ก.ไอซีที จับมือ ทีโอที และ กสท พัฒนาระบบ Wi-Fi ในโครงการแท็บเล็ตเพื่อเด็ก ป.1

March 6th, 2013 No comments

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามสัญญา “เช่าใช้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลพร้อมอุปกรณ์ โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายไร้สาย (Wi-Fi Network)” เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาแก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างกระทรวงไอซีที กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ว่า เนื่องจากนโยบายของคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงไอซีทีจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้แก่โรงเรียนในโครงการ One Tablet per Child หรือ OTPC โดยเริ่มทดลองดำเนินการในโรงเรียนนำร่องสำหรับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ควบคู่กับ การเร่งพัฒนาเนื้อหาที่เหมาะสมตามหลักสูตร รวมทั้งจัดทำระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายตามมาตรฐานเพื่อให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 27,231 โรงเรียน และ มีนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประมาณ 858,886 คน แต่ยังขาดความพร้อมด้านระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายในห้องเรียน เพื่อใช้งานร่วมกับเครื่องแท็บเล็ตที่มีคุณสมบัติเฉพาะการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วย Wi-Fi เท่านั้น ซึ่งจะสามารถสร้างโครงข่ายภายในห้องเรียนที่จะช่วยในเรื่องการบริหารจัดการเครื่องแท็บเล็ตให้ง่ายต่อการเรียนการสอนระหว่างครูกับกลุ่มนักเรียน และใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วที่เหมาะสม

กระทรวงไอซีทีเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ให้แก่การศึกษาไทย จึงได้ดำเนินโครงการดังกล่าวขึ้นโดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โครคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้เช่าใช้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลพร้อมอุปกรณ์ เพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายไร้สาย (Wi-Fi Network) เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องแท็บเล็ตไปยังห้องเรียนในโรงเรียนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทได้ดำเนินการต่อยอดจากโครงการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ หรือ MOENet แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียน ครู และบุคลากรตามโรงเรียนต่างๆ

สำหรับการลงนามในสัญญาดังกล่าวเป็นความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัทในลักษณะกิจการค้าร่วม เพื่อวางระบบโครงข่าย Wi-Fi Network ที่ถูกออกแบบไว้ให้เป็นแบบผสม (Hybrid Architecture) ที่ยังคงรูปแบบการบริหารจัดการจากศูนย์กลาง (Centralized Management) ที่ง่ายต่อการควบคุมดูแล การตรวจสอบติดตาม (Monitoring) การแก้ไขปัญหาต่างๆ (Troubleshooting) แต่สามารถลดปัญหาการคับคั่งของข้อมูลที่ศูนย์กลางเพราะมีอุปกรณ์ในการบริหารจัดการ (Traffic Management) ที่ติดตั้งอยู่บนโครงข่าย MOENet ตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ซึ่งมีทั้งหมดจำนวน 27,231 วงจร แบ่งเป็น บมจ.ทีโอที 26,889 วงจร และ บมจ. กสท โทรคมนาคม 342 วงจร ผู้ใช้งานที่เป็น นักเรียน ครู และบุคลากรตามโรงเรียนต่างๆ รวมทั้งประชาชนทั่วไป ที่เข้าใช้งานผ่านโครงข่ายแบบสายและไร้สาย จะถูกกำหนดสิทธิ์การเข้าใช้งาน (Authentication) พร้อมระบบการจัดเก็บข้อมูลการจราจรทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (Log System) และระบบการบริหารจัดการข้อมูลที่แตกต่างกัน (Traffic Management) เช่น การจำแนกเส้นทางของข้อมูลในโครงข่ายภายใน (Intranet) และภายนอก (Internet) รวมถึงการมีอุปกรณ์ป้องกันการโจมตีเครือข่าย (Firewall) จากผู้ไม่หวังดี (Hacker) เข้าไปยังอุปกรณ์โครงข่ายภายในโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ภายในโครงการ MOEnet ได้ โดยทั้ง 2 บริษัทจะต้องจัดหาอุปกรณ์และดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพความเร็วของวงจรสื่อสารข้อมูล (Bandwidth) ให้ไม่ต่ำกว่า 4 Mbps และดำเนินการเปลี่ยนปรับปรุงรูปแบบของสื่อสัญญาณระบบอินเทอร์เน็ตให้มีความเสถียร โดยให้ใช้ระบบสื่อสัญญาณทางสายชนิดเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง ในคลื่นความถี่สำหรับรับส่งข้อมูลในย่านคลื่นความถี่ 2.4 GHz และต้องมี Operating Channel เป็นไปตามมาตรฐานของ Federal Communications Commission (FCC) และ European Telecommunications Institute (ETSI) รวมถึงบริหารระบบจัดเก็บข้อมูลการจราจรทางอิเล็กทรอนิกส์ (Log System) เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ นอกจากนั้นต้องจัดอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลระบบหรือพนักงานในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พร้อมจัดทำคู่มือการใช้งานและการดูแลระบบเบื้องต้น อีกด้วย

สำหรับกระทรวงไอซีทีจะเป็นผู้ประสานงานเรื่องข้อมูลและสถิติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการฯ ให้กับทั้ง 2 บริษัท พร้อมให้ความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะเสร็จสิ้นภายใน 300 วันหลังจากลงนามในสัญญา

“การลงนามสัญญาครั้งนี้จะช่วยให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กว่า 8 แสนคนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. กว่า 2 หมื่นโรง ได้ใช้เครื่องแท็บเล็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเป็นการพัฒนาวงการศึกษาไทย และเป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555-2559 ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพของเด็กวัยเรียน ให้มีความรู้ทางวิชาการ ทักษะและสติปัญญาที่สามารถศึกษาหาความรู้ และต่อยอดองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง รวมทั้งสามารถปรับตัวให้รู้เท่าทันกับข่าวสารภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็ว” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

View :1542

กลุ่มทรู รายงานผลการดำเนินงานปี 2555 รายได้จากการให้บริการโดยรวมเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

March 4th, 2013 No comments


กรุงเทพฯ 1 มีนาคม 2556 – บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2555 รายได้จากการให้บริการโดยรวมเติบโตเพิ่มขึ้นมาก จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทั้งสามธุรกิจหลัก โดยบริการ 3G+ ของทรูมูฟ เอช และการขยายบริการอัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต ไปสู่ต่างจังหวัด ได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณา และธุรกิจ มิวสิค เอนเตอร์เทนเมนท์ เป็นปัจจัยที่สร้างความเติบโตให้แก่ทรูวิชั่นส์

ในปี 2555 กลุ่มทรูมีรายได้จากการให้บริการโดยรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็น 61.9 พันล้านบาท เนื่องจากรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของทรูมูฟ เอช จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริการที่ไม่ใช่เสียง และความสำเร็จในการเปิดจำหน่าย iPhone 5 และสมาร์ทโฟนอื่นๆ พร้อมแพ็คเกจในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการขายของกลุ่มทรูโมบายล์เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 197.7 จากไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้ของกลุ่มทรูออนไลน์เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของบริการบรอดแบนด์สำหรับลูกค้าทั่วไป รวมทั้งรายได้ที่เพิ่มขึ้นของทรูวิชั่นส์จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของค่าการขายโฆษณา และการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ในปี 2555
ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA ลดลงเล็กน้อย (ร้อยละ 2.1) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็น 16.7 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จากค่าใช้จ่ายในการขยายบริการ 3G+ และค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ทรูมูฟ เอช ที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2555 กลุ่มทรูรายงานผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (NIOGO) ไม่รวมภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เป็น 5.4 พันล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิจำนวนทั้งสิ้น 7.4 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ โดยเฉพาะการด้อยค่าของสินทรัพย์โครงข่าย 2G ของทรูมูฟ

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กล่าวว่า “ในปี 2555 ธุรกิจของกลุ่มทรูมีความคืบหน้าในหลายๆ ด้าน ทั้งการสร้างแบรนด์ทรูมูฟ เอช ให้เป็นผู้นำในการให้บริการ 3จี ด้วยคุณภาพโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วถึง และการให้บริการที่ดีเยี่ยม รวมทั้งการชนะประมูลใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ IMT ย่าน 2.1 GHz ที่จะเสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการ 3จี ของทรูมูฟ เอช ซึ่งจะทำให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช ได้ใช้บริการ 3จี ที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นทั้งเรื่องความเร็วและความครอบคลุมในการใช้งาน นอกจากนี้ความสำเร็จของทรูออนไลน์ในการขยายบริการบรอดแบนด์ไปสู่ต่างจังหวัดส่งผลให้มีผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิถึงกว่า 2.3 แสนรายในปีที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยเน้นขยายบริการบนเทคโนโลยี DOCSIS 3.0 ออกสู่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ นอกจากจะได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องแล้วยังสามารถให้บริการแบบ Triple-play เต็มรูปแบบซึ่งเป็นการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บริการเคเบิลทีวีและบริการด้านเสียง ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อบนโครงข่ายเดียวกันเพื่อเพิ่มความคุ้มค่าสูงสุดให้กับลูกค้า และสร้างความแตกต่างให้กับบริการของกลุ่มทรู รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้ได้ใช้บริการของกลุ่มทรูมากกว่า 1 บริการอีกด้วย

ในส่วนของทรูวิชั่นส์ ได้มีการเปลี่ยนระบบออกอากาศใหม่ที่มีความปลอดภัยสูงซึ่งสามารถขจัดการลักลอบใช้สัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้นำเสนอประสบการณ์การรับชมที่ดียิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มจำนวนช่องรายการในระบบ HD ส่งผลให้ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา รายได้ค่าสมาชิกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งการร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มต่างๆ ในธุรกิจทีวี ยังช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มการเข้าถึงรายการคุณภาพของทรูวิชั่นส์ได้อีกด้วย ซึ่งความสำเร็จจากพัฒนาการต่างๆ เหล่านี้นอกจากจะส่งผลให้รายได้จากการให้บริการเติบโตอย่างแข็งแกร่งแล้ว ผู้ใช้บริการของกลุ่มทรูตั้งแต่ 2 บริการขึ้นไปยังเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2.7 ล้านรายอีกด้วย ซึ่งในไตรมาส 4 ปี 2555 กลุ่มทรูได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์หรือการผสมผสานสินค้าและบริการในกลุ่มทรูเข้าด้วยกัน โดยการนำเสนอสิทธิพิเศษด้วยการเพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้าตามจำนวนการใช้งานสินค้าและบริการของกลุ่มทรู เพื่อให้ง่ายและตรงตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น”

“สำหรับปี 2556 ทรูยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำคอนเวอร์เจนซ์ โดยมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในการให้บริการ 3จี และเตรียมเปิดให้บริการ 3จี บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ภายใต้แบรนด์ทรูมูฟ เอช ซึ่งทำให้บริษัทสามารถให้บริการได้อย่างมีคุณภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวและการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดของทั้งคลื่นความถี่ 2.1 GHz และ 850 MHz ของ CAT Telecom อีกทั้งบริษัทมีแผนเตรียมขยายโครงข่ายทรูออนไลน์ให้ครอบคลุม 61 จังหวัดทั่วไทยภายในสิ้นปี 2556 ในขณะที่ทรูวิชั่นส์ยังคงมุ่งสร้างพันธมิตรท้องถิ่นทั่วไทย และคงความเป็นผู้นำคอนเทนต์คุณภาพระดับโลก”

นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน กล่าวว่า “เป็นที่น่ายินดีที่ผลประกอบการของกลุ่มทรูปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2555 เนื่องจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการลงทุนในธุรกิจหลักที่มีการเติบโตสูง ถึงแม้ว่าในปี 2555 ระดับหนี้สินและค่าใช้จ่ายของกลุ่มทรูจะเพิ่มขึ้นทั้งจากการลงทุนขยายโครงข่ายและการทำตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้า แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและสร้างความเติบโตอย่างมั่นคงให้กับองค์กร โดยในปี 2556 กลุ่มทรูจะมุ่งเน้นการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดเพื่อเพิ่มผลกำไรให้แก่บริษัทในระยะยาว”

View :1527
Categories: Technology, Telecom Tags:

กสทช จับมือ ไอทียู ดันโรดแมพ วิทยุดิจิตอล สาธิตการส่งสัญญาณวิทยุในระบบดิจิตอลครั้งแรกที่กรุงเทพ

March 3rd, 2013 No comments

กรุงเทพฯ – 1 มีนาคม 2556 – การกระจายเสียงสดผ่านวิทยุในระบบดิจิตอลบนมาตรฐาน DAB+ จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ ระหว่างการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและการสาธิตเทคโนโลยีที่จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ () และ สำนักงานสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู)

การจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 3 มีนาคม 2556 จะอาศัยอุปกรณ์ DAB+ และความเชี่ยวชาญจากทั้งออสเตรเลีย และยุโรป ซึ่งเป็นภาคพื้นที่มีการออกอากาศวิทยุในระบบดิจิตอล งานดังกล่าวจะครอบคลุมถึงการสาธิตการทดสอบภาคสนามสดทั้งในกรุงเทพฯ และในเขตปริมณฑล พร้อมการนำเสนอระบบ DAB+ เพื่อทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ การวางแผนเครือข่าย พร้อมเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงควรใช้ระบบดิจิตอล รวมถึงการมองในเรื่องของโครงสร้าง และการพิจารณากฏระเบียบในการเปิดใช้วิทยุในระบบดิจิตอล

ทั้งนี้ จะมีการจัดการสาธิตการส่งสัญญาณ เพื่อเป็นการแสดงความรู้และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีวิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอล ขึ้นที่ อสมท. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการกิจการกระจายเสียงในกรุงเทพฯ ได้รับประสบการณ์ก่อนใคร พร้อมทั้งเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในกรุงเทพฯ

พันเอก ดร. นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า “เวิร์กช็อปครั้งนี้มาจากความริเริ่มของ กสทช. ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการกิจการวิทยุกระจายเสียงและประชาชนคนไทยจะได้เรียนรู้กี่ยวกับเทคโนโลยีวิทยุในระบบดิจิตอล ทั้งนี้ ทาง กสทช. เองวางแผนไว้ว่าจะมีการปรับมาใช้วิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอลภายในปีหน้า และขณะนี้ได้ทำงานร่วมกับไอทียูในการออกโรดแมปเรื่องดังกล่าว”

“วิทยุก็ยังคงเป็นช่องทางที่แพร่หลายและใช้สื่อสารกันในวงกว้าง เหมาะสำหรับการเข้าถึงผู้คนทั่วโลกโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เข้าถึงลำบาก และวิทยุในระบบดิจิตอลยังให้ข้อได้เปรียบ เช่นสามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี Metadata ซึ่งเป็นข้อมูลที่อธิบายรายละเอียดได้ดีและเหมาะสำหรับผู้มีความพิการ ทั้งนี้ ไอทียูยังคงมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องในการพัฒนามาตรฐานที่ช่วยให้เกิดการใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีล้ำหน้าของวิทยุในระบบดิจิตอลทั่วโลกผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ภาพวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต (Webcasting) การรับชมวิดีโอผ่านทางมือถือ (Mobile Streaming) ทางบล็อก และการเผยแพร่เสียงผ่านทางเว็บ (Podcasts) และทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งเวิร์กช็อปครั้งนี้ในแสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างไอทียู และ กสทช. เป็นเวลานานนับหลายปี” ดร. อูน-จู คิม ผู้อำนวยการ สำนักงานสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าว

WorldDMB ได้รับเชิญให้เป็นผู้จัดงานงานเวิร์กช็อป หรืองานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการสาธิตให้กับวิศวกรอาวุโส และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อเรียนรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิทยุในระบบดิจิตอล โดยงานเวิร์กช็อปจะแบ่งออกเป็นสองช่วงด้วยกัน คือส่วนที่เป็นเวิร์กช็อปสำหรับวันนี้ และวันอาทิตย์ และส่วนที่เป็นการสาธิตและการทดสอบภาคสนาม ในวันพรุ่งนี้

โจน วอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมการ WorldDMB ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ผู้บรรยายของเวิร์กช็อป กล่าว “WorldDMB นำเสนอข้อมูลที่ครอบคลุมทุกแง่มุมให้กับผู้ประกอบการกิจการกระจายเสียงสำหรับการเปลี่ยนจากระบบอนาล็อกมาเป็นดิจิตอล โดยเวิร์กช็อปและการสาธิตเหล่านี้ เป็นการบริการที่ต้องอาศัยความพยายามและต้องมีการทดสอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ WorldDMB นำเสนอให้กับตลาดอื่นๆ ที่ประสบความความสำเร็จในการใช้ระบบ DAB+ เช่นกัน”

เวิร์กช็อปครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก WorldDMB รวมถึง Commercial Radio Australia (CRA) บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) กรมประชาสัมพันธ์ และ สถานีวิทยุกองทัพบก เพื่อต้อนรับผู้เข้าร่วมงานกว่า 100 คน ที่มาจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงตัวแทนจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และจากประเทศอื่นๆ

รายละเอียดเกี่ยวกับเวิร์กช็อป สามารถเยี่ยมชมได้ที่

http://www.itu.int/ITU-D/asp/CMS/Events/2013/DR-Technologies/index.asp

—————————————————————————————————————–

เกี่ยวกับ ไอทียู

สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ไอทียู (ITU – International Telecommunication Union) เป็นหน่วยงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสหประชาชาติ ด้วยประวัติการทำงานยาวนานเกือบ 150 ปี ไอทียู มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการด้านการจัดสรรการใช้คลื่นความถี่วิทยุ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการจัดสรรวงจรดาวเทียม และการทำงานในรูปแบบต่างๆ ที่ส่งเสริมการพัฒนาพื้นฐานด้านโทรคมนาคมในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก พร้อมวางมาตรฐานทั่วโลกเพื่อสนับสนุนการเชื่อมต่อในระบบสื่อสารได้อย่างกว้างขวาง จากระบบอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ ถึงเทคโนโลยีไร้สายอันล้ำสมัย และจากระบบนำร่องเพื่อการบินและการเดินทะเล ไปถึงระบบพยากรณ์อากาศผ่านดาวเทียม จากการสื่อสารหลายรูปแบบที่มาผนวกรวมกัน ทั้งทางระบบโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ข้อมูล เสียง และเทคโนโลยีเพื่อการออกอากาศ โดยไอทียูจะยังคงมุ่งมั่นในการช่วยให้โลกนี้สามารถเชื่อมโยงและสื่อสารถึงกันได้ดียิ่งขึ้นต่อไป

—————————————————————————————————————
เกี่ยวกับ World DMB

WorldDMB เวิลด์ดีเอ็มบี เป็นฟอรัมระดับโลกสำหรับอุตสาหกรรมวิทยุในระบบดิจิตอล บนมาตรฐานระบบ DAB, DAB+ และ DMB ซึ่งเป็นมาตรฐานทางเลือกในการกระจายเสียงผ่านวิทยุในระบบดิจิตอล ให้กับกลุ่มประเทศยุโรป และอีกหลายประเทศในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก โดยสมาชิกของ WorldDMB ในระดับโลกได้แก่ ผู้ประกอบการกิจการกระจายเสียงเชิงพาณิชย์และองค์การกระจายเสียงสาธารณะ ผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้รับสัญญาณ รวมถึงผู้ประกอบการโรงงานผลิตชิปและรถยนต์ โดยเหล่าสมาชิกได้ร่วมมือกันนำเสนอข้อแนะนำและโซลูชั่นเฉพาะทางที่ครอบคลุมทุกปัจจัยในการเปลี่ยนจากวิทยุกระจายเสียงในระบบอนาล็อกมาสู่ระบบดิจิตอล รวมถึงเรื่องกฏระเบียบ ลิขสิทธิ์ การทดลองเทคโนโลยี การสร้างและขยายเครือข่าย การผลิตและทำตลาดเนื้อหารูปแบบใหม่สำหรับวิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยุกระจายเสียง จะได้รับข้อมูลความรู้และความเชี่ยวชาญที่นำเสนอผ่านการจัดงานสำคัญๆ ในอุตสาหกรรม งานสัมมนาเชิงปฏิบัติการของผู้ประกอบการรถยนต์ เวิร์กช็อปและงานสัมมนาเฉพาะอุตสาหกรรม และผ่านทางเว็บไซต์ของ WorldDMB รวมถึงพอร์ทัลที่รวบรวมข้อมูลเฉพาะสำหรับสมาชิก ที่รวมถึงระบบฐานข้อมูลออนไลน์ ETI Library ทั้งนี้ประชาชนทั่วโลกกว่า 500 ล้านคนต่างอยู่ในย่านของสัญญาณความถี่วิทยุในระบบดิจิตอลบนมาตรฐาน DAB/DAB+/DMB ที่มีการให้บริการกว่า 1,000 บริการในการออกอากาศ โดยในตลาดก็มีเครื่องรับสัญญาณหลายร้อยประเภทที่วางจำหน่ายอยู่ในตลาด

View :1451

ดีแทค ปั้นโครงการ dtac Accelerate พลิกเส้นทางลัดสุดยอดนักพัฒนาแอพ สู่ซิลิคอน แวลลีย์ ศูนย์กลางนวัตกรรมไฮเทคของโลก

February 28th, 2013 No comments

ดีแทคเปิดตัวโครงการ ประเดิมกิจกรรมแรกด้วยการจัดประกวดผลงานโมบายแอพพลิเคชั่น ในธีม Wizard of App เฟ้นหาสุดยอดนักพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อคว้าเส้นทางลัดสู่โอกาสในการเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์ทำงานกับนักสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก นำเสนอผลงานกับกลุ่มนักลงทุนที่ “ซิลิคอน แวลลีย์” ศูนย์กลางธุรกิจไฮเทคซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก พร้อมรางวัลอื่นๆ มูลค่ารวม 50 ล้านบาท

ปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น () กล่าวว่า “ดีแทคเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรม การเลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ดีที่สุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจสู่โมบายคอนเทนท์และแอพพลิเคชั่น เพื่อสร้าง application ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านการส่งเสริมการตลาดกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นในประเทศไทย เพื่อนำแอพพลิเคชั่นดีๆ สู่ผู้ใช้บริการ โดยตอนนี้ ทางดีแทคได้ผู้บริหารหน้าใหม่ คือคุณกระทิง เรืองโรจน์ พูลผล มาร่วมงานเพื่อดูแลฝ่ายผลิตภัณฑ์ และ application ecosystem”

กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์ ดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย เราจึงริเริ่มโครงการ Accelerate เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้คนไทยลุกขึ้นมาสร้างนวัตกรรม แอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ และเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมให้คนไทยร่วมปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เพิ่มพื้นที่เรียนรู้และแสดงศักยภาพให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากการที่เคยผ่านประสบการณ์ทำงานที่ ซิลิคอน แวลลีย์ มาก่อน ผมเชื่อว่าที่นั่นคือศูนย์กลางนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักทั่วโลกมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่ใครๆ สามารถประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ และวันนี้ ดีแทคได้นำโอกาสนั้นมาสู่คนไทยที่มีความสามารถ มีความกล้าที่จะคิด ทำในสิ่งที่แตกต่าง และเป็นไปได้ โครงการนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นเส้นทางลัดนำทีมนักพัฒนาไทยไปสู่ซิลิคอน แวลลีย์ เพื่อมุ่งมั่นสร้างฝันให้เป็นจริงบนเวทีการแข่งขันระดับโลก”

ซิลิคอน แวลลีย์ คือศูนย์กลางนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมไฮเทคระดับโลก ได้รับการขนานนามว่าเป็นเสมือนดินแดนมหัศจรรย์ ที่ซึ่งความคิด ความฝัน เทคโนโลยี และธุรกิจมาสอดประสานกันและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับโลกได้เสมอ ตั้งอยู่ที่เมืองซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งกำเนิดของบริษัทชั้นนำที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก อาทิ กูเกิ้ล ยูทูป แอปเปิ้ล เอชพี ซิสโก้ อินสตาแกรม ฯลฯ

ประสบการณ์ของเรืองโรจน์ที่ซิลิคอน แวลลีย์ มีทั้งการทำงานและการร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัท โดยทำงานที่บริษัทกูเกิ้ล และเป็นหนึ่งในทีมผู้พัฒนากูเกิ้ลเอิร์ธ โปรแกรมแสดงแผนที่ เส้นทาง และภาพภูมิทัศน์จากทั่วโลก และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Technology Startup สามารถระดมเงินทุน 1.1 ล้านดอลลาร์จาก Angel Investor และเริ่มต้นตั้งบริษัทของตัวเองที่นั่น โดยเรืองโรจน์จะนำเอาประสบการณ์ทำงานที่นั่นกว่า 7 ปี มากลั่นกรองและถ่ายทอดสู่ทีมนักพัฒนาที่เข้าร่วมโครงการ dtac Accelerate ภายในระยะเวลาไม่ถึงปี

กิจกรรมแรกของโครงการ dtac Accelerate คือการจัดประกวดผลงานโมบายแอพพลิเคชั่น ภายใต้ธีม Wizard of App เพื่อหาทีมสุดยอดนักพัฒนาแอพไปสัมผัสบรรยากาศการทำงานแบบองค์กรพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกที่ “ซิลิคอน แวลลีย์” ศูนย์กลางธุรกิจไฮเทคของโลก และผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแคมเปญนี้คือ กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ซึ่งจะนำเอาประสบการณ์ในการทำงานที่ซิลิคอน แวลลีย์มาบอกเล่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าร่วมโครงการ พร้อมทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับบริษัทต่างๆ ที่นั่นเพื่อนำทีมนักพัฒนาไทยไปเรียนรู้การทำงานแบบนักพัฒนานวัตกรรมระดับโลก โดยโครงการ dtac accelerate ได้พันธมิตรระดับโลกมาสนับสนุนโครงการ อาทิ Blackbox Connect ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก

ทีมนักพัฒนาแอพที่ชนะเลิศในโครงการ dtac Accelerate จะได้เดินทางไปซิลิคอน แวลลีย์ เพื่อเข้าร่วมโครงการ Blackbox Accelerate เป็น 1 ใน 12 ทีมจากทั่วโลก และมีโอกาสได้นำเสนอผลงานกับกลุ่มนักลงทุน ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีองค์กรพัฒนาเทคโนโลยีจำนวนมากมายและภาวะการแข่งขันอันรุนแรง และนอกจากนี้ทีมรองชนะเลิศจะได้รับโอกาสร่วม Accelerator program ในระดับภูมิภาค ซึ่งโครงการ dtac Accelerate นี้มีของรางวัลมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 50 ล้านบาท

การจัดประกวดการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น ในโครงการ dtac Accelerate เปิดรับสมัครผู้แข่งขันเป็นทีมจำนวนไม่เกิน 5 คน ผู้สมัครจะต้องส่งข้อเสนอโครงการพัฒนาแอพ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2556 จากนั้นคณะกรรมการประกวดจะคัดเลือกให้เหลือ 30 โครงการและประกาศผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกในเดือนพฤษภาคม จะมีการจัดโค้ชชิ่งเวิร์คช็อปโดยทีมนักพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกให้กับทีมที่ได้รับการคัดเลือกระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2556 จากนั้นจะคัดเลือกผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่เข้ารอบสุดท้าย 10 โครงการเพื่อทำการพัฒนาจริง และตัดสินหาทีมผู้ชนะเลิศในเดือนกันยายน 2556

การประกวดโมบายแอพเพื่อคว้าโอกาสในการเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานที่ซิลิคอน แวลลีย์ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางลัดสู่ความสำเร็จ ดีแทคยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ภายใต้โครงการ dtac Accelerate ตามมาอย่างต่อเนื่อง

View :1914

แผนสำรองจาก UIH พร้อมรับมือภาวะการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า

February 28th, 2013 No comments

ตามที่รัฐบาลได้มีการประกาศเตือนสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าที่ได้ รับผลกระทบจากการซ่อมบำรุงแหล่งผลิตก๊าซที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า
ระหว่างวันที่ 5 – 14 เมษายน 2556 โดยพื้นที่ที่อาจจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ บางพื้นที่ของกรุงเทพฯ ปริมณฑล และบางจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้อาจมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์ไฟฟ้าดับ UIH จึงเตรียมแผนสำรองเพื่อรับมือสถานการณ์ไฟฟ้าดับที่อาจเกิดขึ้นและอาจส่งผล กระทบต่อการให้บริการเครือข่ายสื่อสารของ UIHพร้อมทั้งจัดให้มีการรายงานสถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลน พลังงานดังกล่าวในพื้นที่ต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ www.uih.co.th และ www.facebook.com/UIHBroadband เพื่อรายงานสถานการณ์ในแต่ละชุมสาย ให้กับผู้ใช้บริการได้ทราบอย่างทันท่วงที ผู้ใช้บริการสามารถมั่นใจได้ว่า UIH มีความพร้อมในกาดำเนินการติดตามเพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันต่อเหตุการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง

View :1440
Categories: Press/Release Tags:

กสทช. เร่งสางปัญหาดาวเทียมไอพีสตาร์ของไทยคม ตั้งทีมตรวจข้อกฎหมาย หาแนวทางออกใบอนุญาตใน 30 วัน

February 28th, 2013 No comments

สำนักงาน ตั้งคณะทำงานศึกษาการประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสารไอพีสตาร์ ของบริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) กำหนดหาคำตอบแนวทางการอนุญาตประกอบกิจการใน 30 วัน สังคายนาปัญหาการเป็นดาวเทียมนอกสัญญาสัมปทาน

รายงานข่าวจากสำนักงาน กสทช. แจ้งว่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เลขาธิการ กสทช. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณี (IP STAR) ของบริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีสถานะของการประกอบกิจการที่ชัดเจน โดยจะพิจารณาทั้งในส่วนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่จะต้องดำเนินการต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการ เนื่องจากตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 กำหนดไว้ชัดเจนว่า กิจการโทรคมนาคมนั้นรวมถึงกิจการซึ่งให้บริการดาวเทียมสื่อสารด้วย ทำให้การให้บริการดาวเทียมสื่อสารในปัจจุบันอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ซึ่งจะต้องมีการขออนุญาตประกอบกิจการ

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า การดำเนินการดังกล่าวของสำนักงาน กสทช. เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ได้ทำหนังสือถึงสำนักงาน กสทช. และประธาน กสทช. แจ้งถึงกรณีปัญหาของเรื่องนี้ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยมีคำพิพากษาชี้ว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมที่อยู่นอกสัญญาสัมปทาน โดยไม่เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 และไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อการสื่อสารภายในประเทศตามวัตถุประสงค์ของสัญญาสัมปทาน ดังนั้นจึงเห็นควรมีการเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยมีประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาก็คือ การให้บริการในปัจจุบันของไอพีสตาร์ที่ใช้วงโคจรของประเทศไทยถือเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายหรือไม่ และ กสทช. จะพิจารณาออกใบอนุญาตให้บริษัทได้หรือไม่

ทั้งนี้ ตามหนังสือของ กสทช. ประวิทย์ ระบุว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินกรณีดังกล่าวในคดีที่อัยการสูงสุดกล่าวหาพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และพวก ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 แต่ปรากฏว่าดาวเทียมไอพีสตาร์ยังคงให้บริการอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน โดยใช้วงโคจรที่ 119.5 องศาตะวันออก และไม่เคยมีการยื่นขออนุญาตเข้ามาแต่อย่างใด

กรณีนี้จึงเป็นอีกกรณีสำคัญที่จะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า กสทช. จะตัดสินใจในแนวทางใดเพื่อแก้ปัญหาการให้บริการของไอพีสตาร์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการพิจารณาในราวปลายเดือนมีนาคม เนื่องจากตามคำสั่งของเลขาธิการ กสทช. กำหนดระยะเวลาปฏิบัติงานของคณะทำงานไว้ 30 วัน

View :1325

ดีแทคพร้อมลุยตลาดสมาร์ทโฟน จำหน่ายรุ่นใหม่ Samsung Galaxy GRAND 5.0” และ Samsung Galaxy SIII Mini

February 28th, 2013 No comments


มอบแพ็กเกจพิเศษสุดคุ้ม โทรและเล่นเน็ตไม่จำกัดจ่ายเพียงครึ่งราคา ที่ดีแทคทั่วประเทศ

28 กุมภาพันธ์ 2556 – ดีแทคเอาใจลูกค้าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ นำ และ สมาร์ทโฟนคุณภาพซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตลาด รองรับความถี่ 850 MHZ และ 2.1 GHz มาให้ลูกค้าดีแทคได้เลือกใช้งาน พร้อมแพ็กเกจคุ้มค่า โทรเบอร์ดีแทคไม่จำกัด เล่นเน็ตและ ใช้งาน wifi ได้ไม่จำกัด พร้อมส่ง SMS จำนวน 500 ครั้ง สำหรับลูกค้าที่ซื้อสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นจากดีแทคตั้งแต่วันนี้ – 30 เมษายน 2556 รับสิทธิ์ค่าแพ็กเกจเพียง 600 บาท/เดือน จากปกติ 1,200 บาท/เดือน และผ่อน 0% นาน 10 เดือน ตามเงื่อนไขที่กำหนด พร้อมได้รับประสบการณ์สนุกสนานแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ DEEZER แอพพลิเคชั่นมิวสิคสตรีมมิ่งที่พัฒนาขึ้นเพื่อลูกค้าดีแทคโดยเฉพาะ ให้ได้เลือกฟังเพลงจากทั่วโลกกว่า 18 ล้านเพลง ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการดีแทคทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดได้ที่ www..co.th

สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Samsung Galaxy GRAND 5.0” และ Samsung Galaxy SIII Mini ที่ตัวแทนจำหน่าย Samsung สามารถนำสติ๊กเกอร์หน้ากล่องที่ระบุ “แพ็กเกจสุดคุ้มจากดีแทค” มาสมัครแพ็กเกจพิเศษจากดีแทคได้เช่นกันที่ศูนย์บริการดีแทคทั่วประเทศ

SAMSUNG Galaxy GRAND 5.0” หน้าจอขนาดใหญ่ 5.0 นิ้ว กับสมาร์ทฟังก์ชั่นเช่น Pop Up play ให้สามารถดูวิดีโอและทำงานได้พร้อมกัน และ multi window เปิดการใช้งาน 2 แอพพลิเคชั่นในจอเดียว พร้อมด้วยระบบ DUAL SIM Always on ในราคา 11,900 บาท

Samsung Galaxy SIII Mini มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการแอนด์ดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด 4.1 Jelly Bean ให้การใช้งานลื่นไหล ด้วยหน่วยประมวลผล Dual-core 1 GHz. บนจอแสดงผลแบบสีสดใส คมชัด จากหน้าจอ Super AMOLED และฟังก์ชั่นอย่าง Best Photo สามารถเลือกรูปถ่ายที่ดีที่สุดให้คุณ ในราคา 10,900 บาท

ในปี 2556 ดีแทคมีความพร้อมเต็มที่หลังจากเปลี่ยนสัญญาณใหม่ และกำลังก้าวเข้าสู่การให้บริการ 3G บนความถี่ 2.1 GHz โดยวางแผนเดินหน้าเปิดตลาดสมาร์ทโฟนให้เข้าถึงลูกค้าทุกระดับทั่วทั้งประเทศ และจัดแพ็กเกจใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ให้ประสบการณ์ดีที่สุดและคุ้มค่ากับสมาร์ทโฟนทุกระบบปฏิบัติการ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับการใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกันนั้น ยังได้จัดทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นเพื่อให้คำแนะนำแก่ลูกค้า ณ จุดขายด้วย

View :1604

โนเกียชวนประกวดแอปเพื่อสังคมบน Windows Phone 8

February 12th, 2013 No comments

โนเกียจับมือโครงการจุฬาฯ รักษ์โลก จัด “การประกวดแอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือเพื่อสังคมยั่งยืนบนระบบปฏิบัติการ ในระดับอุดมศึกษา” เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาทุกสถาบันเสนอแนวคิดและร่วมกิจกรรมพัฒนาแอพเพื่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสังคม ยื่นใบสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 มีนาคมนี้ คลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.ehwm.chula.ac.th

นายญาณธน สิมะวานิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 เป็นระบบปฏิบัติการใหม่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่โนเกีย เป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนบนระบบปฏิบัติการ Windows Phone จึงมีความยินดีในการสนับสนุนเยาวชนไทยได้คิดสร้างสรรค์แอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” พร้อมเสริมว่า “นอกจากผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 จะได้รับประโยชน์จากแอปที่ได้รับการพัฒนาแล้ว โครงการนี้ยังส่งเสริมให้เกิดนักพัฒนาแอปพลิเคชั่นเลือดใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อสารเคลื่อนที่ของไทยอีกด้วย”

โครงการนี้เปิดรับสมัครนิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาทุกสถาบัน ที่มีความสนใจในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ และมีพื้นฐานในการเขียนโปรแกรม โดยผู้สมัครจะต้องสร้างสรรค์ผลงานแอปพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 ด้วยตัวเอง ไม่ละเมิดสิทธิทางปัญญาของผู้อื่น ภายใต้แนวคิดที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในด้านต่างๆ ได้แก่ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม (คุณธรรม จริยธรรม ครอบครัว และชุมชน) ด้านใดด้านหนึ่ง

รับสมัครจำนวนจำกัดเพียง 80 ทีม ทีมละไม่เกิน 3 คน คัดเลือกรอบแรกไม่เกิน 40 ทีม เพื่ออบรมออกแบบแอปพลิเคชั่นในระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 เป็นเวลา 2 วัน ก่อนที่จะแข่งขันกันในรอบต่อไป เพื่อชิงเงินรางวัลเงินสด และ
Nokia Lumia สมาร์ทโฟน บนระบบ Windows Phone 8 รวมมูลค่ากว่า 1 แสนบาท พร้อมรับบัญชีสำหรับนักพัฒนา (Developer Account) และสิทธิในการเข้ารับการอบรมการพัฒนาแอปพลิเคชั่นจากโนเกีย

ศึกษารายละเอียดพร้อมดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่โครงการจุฬาฯ รักษ์โลก www.ehwm.chula.ac.th
อีเมล์ chulalovestheearth@hotmail.com หรือโทรศัพท์ 02 218 3959

View :1742
Categories: Application Tags:

ดีแทคแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศของสำนักงาน กสทช.

January 31st, 2013 No comments

: ความคืบหน้าการปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

กรุงเทพฯ — 30 มกราคม 2556 – ดีแทคแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศของสำนักงาน ใน 3 เรื่องสำคัญ ดังนี้

1. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ.2555

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556 บริษัทฯ ได้มีหนังสือชี้แจงถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีเนื้อหาระบุว่า บริษัทฯ มีนโยบายที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามกฏหมาย และกฏระเบียบต่างๆ ของทางราชการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค โดยไม่มีการละเลยหรือเพิกเฉยแต่อย่างใด ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พยายามปฎิบัติตามประกาศ สำนักงาน กสทช.เรื่องอัตราขั้นสูงดังกล่าวอย่างที่สุด โดยนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 เป็นต้นมา บริษัทฯ ได้นำเสนอรายการส่งเสริมการขายใหม่ (package) หลายรายการ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการในประกาศฯ ของสำนักงาน กสทช. และเพื่อเป็นการนำเสนอทางเลือกให้กับผู้บริโภค อาทิ ซิม 2499 – วางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 ซิม 15-16 ใหม่ – วางจำหน่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 ซิม ปาท่องโก๋ – วางจำหน่ายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555
ในส่วนของรายการส่งเสริมการขายจำนวน 33 รายการ ตามที่สำนักงาน กสทช.ได้แจ้งมานั้น บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้ว และยินดีที่จะให้ความร่วมมือเพิ่มเติม ด้วยการการเปลี่ยนแปลงให้มีอัตราค่าบริการไม่เกินกว่าที่สำนักงาน กสทช.กำหนด จำนวน 11 รายการ อีกจำนวน 5 รายการ ซึ่งได้วางจำหน่าย และเปิดให้บริการมาเป็นเวลานานมากแล้ว บริษัทฯ จะยุติรายการต่างๆ ดังกล่าว ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 17 รายการ นั้น บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าทั้ง 17 รายการดังกล่าว หากทำการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการ หรือเงื่อนไขในการให้บริการ หรือยุติรายการต่างๆ ดังกล่าวในทันที ก็จะมีผลกระทบต่อการใช้บริการของลูกค้าของบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรายการต่างๆ ดังกล่าว เป็นการนำเสนอบริการในลักษณะ Bundle ทั้งในระบบเสียง การรับส่งข้อความ (sms) การรับส่งข้อมูล (data) และการใช้งานอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอัตราค่าบริการในระบบเสียงต่อนาทีไม่เกินกว่าที่สำนักงาน กสทช.กำหนดอยู่แล้ว ซึ่งในกรณีนี้ บริษัทฯ จึงขอให้ กสทช. พิจารณาผ่อนปรนให้บริษัทฯ สามารถให้บริการตามรูปแบบและอัตราค่าบริการเดิมตามข้อตกลงที่มีอยู่เดิมกับลูกค้า ไปจนกว่ารายการส่งเสริมการขายนั้นๆ จะสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้บริการที่ใช้บริการจากทั้ง 17 รายการดังกล่าว มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายการส่งเสริมการขาย ผู้ใช้บริการนั้นๆ ก็จะสามารถทำการเปลี่ยนรายการได้ด้วยตนเองผ่านทาง IVR *1003 ศูนย์รวมโปรโมชั่น หรือสามารถแจ้งความประสงค์ไปยังหมายเลข 1678 เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงรายการได้

2. เรื่องการปฎิบัติตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดสรรและบริหารเลขหมายโทรคมนาคม พ.ศ.2551 (“ประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดสรรและบริหารเลขหมายโทรคมนาคม”) หรือ การลงทะเบียนหมายเลข ในรูปแบบเติมเงิน (prepaid)

บริษัทฯ สนับสนุนและยินดีปฎิบัติตามแนวทางที่สำนักงาน กสทช.ได้กำหนด โดยบริษัทฯ ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ Prepaid ในส่วนข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 13 หลัก เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เมื่อลูกค้าซื้อซิมการ์ด Prepaid บริษัทฯ ได้ดำเนินการลงทะเบียนและจัดเก็บข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ Prepaid เพียงเลขบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 13 หลักทันที ผ่านช่องทาง Center และที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้จัดทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ค้าส่งและและกระจายสินค้า คู่ค้า และผู้ค้าปลีกผ่านผู้กระจายสินค้ารายใหญ่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ พบว่า มีอุปสรรคอย่างยิ่งในการดำเนินการ เนื่องจากผู้ใช้บริการบางส่วนเท่านั้นที่ยินยอมให้บริษัทจัดเก็บสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ใช้บริการ ส่งผลให้การดำเนินการของบริษัทในส่วนนี้ไม่สามารถดำเนินการได้สมบูรณ์ครบถ้วน

ในเรื่องนี้ บริษัทฯ ใคร่ขอให้สำนักงาน กสทช. ทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภค ได้ทราบอย่างทั่วถึง เกี่ยวกับประกาศของสำนักงาน กสทช. ในเรื่องนี้ เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของประกาศ และเพื่อผู้บริโภคจะได้นำบัตรประชาชนติดตัวมาด้วย สำหรับการจดทะเบียน ซื้อซิมการ์ด แบบ prepaid

3. เรื่องการปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 (“ประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม”) หรือ การไม่ให้มีวันหมดอายุสำหรับ หมายเลขโทรศัพท์ ประเภทบัตรเติมเงิน

บริษัทฯ ได้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักงาน กสทช.ว่าบริษัทฯ มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะปฎิบัติตามกฎหมายและทั้งยินดีให้ความร่วมมือทุกประการที่พึงกระทำได้ บริษัทฯ จะให้ความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช.โดยการจัดให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลักษณะที่เรียกเก็บค่าบริการเป็นการล่วงหน้า (prepaid) หรือแบบเติมเงินตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2556 เป็นต้นไปจะได้รับระยะเวลาใช้งานจำนวน 30 วันต่อการเติมเงินทุกมูลค่า

ล่าสุด วันที่ 30 มกราคม 2556 บริษัทฯ ได้มีหนังสือที่นำเสนอเงื่อนไขการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ประเภทพรีเพด โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า บริษัทฯ จะจัดให้ผู้ใช้บริการได้รับระยะเวลาใช้งานจำนวนไม่น้อยกว่า 30 วัน ต่อการเติมเงินทุกมูลค่า จนกว่า กทค.จะได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในข้อเสนอและเงื่อนไขของบริษัทฯ และในการเติมเงินเข้าสู่ระบบทุกครั้ง บริษัทฯ จะนับระยะเวลาการใช้งานที่ผู้ใช้บริการได้รับ รวมกับระยะเวลาที่เหลืออยู่ รวมระยะเวลาสูงสุดได้ 365 วัน สำหรับเงื่อนไขอื่นๆ ในการรักษาหมายเลขโทรศัพท์ นั้น บริษัทฯ จะได้ปรึกษาหารือกับสำนักงาน กสทช. ต่อไป

ทั้งนี้ การปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว อาจะทำให้บริษัทฯ และผู้ประกอบการอื่นๆ ต้องประสบปัญหาขาดแคลนเลขหมายที่จะนำมาให้บริการ เนื่องจากในภาพรวมของภาคธุรกิจโทรคมนาคม มีหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ใช้บริการไม่ได้ใช้บริการใดๆ ประมาณวันละ 100,000 เลขหมาย หรือ ประมาณปีละ 36.5 ล้านหมายเลข ดังนั้น ในหนังสือชี้แจง บริษัทฯ จึงได้ขอให้ กสทช. ได้พิจารณาจัดสรรเลขหมายเพิ่มเติมให้แก่บริษัทฯ และผู้ประกอบการรายอื่นๆ เป็นกรณีพิเศษด้วย

View :1489

เอไอเอส เปิด “AIS Movie Store” ให้ลูกค้าดูหนังผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ตอบรับไลฟ์สไตล์ยุค 3G

January 31st, 2013 No comments


(31 มกราคม 2556) เอไอเอสฟอร์มสด หลังประกาศวิสัยทัศน์ เร่งเครื่องเต็มสูบ ลุยสร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ ต้อนรับชีวิตยุค 3G ให้กับผู้ใช้บริการและประชาชน ด้วยการเดินหน้าจับมือผู้นำในแวดวงภาพยนตร์ มอบปรากฏการณ์บันเทิงเต็มรูปแบบ กับแอพพลิเคชั่น “” โลกแห่งภาพยนตร์ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ จัดเต็มทั้งหนังไทยและเทศจากค่ายดัง ให้คอหนังได้ดาวน์โหลดและชมภาพยนตร์เรื่องโปรดบนสมาร์ทโฟนและสมาร์ทแท็บเล็ต ได้ง่ายๆ ทุกที่ทุกเวลา พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ทั้งบน iOS และ Andriod

นายปรัธนา ลีลพนัง รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส กล่าวว่า “ ขณะนี้ เอไอเอสได้ดำเนินการวางเครือข่าย 3G 2100 MHz อย่างขะมักเขม้น เพื่อเตรียมพร้อมให้บริการ AIS 3G ใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้บริการ สิ่งหนึ่งที่มีแนวโน้มเติบโตควบคู่กันไป คือตลาดอุปกรณ์สื่อสารประเภทสมาร์ทโฟนและสมาร์ทแท็บเล็ต ที่คาดว่าจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีกกว่า 7 ล้านเครื่องภายในปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นช่องทางใหม่ในการส่งมอบคอนเทนต์ดีๆ สู่มือผู้ใช้บริการ ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่คุ้นเคยกับการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ รวมถึงนิยมเปิดรับข้อมูลข่าวสารความบันเทิงในรูปแบบของดิจิตอลคอนเทนต์ผ่านทางสมาร์ทดีไวซ์ ที่พกพาได้สะดวก สามารถรับชมได้ทุกที่ทุกเวลาแบบ Realtime ดังที่ผ่านมา เอไอเอสได้ปูพรม เปิดให้บริการจำหน่ายดิจิตอลคอนเทนต์ ทั้งข่าวสาร, เพลง, อีบุ๊คส์ บนออนไลน์สโตร์ ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้บริการ
ล่าสุด เพื่อเป็นการมอบปรากฏการณ์ความบันเทิงรูปแบบใหม่ เอไอเอสได้ร่วมมือกับผู้นำในแวดวงภาพยนตร์ ทั้งค่ายหนังชื่อดัง อาทิ สหมงคลฟิล์ม, GTH และผู้จำหน่ายและให้เช่า VCD, DVD, Blu-Ray อย่างแฮปปี้ โฮม เอนเตอร์เทนต์เม้นท์ สร้างมิติใหม่แห่งโลกภาพยนตร์ออนไลน์ เปิดให้บริการ “AIS Movie Store” แอพพลิเคชั่นเพื่อคนรักหนังอย่างเต็มรูปแบบ ที่พร้อมให้ลูกค้าเอไอเอสดาวน์โหลดเพื่อชมภาพยนตร์เรื่องโปรดทั้งไทยและเทศ ด้วยคุณภาพระดับ HD บนสมาร์ทโฟนและสมาร์ทแท็บเล็ตได้อย่างสะดวกสบาย ทุกที่ ทุกเวลา โดยมีแพ็กเกจค่าบริการให้เลือก ทั้งแบบรายครั้ง และแบบสมาชิก รวมทั้งจัดโปรโมชั่นพิเศษ! ให้ลูกค้าเอไอเอสได้ทดลองใช้บริการฟรี ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้

- แบบรายครั้ง ราคา 59 – 209 บาท ต่อเรื่อง สามารถเลือกดู (สตรีมมิ่ง) หรือดาวน์โหลดทั้งเรื่อง มาเก็บไว้ในเครื่องก็ได้
- แบบสมาชิก 119 บาท ต่อ 7 วัน หรือ 299 บาท ต่อ 30 วัน สามารถเลือกดู (สตรีมมิ่ง) ได้แบบ บุฟเฟ่ท์ ไม่จำกัดจำนวนเรื่อง
“AIS Movie Store” พร้อมให้บริการทั้งบน iOS และ Android โดยลูกค้าเอไอเอสสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ผ่าน 4 ช่องทาง คือ iPhone และ iPad ผ่านทาง App Store, Android ผ่านทาง Google Play Store (Android Market) หรือง่ายๆ เพียงกด *900 หรือพิมพ์ URL http://wap.mobilelife.co.th เลือก “AIS apps” หรือทางเว็บไซต์ http://www.ais.co.th/moviestore
ในเบื้องต้น มีภาพยนตร์ให้เลือกกว่า 150 เรื่อง และมากกว่า 1,000 เรื่อง ภายในไตรมาสแรกนี้ อาทิ ภาพยนตร์ไทยจากค่ายสหมงคลฟิล์ม เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวร, ต้มยำกุ้ง, องค์บาก, ภาพยนตร์ไทยจากค่าย GTH เช่น กวนมึนโฮ, ATM เออเร่อ เออรัก, รถไฟฟ้ามาหานะเธอ, ภาพยนตร์ต่างประเทศที่ทางแฮปปี้ โฮมฯ เป็นผู้จัดจำหน่าย เช่น Vampire Twilight, PS I Love You, Golden Compass และภาพยนตร์ต่างประเทศจาก MVD เช่น Million Dollar Baby, Underworld รวมถึงภาพยนตร์ไทยคลาสสิก ที่หาดูได้ยาก” นายปรัธนากล่าว

ด้านคุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮปปี้ โฮม เอนเตอร์เทนต์เม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า “แฮปปี้ โฮม เอนเตอร์เทนต์เม้นท์ เราเป็นผู้นำในธุรกิจจัดจำหน่ายและให้เช่า VCD, DVD, Blu-Ray ทั้งภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีโครงข่ายมือถือ และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้เรามองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ในการขับเคลื่อน Entertainment ในรูปแบบ Home video ไปสู่ Home Video Anytime, Anywhere เป็นการยกระดับความบันเทิงก้าวหน้าไปอีกขึ้น ผ่านแอพพลิเคชั่น “AIS Movie Store” บนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ใช้งานบนเครือข่าย AIS 3G และ Wifi ที่เต็มประสิทธิภาพทั่วประเทศ
สำหรับแฮปปี้ โฮม เอนเตอร์เทนต์เม้นท์ การร่วมมือกันสร้าง “AIS Movie Store” จึงถือเป็นยุทธศาสตร์ก้าวสำคัญในแผนการขยายการให้บริการของบริษัท อีกทั้งเป็นก้าวย่างครั้งประวัติศาสตร์สำหรับวงการธุรกิจผู้ผลิตภาพยนตร์ไทยและอินเตอร์ ที่สามารถนำเสนอภาพยนตร์และความบันเทิงในรูปแบบใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ให้กับผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบันและอนาคตเลยทีเดียว”

ส่วนคุณจินา โอสถศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด กล่าวในฐานะของผู้ผลิตภาพยนตร์ว่า “GTH ในฐานะผู้สร้างสรรค์ผลงาน เราตั้งใจแสวงหาวิธีการใหม่ๆ ในการนำผลงานไปสู่รูปแบบที่หลากหลายมาโดยตลอด ดังเช่น เมื่อเดือนตุลาคม 2555 ที่ผ่านมามา ที่เราได้ร่วมกับเอไอเอสและ ซัมซุงเริ่มบุกเบิกให้บริการแอพพลิเคชั่น “AIS Galaxy Movie Store” เป็นครั้งแรก ถือเป็นเทคนิคใหม่ในการนำเสนอผลงาน ซึ่งได้รับการตอบรับจากคอหนังเป็นอย่างดี มีผู้ให้ความสนใจใช้บริการกว่า 1 แสนราย อีกทั้งยังสร้างความตื่นตัวให้กับวงการภาพยนตร์เป็นอย่างมาก
ล่าสุดนี้ กับ “AIS Movie Store” จึงเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ในการนำเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายเข้ามาสร้างโอกาสและวิธีการใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทย ซึ่งพวกเราเหล่าผู้ผลิตภาพยนตร์รู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ที่ประเทศไทยจะมีโครงข่าย 3G ใช้ในการพัฒนาวงการต่างๆ ต่อไป และเพื่อเป็นการตอบแทนคอหนังชาวเอไอเอส เทศกาลวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ ทาง GTH ได้เตรียมโปรโมชั่นหนังรักสุดพิเศษไว้สร้างความบันเทิงให้กับทุกคนแล้ว”

ด้านคุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ซึ่งคว่ำหวอดอยู่ในธุรกิจด้านการตลาดและการขายภาพยนตร์มีมุมมองต่อการให้บริการครั้งนี้ว่า “วันนี้ สหมงคล ฯ มีภาพยนตร์ในตลาดมากกว่า 2,000 เรื่อง และมีภาพยนตร์เรื่องใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 15 เรื่องต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีภาพยนตร์อีกมากมายที่ไม่ได้วางขายหรือให้เช่า อาทิ ภาพยนตร์ไทยสุดคลาสสิก ที่ทรงคุณค่าและหาดูได้ยากของเมืองไทย เช่น แผลเก่า, รอยไถ, แสนแสบ ฯลฯ เราจึงมองเห็นว่า AIS Movie Store จะเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ เปิดช่องทางใหม่ในการกระจายคอนเทนต์ภาพยนตร์ไปสู่มือผู้ชมได้อย่าง Direct ง่ายดาย และสะดวกมากขึ้น เพราะ AIS Movie Store เป็นออนไลน์สโตร์ที่สามารถจัดวาง Shelf หนังได้อย่างไม่จำกัด (Unlimited) ปราศจากข้อจำกัดด้านเวลา แลสถานที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่จัดวางหน้าร้าน ทั้งยังเป็นการลดต้นทุนการกระจายสินค้าไปยังร้านค้าต่างๆด้วย”

View :1526
Categories: Application Tags: