Archive

Archive for March, 2014

รายงาน Ericson Mobility Report ฉบับล่าสุดเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

March 15th, 2014 No comments

รายงาน ฉบับล่าสุดเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มและตัวเลขการใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและสมาร์ทดีไวซ์ทั่วโลกในปีพ.ศ. 2556 ที่เข้ามาส่งเสริมไลฟ์สไตล์วิถีชีวิตในแบบ Connected Lifestyle ที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งสังคมเครือข่าย (Networked Society) โดยอุปกรณ์ต่างๆรอบตัวเราต่างสมาร์ทขึ้นและสามารถเชื่อมต่อสื่อสารเข้าหากันอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยสามารถสรุปรายงานของ ได้ดังนี้

จำนวนเลขหมายผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลกมีประมาณ6.7พันล้าน หรือมีอัตราส่วนจำนวนเลขหมายโทรศัพท์มือถือต่อประชากรโลก (Global Mobile Penetration) ทีประมาณ 92 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อเปรียบเทียบกับปีพ.ศ. 2555 จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือโดยรวมเพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก

โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ. 2556 นั้นมีจำนวนเลขหมายผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 109 ล้าน แต่เนื่องจากความนิยมที่จะมีเลขหมายโทรศัพท์มือถือมากกว่าหนึ่งเลขหมายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจำนวนผู้ใช้และเข้าถึงโทรศัพท์มือถือจริงจึงถูกคาดการณ์ว่ามีอยู่ประมาณ 4.5 พันล้านคน จากจำนวนประชากรทั่วโลกที่มีอยู่ประมาณ 7พันล้านคน

และที่น่าสนใจก็คือจำนวนผู้ใช้โมบายบรอดแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ. 2556 นั้นมีผู้ใช้โมบายบรอดแบรนด์เพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 150 ล้าน ทำให้มีผู้ใช้โมบายบรอดแบรนด์ทั่วโลกกว่า 2.1 พันล้านรายสะท้อนจำนวนโมบายบรอดแบรนด์ทีเพิ่มขึ้นกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา
มีผู้ใช้ WCDMA/HSPA ทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ล้านคน และผู้ใช้ LTE/4G เพิ่มขึ้นประมาณ 40 ล้านคน ทำให้ยอดผู้ใช้ LTE/4G มีมากกว่า 200 ล้านทั่วโลก และยอดจำนวนผู้ใช้ GSM เพียงอย่างเดียวมีประมาณ 100 ล้านคนซึ่งแทบจะไม่มีจำนวนผู้ใช้ GSMอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นเลย
· ยอดขายโทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั่วโลกในปีพ.ศ. 2556 นั้นสูงถึง 1 พันล้านเครื่อง ซึ่งคิดเป็นร้อยละกว่า 60 จากยอดขายโทรศัพท์มือถือทั่วโลก โดยมีการคาดกาณ์ว่ามีผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั่วโลกอยูประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์หรือประมาณ 2 พันเลขหมายจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 6.7พันล้านทั่วโลก ซึ่งยังผู้ใช้งานอีกจำนวนมากที่ต้องการเข้าถึงโทรศัพท์สมาร์ทโฟน

ปริมาณการใช้ดาต้าบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกยังคงจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและคาดว่าปริมาณดาต้าจะเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัวภายในปลายปีพ.ศ.2562 เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น จำนวนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและสมาร์ทดีไวซ์ที่เพิ่มขึ้น การเติบโตอย่างต่อเนื่องของคอนเทนท์ การใช้บริการวีดีโอที่สูงขึ้น รวมไปถึงความเร็วของเครือข่ายที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามการพัฒนาเทคโนโลยี HSPA และ LTE
ปริมาณการใช้วีดีโอบนเครือข่ายมือถือ ยังคงเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของปริมาณดาต้าบนเครือข่ายทั้งหมดทั่วโลก และคาดว่าจะยังเติบโตขึ้น มากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ต่อปี จนถึงปลายปีพ.ศ.2562 ในบางเครือข่ายมีการใช้งานวีดีโอมากถึง 2.6 GB ต่อคนต่อเดือนโดยเฉลี่ยอีกด้วย
รายงานจาก GSA (Global mobile Suppliers Association) วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พศ 2557 ได้ยืนยันว่าได้มีเครือข่าย LTE/4G เปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์แล้วกว่า 274 เครือข่ายใน 101 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่า 76%เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว
และรายงานจาก GSA ก็ยืนยันว่า มี อุปกรณ์โทรศัพท์และสมาร์ทดีไวซ์ที่รองรับเครือข่าย LTE/4G มากว่า 1,371 อุปกรณ์ จากผู้ผลิต 132 รายทั่วโลกที่สามารถนำมาใช้ในย่านคลื่นความถี่ต่างๆ

View :1373

สวทช.จับมือ กรมสรรพากร , สรอ. เปิด “ระบบ RDC Online” พลิกโฉมรับรองเอกชนทำวิจัยยกเว้นภาษี 200%

March 15th, 2014 No comments

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช. ) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ กรมสรรพากร และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ( สรอ. ) จัดงานแถลง ข่าว “เปิดตัวระบบ RDC Online” ให้บริการยื่นขอรับรองโครงการวิจัยฯ ยกเว้นภาษี 200% ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ง่ายต่อการตรวจสอบและติดตามผลพร้อมรองรับการ
เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( AEC ) ทั้งนี้เพื่อเร่งส่งเสริมภาคเอกชนทำวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีให้สร้างสรรค์ นวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันจะทำให้เกิดเพิ่มมูลค่าเพิ่มและ การลงทุนของภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่าง ประเทศ
Info_RDC-Online_Create-outline-A4-12-03-57
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. ) กล่าวว่าเนื่องจากผู้ประกอบการภาคเอกชนมีความตื่นตัวของการทำงานวิจัยและ พัฒนาเทคโนโลยี มากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ในปีงบประมาณ 2554-56) มีมูลค่า โครงการที่ได้รับการพิจารณารับรองเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของมูลค่าโครงการที่ได้รับรองของปีงบ
ประมาณ 2552 การนี้ สวทช.ร่วมกับ กรมสรรพากร และ สรอ. จึงได้พัฒนาระบบสนับสนุนการ ดำเนินงานรับรองโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ของผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่เรียกว่า “ระบบ RDC Online” เพื่อนำมาให้บริการและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะทำให้เกิดความคล่องตัว มีความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังจะ สามารถติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินงานการขอรับรองโครงการของ ผู้ประกอบการภาค เอกชนได้ตามความต้องการทันที อีกทั้งตัวระบบได้ออกแบบให้มีส่วนช่วยป้องกันและการรักษาข้อมูล ความลับของ โครงการวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานสากล

สำหรับการใช้บริการยื่นขอรับรองโครงการวิจัย ฯ ยกเว้นภาษี 200 % ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย โดยเข้าไปใช้บริการได้ที่ https://www.rdconline.nstda.or.th ซึ่ง ระบบดังกล่าวจะช่วยร่นระยะเวลาในการพิจารณารับรองผลโครงการจากเดิมได้ ไม่น้อยกว่า 1-2 เดือน อย่างไรก็ตาม การนำระบบ RDC Online มาให้บริการจะสามารถเป็นแรงจูงใจ สร้างความมั่นใจในการบริการและความปลอดภัยข้อมูล และเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการยื่นขอรับรอง โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของ ผู้ประกอบการภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การเพิ่มมูลค่า การลงทุนและความเข้มข้นด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ในภาคเอกชนให้สร้างสรรค์นวัตกรรม อันจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของประเทศมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียม สากลและเติบโต ได้อย่างยั่งยืนและตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นการ ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่ม ขึ้นเป็น 1% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในประเทศไทยภายในปี 2559 คาดว่าเมื่อระบบ เริ่มเปิดใช้งานในปี 57 นี้แล้ว จะมีการขอใช้บริการไม่ต่ำกว่า 100 บริษัท กว่า 600 โครงการ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาทขึ้นไป

View :1764
Categories: Science Tags:

เซนไฮเซอร์ จับมือ ไอโอ อินเตอร์แอคทีฟ บริษัทเกมระดับโลก เปิดตัว เกมเฮดเซ็ทที่ให้เสียงสมบูรณ์แบบ เหมือนต้นฉบับพร้อมกัน 2 รุ่น

March 15th, 2014 No comments

G4ME ZERO Gaming Headset
เซนไฮเซอร์ บริษัทเครื่องเสียงระดับโลก จับมือกับไอโอ อินเตอร์แอคทีฟ ผู้พัฒนาเกมชั้นนำของโลก เปิดตัวหูฟังสำหรับเกม พร้อมกัน 2 รุ่น คือเกมเฮดเซ็ท รุ่นเกมซีโร่ (G4ME™ ZERO) และ รุ่นเกมวัน (G4ME™ ONE) คอเกมจะได้สัมผัสประสบการณ์ของเกมด้วยระบบเสียงสมบูรณ์แบบตามที่นักพัฒนาเกมได้สร้างสรรค์มา

มิสเตอร์ ฟรังส แกลซุท เควล หัวหน้าทีมซาวน์ดีไซน์ ไอโออินเตอร์แอคทีฟ กล่าวถึงความร่วมมือพิเศษครั้งนี้ว่า “เครื่องเสียงของเซนไฮเซอร์ ช่วยให้เสียงของเกมดีขึ้นอย่างมาก เกมเฮดเซ็ทของเซนไฮเซอร์ทำให้ ทีมพัฒนาเกมสามารถสร้างเสียงที่สมจริง และสามารถเพิ่มรายละเอียดที่ซับซ้อนได้ดี”

คริสเตียน เอน ผู้อำนวยการด้านการบริหารผลิตภัณฑ์ เซนไฮเซอร์คอมมิวนิเคชั่นส์กล่าว “ด้วยการทำงานร่วมกันกับ ไอโอ อินเตอร์แอ็คทีฟ เซนไฮเซอร์ขอแนะนำ รุ่นเกมซีโร่ (G4ME™ ZERO) และ รุ่นเกมวัน (G4ME™ ONE) ที่ทางเซนไฮเซอร์ภูมิใจเสนอให้กับคอเกมได้ สัมผัสเสียงคุณภาพสูงที่ให้รายละเอียดครบถ้วน เฮดเซ็ทใหม่ได้ออกแบบให้สวมสะดวก ผู้เล่นเกมสามารถใส่ได้นาน โดยไม่รู้สึกอึดอัด ถือเป็นยุคใหม่ของการออกแบบหูฟังเกมระดับโปรเฟสชั่นแนล”

เฮดเซ็ทเกมใหม่ของเซนไฮเซอร์ มาจากประสบการณ์ที่ยาวนานมากว่า 70 ปีในฐานะผู้นำด้านเครื่องเสียงระดับคุณภาพ และเป็นบริษัทเดียวในโลกที่มีโรงงานผลิตทรานสดิวเซอร์เอง ด้วยอุปกรณ์นี้ เป็นตัวขับระบบเสียงของ G4ME™ ZERO และ G4ME™ ONE ให้เสียงที่ออกมาได้อย่างถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน และในช่วงที่เกมกำลังร้อน ระบบนี้ยังมีคำสั่งที่ชาญฉลาด เช่น ระบบวอลลุ่มเสียงที่ต่อเชื่อมอยู่ที่ครอบหูและมีคุณสมบัติพิเศษที่จะหยุดการใช้ไมโครโฟนได้ทันที่ แค่การยกแขนไมค์ขึ้น นั่นหมายถึงคอเกมจะสามารถโฟกัสกับการเล่นเกมโดยไม่ต้องกังวลกับอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ
Io-Interactive Sennheiser Gaming
เฮดเซ็ทเกมวัน (G4ME™ ONE) ดีไซน์ระบบเสียงไฮไฟแบบเดียวกับที่นักพัฒนาเกมตั้งใจไว้ ทำให้เสียงที่ออกมาเป็นธรรมชาติ หูฟังได้ออกแบบให้มีลมผ่านช่วยให้สวมใส่สบายในระหว่างเล่นเกม และด้วยขนาดหูครอบขนาด XXL มีความนุ่มนวลด้วยกำมะหยี่คุณภาพสูง พร้อมสายคาดที่บุให้นุ่ม มีน้ำหนักเบาเพื่อให้การสวมใส่ได้อย่างสบายมากยิ่งขึ้น

เฮดเซ็ท เกมซีโร่ G4ME™ ZERO เป็นระบบเสียงที่ดีที่สุดในตลาดขณะนี้ ด้วยการออกแบบครอบหูใหม่ อาศัยประสบการณ์ของเซนไฮเซอร์ในการสร้างเฮดเซ็ทสำหรับการบิน ที่ครอบหูสามารถเก็บเสียงจากภายนอกและป้องกันเสียงจากหูฟังออกไปรบกวนคนอื่นได้ดี ด้วยการดีไซน์แผ่นบุและเมมโมรี่โฟมที่มีขนาดเหมาะสม ช่วยให้คอเกมได้ยินเสียงต่างๆอย่างละเอียด น้ำหนักเบาสามารถใส่ได้ยาวนาน นอกจากนี้ เซนไฮเซอร์ยังได้ออกแบบให้ เกมซีโร่ สามารถพับเก็บใส่ในกล่องที่พกพาได้

หูฟังเฮดเซ็ทเกมของเซนไฮเซอร์ เหมาะสำหรับคอเกมที่เลือกเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยประสบการณ์ 70 ปีของวิศวกรรมด้านระบบเสียงที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การมีระบบเสียงระดับคุณภาพถือเป็นการตอบสนองชีวิตด้วยความหรูหราเล็กๆ คอเกมจะได้สนุกกับเกมอย่างเต็มที่ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sennheiserasia.com

View :1557

Android 4.4 KitKat OS Upgrade for LG G2 to Arrive in March

March 15th, 2014 No comments

LG’s Acclaimed Flagship Smartphone and Latest
Android OS Offer Exceptional User Experience

Bangkok, 14 March 2014 — LG Electronics (Thailand) Co., Ltd. announced today that the anticipated OS upgrade for the G2 smartphone is expected to roll out starting from 25 March.

“The provision of timely software updates is one of the many ways in which LG is constantly improving the user experience,” said Kwanjai Nopnantakul, Senior Product Manager of Mobile Communications, LG Electronics (Thailand) Co., Ltd. “In addition to introducing useable new features, the OS upgrade for the G2 delivers a number of optimizations that enhance the entire mobile user experience. We trust that our customers will enjoy the differentiated value offered by our latest upgrade package.”

The latest Android OS provides a noticeable speed boost, allowing the G2 to run applications up to 17 percent faster than before and allows users to enjoy quicker web browsing, based on internal testing. A handy new feature called Google Cloud Printer also makes it easy to print documents via Wi-Fi or a Bluetooth connection. A Thai QWERTY keyboard will also allow users to enjoy an easier typing experience.

The upgrade package for will be released on 25 March. LG Electronics (Thailand) is also running a special campaign for users who upgrade to Android 4.4 KitKat in April. For more information, please visit www.facebook.com/thailandlifesgood or www.lg.com/th.

View :1286

Garmin launches new product lines to expand its market to lifestyle and health segments.

March 15th, 2014 No comments

reiterates GPS leadership with full-fledged launch of new lineups, bringing GPS technology to
health and lifestyle worlds and targeting 120,000 unit sales this year
เปิดตัวผลิตภัณฑ์การ์มิน 3
Bangkok (March 14, 2014) – Garmin continues to blaze a trail in GPS innovation and grow its marketing momentum with introduction of new product lines to expand its market to lifestyle and health segments.
In addition to the launch of flagship “”, the first portable navigation device on Android OS platform with Wi-Fi, the company is also introducing “Vivofit” GPS fitness band, “Forerunner 620” advanced GPS running watch, and “VIRB Elite” action camera with GPS and Wi-Fi. With the newest move, Garmin is well-poised to extend its market leadership to the tenth consecutive years.

Mr. Krairop Luanguthai, General Manager of ESRI (Thailand) Co., Ltd., an affiliate of CDG Group as an integrated provider of Geographic Information System (GIS) and distributor of Garmin GPS products, said: “While the global market for GPS continues to grow, Garmin is currently the market leader and the only producer in the world that offers a complete range of GPS products. In Thailand, the growth of GPS market is in line with the global market trend that grows 20% per annum. It is the biggest GPS market in Southeast Asia and the largest part of Garmin’s business in Thailand is personal navigation device (PND) that makes up 80% of Garmin’s product portfolio for the Thai market. We can foresee continuing growth for PND business in Thailand because the device ownership rate is still very low as compared with developed markets, such as Japan, Taiwan and Korea where ownership rates of automotive navigation device stand as high as 70%.”

“With a continuing R&D commitment to bring about innovations that will meet consumers’ demands, Garmin focuses our product development on best fit to the lifestyles of consumers,” he continued. “This year, we are introducing nuvi 3592LM, the first PND on Android OS platform with Wi-Fi connectivity. It allows users to download numerous apps and offers lifetime map updates for a more pleasurable user experience and convenience. In addition, nuvi 3592LM can greatly enhance the lifestyles of young people because well-informed driving on unfamiliar routes will help them save a lot of time and reduce the risk of road accidents, and not to mention the device’s search capabilities that ease side trips to attractions or occasional stops for some great food on the way, for example. And most importantly, reliability of device is the key. Garmin is recognized as the most trusted brand in the GPS market, and when consumers think of a GPS device, Garmin is often the top-of-mind brand for its durability, accurate information and great after-sales service.”

According to Mr. Krairop, ESRI is also expanding the market of Garmin products beyond PND with addition of other lifestyle devices to its lineup this year, thanks to innovation leadership of Garmin in GPS technology that enables product diversification to cover new categories and the demands across all market segments from professional to consumer. Garmin has developed new products in various categories to address different lifestyles of consumers. While people are paying more and more attention to their health and well-being, outdoor training is also on the rising trend. Some of highlight launches from Garmin in the first quarter of this year are:

· Vivofit – a fitness band with intelligent functions. It learns your activity level from your everyday movement, displays steps, calories and distance, monitors sleep, records heart rate, provides accurate calorie burn information, and then assigns a personalized daily goal and tracks the progress you make each day. The Vivofit band ideally fits modern lifestyle of people who want to follows their progress 24/7. It is water-resistant and can stay on for more than a year without a battery change—a distinctive advantage over all our competitions.

· Forerunner 620 – the next best thing to having your own personal running coach. The advanced GPS running watch estimates your VO2 to measure your physical fitness, so you can train smarter. For indoor training, the built-in accelerometer tracks distance, so you don’t need a separate foot pod. The Forerunner 620 can send your data wirelessly to Garmin Connect through Garmin Connect Mobile app on your smartphone. You can also allow real-time tracking of your stats via Live Tracking or share your updates on social media in an immediate fashion.

· VIRB Elite – a waterproof action camera with a built-in screen that can record up to 3 hours. It is equipped with high-sensitivity GPS for data stamping and Wi-Fi for wireless communication to your smartphone or computer.

Garmin’s broad portfolio also include cycling as another key lineup of lifestyle GPS products as well as lines of GPS devices for swimming, golfing and driving recorders. Many products from these lineups are scheduled to be launched this year.

On Garmin’s marketing directions, Mr. Krairop revealed: “We are gearing up our marketing this year by expanding to new sales channels. For example, we will tap into e-commerce websites to capture the growing trend of Thai people in favor of online shopping. We will also partner with specialty stores, such as cycling and running gear stores and hospitals, with whom we need to build especially strong relationship because the target customers in this channel are obviously those who seek expert advice. In addition, we will gain exposure from public relations, online and in-store media to build consumer awareness and present product information directly to the target consumers.”

“We are confident that the flagship products we introduce this year will win favorable response from the consumers due to cutting-edge designs and functions that match perfectly with modern lifestyles, all on top of unmatched performance that will keep the customers pleased. We are looking forward to defending our market leadership in GPS products for ten years in a row this year with Garmin brand sales of 120,000 units,” concluded Mr. Krairop.

View :1705
Categories: Gadgets Tags: ,

เอไอเอส สานต่อเวที “AIS The StartUp” ปี 3 เฟ้นหา Incubated Content Partner

March 10th, 2014 No comments

_AEW9808_1
18 กุมภาพันธ์ 2557 : เอไอเอส เดินหน้ายกระดับมาตรฐาน Startup ให้ก้าวไปอีกขั้น เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้คนรุ่นใหม่ เปิดฉาก “ 2014” เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน เพิ่มดีกรีการสนับสนุนเข้มข้นยิ่งขึ้น ฉีกทุกรูปแบบการแข่งขัน มุ่งเฟ้นหา iCP () มาร่วมเป็นดิจิตอลพาร์ทเนอร์กับเอไอเอส โดยเปิดโอกาสให้นักคิด นักสร้างสรรค์ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีผลิตภัณฑ์ในมือพร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจ ร่วมส่งผลงานเข้าแข่งขันใน 3 หมวด ได้แก่ Online/ Digital Content, Corporate Solution และ Social Business เพื่อพัฒนาและนำผลงานออกสู่ตลาดจริง ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเอไอเอสและพันธมิตรทั้งไทยและเทศที่มีช่องทางเข้าถึงฐานลูกค้ากว่า 500 ล้านรายในภูมิภาค รวมมูลค่ารางวัลกว่า 39 ล้านบาท

นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส เปิดเผยว่า “เอไอเอสเป็นผู้ริเริ่มโครงการสนับสนุนกลุ่ม Startup ในประเทศไทย ด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพและพลังของคนรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิตอล และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแห่งโลกไอที โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าโครงการ AIS The StartUp ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก สร้างผู้ประกอบการดิจิตอลหน้าใหม่ ที่มีแอพพลิเคชั่นและบริการออกมาให้บริการกับผู้ใช้มือถือเป็นจำนวนมาก อาทิ ทีม ShopSpot, Noonswoon, the Trip Packer, Buzzebees, FOURLEAF ฯลฯ อีกทั้ง ยังสร้างแรงผลักดันให้องค์กรต่างๆ หันมาร่วมกันส่งเสริมกลุ่ม Startup ในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย

ปัจจุบันเทรนด์ของ Startup ยังคงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก สำหรับประเทศไทยเอง พัฒนาการของ Startup ได้ผ่านช่วงเวลาของการเริ่มต้นมาแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นของการเติบโต ในปีนี้เอง โครงการ “AIS The StartUp 2014” ในธีม Growing with Partnership จึงตั้งใจปรับรูปแบบการสนับสนุนไปอีกขั้น โดยมีเป้าหมายไปที่กลุ่มนักคิด นักพัฒนา หรือผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีผลิตภัณฑ์หรือผลงาน พร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจไปสู่ตลาดได้จริง ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเอไอเอสและพันธมิตร รวมมูลค่ารางวัลกว่า 39 ล้านบาท โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การได้ร่วมเป็น iCP หรือ Incubated Content Partner หรือคอนเทนต์พาร์ทเนอร์ที่ได้รับการบ่มเพาะจากเอไอเอสอย่างเต็มที่ ภายใต้ Business Model ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อกลุ่ม Startup พร้อมทั้งการสนับสนุนจากกลุ่ม Regional Seed Network (RSN) ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรในเครือ SingTel ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลักดัน Startup ในเครือให้ก้าวไปสู่ระดับภูมิภาคอย่างจริงจัง”

นายไพโรจน์ ไววานิชกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม เอไอเอส กล่าวเสริมว่า “เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคดิจิตอลคอนเทนต์ ที่ขยายรูปแบบหลากหลายกว่าเดิม ไม่จำกัดอยู่เพียงเฉพาะบน Mobile Application แต่มองกว้างไปถึง Solution ที่สามารถตอบสนองการใช้งานและแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันได้ ดังนั้น AIS The StartUp 2014 จึงเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่ม Startup ที่มีไอเดียหลากหลายได้มากกว่าเดิม โดยแตกไลน์ประเภทของการแข่งขัน เป็น 3 หมวด ประกอบด้วย
1. หมวด Online และ Digital Content ที่มีตลาดเป็นผู้ใช้บริการเป็นวงกว้าง (Mass Customer) และต้องมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น Mobile App, Digital Content ที่ใช้งานผ่านอุปกรณ์ดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์สื่อสารต่างๆ
2. หมวด Corporate Solution ที่ช่วยในการสนับสนุน หรือจัดการองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีลูกค้าเป้าหมายเป็นองค์กร ห้างร้าน (Enterprise)
3. หมวด Social Business มีผลิตภัณฑ์หรือบริการ และเป้าหมายหลักเป็นไปเพื่อสร้างสรรค์สังคม และมีโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นนำกำไรไปใช้ในการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาสังคมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง”
_AEW9786_1
ผู้สนใจสามารถส่งผลงานเป็นวิดีโอพรีเซนเตชั่น ความยาวไม่เกิน 3 นาที นำเสนอแนวคิดทางธุรกิจ, แผนการดำเนินธุรกิจ, วิธีการใช้งาน, การสร้างรายได้, กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงประโยชน์ที่ลูกค้าเอไอเอสจะได้รับ โดยเข้ามากรอกใบสมัครที่ www.ais.co.th/thestartup2014 พร้อมแนบ URL ของ VDO มาด้วย ตั้งแต่วันนี้ – 23 มีนาคม 2557 โดยผู้สมัครจะเป็นบุคคลหรือบริษัท ชาวไทยหรือต่างชาติก็ได้ และสามารถส่งผลงานได้มากกว่า 1 ผลงาน โดยประกาศผลงานที่ได้เข้ารอบ Final Presentation ในวันที่ 29 มีนาคม 2557 เพื่อให้ผู้ที่เข้ารอบนำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการ ในวันที่ 8-10 เมษายน 2557 และประกาศผลรางวัลชนะเลิศพร้อมรับมอบรางวัลในวันที่ 21 เมษายน 2557

โดยสิ่งที่ Startup จะได้รับ นอกเหนือจากเงินรางวัล และเครื่องมือสนับสนุนการสร้างธุรกิจให้เป็นจริงแล้ว ยังได้รับโอกาสในการสร้างธุรกิจร่วมกับเอไอเอส รวมมูลค่ากว่า 39 ล้านบาท ทั้งนี้ รางวัลและสิทธิพิเศษที่ผู้ชนะเลิศในแต่ละหมวดจะได้รับ คือ เงินทุนพัฒนา จำนวน 200,000 บาท, ร่วมเป็น iCP พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดจริงกับเอไอเอส โดยได้รับการลดหย่อนกฏเกณฑ์ต่างๆ อาทิ ค่าแรกเข้า, รายได้ประกันขั้นต่ำ เป็นต้น, สื่อทางการตลาด มูลค่า 1,000,000 บาท และการสนับสนุนจากพันธมิตรอีกมากมาย ได้แก่ สิทธิพิเศษจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติในการพิจารณาให้ทุนสนับสนุนโครงการนวัตกรรมเป็นกรณีพิเศษ, ที่ปรึกษาด้านการลงทุน จาก Golden Gate Ventures และ Expara, Microsoft Bizspark พร้อมทั้ง Windows Azure เครดิตมูลค่า USD 60,000 ฟรีในปีแรก และ ลดราคาพิเศษ 50% ในปีที่ 2, Amazon Web Service (AWS) เครดิตมูลค่า USD3,000, พื้นที่ออฟฟิศทำงาน ฟรี 3 เดือน จาก HUBBA, ส่วนลดราคาพิเศษพื้นที่ออฟฟิศทำงาน จาก Launchpad และพิเศษสำหรับผู้ชนะในหมวด Social Business จะได้รับการสิทธิพิจารณาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก Change Fusion นอกจากนี้ ยังมีรางวัลพิเศษจากธนาคารกสิกรไทยจะคัดเลือกผลงานให้ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ “SME มีตังค์เยอะ” จำนวน 1 รางวัล
นอกจากนี้ ทุกๆทีมที่ผ่านเข้ารอบนำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการจะได้รับการอบรมด้าน Business Development จาก AIS, ฟรี ค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับการเปิดบริการ K-SME Debit Card, ได้รับการยกเว้นค่าบริการและธรรมเนียมในการทำธุรกรรม K-SME บัญชีหลัก, และ การอบรมด้าน Investment Presentation จาก Expara อีกด้วย
“ในครั้งนี้ เอไอเอสได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดี จากหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ Invent, ธนาคารกสิกรไทย, MCFIVA, Golden Gate Ventures, Expara, SIPA, SOFTWARE PARK, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, สกส, Change Fusion ตลอดจนพาร์ทเนอร์ด้าน สื่อออนไลน์และดิจิตอลในวงการ Startup มาร่วมกันสร้างคอมมูนิตี้กลุ่ม Startup ของประเทศไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น

เอไอเอสเชื่อมั่นว่า “AIS The StartUp 2014 Growing with Partnership” จะเป็นการสานต่อแนวทางStartup ที่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดการเติบโตในอุตสาหกรรม Mobile และ ดิจิตอลคอนเทนต์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุค 3G ที่นิยมใช้งาน DATA มากขึ้นทวีคูณ อีกทั้งเป็นการเดินหน้าไปอีกขั้นในการต้อนรับการเป็นพันธมิตรโดยตรงกับตัวผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น หรือผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเอไอเอสยืนยันว่า เราพร้อมจะสนับสนุน ส่งเสริม ทั้งเทคโนโลยี กลยุทธ์-เทคนิคทางการตลาด ช่องทางการเข้าถึงลูกค้าเอไอเอสที่มีกว่า 41 ล้านรายในปัจจุบัน และผลักดันสู่กลุ่มลูกค้าในระดับภูมิภาคผ่านทาง SingTel Group ที่มีฐานลูกค้ารวมกว่า 500 ล้านรายต่อไป” นายปรัธนากล่าวสรุป

View :1497

ดีแทคและเทเลนอร์กรุ๊ปจับมือเปิดตัว dtac Accelerate ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ลงทุนตั้งบริษัทสร้างสตาร์ทอัพหน้าใหม่

March 10th, 2014 No comments

ดีแทคและเทเลนอร์กรุ๊ปจับมือเปิดตัว ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ลงทุนตั้งบริษัทสร้างสตาร์ทอัพหน้าใหม่ การันตีความสำเร็จทำธุรกิจได้จริง
dtac Accelerate2_5867
7 มีนาคม 2557 ดีแทคและเทเลนอร์กรุ๊ปเปิดตัวโครงการ dtac Accelerate พร้อมทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท และทรัพยากรเต็มที่ จัดตั้งบริษัท dtac Accelerate ลงทุนให้กลุ่มสตาร์ทอัพ ที่มีความรู้ ความสามารถ ทำธุรกิจได้อย่างจริงจัง สนับสนุนและผลักดันให้เติบโตและเป็นผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีอย่างแท้จริงทั้งในตลาดเมืองไทยและต่างประเทศ โดยมุ่งหวังที่จะช่วยสตาร์ทอัพคนไทยผงาดบนเวทีโลก ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และการส่งเสริมธุรกิจมือถือเข้าสู่โมบายอินเทอร์เน็ตและแอพพลิเคชั่น ที่ช่วยสร้าง mobile internet ecosystem ให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แบบในไทย

“สืบเนื่องมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการทางด้านดิจิตอล และการพัฒนาคอนเท้นท์สำหรับคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชนไทยซึ่งมีการตอบรับเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างรวดเร็ว และมีความกระตือรือล้นที่จะแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆกับเพื่อนและครอบครัว ทำให้ประเทศไทยกำลังกลายเป็นสังคมที่มีนักพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีหรือสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งบ่มเพาะโครงการนักพัฒนาที่สมบูรณ์แบบ อย่างเช่น dtac Accelerate ซึ่งเราเชื่อว่า โครงการนี้จะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านออนไลน์ครั้งสำคัญในประเทศไทย

เทเลนอร์เล็งเห็นความสำคัญและอนาคตของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จึงพร้อมให้การสนับสนุน และเปิดกว้างที่จะนำแพลตฟอร์มระดับโลก และการทำธุรกิจดิจิตอลมาช่วยสร้างความสำเร็จให้กับสตาร์ทอัพให้แจ้งเกิดทั้งจากตลาดภายในและต่างประเทศ” นายซิคเว่ เบรคเก้ เจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด เทเลนอร์ เอเชีย กล่าว

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กล่าวว่า “ “ดีแทคมองเห็นแนวโน้มของการเริ่มต้น Startup Ecosystem ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างสดใส และศักยภาพของประเทศไทยที่จะก้าวไปเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมทางด้านดิจิตอล dtac Accelerate ปีนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการแข่งขันของสตาร์ทอัพ แต่เป็นการสร้างสรรค์ นวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับระบบ mobile Internet ecosystem ซึ่งมีผู้นิยมใช้ข้อมูลและคอนเท้นท์ของไทย และยังมีแอพพลิเคชั่นที่มีแนวคิดใหม่ๆ ที่มาช่วยสร้างสีสันไลฟ์สไตล์และยกระดับคุณภาพชีวิตสำหรับคนไทยมากมาย ดีแทคจึงได้ประกาศเปิดบริษัทใหม่ dtac Accelerate ด้วยเงินลงทุนมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Corporate Strategy and Business Innovation ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจทางด้าน digital Services ในการสร้างความแตกต่างให้กับดีแทคในตลาด รวมทั้งสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างมั่นคง”

นายแอนดรูว์ ควอลเสท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย Corporate Strategy and Business Innovation ดีแทค กล่าวว่า “dtac Accelerate ปีนี้เปิดกว้างให้กับผู้ที่สนใจ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ร่วมโครงการไว้ 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรก Incubation ที่มีไอเดียแล้วแต่ยังไม่มีผลงาน และยังไม่มีโมเดลธุรกิจ แต่มีเวลาเข้ามาร่วมอบรมตลอดโครงการ และกลุ่มที่สอง กลุ่ม Acceleration มีผลงานและเริ่มมีโมเดลทางธุรกิจที่ชัดเจน แต่ต้องการปรับปรุง พัฒนาและผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เติบโต มากขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยปีนี้ได้เปิดกว้างให้ผู้ที่สนใจสามารถส่งผลงานเข้ามาได้หลากหลายประเภท เช่น โมบายล์แอพพลิเคชั่น ออนไลน์เซอร์วิส ที่เกี่ยวกับสุขภาพ อีคอมเมิร์ซ โมบายล์คอมเมิร์ซ การชำระเงินทางออนไลน์ และบริการทางการเงิน คอนเท้นท์ที่เกี่ยวกับการศึกษา เพลง เกมส์ ความบันเทิง หนังสือ แอพพลิเคชั่น ออนไลน์ เซอร์วิสสำหรับ SME คลาวด์ แอพพลิเคชั่นสำหรับกลุ่มองค์กร และ Technology Social Venture”

ความโดดเด่นและแตกต่างของ dtac Accelerate ปี 2557 ที่ดีแทคและเทเลนอร์กรุ๊ปให้การสนับสนุนคือ
1. บริษัทฯที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับเงินทุนทีมละ 5 แสนบาททันที และสามารถได้รับเงินสนับสนุนต่อเนื่องรวมมูลค่าถึง 1.5 ล้านบาท หากผ่านเกณฑ์การประเมินผลงานในระดับต่อไป
2. โครงการฯ ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ประกอบการใหม่ แต่ยังเปิดรับผู้ประกอบการที่มีผลงาน อยู่แล้วให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ทางโครงการฯ จะให้ความสนับสนุนและผลักดันตามความเหมาะสมของแต่ละผลงานของผู้สมัคร
3. จัดหาที่ปรึกษา (Mentor) ระดับโลกจากซิลิคอน วัลเล่ย์และในภูมิภาคเอเชีย ทางด้านการ Pitching การสร้าง User Experience โมเดลทางธุรกิจ การทำตลาด รวมถึงการทำเวิร์คช้อป และได้ฝึกการลงสนามจริง พร้อมทั้งจัดองค์กรที่ปรึกษาชั้นนำ เช่น ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ หรือ พีดับบลิวซี มาให้คำปรึกษาในด้านกฏหมายและการเงินอีกด้วย
4. สนับสนุนการทำตลาดอย่างจริงจังไปสู่กลุ่มลูกค้าดีแทครวมถึงลูกในเครือเทเลนอร์กรุ๊ป กว่า 150 ล้านคนทั่วโลก
5. โครงการได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก ทั้งในเอเชีย และอเมริกา เช่น โกลเด้นท์ เกท เวนเจอร์ (Golden Gate Venture) ธุรกิจเงินร่วมลงทุนชั้นนำในสิงคโปร์ ไซเบอร์ เอเจ้นท์ เวนเจอร์ (Cyber Agent Venture) ธุรกิจเงินร่วมลงทุนที่มีมูลค่า 6.4 พันล้านบาทในญี่ปุ่น แบล็คบ็อกซ์ เวนเจอร์ (Blackbox Venture) ธุรกิจร่วมทุนจาก ซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา
6. ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ Blackbox Connect ที่ซิลิคอน แวลลี่ย์ สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และเดินทางไป Pitch กับธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ VC ในสิงคโปร์และญี่ปุ่น ซึ่งทีมจะได้รับประสบการณ์อันล้ำค่า ได้เรียนรู้ถึงหลักการต่างๆในการเป็น สตาร์ทอัพ

โครงการจะเปิดรับสมัครผลงานตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม – 16 เมษายน 2557 ผู้ที่สนใจสามารถส่งผลงานนำเสนอแนวคิด แผนการดำเนินงาน วิธีการใช้งาน การสร้างรายได้ กลุ่มเป้าหมาย ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ หรือเข้ามาดูรายละเอียดและกรอกใบสมัครได้ที่ www.dtac.co.th/accelerate โดยจะมีการคัดเลือกผลงาน 15 ทีมแรก ในวันที่ 17 – 20 เมษายน 2557 หลังจากนั้นจัดนำเสนอผลงานในรอบแรก (Pitch day) 5 ทีมสุดท้ายในวันที่ 22 เมษายน เริ่มปัจฉิมนิเทศ (Orientation) วันที่ 28 เมษายน เริ่มคอร์สอบรม intensive boot camp ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม และนำเสนอผลงานรอบสุดท้ายประกาศผลในวัน Demo day ในเดือนสิงหาคมนี้

View :1439

SoftBank Venture Korea Corp has invested 23 per cent in Ini3 Digital

March 5th, 2014 No comments

has invested 23 per cent in , the Thai online game service provider, with the goal to together expand business to Southeast Asia region.
Bh2uttNCQAEqcUp

Daniel Kang, chief operation officer and partner SoftBank Venture Korea Corp (SBVK) said that the investment in Ini3 Digital is the first investment of SBVK in Thailand. It is the second investment in SEA, follows its investment in Indonesian e-commerce firm ‘Tokopedia’ last year.

He said the investment in Tokopedia and Ini3 Digital were from the company’s AB Pan Asia Fund, which primary focus on funding in a in SEA and who plans to expand its business in SEA. The company also set 40 per cent of its new funds of total investment funds of between US$100 millions and US$200 million in SEA region through the next couple years.

“We are looking for opportunities to invest in. We only focus on ICT including Internet, mobile Internet, telecommunication, and e-commerce. We are just starting in SEA market since we are looking for growth outside Korea. We see growth opportunity in SEA, especially mobile Internet and economic growth. We need local partner who well understand the local market, therefore, our key strategy is to work with the local partners through the investment,” said Kang.

He added that game industry is growing dynamically. The industry is shrinking from Internet-PC-base online game to mobile platform that there are a lot opportunity in SEA and Ini3 Digital is the good partner to help the company to expand into this growth market area.

“It maybe e-commerce that we are looking for to invest in since e-commerce is quite interesting area, not only in Thailand but also throughout SEA region,” said Kang.

SBVK is 100 per cent subsidiary company of SoftBank Korea, the holding company with 100 per cent subsidiary of SoftBank in Japan. SBVK is to invest in the potential companies in Korea and across SEA region. Thailand is the second place of its investment outside Korea. SBVK has invested in 158 companies around the world with the total investment of over US$320 millions.

Established in 2004, today Ini3 Digital has provided total 24 games across platforms including 21 online games and 3 mobile games. It plans to launch new more seven mobile games and 4 online games in this year.

Ini3 Digital’s chief executive officer Pattera Apithanakoon said that the company aims to become regional player with expanding its business to cover SEA market. Partnering with SBVK is to help company to achieve the goal, by strengthen both company’s financial and game portfolios.

“With the strong SBVK’s portfolios, it helps us a lot to access the potential game contents. Together with our 20-year-experience in online game service providing, we will go regional together. This year we target to increase our profit at 20 per cent from last year. We are now 140 employees with US$10 million in revenue,” said Pattera.

She said the company aims to double its market share in game industry from 8 per cent of the total game industry of over Bt4 billion in 2013 to be 15 per cent of over the Bt5 billion-total-game industry in Thailand this year.

“This year, game industry’s growth is driven by mobile game platform. We also plan to launch the mobile game platform by the next three months,” said Pattera.

Ini3 Digital is to go region to become regional player, the company eyes to expand its game business to countries in the SEA region. The company has already expanded business in Vietnam market through investment in the local mobile game publisher in Vietnam with 49 per cent.

“Vietnam is the largest game market in SEA, followed by Thailand and Indonesia. We are now focusing on strengthen our business in Vietnam this year. Then, we will expand to the next market by late of this year,” said Pattera.

Meanwhile, there is around 5 to 10 per cent of total this revenue would be contributed from SEA market.

Moreover, Ini3 Digital also set up its venture capital arm called Galaxy Venture, in 2012, to invest in the tech startup firms. Currently, Galaxy Venture already invested in four game developers including Page36, Arched Plus, Level Up, and 1-2 Play.

View :1454

เพย์สบายพร้อมดันตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยสู่ตลาดโลก ผุดบริการใหม่รองรับการตลาดยุคโซเชียลคอมเมิร์ซ

March 4th, 2014 No comments

Paysbuy_7369

เพย์สบายผู้นำในการให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และระบบการชำระเงินออนไลน์ในประเทศไทย และเป็นบริษัทในเครือดีแทค ลุยครบ 1 ทศวรรษสร้างปรากฏการณ์เจ้าแรกอีวอลเล็ต สนับสนุนตลาดอี-คอมเมิร์ซในไทยสู่ตลาดโลก เผยยอดการชำระเงินผ่านทางระบบของเพย์สบายในปีที่ผ่านมาสูงกว่า 2 พันล้านบาท เตรียมต่อยอดแนะนำบริการใหม่ในปีนี้ มั่นใจช่วยกระตุ้นทั้งเศรษฐกิจและวงการอี-คอมเมิร์ซไทยให้โตยิ่งขึ้น

นายสมหวัง เหลืองไพบูลย์ศรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จำกัด กล่าวว่าตลอดระยะเวลา 1 ทศวรรษที่ผ่านมาเพย์สบายเป็นเจ้าแรกในการให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ในประเทศไทย และให้บริการระบบการชำระเงินออนไลน์ สามารถช่วยกระตุ้นวงการอี-คอมเมิร์ซของประเทศไทย พร้อมทั้งช่วยเร่งการเติบโตของการจับจ่ายใช้สอยบนโลกออนไลน์ สนองพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่หันมาช้อปปิ้งบนออนไลน์ได้สนุกอย่างปลอดภัย และช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจภายในประเทศสามารถเข้าถึงตลาดเป้าหมายใหม่ทั้งในประเทศและกลุ่มผู้ซื้อในต่างประเทศทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางการทำตลาดและฐานกำไรทางการค้าให้กับผู้ประกอบการได้มากขึ้น อีกทั้งหมดปัญหาเรื่องช่องทางการรับชำระเงินและความลำบากในการเชื่อมต่อระบบต่าง ๆ

“เพย์สบายมีรายได้เติบโต 25% ในปี พ.ศ. 2556 เมื่อเทียบกับรายได้ปีก่อน โดยมียอดการชำระเงินผ่านทางระบบของเพย์สบายในปีที่ผ่านมาสูงกว่า 2 พันล้านบาท และปี พ.ศ. 2557 ตั้งเป้ารายได้เติบโตอีก 35% โดยรวมที่ผ่านมาพฤติกรรมผู้ใช้บริการและร้านค้าออนไลน์ต่างๆ เติบโตพร้อมกับกระแสโมบายล์อินเทอร์เน็ตบน 3G บูม และยอดการใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเติบโตต่อเนื่อง จากเดิมพฤติกรรมที่ใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเปลี่ยนเป็นออนไลน์เชื่อมต่อโซเชียลมีเดียได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา และสามารถช้อปปิ้งสินค้าผ่านหน้าจอได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการเติบโตของออนไลน์แบบใหม่ ๆ เช่น โทรศัพท์ ธุรกิจเว็บดีล คูปองส่วนลด เกมส์ออนไลน์ และ ดิจิตอลคอนเทนท์ ที่ใช้ช่องทางชำระเงินผ่านเพย์สบาย โดยสัดส่วนการชำระเงินทั่วไปแต่เดิมจะเน้นจ่ายผ่านเครดิตการ์ดเป็นหลัก แต่เพย์สบายได้ให้บริการที่หลากหลายช่องทางตามกระแสพฤติกรรมลูกค้า โดยปีที่ผ่านมาจะมีสัดส่วน ชำระผ่านเครดิตการ์ด 38%, ช่องทางเงินสด 32%, และอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง 30% เพย์สบายจะเพิ่มช่องทางและปรับบริการไปตามเทรนด์และสัดส่วน” นายสมหวัง กล่าว

เพย์สบายเป็นตัวแทนรับชำระเงินที่อยู่เบื้องหลังให้ร้านค้า SME เติบโต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยให้บริการกับร้านค้าออนไลน์กว่า 10,000 แห่ง สร้างมูลค่าธุรกรรมให้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของประเทศไทย เติบโตโดยมียอดการชำระเงินผ่านทางระบบของเพย์สบายมากกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีร้านค้าที่สมัครใช้บริการเพย์สบายเพิ่มขึ้นอีก 1,000 แห่ง และจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดส่วนนี้เติบโตขึ้นเป็น 10 % ปัจจุบันมีผู้สมัครเปิดบัญชีเพย์สบายเพื่อใช้ในการรับ-ส่งเงินกว่า 500,000 ราย ในจำนวนนี้จะเป็นสัดส่วนฐานลูกค้าผู้ชาย 51% และผู้หญิง 49% โดยช่วงอายุ 21-30 ปี มีจำนวนมากที่สุดคือ 32%, รองลงมาคือช่วงอายุ 31-40 ปี มีจำนวน 28%, ช่วงอายุ 41-50 ปีมีจำนวน 16%, ช่วงอายุไม่เกิน 20 ปีมีจำนวน 13% และช่วงอายุ 51 ปีขึ้นไปมีจำนวน 11% ตามลำดับ

นายสมหวัง กล่าวต่อไปว่า “เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “Internet for All” ของดีแทคที่มีเป้าหมายต้องการให้คนไทยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างเท่าเทียม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยรวมให้กับประเทศ ในปีนี้เพย์สบายจึงนำมาต่อยอดโดยปรับสู่ 3 กลยุทธ์หลักคือ 1. เพิ่มสินค้าและบริการใหม่ให้กับร้านค้าออนไลน์และผู้ใช้งานผ่านเพย์สบาย 2. เพิ่มช่องทางและขยายการตลาดการชำระเงินในออนไลน์ 3. เสริมสร้างระบบสู่ความแข็งแกร่งรองรับความปลอดภัยใช้งานในโลกออนไลน์ด้วยมาตรฐานระดับโลก โดยทั้งหมดนี้จะเริ่มดำเนินการแนะนำสู่ตลาดเพื่อกระตุ้นวงการอี-คอมเมิร์ซของประเทศไทยในราวไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป”

กลยุทธ์บริการใหม่ที่จะแนะนำสู่ตลาดออนไลน์และวงการอี-คอมเมิร์ซในปีนี้ได้แก่ แคชการ์ด (Cash card) หรือบัตรเงินสดใช้จ่ายผ่านโลกออนไลน์, Virtual prepaid card ที่ช่วยทำให้ผู้มีบัญชีกับเพย์สบายสามารถช้อปปิ้งบนออนไลน์ได้กับทุกเว็บไซต์ผ่านเครือข่าย Visa, MasterCard, โมบายล์ เครดิตการ์ด (Mobile credit card) หรือการนำบัตรเครดิตเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการ, Payment On Delivery หรือ บริการ POD ที่จะให้ร้านค้าสามารถรับชำระเงินที่ปลายทางได้

สำหรับกลยุทธ์ช่องทางที่จะขยายในปีนี้จะรุกในส่วนที่ลูกค้าสามารถชำระเงินสดได้เพิ่มขึ้นที่เคาน์เตอร์ของผู้ให้บริการ อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการชำระเงินแบบผ่อนออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตกับทุกธนาคารในประเทศไทย พร้อมทั้งยังมี การชำระเงินจากต่างประเทศแบบใหม่ เช่น Alipay

“สุดท้าย กลยุทธ์เสริมสร้างระบบสู่ความแข็งแกร่งรองรับความปลอดภัยใช้งานเพย์สบายจะเพิ่มระบบ PCI DSS เป็นมาตรฐานการเก็บรักษาข้อมูลบัตรเครดิต เพิ่มความปลอดภัยทางการเงินระดับโลกให้กับลูกค้าที่ทำการชำระเงินผ่านระบบเพย์สบาย ป้องกันการโจรกรรมในโลกออนไลน์ และ Tokenization เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้าในการชำระเงินให้สะดวก ปลอดภัยขึ้น โดยที่ลูกค้าทำการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตในครั้งแรก เมื่อระบบจดจำค่าไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้งต่อไปลูกค้าจะไม่ต้องกรอกรายละเอียดบัตรเครดิต ก็สามารถชำระเงินได้ทันทีบนความปลอดภัยที่มั่นใจได้สูงสุด โดยได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการระดับโลก นอกจากนี้ คอลล์เซ็นเตอร์ของเพย์สบายจะเพิ่มการรองรับลูกค้าเป็น 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุดอีกด้วย” นายสมหวัง กล่าวในที่สุด

เกี่ยวกับเพย์สบาย

บริษัท เพย์สบาย จำกัด (www.paysbuy.com) เป็นผู้ให้บริการรับ/ส่งเงิน ชำระเงิน ชำระค่าสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยด้วยช่องทางการเติมเงินและการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต บัญชีธนาคาร และเงินสด

เพย์สบายก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยมี บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น () เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปี พ.ศ. 2550 ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพย์สบายได้รับหนังสืออนุญาตให้ประกอบธุรกิจบัตรเติมเงินอิเล็กทรอนิกส์ ใบอนุญาตให้เป็นผู้ให้บริการทางการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำกับดูแล และได้รับการรับรองความน่าเชื่อถือจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกระทรวงพาณิชย์

View :1416

อีริคสันและฟิลลิปส์ร่วมผลักดันนวัตกรรม “ซีโร่ ไซต์ – Zero Site”เติมความอัจฉริยะให้ระบบเสาโคมไฟถนนกับเครือข่ายโมบายบรอดแบรนด์

March 4th, 2014 No comments

Zero site_02
อัตราการเติบโตของประชากรในเมืองที่มีอยู่ราว 7,500 คนต่อชั่วโมง และการรับส่งข้อมูลอุปกรณ์เคลื่อนที่ (mobile data traffic) ที่มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10 เท่าในปี พ.ศ. 2562 นั้นภาครัฐและหน่วยงานต่างๆต้องวางแผนการใช้พลังงานด้านไฟแสงสว่าง(lighting)อย่างยั่งยืน พร้อมๆไปกับการเพิ่มศักยภาพและพื้นที่ครอบคลุมของเครื่อข่ายโมบายบรอดแบรนด์ (mobile broadband capacity and coverage)ในตัวเมืองให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น

อีริคสันและฟิลลิปส์ได้ร่วมกันพัฒนาออกแบบเสาโคมไฟถนนที่สามารถส่งสัญญาณการเชื่อมต่อเครื่อข่ายโมบายบรอดแบรนด์ เพื่อแก้ปัญหา 2 เรื่องสำหรับเมืองในอนาคต คือ ระบบการใช้พลังงานแสงสว่างแบบ LED ที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานพร้อมทั้งช่วยให้ผู้บริการเครือข่ายใช้เป็นสถานนีในการส่งสัญญาณโมบายบรอดแบรนด์เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพและพื้นที่ครอบคลุมของเครื่อข่ายอีกด้วย
โดยทางอีริคสันได้ตั้งชื่อนวัตกรรมนี้ว่า “ซีโร่ ไซต์ – Zero Site”สะท้อนความหมายในกรณีที่ผู้บริการเครือข่ายไม่จำเป็นต้องสร้างสถานนีส่งสัญญาณ (base station)เพิ่มเลย โดยภายในเสาโคมไฟถนน “ซีโร่ ไซต์ – Zero Site” นี้จะมีอุปกรณ์ในการรับส่งสัญญาณโมบายบรอดแบรนด์ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบของผู้บริการเครือข่ายต่างๆเพื่อเพิ่มศักยภาพและพื้นที่ครอบคลุมของเครื่อข่ายโดยในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งและจำนวนสถานนีส่งสัญญาณในตัวเมืองไปพร้อมๆกันอีกด้วย

ไม่เพียงแค่ความสวยงามและความปลอดภัยในยามค่ำคืนจากแสงสว่างที่คนเมืองจะได้รับจากนวัตกรรม“ซีโร่ ไซต์ – Zero Site” เท่านั้น แต่คนเมืองจะได้รับประสพการณ์การใช้บริการอินเทอร์เนตโมบายบรอดแบรนด์ ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งแสงสว่างและอีริคสันร่วมกันเปิดตัวนวัตกรรมเสาโคมไฟถนนแบบ LED รูปแบบใหม่ที่สามารถส่งสัญญาณการเชื่อมต่อเครื่อข่ายโมบายบรอดแบรนด์ (connected LED street lighting model) โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหา 2 เรื่อง คือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่าย (network performance) ในพื้นที่ๆมีการใช้งานค่อนข้างสูง รวมทั้งการใช้พลังงานไฟฟ้าสาธารณะที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

ฟิลลิปส์และอีริคสันได้ผสมผสานประโยชน์จากระบบไฟแบบ LED เข้ากับบริการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือสำหรับการใช้งานในเมืองต่างๆ โดยภาครัฐหรือหน่วยราชการท้องถิ่นสามารถสร้างรายได้โดยเปิดให้บริการแบบ”lighting-as-a-service” โดยอาจจะให้ผู้บริการเครือข่ายต่างๆเข้ามาเช่าพื้นภายในเสาโคมไฟถนนเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานร่วมสำหรับเครือข่ายโมบายบรอดแบรนด์อีกด้วย

ฟิลลิปส์จะมีการนำเสนอถึงเสาโคมไฟถนนแบบ LED ซึ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์ด้านเทเลคอมจากอีริคสัน ทั้งนี้ผู้ให้บริการด้านโทรศัพท์มือถือที่ทำงานร่วมกับอีริคสันต่างสามารถเช่าพื้นที่ในโคมไฟถนนนี้ได้ โดยในส่วนของผู้ให้บริการด้านเครือข่ายสามารถที่จะปรับปรุงในเรื่องของการบริการด้านโมบายบรอดแบรนด์ รวมทั้งโมเดลนี้จะเร่งช่วงเวลาการคืนทุนให้กับการลงทุนในด้านของโครงสร้างพื้นฐานในเมืองและเป็นสร้างรายได้ให้แก่ภาครัฐหรือหน่วยราชการท้องถิ่นอีกด้วย

โคมไฟถนน LED ของฟิลลิปส์ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ และสามารถเพิ่มการประหยัดพลังงานสูงขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์เมื่อใช้ควบคู่ไปกับอุปกรณ์การควบคุมที่ดีเยี่ยม โดยอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยศึกษาใน 12 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ของ The Climate Group และงานวิจัยดังกล่าวยังพบอีกว่าผู้คนในเมืองจะชอบหลอดไฟLEDสีขาว เพราะมันจะให้ความรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยและช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการมองเห็นที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหลอดไฟสีส้ม

นาย ฮานส์ เวสท์เบิร์ก ประธานและซีอีโอของบริษัทอีริคสัน กล่าวว่า “โซลูชั่นนี้เป็นการสะท้อนความสำเร็จในพาร์เนอร์ชิพ (partnership) ของทั้งสองผู้นำในอุตสกรรม ในการนำเอาความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีICT มาตอบสนองกับเมกาเทรนด์ของการใช้ชีวิตแบบในเมือง โดยจำนวนผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 7,500 คนต่อชั่วโมง แต่พื้นที่บนโลกของเรานั้นไม่ได้ขยายออกไปเลย และในขณะเดียวกัน ผลการวิจัยของอีริคสันคอนซูเมอร์แล็บยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การเชื่อมต่ออินเทอร์เนตเป็น 1 ใน 5 ปัจจัยหลักที่มีผลต่อความพึงพอใจในการดำเนินชีวิตในเมือง ดังนั้น โซลูชั่น “ซีโร่ ไซต์ – Zero Site” นี้จึงนับว่าเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นในสังคมเครือข่าย (The Networked Society) ที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเราต่างเชื่อมต่อสื่อสารเข้าหากัน

นาย ฟรานย์ วานน์ ฮอสเทินน์ ประธานและซีอีโอของบริษัทฟิลลิปส์ กล่าวว่า “โมเดลโคมไฟถนนแบบ LED เป็นอีกตัวอย่างนวัตกรรมของเราในการนำ Internet of Things มาใช้ในชีวิตประจำวัน และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของหลอดไฟที่ให้ประโยชน์มากกว่าแสงสว่างอีกด้วย โดยเราสามารถให้บริการแบบ”lighting-as-a-service” ที่ช่วยให้ ภาครัฐหรือหน่วยราชการท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของผู้คนในเมืองทั้งด้านความปลอดภัยของชุมชนจากแสงสว่างในยามค่ำคืนและเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ เครือข่ายมือถือต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดในงบประมาณต่างๆอีดด้วย

การที่จะรองรับกับความต้องการศักยภาพและพื้นที่ครอบคลุมของเครื่อข่าย ผู้ให้บริการเครือข่ายต่างจำต้องปรับปรุงพร้อมทั้งเพิ่มจำนวนของสถานนีหรือ cell site ให้มากขึ้นในพื้นที่ที่มีการใช้งานอันหนาแน่นโดยนวัตกรรม“ซีโร่ ไซต์ – Zero Site” ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีระดับโลกของอีริคสัน จะช่วยให้ผู้ให้บริการได้รับประโยชน์และความสะดวกรวดเร็วในขยายและเพิ่มจำนวนสถานนีโมบายบรอดแบรนด์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและนี่ถือเป็นวิวัฒนาการอันสำคัญสำหรับการวางเครือข่าย(heterogeneous network)

นาย บัญญัติ เกิดนิยม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า นวัตกรรม“ซีโร่ ไซต์ – Zero Site” นี้จะช่วยแก้ไขการหาสถานที่หรือสิทธิแห่งทาง (Right of Way) สำหรับผู้ให้บริการเครื่อข่ายในการติดตั้งสถานนีต่างๆในที่ชุมชน และในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างสร้างรายได้ให้กับภาครัฐหรือหน่วยราชการท้องถิ่นจากค่าเช่าพื้นที่ไปพร้อมๆกับการให้บริการสาธรณะกับผู้คนในเมืองได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

View :1362