วิสัยทัศน์ใหม่ซอฟต์แวร์พาร์ค ปรับแผนและบทบาทรับเทคโนโลยีเปลี่ยน
เปิดวิชั่นใหม่ซอฟต์แวร์พาร์ค ธนชาติ ผอ.ใหม่ชี้ชัดเทคโนโลยีโมบาย และ
คลาวด์คอมพิวติ้ง ทำให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เปลี่ยน เผย 5 บทบาทหลัก 7 แผนปฏิบัติการเร่งด่วน หวังผลปีหน้าเกิดสาขาใหม่อย่างน้อย 3 สาขา เกิดศูนย์ทดสอบซอฟต์แวร์มือถือ เปิดตัวฟรีแลนซ์สเปซรับกระแสคลื่นลูกใหม่ ผลักดันสัปดาห์โซลูชันซอฟต์แวร์ และเน้นสร้างศูนย์ทดสอบซอฟต์แวร์
นายธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือ ซอฟต์แวร์พาร์ค เปิดเผยว่า จากการที่เทคโนโลยีปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทำให้
แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของซอฟต์แวร์พาร์คต่อไปนี้จะมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้อง โดยวิสัยทัศน์ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนต่อไปคือ อนาคตของซอฟต์แวร์พาร์คจะไม่ยึดติดกับสถานที่แต่จะปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของชุมชนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ในช่วงแรกที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนเร่งด่วน เนื่องมาจากทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ทั้งของไทยและของโลกนั้น จะใช้ผ่านระบบ Cloud Computing มากขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้สถานที่ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานมีความจำเป็นน้อยลง และตลาดของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะเปลี่ยนไป ความจำเป็นที่ทำให้ซอฟต์แวร์พาร์คต้องเข้าไปช่วยให้ฝั่งผู้ผลิตเตรียมพร้อมรองรับ และสนับสนุนให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่น เพื่อส่งผลระยะยาวจึงต้องมีการปรับทั้งกระบวนการอย่างเร่งด่วน
ดังนั้นบทบาทที่รองรับวิสัยทัศน์ใหม่ของซอฟต์แวร์พาร์ค จะประกอบด้วย 5 ส่วนคือ
บทบาทที่ 1 การคงบทบาทให้ซอฟต์แวร์พาร์คเป็นจุดศูนย์กลาง หรือ Landmark ของธุรกิจซอฟต์แวร์ไทย แม้ว่าตัววิสัยทัศน์นั้นจะเน้นการไม่ยึดติดกับสถานที่ เช่น อาคารของซอฟต์แวร์พาร์ค แต่เนื่องจากในช่วงต้น การเป็นจุดรวมในเชิงสัญลักษณ์ยังมีความสำคัญในด้านความเชื่อมั่น และการติดต่อกับองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ยังมีความจำเป็นอยู่ อีกทั้งต่อไปแนวทางที่จะเป็นคือ การก่อเกิดของซอฟต์แวร์พาร์คต่างๆ ทั่วประเทศ ก็จะทำให้สถานที่ลดบทบาทลงไป
บทบาทที่ 2 คือ การเป็นที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีใหม่ให้กับวงการซอฟต์แวร์ไทย โดยมี 3 ทิศทางหลักคือ ซอฟต์แวร์พาร์คจะเป็นผู้นำในการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญเข้าสู่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทยอย่างรวดเร็ว ซอฟต์แวร์พาร์คจะเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจ และสามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้แก่นักพัฒนา
ซอฟต์แวร์ไทย และซอฟต์แวร์พาร์คจะถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ทางด้านเทคโนโลยีรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดให้กับผู้ประกอบการอย่างเต็มที่
บทบาทที่ 3 คือ การสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย โดยงานเร่งด่วนคือการทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของไทยขับเคลื่อนเข้าสู่ตลาดใหม่ของซอฟต์แวร์ในระดับโลกได้อย่างดีในระยะยาว เนื่องจากระบบตลาดซอฟต์แวร์ได้ปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก ซึ่งตลาดซอฟต์แวร์ไทยหากปรับตัวได้ทัน ก็จะทำให้การขยายตลาดในระดับโลกทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นซอฟต์แวร์พาร์คจะอบรม และสร้างองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีใหม่ให้เข้าใจทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้ใช้ซอฟต์แวร์ไทย
จุดสำคัญของบทบาทในเรื่องนี้อีกประการคือ การขยายตัวจากการเป็นเขตอุตสาหกรรมที่ต้องเป็นสำนักงาน หรือ Park ให้กลายเป็นเขตอุตสาหกรรมเสมือนจริง หรือ Virtual Park สอดคล้องกับการเติบโตของเทคโนโลยี Cloud Computing และทำให้การขยายตัวของการสนับสนุนทำได้อย่างไม่จำกัด
นอกจากนั้น จุดเด่นของซอฟต์แวร์พาร์คแต่เดิมคือ การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ของไทยมีระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐาน หรือ software process ในจุดนี้ทางซอฟต์แวร์พาร์คจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวก็จะเพิ่มความเข้มข้นในมาตรฐานใหม่ที่จะรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกด้วย เพื่อทำให้มาตรฐานของซอฟต์แวร์ไทยสามารถสู้กับซอฟต์แวร์ต่างประเทศได้ เพราะตลาด Cloud Computing แม้จะเปิดตลาดให้กับไทยสู่ตลาดโลก แต่ขณะเดียวกันก็เปิดตลาดโลกเข้าสู่ตลาดไทยด้วยเช่นกัน หากซอฟต์แวร์ไทยไม่เข้มแข็งพอก็อาจเสียตลาดในประเทศไปได้ ส่วนเครื่องมือเสริมต่างๆซอฟต์แวร์พาร์คก็จะมีพร้อมให้กับผู้ประกอบการเช่นเคย
บทบาทที่ 4 คือ การสร้างความร่วมมือแนวใหม่ หรือ New Collaborative ในวิสัยทัศน์ใหม่บทบาทของซอฟต์แวร์พาร์คด้านนี้จะเพิ่มความโดดเด่นมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ไม่ว่าจะเป็นโมบาย หรือ Cloud Computing ได้ทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงไป โดยตลาดใหญ่จะเป็นตลาดระดับโลก ทั้ง App Store, Android Store รวมถึง Cloud ใหญ่ๆ ที่รวบรวมซอฟต์แวร์ระดับโลกเอาไว้ ในส่วนนี้ซอฟต์แวร์พาร์คต้องเข้าไปช่วยทำให้ซอฟต์แวร์ไทยสามารถเข้าสู่ตลาดระดับโลกให้ง่ายกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบันการเข้าสู่ตลาดนี้ยังเป็นปัญหาใหญ่ของซอฟต์แวร์ไทยอยู่ ขณะเดียวกันตลาดในระดับประเทศซอฟต์แวร์พาร์คก็ให้ความสำคัญด้วย โดยจะเร่งสร้างตลาด Mobile Store และ Cloud Computing ในประเทศไทยให้มากขึ้น และทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเกิดความคุ้นเคยกับตลาดนี้โดยเร็ว
ในระยะยาวซอฟต์แวร์พาร์คจะมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมของทั้งอุตสาหกรรม ตั้งแต่ระดับภูมิภาค โดยใช้เครือข่ายพันธมิตรของซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ รวมถึงบรรดาสมาคมวิชาชีพทางด้านไอทีทั้งหมด และประสานงานโครงข่ายระดับมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับและสนับสนุนตลาดแบบใหม่
บทบาทที่ 5 ของซอฟต์แวร์พาร์คคือ การมุ่งสร้างความต้องการของตลาดซอฟต์แวร์ในประเทศให้เติบโตแบบยั่งยืน เพราะนอกจากการสนับสนุนให้ผู้ผลิตซอฟต์แวร์เปลี่ยนแปลงแล้ว ซอฟต์แวร์พาร์คจำเป็นที่จะต้องลงไปในระดับผู้ซื้อด้วย เพื่อสร้างความสมดุลของตลาดให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะแนวโน้มใหม่ของเทคโนโลยีนั้นต้องการแรงผลักจากทั้งสองส่วนไปพร้อมๆ กัน จึงจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในวงกว้าง โดยกลุ่มเป้าหมายหลักทางด้านผู้ซื้อที่ซอฟต์แวร์พาร์คจะเข้าไปดูแลเป็นพิเศษคือ กลุ่ม SMEs และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความพร้อม เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น
เพื่อให้การปรับเปลี่ยนบทบาทของซอฟต์แวร์พาร์คสมบูรณ์มากขึ้น ทางซอฟต์แวร์พาร์คจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานภายในบางส่วน โดยในปัจจุบันมีการแบ่งฝ่ายการทำงานหลักออกเป็น 5 ส่วนคือ ส่วนโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวก หรือ Infrastructure and Facility support ที่จะให้บริการสถานที่ทำงาน สถานที่อบรม และอื่นๆ, ฝ่ายที่ปรึกษา หรือ IT Consulting หน้าที่หลักของฝ่ายนี้คือ พัฒนาขีดความสามารถของบริษัทซอฟต์แวร์ไทยให้เกิดมาตรฐานในระดับสากล, ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจซอฟต์แวร์ หรือ Software Business Enabling รับผิดชอบด้านการประสานงานกับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ทั้งระบบ รวมถึงการขับเคลื่อนความต้องการของตลาดเข้าสู่ตลาดเทคโนโลยีใหม่, ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยี หรือ Technology Enabling หน้าที่หลักคือ สนับสนุนให้เกิดการบริการบน Cloud Computing เกิดระบบ Enterprise 2.0 ดูแลการผลักดันระบบ Testing หรือธุรกิจการตรวจสอบซอฟต์แวร์ และอื่นๆ ฝ่ายสุดท้ายคือ ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือ Technology Transfer รับผิดชอบเรื่องการสร้างองค์ความรู้ในเทคโนโลยีใหม่และถ่ายทอดให้กับทุกระดับในอุตสาหกรรม
ส่วนงานสำคัญเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2554 นี้ ทางซอฟต์แวร์พาร์คจะมีโครงการสำคัญ 7 โครงการ โครงการที่ 1 คือ การขยายสาขาของซอฟต์แวร์พาร์ค ซึ่งจะมีการทำความร่วมมือกับทั้งภาคเอกชน และเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อื่นๆ และอาจจะขยายผลด้วยการใช้ระบบ
แฟรนไชส์ โดยแบ่งเป็นระดับเล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งคาดว่าในปี 2554 นี้จะมีเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ขนาดเล็กเกิดขึ้นใหม่ 2 แห่ง และขนาดกลางเกิดขึ้น 1 แห่ง และในระยะยาวจะมีการเติบโตของธุรกิจซอฟต์แวร์พาร์คถึง 100% ภายใน 5 ปีนี้
โครงการที่ 2 คือ การสร้าง Freelance Space แห่งแรกให้เกิดขึ้นในเมืองไทย โดยซอฟต์แวร์พาร์คอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องสถานที่ และเงื่อนไขทั้งในส่วนของผู้จ้างงาน และผู้รับจ้างอิสระ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว Freelance Space จะเป็นสถานที่ที่จะกลายเป็นจุดกำเนิดเทคโนโลยีใหม่ๆ และรองรับรูปแบบการทำงานยุคใหม่ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่มีแนวโน้มต้องการทำงานแบบอิสระมากขึ้น ขณะที่การทำงานจะเป็นรูปแบบ Mobile office หรือสำนักงานเคลื่อนที่
คาดว่าภายในกลางปีนี้ Freelance Space จะเป็นรูปร่างและสามารถดำเนินการในขั้นต้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นการเริ่มต้นของชุมชนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นสถานที่จริง และจะเติบโตขยายจำนวนทั้งในส่วนของผู้รับจ้างและผู้จ้างจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ในที่สุด โดยขณะนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดของโครงการก็คือ Seed Money หรือเงินลงทุนแรกเริ่ม ที่เข้าในรูปแบบแตกต่างกันไป เชื่อว่าโครงการนี้จะส่งผลเชิงบวกอย่างรุนแรงให้กับทั้งอุตสาหกรรม
โครงการที่ 3 คือ การพัฒนาระบบ Mobile และ Cloud ของวงการซอฟต์แวร์ไทย ซอฟต์แวร์จะใช้เทคโนโลยีทั้งสองเป็นเรือธงในการขับเคลื่อน เนื่องจากเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบในวงกว้างกับอุตสาหกรรมอย่างมาก โดยต้องเร่งให้ทั้งอุตสาหกรรมตระหนักและรับรู้แนวโน้มในเชิงลึกโดยเร่งด่วน ปรับเปลี่ยนหลักสูตรการอบรมให้เอื้อกับทั้งสองเทคโนโลยีนี้ในทันที และมีการถ่ายทอดลงไปในทุกส่วนของภาคอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ทั้งในระดับนักพัฒนา นักการตลาด จนถึงผู้บริหาร ฯลฯ ซอฟต์แวร์พาร์คจะมีการตั้ง Mobile Testing Center หรือ ศูนย์ทดสอบซอฟต์แวร์ที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เนื่องจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้ต้นทุนสูง เนื่องจากมีหลายระบบปฏิบัติการ และรุ่น ซอฟต์แวร์พาร์คจะขอความร่วมมือกับทั้งเจ้าของระบบปฏิบัติการและเจ้าของโทรศัพท์มือถือให้สนับสนุนโครงการนี้
สำหรับเป้าหมายหลักในปีนี้ ซอฟต์แวร์พาร์คยังมุ่งเน้นที่จะสร้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งสองต่อไปได้หรือ train the trainer โดยจำนวนในขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและประเมินความเป็นไปได้อยู่ นอกจากนั้นยังจะมีโครงการร่วมทุนกับภาคเอกชนในบางส่วนเพื่อสร้างโครงการใหม่ในส่วนนี้ให้เกิดขึ้น เป็นการผลักดันให้เกิดศูนย์ที่พัฒนาเทคโนโลยีทั้งสองได้ง่ายขึ้น
โครงการที่ 4 คือ การผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพด้านไอทีป้อนตลาด โครงการนี้ถือเป็นโครงการต่อเนื่อง จากการทำโครงการนำร่องที่จังหวัดเชียงราย โดยรับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาฝึกงานกับบริษัทซอฟต์แวร์ที่เน้นทำให้บัณฑิตมีความสามารถในการทำงานด้านซอฟต์แวร์อย่างแท้จริง และสามารถเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าต่อวงการซอฟต์แวร์ไทยทันที โดยไม่ต้องผ่านการเรียนรู้ในสถานที่ทำงานจริงอีกครั้งหนึ่ง โดยในปีนี้จะมีการขยายโครงการออกไปยังภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น โดยร่วมมือกับบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีความพร้อม รวมถึงการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ให้เข้าไปในส่วนของกระบวนการเรียนรู้ของบัณฑิตใหม่ที่มาฝึกงานในทันที นอกจากนั้นยังมีการปรับเป้าหมายให้เกิดบัณฑิตที่มีความสามารถทางด้านการเขียนซอฟต์แวร์ระดับใหญ่ หรือ Software Enterprise ให้มากขึ้น รวมถึงปรับทัศนคติของทั้งนักศึกษาและบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ให้พัฒนาผลงานรองรับความต้องการของตลาดมากขึ้น
โครงการที่ 5 คือ การนำเสนอโซลูชันทางด้านซอฟต์แวร์ ปัจจุบันนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของไทยเริ่มผลิตซอฟต์แวร์เจาะเฉพาะตลาดอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยแต่ละอุตสาหกรรมก็จะมีแนวทางที่แตกต่างกันไป ในโครงการนี้ซอฟต์แวร์พาร์ค จะประสานงานกับบริษัทนักพัฒนา สมาคมวิชาชีพ และหน่วยงานรัฐอย่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ SIPA เพื่อรวบรวมและจัดซอฟต์แวร์เป็นหมวดหมู่ให้เป็นกลุ่มเฉพาะแต่ละอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ซื้อสามารถเลือกใช้ได้โดยง่าย และจะมีการจัดงานใหญ่ร่วมกับทาง SIPA รวมถึงการจัดงานย่อยอย่าง Software Solution Week ขึ้น เพื่อให้แต่ละอุตสาหกรรมได้ทยอยกันมาศึกษา จนถึงเกิด Solution Showcase หรือตัวอย่างการทำงานของซอฟต์แวร์ให้แต่ละอุตสาหกรรมเลือกใช้ในที่สุด
โครงการที่ 6 คือการสร้าง Software Tester หรือ นักทดสอบซอฟต์แวร์ ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในประเทศไทย จากการที่ซอฟต์แวร์พาร์คได้ผลักดันมาตรฐาน CMMI มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเห็นทิศทางของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ว่า นักทดสอบซอฟต์แวร์ ที่ถือว่าเป็นอุตสาหรรมกลางน้ำ ในขณะนี้ยังขาดแคลนอยู่ทั่วโลก ดังนั้นซอฟต์แวร์ถือเป็นโครงการเร่งด่วน โดยจะมีการประสานงานกับ NECTEC, SIPA และมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อสร้างหลักสูตรและพัฒนาบุคลากรที่สามารถเป็นวิทยากรต่อไปได้ให้มากขึ้น จนทำให้เกิดบริษัททดสอบซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพเกิดขึ้นในระดับที่น่าพอใจ
สุดท้ายโครงการที่ 7 คือการทำ e-MarketPlace สำหรับโซลูชันทางด้านซอฟต์แวร์ของไทย เพื่อที่จะนำเสนอซอฟต์แวร์ไทยสู่ตลาด SME และตลาดโลก โดยการใช้ Social Media และ Online Market ที่พัฒนาขึ้นจากความร่วมมือของผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน และสมาคมต่างๆ
Recent Comments