Archive

Posts Tagged ‘MFEC’

MFEC มั่นใจครึ่งปีหลังทำผลงานโตต่อ หลัง Q2/54โชว์กำไรพุ่งเกือบ 200%

August 18th, 2011 No comments

” แม่ทัพใหญ่ มั่นใจผลประกอบการครึ่งปีหลังมีแนวโน้มโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก หลังอุตสาหกรรมไอทีขยายตัวคึกคัก หนุนปริมาณงานไหลเข้าตลาดเพิ่มขึ้น เชื่อสิ้นปีปั๊มรายได้ทะลุ 3,500 ลบ.หายห่วง ส่วนผลงานโค้ง 2 ปีนี้โชว์กำไรยอดเยี่ยมพุ่ง 199% จาก 20 ลบ.ในปีก่อน เป็น 61 ลบ. เป็นผลจากรายได้ที่โตถึง 103% จาก 532 ลบ.ในปีก่อนมา เป็น 1,077 ลบ. แถมหนุนผลงานครึ่งปีแรกสดใสกำไรทะลุ 82 ลบ. เพิ่มขึ้น 40ลบ. หรือ 96% จากงวดเดียวกันปีก่อน

ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC

นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังว่ายังขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตามทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมไอที โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมไอทีอย่างชัดเจน จึงเชื่อว่าจะมีงานใหม่ๆ ไหลเข้าสู่ตลาดอีกเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท และคาดว่ารับรู้รายได้ปีนี้ 70 – 80% ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปีถัดไป นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมประมูลงานใหม่ๆ ต่อเนื่องกระจายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเบื้องต้นเตรียมประมูลงานรัฐวิสาหกิจ มูลค่าอีกประมาณ 800 ล้านบาท ขณะเดียวกันได้เตรียมพัฒนาระบบ Software ต่างๆ เพื่อสร้าง Content ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นรองรับตลาดไอทีที่ขยายตัว ซึ่งในอนาคตมีโอกาสที่บริษัทฯ จะรับงานในภาครัฐบาลเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันบริษัทฯ รับงานภาครัฐบาลสัดส่วน 30% และรับงานภาคเอกชนสัดส่วน 70% ซึ่งการรับงานได้อย่างคล่องตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากการรวมตัวกับบริษัทไอทีชั้นนำในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ MFEC GROUP แข็งแกร่งมากขึ้น และมั่นใจว่าในปีนี้จะผลักดันรายได้ทั้งปีให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,500 ล้านบาทได้สำเร็จ

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2554 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 545 ล้านบาท หรือร้อยละ103จากงวดไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ที่มีรายได้ 532 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.22 บาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท หรือร้อยละ 199 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.08 บาท

ในขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2554 (มกราคม – มิถุนายน 2554) บริษัทฯ มีรายได้ 1,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 563 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.57 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,263 ล้านบาท และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.29 บาท เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท หรือร้อยละ 96 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 42 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.17 บาท สำหรับปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการส่งมอบงานได้ดีขึ้น ทำให้รับรู้รายได้เต็มที่ทั้งจากงานปัจจุบัน และงานที่ชะลอการส่งมอบมาจากช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา

“ผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ผ่านมาของบริษัทฯ ถือว่าน่าพอใจ ซึ่งตามปกติผลประกอบการครึ่งปีแรก คิดเป็น 40% ของรายได้รวม ขณะที่ 60% จะรอรับรู้ในครึ่งปีหลัง ซึ่งเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่วางไว้ 3.5 พันล้านบาทยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน และคาดว่าทำได้ตามที่วางไว้ จากความแข็งแกร่งของ MFEC GROUP ที่ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นและรองรับงานได้กว้างขวางขึ้น” นายศิริวัฒน์ กล่าว

*************************
ข้อมูลบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน)

บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ประกอบธุรกิจบริการให้คำปรึกษา พัฒนา และวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าวิสาหกิจ (Enterprise) ขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีพนักงานรวมบริษัทในเครือ 4 บริษัททั้งสิ้นกว่า 1,000 คน ในจำนวนนี้ ร้อยละ 80 เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างสูง มีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 200 บริษัท และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอที กลายเป็น MFEC GROUP ซึ่ง 3 บริษัทไอทีชั้นนำดังกล่าวประกอบด้วย

บริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด หรือ BAC เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนจำหน่ายของ IBM COGNOS ซอฟท์แวร์ด้าน Business intelligence (BI) รายเดียวในประเทศไทย

บริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์โดยเป็นบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติไทยผู้วิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนเอง เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท Motif เอง ที่ใช้ในระบบงานโอเปอเรชั่นของสถาบันการเงินการธนาคาร งานกฎหมาย การบริหารองค์กรภาครัฐ มีวิศวกรทางด้านซอฟแวร์กว่า 100 คน และมีลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่กว่า 20 แห่ง

บริษัท ซอฟต์สแควร์ กรุ๊ป ให้บริการด้านการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีบุคลากรประมาณ 400 คน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทในเครือ 8 บริษัท ถือเป็นบริษัทซอฟท์แวร์เฮาส์คนไทยที่มีอายุงานยาวนานและมีการเติบโตยั่งยืนต่อเนื่องที่สุด ปัจจุบันกลุ่มบริษัท ซอฟต์สแควร์ ได้รับความไว้วางใจในการจัดหาและติดตั้งระบบงานคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้กับองค์กรชั้นนำ ทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและอุตสาหกรรมการผลิตกว่า300 ราย ทั้งในและต่างประเทศ

View :1645

MFEC มั่นใจหลังควบรวมกิจการ 3 บริษัทไอที หนุนรายได้ปีแรกโต 20% กำไรโตเกือบ 3 เท่า

March 18th, 2011 No comments

มั่นใจ หลังควบรวมกิจการ 3 บริษัทไอที ‘ ซอฟต์ สแควร์ กรุ๊ป – บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น – โมทีฟ เทคโนโลยี ‘ หนุนรายได้ปีแรกขยายตัว 20% หรือแตะ 3.5 พันลบ . ขณะที่กำไรมีโอกาสโตเกือบ 3 เท่าตัว เหตุการควบรวมกิจการทำให้องค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้น เพิ่มอำนาจการต่อรองและศักยภาพในการขยายธุรกิจ ในขณะเดียวกันสามารถลดต้นทุนบางส่วนให้ต่ำลงเพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี พร้อมส่งสัญญาณโค้งแรกปี 54 ธุรกิจยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อน มี Backlog รอรับรู้เป็นรายได้แล้วกว่า 2 พันลบ .

นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด ( มหาชน ) (MFEC) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้บริษัทฯ ควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ซอฟต์สแควร์กรุ๊ป โดยผ่านการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท นอร์ธเทอร์นสตาร์ซอฟต์แวร์ จำกัด บริษัท บิซิเนส แอพพริเคชั่น จำกัด และบริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด ( มหาชน ) โดยผ่านการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท เมกัส จำกัด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กร ตลอดจนรองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้ามาในอนาคตนั้น เชื่อว่าภายหลังการควบรวมกิจการดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้รายได้ในปีแรกขยายตัวได้ 20% หรืออยู่ที่ 3,500 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิมีโอกาสเติบโตได้ถึง 3 เท่าตัว จากปี 2553 ที่บริษัทฯ ทำได้ 60-70 ล้านบาท เนื่องจากการควบรวมกิจการครั้งนี้ เป็นการนำจุดแข็งของแต่ละบริษัทเข้ามาสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้บริษัทฯ มีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจ และทำให้ต้นทุนบางส่วนลดลง เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันได้อีกทางหนึ่งด้วย

“ การควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทพันธมิตรในครั้งนี้ เป็นการนำบริษัทฯ ที่โดดเด่นและเป็นผู้นำทางด้าน Software และ IT Services ชั้นนำของประเทศในแต่ละตลาดมารวมไว้ด้วยกัน ดังนั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนหลังจากนี้ นอกเหนือจากการเติบโตแบบก้าวกระโดดแล้ว ยังจะทำให้ MFEC GROUP เป็นองค์กรที่เข้มแข็งเป็นผู้นำที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม Software และ IT Services ของประเทศอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไอทีไทยให้แข่งขันได้ กับผู้ประกอบการอื่นๆ ในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี และจะส่งเสริมแผนการก้าวสู่ตลาดในระดับภูมิภาคและตลาดโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นที่ยอมรับนับถือจากสาธารณะ และนักลงทุน โดยโครงการควบรวมกิจการดังกล่าวจะนำเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในเดือนเมษายนนี้”

เขากล่าวอีกว่า หลังการควบรวมกิจการในครั้งนี้ MFEC GROUP ได้วางเป้าหมายจะปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและการบริหารองค์กรให้กลายเป็น “สถาบัน” ที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เป็นผู้นำในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไทย การสร้างงานที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในระดับท้องถิ่น และการกระจายรายได้ในประเทศเพื่อเป็นส่วนร่วมในการที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจ บริการเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Service Economy ได้ และประการสำคัญจะช่วยส่งเสริมให้ตลาดซอฟต์แวร์เมืองไทยแข็งแกร่งขึ้น โดยการดำเนินธุรกิจของทั้ง 3 บริษัทยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่มีการปลดพนักงานแต่จะช่วยกันทำงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจไอทีและให้แข่งขันกับผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างคล่องตัว

นายศิริวัฒน์ กล่าวต่อถึงแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 1/2554 ว่า ถือว่ามีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1,800 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทฯ เตรียมเข้าประมูลงานใหม่ทั้งสิ้น 1,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานรัฐวิสาหกิจ 800-900 ล้านบาท และงานเอกชนอีก 300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับงานดังกล่าวในสัดส่วน 700-800 ล้านบาท จากมูลค่างานรวมทั้งหมด โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าหลักของบริษัทฯ จะมาจากกลุ่ม Telecom 35% banking 20% ภาครัฐ 25% และที่เหลือมาจากกลุ่มอื่นๆ

ทั้งนี้ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด ( มหาชน ) รายงานผลประกอบการประจำปี 2553 ( 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2553) มีรายได้ 2,595 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 67.87 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.26 บาท และในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2554 ซึ่งประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 ระหว่างเวลา 13.00 น . ถึง 16.15 น . ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติการจัดสรรเงินสดปันผลโดยจ่ายจากผลกำไรสะสมของบริษัทจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยจ่ายเงินสดปันผลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2554 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 พร้อมกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อเสนอมติดังกล่าวให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาในวันที่ 25 เมษายน 2554

View :1456
Categories: Press/Release Tags:

MFEC มั่นใจครึ่งปีหลังโชว์ผลงานเจ๋งกว่าครึ่งแรกหลังการเมืองนิ่งหนุนงานไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง

August 30th, 2010 No comments

” มั่นใจครึ่งปีหลัง โชว์ผลงานโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เหตุเป็นช่วง high season แถมสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มนิ่ง หนุนเอกชนเริ่มหันมาลงทุนพัฒนาระบบงานไอทีเพิ่มขึ้น คุยกอดงานในมือรอแล้วกว่า 1.5 พันลบ. พร้อมเดินหน้าควงพันธมิตรพัฒนา IP ของตัวเองลงวางตลาดต่อเนื่อง เชื่อฝ่าคู่แข่งข้ามชาติปั้นผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนได้
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังของปี 2553 ว่า มีทิศทางขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากในช่วงครึ่งปีหลังปกติธุรกิจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศสงบลง ส่งผลให้ความมั่นใจในการลงทุนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการลงทุนด้านระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศของทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้มีงานวางระบบสารสนเทศเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ขยายตัวในทิศทางเดียวกัน

สำหรับการขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังนี้เขากล่าวว่า บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการเร่งขยายผลิตภัณฑ์และการให้บริการให้หลากหลายสามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจรแบบ One Stop Service เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้สามารถปกป้องตลาดและขยายฐานลูกค้าไปในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางธุรกิจที่คาดว่าจะมีการแข่งขันอย่างรุนแรง หลังเปิดการค้าเสรีตามสนธิสัญญาอาฟต้า โดยการเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ หรือการเพิ่ม Portfolio ของ Product หรือโซลูชั่น ให้มีความสมบูรณ์ขึ้นนั้น MFEC ยังใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง ( Intellectual Property หรือ IP ของ MFEC) ลงสู่ตลาดมากขึ้นต่อเนื่องจากต้นปีที่ผ่านมา

รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำในแต่ละตลาดพัฒนาสินค้าอินโนเวชั่นลงทำตลาดร่วมกัน เพื่อใช้จุดแข็งของกันและกันสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางการแข่งขันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจากผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ปัจจุบันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นทุกที เนื่องจากความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยี ที่มีต้นทุนสินค้าที่ถูกลง สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างคล่องตัว

“กลยุทธ์การจับมือกับพันธมิตรพัฒนาสินค้าร่วมกัน และการที่เราสร้าง IP ของเราขึ้นมาได้ เพื่อเพิ่ม solution สร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในการนำเสนอข้อมูลให้กับลูกค้าแบบเหนือชั้นกว่า นอกจากนั้นยังช่วยลดระยะเวลาการทำงานของเรา เมื่อประหยัดเวลาได้ ผลก็คือการประหยัดต้นทุนและช่วยเพิ่ม margin กับบริษัทฯได้ และประการทำคัญทำให้ MFEC มีสินค้าที่นำเสนอให้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจร แบบ end to end ตั้งแต่นำข้อมูลจากต้นทางมา จนถึงเอาข้อมูลไปให้ผู้บริหารใช้บริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ในขณะเดียวกัน MFEC ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาการให้บริการให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงกับใจด้วย ซึ่งถือเป็นการผนึก 2 จุดแข็งเข้าด้วยกันอย่างลงตัวทั้งด้านความเป็นหนึ่งเรื่องเทคโนโลยี และความเป็นหนึ่งด้านบริการ ซึ่งจะทำให้เราเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต”

นายศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปี 2553 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีก่อน โดยเป็นการเติบโตตามตลาดไอทีที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (ฺBacklog) ประมาณ 1.5 พันล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปี โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ อยู่ในภาคเอกชนประมาณ 60 – 65% ส่วนอีก 35 – 40% เป็นภาครัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์พัฒนา IP ของตัวเองลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (margin) ของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการเติบโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากในไตรมาสที่ 2/2553 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาก

ทั้งนี้ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2553 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 มีกำไรสุทธิ 20.36 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.08 บาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 20.66 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.09 บาท ถึงแม้ว่ารายได้ในช่วงดังกล่าวจะลดลงจากปีก่อนอย่างชัดเจน หลังจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความรุนแรงทางการเมือง โดยในไตรมาสที่ 2/2553 บริษัทฯ มีรายได้รวม 531.27 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 577.25 ล้านบาท แต่เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 21% เทียบกับ 19% ในปีก่อน จึงทำให้ผลประกอบการออกมาใกล้เคียงกับปีก่อนดังกล่าว ส่วนงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 41.73 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.17 บาท จากปีก่อนที่ทำได้ 49.43 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.21 บาท

View :1760
Categories: Press/Release Tags:

MFEC มั่นใจครึ่งปีหลังโชว์ผลงานเจ๋งกว่าครึ่งแรกหลังการเมืองนิ่งหนุนงานไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง

August 30th, 2010 No comments

” มั่นใจครึ่งปีหลัง โชว์ผลงานโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เหตุเป็นช่วง high season แถมสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มนิ่ง หนุนเอกชนเริ่มหันมาลงทุนพัฒนาระบบงานไอทีเพิ่มขึ้น คุยกอดงานในมือรอแล้วกว่า 1.5 พันลบ. พร้อมเดินหน้าควงพันธมิตรพัฒนา IP ของตัวเองลงวางตลาดต่อเนื่อง เชื่อฝ่าคู่แข่งข้ามชาติปั้นผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนได้
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังของปี 2553 ว่า มีทิศทางขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากในช่วงครึ่งปีหลังปกติธุรกิจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศสงบลง ส่งผลให้ความมั่นใจในการลงทุนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการลงทุนด้านระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศของทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้มีงานวางระบบสารสนเทศเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ขยายตัวในทิศทางเดียวกัน

สำหรับการขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังนี้เขากล่าวว่า บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการเร่งขยายผลิตภัณฑ์และการให้บริการให้หลากหลายสามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจรแบบ One Stop Service เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้สามารถปกป้องตลาดและขยายฐานลูกค้าไปในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางธุรกิจที่คาดว่าจะมีการแข่งขันอย่างรุนแรง หลังเปิดการค้าเสรีตามสนธิสัญญาอาฟต้า โดยการเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ หรือการเพิ่ม Portfolio ของ Product หรือโซลูชั่น ให้มีความสมบูรณ์ขึ้นนั้น MFEC ยังใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง ( Intellectual Property หรือ IP ของ MFEC) ลงสู่ตลาดมากขึ้นต่อเนื่องจากต้นปีที่ผ่านมา

รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำในแต่ละตลาดพัฒนาสินค้าอินโนเวชั่นลงทำตลาดร่วมกัน เพื่อใช้จุดแข็งของกันและกันสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางการแข่งขันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจากผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ปัจจุบันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นทุกที เนื่องจากความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยี ที่มีต้นทุนสินค้าที่ถูกลง สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างคล่องตัว

“กลยุทธ์การจับมือกับพันธมิตรพัฒนาสินค้าร่วมกัน และการที่เราสร้าง IP ของเราขึ้นมาได้ เพื่อเพิ่ม solution สร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในการนำเสนอข้อมูลให้กับลูกค้าแบบเหนือชั้นกว่า นอกจากนั้นยังช่วยลดระยะเวลาการทำงานของเรา เมื่อประหยัดเวลาได้ ผลก็คือการประหยัดต้นทุนและช่วยเพิ่ม margin กับบริษัทฯได้ และประการทำคัญทำให้ MFEC มีสินค้าที่นำเสนอให้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจร แบบ end to end ตั้งแต่นำข้อมูลจากต้นทางมา จนถึงเอาข้อมูลไปให้ผู้บริหารใช้บริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ในขณะเดียวกัน MFEC ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาการให้บริการให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงกับใจด้วย ซึ่งถือเป็นการผนึก 2 จุดแข็งเข้าด้วยกันอย่างลงตัวทั้งด้านความเป็นหนึ่งเรื่องเทคโนโลยี และความเป็นหนึ่งด้านบริการ ซึ่งจะทำให้เราเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต”

นายศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปี 2553 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีก่อน โดยเป็นการเติบโตตามตลาดไอทีที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (ฺBacklog) ประมาณ 1.5 พันล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปี โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ อยู่ในภาคเอกชนประมาณ 60 – 65% ส่วนอีก 35 – 40% เป็นภาครัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์พัฒนา IP ของตัวเองลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (margin) ของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการเติบโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากในไตรมาสที่ 2/2553 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาก

ทั้งนี้ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2553 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 มีกำไรสุทธิ 20.36 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.08 บาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 20.66 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.09 บาท ถึงแม้ว่ารายได้ในช่วงดังกล่าวจะลดลงจากปีก่อนอย่างชัดเจน หลังจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความรุนแรงทางการเมือง โดยในไตรมาสที่ 2/2553 บริษัทฯ มีรายได้รวม 531.27 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 577.25 ล้านบาท แต่เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 21% เทียบกับ 19% ในปีก่อน จึงทำให้ผลประกอบการออกมาใกล้เคียงกับปีก่อนดังกล่าว ส่วนงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 41.73 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.17 บาท จากปีก่อนที่ทำได้ 49.43 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.21 บาท

View :1485
Categories: Press/Release Tags: