ดีแทคประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2556 รายได้ เติบโตต่อเนื่อง

July 22nd, 2013 No comments

19 กรกฎาคม 2556 – บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เผยมีรายได้จากการดำเนินงานสำหรับในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 รวมทั้งสิ้น 24.5 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 13.5 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากการให้บริการและยอดขายเครื่องโทรศัพท์ซึ่งเป็นผลจากความนิยมในสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่ยังคงมีสูงต่อเนื่องและเครือข่าย 3G ที่มีคุณภาพของดีแทค

จอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 มีจุดเด่นที่มาจากการเติบโตของสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมมากขึ้น การเติบโตของลูกค้าแบบโพสต์เพด และความนิยมในแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเราพยายามเน้นการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา และการแนะนำดีแทค ไตรเน็ต โฟน ที่มีคุณสมบัติดีในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ดีแทคได้รุกต่อเนื่องในวิสัยทัศน์ อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล (Internet for All) อย่างชัดเจนเพื่อให้ทุกพื้นที่ของประเทศไทยได้มีอินเทอร์เน็ตใช้งานได้อย่างเท่าเทียมภายใน 3 ปีนี้

จุดเด่นในไตรมาสที่ 2 ยังคงเป็นรายได้จากบริการเสริม เติบโตต่อเนื่อง ถึงร้อยละ 50.7 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 7.5 จากไตรมาสก่อน (QoQ) อยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท แรงขับเคลื่อนหลักของรายได้จากบริการเสริมยังคงเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องร้อยละ 85.2 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 12.7 จากไตรมาสก่อน (QoQ) ซึ่งเป็นผลจากความนิยมในสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่ยังคงมีสูงต่อเนื่องและการขยายพื้นที่ให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 850MHz และเปิดตัวดีแทค ไตรเน็ตเพื่อเตรียมการให้บริการ

EBITDA สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2556 เท่ากับ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 12.7 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิผล EBITDA margin ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 30.4 จากสัดส่วนที่สูงขึ้นของยอดขายเครื่องโทรศัพท์ที่มีอัตรากำไรต่ำ กำไรสุทธิสำหรับงวดเท่ากับ 2.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน

ในไตรมาสนี้ ดีแทคได้ประกาศการปรับเพิ่มประมาณการเงินลงทุนสำหรับปี 2556 จากไม่น้อยกว่า 12.5 พันล้านบาท เป็น 14.5 พันล้านบาท เพื่อให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 2.1GHz คาดว่าจะครอบคลุมประชากรร้อยละ 50 ได้ภายในสิ้นปี

ในส่วนผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนต่อผู้ใช้บริการทั้งหมดของดีแทคเพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 22.9 ในไตรมาส 2 ของปี 2556 จากการทำตลาดดีแทค ไตรเน็ต โฟน และ ราคาสมาร์ทโฟนที่ลดลงในตลาด การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนส่งผลดีให้ดีแทคในการเติบโตของรายได้บริการอินเทอร์เน็ตและความต้องการของลูกค้าปัจจุบันที่มีความประสงค์โอนย้ายสู่ระบบ 3G 2.1GHz

View :1253

ดีแทคส่งความน่ารักสติ๊กเกอร์ LINE ชุดใหม่ น้องดีใจ กับน้องใจดี พร้อมผองเพื่อนจูงมือกันก้าวสู่สมาชิก 6 ล้านราย

July 11th, 2013 No comments

IMG_3240 Medium
9 กรกฎาคม 2556 ดีแทคเปิดตัวสติ๊กเกอร์ LINE ใหม่ คอลเล็กชั่น dtac TriNet พร้อมส่ง 16 ลายใหม่ล่าสุด ที่ยังคงสไตล์น่ารัก สื่อทุกอารมณ์และความรู้สึก ทั้งสุข เศร้า เหงา เขิน และอีกหลากหลายอารมณ์ ด้วยลายเส้นสนุกสนานสีสันสดใส เปิดให้ลูกค้าดาวน์โหลดฟรีได้แล้ววันนี้ผ่านทาง Sticker Shop เพียงแค่ Add เป็นเพื่อนกับ dtac Official Account สำหรับครั้งนี้ ได้เพิ่มความสนุกมากกว่าครั้งก่อน โดยให้ลูกค้าสามารถแต่งภาพสื่ออารมณ์ด้วยสติ๊กเกอร์ผ่านแอพพลิเคชั่น LINE Camera ได้อีกด้วย

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กล่าวว่า “ คอลเล็กชั่นแรกได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีลูกค้าดาวน์โหลดถึง 1 ล้านราย ภายในเวลาไม่ถึง 11 ชั่วโมง และเพื่อเป็นการขอบคุณสมาชิก dtac Official Account ที่มีกว่า 3.5 ล้านรายที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดีแทคจึงส่งสติ๊กเกอร์คอลเล็กชั่นใหม่ dtac TriNet ที่ลูกค้าได้มีส่วนรวมในการออกแบบคาแร็กเตอร์สุดน่ารักให้ทุกคนได้แชตกันอย่างสนุกสนานและสบายใจ พร้อมร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการก้าวเข้าสู่สมาชิก 6 ล้านราย”

ปัจจุบัน LINE เป็นบริการแชตสุดฮิตที่มีลูกค้าคนไทยใช้งานแล้วกว่า 15 ล้านคน ทั้งนี้ LINE มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมากตามอัตราการเติบโตของโทรศัพท์สมาร์ทโฟน โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ดีแทคใช้ LINE เป็นช่องทางในการสื่อสารความเคลื่อนไหว อัพเดทโปรโมชั่น รวมถึงกิจกรรมสนุกๆ และข้อเสนอพิเศษต่างๆ อย่างต่อเนื่องอีกมากมาย dtac LINE official account นอกจากใช้ในการสื่อสาร เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของแบรนด์ อัพเดทโปรโมชั่นแล้ว ดีแทคยังมีการจัดกิจกรรม มอบสิทธิพิเศษต่างๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่เป็นเพื่อนกับดีแทคทุกคน ทั้งนี้ ขณะนี้ เรามีจำนวนเพื่อนผู้ติดตามอยู่ถึง 3,506,047 คน (เดือนมิถุนายน 2556) และถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางหลักที่ใช้สื่อสารกับลูกค้า รีบดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์คอลเล็กชั่นใหม่ จากดีแทคได้แล้ววันนี้

View :1365

ดีแทคมุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรต่อเนื่อง ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้จาก dtac Academy พร้อมส่งมอบบริการให้ลูกค้ายุค TriNet 3G ประทับใจ

July 5th, 2013 No comments

IMG_0075_resize copy

4 กรกฎาคม 2556 ดีแทควางแผนพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ภายใต้หน่วยงาน ทุ่มงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท นำเสนอหลักสูตรการเรียนรู้ และฝึกอบรม พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นด้วยการเปิดตัว เทรนนิ่งเซ็นเตอร์ ศูนย์พัฒนาบุคคลากร บนพื้นที่ชั้น 25 ดีแทคเฮ้าส์ เพื่อรองรับการขยายตัวของหลักสูตรต่างๆของ ในการเสริมสร้าง และพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ด้วยเป้าหมายอันเดียวกัน จากปรัชญาการทำงานที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity)

จากความมุ่งมั่นของดีแทคที่ต้องการให้คนไทยทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วย วิสัยทัศน์ Internet for All เพื่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและโอกาสต่าง ๆ ที่เท่าเทียมกัน และส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในที่สุด ดีแทคจึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นจริง โดยการมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพบุคลากร ตลอดจนหล่อหลอมพนักงานทุกคนให้เป็น One Digital dtac โดยมุ่งหวังฝึกอบรมให้พนักงานเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น

จอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคเชื่อว่า บุคคลากรคืออาวุธลับที่จะนำพาองค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ดีแทคจึงได้วางแผนพัฒนาบุคคลากรอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ด้วยงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท โดยมี dtac Academy ทำหน้าที่อบรม และเสริมสร้างศักยภาพพนักงานในทุกระดับ การเปิดเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ใหม่นี้นับเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างพัฒนาบุคลากรด้วยหลักสูตรกว่า 300 หลักสูตรที่สามารถรองรับพนักงานได้ถึง 8,500 ที่นั่ง เพื่อการฝึกฝนทั้งด้านทักษะหลัก และทักษะเสริม พร้อมให้ความสำคัญกับหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เช่น การฝึกอบรมเพื่อรองรับการใช้งาน dtac TriNet ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านการใช้งานสมาร์ทโฟน และ อุปกรณ์ 3G ต่างๆ ไปจนถึงทักษะการให้บริการ และการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ”

ทั้งนี้ dtac Academy ได้ติดตามแผนพัฒนาบุคคลากรของพนักงานในทุกระดับอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลหลักสูตรการฝึกอบรมที่ได้จัดขึ้น รวมไปถึงการค้นหาหลักสูตรการพัฒนาทรัพยากรบุคคลจากองค์กรชั้นนำระดับโลก เพื่อพัฒนาเป็นหลักสูตรที่จะเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานให้สอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและธุรกิจ โดยหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานจะครอบคลุมโปรแกรมหลัก 4 ด้าน ได้แก่ Core Program กับเหล่าวิชาพื้นฐาน Functional Program เพื่อเสริมสร้างทักษะตามสายงาน Elective Program วิชาเลือกที่จะขยับขยายฐานความรู้ พัฒนาขีดความสามารถให้เต็มขั้น และ Leadership Program ที่พร้อมจะดึงและฝึกฝนศักยภาพการเป็นผู้นำของแต่ละคนให้ไปถึงขีดสุด

ในการเปิดเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ครั้งนี้ คุณจอนยังได้เล่าถึงประสบการณ์บนเส้นทางสู่การเป็น CEO ให้กับพนักงานฟังว่า “เส้นทางอาชีพของผมตลอดทั้งชีวิตมาจากการเรียนรู้และการฝึกฝนมาโดยตลอด หมั่นฝึกฝน หมั่นขยายขอบเขตความรู้ของตัวเอง คอยถามตัวเองอยู่เสมอว่าเราจะช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร กล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะรับทำหน้าที่ให้ได้มากขึ้น ผมหวังว่าจะได้เห็นทุกคนตั้งใจฝึกอบรมและพัฒนาตนเองไปให้ถึง “ที่สุด” ที่ตัวเองทำได้ เพื่อความเติบโตก้าวหน้าในการทำงาน และร่วมกันส่งมอบบริการให้ลูกค้าของดีแทคได้รับความพอใจและใช้บริการกับเราไปนานๆ เพื่อให้องค์กรเติบโตต่อไปในอนาคต”

View :1463

[PR News] กล้อง Action Cam กล้องถ่ายวิดีโอจิ๋ว คมชัดระดับ Full HD จากโซนี่

July 4th, 2013 No comments

SAUS12-1200

กล้อง Action Cam ขนาดจิ๋ว รุ่น HDR-AS15 ที่สามารถบันทึกภาพได้อย่างคมชัดในระบบ Full HD ด้วยเลนส์ Carl Zeiss® Tessar® ที่สามารถบันทึกภาพด้วยมุมกว้างถึง 170 องศา ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัด และมีนำหนักเพียง 90 กรัม จึงสามารถติดตัวกล้องเข้ากับจักรยาน หมวกนิรภัยได้อย่างสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์ติดตั้งที่ให้มาพร้อมตัวเครื่อง

กล้อง Action Cam มาพร้อม Exmor R™CMOS sensor ช่วยให้บันทึกภาพในที่แสงน้อยได้อย่างคมชัด มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Steady Shot™ สามารถปรับเลือกโหมดการบันทึกภาพได้ 5 แบบตั้งแต่รายละเอียดสูงสุดแบบ Full HD 30p จนถึงระบบ VGA เพื่อการบันทึกที่ยาวนาน พร้อมระบบันทึกภาพช้า 2 ระดับ (4 เท่า และ 2 เท่า) สามารถควบคุมการใช้งานได้ด้วยสมาร์ทโฟน พร้อมโอนภาพลงสมาร์ทโฟนผ่านไวไฟ

หมดกังวลกับการบันทึกภาพในสภาวะต่าง ๆ อาทิฝนตก หิมะตก หรือในเส้นทางที่เปียกชื้น ปักโคลน และฝุ่นละอองสูง อาทิด้วยอุปกรณ์เสริมป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่นละอองที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง กล้อง Action Cam สามารถใช้สื่อบันทึกได้ทั้ง Micro SD/SDHC (Class 4 หรือสูงกว่า) และ Memory Stick Micro™(M2)

กล้อง Action Cam รุ่น HDR-AS15 มีจำหน่ายแล้ววันนี้ ในราคา 11,990 บาท ที่โชว์รูมโซนี่ ร้านโซนี่เซ็นเตอร์ที่เลือกสรร และ King Power ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร 0-2715-6100 หรือเยี่ยมชม www.sony.co.th

View :1999
Categories: Press/Release Tags:

ชมรมนักข่าวไอทีพีซี-สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ จัดเสวนา “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปรับร่างเพื่อประชาชน?”

July 4th, 2013 No comments

แนะรัฐให้ข้อมูลที่ถูกต้องหวั่นผู้ใช้กระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ เล็งดันข้อเสนอแนะให้กระทรวงไอซีทีคล้อยตาม

(28 มิ.ย.) ที่ อัมรินทร์ พลาซ่า ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ จัดเสวนา “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปรับร่างเพื่อประชาชน” นายนิรันดร์ เยาวภาว์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า การยกร่าง พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ…..ฉบับใหม่นี้ได้ผ่านการประชาพิจารณ์ไปแล้ว 2 รอบแต่อาจตกในเรื่องของการเผยแพร่ข่าวสาร เพื่อให้ความรู้กับผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต รวมถึงผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยหลังจากเสร็จสิ้นงานสัมมนาครั้งนี้ จะรวบรวมข้อมูลและข้อคิดเห็นเสนอต่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)

นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชียวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายอาญาถือเป็นสิ่งสำคัญ และการแก้ไขร่างกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญ พ.ร.บ.ฉบับเก่าในการกระทำความผิดสามารถหลีกเลี่ยงได้ ผู้เชี่ยวชาญมองไม่เหมือนกัน เช่น กฎหมายบางมาตราที่ยอมความไม่ได้ แต่ มาตรา 16 มาตราเดียวที่ยอมความได้ อย่างกรณีเจ้าของเครื่องโทรศัพท์ไม่ล็อคหน้าจอมือถือ แล้วมีเพื่อนหรือคนรู้จักมาใช้โทรศัพท์ ตามกฎหมายถือว่าผิด แต่กรณีนี้เจ้าของยินยอมหรือไม่ถือเป็นเรื่องที่ลำบากมาก ถ้าไม่ล็อคหน้าจอตามกฎหมายเก่าถือว่าผู้เข้าดูข้อมูลไม่มีความผิด แต่ร่างฉบับใหม่ตัดมาตราการเข้าถึงความปลอดภัย จึงผิดกฎหมาย เป็นต้น

ส่วนปัญหาการทำสำนวน และถ้าในปกติเป็นคนธรรมดานำข้อมูลทำซ้ำและไปเผยแพร่ให้ผู้อื่น และทุกครั้งธรรมชาติอินเทอร์เน็ตเมื่อส่งข้อมูลจะมีการทำซ้ำถือว่าผิดกฎหมายทันที ดังนั้นหลักเกณฑ์ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารถูกตัดลอนในสิ่งนี้ไป อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการได้ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากต่างประเทศ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อตื่นเช้ามาแล้วจะไม่เข้าอินเทอร์เน็ต ดังนั้น โดยรวมการแก้ไข พ.ร.บ.ถือเป็นความจำเป็นและการแก้ไขต้องตรงปัญหาและต้องเหมาะกับยุค 2013 ด้วย

นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ นายกสมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทย กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ยังอีกยาวไกล ที่ผ่านมาการปฏิบัติด้านกฎหมายจะยาก แท้จริงแล้วทุกคนที่ถูกบังคับใช้กฎหมายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ มีการปิดกั้นข่าวสารหรือไม่ และที่ผ่านมามีความลำบากไหม ถ้าต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ทั่วโลกเค้าก็ปิดหมด ไม่สนใจ สมัยโบราญเวียดนามอีเมล์ทุกฉบับถูกปิดหมด ดังนั้นจะเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเกิดทั่วโลก

ทั้งนี้ จึงอยากให้มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรับได้หรือไม่เปล่า แต่แท้จริงก็ต้องยอมรับ จะเห็นได้จากปัญหาการบล็อกเว็บไซต์ที่หน่วยงานหนึ่งบอกให้บล็อก และอีกหน่วยงานบอกไม่ให้บล็อกเพราะจะจับผู้ทำผิด ดังนั้นกฎหมายจึงไม่ตรงเสมอไป ควรยืดหยุ่นกันได้ การทำงานต้องร่วมกันต้องอยู่กันได้ และหากกฎหมายฉบับใหม่ออกก็ตอบไม่ได้แต่ก็คงต้องชัดเจนขึ้นและก็ต้องอยู่ร่วมกันได้

พันตำรวจเอก ศิริพงษ์ ติมุลา รองผู้บังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัจจุบันมีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จำนวนมาก ทั้งผู้เสียหาย ผู้ต้องสงสัย อย่างกรณีง่ายๆ การปลอมเฟสบุ๊คหมิ่นประมาท หลอกลวงซื้อของบนอินเทอร์เน็ต การพนันออนไลน์ ล่อลวง เป็นต้น โดยต่างประเทศก็เกิดปัญหาเช่นกันเนื่องจากความเร็วของเทคโนโลยี คนเข้าถึงง่าย มีคนร้ายเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในฐานะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ต้องรักษาและคุ้มครองเหยื่อ คุ้มครองสืบสวนสอบสวน นำตัวคนทำผิดมาดำเนินการ และป้องกันสื่อกับประชาชนว่าการปราบปรามไม่ใช่เป็นวิธีการสุดท้ายจริงๆ แล้วเป็นการป้องกันของตนเองมากกว่า เพราะปัญหามีมาก ปัญหาคือการรับรู้และการเข้าใจ มี 2 ประเด็น คือข้อเท็จจริงทางคอมพิวเตอร์ เรารู้และเข้าใจไม่เหมือนกัน และ บริบททางคอมพิวเตอร์ ตัวอย่าง ปัญหาการเข้าใจในทั้ง 2 กรณีไม่ใช่จะต้องเข้าใจแค่ตำรวจ ทั้งนี้ ต้องถามว่าเราเข้าใจในข้อเท็จจริงและข้อบริบทจริงหรือไม่ ซึ่งบางคนไม่ทราบว่าการใส่ร้ายกันบนเฟสบุ๊กนั้นมีความผิดทาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

นายสุรชัย นิลแสง นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญพิเศษ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า จริงๆ แล้ว พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พูดถึงคอมพิวเตอร์แต่ปัญหามาจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต กลายเป็นทั้งโลกเข้าสู่ปัญหาการละเมิดสิทธิบนอินเทอร์เน็ต พอกฎหมายฉบับแรกปี 2550 ออก ได้ยกร่างมาจากต่างประเทศ พบผู้เสียหายเดือดร้อนทั้งเรื่องโดนว่า ขู่ นำภาพไปโพสต์ โดยผู้เกี่ยวข้องมี 3 ส่วน คือ ผู้เสียหาย ผู้ละเมิด และพยานหลักฐาน โดยผู้ให้บริการถือเป็นตัวกลางที่จะหาพยานหลักฐานเพราะเป็นเส้นทางการเชื่อมต่อ หลายๆ เวที ผู้เสียหายไม่มีสิทธิมาเรียกร้องเพราะอาย จึงไม่ทราบมุมมองผู้เสียหาย
“การแก้ปัญหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่จะเป็นการแก้ปัญหาให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีมาเร็ว ทุกคนกลายเป็นยูสเซอร์เอง กฎหมายยังต้วมเตี้ยมไม่ทันเทคโนโลยี ปัจจุบันแค่พัฒนากฎหมายไม่ให้ละเมิดสิทธิยังยากเลย ทุกคนอยากให้คนผิดโดนทำโทษแต่ทุกคนก็ไม่อยากเป็นผู้ทำผิด ไม่อยากให้ล่วงละเมิด ดังนั้นจึงต้องเข้าใจให้มากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงนี้การแสดงความคิดเห็นถือว่าสำคัญมาก ควรเสนอก่อนข้อกฎหมายตัวจริงออกมาใช้จริง” นายสุชัย กล่าว

ขณะที่ นายณัฐวรรธน์ สุขวงศ์ตระกูล ผู้เชียวชาญสำนักกฎหมาย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ถือเป็นหน่วยงานสำคัญในการนำเสนอการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กล่าวว่า คาดว่าจะรวมรวมข้อเสนอแนะส่งให้กระทรวงไอซีทีไม่เกินเดือน ก.ค.นี้ โดยหลังจากนี้ กระทรวงไอซีที จะเป็นผู้คัดกรองข้อเสนอแนะ ซึ่งอาจจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นอีกครั้งหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับกระทรวงไอซีที

สำหรับประเด็นหลักๆ ของข้อเสนอแนะที่ผ่านมา อาทิ ขอบเขตกฎหมายว่าจะอยู่แค่ไหน และครอบคลุมตรงจุดไหนบ้าง ควรจะครอบคลุมมากกว่านี้ และในส่วนของผู้ใช้บริการจะเข้าใจมากน้อยในระดับไหน ในขณะที่อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานควรมีอำนาจในระดับใด อีกทั้งบางหน่วยงานไม่เห็นด้วยกับการละเมิดสิทธิ แต่บางหน่วยงานก็เห็นด้วย เป็นต้น.

View :1469

“MONO” เตรียมร่วมมือ 3 เทเลคอมในจีน ลงทุน 300 ล้านบาท ส่ง “โมบาย-อินเตอร์เน็ต-มิวสิค-มูฟวี่” ลุยตลาดแดนมังกร

July 4th, 2013 No comments

กรุงเทพฯ – 4 กรกฏาคม 2013

บมจ. โมโน เทคโนโลยี หรือ “ ” เดินหน้าธุรกิจหลังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดประกาศลุยธุรกิจคอนเทนต์ประเทศจีนด้วยงบลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ส่งคอนเทนต์สัญชาติไทยลุยแดนมังกร มั่นใจ “โมบาย-อินเตอร์เน็ต-มิวสิค-มูฟวี่” จะโดนใจชาวแดนมังกรอย่างแน่นอน อาทิ ศิลปินกลุ่มทีป๊อป “อีโวไนน์” , “แคนดี้มาเฟีย”, “จีทเวนตี้” และภาพยนตร์เรื่อง “พี่มากพระโขนง” ของค่ายGTH ที่โมโนได้สิทธิ์ในการนำภาพยนตร์พี่มากพระโขนงไปทำการตลาดในประเทศจีน

คุณนวมินทร์ ประสพเนตร ผู้ช่วยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท โมโนเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO เปิดเผยว่า เป็นโอกาสเริ่มต้นที่ดี ที่โมโนกรุ๊ปจะจัดตั้งบริษัทที่ประเทศจีน และได้มีการจับมือกับ 3 โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ทั้ง 3 ราย คือ China Mobile, China Unicom, China Telecom ซึ่งมีลูกค้ารวมกันมากกว่า 1,000 ล้านเลขหมาย โดยในเบื้องต้นเราจะมีการร่วมมือกันทำการตลาดที่ มณฑลยูนนาน, มณฑลซื่อชวน และมหานครฉงชิ่ง ซึ่งน่าจะครอบคลุมมากกว่า 150 ล้านเลขหมาย

ที่ผ่านมา MONO ถือเป็นผู้นำด้าน “Entertainment Content Creator” อันดับ 1 ของเมืองไทย ด้วยคอนเทนต์ต่างๆมากมาย อาทิ เพลง ดูดวง คลิปวีดีโอ แฟชั่น ภาพยนตร์ หรือ Mobile Application ต่างๆ เราจึงจับ 4 ธุรกิจหลักที่มีความแข็งแกร่งที่สุด เพื่อทำการตลาดในประเทศจีน คือธุรกิจ โมบาย, อินเตอร์เน็ต, มิวสิค, ภาพยนตร์ โดยโมโนมีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการเสริมบนมือถืออยู่ที่ 11 ล้านราย จาก 3 โอเปอเรเตอร์ในไทย เอไอเอส ทูมูฟ รวมทั้งหมด 80 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการขายยธุรกิจไปแล้วในกลุ่มประเทศAEC ทั้งประเทศเวียดนามที่มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประมาณ 135 ล้านเลขหมาย และประเทศอินโดนีเซียที่มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประมาณ 250 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจำนวนลูกค้าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย 3 ประเทศนี้มีสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก

ในช่วงแรกคอนเทนต์มิวสิค เราจะมีศิลปินกลุ่มทีป๊อป อาทิ อีโวไนน์ แคนดี้มาเฟีย จีทเวนตี้ เข้าไปทำการตลาดที่ประเทศจีน และในระยะยาวจะมีการสร้างศิลปินใหม่ที่ประเทศจีนด้วย โดยรายได้หลักมาจากแพลตฟอร์มดิจิตอล นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง “พี่มากพระโขนง” จากค่ายหนัง GTH ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยรายได้ในประเทศไทยกว่า 1,000 ล้านบาท โดยโมโนกรุ๊ปได้ซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เพื่อเข้าโรงฉายภาพยนตร์และจัดจำหน่ายในทุกๆแพลตฟอร์มที่ประเทศจีนด้วย

ที่ผ่านมา MONO เน้นจับมือกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง ในประเทศจีนถือว่าเรามีโอกาสค่อนข้างสูง ด้วยคอนเทนต์คุณภาพของเรา และจีนเองก็มีแนวโน้มด้านเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้วยจำนวนประชากร และการเปิดประเทศมากขึ้น นี่จึงถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญอีกแห่งที่เราพร้อมจะเข้าไปลงทุน และจะเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้รายได้ของ MONO เติบโตอย่างก้าวกระโดด” คุณนวมินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

View :1243

ก.ไอซีที แนะผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช็คข้อมูลก่อนเชื่อและแชร์

July 3rd, 2013 No comments

นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึง สถานการณ์การใช้สื่อสังคมออนไลน์ ว่า ปัจจุบันประชาชนได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ Instagram และ Twitter เนื่องจากสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยง่ายผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์พีซี โทรศัพท์เคลื่อนที่ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จึงทำให้เข้าถึงเนื้อหาบนโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมถึงสามารถโพสต์ แชร์ กดไลค์ และแสดงความคิดเห็นต่อข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเสรี โดยการกระทำต่างๆ ที่กล่าวไปนั้น บางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผู้ใช้ไม่ได้ คัดกรองข้อมูลข่าวสารมากมายต่างๆ ที่เข้ามาอย่างเพียงพอ ดังกรณีตัวอย่างเช่น การแชร์ภาพบัตรประจำตัวประชาชนหรือภาพของบุคคลต่างๆ โดยอาจมีการบรรยายว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วยังมิได้มีการตรวจสอบถึงบุคคลที่ปรากฏอยู่บนบัตรประจำตัวประชาชนใบนั้น ว่าได้กระทำความผิดหรือไม่ การกระทำดังกล่าว อาจทำให้บุคคลในภาพตกเป็นจำเลยของสังคม ซึ่งผู้ที่ทำการแชร์ภาพหรือให้ข้อมูลเหล่านี้อาจมีความผิดฐานละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล การหมิ่นประมาท และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยบางครั้งเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่าบุคคลดังกล่าวมิได้กระทำความผิดตามที่อ้างจริง แต่ข้อเท็จจริงเหล่านั้นอาจจะไม่ย้อนกลับไปยังกลุ่มคนบางกลุ่มที่ได้แชร์ข้อมูลไปก่อนหน้า ทำให้ผู้เสียหายยังคงตกเป็นจำเลยของสังคมจนถึงปัจจุบันทั้งๆ ที่ไม่ได้กระทำความผิดใดเลย

อีกหนึ่งกรณีตัวอย่าง ได้แก่ การโพสต์ให้ความรู้ที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชนในเรื่องแถบสีของหลอด ยาสีฟัน โดยอ้างว่าแถบสีแต่ละสีหมายถึงสรรพคุณหรือส่วนประกอบต่างๆ ของยาสีฟัน ซึ่งจากข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง กรณีนี้ ผู้ที่นำข้อมูลมาแชร์ต่อ ต้องคำนึงถึงว่ายังมีเด็กและเยาวชนอีกจำนวนมากที่บริโภคข้อมูลต่างๆ ผ่านสื่อออนไลน์ ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่เข้ามาชมข้อมูลผ่านสื่อดังกล่าว อาจเกิดความเข้าใจผิดและนำไปถือเป็นแนวคิดในการบริโภคสินค้าที่ไม่ถูกต้องได้ สำหรับกรณีตัวอย่างสุดท้าย ได้แก่ การแชร์ข้อมูลผู้ป่วยหรือมีปัญหาด้านสุขภาพแล้วอ้างว่า หากทำการแชร์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว จะมีการบริจาคเงินโดยผู้ให้บริการเว็บไซต์ดังกล่าวให้แก่บุคคลที่อยู่ในภาพตามจำนวนการแชร์ข้อมูลทั้งหมด ซึ่งข้อมูลที่ประชาชนได้รับทราบดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการนำภาพบุคคลนั้นๆ มาใช้แสวงหาผลประโยชน์อื่นจากการสร้างข้อมูลแชร์ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านระบบจากการแชร์ข้อมูลจำนวนมหาศาล

ในส่วนของการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการภารกิจของหน่วยงานราชการ อาทิ การจำนำข้าว ประชาชนควรติดตามข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น รวมถึงข้อมูลในเรื่องอื่นๆ ด้วย ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งหลงเชื่อข้อมูลที่มาจากการแชร์ผ่านสื่อออนไลน์ในทันที ขอให้ทำการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงให้รอบด้านก่อน ตลอดจนไตร่ตรองก่อนกระทำการแชร์ข้อมูลต่างๆ เพื่อลดปัญหาการสื่อสารหรือส่งต่อข้อมูลที่ผิดพลาด

“ทั้งนี้ กระทรวงไอซีที ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ให้ร่วมใจกันสร้างสรรค์สังคมออนไลน์ ให้เป็นสังคมที่มีคุณภาพ เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์ ไม่เป็นพื้นที่ในการสร้างและส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีจิตสำนึกที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคม ตลอดจนร่วมกันสอดส่องดูแลสังคมให้ปลอดภัยจากสิ่งไม่พึงประสงค์ โดยหากพบเห็นเว็บไซต์หรือข้อความที่มีเนื้อหา ไม่เหมาะสมสามารถแจ้งมาได้ที่ศูนย์ CSOC โทร.1212 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายไชยยันต์ฯ กล่าว

View :1324
Categories: Press/Release Tags:

เทรนด์ไมโครเตือนผู้ใช้อินสตาแกรมระวังมัลแวร์รูปแบบใหม่

July 3rd, 2013 No comments

Get Free Follower App

Get Free Follower Post on Instagram
รายงานบทความพิเศษโดยคาร์ลา อากรีกาโอ นักวิเคราะห์ภัยคุกคาม ศูนย์วิจัยเทรนด์แล็บส์ บริษัท เทรนด์ไมโคร ระบุว่า “ (Instagram) แอพพลิเคชั่นแชร์รูปภาพที่กำลังเป็นที่นิยม และเป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมล่าสุดที่ตกเป็นเป้าหมายการหลอกลวงที่เรียกว่า “Survey Scams” อย่างที่เคยพบบนเฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์เราพบว่าการหลอกลวงโดยให้ผู้ใช้ร่วมตอบแบบสอบถามนี้จะทำให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอนดรอยด์มัลแวร์ติดเข้ามาในอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย”

ปัจจุบันเราจะพบว่ามีผู้ติดตามที่สนใจอยากจะติดตาม (follow) เราในอินสตาแกรม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่อินสตาแกรม แอคเค้าท์ของคุณจะต้องมีการตั้งค่าเป็น “ส่วนตัว” (private) และในขณะที่ตรวจสอบการร้องขอเหล่านี้ นักวิจัยระบบรักษาความปลอดภัยของเทรนด์ไมโครพบบางสิ่งที่ผิดปกติในหลายๆ รายชื่อที่ติดต่อเข้ามา เราจึงเข้าไปตรวจสอบหน้าเพจของอินสตาแกรม แอคเค้าท์เหล่านั้น และพบว่าพวกเขาเหล่านั้นโพสต์รูปภาพที่มีข้อความว่า “Get Free Followers!” โพสต์นี้ทำให้เรานึกถึงพินเทอเรสต์ (Pinterest) ที่เคยตรวจพบว่ามีการหลอกลวงในรูปแบบรายการโปรโมชั่นฟรี และเทรนด์ไมโครเคยบล็อกไปเมื่อเร็วๆ นี้

นอกจากนี้สิ่งอื่นที่เราพบว่าน่าสงสัยก็คือว่าผู้ติดตามอินสตาแกรมเหล่านี้มักจะใช้ชื่อที่ซ้ำๆ กัน เช่น “Tawna Tawna” และ “Concetta Concetta” เมื่อได้รับสัญญาณที่น่าสงสัย เทรนด์ไมโครจึงตรวจสอบรูปภาพ “Get Free Followers” และนำไปสู่​​หน้าเว็บที่มีแอพพลิเคชั่น “Get Followers” ซึ่งตรวจพบว่าเป็นมัลแวร์ ANDROIDOS_GCMBOT.A ที่จะหลอกให้ผู้ใช้เปิดหน้าเว็บที่เป็นอันตรายหรือส่ง SMS จากอุปกรณ์ต่างๆ ได้ซึ่งบริษัทเทรนด์ไมโครสามารถปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคามนี้โดยการปิดกั้น URL ที่เกี่ยวข้องได้

อาชญากรไซเบอร์จะได้ประโยชน์จากแบบสอบถามหลอกลวง (Survey scams) ผ่านทางเว็บไซต์ ad-tracking หากผู้ใช้ที่ไม่ระมัดระวังและดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าว ผู้ใช้จะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปก่อนหน้า Survey Page ของจริงและถูกนำไปสู่เว็บไซต์ที่เป็นอันตรายในที่สุด อีกทั้งคนร้ายยังสามารถใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาจากการหลอกลวงเหล่านี้ไปเร่ขายให้กับกลุ่มอาชญากรรมอื่น ๆ หรือใช้ข้อมูลนี้เพื่อแผนการในอนาคตได้

ปัจจุบันอาชญากรไซเบอร์ที่อยู่เบื้องหลังการหลอกลวงเหล่านี้จะเข้าถึงทุกๆ เว็บไซต์เครือข่ายที่เป็นนิยม ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก พินเทอเรสต์ และอินสตาแกรม ดังนั้นเพื่อปกป้องตนเองจากการหลอกลวงเหล่านี้ ผู้ใช้งานจะต้องหมั่นตรวจสอบโพสต์ในบัญชีรายชื่อของคุณ แม้ว่าพวกเขาจะมาจากเพื่อน สมาชิกในครอบครัวหรือคนรู้จัก การระวังตัวคือการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

View :1596

การรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวจาก Facebook

July 3rd, 2013 No comments

ไซแมนเทคตรวจพบการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวในแอพพลิเคชั่น สำหรับ Android ซึ่งจะส่งหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ เมื่อแอพดังกล่าวถูกเปิดใช้งาน ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบล็อกโพสต์ของไซแมนเทค: http://www.symantec.com/connect/blogs/norton-mobile-insight-discovers--privacy-leak

ประเด็นสำคัญก็คือ หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ถูกส่งออกไปก่อนที่ผู้ใช้จะล็อกอินเข้าสู่แอพดังกล่าวเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ถึงแม้ผู้ใช้ไม่ได้ป้อนข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ เริ่มการดำเนินการที่เฉพาะเจาะจง หรือมีบัญชี Facebook แต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ก็ยังถูกส่งไปให้ Facebook อยู่ดี

ไซแมนเทคได้แจ้งเรื่องนี้ให้ทาง Facebook ทราบแล้ว และ Facebook มีแผนที่จะแก้ไขจุดบกพร่องนี้ในแอพ Facebook รุ่นถัดไปสำหรับ Android ระหว่างนี้ คาดว่าอุปกรณ์จำนวนมากจากทั้งหมดราว 7 ล้านเครื่องที่ติดตั้งโปรแกรม Facebook มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบ

View :1601

ธุรกิจ E-Commerce ปี’56…คาดเติบโตร้อยละ 25-30

July 2nd, 2013 No comments

ความก้าวหน้าของระบบไร้สาย 3G บนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ประกอบกับการซื้อขายออนไลน์ หรือ E-Commerce ผ่านอุปกรณ์ไอทีแบบเดิมอย่างคอมพิวเตอร์ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของความสะดวกสบายในการพกพาและการใช้งาน ผลักดันให้การซื้อขายออนไลน์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือที่เรียกว่า “M-Commerce” กลายเป็นช่องทางใหม่ที่มาแรง และน่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยหนุนการเติบโตของการซื้อขายออนไลน์ในระยะต่อจากนี้ไป ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธุรกิจ E-Commerce ในปี 2556 น่าจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนสำคัญต่างๆ ดังนี้

การเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz หนุนยุค E-Commerce บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ การทยอยเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้มีส่วนสร้างความพร้อมในด้านโครงข่ายการสื่อสารไร้สายความเร็วสูง ซึ่งเมื่อประกอบกับความนิยมในอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มีสมรรถนะสูงอย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต จะกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญส่วนหนึ่งในการผลักดันกิจกรรมการตลาดและการจับจ่ายสินค้าและบริการออนไลน์ให้เข้าสู่ยุค M-Commerce โดยนักการตลาดสามารถประยุกต์ใช้ช่องทางดังกล่าว ในการดึงดูดให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงและซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา

พฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมการทำกิจกรรมออนไลน์และความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัย พฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน มีความเคยชินกับการทำกิจกรรมต่างๆ ออนไลน์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น การท่องอินเทอร์เน็ตบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ และการเข้าถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นต้น โดยสามารถดูได้จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องของการใช้บริการด้านข้อมูลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ของผู้บริโภคโดยในปี 2555 มีการเติบโตของมูลค่าการใช้บริการด้านข้อมูลสูงถึงร้อยละ 44.1 คิดเป็นมูลค่า 50,800 ล้านบาท

สำหรับในปี 2556 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการใช้บริการด้านข้อมูลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่น่าจะขยายตัวราวร้อยละ 39.7-47.5 คิดเป็นมูลค่า 70,900-74,800 ล้านบาท ทั้งนี้ ความนิยมในกิจกรรมออนไลน์ของผู้บริโภค ประกอบกับความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยในการสั่งซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งความเชื่อมั่นในตัวผู้ประกอบการ ความเชื่อมั่นในระบบการชำระเงิน และการเก็บรักษาข้อมูลต่างๆ ก็น่าจะเป็นแรงผลักดันหนึ่งให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่มากขึ้น

การสร้างช่องทางการตลาดและออกแคมเปญเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ต่างพัฒนาและเปิดตัวแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่อำนวยความสะดวกผู้บริโภคในการค้นหา ตรวจสอบข้อมูลโปรโมชั่น พร้อมทั้งชำระค่าสินค้าและบริการแบบครบวงจร นอกจากนี้ ในด้านการชำระเงินสำหรับบริการซื้อขายออนไลน์ สถาบันการเงินต่างๆ ได้พัฒนาระบบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่างๆ พร้อมทั้งออกโปรโมชั่นทางการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ โดยผู้บริโภคจะได้รับส่วนลดเมื่อชำระเงินออนไลน์ด้วยบัตรต่างๆ ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการออนไลน์มากขึ้น

จากแนวโน้มและปัจจัยสำคัญต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2556 มูลค่าตลาดธุรกิจ E-Commerce จะมีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 25 ถึง 30 หรือคิดเป็นมูลค่าราว 1.32 ถึง 1.35 แสนล้านบาท โดยสินค้าที่น่าจะมีการจับจ่ายมากที่สุดยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากนัก อาทิ สินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า) เครื่องสำอาง และอาหารเสริม เป็นต้น

การประยุกต์ 3G กับ E-Commerce …ช่องทางการตลาดยุคใหม่ของผู้ประกอบการ

ระบบสื่อสารไร้สาย 3G บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ นอกจากจะถูกใช้เป็นช่องทางสำหรับผู้ประกอบการในการให้บริการซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์แล้ว ผู้ประกอบการยังสามารถประยุกต์ใช้ความสามารถของอุปกรณ์เคลื่อนที่ในการทำการตลาดเพื่อส่งเสริมการประกอบกิจกรรมเชิงธุรกิจได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งมีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยตัวอย่างการประยุกต์ใช้ที่มักพบเห็นในปัจจุบันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น เชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อทำการตลาด และสร้างฐานลูกค้า จากจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับระยะเวลาที่ผู้บริโภคอยู่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์แต่ละวันก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่สามารถกระทำได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งนับเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะใช้ช่องทางดังกล่าวในการทำการตลาด อาทิ การประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงและรับรู้ข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง การสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เป็นต้น

การทำการตลาดผ่านระบบระบุพิกัดสถานที่บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยผู้บริโภคสามารถรับทราบถึงข้อมูลของร้านค้าในบริเวณที่ตนอยู่ รวมไปถึงโปรโมชั่นที่น่าสนใจ และสามารถเลือกเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ หรือหาเส้นทางไปยังร้านค้าดังกล่าวได้

อย่างไรก็ดี รูปแบบการดำเนินธุรกิจ E-Commerce ผ่านเครื่องมือต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายที่มักเป็นกลุ่มขนาดเล็กและส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น ทำให้เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจบางประเภทที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่มเท่านั้น อาทิ สินค้าแฟชั่นวัยรุ่น (เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า) สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม (อาหารเสริม เครื่องสำอาง) แต่ถึงกระนั้น ด้วยเทคโนโลยีทางด้านไอทีที่ถูกพัฒนาให้มีการใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน อีกทั้งยังมีราคาไม่สูงนัก ประกอบกับไลฟ์สไตล์ที่เป็นแบบสังคมเมืองและกระจายออกสู่ต่างจังหวัด (Urbanization) ก็น่าจะช่วยสนับสนุนให้ฐานลูกค้า E-Commerce ขยายตัวมากขึ้นในระยะข้างหน้า

การเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการ E-Commerce

การทำธุรกิจบริการซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้น ยังมีข้อพึงคำนึงอยู่บางประการที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ ดังนี้

การบริหารจัดการระบบส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ นับได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ E-Commerce ผู้ประกอบการควรมีการเตรียมระบบจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว ตรงเวลา และสามารถตรวจสอบสถานะได้โดยลูกค้า โดยผู้ประกอบการอาจร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการที่ให้บริการรับจัดส่งสินค้าตามบ้านซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านระบบจัดส่งสินค้าอยู่ก่อนแล้ว

ระบบชำระเงินที่น่าเชื่อถือ นับได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญอีกประการที่จะสร้างความไว้วางใจแก่ลูกค้าในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าออนไลน์ โดยทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการที่น่าจะสะดวกและลดขั้นตอนการพัฒนาระบบการชำระเงินเอง คือ การเลือกใช้ระบบที่พัฒนาโดยสถาบันการเงิน ซึ่งนอกจากจะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคแล้ว ยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ใช้งานง่าย ผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการออนไลน์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ จำเป็นต้องเตรียมพัฒนาแอพพลิเคชั่นจากมุมมองการใช้งานของผู้บริโภค เช่น ความสะดวกในการค้นหารายละเอียดสินค้าและบริการ ข้อมูลเปรียบเทียบสินค้าและบริการเพื่อประกอบการตัดสินใจ และข้อมูลโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เป็นต้น โดยแอพพลิเคชั่นที่ถูกพัฒนาต้องใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน

กล่าวโดยสรุปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจ E-Commerce ของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก ซึ่งนับเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถใช้เป็นช่องทางเสริมในการทำรายได้เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการสร้างรายได้ผ่านช่องทางหลัก หรือในขณะเดียวกัน การเริ่มต้นทำธุรกิจผ่านช่องทาง E-Commerce น่าจะตอบโจทย์ได้ดีสำหรับผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของเงินลงทุน เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการทำธุรกิจแบบมีหน้าร้าน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอุปสรรคหรือปัจจัยเสี่ยงบางประการที่สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าและบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ผู้บริโภคมักมีความกังวล ได้แก่ คุณภาพของสินค้าไม่ตรงกับที่ระบุ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อความซื่อตรงของผู้ประกอบการ ซึ่งถ้าผู้ประกอบการสามารถสร้างความเชื่อมั่นและขจัดข้อกังวลดังกล่าวไปได้ ก็น่าจะมีส่วนผลักดันให้ผู้บริโภคไว้วางใจ จนเกิดการบอกต่อ และหันมาสนใจใช้บริการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์มากขึ้น

View :1338