมเติบโตร้อยละ 2.5 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) เนื่องมาจากผลบวกของรายได้บริการ ไม่รวมไอซี ที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5.8 (YoY) และรายได้จากการขายเครื่องโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.6 (YoY) แม้จะมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงร้อยละ 17.7 (YoY) จากต้นทุนที่ลดลงโดยเฉพาะต้นทุนจากส่วนแบ่งรายได้ อันเป็นผลมาจากการที่ลูกค้าย้ายจากดีแทคมาเป็นลูกค้าดีแทค ไตรเน็ตเป็นจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้มีต้นทุนส่วนแบ่งรายได้ปรับตัวลดลง ณ สิ้นปี 2556 ไตรเน็ต มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้น 12 ล้านราย มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ จากการโอนย้ายเข้ามาของลูกค้าอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทคาดว่าจะโอนย้ายลูกค้าเกือบทั้งหมดในสิ้นปี 2557 นี้

จุดเด่นในไตรมาสที่ 4 ยังคงเป็นรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวม IC) เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5.8 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการเติบโตของบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย รายได้จากการขายเครื่องโทรศัพท์ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 47.6 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY)

ในส่วนผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนต่อผู้ใช้บริการทั้งหมดของดีแทคเพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 32.7 ในไตรมาส 4 ของปี 2556 จากการทำตลาดดีแทค ไตรเน็ต โฟน และ ราคาสมาร์ทโฟนที่ลดลงในตลาด การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนส่งผลดีให้ดีแทคในการเติบโตของรายได้บริการอินเทอร์เน็ตและความต้องการของลูกค้าปัจจุบันที่มีความประสงค์โอนย้ายสู่ระบบ 3G 2.1GHz

รายได้จากบริการเสริมยังคงเติบโตต่อเนื่อง ถึงร้อยละ 41.8 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 6.0 จากไตรมาสก่อน (QoQ) อยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท แรงขับเคลื่อนหลักของรายได้จากบริการเสริมยังคงเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องร้อยละ 63.9 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 7.8 จากไตรมาสก่อน (QoQ) ซึ่งเป็นผลจากความนิยมในสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่ยังคงมีสูงต่อเนื่อง และการขยายพื้นที่ให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการได้ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศของดีแทค

EBITDA สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2556 เท่ากับ 8.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิผล EBITDA margin เพิ่มขึ้นจาก 27.7% จากไตรมาส 4 ปี 2555 เป็น 32.1% เนื่องจากการปรับลดลงของส่วนแบ่งรายได้

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทประสบความสำเร็จในการโอนย้ายลูกค้า มาใช้ดีแทค ไตรเน็ต ส่งผลให้รายได้ที่เกิดจากทรัพย์สินลดน้อยลงเมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินที่มีอยู่ทางบัญชีของดีแทค และตามมาตรฐานการบัญชี บริษัทต้องมีการบันทึกส่วนต่างรายการบัญชี ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรสะสมของดีแทคในไตรมาส 4 ทำให้ บริษัทมีความจำเป็นที่จะเว้นการจ่ายเงินปันผลในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 อย่างไรก็ดีบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถกลับมาดำเนินนโยบายการจ่ายเงินปันผลในไตรมาส 1 ของปี 2557 ได้ตามปกติ และคาดว่าค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของดีแทคจะปรับตัวลดลงจากการรับรู้ผลต่างของรายได้เทียบกับมูลค่าทรัพย์สินทางบัญชี ส่งผลให้ดีแทคจะมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลได้ในจำนวนที่สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า “รายได้การให้บริการที่เติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ต และสมาร์ทโฟนที่เติบโตมากขึ้น และความสำเร็จจากการจัดแคมเปญต่อเนื่องเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเครือข่ายอื่นย้ายเข้ามาใช้ดีแทค ไตรเน็ต และแคมเปญยิ่งอยู่นาน ยิ่งรักกัน เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจใช้บริการกับดีแทคตลอดมา

ปัจจุบันดีแทค และ ดีแทค ไตรเน็ต มีสถานีฐานรวมกันแล้วประมาณ 20,000 สถานีฐาน ซึ่งจะครอบคลุมประชากรร้อยละ 80 ได้ภายในสิ้นปี 2557 และจะยังคงขยายพัฒนาสถานีฐานต่อไป สร้างความพึงพอใจในการใช้บริการให้ลูกค้าดีแทคอย่างต่อเนื่อง

View :1396
Categories: Telecom Tags: ,

Microsoft Board names Satya Nadella as CEO

February 13th, 2014 No comments

Satya Nadella, Microsoft's CEO

, Microsoft’s CEO


Bill Gates steps up to new role as Technology Advisor; John Thompson assumes role as Chairman of Board of Directors

Microsoft Corp. recently announced that its Board of Directors has appointed Satya Nadella as Chief Executive Officer and member of the Board of Directors effective immediately. Nadella previously held the position of Executive Vice President of Microsoft’s Cloud and Enterprise group.

“During this time of transformation, there is no better person to lead Microsoft than Satya Nadella,” said Bill Gates, Microsoft’s Founder and Member of the Board of Directors. “Satya is a proven leader with hard-core engineering skills, business vision and the ability to bring people together. His vision for how technology will be used and experienced around the world is exactly what Microsoft needs as the company enters its next chapter of expanded product innovation and growth.”

Since joining the company in 1992, Nadella has spearheaded major strategy and technical shifts across the company’s portfolio of products and services, most notably the company’s move to the cloud and the development of one of the largest cloud infrastructures in the world supporting Bing, Xbox, Office and other services. During his tenure overseeing Microsoft’s Server and Tools Business, the division outperformed the market and took share from competitors.

“Microsoft is one of those rare companies to have truly revolutionized the world through technology, and I couldn’t be more honored to have been chosen to lead the company,” Nadella said. “The opportunity ahead for Microsoft is vast, but to seize it, we must focus clearly, move faster and continue to transform. A big part of my job is to accelerate our ability to bring innovative products to our customers more quickly.”

“Having worked with him for more than 20 years, I know that Satya is the right leader at the right time for Microsoft,” said Steve Ballmer, who announced on Aug. 23, 2013 that he would retire once a successor was named. “I’ve had the distinct privilege of working with the most talented employees and senior leadership team in the industry, and I know their passion and hunger for greatness will only grow stronger under Satya’s leadership.”

Microsoft also announced that Bill Gates, previously Chairman of the Board of Directors, will assume a new role on the Board as Founder and Technology Advisor, and will devote more time to the company, supporting Nadella in shaping technology and product direction. John Thompson, lead independent director for the Board of Directors, will assume the role of Chairman of the Board of Directors and remain an independent director on the Board.

“Satya is clearly the best person to lead Microsoft, and he has the unanimous support of our Board,” Thompson said. “The Board took the thoughtful approach that our shareholders, customers, partners and employees expected and deserved.”

With the addition of Nadella, Microsoft’s Board of Directors consists of Ballmer; Dina Dublon, former Chief Financial Officer of JPMorgan Chase; Gates; Maria M. Klawe, President of Harvey Mudd College; Stephen J. Luczo, Chairman and Chief Executive Officer of Seagate Technology PLC; David F. Marquardt, General Partner at August Capital; Nadella; Charles H. Noski, former Vice Chairman of Bank of America Corp.; Dr. Helmut Panke, former Chairman of the Board of Management at BMW Bayerische Motoren Werke AG; and John W. Thompson, Chief Executive Officer of Virtual Instruments. Seven of the 10 board members are independent of Microsoft, which is consistent with the requirement in the company’s governance guidelines that a substantial majority be independent.

You can find additional information, including more background on Satya and his career, photos, and short video statements from Satya, Bill Gates, Steve Ballmer, and board chair John Thompson at www.microsoft.com/ceo.

View :1454

Intel Drives In-Vehicle Innovation for the Internet of Things

February 13th, 2014 No comments

IVI_Shot_10

Technology is evolving so rapidly it has become an integral component of everyday life. Having uninterrupted connectivity is a must—even while driving. In fact, analysts predict that by 2016 in-vehicle connectivity and basic online content will become critical buying factors in consumers’ car-buying decisions in mature markets[1]. This dramatic convergence of technology in the car is quickly making it a key device in the (IoT) with the ability to both receive data and feed it to the cloud, to the traffic infrastructure, to other vehicles and more. As a result, automakers are increasingly turning to leading technology companies such as to explore new ways to inform, entertain and assist drivers to create a safer and more enjoyable driving experience.

Intel is Inside Your Car: Intel and Leading Automakers Enhance In-Vehicle Technologies
Intel is partnering with the automotive industry to apply its technology and expertise to the development of innovative applications, services and safety features, some of which already exist in today’s vehicles. With a mix of automotive, IT and consumer electronics expertise and research and development, Intel is helping automakers speed time-to-market, create new driving experiences, and more quickly adapt to changing consumer demand.
IVI_Shot_6
· Infiniti InTouch* Intel is powering the all-new Infiniti InTouch in-vehicle infotainment (IVI) system featured in the Infiniti Q50*. With Intel technology, the InTouch system has the processing performance to deliver a rich experience to the driver and passengers, such as high-end graphics on the touch-screen displays. The Infiniti InTouch system is the first system to feature the Intel logo on the start-up screen.
· BMW ConnectedDrive* Intel technology is used in BMW’s professional navigation system, part of BMW ConnectedDrive, for all its vehicle models, including the future iSeries models. With Intel technology, BMW ConnectedDrive has the processing performance to deliver a compelling experience to the driver and passengers, including a rich display screen interface and quicker response times when interacting with the applications, such as fast route calculation in complex navigation maps.
· Kia Motors Corporation* Intel is powering the in-vehicle infotainment (IVI) system available in the Kia K9 luxury sedan. The K9 IVI system is the first product deployment to be announced from the ongoing collaboration between Intel and Kia. It features dual independent displays, so drivers and passengers can enjoy desired content anywhere in the car.
· Jaguar Land Rover* Intel and Jaguar Land Rover are collaborating on research and product development for future IVI technologies. Additionally, there is a close, collaborative relationship between Intel Labs and Jaguar Land Rover’s research facility in Portland, Ore., that is facilitating joint research projects on next-generation digital vehicle prototypes with in-vehicle experiences that connect the car to devices and the cloud.
· Toyota Motor Company* Intel and Toyota are working together to define next-generation IVI systems that will enable new usage models for mobile device connectivity in the car. Through this collaboration, the companies will focus research on developing a user interaction methodology including touch, gesture and voice technologies as well as information management for the driver.

IVI_Shot_8
Investing in Future Experiences for Drivers
Intel is making significant investments in automotive engineering capabilities, ecosystem alignment and research to help automakers create new driving experiences that will inform, assist, and entertain drivers safely and efficiently. These investments help drive faster time-to-market and will enable tomorrow’s innovative in-vehicle experiences.

· Intel Labs Automotive Research
Seasoned ethnographers and anthropologists at Intel Labs are working on a variety of projects aimed at making roads safer and gaining knowledge about the safest and most intuitive way for drivers to interact with their vehicles. Advanced sensing, computation and interconnected data will have revolutionary changes on the way people travel with their cars and with each other. Research and technology developed across Intel Labs explores how to enable these new experiences, in which cars will know and adapt to their owners, ease the burden of driving and help people get to their destinations more safely.
· Automotive Innovation and Product Development Center Located in Karlsruhe, Germany, the Center serves as Intel’s global center of competence for the development of products and technologies for IVI and telematics solutions. At the Center, a team of experts in automotive hardware and software engineering is optimizing Intel technologies for applications and services as well as capabilities for consumer electronics integration, performance optimization and system design.
· Intel Capital $100 Million Connected Car Fund The Intel Capital Connected Car Fund aims to accelerate the seamless connection between the vehicle and consumer electronic devices as well as drive new in-vehicle applications, services and differentiated user experiences based on Intel technologies. Through the fund, Intel Capital is investing in hardware, software and services companies that are developing leading-edge ingredient technology and platform capabilities that support Intel’s focus areas in automotive. Investments and activities to date include companies with competencies in Advanced Driver Assistance Systems (ADAS), human-machine interface, telematics and cloud services.
· Open Source Development Intel is actively involved in the GENIVI Alliance, a non-profit industry alliance committed to driving the broad adoption of an IVI open source development platform. Intel is also an active contributor to Tizen IVI, an open platform designed specifically for the automotive market, alongside various automakers and automotive suppliers. The effort aims to accelerate open innovation, facilitate differentiation, and enable common frameworks to lower the cost of software integration and speed time to market of new services.

View :1398