Norton Safe Web alerts internet users to dangerous websites

April 10th, 2013 No comments


Bangkok, Thailand – April 9, 2013 – A free online Norton program is being offered by Symantec that allows internet users to check the safety of a website before the site is visited. Norton Safe Web is available for free download from https://safeweb.norton.com

The program is designed to detect online threats like viruses, phishing and spyware and detect sites such as those that attempt to steal credit card numbers or passwords, or crash computers.

Often, by the time the site has been visited, it is too late to prevent the damage, but Norton Safe Web detects the dangers before this stage.

Norton’s servers analyse websites to see how they will affect you and your computer, and then using the Norton Toolbar that is installed on your PC, the program lets you know how safe a particular site might be before you view it.

Two symbols appear on your screen to indicate the level of safety, and mousing over these will provide further details.

· The Norton Secured symbol: means that the site is safe for shopping and financial transactions because there are no e-commerce safety threats.
· The Norton OK symbol: means it is safe to proceed but that it is not recommended you put information such as credit card numbers or personal details on the site.

View :1681
Categories: Software, Technology Tags:

สวทช. นำ“สารน้ำใส” ปรับสภาพน้ำคูเมืองเชียงใหม่ รับสงกรานต์

April 10th, 2013 No comments

กระทรวงวิทย์ สวทช. ผุดเทคโนโลยี nCA แก้ปัญหาน้ำเน่า จับมือ เทศบาลนครเชียงใหม่-สถาบันศึกษาภาคเหนือ ลุยปรับสภาพน้ำรอบคูเมืองเชียงใหม่กว่า 8 กม. ยืนยันใสสะอาดปลอดภัยพร้อมใช้เล่นสงกรานต์ เตรียมถ่ายทอดความรู้ให้เทศบาลนครเชียงใหม่ ขยายผลแก้ปัญหาแหล่งน้ำอื่น


นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มอบให้ สวทช. โดย เอ็มเทค เร่งหามาตรการปรับสภาพน้ำคูเมืองต่างๆให้ใสสะอาด เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องคุณภาพน้ำ โดยเริ่มจากการปรับสภาพน้ำคูเมืองที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่แรก เนื่องจากเชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะมีทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวและใช้น้ำจากคูเมืองเล่นสงกรานต์กันเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงวันที่ 18-31 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา เอ็มเทค/สวทช. ได้นำผลงานนวัตกรรมสารจับตะกอน nCLEAR สกัดจากธรรมชาติ และเครื่องเพิ่มออกซิเจนแบบประหยัด เข้าไปช่วยฟื้นฟูน้ำให้ใสสะอาด รับเทศกาลมหาสงกรานต์เชียงใหม่

ด้านนายชาตรี เชื้อมโนชาญ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ กล่าวว่า ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย เอ็มเทค สวทช. ได้มาทำงานร่วมกับทางเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อปรับสภาพน้ำบริเวณคูเมืองให้ใสสะอาด ซึ่งก่อนหน้านั้น น้ำในคูเมืองประสบปัญหา น้ำขุ่นดำ ส่งกลิ่นเหม็น คาดว่าเกิดจากการปล่อยน้ำเสียของสถานประกอบการร้านอาหารรอบคูเมือง ทำให้เชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เสียภาพลักษณ์ ซึ่งหลังจากที่ทางกระทรวงวิทย์ฯ โดย เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ เทศบาลนครเชียงใหม่ และสถาบันการศึกษาในภาคเหนือ จัดทำโครงการปรับสภาพน้ำคูเมืองเชียงใหม่ให้ใสสะอาดและออกซิเจนสูง รับเทศกาลสงกรานต์ ปี 2556 โดยใช้ระบบ nCA (เอ็น-ค่า) ทำการปรับปรุงคุณภาพน้ำ 20 บ่อ รอบคูเมืองทั้งหมด เป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร เห็นได้ชัดว่าน้ำใสขึ้นเมื่อมองจากผิวน้ำ ภายใน 1 วัน ทางเทศบาลพอใจในผลที่ได้ จึงต้องการให้ทีมงานทำการปรับปรุงคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำอื่น ทำให้เทศบาลฯมั่นใจว่าคุณภาพน้ำจะใสสะอาดและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเล่นน้ำสงกรานต์ปีนี้แน่นอน”

ขณะที่ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การปรับสภาพน้ำในคูเมืองเชียงใหม่ ใช้ระบบ nCA โดยใช้สาร nCLEAR หรือ “สารน้ำใส”ความเข้มข้น 10 % ปริมาตร 1,000 ลิตร ร่วมกับการเติมอากาศด้วย nAIR เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ได้ค่าออกซิเจนที่ละลายในน้ำเพิ่มขึ้น ซึ่ง“สารน้ำใส” ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติและผงถ่าน สามารถจับตะกอนในน้ำได้อย่างรวดเร็ว และย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงปลอดภัยในการนำไปใช้งานไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และน้ำที่ได้หลังจากการใช้ “สารน้ำใส” เมื่อตกตะกอนและกรองตะกอนออก จะเป็นน้ำใส ไม่มีกลิ่นเหม็น และหากต้องการนำไปใช้อุปโภคหรือบริโภค แนะนำให้ผ่านการต้ม หรือผสมสารคลอรีนเจือจางก่อน “การรักษาสภาพแหล่งน้ำให้ใส สะอาด เป็นสิ่งสำคัญ ทาง เอ็มเทค มีแนวทางที่จะถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี nCA แก่เทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้งานอย่างเป็นรูปธรรม และมีแผนที่จะขยายผลเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในแหล่งน้ำแม่ข่า ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของจ.เชียงใหม่ ต่อไป” ดร.ทวีศักดิ์ กล่าว

View :2383
Categories: Science Tags:

Over 7.2 Million PCs in Thailand at Risk as the countdown to End-of-Support for 11-year old Windows® XP Begins

April 10th, 2013 No comments

Industry experts warn businesses and consumers to move away from XP before April 2014 deadline

Bangkok –10 April 2013 – reminded customers today that it will officially retire service and support for XP on 8 April 2014. With this deadline only one year away, it is essential for SMBs and consumers in Thailand to migrate from XP, an eleven year old operating system, to avoid vulnerabilities and risks that have the potential to cause business disruption and extra costs.

From 8 April 2014, Microsoft will no longer provide automatic fixes, updates, or online technical assistance for Windows XP. This also means that users will no longer receive security updates that help protect PCs from harmful viruses, spyware, and other malicious software that can steal personal information.

Crossing a busy road with your eyes closed
Rachod Isarankura Na Ayuthaya, Windows Client Business Group Lead, Microsoft (Thailand) Limited, said: “While XP was one of the most popular operating systems in Microsoft’s history, it was not designed to handle the challenges of today, such as the increased exposure to cyber-attacks and demands for more data privacy, unlike our newer operating systems such as Windows 7 and 8. Continuing to use PCs with XP is similar to crossing a busy road with you’re your eyes closed. By far, the security risk is the most concerning for customers as there are more sophisticated forms of attack which can impact safety of personal information and the hidden costs associated with support and business continuity.”

In March 2013, according to StatCounter, Windows XP still makes up 36.40% of PCs in Thailand with a steady rate of decline since Windows 7 was launched in October 2009. That equates to over 7.2 million PCs. This is high, compared to an Asia average of 34 percent. StatCounter data also shows that about 50% of PCs in Thailand are already on Windows 7 and in the last two months, there’s been an uptake of Windows 8 as well.

Industry analysts are in agreement that now is the time to upgrade from the decade old software. Bryan Ma, Associate Vice President of Client Devices Research at IDC Asia/Pacific, said: “Windows XP has been a major platform that both consumers and business alike have depended on for many, many years now. And yet with the termination of extended support for XP looming ahead, it is important that preparations be made to migrate to newer versions of the OS in order to make sure that users can continue to rely on their systems.”

Customers migrating away from XP to increase security
According to the findings of Microsoft’s Security Intelligence Report, Volume 13, released in June 2012, Windows XP with SP3 is three times more vulnerable than Windows 7 SP1. Malware has become a severe threat in the last decade, having increased from 1,000 in 1991 to millions in 2012. Computer threats include viruses, worms, trojans, exploits, backdoors, password stealers, spyware, and other variations of potentially unwanted software.

In addition to the severe security issues, continued use of XP poses additional threats including compliance issues such as encryption, hashing, and signing, while more than 60% of independent software vendors and modern browsers no longer support XP.

Suebsak Komjezsda, MIS Manager, NEC Corporation (Thailand) Ltd., customer of Microsoft (Thailand) Limited, said: “While XP has served us for many years, we cannot fully utilize the current PC to its full potential anymore because many device drivers on Windows XP are missing. Moreover, Windows XP security is way too outdated to be able to protect us from current virus and malware. If we choose to migrate after the damage from virus and malware, it would cost a fortune. This is why we decided to migrate from Windows XP to Windows 7.”

To support SMBs in this effort, Microsoft today announced the Windows Upgrade Centre website, where SMBs can get more information about this issue, learn from analysts and other customers in the region. Microsoft also advises SMB customers to look out for special offers from their resellers in the next few months.

View :1522
Categories: Software Tags: ,

ก.ไอซีที เผยร่างแผนปฏิบัติการ e-Government หวังรวมบริการภาครัฐในกลุ่มประเทศอาเซียน

April 10th, 2013 No comments

นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึง ความคืบหน้าการดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนว่า ตามที่ประเทศไทยโดยกระทรวงไอซีทีได้รับมอบหมายจากที่ประชุมอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (ASEAN e-Government Strategic Action Plan) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า และเคลื่อนย้ายบุคคลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเป็นแนวทางและแผนการดำเนินงานร่วมกันสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียน ในการพัฒนาบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน

เพื่อให้การดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าวมีสาระสำคัญที่ครบถ้วน สอดคล้องกับบริบทการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศ กระทรวงไอซีทีจึงได้ดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน Workshop on Developing ASEAN e-Government Strategic Action Plan เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม 5 ประเทศ ประกอบด้วย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบในหลักการของเค้าโครงร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าว โดยมีกรอบการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1)Governance Provision Plan คือการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และกิจกรรมสำคัญ (Milestone) เพื่อเป็นแนวทาง และแผนการดำเนินงานสำหรับหน่วยงานของรัฐในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนสำหรับใช้พัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ 2) Online Service Component คือการกำหนดแอพพลิเคชั่นบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) ที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า และเคลื่อนย้ายบุคคลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ที่ควรดำเนินการจำนวน 15 บริการ แบ่งเป็นบริการด้านการทะเบียน (Registration) บริการด้านการขออนุญาตและใบรับรอง (Permits and License) บริการด้านภาษีอากร (Revenue Generating) และบริการตอบแทนสังคม (Social Returns)

3) Telecommunication Infrastructure กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ทั้งในด้านคุณภาพของโครงข่ายโทรคมนาคม เทคโนโลยีการสื่อสารที่ใช้ ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการอินเทอร์เน็ต การรักษาความมั่นคงปลอดภัย และกิจกรรมสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม 4) Laws and Regulation คือการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และการดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า และเคลื่อนย้ายบุคคลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และ5) Human Capital Development เน้นเรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ด้าน ICT ทั้งในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ ระดับการเรียนรู้ด้านไอซีที ตลอดจนมาตรฐานวิชาชีพที่จะยอมรับร่วมกันในภูมิภาคอาเซียน

“แผนปฏิบัติการการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนที่จัดทำขึ้นนี้ จะเป็นกรอบการดำเนินงานพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศสมาชิกอาเซียน ในการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและเคลื่อนย้ายบุคคล เพื่อเตรียมการรองรับการพัฒนาและเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบบริการของแต่ละประเทศในอาเซียนเข้าด้วยกัน อันจะเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญในการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนต่อไป สำหรับในประเทศไทยกระทรวงไอซีทีจะจัดประชุมเพื่อนำเสนอร่างแผนปฏิบัติการฯ และประเด็นข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยควรจะต้องเร่งดำเนินการให้หน่วยงานของรัฐได้รับทราบ รวมทั้งจัดการประชุมรับฟังข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นของภาคเอกชนที่มีต่อการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากทุกภาคส่วนมาใช้ประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย ฉบับที่ 3 ต่อไป” นายไชยยันต์กล่าว

View :1292

ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ประกาศแต่งตั้งนายมารุต มณีสถิตย์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย

April 10th, 2013 No comments

การแต่งตั้งในครั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนการนำโซลูชั่นด้านข้อมูลมาใช้ในประเทศไทย

นายมารุต มณีสถิตย์

กรุงเทพฯ – 10 เมษายน 2556 — บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชัน (เอสดีเอช) ธุรกิจในเครือของบริษัท ฮิตาชิ จำกัด (TSE: 6501) ประกาศแต่งตั้ง นายมารุต มณีสถิตย์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย ด้วยชื่อเสียงที่ดีเยี่ยมด้านการดูแลลูกค้าและการจัดการพาร์ตเนอร์ โดยนายมารุตจะเป็นผู้รับผิดชอบการขับเคลื่อนธุรกิจ และทิศทางการเติบโตของบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ในประเทศไทย โดยการเสริมสร้างและขยายฐานลูกค้าของบริษัทและพันธมิตร

นายระวี ราเจนดราน รองประธาน และผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคอาเซียน บริษัท ฮิตาชิ ดาต้าซิสเต็มส์ กล่าวถึงการแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยคนใหม่ว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ นายมารุต มณีสถิตย์ เข้าร่วมงานกับฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ด้วยประสบการณ์ของนายมารุตที่มีมากว่า17 ปี ทั้งในด้านการขายและการตลาด อีกทั้งความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ซึ่งเขาได้รับการยอมรับแล้วถึงการสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพสูงและการพัฒนาความสามารถของทีม รวมถึงเขายังสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี ด้วยความเชี่ยวชาญของนายมารุตจะช่วยให้ผลักดันธุรกิจของฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ในประเทศไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น”

ด้านนายมารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากองค์กรต่างๆ ยังคงมองหาวิธี ในการบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถดึงเอาคุณประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นมาช่วยในการสนับสนุนการดำเนินงานและขยายธุรกิจของพวกเขา ผมเชื่อว่าด้วยทีมงานที่แข็งแกร่งทั้งฝ่ายขาย ช่องทางจำหน่าย การบริหารด้านการตลาด และการบริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ จะทำให้เราสามารถผลักดันธุรกิจของบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นต่อไป”
ก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมงานกับฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ นายมารุต มีบทบาทที่สำคัญในด้านการขายและด้านไอทีมากมายในองค์กรขนาดใหญ่ อาทิ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ และฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) โดยล่าสุดเขาเป็นหัวหน้าทีมขายสำหรับองค์กรภาครัฐและเอกชน ที่บริษัท ฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด (เอชพี) ครอบคลุมลูกค้าในตลาดที่สำคัญทั้งด้านธุรกิจธนาคาร ธุรกิจค้าปลีก โทรคมนาคมและภาครัฐ นายมารุตสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมจาก School of Advanced Technology, Asian Institute of Technology

เกี่ยวกับบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์

บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้จัดเตรียมบริการโซลูชั่นและเทคโนโลยีสารสนเทศระดับดีเยี่ยมที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่น่าสนใจแก่ลูกค้าอัตราผลต่อแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ที่โดดเด่น และแสดงให้เห็นผลกระทบที่ธุรกิจจะได้รับ อย่างชัดเจนด้วยมุมมองด้านไอทีเสมือนจริงแบบยั่งยืนอัตโนมัติและพร้อมใช้สำหรับระบบคลาวด์ โดยบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้นำเสนอโซลูชั่นที่สามารถปรับปรุงต้นทุนด้านไอทีและก่อให้ความคล่องตัวในระดับสูง และด้วยพนักงานกว่า 5,900 รายทั่วโลกทำให้บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ สามารถดำเนินธุรกิจได้ในกว่า 100 ประเทศและภูมิภาคต่างๆ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์บริการและโซลูชั่นของบริษัท ฮิตาชิดาต้า ซิสเต็มส์ ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก ซึ่งรวมถึงองค์กรกว่า 70% ของทำเนียบฟอร์จูน 100 และกว่า 80% ของทำเนียบฟอร์จูนโกลบอล100 ด้วย โดยบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ เชื่อว่าข้อมูลจะเป็นตัวขับเคลื่อนโลกของเราและสารสนเทศคือกระแสใหม่ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ http://www.hds.com

เกี่ยวกับบริษัท ฮิตาชิ จำกัด
บริษัท ฮิตาชิ จำกัด (ชื่อในตลาดหุ้นนิวยอร์ก: HIT/ชื่อในตลาดหุ้นโตเกียว: 6501) มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำระดับโลกด้วยจำนวนพนักงานทั่วโลกประมาณ 320,000 ราย โดยในปีงบประมาณ 2554 (จนถึงวันที่ 31 มีนาคมพ.ศ. 2555) บริษัทฯ มียอดขายรวม 9,665 พันล้านเยน (117.8 พันล้านดอลลาร์) ทั้งนี้ บริษัทฮิตาชิจะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เน้นด้านนวัตกรรมเพื่อสังคมมากกว่าที่เคย ซึ่งรวมถึงระบบสารสนเทศและโทรคมนาคม ระบบไฟฟ้า สภาพแวดล้อม ระบบอุตสาหกรรม และการขนส่งระบบสังคมและเมือง รวมถึงวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ครอบคลุมในการสนับสนุนธุรกิจดังกล่าว สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฮิตาชิ สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ http://www.hitachi.com

View :1216
Categories: Technology Tags:

เทรนด์ไมโครเตือนระวังภัยอีเมลฟิชชิ่งหลอกลวงผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

April 10th, 2013 No comments

บริษัท เทรนด์ไมโคร อินคอร์ปอเรท (TYO: 4704; TSE: 4704) ผู้นำระดับโลกด้านการรักษาความปลอดภัยสำหรับระบบคลาวด์เปิดเผยว่าล่าสุดตรวจพบการโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากความสนใจของทั่วโลกที่มีต่อพิธีสาบานพระองค์รับตำแหน่งประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสด้วยการส่งสแปมที่มีลิงก์ข่าวปลอมฝังอยู่ภายในโดยอีเมลอันตรายดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกับการแจ้งข่าวสารจริงจากเว็บไซต์ข่าวที่เป็นทางการ และลิงก์ลวงดังกล่าวก็จะนำเหยื่อที่หลงเชื่อไปสู่มัลแวร์อันตรายในท้ายที่สุด

นายพอล โอลิเวอร์เรีย หัวหน้าฝ่ายซีเคียวริตี้โฟกัสจากศูนย์วิจัยเทรนด์แล็บส์ บริษัท เทรนด์ไมโคร กล่าวว่า “บริษัทเทรนด์ไมโครพบว่าสแปมข่าวจะล่อลวงให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตคลิกลิงก์ในอีเมล โดยใช้พาดหัวที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับนิกายคาทอลิก เนื้อหาของอีเมลฟิชชิ่งเหล่านี้จะดูเหมือนกับข้อความปกติส่วนใหญ่ เช่น การรายงานข่าวจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น จากนั้นลิงก์ที่ฝังอยู่ในสแปมเหล่านี้จะนำเหยื่อที่หลงเชื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Blackhole Exploit Kit (BHEK) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เปิดช่องให้มัลแวร์อันตรายเข้าโจมตี การทำงานของสแปม BHEK จะเกิดขึ้นในทันทีและดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในระดับสูง ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตควรระมัดระวังเมื่อได้รับอีเมลที่มีลิงก์ เพื่อป้องกันอันตรายจากมัลแวร์และฟิชชิ่งที่แฝงมาด้วย”

BHEK จะเปิดช่องให้กับมัลแวร์ เช่น ตัวขโมยข้อมูล แบ็คดอร์ รีโมท แอคเซส โทรจัน และรูทคิตส์ ส่งผลให้ผู้ใช้งานตกอยู่ในอันตรายจากการถูกขโมยข้อมูลหรือทำให้อุปกรณ์ของตนเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายบ็อตเน็ตโดยไม่รู้ตัว

นายพอลกล่าวเพิ่มเติมว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นชาวคาทอลิกหรือไม่ก็ตาม การประกาศสละสมณศักดิ์ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ และพิธีสาบานพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ถือเป็นข่าวที่ทุกคนให้ความสนใจอย่างมาก โดยอาชญากรไซเบอร์มักจะใช้โอกาสนี้หลอกลวงผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและประชาชนที่ต้องการทราบข่าวสารดังกล่าว ดังนั้นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจึงต้องเพิ่มการป้องกันให้มากขึ้นด้วย”

และเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ปลอดภัยจากการโจมตีเหล่านี้ได้ บริษัทเทรนด์ไมโครจึงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ซึ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายป้องกันภัยอัจฉริยะ (สมาร์ท โพรเท็คชั่น เน็ตเวิร์ก) ที่มีคุณสมบัติเด่นๆ ดังนี้

• ตรวจจับข้อความฟิชชิ่งด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) – โซลูชั่นเชิงรุกนี้จะใช้ขีดความสามารถที่หลากหลายและจะแสดงให้เห็นภาพของการเชื่อมโยงที่เป็นเครือข่ายของกลุ่มและชุมชนต่างๆ โดยข้อมูล เช่น เทมเพลตอีเมล, ที่อยู่ IP และส่วนประกอบอื่นๆ จะเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์และพฤติกรรมภายในเครือข่ายนั้นๆ

• เปรียบเทียบพฤติกรรมของข้อความกับระบบอัจฉริยะที่โซลูชั่นนี้พัฒนาขึ้น – โซลูชั่นนี้จะระบุว่าข้อความเป็นฟิชชิ่งหรืออีเมลอันตรายหรือไม่ จากการพิจารณาพฤติกรรมและส่วนประกอบของข้อความนั้นๆ

• ระบุการโจมตีเหล่านี้เมื่อเพจที่เป็นฟิชชิ่งเริ่มดำเนินการหรือมีการเปลี่ยนแปลง – ความ สามารถที่เพิ่มขึ้นในการตรวจจับการโจมตีฟิชชิ่งด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุด โดยขณะนี้เครือข่ายป้องกันภัยอัจฉริยะ (สมาร์ท โพรเท็คชั่น เน็ตเวิร์ก) สามารถตรวจจับและบล็อกข้อความสแปมและ URL ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้แล้ว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดคลิกดูได้ที่: http://cloudsecurity.trendmicro.com/us/technology-innovation/our-technology/smart-protection-network/index.html

View :1941
Categories: Internet Tags:

รมต.การค้าและอุตสาหกรรมนอร์เวย์ร่วมกับดีแทคฉลองสัญญาณใหม่พร้อมยินดีในโอกาสเยือนไทย

April 9th, 2013 No comments

9 เมษายน 2556 – ฯพณฯ ทรอนด์ กิสเค รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศนอร์เวย์ ร่วมฉลองและแสดงความยินดีกับความสำเร็จของดีแทคในการเปลี่ยนอุปกรณ์เครือข่ายเสร็จสมบูรณ์ทั่วประเทศ ในโอกาสเยือนไทยเป็นทางการ และมีกำหนดการเข้าร่วมกิจกรรมกับดีแทค

โดยรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศนอร์เวย์ได้รับการต้อนรับจากนายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค และนายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย พร้อมพนักงานดีแทคหลายร้อยคนที่ร่วมกิจกรรมฉลองแคมเปญสัญญาณใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอุปกรณ์เครือข่ายเสร็จสมบูรณ์และให้บริการ 3G ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทคกล่าวว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับฯพณฯ ทรอนด์ กิสเค รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศนอร์เวย์ ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยหลังจากที่ได้นำเสนอถึงพันธะของดีแทคที่จะพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมของไทยแล้ว ท่านรัฐมนตรีได้ให้เกียรติเข้าร่วมขบวนทำกิจกรรมการตลาดสไตล์ดีแทค โดยดีแทคได้แสดงศักยภาพในการเป็นผู้นำในตลาดโทรคมนาคม

“ดีแทคได้ยกระดับโครงข่ายทั่วประเทศเสร็จสมบูรณ์ และให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 MHz ทั่วประเทศ และเตรียมการที่จะเปิดให้บริการ 3G ย่าน 2.1 GHz และจากนี้ไปการก้าวสู่ยุคเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแห่งการสื่อสารสำหรับผู้บริโภคในประเทศไทยมาถึงแล้ว เพราะจะถึงเวลาที่คนไทยจะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น และเป็นการลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลออกไป เป็นการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยการสร้างโอกาสทางธุรกิจขึ้นอีกมากมาย เพื่อกระจายความเจริญและการเติบโตทางธุรกิจและเศรษฐกิจไปสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ซึ่งรวมไปถึงพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อที่ว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะได้ไม่จำกัดอยู่เพียงในเมืองใหญ่ๆอีกต่อไป และนี่คือเหตุผลว่าทำไมดีแทคต้องการทำโครงข่ายคุณภาพที่ดีที่สุด ในการเปิดให้บริการ 3G บนคลื่น 2.1 GHz” นายจอนกล่าว

ทั้งนี้ ดีแทคในฐานะผู้นำในการให้บริการโทรศัพท์มือถือของประเทศไทย ดีแทคได้ลงทุนสถานีฐานครอบคลุมทั่วพื้นที่ประเทศไทยกว่า 15,000 สถานีฐานทั่วประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดนี้จะส่งให้ดีแทคก้าวสู่ระดับแนวหน้าด้านความพร้อมสำหรับบริการทั้ง 2G และ 3G ที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อผู้ใช้งาน โดยพร้อมที่จะให้บริการบนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ และเทคโนโลยี 4G ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย

View :1318
Categories: Telecom Tags:

“ประวิทย์” ยันร่วมพิจารณาบีเอฟเคทีโปร่งใส ชี้มติ กทค. ชุบชีวิตกลุ่มทรู-สวนกฎหมาย

April 9th, 2013 No comments

“ประวิทย์” แย้งข้อกล่าวหาบีเอฟเคที ยันมีคุณสมบัติครบในการร่วมพิจารณา ไม่เข้าหลักต้องห้ามตามกฎหมาย และที่ประชุม กทค. เป็นฝ่ายตัดสินให้ตนอยู่ร่วมพิจารณากรณีดังกล่าวเอง ย้ำชัด มติที่ประชุมเสียงข้างมากมีปัญหา จะทำวงการโทรคมนาคมป่วน ชี้กระแสข่าวโจมตีมาจากภายในองค์กร กสทช. เอง เพราะมีคนร้อนตัวกลัวความผิด

ตามที่ปรากฏข่าวว่า บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งหนังสือถึง พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เพื่อขอคัดค้านการเข้าประชุมของนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะกรรมการ กทค. ในการประชุม กทค. ครั้งที่ 13/2556 เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ บริษัท บีเอฟเคที กรณีการทำสัญญาเกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่บนคลื่นความถี่ 800 MHz กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เนื่องจากบริษัทเห็นว่านายประวิทย์ไม่เป็นกลาง จากกรณีที่มีการให้ข่าวก่อนหน้านั้นในแนวทางว่าบริษัทกระทำผิดกฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม

นายประวิทย์เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว แต่ได้เห็นในที่ประชุมพร้อมกับ กทค. ท่านอื่นๆ โดยประธาน กทค. เป็นผู้แจ้งให้ทราบและทำสำเนาแจก รวมทั้งมีการขอหารือว่าควรทำอย่างไร ตนจึงเสนอว่า เมื่อหนังสือส่งถึงประธาน และประธานนำมาแจ้งที่ประชุมแล้วก็ควรให้ที่ประชุมวินิจฉัยตามกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง หากเห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงทำให้การพิจารณาขาดความเป็นกลาง ตนก็ยินดีออกจากที่ประชุม แต่ในที่สุดที่ประชุมก็เพียงมีมติรับทราบคำค้านของบริษัท และให้ตนร่วมพิจารณาต่อไปได้

“ตาม พรบ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มีการกำหนดกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐห้ามพิจารณาทางปกครองไว้ในมาตรา 13 โดยกำหนดว่า เจ้าหน้าที่ที่จะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ก็คือ (1) เป็นคู่กรณีเอง (2) เป็นคู่หมั่นหรือคู่สมรสของคู่กรณี (3) เป็นญาติของคู่กรณี (4) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์หรือผู้แทนหรือตัวแทนของคู่กรณี (5) เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้หรือเป็นนายจ้างของคู่กรณี (6) กรณีอื่นๆ ที่กำหนดในกฎกระทรวง คุณสมบัติของผมไม่เข้าตามนี้อยู่แล้ว แต่มีอีกมาตราที่กำหนดคือมาตรา 16 ได้บัญญัติห้ามหากเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองนั้น “มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง” ซึ่งผมไม่คิดว่า การให้ความเห็นหรือให้ข่าวจะเข้าข่ายเป็นสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง แต่ผมก็ไม่ได้ตัดสินเอง ให้ที่ประชุม กทค. ตัดสิน แต่ที่ประชุมก็เห็นว่าผมไม่จำเป็นต้องออกจากที่ประชุม”

ส่วนเรื่องการพิจารณากรณีที่เป็นประเด็นปัญหานั้น นายประวิทย์เปิดเผยว่า ที่ประชุม กทค. ได้ใช้เวลาพิจารณาค่อนข้างยาวนาน โดยที่ส่วนใหญ่เป็นประเด็นความเห็นทางกฎหมาย รศ. ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ จึงเสนอต่อที่ประชุมว่า ควรจะส่งให้อนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช. ให้ความเห็น เพื่อความชัดเจน ซึ่งตนเองเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว แต่ กทค. ที่เหลือต้องการพิจารณาลงมติกันเอง และในที่สุดก็มีการพิจารณาตามประเด็นที่สำนักงานเสนอก่อน คือพิจารณาว่ากรณีเป็นการประกอบกิจการหรือไม่ ซึ่งเมื่อที่ประชุมมีมติโดยเสียงข้างมากว่ากรณีไม่เป็นการประกอบกิจการ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาต่อไปว่าจะต้องแจ้งความหรือไม่

“ผมต้องสงวนความเห็นแตกต่างจากที่ประชุม เพราะหากถือว่า บีเอฟเคทีไม่ได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม บรรทัดฐานเรื่องการประกอบกิจการและการกำกับดูแลก็จะมีปัญหาแน่นอน นอกจากนี้ผมพิจารณาจากรายงานของคณะทำงานและเลขาธิการ กสทช. แล้ว ต่างก็เห็นว่ากรณีนี้เป็นการประกอบกิจการ รวมทั้งผมได้ปรึกษาผู้ทรงวุฒิหลายๆ ทางต่างก็เห็นตรงกันหมด และที่ให้ข่าวล่วงหน้าก็เพราะอยากให้สังคมได้มีส่วนร่วมตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของ กทค. ด้วย เพื่อที่การใช้ดุลพินิจจะอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ ยึดหลักเหตุผลและข้อกฎหมาย มากกว่าจะมีธงล่วงหน้าแล้วพยายามขมวดเรื่องให้ออกมาในแนวทางที่ต้องการ ผมเองไม่ได้มีธงก่อน แต่มีธงหลังการพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว แต่เมื่อที่ประชุม กทค. เห็นว่าไม่ใช่ ก็เป็นอันยุติตามนี้ เพราะองค์อำนาจในการชี้ขาดเรื่องนี้ก็คือ กทค.”

อย่างไรก็ดี นายประวิทย์ย้ำว่า เขาคิดว่าดุลพินิจของ กทค. มีปัญหา โดยเฉพาะยิ่ง ก่อนหน้านั้น กทค. ก็เคยมีมติสั่งให้ กสท. และ บีเอฟเคที แก้สัญญาในประเด็นตามมาตรา 46 พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 เกี่ยวกับประเด็นการใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการ ซึ่งกฎหมายห้ามการประกอบกิจการแทนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนมาแล้ว ดังนั้นมติของ กทค. จึงขัดแย้งกันเอง และมติคราวนี้ก็ส่งผลช่วยกู้ชีพกลุ่มทรูมูฟโดยตรงอย่างไม่ต้องสงสัย

“ช่วงนี้มีข่าวโจมตีผมมาก ทั้งในเรื่องบีเอฟเคทีและเรื่องการสิ้นสุดสัมปทานคลื่น 1800 ผมไม่แปลกใจ เพราะการสรุปเรื่องตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในแนวของผมไม่เป็นคุณกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องนัก ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ที่แปลกคือ ผมเช็กแล้วพบว่าการเล่นงานผมจริงๆ แล้วมาจากภายใน กสทช. เอง มิใช่จากผู้ประกอบการหรือสังคมภายนอก จึงชวนให้คิดว่าเป็นเพราะคนทำผิดกำลังดิ้นรนเพื่อทำลายพยานหรือเปล่า หรือเพราะว่าแกะขาวอย่างผมไปขับให้เห็นสีดำเด่นชัด จึงมีคนเดือดร้อน” นายประวิทย์กล่าวในที่สุด

View :1288
Categories: 3G, Telecom Tags:

ดีแทคร่วมฉลองสงกรานต์ ขยายช่องสัญญาณ พร้อมมอบโบนัสค่าโทร 20%เมื่อเติมเงินกับคนขายแฮปปี้ออนไลน์

April 9th, 2013 No comments

9 เมษายน 2556 – ดีแทคพร้อมรองรับการใช้งานของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ ขยายช่องสัญญาณในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ เชียงใหม่ ถนนข้าวสาร ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นยังมอบโบนัสค่าโทร 20% แก่ลูกค้าที่เติมเงินผ่านคนขายแฮปปี้ออนไลน์ระหว่างวันที่ 8-12 เมษายน 2556 พร้อมกันนั้นยังจัดกิจกรรมพิเศษให้บริการเติมเงินและมอบของที่ระลึกแก่ลูกค้าที่เดินทางในวันที่ 12 เมษายนนี้ที่สถานีขนส่งหมอชิตและสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการที่ศูนย์บริการดีแทคระหว่างวันที่ 12-13 เมษายนรับฟรีซองกันน้ำจากดีแทคในจำนวนจำกัด

ลูกค้าแฮปปี้ทุกหมายเลขรับโบนัสค่าโทร 20% สูงสุดถึง 500บาท เมื่อเติมเงินผ่านช่องทางคนขายแฮปปี้ออนไลน์ ตั้งแต่ 100-800 บาท ระหว่างวันที่ 8-12 เมษายน 2556 และสามารถใช้งานโบนัสค่าโทรได้ในช่วงวันหยุดยาวตั้งแต่ 13-15 เมษายนนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dtac.co.th หรือสอบถามที่ตัวแทนจำหน่ายแฮปปี้ออนไลน์ทั่วประเทศ

View :1388
Categories: 3G Tags:

ไอบีเอ็มประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจสู่แพลตฟอร์มโซเชียลบิสิเนสเต็มตัว มอบประสบการณ์ใช้งานไร้ขีดจำกัด ในโลกโซเชียลมีเดียให้กับธุรกิจ

April 9th, 2013 No comments


กรุงเทพ 9 เมษายน 2556 – ไอบีเอ็มเดินหน้ามุ่งขยายความเป็นผู้นำธุรกิจโซเชียล บิสิเนส ด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่นำระบบสื่อสารด้วยข้อความทำงานแบบประสานงานกับโลกโซเชียล เปลี่ยนอีเมล์จากแอพพลิเคชันสื่อสารทั่วไปในองค์กร ให้กลายเป็นองค์ประกอบหลักของแพลตฟอร์มที่จะผลักดันให้เกิดการแบ่งปันความรู้ ช่วยให้พนักงานในองค์กรสามารถเข้าใช้งานดูข้อมูลทุกอย่างได้จากจุดเดียว ไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดีย อีเมล์ กิจกรรมกลุ่ม บล็อก หรืออื่นๆ อีกมากมาย เพิ่มการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าโดยรวมให้กับธุรกิจ

นางเจษฎา ไกรสิงขร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซอฟต์แวร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไอบีเอ็มเป็นผู้นำตลาดซอฟต์แวร์โซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ จากการจัดอันดับของ IDC ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ไอบีเอ็มเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสานงานผู้คนเข้าถึงกันและเชื่อมต่อการเข้าถึงข้อมูล ในรูปแบบการนำไปใช้งานที่หลากหลาย ล่าสุดไอบีเอ็มได้แนะนำซอฟต์แวร์ใหม่ IBM Notes and Domino Social Edition 9 ที่ช่วยให้พนักงานนำธุรกิจทำงานแบบประสานงานไปกับการตลาด การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและสามารถเข้าถึงเครื่องมือการประสานงานบนโลกโซเชียลได้ในจุดเดียว ส่งผลให้พวกเขาสามารถเพิ่มศักยภาพการทำงานและเร่งความเร็วในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ”

จากงานวิจัยของไอบีเอ็ม พบว่า 82 % ของเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด หรือซีเอ็มโอ วางแผนที่จะเพิ่มการใช้โซเชียลมีเดียของตนเองในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า และจากผลการศึกษา CEO Study 2012 ของไอบีเอ็มก็ได้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่ปัจจุบันมีเพียง 16 % ของซีอีโอที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลเพื่อการเข้าถึงประสานงานกับลูกค้า แต่ตัวเลขนี้จะขยับไปสู่ 57 % ในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า

จากการเติบโตของการใช้โซเชียล มีเดีย องค์กรจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการประสานงาน และปรับตัวด้วยการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ อีเมล์เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จากงานวิจัย ออสเตอร์แมน รีเสิร์ช (Osterman Research) ระบุว่า ในแต่ละวันมีอีเมล์รับส่งถึงกันกว่า 116 พันล้านฉบับ จากคนทำงานกว่า 800 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์แล้ว มีรายงานว่ามีการแชร์ข้อความหรือภาพเพียง 2.5 พันล้านข้อความบนเฟสบุ๊กและ 400 ล้านข้อความทวิต ต่อวันเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าอีเมล์ยังคงเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารที่ทรงอิทธิผลในการทำงานอยู่เช่นเดิม แต่อย่างไรก็ดี ในยุคธุรกิจโซเชียลเช่นนี้ อีเมล์อาจไม่ใช่เครื่องมือเดียวที่จะอยู่รอดได้อีกต่อไป

ตัวอย่างเช่น การใช้งานผ่านอินเทอร์เฟสเดียวกัน พนักงานที่ต้องทำงานในโครงการด้านการตลาดใหม่ สามารถตรวจสอบอีเมล์ไปพร้อมๆ กับกิจกรรมอย่างอื่นที่อัพเดตล่าสุดจากการทำงานของเพื่อนร่วมทีม แชร์ไฟล์ต่างๆ ของผู้ร่วมงาน หรืออ่านบล็อกหัวข้อใหม่ๆ ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ด้วยบริการที่รองรับแพลตฟอร์มของอุปกรณ์มือถือมากมาย สมาชิกในทีมจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ผ่านอุปกรณ์มือถือที่ตนเลือกใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน แอนดรอยด์ วินโดวส์โฟนหรือแบล็กเบอรี่ 10 ตัวใหม่ล่าสุด

สำหรับบริษัทที่ใช้ Outlook ไอบีเอ็มยังจัดเตรียมเครื่องมือในการเชื่อมต่อสำหรับ Outlook เข้ากับ Exchange ด้วยการเชื่อมต่อผ่านเครื่องมือนี้ของไอบีเอ็ม จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการแชร์ไฟล์ การประสานงานสื่อสารหรือความสามารถอื่นๆ ด้านโซเชียลให้กับผู้ใช้ Outlook ได้โดยตรง จึงมั่นใจได้ว่าโซเชียลอีเมล์นี้จะสามารถใช้งานได้จริงในการทำงาน

ปัจจุบันมากกว่า 50 % ของบริษัทในการจัดอันดับ Fortune500 ใช้ซอฟต์แวร์โซเชียลของไอบีเอ็ม และไอบีเอ็มยังเป็นผู้นำในตลาดระบบประสานงานขนาดกลาง ที่หลายๆ องค์กรมีการใช้งานอยู่ IBM Notes and Domino พร้อมให้บริการในรูปแบบ On Premises เช่นเดียวกับ IBM SmartCloud ที่ลูกค้าอย่าง บรันส์วิค คอร์ปอเรชันใช้เพื่อให้บริการคลาวด์อีเมล์กับผู้ใช้ของเขากว่า 8,000 ราย

แพลตฟอร์มโซเชียลบิซิเนสของไอบีเอ็ม มีฟีเจอร์ครบถ้วนทุกความสามารถ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กในระดับองค์กร เครื่องมือการวิเคราะห์โซเชียล และระบบบริหารจัดการเนื้อหาผ่านโซเชียล อันช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์ดีๆ นับไม่ถ้วนผ่านแอพพลิเคชันทางธุรกิจ

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การเริ่มต้นโซเชียลบิซิเนสกับไอบีเอ็ม หรือสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ชาญฉลาด สามารถเยี่ยมชมเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ibm.com/press/socialbusiness or follow #Socbiz on Twitter.

View :1648
Categories: Social Media/ Social Network Tags: