ดีแทคลงนามใน MoU กับกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและราคาสินค้าช่วยประชาชนรับมือปัญหาสินค้าแพง

July 2nd, 2013 No comments

dtac-158

1 กรกฎาคม 2556 – บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น () โดยสำนักงานสำนึกรักบ้านเกิด ลงนามในบันทึกความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและราคาสินค้าผ่านบริการ SMS *1677 ทางด่วนข้อมูลการเกษตร และแอพพลิเคชั่น ภายใต้ โครงข่ายอัจฉริยะของดีแทค ซึ่งขณะนี้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี

ดีแทคมุ่งสร้างโอกาสให้คนไทยได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าและมีคุณภาพสูงสุดอย่างเท่าเทียมกันด้วยวิสัยทัศน์ Internet for All ล่าสุดได้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและราคาสินค้าให้ประชาชนได้รับรู้อย่างทั่วถึง รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่น Farmer Info ต่อยอดจากบริการ SMS *1677 ทางด่วนข้อมูลการเกษตร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่มทั่วประเทศ โดยเกษตรกรจะสามารถวางแผนการผลิตและจัดจำหน่าย ผู้ประกอบการจะสามารถประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบธุรกิจ ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการใช้จ่าย เลือกซื้อสินค้า นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนนโยบายขององค์กรรัฐ ที่มุ่งสร้างความเป็นธรรมด้านราคาสินค้าสำหรับประชาชนทุกกลุ่มอีกด้วย

Farmer Info เป็นโมบายล์แอพพลิเคชั่นด้านการเกษตรหนึ่งเดียวของไทยซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ประกอบด้วยเมนูต่างๆ ได้แก่ ราคารับซื้อ ให้เกษตรกรสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบราคาสินค้าจากแหล่งรับซื้อทั่วประเทศก่อนนำไปขายเพื่อให้ราคาดีที่สุด ราคาตลาดสด จาก 6 ตลาดชั้นนำในประเทศ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ทุกวัน ข่าวสาร แหล่งรวบรวมข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่เป็นประโยชน์ เกร็ดความรู้ คลิปวิดีโอภูมิปัญญาจากปราชญ์ชาวบ้าน เช่น การปลูกกล้วยกลับหัวเพื่อให้ต้นเตี้ยและลูกดก การป้องกันแมลงเจาะต้นทุเรียนด้วยตาข่ายดักปลา และคลัง SMS แหล่งสืบค้นข้อมูลที่รวบรวมจาก *1677 บริการทางด่วนข้อมูลการเกษตรซึ่งสามารถเลือกอ่านย้อนหลังได้

สำหรับลูกค้าสมาร์ทโฟนของดีแทคและแฮปปี้ซึ่งใช้ระบบปฎิบัติการ Window Phone สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นและใช้งานได้ฟรีในเดือนกรกฎาคมนี้

View :1154
Categories: Application Tags:

ดีแทคนำร่องสู่ TriNet พนักงานกว่า 5 พันคนร่วมใจทดสอบระบบ ก่อนเปิดให้ลูกค้าใช้จริงกรกฎาคมนี้

June 29th, 2013 No comments

26 มิถุนายน 2556 – ดีแทคเริ่มแล้วก้าวแรกสู่วิสัยทัศน์ Internet For All ด้วยการนำพนักงานเข้าทดสอบโครงข่ายใหม่ มุ่งสู่โมบายล์อินเทอร์เน็ตเต็มที่ หล่อหลอมพนักงานทุกคนให้เป็น One Digital dtac ควบคู่กับการมุ่งใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า หลังจากนี้ในเดือนกรกฎาคมจะเปิดบริการจริงและให้ลูกค้าใช้บริการ ที่มีโครงข่ายบนสามคลื่นความถี่ที่มากที่สุดในประเทศ

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กล่าวว่าดีแทคได้เริ่มเปิดการใช้งาน TriNet ให้พนักงานกว่า 5 พันคนเข้าร่วมทดสอบการใช้งานทั้งวอยซ์และดาต้าบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีภารกิจในครั้งนี้ คือชาวดีแทคจะมุ่งมั่นร่วมทดสอบโครงข่ายและบริการที่จะเปิดให้กับลูกค้า โดยนำความคิดเห็นส่งกลับมาเพื่อรวบรวมปรับปรุงสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ก่อนการให้บริการจริงแก่ลูกค้าทั่วไปในเดือนกรกฎาคมนี้

“นี่คือก้าวที่สำคัญอีกก้าวของดีแทคที่จะเริ่มสู่วิสัยทัศน์ Internet For All อย่างแท้จริง โดยวิสัยทัศน์นี้ได้มาพร้อมกับจุดแข็ง TriNet ที่นำคลื่น 850 เมกะเฮิร์ตซ์ คลื่น 1800 เมกะเฮิร์ตซ์ และคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้มีแบนด์วิธที่กว้างที่สุด เพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น และรองรับกับไลฟ์สไตล์อุปกรณ์สื่อสารใหม่ๆ ที่ใช้งานบนอินเทอร์เน็ตของลูกค้าได้เหมาะสม โดยระบบอัจฉริยะของ 3 โครงข่ายนี้พร้อมสลับคลื่นความถี่ให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ในทุกพื้นที่โดยอัตโนมัติ โดยลูกค้าไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะใช้บริการบนคลื่นความถี่ไหน ช่วงนี้เป็นช่วงเตรียมความพร้อม พนักงานทุกคนจะทดสอบและให้ความเห็นกลับมา เพื่อทำระบบให้ดีที่สุดอย่างเต็มที่ก่อนเปิดให้บริการจริง”

สำหรับลูกค้าดีแทคที่สนใจต้องการขอใช้บริการบนโครงข่ายใหม่ TriNet สามารถทำได้โดยกด *3000* เลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก # โทรออก จากนั้นระบบจะส่ง SMS แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการใช้งานบน TriNet 3 โครงข่ายอัจฉริยะอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกแพ็กเกจใหม่ “smartphone More Choice” เพื่อตอบสนองการใช้งาน TriNet สามโครงข่ายอัจฉริยะ ในปัจจุบัน ได้มีลูกค้าเข้ามาลงทะเบียนบนเครือข่ายใหม่แล้วกว่า 2 ล้านคน โดยกลุ่มลูกค้าที่ลงทะเบียนใช้โครงข่ายใหม่นี้ เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการใช้สมาร์ทโฟนในสัดส่วนที่สูงมาก และคาดการณ์ว่าในปี 2556 นี้จะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนในประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่า 20ล้านเครื่อง และโดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้ารายเดือนพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความต้องการแตกต่างกันจากการใช้งานทั้งการใช้งานเพื่อโทรปกติ และ การใช้งานดาต้า แพ็กเกจที่ลูกค้าสามารถเลือกได้จึงมีอยู่หลากหลายเพื่อตอบสนองตามความต้องการให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะใช้งานเพื่อโทรปกติ และ การใช้งานดาต้า เพื่อให้ได้ความคุ้มค่ามากกว่าอีกด้วย

View :1287
Categories: 3G Tags: ,

ทรู พร้อมรับ AEC เปิดแพ็กเกจพิเศษ ครอบคลุม 9 ประเทศในประชาคม

June 29th, 2013 No comments

โทรชัด ประหยัดจริง กด 006 เริ่มต้นเพียงนาทีละ 2.75 บาท ลดสูงสุด 70%
หรือโทรผ่านเน็ต ด้วยแพ็กเกจ เน็ตทอล์ค AEC

กรุงเทพฯ 27 มิถุนายน 2556 – กลุ่มทรู ผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมครบวงจรรายเดียวของไทย พร้อมนำประเทศเข้าสู่ AEC ผ่านบริการโทรทางไกลต่างประเทศคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ในราคาสุดประหยัด ด้วยแพ็กเกจสุดคุ้ม “” อัตราเหมาจ่ายรายเดือนขั้นต่ำ 300 บาทต่อเดือน เริ่มต้นเพียงนาทีละ 2.75 บาท สำหรับลูกค้าโทรศัพท์พื้นฐาน ทรูมูฟ เอช และ ทรูมูฟ และแพ็กเกจ “เน็ตทอล์ค AEC” ให้ลูกค้าทั่วไปโทรผ่านเน็ต ด้วยราคาเริ่มต้นเพียงนาทีละ 0.75 บาท ครอบคลุม 9 ประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และพม่า มีให้เลือกทั้งแบบรายเดือน และเติมเงิน เปิดใช้แพ็กเกจได้แล้ววันนี้ – 31 ธันวาคม 2556

นายมนตรี มนตรีมณี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู อินเตอร์เนชั่นแนล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด กล่าวว่า“แนวโน้มการใช้บริการโทรทางไกลต่างประเทศไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 9 ประเทศในประชาคมอาเซียนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนักธุรกิจที่ต้องติดต่อสื่อสารเจรจาการค้า และกลุ่มแรงงานต่างชาติที่ต้องการโทรติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนฝูง กลุ่มทรู เป็นผู้ให้บริการรายแรกในไทยที่ออกแบบแพ็กเกจใหม่ล่าสุด สำหรับลูกค้าที่เน้นโทรไปยัง 9 ประเทศใน AEC โดยเฉพาะ ตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจ เจ้าของกิจการ และบุคคลทั่วไปที่มีความจำเป็นในการติดต่อสื่อสารกับประเทศเพื่อนบ้านใน AEC ทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัวได้อย่างสะดวกและประหยัดยิ่งขึ้น มี 2 บริการให้เลือกใช้ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยสำหรับกลุ่มลูกค้าทรู สามารถใช้รหัส “ทรู 006” ซึ่งเป็นบริการโทรทางไกลต่างประเทศคุณภาพระดับมาตรฐานสากล ด้วยเทคโนโลยี Time Division Multiplexing (TDM) โทรทั่วโลกเสียงคมชัด ประหยัดจริงกับแพ็กเกจ ทรู 006 AEC ด้วยค่าบริการที่คุ้มสุดๆ เหมาจ่ายรายเดือนเริ่มต้นที่ 300 บาท ลดค่าโทรสูงสุดถึง 70% อาทิ ประเทศกัมพูชา จากราคาปกติ นาทีละ 9 บาท ลดเหลือเพียง 2.75 บาทเท่านั้น ราคาเดียวตลอด 24 ชั่วโมง และสำหรับกลุ่มลูกค้าทั่วไปสามารถใช้บริการ “NetTalk by True” บริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยี VoIP (Voice over Internet Protocol) กับแพ็กเกจ เน็ตทอล์ค AEC ซึ่งบริการนี้ นอกจากจะสามารถโทรปลายทางประเทศกลุ่ม AEC ราคาประหยัดแล้ว ลูกค้ายังสามารถใช้บริการนี้โทรกลับไทยในราคาเพียง 0.75 บาทต่อนาที ตอกย้ำความแรงของบริการโทรทางไกลต่างประเทศของทรูที่มีความโดดเด่นทั้งทางด้านคุณภาพเสียง และราคาที่ประหยัดจริงๆ”

Screen Shot 2556-06-29 at 5.46.28 PM
· ลูกค้าโทรศัพท์พื้นฐาน สมัครได้ที่ร้านทรูช้อป หรือ คอลล์ เซ็นเตอร์ 02-900-9000

· ลูกค้าทรูมูฟ เอช และทรูมูฟ แบบรายเดือน สมัครได้ง่ายๆ เพียงกด *939*3*5*1*4# กดโทรออก หรือ กด *9399 กดโทรออก

· ลูกค้าทรูมูฟ เอช และทรูมูฟ แบบเติมเงิน สมัครได้ง่ายๆ เพียงกด *606*006# กดโทรออก

แพ็กเกจ เน็ตทอล์ค AEC ให้ลูกค้าทั่วไปโทรทางไกลผ่านเน็ตไปยัง 9 ประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียน ด้วยราคาพิเศษ อัตราเหมาจ่ายรายเดือนขั้นต่ำ 300 บาทต่อเดือน เริ่มต้นเพียงนาทีละ 0.75 บาท หรือใช้โทรกลับไทยได้ในราคานาทีละ 0.75 บาท และประหยัดยิ่งขึ้น NetTalk โทรหา NetTalk ด้วยกัน ฟรีนาน 1 ปี โดยลูกค้าสามารถสะสมระยะเวลาการใช้งานสูงสุดไม่เกิน 365 วัน นับแต่เติมเงินครั้งสุดท้าย ใช้งานสะดวกสามารถโทรด้วยแอพพลิเคชั่น NetTalk by True บนสมาร์ทโฟนทั้งระบบ iOS และแอนดรอยด์ที่ดาวน์โหลดฟรีได้แล้ววันนี้ที่ App Store หรือ Play หรือ โทรจากคอมพิวเตอร์ด้วย NetTalk Softphone

ลูกค้าที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทรู คอลล์ เซ็นเตอร์ 02-900-9000 กด 006 ทรูมูฟแคร์ 1331 true online 1686 www.true006.com www.truenettalk.com และร้านทรูช้อป ทั่วประเทศ

View :1304

โนเกียเปิดจอง Nokia Lumia 925

June 29th, 2013 No comments

ครั้งแรกของสมาร์ทโฟนดีไซน์อลูมิเนียม แข็งแกร่ง บางเบา
พร้อมกล้อง PureView และ Nokia Smart Camera ให้คุณเห็นโลกได้มากกว่าที่เคย


กรุงเทพฯ – 27 มิถุนายน 2556: โนเกียประกาศเปิดจอง Nokia Lumia 925 ครั้งแรกของสมาร์ทโฟนตัวเครื่องอลูมิเนียม
บนระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 มอบความแข็งแกร่งแต่บางเบา หนาเพียง 8.5 มิลลิเมตร
โดดเด่นด้วยกล้อง PureView ล่าสุด ขนาด 8.7 เมกะพิกเซล และระบบลดการสั่นไหว OIS
ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอได้คมชัดกว่าใครแม้ในที่แสงน้อย หน้าจอสุดแจ่ม Amoled ClearBlack PureMotion
HD+ เห็นได้ชัดแม้กลางแสงจ้า Nokia Lumia 925 จึงเป็นสมาร์ทโฟนที่พร้อมออกไปกับคุณทุกที่ทุกเวลา เพื่อให้คุณเห็นโลกได้มากกว่าที่เคย

Nokia Lumia 925 ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อม Nokia Smart Camera
โหมดถ่ายภาพอัศจรรย์ที่ให้สนุกกับการถ่ายภาพได้มากกว่าใคร ไม่ว่าจะเป็น Best Shot เลือกภาพที่ดีที่สุดจาก 10
เฟรมภาพ Change Face สลับเปลี่ยนหน้าให้สวยดั่งใจ Action Shot บันทึกภาพการเคลื่อนไหวต่อเนื่องได้ในครั้งเดียว หรือ
Motion Focus เลือกเบลอภาพในจุดที่ต้องการ พร้อมกล้องหน้า HD เลนส์มุมกว้างขนาด 1.2 เมกะพิกเซล

Nokia Lumia 925 ยังคงเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนตระกูล Lumia ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จแบตไร้สาย
หน้าจอ Super Sensitive Touch รับสัมผัสได้ไวแม้ใส่ถุงมือ บริการด้านโลเคชั่นและนำทาง HERE รองรับทั้ง 3G และ 4G

Nokia Lumia 925 จะวางจำหน่ายในราคา 18,500 บาท โดยสามารถสั่งจองเพื่อเป็นเจ้าของก่อนใครที่ Nokia Shop
ระหว่างวันที่ 1-8 กรกฎาคมนี้เท่านั้น *พิเศษเฉพาะผู้สั่งจอง!รับชุดอุปกรณ์เพื่อการถ่ายภาพแบบมือโปร ประกอบด้วย ขาตั้งกล้องพร้อมสายรัด กระเป๋า และอัลบั้มรูป พร้อมแนะนำแอพพลิเคชั้นเกี่ยวกับการแต่งภาพจาก Windows Phone Store ให้คุณเห็นโลกอย่างมีสไตล์เหนือใคร

View :1395

ดีแทคเฟ้นหา 10 ทีมสุดยอดโครงการ dtac Accelerate ก่อนคัดเลือกสุดยอดทีมผู้ชนะสิงหาคมนี้ พร้อมนำลัดฟ้าสู่ซิลิคอน แวลลีย์

June 29th, 2013 No comments

dtac_MG_9188

27 มิถุนายน 2556 – ดีแทคเดินหน้าเต็มสูบโครงการ หลังเวิร์คช็อปจากกูรูไทยและกูรูระดับโลกบินตรงจากซิลิคอน แวลลีย์มาไทย แนะนำผู้เข้าโครงการนี้โดยเฉพาะ เผยตอนนี้อยู่ในช่วง 20 ทีมคัดเหลือ 10 ทีมสุดท้ายกลางกรกฎาคม และจะเข้าสู่เดโมเดย์ (Demo Day) หรือวันแข่งขันเพื่อหาทีมผู้ชนะปลายสิงหาคมนี้

นายซิกวาร์ท โวส เอริคเซน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กล่าวว่าโครงการ dtac Accelerate ได้เดินหน้ามาจนถึงช่วงคัดเลือก 10 ทีมสุดท้าย จาก 20 ทีมในตอนนี้ โดยแต่ละทีมมีไอเดียสร้างสรรค์ และแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจมานำเสนอด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึงทีมอื่นๆ แม้แต่ทีมที่เข้ามาไม่ถึงรอบนี้ เราเชื่อว่านักพัฒนาแอพพลิเคชั่นไทยสามารถแสดงศักยภาพบนเวทีระดับโลกได้ ถ้ามีการส่งเสริมอย่างจริงจัง โดยรอบ 10 ทีมสุดท้ายจะคัดเลือกและประกาศในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ และรอบสุดท้ายวันแข่งขันและประกาศผลสุดยอดทีมผู้ชนะในวันเดโมเดย์ (Demo Day) ซึ่งจะจัดขึ้นปลายเดือนสิงหาคมนี้ พร้อมกับเชิญคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในวงการระดับโลกมาร่วมตัดสิน อาทิ สเตฟานี พอลเมรี่ หนึ่งในผู้มีชื่อเสียงในวงการกองทุนเพื่อการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก (Venture Capital) จากซิลิคอน แวลลีย์ กำลังบินมาไทย เพื่องานนี้โดยเฉพาะ รวมทั้งยังมีกลุ่มนักลงทุนอื่นๆ อีกมากทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค

“สำหรับที่ผ่านมาโครงการ dtac Accelerate ยังได้เชิญกูรูจากซิลิคอน แวลลีย์ บินตรงมาไทยเพื่อมาจัดเวิร์คช็อปให้ความรู้และคำแนะนำแก่ผู้เข้าโครงการนี้มากมาย อาทิ แม็ต มันเดย์ ผู้ซึ่งเคยทำงานอยู่กับแอปเปิ้ล ในช่วงปี พ.ศ. 2551 – 2553 ในความรับผิดชอบล่าสุดคือเป็นหัวหน้าทีมบรรณาธิการ แอปเปิ้ล สโตร์ (Apple Store) พอล แจ๊สเตอร์เซบสกี้ ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในลักษณะเดียวกับแม็ต มันเดย์ ให้กับแอนดรอยด์ (Android) โดยทำงานที่ Nvdia ในฝ่ายพัฒนาธุรกิจสำหรับธุรกิจพัฒนาเกม และฟาดิ บิชารา ผู้ก่อตั้งบริษัท Blackbox โดยเป็นผู้มีความรู้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเป็นเยี่ยม ในด้านการผลักดัน และก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีประเภทบริษัทเกิดใหม่ หรือ Startups ให้เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น” นายซิกวาร์ท กล่าว

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำโครงการ dtac Accelerate ที่เล็งเห็นความสำคัญในการสร้าง mobile internet ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านการส่งเสริมการตลาดกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นในประเทศไทย ดีแทคยังได้เป็นสปอนเซอร์หลัก ร่วมกับผู้สนับสนุนอื่น อาทิ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA, ซัมซุง, สามารถมัลติมีเดีย, และฮับบ้า ไทยแลนด์ (Hubba Thailand) สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกในประเทศไทยครั้งแรกกับการดึง 500 Startups มาร่วมจัดงาน Geeks On A Plane ในประเทศไทย เพื่อพบกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นไทย และบริษัทเกิดใหม่ หรือ Startups พร้อมสร้างโอกาสแจ้งเกิดบนเวทีระดับโลกกับกองทุนเพื่อการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก (Venture Capital) และขบวนนักพัฒนา นักลงทุน รวมถึงนักธุรกิจต่างๆ จากซิลิคอน แวลลีย์ ที่บินมาเยือนประเทศไทยกว่า 30 ท่าน

“ดีแทคเชื่อมั่นว่าจะขยายธุรกิจสู่โมบายอินเทอร์เน็ตและแอพพลิเคชั่น เพื่อสร้าง mobile internet ecosystem ที่สมบูรณ์แบบในไทย ทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านการส่งเสริมการตลาดกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นในประเทศไทย เพื่อนำแอพพลิเคชั่นดีๆ สู่ผู้ใช้บริการ และเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมให้คนไทยร่วมปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เพิ่มพื้นที่เรียนรู้และแสดงศักยภาพให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก” นายซิกวาร์ท กล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ ทีมนักพัฒนาแอพที่ชนะเลิศในโครงการ dtac Accelerate จะได้เดินทางไปซิลิคอน แวลลีย์ เพื่อเข้าร่วมโครงการ Blackbox Connect เป็น 1 ใน 12 ทีมจากทั่วโลก และมีโอกาสได้นำเสนอผลงานกับกลุ่มนักลงทุน ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีองค์กรพัฒนาเทคโนโลยีจำนวนมากมายและภาวะการแข่งขันอันรุนแรง และนอกจากนี้ทีมรองชนะเลิศจะได้รับโอกาสร่วม Accelerator program ในระดับภูมิภาค ซึ่งโครงการ dtac Accelerate นี้มีของรางวัลมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 50 ล้านบาท

View :1281

AIS 3G 2100 ผนึก Google เปิดตัว Free Zone ขยายการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตให้ลูกค้า

June 29th, 2013 No comments

7

27 มิถุนายน 2556 : ตอกย้ำ ตัวจริงผู้ให้บริการแห่งยุค 3G มุ่งขยายตลาดโมบายอินเตอร์เน็ตสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ (Emerging Market) ผนึกกำลัง ตัวจริงระดับโลก สร้างโอกาสในการเข้าถึงโลกอินเตอร์เน็ต ให้ลูกค้าเอไอเอสใช้บริการ Search, Gmail, + ฟรี! บน “AIS โดย Google” โดยไม่เสียค่าเน็ตบนมือถือ

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย เอไอเอส เปิดเผยว่า “ด้วยความมุ่งมั่นเร่งพัฒนาเครือข่าย AIS 3G 2100 ให้ครอบคลุมหัวเมืองทั้ง 77 จังหวัด ภายในเดือนสิงหาคม 2556 ที่จะถึงนี้ จะเป็นการสร้างโอกาสให้ลูกค้าและประชาชนทั่วประเทศได้เข้าถึงโลกข้อมูลข่าวสารอินเตอร์เน็ตบนมือถือได้อย่างสะดวก ทุกที่ทุกเวลา บนเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง ซึ่งถือเป็นเจตนารมย์หลักในการให้บริการ AIS 3G 2100 ตัวจริง มาตรฐานโลก ทั้งนี้ นอกเหนือจากคุณภาพการให้บริการแบบครบทุกองค์ประกอบ ภายใต้แนวคิด QDNAs แล้ว กลยุทธ์ทางการตลาดที่เอไอเอสมุ่งแข่งขันในสนาม 3G คือ ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นตัวจริงในด้านต่างๆ ในลักษณะของ Partnership เพื่อร่วมกันส่งมอบบริการที่หลากหลายและดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา

ดังเช่นที่ เอไอเอสได้ผนึกกำลังกับตัวจริงระดับโลกอย่าง Google แบรนด์ชั้นนำที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ มอบประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานโมบายอินเตอร์เน็ตแห่งยุค 3G ให้ลูกค้าเอไอเอสใช้งาน Google Search, Gmail, Google+ ฟรี! บนบริการ “AIS Free Zone โดย Google” โดยไม่เสียค่าเน็ตบนมือถือ และแม้ว่าลูกค้าจะไม่มีแพ็กเกจเล่นเน็ต ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน เพื่อเป็นการ Educate กลุ่มลูกค้าใหม่ได้เริ่มทดลองใช้งานเน็ตบนมือถือ

ซึ่งที่ผ่านมา เอไอเอส และ Google ทำงานร่วมกันมา ตั้งแต่ปี 2549 จากยุคบุกเบิกโมบายอินเตอร์เน็ตจนถึงวันนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผสานกำลังร่วมกันรุกตลาดโมบายอินเตอร์เน็ตแห่งยุค 3G ด้วยกันอีกครั้ง” นายฐิติพงศ์กล่าว

ด้านนางสาวพรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาด Google ประเทศไทย กล่าวถึงนโยบายของ Google ในการร่วมให้บริการครั้งนี้ว่า “Google มีความยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับ AIS ที่มีเครือข่าย 3G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานทุกคนตั้งแต่ผู้ใช้ทั่วไป ผู้ประกอบการ ไปจนถึงนักเรียนนักศึกษา ได้มีประสบการณ์ที่ดีในการเริ่มใช้อินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือกับเทคโนโลยีจาก Google อัตราการเติบโตในการใช้งานของชาวไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นบริการ Free Zone จาก Google ช่วยผู้ใช้ชาวไทยด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสร้างประสบการณ์ดีๆ กับการใช้อินเตอร์เน็ตบนโมบายล์ด้วย Google Search สื่อสารกับผู้คนด้วย Gmail และแบ่งปันเรื่องราวดีๆ บน Google+”

นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันกลุ่มผู้ใช้ดาต้า แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่ม Heavy User หรือผู้ที่ใช้งานเป็นประจำ มีจำนวนกว่า 8 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่ที่ใช้สมาร์ทดีไวซ์ และคุ้นเคยกับการใช้ดาต้าและแอพพลิเคชั่นต่างๆ อยู่แล้ว, กลุ่ม Lite User หรือผู้ที่ใช้งานบ้างเป็นบางครั้ง มีจำนวนกว่า 5 ล้านราย และกลุ่ม Non-Data User หรือผู้ที่ไม่เคยใช้งานดาต้า มีอยู่ราว 25 ล้านราย ในกลุ่มนี้ แบ่งเป็นกลุ่มที่มือถือรองรับการใช้เน็ต มีอยู่กว่า 10 ล้านราย และกลุ่มที่มือถือไม่รองรับการใช้เน็ตอีกกว่า 15 ล้านราย ดังนั้น กลุ่ม Non-Data User ที่มือถือรองรับ ตรงนี้ถือว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ที่เรามองเห็นโอกาสสำคัญในการเข้าไปทำตลาด

ซึ่งความร่วมมือระหว่างเอไอเอสและ Google ในครั้งนี้ จะช่วยเปิดโลกอินเตอร์เน็ตให้ลูกค้าที่ใช้มือถือธรรมดาที่รองรับการเข้าใช้เน็ต สามารถใช้งาน Google Search ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ทั้งรูปภาพ ข่าว สถานที่ฯลฯ, Gmail อ่าน เขียน และตอบกลับอีเมล์ได้ง่ายๆ และสนุกกับ Google+ อ่านโพสต์ คอมเมนต์ อัพโหลดรูป ในสังคมเครือข่ายได้ฟรี! บนบริการ “AIS Free Zone โดย Google” โดยไม่เสียค่าเน็ตบนมือถือ เมื่อผู้ใช้อยู่ในหน้าที่ขึ้นแถบแสดงผลว่าเป็น Free Zone แต่เมื่อต้องการคลิกเข้าไปสู่หน้าเพจที่ลึกขึ้น หรือดาวน์โหลดไฟล์แนบ ระบบจะแจ้งเตือนขึ้นมาทันทีว่า หากคลิกหน้าถัดไป จะมีค่าใช้งานดาต้า หากลูกค้ามีแพ็กเกจดาต้าอยู่แล้วก็สามารถคลิกเข้าดูข้อมูลได้เลย แต่หากลูกค้าไม่มีแพ็กเกจ ระบบก็จะนำเสนอแพ็กเกจดาต้าที่เหมาะสมให้ลูกค้าสมัครใช้บริการต่อไป ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นตลาดเน็ตบนมือถือครั้งใหญ่อย่างแน่นอน” นายปรัธนากล่าวสรุป

บริการ AIS Free Zone โดย Google รองรับบนมือถือทุกรุ่น ทุกระบบปฏิบัติการ ที่เข้าใช้เน็ตได้ โดยลูกค้าเอไอเอสสามารถใช้บริการได้ง่ายๆ เพียงกด *900*00# โทรออก แล้วรอรับลิงค์ SMS เพื่อดาวน์โหลดไอคอนไว้บนมือถือได้ฟรี ไม่เสียค่าเน็ตบนมือถือ

View :1545

TCELS ร่วมเครือข่ายพันธมิตร จัดประชุมนานาชาติด้านชีววิทยาศาสตร์ “ASEAN Life Sciences and Exhibition 2013” เป็นครั้งแรก

June 29th, 2013 No comments

พร้อมเชิญนักลงทุนยักษ์ใหญ่ที่เชี่ยวชาญการวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ชีววิทยาศาสตร์ระดับโลก “ สตีฟ เบอริล ” มาบรรยายเติมเต็มด้วยทีมวิทยากรชั้นนำจากทั่วโลกอีกมากมาย ด้านภาครัฐและเอกชนยกขบวนนวัตกรรมความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาแสดงในงาน ม.สงขลานครินทร์ ร่วมกับ ม.นเรศวร ชูเซรั่มยางพาราสูตรใหม่ คืนความอ่อนวัยผิวหน้าและรอบดวงตาอย่างได้ผล พร้อมแจกทดลองใช้ฟรีในงาน 10,000 ขวด
Asean Life Sciences Logo
โรงแรมเอส 31 กรุงเทพ / ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี () ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สมาคมเภสัชกรการอุตสาหกรรม (ประเทศไทย) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพไทย และ สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานประชุมนานาชาติด้านชีววิทยาศาสตร์ “ ASEAN Life Sciences Conference and Exhibition 2013 ” เป็นครั้งแรกของภูมิภาค ระหว่างวันที่ 17-19 กรกฎาคม 2556 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายนเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการ TCELS กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ ว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของกลุ่มประเทศอาเซียนว่า จะมีโอกาสและอนาคตที่ดี ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ได้แก่ ยา เครื่องมือแพทย์ วัคซีน ยาชีววัตถุ ในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้า ขณะเดียวกัน ก็แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยการจัดเตรียมแผนงานสำหรับการปรับปรุงกฎระเบียบ ให้สอดคล้องกันในกลุ่มประเทศอาเซียน และส่งเสริมการจับคู่และร่วมมือกันระหว่างกลุ่มธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ ในกลุ่มประเทศภาคีอาเซียนและประเทศอื่นๆ เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือทางธุรกิจทางด้านนี้ต่อไปในอนาคต

นายนเรศ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ เราได้ประธานบริษัทร่วมลงทุนที่ประสบผลสำเร็จด้านชีววิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรมไบโอเทคระดับโลก และยังเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์แนวโน้มชีววิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่าง สตีฟ เบอริล ( Steven Burril ) มาปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ Global Business Trend for Life Sciences ” นับเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทย และกลุ่มประเทศอาเซียน ที่จะได้อัพเดทเรื่องราวความก้าวหน้า และแนวโน้มของธุรกิจใน ชีววิทยาศาสตร์โลกในมุมมองของกูรูโดยตรง นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรในระดับแนวหน้าของโลก อีกมากมาย ทั้งจาก FDA สหรัฐอเมริกา ภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย ฯลฯ ขณะเดียวกันภายในงาน ยังมีการนำเสนอผลงานและนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ จากภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ในรูปแบบของการจัดนิทรรศการ จัดเสวนา และบรรยายตลอดทั้ง 3 วัน โดยไฮไลต์ของงานคือ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ เซรั่ม จากน้ำยางพาราสูตรใหม่ล่าสุดที่สามารถคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้า พร้อมประสิทธิภาพในการช่วยทำให้ริ้วรอยรอบดวงตาลดเลือน เห็นผลชัดเจนใน 2 เดือนโดยผลงานดังกล่าวเป็นของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร จากการสนับสนุนของ TCELS ซึ่งจะแจกให้ทดลองใช้ในงาน 10,000 ขวดด้วย

ในการประชุมครั้งนี้ ยังประกอบไปด้วย 3 งานย่อย ประกอบด้วย 1. การประชุมในหัวข้อ กฎระเบียบว่าด้วยการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ในระดับนานาชาติโดยมี อย.ร่วมเป็นเจ้าภาพ 2. การประชุม International Society for Pharmaceutical Engineering หรือ ISPE ซึ่งทางสมาคมเภสัชกรการอุตสาหกรรม ( ประเทศไทย ) ร่วมเป็นเจ้าภาพ และ 3. การประชุม ASIA Bio Business Partnering หรือ ABBP เป็นความร่วมมือในรูปของภาคีเครือข่าย 4 ประเทศในเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย บวกกับประเทศออสเตรเลียอีก 1 ประเทศ เพื่อพัฒนาธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ ในเอเชียให้เติบโตเพิ่มมูลค่าธุรกิจระหว่างประเทศ ถือเป็นการประชุมนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตลอดจนการประชุมเสวนาเทคโนโลยีนวัตกรรม เครื่องมือแพทย์ หุ่นยนต์ทางการแพทย์ สารสกัดทางธรรมชาติเพื่อบำบัดรักษา เป็นต้น โดย TCELS เป็นผู้สนับสนุนทุกรายการ

ดร.ภญ.ยุพดี จาวรุ่งฤทธิ์ รักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานยาหน่วยงาน สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( อย. ) กล่าวว่า อย. เป็นผู้ร่วมจัดงานในครั้งนี้ ในฐานะผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องของการควบคุม คุณภาพและมาตรฐาน ด้านยา อาหาร สมุนไพร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ต้องมีการพัฒนาปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อยกระดับให้เป็นมาตรฐานสากล ทั้งในระดับอาเซียน เอเปค จนถึงระดับโลก การประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้แทน อย.ของกลุ่มประเทศยุโรป อเมริกา อาเซียน รวมถึงประเทศไทยที่จะมาอัพเดทความก้าวหน้าเกี่ยวกับ การพัฒนามาตรฐานการผลิตในระดับโลก เพื่อเตรียมความพร้อมกลุ่มประเทศอาเซียน

ด้าน ภญ.โศรดา หวังเมธีกุล นายกสมาคมเภสัชกรการอุตสาหกรรม (ประเทศไทย) ในฐานะประธาน ISPE ( Thailand ) กล่าวว่า การจัดการประชุมในครั้งนี้ถือเป็นการประชุมวิชาการครบรอบ 10 ปี ของ ISPE เพื่อให้สมาชิก ISPE และสมาชิกสมาคมฯ ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปได้ทราบถึงเทคโนโลยีใหม่ และมาตรฐานสากลในการผลิตยา และควบคุมคุณภาพ โดยจะมีวิทยากรจากหลายประเทศทั่วโลกมาให้ความรู้โดยตรงตลอดการประชุมทั้ง 3 วัน

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการประชุมวิชาการในครั้งนี้ สามารถลงทะเบียนเพื่อสำรองที่นั่งได้ที่www.aseanlifesciences.org หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-644-5499

View :1968

เทเลนอร์คว้าใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมในพม่า

June 29th, 2013 No comments

(ออสโล นอร์เวย์ / ย่างกุ้ง 28 มิถุนายน 2556) – เทเลนอร์ประกาศความสำเร็จคว้าใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมในพม่า พร้อมเร่งสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยเพื่อนำประโยชน์จากบริการสื่อสารสู่ประชาชนทั่วประเทศ ทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการเจรจากับรัฐบาลพม่าอันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการออกใบอนุญาต
jon-fredrik-baksaas
นายจอน เฟรดริค บัคซอส ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า “เรารู้สึกยินดีที่เป็นผู้ชนะใบอนุญาตโทรคมนาคมจากการประมูลที่มีการแข่งขันสูงมาก เราขอขอบคุณรัฐบาลพม่าที่ให้โอกาสเทเลนอร์ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหรรมโทรคมนาคมอันเป็นเป้าหมายที่สำคัญของประเทศ และขอขอบคุณสำหรับการจัดการประมูลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพในครั้งนี้ พม่ามีความที่สำคัญอย่างมากต่อกลยุทธ์การขยายการเติบโตของเรา เรามีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่มาใช้อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อนำบริการสื่อสารมาสู่ประชาชนของพม่า และพร้อมเข้าร่วมเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการออกใบอนุญาตต่อไป
Sigve Brekke, Executive Vice President and Head of the Telenor Asia operations.
นายซิคเว่ เบรคเก้ รองประธานบริหาร เทเลนอร์ กรุ๊ป และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย กล่าวว่าเทเลนอร์มีความพร้อมที่จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในพม่าจากประสบการณ์การให้บริการสื่อสารมาแล้วในตลาดเอเชียถึง 5 ประเทศ ผลการประมูลในครั้งนี้ตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของกลยุทธ์เทเลนอร์ในการมอบบริการการสื่อสารที่ครอบคลุมในราคาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เราพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลและประชาชนของพม่าในการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจของพม่าต่อไป

เทเลนอร์วางแผนที่จะสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมเคลื่อนที่ที่ทันสมัย โดยใช้เทคโนโลยี HSPA และ LTE-ready ซึ่งสอดคล้องกับระบบการให้บริการชั้นนำในปัจจุบันที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก และวางแผนที่จะสร้างเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศพม่าภายใน 5 ปี พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบทั้งบริการด้านเสียงและข้อมูลภายในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศพม่าต่อไป

เทเลนอร์ กำหนด 4 กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจในพม่า ดังนี้
- สร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ทันสมัยและครอบคลุม
- เพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการสื่อสารของประชาชนด้วยการสร้างโครงข่ายอย่างรวดเร็ว และให้บริการในราคาที่เหมาะสม ผ่านเครือข่ายดิสทริบิวชั่นทั่วประเทศ
- ก้าวสู่ผู้นำโทรคมนาคมในประเทศพม่าด้วยการนำเสนอบริการที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
- มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดี ด้วยบริการที่มีคุณภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภค

“กลยุทธ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเทเลนอร์ในการช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับประโยชน์เต็มรูปแบบของบริการการสื่อสารไร้สายในชีวิตประจำวัน เรามุ่งมั่นที่นำเสนอบริการที่ได้มาตรฐานโลกและจะดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักบรรษัทภิบาลและความโปร่งใสในทุกขั้นตอน” นายซิคเว่ กล่าวเพิ่มเติม

หลังจากนี้ เทเลนอร์ กรุ๊ป จะเข้าสู่กระบวนการเจรจาขั้นสุดท้ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เทเลนอร์จะแถลงต่อสื่อมวลชนและนักวิเคราะห์ทันทีหลังจากได้ข้อสุรปทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

View :1418

NBTC Policy Watch ชี้ มาตรการขยายระยะเวลาคลื่น 1800 MHz ละเมิดกฎหมาย และเป็นการเยียวยาผู้ประกอบการมากกว่าผู้บริโภค

June 29th, 2013 No comments

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 โครงการติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม หรือ ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ได้แถลงรายงานศึกษาในหัวข้อ “ขยายระยะเวลาคืนคลื่น 1800 MHz: เพื่อผู้บริโภคหรือเพื่อใคร?”

นายวรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง นักวิจัยประจำโครงการ และอาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า กรณีการหมดอายุสัมปทานของคลื่น 1800 MHz ซึ่งบริษัท ทรูมูฟ จำกัด (ทรูมูฟ) และบริษัท ดิจิตอล โฟน จำกัด (ดีพีซี) ได้รับสัมปทานมาจากบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (กสท) ในเดือนกันยายนนี้ หากพิจารณาจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะพบว่า คลื่นดังกล่าวจะต้องกลับคืนมาสู่มือสาธารณะในฐานะทรัพยากรสื่อสารของชาติ และนำไปจัดสรรใหม่โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ () ผ่านระบบใบอนุญาตด้วยวิธีการประมูลเท่านั้น ดังนั้น การที่ มีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ เรื่องการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ….. (ประกาศคุ้มครองผู้ใช้บริการฯ) ซึ่งมีใจความสำคัญที่การขยายระยะเวลาให้บริการบนคลื่นที่จะหมดอายุสัมปทานต่อไปเป็นการชั่วคราว โดยอ้างว่าเป็นการเยียวยาผู้บริโภคจากเหตุการณ์ “ซิมดับ” จึงไม่สามารถทำได้ตามฐานอำนาจทางกฎหมาย และถือเป็นการละเมิดเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานซึ่งขาดความโปร่งใสและสร้างกฎกติกาในการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม ไปสู่ระบบใบอนุญาตซึ่งโปร่งใสและส่งเสริมการแข่งขันที่เท่าเทียมมากกว่า

นายวรพจน์ชี้ให้เห็นว่า อันที่จริงแล้ว กสทช. โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) รับรู้ถึงภารกิจในการจัดการให้การเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานไปสู่ระบบใบอนุญาตของคลื่น 1800 MHz เป็นไปอย่างราบรื่นตามกรอบเวลา ตั้งแต่รับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2554 (มีเวลาเกือบ 2 ปี) หรืออย่างน้อยก็ตั้งแต่แผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาในต้นเดือนเมษายน 2555 (มีเวลาเกือบ 18 เดือน) ดังนั้น กทค. จึงมีเวลาเตรียมตัวเพียงพอสำหรับ 1) การจัดตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน 2) ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการทราบถึงวันสิ้นสุดอายุสัมปทาน 3) ขยายขีดความสามารถในการให้บริการคงสิทธิเลขหมาย (mobile number portability หรือการย้ายค่ายเบอร์เดิม) รวมถึงเพิ่มช่องทางในการขอใช้บริการย้ายค่ายเบอร์เดิม (เช่น ผ่านเอสเอ็มเอสหรือเว็บไซต์) และ 4) จัดประมูลให้ทันล่วงหน้าก่อนหมดสัญญาสัมปทานอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตรายใหม่สามารถให้บริการรองรับลูกค้าคงค้างได้อย่างต่อเนื่อง หรือไม่เกิดเหตุการณ์ “ซิมดับ” ทว่า กทค. กลับละเลยต่อหน้าที่โดยไม่ทำสิ่งที่กล่าวมาจนล่วงเลยสู่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ซึ่งทำให้ไม่สามารถจัดประมูลได้ทันจนนำไปสู่มาตรการขยายระยะเวลา

นายวรพจน์กล่าวต่อว่า ที่จริงแล้ว กทค. สามารถพิจารณาแนวทางอื่นๆ ที่ทั้ง “เยียวยาผู้บริโภค” และ “ไม่ละเมิดกฎหมาย” ไปพร้อมๆ กัน เช่น การนำคลื่น 1800 MHz ในช่วงคลื่นที่ยังว่างอยู่ ซึ่งดีแทคทำสัญญากับ กสท มาใช้รองรับลูกค้าคงค้างเป็นการชั่วคราว ทว่า กทค. กลับไม่เคยสำรวจความเป็นไปได้ของทางเลือกดังกล่าว นายวรพจน์ชี้ว่า การที่ กทค. ไม่สามารถดำเนินการจัดประมูลล่วงหน้าทั้งที่มีเวลาพอเพียง และการไม่พิจารณาความเป็นไปได้ของแนวทางที่อาจช่วยเยียวยาผู้บริโภคไปพร้อมๆ กับรักษาเจตนารมณ์ในกฎหมาย ย่อมทำให้อดตั้งข้อกังขาไม่ได้ว่า มาตรการขยายระยะเวลาคืนคลื่นดังกล่าวอาจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การเยียวยาผู้บริโภค (เพราะผู้บริโภคไม่เสียหายอะไรตราบเท่าที่แนวทางที่ใช้สามารถทำให้ใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง) แต่เป็นการเยียวยาผู้ประกอบการรายเดิมจากการสูญเสียฐานลูกค้ามากกว่า โดยผู้ประกอบการรายเดิมอย่างทรูมูฟและดีพีซีสามารถยืดเวลารักษาฐานลูกค้าของตนบนคลื่น 1800 MHz ออกไปได้ (โดยเฉพาะทรูมูฟซึ่งมีผู้ใช้บริการมากกว่า 17 ล้านราย) อีกทั้งอาจได้ประโยชน์จากการไม่ต้องเสียค่าสัมปทานร้อยละ 30 ของรายได้ให้กับ กสท ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านบาท (เพราะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานไปแล้ว) รวมถึงอาจไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ เกือบร้อยละ 6 ของรายได้ให้กับ กสทช. (เนื่องจากไม่ใช่เป็นการให้บริการในระบบใบอนุญาต)

นายวรพจน์กล่าวทิ้งท้ายว่า สังคมมีราคาต้องจ่ายจากมาตรการขยายระยะเวลาคืนคลื่น 1800 MHz นั่นคือ โอกาสในการสร้างมาตรฐานที่ดีสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานไปสู่ระบบใบอนุญาต โอกาสในการสร้างการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมในกิจการโทรคมนาคม โอกาสที่ประเทศชาติเสียไปจากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร และโอกาสที่ผู้บริโภคเสียไปจากการได้ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ อย่าง 4G ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ดังนั้น กทค. ไม่ควรใช้มาตรการขยายเวลาโดย “จับผู้บริโภคเป็นตัวประกัน” ทั้งที่เป็นความผิดพลาดในการดำเนินงานของตนเอง และ กทค. ต้องตอบคำถามกับสังคมให้ได้ว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการเยียวยาผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการกันแน่

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ www.nbtcpolicywatch.org

View :1325
Categories: 3G Tags:

กสทช. สุภิญญา ประวิทย์ ร่วมเสวนาเครือข่ายภาคใต้ หนุนภาคประชาชนมีส่วนร่วม

June 29th, 2013 No comments

ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ลงพื้นที่สงขลา ร่วมเสวนากับเครือข่ายประชาสังคมภาคใต้ ระบุ การจัดการเรื่องร้องเรียนยังอืด หน่วยงานกำกับดูแลจำกัดตัวเองทำงานอยู่แต่ในกรอบ ด้านวิทยุโทรทัศน์ หนุนภาคประชาสังคมร่วมออกแบบหน้าตาทีวีสาธารณะ เตือนอย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ กสทช.เท่านั้น

ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้จัดเวทีเสวนาร่วมกับเครือข่ายประชาสังคมภาคใต้ โดยมีเครือข่ายภาคประชาชนหลากหลายด้าน เช่น ด้านคุ้มครองผู้บริโภคโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์ ด้านพลังงาน ด้านเกษตร สิ่งแวดล้อม รวมถึงสื่อท้องถิ่น ทั้งจากจังหวัดสงขลา ยะลา ชุมพร นครศรีธรรมราช กระบี่ สุราษฎร์ ปัตตานี สตูล เข้าร่วม

นายประวิทย์ กล่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนทางสังคม และจำเป็นต้องเป็นเครือข่ายที่มีความหลากหลายจากทุกภาคส่วน เป็นกลุ่มตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่ใช่กลุ่มจัดตั้ง ที่สำคัญคือเป็นกลุ่มที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงจากกลุ่มธุรกิจใดๆ แต่เป็นผู้ที่ทำงานเพื่อภาคประชาชน ทั้งนี้ในระหว่างการเสวนา ตัวแทนเครือข่ายด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ได้สอบถามถึงแนวทางการจัดการเรื่องร้องเรียนที่ควรจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายประวิทย์กล่าวว่า การจัดการเรื่องร้องเรียนที่เครือข่ายพบว่ายังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการนั้น ตามกฎหมายหมายได้ให้สิทธิผู้บริโภค ตรวจสอบ สำนักงาน กสทช. และกสทช.ได้ด้วย เช่น การแก้ไขเรื่องร้องเรียนต้องแล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน หรืออาจเสนอความเห็น สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นกับอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ได้ เช่น กรณีเรื่องร้องเรียนจำนวน ๓๐๐ กว่าเรื่องที่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุม กทค. ทั้งที่ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการฯ มานานแล้ว ซึ่งเครือข่ายผู้บริโภคสามารถเสนอความเห็นหรือแนวทางที่ควรจะเป็นร่วมกันได้

นอกจากนี้ยังพบว่า หน่วยงานกำกับดูแลของไทยจะมีประเด็นเรื่อง “งานนอกอำนาจ” ทำให้บางปัญหาที่คาบเกี่ยวหลายหน่วยงานนั้นเกิดพื้นที่สีเทาที่ไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปจัดการเพราะเกรงการก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ผู้อื่น ต่างจากในต่างประเทศที่แม้กฎหมายจะมีการทับซ้อนของอำนาจหน้าที่กันแต่ไม่เกิดปัญหาในการดำเนินงาน

“ไทยมีประเด็นเรื่องช่องว่างระหว่างอำนาจหน้าที่ เนื่องจากไม่กล้าทำนอกอำนาจตัวเอง ปัญหาที่เห็นได้ชัดเช่น ตู้เติมเงิน มีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง แต่ต่างปฏิเสธว่าไม่ใช่หน้าที่โดยตรง สุดท้ายปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข” นายประวิทย์กล่าว

ด้านนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์กล่าวว่า เนื่องจากในปีนี้จะมีการจัดสรรคลื่นโทรทัศน์ใหม่ เพื่อเปลี่ยนจากระบบทีวีอนาลอคเป็นทีวีดิจิตอล ภาคประชาสังคมควรร่วมกันจับตาดูว่า ช่องความถี่ซึ่งจัดสรรเป็นสถานีโทรทัศน์มากขึ้นถึง ๔๘ ช่องนั้นในเชิงความเป็นเจ้าของหรือการถือครองนั้นจะมีการกระจายจากภาครัฐมาสู่ภาคประชาชนจริงหรือไม่ ทั้งนี้ใน ๔๘ ช่องซึ่งจะเป็นช่องทีวีสาธารณะจำนวน ๑๒ ช่องนั้น เครือข่ายภาคประชาสังคมควรเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นถึงรูปแบบของทีวีสาธารณะที่ควรจะเป็นนั้นควรมีหน้าตาอย่างไร เพราะทีวีสาธารณะไม่ได้หมายถึงช่องของหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น

“โอกาสมักมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่า หากต้องมีช่องทีวีใหม่ที่เป็นฟรีทีวี เราจะปล่อยให้ กสทช. ออกแบบ หรือภาคประชาชนจะเข้ามีส่วนร่วมด้วย จึงอยากให้เครือข่ายร่วมออกมาแสดงความคิดเห็น เพราะเมื่อเสียงของฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปสื่อเงียบ ก็ทำให้เสียงที่คิดต่างจากเราดังกว่า“ นางสาวสุภิญญากล่าว

View :1227
Categories: 3G, Telecom Tags: