รมว.ไอซีที – ผช.รมว.ศึกษาธิการเยี่ยมชมโครงการนำร่องใช้ Braincloud Solution บนแท็บเล็ต

November 23rd, 2012 No comments

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที และ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมโครงการนำร่องทดลองใช้ แพล็ตฟอร์มอัจฉริยะและอินเตอร์เน็ตไร้สายความความเร็วสูง เพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนการสอนผ่านแท็บเล็ต ป.1

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 : บริษัท โอเพ่นเฟซ (ประเทศไทย) จำกัด แถลงข่าวเปิดตัวโครงการนำร่องทดลองใช้ Braincloud Solution ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มระบบจัดการการเรียนรู้ เสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนผ่านแท็บเล็ตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี Virtual Fiber ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง สนองนโยบายแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย หรือ One Tablet Per Child (OTPC) โดยมี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และ นางฉวีวรรณ คลังแสง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมโครงการ

นายธันธเนศ สมบูรณ์ทรัพย์ ประธานบริหารโครงการ กล่าวว่า “โครงการทดลองระบบ Braincloud Solution เป็นการนำสองเทคโนโลยีสำคัญมาใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานของเครื่องแท็บเล็ต พีซี และระบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โครงการทดลองระบบ Braincloud Solution ประกอบด้วย 1. การทดสอบอุปกรณ์ Braincloud Virtual Fiber ซึ่งทำหน้าเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจากเสาสัญญาณของ TOT มาสู่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ และ 2. การใช้งานระบบการจัดการการเรียนรู้ หรือ Learning Management System (LMS) ภายใต้ชื่อระบบ Braincloud Platform

ระบบการจัดการการเรียนรู้ Braincloud Platform ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญกล่าวคือส่วนแรกซึ่งเป็นระบบการจัดการการเรียนรู้ผ่าน Cloud Computing ที่เรียกว่า Braincloud LMS ซึ่งได้มีการพัฒนาให้กระทรวงศึกษาสามารถจัดการและคัดกรองเนื้อหา รวมถึงออกแบบแผนการเรียนการสอนและบทเรียนสำหรับนักเรียนได้โดยตรง โดยการจัดการแผนการเรียนการสอนเนื้อหาและบทเรียนนั้น ได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับกระทรวง ระดับโรงเรียนและระดับครูผู้สอน

ในการจัดการระดับกระทรวงนั้น Braincloud LMS สามารถช่วยให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุ แก้ไข หรือลบเนื้อหาและบทเรียนได้โดยตรง โดยไม่ต้องให้โรงเรียนในโครงการจัดส่งคืนเครื่องแท็บเล็ตพีซีกลับมายังกระทรวงทุกครั้งที่จะดำเนินการบรรจุเนื้อหาและบทเรียนใหม่ เป็นการประหยัดเวลาและงบประมาณที่อาจ

เสียไปกับการขนส่ง นอกจากนี้ Braincloud LMS ยังมีระบบการประเมินและรายงานผลการใช้งานขั้นสูง เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการใช้งานแท็บเล็ตพีซีและติดตามความคืบหน้าในการเรียนของนักเรียน

ขณะเดียวกัน ในระดับโรงเรียน Braincloud LMS ออกแบบให้โรงเรียนสามารถออกแบบบทเรียนหรือเนื้อหาการเรียนการสอนเพิ่มเติมจากที่กระทรวงศึกษากำหนด รวมถึง ประชาสัมพันธ์ข่าวสารและกิจกรรมของโรงเรียนผ่านทางแท็บเล็ตพีซีแต่ละเครื่อง

ส่วนการจัดการในระดับครูผู้สอน Braincloud LMS มีระบบการจัดการห้องเรียนอัจฉริยะ เช่น การควบคุมแท็บเล็ตด้วยจอ Controller Surface หรือด้วยคอมพิวเตอร์ในระหว่างการเรียนการสอน เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถควบคุมการใช้งานแท็บเล็ตพีซีของนักเรียนในชั้นเรียน สามารถทำการส่งไฟล์หรือเนื้อหาเข้าสู่เครื่องแท็บเล็ต พีซี ของนักเรียนแต่ละคนได้โดยตรง รวมทั้งล็อกหน้าจอนักเรียนในระหว่างการเรียนการสอนได้ ทำให้นักเรียนไม่สามารถเข้าใช้งานเว็บไซด์ที่ไม่เหมาะสม หรือเล่นเกมส์ในระหว่างการเรียนได้

ในส่วนที่ 2 ของ Braincloud Platform นั้น คือการนำระบบ Braincloud Connect ซึ่ง ถูกพัฒนาขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการนำคุณภาพการศึกษาและทรัพยากรครูของโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนรัฐในกรุงเทพมหานครไปสู่โรงเรียนในต่างจังหวัด โดยการแบ่งปันทรัพยากรครู โดยเฉพาะครูที่เป็นเจ้าของภาษา จะทำให้นักเรียนในต่างจังหวัดได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เพิ่มขึ้นโดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่น้อยลง

Braincloud Connect เป็นระบบห้องเรียนทางไกลอัจฉริยะ 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบห้องเรียนสู่ห้องเรียน รูปแบบห้องเรียนสู่นักเรียน และ รูปแบบครูสู่นักเรียน นอกจากจะมีประโยชน์ในเรื่องการแบ่งปันทรัพยากรครูผู้สอนแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนที่อยู่ต่างภูมิภาคหรือต่างโรงเรียนกันได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มุมมองความคิด และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย

อย่างไรก็ดี เนื่องจาก Braincloud Platform เป็นระบบ Cloud Computing ที่ต้องมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสำหรับการใช้งาน โดยเฉพาะการรับ-ส่งข้อมูลในรูปแบบวีดีโอผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลขั้นต่ำอยู่ที่ 5 Mbps แต่ในปัจจุบัน เครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วที่เหมาะสมสำหรับรองรับการใช้งานนั้น อาจยังไม่ได้มีการจัดสรรเข้าสู่ทุกโรงเรียนในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในเขตชนบท

ดังนั้น เพื่อรองรับการใช้งานระบบปฏิบัติการ Braincloud Solution ในระหว่างระยะเวลาการดำเนินโครงการ บริษัทจะพัฒนาระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของโรงเรียนในเขตชนบทจำนวน 3 แห่งที่เข้าร่วมโครงการทดลอง โดยติดตั้งอุปกรณ์ Braincloud Virtual Fiber ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับการพัฒนาเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยจะทำการเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้แก่โรงเรียนเป็นความเร็ว 30 Mbps ทั้งนี้อุปกรณ์ทำการรับส่งข้อมูลในความเร็วได้สูงสุดถึง 100 Mbps ทำให้โรงเรียนในเขตชนบทที่อยู่ภายในรัศมี 100 กิโลเมตรสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วเหมาะสมในการใช้งานระบบ Braincloud Solution ได้

ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที กล่าวว่า “One Tablet PC per Child จะทำให้เด็กไทยทุกคนได้รับโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีไอซีที ลดความเหลื่อมล้ำในการยกระดับการศึกษา และช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการสู่ก้าวสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้วิธีเรียนรู้ของเด็กเปลี่ยนไป สามารถต่อยอดการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองเครื่องมือเหล่านี้

การเริ่มนำร่องใช้แพล็ตฟอร์ม Braincloud Solution มาช่วยจัดการการเรียนการสอน ทำให้การใช้งานแท็บเล็ตมีความยืดหยุ่นและใช้งานเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะการเรียนการสอนทางไกลที่ช่วยกระจายองค์ความรู้ไปสู่พื้นที่ชายขอบ ขณะเดียวกันกระทรวงไอซีทีกำลังเร่งดำเนินการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่โรงเรียนทั้งหมด 31,334 แห่ง เพื่อรองรับการเรียนการสอนด้วยแท็บเล็ตแบบออนไลน์ในปีการศึกษาหน้า”

นางฉวีวรรณ คลังแสง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า “โครงการนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ ไอซีที และบริษัท โอเพ่นเฟซ เป็นเสมือนการติดอาวุธเพิ่มศักยภาพการใช้งานแท็บเล็ต และช่วยให้กระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการหลักสูตรการเรียนการสอนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการบรรจุเนื้อหาๆใหม่ผ่านระบบ Cloud

นอกจากนี้ ยังยืดหยุ่นในการออกแบบเนื้อหาการเรียนเพิ่มเติมจากที่กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดไว้ ช่วยให้แต่ละโรงเรียนดีไซน์หลักสูตรให้มีความเฉพาะเหมาะสมกับพื้นที่และ วัฒนธรรมท้องถิ่นของตัวเองได้อีกด้วย”

เบื้องต้นจะมีโรงเรียนเข้าร่วมนำร่อง 6 โรงเรียน โดยโรงเรียนวัดเสถียรรัตนารามเป็นโรงเรียนแรกที่เข้ารับการทดลองการใช้งาน โดยโรงเรียน ทดลองใช้งานระบบตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 ถึง เดือนมีนาคม 2556 และจะประเมินสรุปผลโครงการในเดือนเดือนเมษายน 2556

View :2022

“บีอีซี เทโร มิวสิค” ผนึกโซนี่ ไทย สร้างปรากฏการณ์การฟังเพลงพิเศษ ส่ง“vMUSIC” by SONY บนMicrosoft Windows 8

November 22nd, 2012 No comments

ผนึก เปิดตัว by SONY เพื่อสร้างประสบการณ์การฟังเพลงแบบพิเศษกับแอพพลิเคชั่นฟังเพลงที่รองรับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการวินโดวน์ 8 และพิเศษเฉพาะลูกค้าที่ซื้อโน้ตบุ๊ค ไวโอ้จากโซนี่สามารถสตรีมมิ่งเพลงจาก บีอีซี เทโร มิวสิค, โซนี่ มิวสิค , Bakery Music , Blacksheep และ LoveIs แบบอันลิมิเต็ดได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์ One Sony ในการนำเสนอและเชิญสัมผัสนวัตกรรมใหม่ที่ทันสมัยจากผลิตภัณฑ์ของโซนี่

นายพอล มนัสถาวร ผู้อำนวยการกลุ่มงานดิจิตอล กลุ่มธุรกิจบีอีซี เทโร มิวสิค บริษัท บีอีซี เทโร เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เปิดเผยว่า ทางบีอีซี เทโร มิวสิค ได้ร่วมกับโซนี่ ไทย เปิดตัว “vMUSIC” by SONY แอพพลิเคชั่นฟังเพลงที่จะมาสร้างประสบการณ์การฟังเพลงบนระบบปฏิบัติการวินโดวน์ 8 ในรูปแบบดิจิตอลมิวสิคสตรีมมิ่งที่เพิ่มความสะดวกสบายและสามารถฟังเพลงได้ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมเพลงฮิตจากบีอีซี เทโร มิวสิค ,โซนี่ มิวสิค , Bakery Music, Blacksheep และ LoveIs ผ่านโน้ตบุ๊ค ไวโอ้ของโซนี่ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวน์ 8 ซึ่งในความร่วมมือครั้งนี้เป็นการสร้างนวัตกรรมการฟังเพลงที่ได้ผนวกจุดแข็งของโซนี่ ไทยที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าที่รักเทคโนโลยีและชื่นชอบเสียงดนตรีได้ใช้งานอย่างคุ้มค่าและมีความสุขมากที่สุด ทั้งนี้ทางบีอีซี เทโร มิวสิค มีความคาดหวังให้การเติบโตของเทคโนโลยีสามารถเดินควบคู่ไปกับตลาดเพลงได้อย่างสมบูรณ์แบบต่อไปในอนาคต

“ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผสมผสานมิวสิค ไลฟ์สไตล์เข้ากับคอนซูเมอร์โปรดักส์ประเภทไอทีได้อย่างลงตัว ซึ่งทำให้เกิดแนวคิดมุมมองและมีความคิดเห็นที่ตรงกันโดยมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อโน๊ตบุ๊ค ไวโอ้ ของโซนี่รุ่นใหม่บนระบบปฏิบัติการวินโดวน์ 8 สามารถใช้ V Music ได้แก่ VAIO™ Duo 11 , VAIO™ Tap 20 , VAIO™ T Series 13 และ VAIO™ E Series 14P ได้รับสิทธิพิเศษสามารถสตรีมมิ่งเพลงแบบอันลิมิเต็ดได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งระบบปฏิบัติการวินโดวน์ 8 จะทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานและสนุกได้ในทุกที่ที่ต้องการ พร้อมกับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและลื่นไหล โดยลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ค ไวโอ้ของโซนี่สามารถเข้าไปดาวน์โหลด “vMUSIC” by SONY ได้ที่วินโดวส์ สโตร์ (Windows Store)” นายพอล มนัสถาวร กล่าว

จุดเด่นของ “vMUSIC” by SONY คือ ผู้ใช้สามารถฟังเพลงได้ทุกที่ ทุกเวลา กับผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ค ไวโอ้ของโซนี่โดยไม่ต้องดาวน์โหลดมาเก็บไว้ จึงไม่สิ้นเปลืองหน่วยความจำในเครื่องซึ่งเป็นเทรนด์การฟังเพลงรูปแบบใหม่ที่สร้างสีสันให้กับผู้บริโภค ผู้สนใจสามารถสัมผัสและทดลองใช้ “vMUSIC” by SONY ได้ที่โชว์รูมโซนี่ สโตร์ ร้านโซนี่ เซ็นเตอร์ และไวโอ้ โปรช็อปทุกสาขาทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร. 0-2715-6100 หรือ www.sony.co.th

View :1333

LINE POP เกมส์แรกจาก LINE เผยยอดดาวน์โหลดทะลุ 3 ล้าน หลังจากเปิดตัวได้เพียง 1 วัน

November 22nd, 2012 No comments


-เกมส์แรกจาก LINE กระแสดี ฮิตทั่วโลก หลังจากการเปิดตัวแค่เพียงวันเดียว

-3 เกมส์แรกจาก LINE คว้าตำแหน่งแอพฯฟรีที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดอันดับ 1 มากถึง 6 ประเทศทั่วโลก

-หลังจากเอ็นเอชเอ็น เจแปน (NHN Japan) เปิดตัว 4 เกมส์แรกสำหรับผู้ใช้ LINE (ไลน์) แอพพลิเคชั่นให้บริการส่งข้อความและให้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์คยอดนิยมไปเมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา ขึ้นชาร์ตเกมส์ฮิตติดอันดับเกมส์ที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดระดับโลกหลังจากการเปิดตัวได้เพียงหนึ่งวัน

- เกมปริศนาที่มาพร้อมกับคาแรคเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่ใน LINE มียอดดาวน์โหลดทะลุ 3 ล้านหลังจากการเปิดตัวได้แค่เพียง 1 วัน ส่วนเกมส์ LINE PATAPOKO ANIMAL มียอดดาวน์โหลดถึง 2 ล้านและ LINE Cartoon Wars ก็มียอดดาวน์โหลดสูงถึง 1.7ล้านเช่นกัน

-หลังจากการเปิดตัวพบว่าเกมส์ทั้ง 3 จาก LINE นั้นขึ้นชาร์ตเป็น 3 อันดับแรกในหมวดหมู่แอพพลิเคชั่นส์สำหรับดาวน์โหลดฟรี ใน 6 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย ฮ่องกง มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยที่ LINE POP เป็นเกมส์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ขณะที่ LINE PATAPOKO ANIMAL ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 และ LINE Cartoon เป็นอันดับ 3

- นอกจากนี้ เกมส์เบสบอล อย่าง LINE Homerun Battle Burst ยังติดอับดับ 4 ในแอพพลิเคชั่นที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ของ App Stores ประเทศไต้หวันและประเทศไทยและกำลังไต่ระดับกับเกมส์คู่แข่งอื่นๆในชาร์ตโลกอีกด้วย

- และเกมที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมาอย่าง ‘LINE Birzzle’ ก็มียอดดาว์นโหลดถึง 2 ล้านคนทั่วโลกภายในหนึ่งวันและ 10 ล้านดาว์นโหลดภายใน 97 วัน เอ็นเอชเอ็น เจแปน (NHN Japan) มีแผนที่จะออกเกมส์มาให้ผู้ใช้ LINE ทุกท่านได้ดาว์นโหลดอีกกว่า 10 เกมส์ภายในสิ้นปีนี้เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมส์ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทุกท่าน

View :1371

หน่วยงานภาครัฐ จับมือภาคเอกชน ประกาศจัดงาน ASEAN CSA Summit 2013 ยกระดับมาตราฐานการใช้คลาวด์ คอมพิวติ้ง ในไทยและอาเซียน

November 22nd, 2012 No comments

กรุงเทพฯ, -21 พฤศจิกายน 2555- ไทยมุ่งเป้าใหญ่รองรับคลาวด์โตทั้งระบบ เตรียมแผนแจ้งเกิดศูนย์ความปลอดภัยบนคลาวด์ระดับอาเซียน หวังไทยเป็นฐานอบรมระดับนานาชาติพร้อมสร้างมาตรฐานรับระยะยาว ดันสรอ.เป็นแม่ทัพจับมือกับภาคเอกชนทุกส่วนประเดิมงาน ต้นปีหน้า

นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า กระทรวงไอซีทีร่วมกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสพธอ. และหน่วยงานร่วมทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดตั้ง Cloud Security Alliance Thailand Chapter หรือ ซีเอสเอประเทศไทย ขึ้น ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือด้านความั่นคงปลอดภัยในระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง โดยกำหนดพันธกิจให้เป็นหน่วยงานหลักในการตั้ง ซีเอสเอ อาเซียน ฮับ (CSA ASEAN Hub) ในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถก่อตั้งศูนย์วิจัยและฝึกอบรม ( R&D Center) ได้ เพื่อดึงองค์ความรู้ระดับสากลในด้านระบบรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์มาใช้ประโยขน์ในมูลค่าที่ต่ำที่สุด มีสถานฝึกอบรมและมีผู้สอนระดับโลก และบุคลากรของไทยสามารถสอบเพื่อรับใบประกาศนียบัตรภายในประเทศไทยได้เลย

นอกจากนั้นซีเอสเอ อาเซียน ฮับ (CSA ASEAN Hub) ยังเป็นการยกระดับประเทศไทยในด้านไอซีที เพราะเมื่อเกิดองค์กรนี้ขึ้นมาแล้ว บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานนี้นอกจากการฝึกอบรมสร้างบุคลากรแล้ว ยังต้องดูแลเรื่องการจัดทำร่างกฎระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยบนคลาวด์ (Regulation Draft) ขึ้นมา ดังนั้นไทยจะเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดเรื่องราวต่างๆ ในระดับโลกได้ ถือเป็นประโยชน์ต่อไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตามคงต้องรอการหารืออย่างเป็นทางการร่วมกับซีเอสเอในระดับโลก (Global CSA) ในการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการลงนามความร่วมมือระหว่างกันต่อไป

กระทรวงไอซีทีได้กำหนดทิศทางทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยในคลาวด์อย่างชัดเจนแล้ว และได้มอบหมายให้สรอ.เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนปัจจัยต่างๆ เพื่อให้องค์กร ซีเอสเอประเทศไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น และยังได้เร่งให้เกิดกิจกรรมต่างๆ โดยล่าสุดทางซีเอสเอประเทศไทยได้จัดงานวิชาการภายใต้ชื่อ ASEAN CSA Summit 2013 เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยบนคลาวด์ให้กับประเทศไทยและกลุ่มอาเซียนขึ้นมา และยังสนับสนุนผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Operator) ในประเทศไทย และอาเซียน รวมทั้งเครือข่ายผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Operator) ที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนยืนยันความเป็นศูนย์กลาง อาเซียนของประเทศไทย ในวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2556

“นี่คือจุดแรกของการสร้าง ซีเอสเอ อาเซียน ฮับ (CSA ASEAN HUB) ขึ้นในประเทศไทย ถึงวันนี้ ทั้งหน่วยงานภาครัฐที่มีระบบคลาวด์ และภาคเอกชนที่มีทั้งภาคผู้ให้บริการ (Operator) และผู้ใช้งาน ต่างก็ผลักดันให้งานนี้เกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใหญ่ของประเทศในระยะยาว” นายไชยยันต์ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าในด้านคลาวด์ภาครัฐ หลังจากต้นปีที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีได้มอบหมายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ. จัดตั้งระบบบริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud Service) ขึ้นมา ตั้งแต่การทำระบบทดลองภายใน 4 เดือนแรก และเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา ต้องถือว่าได้รับการตอบรับจากหน่วยงานราชการเป็นอย่างดี มีหน่วยงานที่เข้าสมัครและติดตั้งบริการของตนเองบนคลาวด์ของสรอ.จำนวนมาก ซึ่งในครั้งแรกตัวโครงการนี้สามารถรับได้ประมาณ 30 ราย แต่ในความเป็นจริงหน่วยงานที่เข้าร่วมมีมากกว่า 40 ราย และยังมีหน่วยงานอื่นๆ ต้องการเข้าร่วมในโครงการนี้อีกจำนวนมากในปีหน้า

แม้ในขณะนี้คลาวด์ทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยจะเติบโตไปอย่างมาก แต่อาจจะยังขาดมาตรฐานหรือผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยของคลาวด์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ต่างก็ยังขาดความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของบริการและประเด็นข้อมูลลับหรือข้อมูลสำคัญของหน่วยงาน รวมถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยง และความต่อเนื่องในการให้บริการ

ขณะเดียวกันในองค์กรระดับโลกที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงก็คือ เครือข่ายความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยในระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Security Alliance) หรือ CSA ซึ่งเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในการเข้ามาช่วยเหลือด้านการรักษาความปลอดภัยในบริการคลาวด์มากขึ้น เพราะหากให้จุดใดจุดหนึ่งได้รับผลกระทบก็อาจเกิดปัญหาเป็นลูกโซ่ตามมาได้ ดังนั้นทางกระทรวงไอซีทีจึงมอบหมายให้ทางสรอ.เป็นหน่วยงานรัฐที่คอยประสานงานกับซีเอสเอในเรื่องความปลอดภัยบนคลาวด์ทุกรูปแบบโดยตรง

ความคืบหน้าล่าสุดนั้นทางซีเอสเอประเทศไทย ได้นำเสนอองค์ความรู้ของเรื่อง คลาวด์ ซีเคียวริตี้ (Cloud Security) ซึ่งมีอยู่ในประกาศนียบัตร หรือ CCSK Certificate (Certificate of Cloud Security Knowledge Certification Course) ของซีเอสเอ โดยอาจจะขอความร่วมมือเรียนเชิญวิทยากรจากซีเอสเอมาให้ความรู้กับหน่วยงานพันธมิตรทั้งหมด เพื่อเป็นการให้ความรู้ ความสามารถในการทำประโยชน์ต่อสังคมประเทศไทย ที่ยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ และต้องการจำนวนมาก เช่น การตรวจสอบผู้ให้บริการคลาวด์ (audit cloud provider) ทั้งของภาครัฐ หรือ เอกชน การสร้างการรับรู้ในเรื่องความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud security awareness) การฝึกอบรมผู้ฝึกอบรม (Train the trainer) การเป็นผู้ร่วมติดตั้งระบบคลาวด์ (Cloud co-implementer) เป็นต้น

ดร. ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือสรอ. และ ประธานกลุ่ม CSA Thailand Chapter เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางสรอ.ได้รับเลือกจากผู้ร่วมก่อตั้งซีเอสเอประเทศไทย (CSA Thailand Chapter) ให้เป็นประธานกลุ่ม ได้มีการหารือเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยบนระบบคลาวด์ของประเทศไทยจำนวนมาก และสิ่งที่ทุกหน่วยงานเห็นตรงกันก็คือประเทศไทยควรเป็น ซีเอสเอ อาเซียน ฮับ (CSA ASEAN Hub) โดยต้องมีกิจกรรมสนับสนุนเพื่อประกาศทิศทางของประเทศขึ้นมา
งานสัมมนาวิชาการภายใต้ชื่อ ASEAN CSA Summit 2013 จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ คลาวด์ ซีเคียวริตี้ (Cloud Security) ให้กับประเทศไทยและกลุ่มอาเซียน และสนับสนุนผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Operator) ในประเทศไทย และอาเซียนรวมทั้งการสร้างเครือข่ายผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Operator) ที่ได้มาตรฐานตลอดจนยืนยัน ความเป็นศูนย์กลางอาเซียนของประเทศไทย โดยงานประชุมสัมมนาเชิงวิชาการได้ถูกวางแผนดำเนินการเป็นเวลา 2 วันเต็ม มีเป้าหมายผู้เข้าร่วมงานประมาณ 500 คน ทั้งจากภายในและประเทศในกลุ่มอาเซียน

ในฐานะประธานกลุ่มซีเอสเอประเทศไทย และคณะทำงานซีเอสเอเห็นร่วมกันที่จะสร้างความร่วมมือและความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มเป้าหมายที่จะใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ทั้งในประเทศไทย และอาเซียน ในด้านคลาวด์ ซีเคียวริตี้ (Cloud Security) โดยจะให้สอดคล้องกับแผนเออีซี 2015 และแผนแม่บทด้านเทคโนโลยีสารสนเศ (ICT Master Plan) โดยทาง สรอ. จะเป็นผู้ให้การสนับสนุน ในด้านของงบประมาณและค่าใช้จ่ายการจัดประชุมกลุ่มคณะทำงานซีเอสเอประเทศไทย ซึ่งจัดเป็นประจำทุกเดือน เพื่อหารือสำหรับการเตรียมความพร้อมในการจัดงานสัมมนาวิชาการ ASEAN CSA Summit 2013 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2556
ส่วนในเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดงานในครั้งนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ทางซีเอสเอในระดับโลก (Global CSA) จะได้รับจากเราคือ การเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมซีเอสเอ และเป็นการเปิดโอกาสสำหรับตลาดในประเทศไทย ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้มีศูนย์อบรมตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เท่านั้น ดังนั้นไทยจึงควรยกระดับทำให้ประเทศเป็นซีเอสเอ อาเซียน ฮับ (CSA ASEAN Hub) ต่อไป

นายไชยเจริญ อติแพทย์ นายกสมาคมซีไอโอ 16 ในฐานะประธานจัดงาน ASEAN CSA Summit 2013 เปิดเผยว่า ขณะนี้แผนการพัฒนาระบบคลาวด์ทั้งภาครัฐและเอกชนถูกระบุในแผนพัฒนาไอทีของประเทศย่านอาเซียนอย่างเป็นทางการและมีแนวทางที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศแรกในย่านนี้ที่เปิดบริการคลาวด์ภาครัฐและมีหน่วยงานเข้าร่วมจำนวนมาก อีกทั้งมีความเคลื่อนไหวประสานเสริมของภาคเอกชนในการเข้ามาดูแลเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์อย่างจริงจัง และการเป็นซีเอสเอ อาเซียน ฮับ (CSA ASEAN Hub) จะทำให้ต้นทุนของภาคเอกชนไทยลดลงอย่างมาก

นายไชยกรณ์ อภิวัฒโนกุล กรรมการ สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ หรือ TISA เปิดเผยว่า ระบบความปลอดภัยบนคลาวด์ถือเป็นเรื่องใหญ่และเป็นแนวโน้มใหม่ที่ไทยต้องให้ความสนใจโดยเร่งด่วน เพราะขณะนี้แอพพลิเคชันรุ่นใหม่ต่างทำงานผ่านระบบนี้ทั้งหมด แม้ขณะนี้ทิศทางของการพัฒนาจะมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนแอพพลิเคชันเดิมเข้าสู่ระบบคลาวด์ แต่หลังจากนี้ไทยจะเข้าสู่ช่วงของการขาดแคลนบุคลากรทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมการแต่เนิ่นๆ การเข้าร่วมกับซีเอสเอถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ดี และเป็นการสร้างฐานการยอมรับให้กับระบบไอทีของประเทศในระยะยาว

View :1292

แฮปปี้ไม่ใช่เล่นอวอร์ด 8 ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์นิสิต-นักศึกษา ประกาศรับสมัครประกวดผลงานโฆษณา“ใช้อินเทอร์เน็ตมือถือให้เกิดประโยชน์”

November 22nd, 2012 No comments


22 พฤศจิกายน 2555 – แฮปปี้เปิดตัวแฮปปี้ไม่ใช่เล่นอวอร์ด 8 ภาค มันแปดดีนะ สานต่อโครงการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในกลุ่มนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ยังคงจับมือทีมสาระแนโดยวิลลี่ แมคอินทอช และเสนาหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค และบริษัท วายแอนด์อาร์ ประเทศไทย (Y&R) รับสมัครนิสิตนักศึกษาเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อประกวด ผลงานโฆษณาแนวรณรงค์ในหัวข้อ “ใช้อินเทอร์เน็ตมือถือให้เกิดประโยชน์” ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

นิสิต นักศึกษาที่สนใจ สามารถจัดทีมส่งผลงานโฆษณาเข้าประกวดได้ 2 รูปแบบ คือ ภาพยนตร์โฆษณาความยาวไม่เกิน 60 วินาที หรือ โปสเตอร์ A3 แนวตั้งหรือแนวนอน ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือทั้งสองประเภท เพื่อชิงรางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวม 200,000 บาท โดยทีมที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจะได้เข้า workshop ผลิตผลงานจริงกับตัวจริง โดยทีมสาระแน พี่วิลลี่ พี่หอย และทีมครีเอทีฟมืออาชีพจากเอเจนซี่ Y&R ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่จัดการประกวด มีนิสิต นักศึกษา ที่ผ่าน workshop ผลิตผลงานออกมาดีเทียบเท่ามืออาชีพจนได้รับการผลิตเป็นชิ้นงานวางจำหน่ายในตลาดจำนวนมาก

ในช่วงแนะนำโครงการ ขอเชิญชวนน้อง ๆ ในสถาบันการศึกษาพบกับโรดโชว์ของ ทีมงานแฮปปี้และทีมสาระแน ที่เข้าไปโปรโมตโครงการ ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย

ภาค มันแปดดีนะ เปิดรับสมัครและส่งผลงานแล้ววันนี้ ผ่านทาง www.dtac.co.th/maichailen ถึงวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556 ประกาศผลผู้เข้ารอบแรกทางเว็บไซต์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของดีแทคหรือสอบถามได้ที่คอลเซ็นเตอร์แฮปปี้ไม่ใช่เล่น 8 หมายเลข 088-186-5576

View :1218

กระทรวงอุตฯ สร้างเครือข่ายอี-โลจิสติกส์ ลดต้นทุนเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทย

November 21st, 2012 No comments

สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม สรุป โครงการ Backhauling ใช้ระบบไอทีสร้างเครือข่ายภาคเหนือ-อีสาน ลดจำนวนรถเที่ยวเปล่า ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้ ตั้งเป้าปี 56 ขยายเครือข่ายภาคตะวันออก-ใต้ หนุนอุตสาหกรรมไทยรับเปิดเออีซี

นายเสน่ห์ นิยมไทย อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือ กพร. กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมการใช้และเชื่อมโยงระบบ Backhauling ของภาครัฐและเอกชนเพื่อลดสัดส่วนการวิ่งรถเที่ยวเปล่า เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยการลดจำนวนการวิ่งรถเที่ยวเปล่า โดยนำระบบไอทีมาใช้บริหารจัดการ ผ่านการสร้างเครือข่าย เพื่อรับมือการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี

ทั้งนี้ ผลสรุปการดำเนินโครงการในปีแรก มีผู้ประกอบการลงนามเอ็มโอยูเข้าร่วม 35 ราย จากภาคเหนือและภาคอีสาน นำระบบ Backhaul และระบบทีเอ็มเอส (Transport Management System) มาใช้งาน ซึ่งระบบได้ทำงานอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยพบว่าเพียงเดือนแรก มีผู้ประกอบการขนส่งกว่า 70 รายเข้าร่วม เบื้องต้นมีการลงประกาศรถเที่ยวเปล่า 18 คัน และมีสินค้ามาประกาศหารถขนส่ง 10 คัน และเกิดการจับคู่ได้สำเร็จ 8 คู่ คิดเป็นระยะทางลดจำนวนรถวิ่งเที่ยวเปล่า 5,292 กิโลเมตร และเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการขนส่ง 114,000 บาท

“ผลสรุปดังกล่าว เกิดจากการใช้ระบบเพียงเดือนเดียว และมีผู้ร่วมจำนวนจำกัดเท่านั้น แต่สามารถเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการได้ 114,000 บาท ถ้าดำเนินโครงการเป็นเวลา 1 ปีมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมากขึ้น จะเพิ่มรายได้เป็นหลักล้านบาทแน่นอน” นายเสน่ห์ กล่าว

ปัจจุบัน ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทยคิดเป็นประมาณ 15.2% ของ GDP โดยในต้นทุนดังกล่าว การขนส่งสินค้าทางถนน คิดเป็น 88.6% ของการขนส่งทั้งหมด ซึ่งการลดจำนวนรถเที่ยวเปล่า จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนลงได้ ทั้งเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ การจัดการสินค้าคงคลัง การขยายโกดัง สินค้าไปถึงที่หมายเร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการดำเนินการ

นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักโลจิสติกส์ กล่าวว่า ต้นทุนที่สูงจากการขนส่ง ทำให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขัน ดังนั้นการสร้างกลไกเพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ จึงเป็นเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการขนส่งของไทย ต้องมีมาตรฐานบริการ และการใช้เทคโนโลยีระดับสูง ต้องมีการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ

ในปีงบประมาณ 56 สำนักโลจิสติกส์ได้เตรียมเดินหน้าโครงการ backhauling ต่อเป็นปีที่ 2 โดยเตรียมงบประมาณเบื้องต้น 4 ล้านบาท สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งเชื่อมโยงข้อมูลรถขนส่งเที่ยวเปล่า ผ่านระบบ Backhauling เปิดเส้นทางภูมิภาคใหม่ เช่น ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ สร้างเครือข่ายโลจิสติกส์อย่างน้อย 2 กลุ่ม กลุ่มละไม่น้อยกว่า 15 ราย โดยในเครือข่าย ต้องมีการใช้ระบบบริหารจัดการขนส่ง และระบบบริหารจัดการรถขนส่งเที่ยวเปล่า ซึ่งเป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และจัดฝึกอบรมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ที่เข้าร่วม นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายใน 3 ปีนี้ จะต้องเพิ่มผู้ใช้ระบบให้ได้ 300 ราย

“หลักการของระบบเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ผู้ประกอบการขนส่งลงประกาศรถเที่ยวเปล่าทางเว็บไซต์ ผู้ค้าลงประกาศสินค้าที่ต้องการขนส่ง ระบบจะทำการจับคู่ที่เหมาะสมและคัดเลือกมาให้ จากนั้นสามารถติดต่อระหว่างกัน หากตัดสินใจใช้บริการ รถเที่ยวเปล่าก็ลดลง สินค้าก็จัดส่งได้” นางอนงค์ กล่าว

สำหรับการทำงานของระบบมีการทำงานผ่านระบบเว็บเบส โดยผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนและเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ www.thaibackhaul.org ทำให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แค่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตก็สามารถใช้งานได้แล้ว โดยรายละเอียดของระบบ backhaul ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลและแสดงผลให้ผู้ประกอบการ ซึ่งระบบได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อย พร้อมเปิดรับสมัครผู้ประกอบการใหม่เข้าร่วมใช้บริการ

ระบบ backhaul เป็นการใช้งานเว็บเซอร์วิส ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้จากทุกแห่ง แต่ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องมีการติดตั้งระบบบริหารจัดการขนส่ง หรือ ทีเอ็มเอส (Transport Management System) ช่วยในการจัดการระบบงาน และเก็บข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่การรับสินค้าจากลูกค้า รายละเอียดผู้ส่ง-ผู้รับ การคุมรถและพนักงานประจำรถช่วยสร้างการทำงานที่เป็นระบบ และความน่าเชื่อถือให้กับผู้ประกอบการ

โครงการในปี 55 ที่ผ่านมา ได้คัดเลือกผู้ประกอบการขนส่งใน 2 เส้นทางหลัก คือ เส้นทางภาคอีสานและภาคเหนือ เนื่องจากทั้ง 2 เส้นทางนี้มีการจัดตั้งสมาคมของผู้ประกอบการขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการและดูแลกันเองในระดับที่ดี มีเครือข่ายที่เชื่อมข้อมูลถึงกันในระดับหนึ่งแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำระบบไอทีเข้าไปเสริมประสิทธิภาพ

สำหรับในภาคอีสาน ประกอบด้วยผู้ประกอบการ 12 ราย คือ หจก.พนาวันขนส่ง, บริษัท อินโดจีนอินเตอร์กรุ๊ป จำกัด, หจก.หิรัญทรานสปอร์ต, บริษัท มีโชคขนส่ง จำกัด, บจก.โคราชส่องแสง เอ็นเตอร์ไพรส์, หจก. ลิ้มไทเฮงขนส่ง, บริษัทร้านพระราม ลอจิสติกส์, บริษัทสิงห์ทองทรัคทรานสปอร์ต, หจก. บุญรักษาขนส่ง, หจก.ยรรยงขนส่ง, บริษัท แชมป์เปี้ยนขนส่ง จำกัด และ บจก.สหมิตรเดินรถจันทบุรี

ส่วนผู้ประกอบการในภาคเหนือและกรุงเทพ มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 23 ราย คือ บจก.แอปป้า ฟอร์เวิดเดอร์, หจก.พี.เอ.เอส. โลจิสติกส์, หจก.ส.สังวาล ทรานสปอร์ต, บจก.เจเอสเอสอาร์ อ๊อกชั่น, หจก.พิพัฒน์ เจริญยนต์, บจก.ศรีทรัพย์ ขนส่ง, บจก.ก. เกียรติชัยพัฒนาขนส่ง, หจก.กู้เกียรติขนส่ง, บจก.นายไล้ ทรานสปอร์ต (1995), บจก.ออนเนอร์ โลจิสติกส์, บจก ตะวันออกโปลีเมอร์ อุตสาหกรรม, หจก อุดรรุ่งเจริญ, บริษัท เคอรี่ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด, หจก.โชคไพบูลย์, บริษัท 96 ชิปปิ้ง ขนส่ง จำกัด, บจก.ตลาดเครื่องจักรเก่า, หจก.สหกิจ นอร์เทิร์น, บจก.ทีปต์ศิริกรุ๊ป, บจก.88 ทรานสปอร์ต, บจก.รวมสี่ธนาชัยทรานสปอร์ต, หจก.เค.ที.พี่ เซอร์วิส, บจก.เพอร์เฟคเทรลเลอร์ และบจก.บี.ที.เซอร์วิส

View :1189
Categories: Press/Release Tags:

ม.หอการค้าไทยวางใจใช้คลาวด์โซลูชั่นของไอบีเอ็ม รองรับสังคมยุคดิจิตอล พัฒนาระบบการศึกษามิติใหม่ “ยูทีซีซี ไฮบริดเลิร์นนิ่ง ซิสเท็ม”

November 21st, 2012 No comments

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วางใจใช้โซลูชั่นไอบีเอ็มสมาร์ทบิสสิเน็สเดสก์ทอปคลาวด์ และเซิร์ฟเวอร์ไอบีเอ็มพัฒนาระบบการศึกษามิติใหม่ “ยูทีซีซี ไฮบริดเลิร์นนิ่ง ซิสเท็ม” เสริมความคล่องตัวให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงและใช้สื่อการเรียนการสอนได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยคอมพิวเตอร์ในทุกแพลตฟอร์ม สนองแนวคิด “Anytime, Anywhere & Any devices” เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนในระบบอีเลิร์นนิ่ง (e-Learning) อย่างเต็มรูปแบบ

รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า “มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาการศึกษาเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมใหม่ในโลกยุคดิจิตอล ดังนั้น ทางมหาวิทยาลัยฯ จึงต้องเร่งเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี โดยล่าสุดได้ลงทุนพัฒนาระบบการเรียนรู้ยุคใหม่ ยูทีซีซี ไฮบริดเลิร์นนิ่ง ซิสเท็ม เพื่อสร้างสังคมการเรียนรู้ในยุคดิจิตอลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นผู้นำในระบบการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิ่งเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้อาจารย์และนักศึกษาสามารถสื่อสาร รวมถึงเข้าถึงเนื้อหาและสื่อการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องได้ทุกที่ ทุกเวลา ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยลัยใช้ สื่อการสอนที่หลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่สามารถรองรับการใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์มและหลากหลายระบบปฏิบัติการ (OS) มหาลัยจึงเลือกใช้เทคโนโลยีและโซลูชั่นของไอบีเอ็มเนื่องจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของไอบีเอ็มที่มีมานาน มีความพร้อมด้านบุคลากรและบริการหลังการขาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการ การดูแลรักษา และควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากระบบในระยะยาว”

เพื่อตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดและสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเรียนการสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทางมหาวิทยาลัยฯ ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับไอบีเอ็มในการพัฒนาโซลูชั่นที่จะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นไอแพด (iPad) ไอโฟน (iPhone) ซึ่งใช้ระบบไอโอเอส (iOS) หรือเครื่องแท็บเล็ตซึ่งใช้ระบบแอนดรอยด์ (Android) หรือ วินโดวส์ (Windows) สามารถเข้าถึงระบบอีเลิร์นนิ่งได้ทุกที่ ทุกเวลา ช่วยให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น เพราะนักศึกษาสามารถนำเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทมาเชื่อมต่อและใช้งานในระบบของทางมหาวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงแพลตฟอร์ม ทั้งยังช่วยให้ทางมหาวิทยาลัยใช้ประโยชน์จากระบบอีเลิร์นนิ่งที่มีอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพอีกด้วย”

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริการ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริการทางการศึกษาให้ดีขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราเชื่อว่าด้วยศักยภาพของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในฐานะสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจชั้นนำของไทย บวกกับโซลูชันที่ครบครันของไอบีเอ็มและความเชี่ยวชาญของบุคคลากร จะเสริมให้การเรียนการสอนในระบบ ไฮบริดเลิร์นนิ่ง 2.0 ดังกล่าวเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาศักยภาพของทั้งอาจารย์และนักศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของไทยให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ต่อไป”

สำหรับเทคโนโลยีที่ไอบีเอ็มนำมาใช้ในการพัฒนาระบบครั้งนี้ ได้แก่ไอบีเอ็มสมาร์ทบิสสิเนสเดสก์ทอปคลาวด์ (IBM Smart Business Desktop Cloud) เป็นโซลูชั่นในการสร้างสภาพการทำงานพีซีแบบเสมือน (Desktop Virtualization) ทำให้ผู้ใช้เดสก์ทอปหรืออุปกรณ์ใดก็ตามที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงและใช้งานเดสก์ทอปแอพพลิเคชั่นได้อย่างปลอดภัยในรูปแบบคลาวด์ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุน ประโยชน์ที่ได้รับ คือ กระบวนการประมวลผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ใช้เซิร์ฟเวอร์ในการประมวลผล โดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นแค่ช่องทางในการเชื่อมต่อเท่านั้น กรณีมีการอัพเดทซอฟแวร์ก็สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถลงอัพเดทที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์และกระจายสู่เครื่องลูกข่ายได้ในทันที ตัวอย่างเช่น อาจารย์ต้องใช้โปรแกรมเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่าในการเรียนการสอนก็สามารถอัพเดทได้ทันที ต่างจากในอดีตที่อาจารย์ต้องให้นักศึกษาทุกคนกลับไปลงโปรแกรมก่อน ซึ่งสร้างความยุ่งยากต่อเจ้าหน้าที่เทคนิคในการลงโปรแกรมให้นักศึกษาที่อาจมาลงพร้อมๆ กันเป็นจำนวนพันคน แต่ถ้าใช้เชิร์ฟเวอร์เป็นตัวกระจายอัพเดทนั้น จะทำให้รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ เซิร์ฟเวอร์ IBM X series ยังช่วยยืดอายุการใช้งานคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าได้อีกหลายปี เนื่องจากการประมวลผลหลักจะโยงเข้ามาที่ตัวเซิร์ฟเวอร์เป็นหลัก ทำให้แม้ใช้งานเครื่องเก่าแต่ยังได้ใช้เทคโนโลยีที่อัพเดทอยู่เสมอ

View :1363
Categories: Press/Release Tags:

เออาร์ไอพีปลื้ม คอมมาร์ต คอมเทค 2012 ปิดตลาดไอทีปลายปีอย่างสวยงาม

November 21st, 2012 No comments

รูดม่าน ปิดฉากงานไอทียิ่งใหญ่ส่งท้ายปี “คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012” ปลุกตลาดคอนซูเมอร์ไอทีปลายปีโยงต่อเนื่องปีหน้า กระแส Windows 8 แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน อาทิ ไอโฟน 5 โนเกียลูเมีย ทำงานคึกคัก สาวกเข้าคิวรอซื้อยาวเหยียด โปรโมชัน ลด แลก แจก แถม กระหน่ำทั้งงานส่งผลคอมมาร์ตครั้งนี้กวาดเม็ดเงินกว่า 2,600 ล้านบาท ชี้เทรนด์ไอทีปีหน้าต้องตอบโจทย์เวิร์คแอนด์เพลย์

นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที “คอมมาร์ต” กล่าวว่า การจัดงาน “คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012” ที่ผ่านมา ทิ้งทวนตลาดไอทีปลายปีได้อย่างสวยงามสามารถปลุกตลาดคอนซูเมอร์ไอทีให้กลับมาคึกคักอีกครั้งตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้ายของการจัดงาน โดยมีผู้สนใจเข้าคิวรอซื้อสินค้าไอทียาวเหยียดตั้งแต่เช้าตรู่ อาทิ Nokia Lumia, Hybrid Tablet, ไอโฟน 5 และตลอดงานทั้ง 4 วัน มีโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ช่วยส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในงานคึกคักทำให้ยอดขายในงานครั้งนี้เป็นไปตามเป้า ทั้งนี้เมื่อรวมยอดขายแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนจะใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊ค ชี้ให้เห็นถึงเทรนด์สินค้าไอทีที่ต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต

“ถือเป็นการปิดฉากงานไอทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ผู้บริโภครอซื้อสินค้าในงาน คอมมาร์ต คอมเทค ครั้งนี้จริงๆ ภาพรวมของสินค้าไอทีที่ได้รับความนิยมคือต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในแง่ของการใช้งาน ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และความคุ้มค่า ซึ่งในปีหน้าเทรนด์ไอทีต้องตอบโจทย์ตรงนี้ได้ สินค้า 1 ชิ้นจะต้องสามารถรองรับความต้องการได้หลายอย่างทั้งความบันเทิงและธุรกิจ ความต้องการสินค้าไอทีมีอยู่ตลอดเวลาและหลากหลายไปตามกระแส และมั่นใจว่าในปีหน้าตลาดไอทียังเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งจะเห็นได้จากยอดจำหน่ายสินค้าภายในงานคอมมาร์ตครั้งนี้” นายปฐม กล่าว

นายปฐม กล่าวเพิ่มเติมว่ายอดขาย คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012 ครั้งนี้ถือว่าเกาะกระแสสินค้าใหม่ๆ อาทิ ไอโฟน5 , Nokia Lumia 820 และ 920, ระบบปฎิบัติการณ์ Windows 8 ทีมาพร้อมกับอุปกรณ์ใช้งานแบบหน้าจอทัชสกรีนที่มาเปิดตัวในงานกว่า 30 รุ่น แท็บเล็ตไฮบริดที่ได้รับความสนใจอย่างมาก และเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์ในปีหน้าอย่างแน่นอน เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการการใช้งานที่มีมากกว่าความบันเทิง ส่วนสินค้าไอทีโปรโมชันเด็ดต่างๆ ทำให้บรรยากาศการซื้อขายในงานคึกคักตลอดทั้ง 4 วัน สินค้าไอทีบางรุ่นขายหมดตั้งแต่วันที่สามของการจัดงาน เช่น แท็บเล็ตไฮบริด ของ Sony Duo 11 สมาร์ทโฟน อย่าง Nokia Lumia 920 ส่วนแท็บเล็ตราคาประหยัดที่เริ่มต้นไม่ถึง 2 พันบาท ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า บางยี่ห้อขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 500 เครื่อง เหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการดันยอดขาย และเป็นสีสันให้กับงาน

สินค้าขายดีในงาน คอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2011 มีรายละเอียดดังนี้

สำหรับกิจกรรมเวิร์คชอป และสัมมนาเสริมความรู้ภายในงาน คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012 ครั้งนี้มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากและยังคงเกาะกระแสการใช้งานสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy Note 10.1 ได้ดี มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังจำนวนมาก ส่วนกิจกรรมประมูลสินค้าใหม่อย่าง มินิไอแพดในราคาเริ่มต้นที่ 1 บาท สร้างสีสันในงานเป็นอย่างมากมีผู้เข้าร่วมประมูลอย่างคับคั่ง

สำหรับทิศทางการจัดงานคอมมาร์ตในปีหน้า เออาร์ไอพี ยังคงเน้นเทรนด์สินค้าใหม่ๆ ความคุ้มค่าการซื้อสินค้า และราคาที่เหมาะสมกับผู้บริโภค โดยจะเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรจัดงานคอมมาร์ตต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2013 โดยงานแรกต้นปีคือ งานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2013 ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 21- 24 มีนาคม 2556 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สนใจข้อมูลสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.commartthailand.com

View :1233
Categories: Press/Release Tags:

โนเกียเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศน์ Windows Phone ในประเทศไทย ขึ้นแท่นผู้นำตลาด Windows Phone

November 21st, 2012 No comments

กรุงเทพฯ 19 พฤศจิกายน 2555: โนเกียพร้อมด้วยไมโครซอฟท์ ผู้ให้บริการเครือข่าย พันธมิตร และนักพัฒนา ประกาศเปิดตัวระบบนิเวศน์ Windows Phone ในประเทศไทย มอบประสบการณ์แอพพลิเคชั่นที่ดีที่สุด และสร้างสรรค์ที่สุดสำหรับคนไทย พร้อมนำนักพัฒนาไทยไปสู่ตลาดโลก

ระบบนิเวศน์ Windows Phone เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกวันโดยบริษัท ชุมชน และผู้คนที่ร่วมกันสร้างสรรค์ข้อเสนอและทรัพยากรต่างๆ เพื่อช่วยให้นักพัฒนาได้สร้างหรือพอร์ตแอพพลิเคชั่นดีๆ สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows Phone ปัจจุบัน Windows Phone Store มีแอพพลิเคชั่นมากกว่า 120,000 แอพให้เลือกสรร และมีนักพัฒนามากกว่า 150,000 คนเข้าร่วม

“การเปิดตัวระบบนิเวศน์ Windows Phone ในประเทศไทยในวันนี้ ทำให้โนเกียขึ้นแท่นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนบนระบบปฏิบัติการWindows Phone อย่างสมบูรณ์” มร.ศรีกานธ์ ราชู หัวหน้าฝ่ายสนับสนุนนักพัฒนา โนเกีย เอเชียแปซิฟิก กล่าวพร้อมเสริมว่า “ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของโนเกีย ไมโครซอฟท์ ผู้ให้บริการเครือข่าย พันธมิตร และนักพัฒนา ระบบนิเวศน์ Windows Phone จะนำประสบการณ์แอพสุดสร้างสรรค์และโดดเด่นมาให้คนไทยได้สัมผัส ทั้งยังนำนักพัฒนาชาวไทยไปสู่ตลาดในประเทศและตลาดโลก นั่นคือ เหตุผลที่ว่าทำไมพันธมิตรและนักพัฒนาจำนวนมากได้หันมาสร้างแอพที่นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ และมีเอกลักษณ์สำหรับผู้ใช้ Nokia Lumia ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก”

โอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม

Nokia Lumia อัดแน่นด้วยความก้าวหน้าของหลากหลายเทคโนโลยี ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์แอพรุ่นใหม่ๆบนเทคโนโลยีเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพ PureView, เทคโนโลยี NFC, Wallet และการผนวกแอพเข้ากับ Nokia Maps โดยมีศักยภาพของโนเกียทั่วโลกช่วยผลักดันสู่ความสำเร็จทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก

ตัวอย่างการสร้างสรรค์แอพโดยอาศัยเทคโนโลยีสุดล้ำของโนเกีย เช่น ผู้ใช้แอพ Vimeo จะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่าด้วยการถ่ายวิดีโอผ่านเทคโนโลยี PureView นอกจากนี้ อีกหลากหลายแอพเช่น The World of RedBull ให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่ง Live Tiles ได้หลากหลายขนาด พร้อมการผนวกรวมฟังก์ชั่นกับ Nokia Maps และการสั่งงานด้วยเสียง

ความสามารถในการผนวกแอพทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง mobile app ผ่านฟีเจอร์ของโนเกีย ตัวอย่างของแอพที่มีการผนวกเข้ากับฟีเจอร์ของโนเกีย เช่น Groupon ที่สามารถแสดงส่วนลดต่างๆ บน Nokia Maps รวมถึง การผนวกระหว่างแอพ Michelin กับ Nokia Maps เพื่อช่วยค้นหาเส้นทางสู่ร้านอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมื้อต่อไป ฟีเจอร์ NFC ในแอพ YouSendIt ช่วยให้การแบ่งปันไฟล์ทำได้ง่ายเพียงแค่แตะโทรศัพท์เข้าด้วยกัน โดยฟังก์ชั่นนี้คุณจะได้สัมผัสก่อนใคร เฉพาะ Nokia Lumia นานถึง 3 เดือน

โอกาสในการประสบความสำเร็จ

โนเกียจัดทำโมเดลในการสร้างรายได้และโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับแอพใหม่ โดยอาศัย Nokia Ad Exchange โนเกียในแต่ละประเทศจะให้การสนับสนุนเพื่อพัฒนาธุรกิจของนักพัฒนาแอพ นอกจากนี้ยังมี เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาจากไมโครซอฟท์, การขยาย APIs, แพลทฟอร์ม Nokia Location และการสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ เพื่อการพัฒนาแอพ

การมี Live Tiles บนหน้าจอเริ่มต้นเป็นการสร้างโอกาสสำหรับนักพัฒนาและแบรนด์ต่างๆ ในการแข่งขันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้แอพของตนถูกวางบนตำแหน่งที่ดีที่สุดบน Live Tiles ในสมาร์ทโฟน WP8

เมื่อได้สมัครเข้าร่วมในชุมชนนักพัฒนาของโนเกีย นักพัฒนาจะได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลกในการนำแอพขึ้นบน Store พร้อมความสามารถในการจัดการราคา การวางจำหน่าย และการเข้าถึงรายงานผลการดำเนินงาน

ผนึกกำลังกับพันธมิตร

App Fest – การผนึกกำลังกับไมโครซอฟท์
Nokia Windows Phone AppFest จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน ที่ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ถือเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งสำหรับนักพัฒนาบนระบบปฏิบัติการ Windows Phone ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโนเกีย ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และเอไอเอส The StartUp โดยคาดว่าจะมีนักพัฒนาทั้งที่เป็นนักเรียนนักศึกษาและนักพัฒนามืออาชีพมาร่วมงานมากถึง 150-200 คน เพื่อเรียนรู้วิธีการและนำแอพของตนขึ้นบน Store นอกจากนี้ยังมีการประกวด 3 สุดยอดแนวคิดสร้างสรรค์แอพที่ดีที่สุด จัดว่านี่เป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดหรับนักพัฒนาบนระบบปฏิบัติการ Windows Phone ในปี 2555

AIS StartUp – สนับสนุนนักพัฒนาผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย
วิสัยทัศน์ด้านระบบนิเวศน์โมบายแอพพลิเคชั่นของโนเกียและเอไอเอสเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ การช่วยให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาและสร้างรายได้ผ่านระบบนิเวศน์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโนเกียมุ่งเน้นที่การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ขณะที่ AIS The StartUp เน้นการดูแลธุรกิจ ทั้งนี้ กิจกรรมที่ทำร่วมกันเป็นครั้งแรกในปี 2012 คือ การประกวดแนวคิดแอพสำหรับ Nokia Asha (Nokia Asha App Pitching Day) โดยผู้ชนะเลิศได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่เรียกว่า Memblr เพื่อผนวกสิทธิประโยชน์จากบัตรสมาชิกหรือบัตรเครดิตต่างๆ ในประเทศไทย ทั้งนี้โนเกียและเอไอเอสมีแผนจะทำงานร่วมกับนักพัฒนามากขึ้นในปี 2013

แนะนำแอพสายเลือดไทย

KMobile Banking Plus – แอพจากพันธมิตร

“ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะธนาคารผู้นำอันดับ 1 บนโลกดิจิตอล แบงกิ้ง ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยการนำเสนอนวัตกรรมทางการเงิน และช่องทางในการทำธุรกรรมใหม่ๆ เชื่อมั่นว่าการเปิดให้บริการแอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking PLUS ผ่านสมาร์ทโฟน Nokia Lumia บนระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 จะเปิดโอกาสให้ลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยสามารถทำธุรกรรมทั้งการโอนเงิน ชำระบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ เติมเงินโทรศัพท์มือถือ และตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ โดยสามารถเข้าถึง K-Mobile Banking Plus ด้วยทางเลือกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ”นาย กฤตพัฒน์ พรายมณี ผู้บริหารฝ่ายธุรกิจลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการ. ธนาคารกสิกรไทย กล่าวและเสริมว่า “ในโอกาสนี้ธนาคารกสิกรไทยได้เตรียมกิจกรรมการตลาดเพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าของทางธนาคารได้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้ไปใช้งานโดยลูกค้า 100 ท่านแรกที่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น และส่ง SMS มาร่วมกิจกรรมในระหว่างวันที่ 1ธันวาคม 2555ถึง 28กุมภาพันธ์ 2556จะได้รับเสื้อยืด Nokia Lumiaฟรี และผู้ใช้ที่ทำธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่นนี้มากที่สุดในแต่ละเดือนยังจะได้รับรางวัลเป็นอุปกรณ์หูฟัง WH920, BH940และโทรศัพท์ Nokia Lumia 820ตามลำดับ”

Me – แอพจากนักพัฒนา

แอพสุดสนุกสร้างสรรค์โดย Volevi บริษัทนักพัฒนาแอพแถวหน้าของไทย ให้คุณได้สร้างสรรค์คาแรคเตอร์เพื่อสะท้อนตัวตนของคุณแล้วโพสต์บน facebook หรือใช้เป็นรูปโปรไฟล์ พรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นสร้างสรรค์มากมายรวมถึง Camera Me ที่ช่วยให้คุณสร้างสรรค์สติ๊กเกอร์ดิจิตอลได้ด้วยตัวคุณเองโดยใช้ Me Character ด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ไม่ซ้ำใคร Me จึงติดอันดับแอพที่มีผู้ดาวน์โหลดสูงสุดทั่วโลก

นักพัฒนาสามารถเข้าร่วมระบบนิเวศน์ Windows Phone โดยคลิก http://www.developer.nokia.com/Develop/Windows_Phone/

สำหรับผู้บริโภคสามารถเลือกสรรและดาวน์โหลดแอพลงบน Nokia Lumia ได้โดยคลิก

http://www.windowsphone.com/th-th/store

View :1364
Categories: Application Tags:

คำชี้แจงของ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

November 21st, 2012 No comments

เรื่องการไม่ไปให้ข้อมูลแก่คณะทำงานตรวจสอบการประมูล 3G ของ กทค.

ตามที่ คณะทำงานตรวจสอบพฤติกรรมการเสนอราคาของผู้เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ หรือใบอนุญาต 3G ที่แต่งตั้งโดย กทค. ได้ประสานงานให้ผมไปให้ข้อมูลนั้น ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ผมประสงค์ที่จะไม่ไปให้ข้อมูลแก่คณะทำงานดังกล่าว ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้

ประการที่หนึ่ง ผมเห็นว่า ขอบเขตของคณะทำงานดังกล่าวไม่ถูกต้อง ดังปรากฏในชื่อของคณะทำงาน เนื่องจากปัญหาใหญ่ที่สุดในการประมูลคลื่น 3G นั้น เกิดจากการออกแบบการประมูลโดย กทค. เอง มากกว่าเกิดจากพฤติกรรมการเสนอราคาของผู้เข้าร่วมประมูล ซึ่งย่อมต้องเสนอราคาต่ำที่สุดเพื่อประโยชน์ของตน ทั้งนี้ การเสนอราคาต่ำดังกล่าว จะไม่สามารถทำได้ หาก กทค ไม่ออกกฎการประมูลจำกัดให้แต่ละรายถือได้คลื่นไม่เกิน 15 MHz ตั้งแต่แรก การตรวจสอบพฤติกรรมการเสนอราคาของผู้เข้าร่วมประมูล จึงเป็นการเบี่ยงเบนประเด็น ให้สังคมเข้าใจว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจาก กทค.

ประการที่สอง ผมเคยเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการของ กทค. บางชุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของสัญญาประกอบกิจการด้านโทรคมนาคม และเห็นว่า กรรมการบางท่าน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ น่าจะไม่ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน กรรมการรายเดียวกันนี้เองก็มีบทบาทสำคัญอยู่ในคณะทำงานตรวจสอบชุดนี้ ทำให้ผมไม่เชื่อมั่นในการทำงานของคณะทำงานชุดนี้

ประการที่สาม ที่ผ่านมา หลังการประมูล 3G ล้มเหลวและสร้างความกังขาแก่สังคม กทค. มักกล่าวอ้างว่า การตัดสินใจต่างๆ ของตนเกิดขึ้นจากการเสนอของคณะอนุกรรมการ 3G ซึ่งมีเพื่อนร่วมงานของผม และนักวิชาการอื่นร่วมอยู่ด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริง การเปลี่ยนหลักเกณฑ์การประมูลให้ผู้ประกอบการถือได้คลื่นไม่เกิน 15MHz ไม่ได้เป็นข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการของ กทค. เอง ในครั้งนี้ ผมจึงเชื่อว่า หากผมไปให้ข้อมูล ชื่อของผมก็จะถูกนำไปอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมของผลการตรวจสอบของคณะทำงานดังกล่าวในลักษณะเดียวกันอีก

ผมเห็นว่า วิธีการที่ผมจะสามารถให้ข้อมูลแก่ กทค. โดยจะไม่ถูกนำไปแอบอ้างอย่างไม่เหมาะสมคือ การให้ข้อมูลแก่สาธารณะผ่านสื่อมวลชน ดังที่ได้เคยให้ความเห็นมาโดยตลอด ในครั้งนี้ ก็เช่นเดียวกัน หาก กทค. ประสงค์ที่จะได้รับข้อมูลจากผม ก็สามารถหาอ่านจากบทความที่ผมเคยเขียน และเคยให้สัมภาษณ์ ทางสื่อมวลชน หรือที่อยู่ในเว็บไซต์ของทีดีอาร์ไอ

View :1105
Categories: Press/Release Tags: