Archive

Archive for the ‘SmartPhone/Mobile phone’ Category

เอไอเอสจัดให้! ขนทัพสมาร์ทดีไวซ์และแอพพลิเคชั่นสุดล้ำ บุกงาน Thailand Mobile Expo 2012 Showcase

October 3rd, 2012 No comments


ปลุกกระแสสาวกหัวใจไอที ตื่นตากับโปรโมชั่นถึงใจ คุ้มเกินราคา!

เอไอเอสตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมสื่อสารไร้สาย พาเหรดขบวนสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ครบทุก OS ทั้ง iOS, Android, BlackBerry ฯลฯ และสุดยอดแอพพลิเคชั่นล้ำๆ ที่เอ็กซ์คลูซีฟเพื่อลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น ซึ่งมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษแบบห้ามใจไม่ไหว ทั้งผ่อน 0% และผ่อนนาน 20 เดือน (เฉพาะรุ่นและบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ) ก็เลือกได้ตามคุณ นอกจากนี้ ยังมีของแถมน่ารักสุดคูล ติดปลายนวมให้อีกมากมาย เรียกว่าจัดมาเอาใจเหล่าสาวกหัวใจไอทีให้ได้ช้อปกันสนุกมือ เฉพาะในงาน 2012 Showcase โดยมีไฮไลท์เด็ดๆ ดังนี้

- ชาวกาแลคซี่ตื่นตากับ Samsung Galaxy Note II นวัตกรรมรุ่นล่าสุดที่พ่วงมากับแอพพลิเคชั่นสุดว้าว อย่าง Galaxy Movie Store, Guide&Go, e-book จาก Book Store นอกจากนี้ ยังมีสมาร์ทโฟนในตระกูลกาแลคซี่ขนมาเอาใจสาวก Android กันอีกหลายรุ่น อาทิ Samsung Galaxy S III,Samsung Galaxy Note 10.1

- แก๊งค์บีบี ต้องไม่พลาดกับ Blackberry Torch 9860 ราคาพิเศษ อีกทั้งรุ่น Curve, Bold, Torch มีให้เลือกอีกเพียบ ซึ่งมาพร้อมแอพฯ LINE สุดฮิต เฉพาะลูกค้าเอไอเอส BlackBerry เท่านั้น พิเศษ! เมื่อซื้อเอไอเอส BlackBerry ทุกรุ่น รับสิทธิ์ใช้งานแพ็กเกจ Blackberry Unlimited 799 ฟรี 3 เดือน พร้อมรับฟรี Blackberry Thumb Drive ขนาด 16GB อีกด้วย

ส่วนสาวก iOS เตรียมเซอร์ไพรส์กับ iPhone4S ราคาพิเศษเฉพาะในงานเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีบริการตรวจสุขภาพซิมฟรี! อีกด้วย
ขอเชิญลูกค้าเอไอเอสและสาวไอทีแวะมาสัมผัสกับนวัตกรรมสุดล้ำและความคุ้มค่าอีกมากมายได้ที่ บูธ AIS PL2 ห้องเพลนนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ตั้งแต่วันที่ 4-7 ตุลาคม 2555 เวลา 10.00 – 20.00 น.

View :1581

ดีแทคจัดแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตสุดคุ้ม มอบบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 1,000 บาท ส่วนลดค่าเครื่องกว่า 50% ในงาน Thailand Mobile Expo 2012

October 3rd, 2012 No comments


ดีแทคร่วมงาน 2012 จัดทัพของสมนาคุณสุดคุ้ม และแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตราคาพิเศษต้อนรับการเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ล่าสุดครั้งแรกในไทย Samsung Galaxy Note II และ Sony Xperia SL ลูกค้าที่ซื้อสมาร์ทโฟน 3G จากบูทดีแทคภายในงานจะได้รับกระเป๋าสะพายดีไซน์เท่โดยโน้ต อุดม แต้พานิช และบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 1,000 บาทเพื่อแลกซื้อ accessory ของ Jabra และ Gear4 ที่บูท RTB พร้อมของสมนาคุณถูกใจลูกค้า ทั้งนี้ลูกค้ายังสามารถผ่อนชำระค่าเครื่อง 0% นาน 10 เดือน และรับเงินเครดิตคืนกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ พร้อมจัดโปรโมชั่นให้ส่วนลดสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการอย่างจุใจถึง 50%

ภายในงานสัมผัส Samsung Galaxy Note II และ Sony Xperia SL เปิดตัวเป็นครั้งแรกที่บูทดีแทค พร้อมรับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตสุดคุ้มเล่นได้ไม่จำกัดเพียง 599 บาท/เดือน โทรฟรีทุกเครือข่าย 550 นาที บัตรกำนัล RTB มูลค่า 500 บาท และกระเป๋าสะพายโน้ต อุดม แต้พานิช

กองทัพสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต 3G จากดีแทคยังจัดโปรโมชั่นเพื่อเอาใจลูกค้าอย่างเต็มที่ อาทิ
· The New iPad แถมฟรีซองใส่ iPad และ Stylus Pen บัตรกำนัล RTB มูลค่า 500 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจที่ร่วมรายการ พิเศษเฉพาะรุ่น 64 GB รับบัตรกำนัล RTB มูลค่า 1,000 บาท
· iPhone 4S และ Samsung Galaxy SIII รับฟรีบัตรกำนัล RTB มูลค่า 500 บาท

นอกจากนั้น ดีแทคยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ มอบส่วนลดสมาร์ทโฟนยอดนิยมสูงสุด 50% และเมื่อสมัครแพ็กเกจของดีแทคในงานนี้ รับฟรี Voucher สตาร์บัคส์ทุกแพ็กเกจ และจัดเตรียมแอร์การ์ดราคาพิเศษเพียง 990 บาทไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการท่องอินเตอร์เน็ททุกหนแห่งอีกด้วย

ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บูทของดีแทคในงาน Thailand Mobile Expo 2012 ระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคมนี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

View :1649

รายงาน Ericsson ConsumerLab ชี้การเปลี่ยนแปลงในลักษณะการใช้งาน m-commerce ของผู้บริโภค

October 1st, 2012 No comments


• การศึกษาโดย Ericsson ConsumerLab บ่งบอกถึงลักษณะการใช้งาน m-commerce ในสามประเทศในทวีปแอฟริกา
• การโฆษณาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับ m-commerce จึงจำเป็นต้องมีการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดความมั่นใจและยอมรับในบริการใหม่ๆ
• ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ m-commerce ในแถบประเทศทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา (sub-Saharan Africa) ควรให้ความสนใจกับกลุ่มผู้หญิงเป็นพิเศษ เพราะพวกเธอคือคนที่ดูแลการเงินภายในครอบครัว

รายงานใหม่ของ ConsumerLab โดย Ericsson ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง m-commerce ในแถบประเทศทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา (sub-Saharan Africa)

จากการสัมภาษณ์ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือจำนวนมากอย่างละเอียด ในประเทศกาน่า แอฟริกาใต้ และแทนซาเนีย พบข้อสังเกตหลักสี่ประการดังนี้ คือ ประการแรก ผู้บริโภคมักมองหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถควบคุมการใช้เงินของตนเองให้ดียิ่งขึ้นได้อยู่เสมอ ประการที่สอง ด้วยความเร็วและความสะดวกสบายในการใช้งาน m-commerce ทำให้บริการนี้มีศักยภาพในตลาดสูง ประการที่สาม จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและโครงสร้างทางสังคมในปัจจุบัน พบว่าธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางบนมือถือยังมีโอกาสเติบโตได้อีก และประการสุดท้าย ผู้บริโภคยังต้องการข้อมูลสนับสนุนอีกมากในเรื่องการใช้งานและความปลอดภัยของธุรกรรม m-commerce

เหล่าผู้บริโภคบอกกับนักวิเคราะห์ของอีริคสันว่า พวกเขาใช้โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพาในการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การโอนเงินระหว่างบุคคลและการเติมเงินมือถือ และพวกเขาพอใจในความสะดวกสบายที่สามารถเข้าถึงเงินได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ขึ้นอยู่กับเวลาเปิดทำการ เช่น ในประเทศแทนซาเนีย 38% ของผู้ใช้บริการ ทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างบุคคลผ่านมือถือ

นอกจากนั้นแล้ว รายงานฉบับนี้ยังได้ข้อสรุปอีกประการหนึ่งว่า ผู้ใช้ m-commerce ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการแยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจ “ผู้บริโภคจำนวนมากประกอบธุรกิจส่วนตัว และสามารถโอนเงินจากบัญชีส่วนตัวไปใช้ในทางธุรกิจได้ทันที เพื่อให้พวกเขามีประสบการณ์ในการใช้งาน m-commerce มากขึ้น” นาย Anders Erlandsson ที่ปรึกษาอาวุโสของ Ericsson ConsumerLab กล่าว
ประสบการณ์จะนำไปสู่ความเชื่อมั่นที่มากขึ้น จากรายงานฉบับนี้พบว่า 44% ของผู้ที่ไม่เคยใช้ m-commerce มีความกังวลใจมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลทางบัญชี ในกรณีที่โทรศัพท์มือถือหายหรือถูกโจรกรรม “การให้คำปรึกษาแนะนำโดยตรง โดยมีการพบกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้บริโภคมีความสำคัญมาก” นาย Erlandsson กล่าว “เช่นเดียวกับการที่ผู้บริโภคสามารถไปที่ธนาคารได้ด้วยตนเอง ทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการใช้บริการทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น ความเชื่อมั่นต่อการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านมือถือก็จะเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกัน ด้วยประสบการณ์ในการใช้งานจริง มากกว่าการโฆษณาเพียงอย่างเดียว”

รายงานนี้ยังให้ข้อมูลเชิงลึก ในเรื่องการบริหารการเงินภายในครอบครัวโดยทั่วไป และข้อแนะนำสำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายในการเสนอบริการที่ผู้บริโภคพึงพอใจและนิยมใช้ สำหรับครอบครัวที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยปกติแล้วผู้ชายจะถูกคาดหวังให้เป็นผู้ทำงานเลี้ยงครอบครัว ส่วนผู้หญิงมักมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านการเงิน

ชายอายุ 45 ปี ในแทนซาเนียผู้หนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าเราไม่มีเงิน แต่จำเป็นต้องซื้ออะไรสักอย่าง ภรรยาของผมมักจะสามารถจัดการได้เสมอ แต่ผมไม่ทราบหรอกว่าเธอทำได้อย่างไร ผู้หญิงมักมีวิธีของพวกเธอเสมอ”

ผู้ใช้ให้ความสำคัญมากกับความสามารถในการเข้าถึงเงินของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย นาย Erlandsson กล่าวต่อไปว่า “ความมีเสถียรภาพของเครือข่ายถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการ เช่น หากคุณไม่สามารถติดต่อกับเครือข่ายได้ ก็หมายถึงคุณไม่สามารถเข้าถึงเงินได้เช่นกัน”

“ผู้ให้บริการเครือข่ายมีความน่าเชื่อถือ และปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ จึงมีความพร้อมที่จะให้บริการที่เป็นส่วนตัวแก่ลูกค้าทุกคน ดังนั้นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านการเงินบนช่องทางผ่านมือถือจึงเป็นไปได้ เพราะผู้ให้บริการมักมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอยู่แล้ว และมีสาขาอยู่มากมายรวมทั้งในชนบทด้วย” เขาสรุป

Ericsson ConsumerLab ได้รับข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ผู้บริโภคทั่วโลกกว่า 100,000 คนในแต่ละปี จากกว่า 40 ประเทศ ในเมืองใหญ่ 15 แห่ง ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ใช้แทนความคิดเห็นของประชากร 1.1 พันล้านคนในทางสถิติได้ ด้วยวิธีการเชิงปริมาณและคุณภาพ และใช้เวลานับร้อยๆชั่วโมงในการสัมภาษณ์ผู้บริโภคจากหลากหลายวัฒนธรรม

Ericsson m-commerce เป็นระบบที่สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการเชื่อมโยงอย่างกว้างขวางในระดับโลก ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม m-commerce และโลกธุรกิจการเงินได้เป็นอย่างดี

กราฟจากรายงานเรื่อง “M-commerce in sub-Saharan Africa” โดย ConsumerLab

View :1321
Categories: E-Commerce, SmartPhone/Mobile phone Tags:

การทำงานรูปแบบโมบาย มีศักยภาพเติบโตสูงในไทย

September 28th, 2012 No comments

52 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรในไทย ประยุกต์ใช้ หรือมีแผนที่จะนำการทำงานรูปแบบโมบายมาใช้ในปี 2020

องค์กรส่วนใหญ่ (84 เปอร์เซ็นต์) ในประเทศไทย ที่มีการนำ “โมบายเวิร์กสไตล์” หรือการทำงานในรูปแบบโมบายมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากเห็นถึงประโยชน์หลักในแง่ของการเพิ่มความยืดหยุ่น และทำให้สถานที่ทำงานเกิดความคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า นอกเหนือจากองค์กรในไทยที่ได้นำการทำงานในรูปแบบโมบายมาประยุกต์ใช้แล้ว 44 เปอร์เซ็นต์ มองว่าเป็นการลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานลง ส่วนอีก 48 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ลดลง และ 32 เปอร์เซ็นต์ มองว่าค่าใช้จ่ายด้านการลาออกของพนักงานลดลง เหล่านี้คือผลการสำรวจเกี่ยวกับสถานที่ทำงานแห่งอนาคตที่ซิทริกซ์ได้เปิดเผยในวันนี้ โดยมาจากการสำรวจฝ่ายไอทีระดับอาวุโสที่มีอำนาจในการตัดสินใจ 1,900 คน ใน 19 ประเทศ

ในขณะที่องค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทย วางแผนว่าจะนำการทำงานรูปแบบโมบายมาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยก็ยังจัดว่าตามหลังแนวโน้มโลกอยู่ในแง่ของการนำโมบายเวิร์กสไตล์มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน โดยจากที่สำรวจ มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรในไทย ที่มีการนำการทำงานรูปแบบโมบายมาใช้ เปรียบเทียบกับ (21 เปอร์เซ็นต์) ประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิค ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการนำการทำงานรูปแบบโมบายมาใช้ เพิ่มขึ้นสูงมาก และสำหรับทั่วโลกแล้ว 1 ใน 4 (24 เปอร์เซ็นต์) ขององค์กรได้มีการประยุกต์ใช้

จากข้อมูลไอดีซี[1] ความต้องการสมาร์ทโฟนในประเทศไทยเติบโต 76 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2554 คิดเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมพนักงานรุ่นใหม่ที่เป็นผู้ใช้งานดิจิตอลอย่างแท้จริง ซึ่งต้องการนำสมาร์ทโฟนของตัวเองมาใช้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว โดยในประเทศไทย มีคำร้องของจากพนักงานจำนวนมาก (53 เปอร์เซ็นต์) ติดอันดับต้นๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้องค์กรหันมาใช้การทำงานในรุปแบบโมบาย

Vanson Bourne ศูนย์วิจัยอิสระ ได้จัดทำสำรวจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 โดยรายงานเรื่องสถานที่ทำงานแห่งอนาคตของซิทริกซ์ แสดงให้เห็นว่า แนวโน้มที่พนักงานจะนั่งทำงานในออฟฟิศนั้นลดลง ซึ่งแนวโน้มของการที่พนักงานหันมาใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลากหลายรูปแบบในการเข้าถึงแอพพลิเคชัน ข้อมูล และบริการขององค์กร จากสถานที่ต่างๆ นอกเหนือออฟฟิศปกตินั้น เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มโลกที่เรียกว่าโมบายเวิร์กสไตล์

➢ จากการสำรวจ องค์กรเกือบครึ่งหนึ่ง (45 เปอร์เซ็นต์) ในประเทศไทย จะมีการนำการทำงานรูปแบบโมบายมาประยุกต์ใช้ในปี 2557 และองค์กร 7 เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย กำลังวางแผนที่จะนำความริเริ่มดังกล่าวมาใช้ในราวปี 2563 ทั้งนี้ เหตุผลต่างๆ ที่องค์กรธุรกิจในไทยเลือกที่จะประยุกต์ใช้โมบายเวิร์กสไตล์ คือ
o มีความยืดหยุ่น และเป็นสถานที่ทำงานที่คล่องตัวมากขึ้น (84 เปอร์เซ็นต์)
o ลดค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ (48 เปอร์เซ็นต์)
o ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน (44 เปอร์เซ็นต์)
o ช่วยดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานกับองค์กร (40 เปอร์เซ็นต์)
o สร้างความต่อเนื่องในการทำธุรกิจ (40 เปอร์เซ็นต์)
➢ พนักงานในองค์กรจะได้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นที่มากขึ้น (72 เปอร์เซ็นต์) ลดเวลาเดินทาง (56 เปอร์เซ็นต์) สร้างสมดุลย์ชีวิตทำงานและส่วนตัว (48 เปอร์เซ็นต์) และเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้กับพนักงานแต่ละคน (44 เปอร์เซ็นต์)
➢ เหตุผลอันดับต้นๆ ในการไม่ประยุกต์ใช้โมบายเวิร์กสไตล์ในประเทศไทย คือ ขาดบุคลากรด้านไอที (70 เปอร์เซ็นต์)
➢ ความต้องการในการใช้งานโมบิลิตี้ที่เพิ่มขึ้น กำลังเป็นปัจจัยผลักดันองค์กรต่างๆ ให้มีการกำหนดใช้นโยบายในการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้เพื่องาน (BYOD) (65 เปอร์เซ็นต์) โดยปกติพนักงานจะเป็นผู้เลือกซื้ออุปกรณ์เอง โดย 72 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรช่วยออกค่าใช้จ่ายบางส่วนหรือเต็มจำนวนให้กับพนักงาน
➢ ความท้าทายอันดับต้นๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้นโยบาย BYOD คือ บรรดาพนักงานต่างไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงของการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศทางธุรกิจ (60 เปอร์เซ็นต์) และข้อมูลด้านความปลอดภัย (60 เปอร์เซ็นต์)

จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อใช้ชีวิตกับสถานที่ทำงานแห่งอนาคต
จากรายงานสถานที่ทำงานแห่งอนาคตของซิทริกซ์ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทั่วโลก หนึ่งในสามของพนักงาน (29 เปอร์เซ็นต์) จะไม่นั่งทำงานในออฟฟิศแบบเดิมๆ ทั้งนี้พนักงานจะเปลี่ยนมาทำงานตามสถานที่ที่ก้ำกึ่งว่าจะเป็นที่ทำงาน ได้อย่างหลากหลายแทน เช่น ที่บ้าน (64 เปอร์เซ็นต์) ที่ไซต์งาน (60 เปอร์เซ็นต์) และออฟฟิศลูกค้าหรือออฟฟิศของพาร์ตเนอร์ (50 เปอร์เซ็นต์) ผู้คนคาดหวังว่าจะสามารถเข้าถึงการใช้งานแอพพลิเคชั่น ดาต้าและการบริการ ในขณะที่ทำงานอยู่นอกออฟฟิศได้ เช่น ตามโรงแรม สนามบิน ร้านกาแฟ หรือในขณะที่รอเปลี่ยนเครื่อง จากเหตุการณ์ที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูจากน้ำท่วมในปี 2554 ดังนั้น จึงมีเหตุผลมากมายหลายหลากที่ทำให้องค์กรธุรกิจในประเทศไทยต้องตระหนักถึงความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณประโยชน์ของการติดตั้งโมบายเวิร์กสไตล์

การมีทีมงานที่ทำงานในลักษณะโมบาย นับเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงลักษณะของสถานที่ทำงานแห่งอนาคต ซึ่งสามารถเข้าถึงทรัพยากรองค์กรได้จากหลากหลายสถานที่ ตัวอย่างเช่น ฝ่ายไอทีจำเป็นต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้จำหน่ายเพื่อเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถบริหารจัดการกับผู้คนต่างๆ รวมถึงข้อมูล และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ในเชิงรุก องค์กรต่างๆ ทั่วโลก ต่างต้องอาศัยเทคโนโลยีหลากหลายมาช่วยเสริมการบริหารจัดการกลยุทธ์ด้านโมบายเวิร์กสไตล์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ เทคโนโลยีทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ต่างมุ่งเน้นที่การจัดการระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและแอพพลิเคชั่น รวมถึง เดสก์ท็อปเวอร์ชวลไลเซชั่น และแอพพลิเคชั่นสโตร์ในเอ็นเทอร์ไพร์ซ บริการด้านการแบ่งปันไฟล์ผ่านระบบออนไลน์ การประชุม และการทำงานร่วมกันต่างๆ เพื่อศักยภาพในการทำงานจากจุดต่างๆ

สาสน์จากผู้บริหาร
มร ยาจ มาลิค รองประธาน ภาคพื้นอาเซียน ซิทริกซ์
“แรงกดดันจากทั่วโลก ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการบริโภคไอทีอย่างแพร่หลาย เป็นปัจจัยที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีของการจัดการและวิธีปฏิบัติทางธุรกิจ สถานที่ทำงานแห่งอนาคต ความต่อเนื่องในการทำธุรกิจ ผลิตผล ความยืดหยุ่น และความคล่องตัว ไม่ได้เป็นเพียงแค่เหตุผล ทว่ากลายเป็นสิ่งจำเป็นในการทำธุรกิจ และในประเทศไทยก็ไม่ได้แตกต่างจากประเทศอื่นๆ แต่อย่างไรก็ดี การประยุกต์ใช้งานโมบายเวิร์กสไตล์ในไทยดำเนินไปอย่างช้าๆ นั่นอาจเป็นเหตุผลจากการขาดความรู้ความชำนาญด้านเทคโนโลยี องค์กรเกือบครึ่งหนึ่ง (41 เปอร์เซ็นต์) ในประเทศไทย ไม่ทราบว่ามีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลและแอพพลิเคชั่นองค์กรจากระยะไกลและมีความปลอดภัยในระดับเดียวกับที่ใช้งานในออฟฟิศ องค์กรที่สามารถตระหนักและประยุกต์ใช้โมบายเวิร์กสไตล์จึงจะเป็นองค์กรที่อยู่รอดได้ ซึ่งการทำงานไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสถานที่ และนั่นเป็นปัจจัยสำคัญของสถานที่ทำงานแห่งอนาคต และทำให้การใช้งานโมบายเวิร์กสไตล์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ

วิธีการทำวิจัย
วิจัยเรื่องสถานที่ทำงานแห่งอนาคตของซิทริกซ์ จัดทำโดยสำนักวิจัยอิสระ Vanson Bourne ในเดือนสิงหาคม 2555 โดยสัมภาษณ์มืออาชีพอาวุโสด้านไอที 1,900 คนทั่วโลก ผลสำรวจมืออาชีพด้านไอที 100 คนจากทุกอุตสาหกรรมในประเทศต่างๆ 19 ประเทศ ครอบคลุม
- ยุโรป: ฝรั่งเศส เยอรมันนี รัสเซีย สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ
- อเมริกา: บราซิล แคนาดา สหรัฐอเมริกา
- เอเชีย แปซิฟิค: ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย

3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม มาจากองค์กรที่มีพนักงาน 1,000 คนหรือมากกว่า ในขณะที่ 1 ใน 3 ที่เหลือมาจากองค์กรที่มีพนักงานระหว่าง 500-999 คน

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง
➢ เอกสารด้านเทคนิค: The Top 10 Reasons to Embrace Workshifting
➢ เอกสารด้านเทคนิค: Workshifting: How IT is Changing the Way Business is Done
➢ เอกสารด้านเทคนิค: Desktop Virtualization: The key to embracing the consumerization of IT
➢ เอกสารด้านเทคนิค: Best practices to make BYOD simple and secure

ซิทริกซ์บนโลกออนไลน์
➢ ทวิตเตอร์: @Citrix
➢ ซิทริกซ์บนเฟซบุ๊ค Facebook

View :1585

โซนี่ มิวสิค ประกาศรุกตลาดไตรมาส 4 ปักเรือธงจับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์

September 23rd, 2012 No comments

บริษัท เอนเตอร์เทนเมนต์ โอเปอเรติ้ง(ประเทศไทย) จำกัด ประกาศทิศทางรุกตลาดไตรมาส 4 ชูแพลตฟอร์มแอนดรอยด์รับตลาดสมาร์ทโฟนโตต่อเนื่อง และชี้ปัจจัยหนุนจากราคาเครื่องสมาร์ทโฟนที่ปรับราคาให้รองรับกับลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมฟังเพลงหรือชมมิวสิควีดิโอผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น พร้อมย้ำกลยุทธ์ One Sony ชูจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีในแต่ละผลิตภัณฑ์หลักควบคู่กับการยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงใหม่ให้แก่ผู้บริโภค ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อหลากหลายแพลตฟอร์ม รวมถึงคอนเทนต์บนเครือข่ายได้อย่างสะดวก อีกทั้งเร่งผนึกความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทโซนี่ต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งทางธุรกิจ

นายพอล มนัสถาวร ผู้อำนวยการกลุ่มงานดิจิตอล บริษัท โซนี่ มิวสิค เอนเตอร์เทนเมนต์ โอเปอเรติ้ง(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับทิศทางการทำตลาดของโซนี่มิวสิค ในครึ่งปี 2555 ยังคงเดินหน้าในการผลักดันและสนับสนุนการใช้งานแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาซึ่งได้รับความนิยมและมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีการประมาณการณ์ตัวเลขรวมโทรศัพท์มือถือปีนี้ไว้ที่ 15 -17 ล้านเครื่อง โดยจะเป็นเครื่องสมาร์ทโฟนกว่า 5 ล้านเครื่องและเกินกว่า 70 % เป็นแอนดรอยด์ ซึ่งส่งผลให้โซนี่มิวสิค มีความมั่นใจว่าตลาดในส่วนของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้สอดรับกับกลยุทธ์ One Sony ซึ่งเป็นจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีในแต่ละผลิตภัณฑ์หลัก ควบคู่กับการยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงใหม่ให้แก่ผู้บริโภค ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อหลากหลายแพลตฟอร์ม และคอนเทนต์บนเครือข่ายได้อย่างสะดวก พร้อมทั้งเร่งผนึกความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทโซนี่ต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ทางด้านโซนี่โมบายล์ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะมีเครื่องสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เข้าทำตลาดหลายรุ่นและจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดและตอกย้ำความเป็น One Sony ได้อย่างลงตัว พร้อมสร้างประสบการณ์การฟังเพลงรูปแบบดิจิตอลผนวกเข้าด้วยกัน ปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อเครื่องสมาร์ทโฟนของโซนี่โมบายล์ มีการดาวน์โหลดคอนเทนต์จากโซนี่มิวสิค ไปแล้วกว่า 50,000 ดาวน์โหลด ทั้งเพลงไทยและสากล โดยสมาร์ทโฟนของโซนี่โมบายล์ที่มีการดาวน์โหลดเพลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ รุ่น 1. Xperia™ arc S , Xperia™ ray , Xperia™ Neo L , Xperia™ Play และ Xperia™ mini เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีบริการสุดคุ้มสำหรับลูกค้าที่ใช้มือถือ Sony Xperia SmartPhone และรักในเสียงเพลงสามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพลงเพราะๆได้ฟรีผ่านทาง App Sony Music โดยเข้าไปที่ เมนู เลือก เลือก Play Store แล้วเลือก ค้นหา คำว่า Sony Music หลังจากนั้นกดโหลดโปรแกรม Sony Music กดเลือก ติดตั้ง สุดท้ายเลือกโปรแกรม แล้วโหลดกันได้เลย สิทธิพิเศษนี้สำหรับลูกค้า Sony Xperia SmartPhone ทุกรุ่น ซึ่งรับสิทธิ์ดาวน์โหลดแบบไม่อั่นฟรี ทุกเพลงทั้งเพลงไทย เพลงสากล และมิวสิค วีดีโอ

ปัจจัยในการผลักดันตลาดปีนี้เติบโตขึ้น เนื่องจากราคาเครื่องสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ ที่มีการปรับราคาให้ครอบคลุมตลาดทุกกลุ่มเป็นส่วนกระตุ้นให้เกิดการซื้อเพิ่มมากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมฟังเพลงหรือชมมิวสิควีดิโอผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญและส่งผลให้ดิจิตอลมิวสิคเติบโตด้วยเช่นกัน ซึ่งในปีนี้มีการคาดการณ์มูลค่าตลาดรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบการเติบโตในปีที่ผ่านมาถือว่ายังมีการเติบโตประมาณ 15% นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าในปี 2013 จะเติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 20% อย่างไรก็ตามดิจิตอลคอนเทนต์ของโซนี่ มิวสิค โฟกัส 3 แพลตฟอร์มหลักไม่ว่าจะเป็นแอนดรอยด์ , Windows และ iOS พร้อมยังเชื่อมมั่นว่าปลายปีนี้หลังจากไมโครซอฟท์เปิดตัว Windows Phone 8 จะส่งให้ตลาดดิจิตอล คอนเทนต์มีสีสัน คึกคักและกระตุ้นการฟังเพลงรูปแบบดิจิตอลอย่างแน่นอน” นายพอล กล่าวทิ้งท้าย

View :1446

วิจัยอีริคสันเผยตลาดอุปกรณ์สมาร์ทโมบายล์โตอย่างมาก

September 6th, 2012 No comments

จำนวนผู้ใช้แท็บเล็ตในประเทศไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตัว (จาก 2% เป็น 8%) ในระยะเวลาหกเดือนข้างหน้า และจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% #

ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟน คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพื่อเข้าถึงบริการด้านการบันเทิง และเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างทันท่วงที

จากการวิจัยพบว่า การใช้งานด้านการสื่อสาร (เช่น โทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ท, อีเมล, โซเชียลเน็ทเวิร์ค, การส่งข้อความ, และ VoIP เป็นต้น) รายการทีวี และวีดีโอ น่าจะเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนการใช้งานด้านอื่น เช่น การโทรศัพท์แบบเห็นหน้า (video calling), push to talk, การแปลงเสียงเป็นข้อความ (speech-to-text), อีเมล, และการใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป ถือได้ว่ามีการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องและนักพัฒนาโมบายล์แอ็พพลิเคชั่นต่างๆ

ผลจากการวิจัยนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่าผู้ให้บริการจำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายของตน ให้พร้อมรองรับสมาร์ทโฟน ขยายพื้นที่ครอบคลุมให้ทั่วถึง เพื่อเพิ่มคุณภาพสัญญาณ ความเร็วในการรับส่งข้อมูล ความเสถียรของระบบ รวมทั้งความพร้อมเพื่อรับมือกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของการสื่อสารข้อมูลบนมือถือ ซึ่งถูกผลักดันโดยบริการประเภท non-voice ต่างๆ

# ตามข้อมูลที่ผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความสนใจ

ผลการสำรวจโดย Ericsson ConsumerLab พบว่าผู้บริโภคในประเทศไทยให้ความสนใจกับอุปกรณ์มือถือมากขึ้น รวมทั้งมีการใช้งานบางประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุด

“ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแท็บเล็ต คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพราะขนาดที่เหมาะแก่การพกพา และซื้อเพื่อใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ในขณะที่ปัจจัยหลักในการใช้สมาร์ทโฟน คือ เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ททั่วไป เพื่อเข้าถึงบริการด้านการบันเทิง และเพื่อรับข้อมูลอย่างทันต่อเหตุการณ์” นาย Afrizal Abdul Rahim หัวหน้าศูนย์ ConsumerLab แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิก กล่าว

ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันพวกเขาใช้สมาร์ทโฟนเพื่อใช้บริการ voice, SMS, และอินเตอร์เน็ททั่วไป เป็นส่วนใหญ่ แต่การใช้งานประเภทอื่นๆ เช่น การโทรศัพท์แบบเห็นหน้า (video calling), push to talk และ การแปลงเสียงเป็นข้อความ (speech-to-text) เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และน่าจะเติบโตได้ดีที่สุดในอนาคต

สำหรับแอ็พพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด และสร้างแรงผลักดันให้ตลาดสื่อสารข้อมูลบนมือถือ ได้แก่ ด้านเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ตามด้วยเกมส์ และการค้นหาข้อมูลทั่วไป

และเมื่อถูกถามว่าพวกเขาใช้แอ็พพลิเคชั่นบ่อยแค่ไหน ผู้ตอบแบบสอบถาม 15 เปอร์เซ็นต์ ให้ข้อมูลว่าพวกเขาใช้หลายครั้งต่อวัน, 14 เปอร์เซ็นต์ใช้อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อวัน, และ 29 เปอร์เซ็นต์ใช้วันละหนึ่งครั้ง

เมื่อศึกษาถึงแอ็พพลิเคชั่นและการดาวน์โหลดที่น่าจะเป็นที่นิยมในอนาคต พบว่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารยังคงเป็นที่นิยมสูงสุด ตามด้วยรายการทีวี และวีดีโอที่ขึ้นมาอยู่เป็นอันดับสาม

การแสดงความสนใจในแอ็พพลิเคชั่นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับบริการด้านการสื่อสารและเอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นหลัก ซึ่งผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ให้บริการด้านการบันเทิง ควรให้ความสำคัญและเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้มากขึ้น

“สำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย ผลการสำรวจนี้ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาโครงข่าย ซึ่งต้องรองรับการเจริญเติบโตของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รวมทั้งแสดงให้เห็นประเภทของการใช้งานและบริการอันเป็นที่นิยมสำหรับการสื่อสารข้อมูลบนมือถือ และสำหรับผู้ค้าปลีก ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงเหตุผลหลักในการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์สื่อสารต่างๆอีกด้วย” นาย Afrizal กล่าว

เป็นที่คาดการณ์กันว่าโปรโมชั่นแบบเติมเงิน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการใช้งานสมาร์ทโฟนในประเทศไทยให้สูงขึ้น “ความคุ้มค่าของบริการถือเป็นสิ่งที่ลูกค้าในตลาดเติมเงินให้ความสำคัญมาก ดังนั้นโปรโมชั่นที่เหมาะสมจึงควรเป็นแพ็คเกจขนาดเล็ก กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดเติมเงินที่มี ARPU ต่ำนั้น คือการเสนอแพ็คเกจที่หลากหลาย ตรงกับลักษณะการใช้งานของลูกค้าให้มากที่สุด และในขณะเดียวกันต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถควบคุมการใช้จ่ายของตนเองได้ การแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างเหมาะสม และการสร้างพันธมิตรกับ content provider ถือเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนให้มีการใช้อินเตอร์เน็ทบนมือถือเพิ่มมากยิ่งขึ้น” นาย Afrizal กล่าว

นาย Joacim Damgard ประธานอีริคสันประเทศไทย กล่าวด้วยว่า “ผลการวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของตลาดในอนาคตจะถูกผลักดันโดยการใช้อินเตอร์เน็ทบนมือถือ และเหล่าผู้ให้บริการจะเตรียมพร้อมรับมือกับตลาดที่เติบโตรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ผู้ให้บริการต้องพร้อมพัฒนาเครือข่ายให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ขยายพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณอย่างเพียงพอ เพื่อให้บริการได้ด้วยความเร็วสูงและมีเสถียรภาพ รวมทั้งต้องสามารถรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือ ซึ่งถูกผลักดันด้วยบริการแบบ non-voice ประเภทต่างๆ” นาย Joacim กล่าว

หมายเหตุ

Ericsson ConsumerLab ได้ทำการศึกษาแบบตัวต่อตัวกับกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย อายุ 16-60 ปี ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชากรจำนวน 16.8 ล้านคนในทางสถิติ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจโดย TNS ในกว่า 58 ประเทศ กับกลุ่มตัวอย่างรวมทั้งหมดถึง 47,577 คน Ericsson ConsumerLab มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการศึกษาพฤติกรรมและการให้คุณค่า รวมไปถึงวิธีการแสดงออกและความคิดของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์และบริการ ICT ประเภทต่างๆ Ericsson ConsumerLab ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดและผู้บริโภคอีกด้วย

Ericsson ConsumerLab ได้รับความรู้จากการศึกษาผู้บริโภคทั่วโลก โดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างกว่า 100,000 คน ในกว่า 40 ประเทศ และในมหานครกว่า 15 แห่ง ในแต่ละปี ซึ่งถือเป็นตัวแทนประชากรกว่า 1.1 พันล้านคนในเชิงสถิติ มีการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และได้ใช้เวลานับร้อยๆชั่วโมงในการสัมภาษณ์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคจากหลากหลายวัฒนธรรม

และเพื่อให้เรามีความใกล้ชิดกับตลาดและผู้บริโภค Ericsson ConsumerLab จึงมีนักวิเคราะห์ในเกือบทุกภูมิภาคที่มีอีริคสันอยู่ ซึ่งทำให้เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดและโมเดลของธุรกิจ ICT ทั่วโลก

View :1486

ดีแทคยอมชำระค่าปรับ 10 ลบ. จากเหตุการณ์บริการขัดข้องผลจากความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เทคนิค

September 6th, 2012 No comments

5 กันยายน 2555 – นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ได้กล่าวในงานแถลงข่าวซึ่งจัดโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าดีแทคพร้อมที่จะชำระค่าปรับ จำนวน 10 ล้านบาท ตามคำสั่งปกครองของ กสทช. โดยจะไม่ดำเนินการอุทธรณ์แต่อย่างใด โดยค่าปรับดังกล่าว จะเป็นจำนวนเพิ่มเติมจากการชดเชยนาทีโทรฯ ฟรีที่ดีแทคมอบให้กับลูกค้าที่ได้แสดงความจำนงเข้ามาแล้วกว่า 3 ล้านราย จากสาเหตุการบริการขัดข้องเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555

นายจอน  เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ กล่าวว่า การที่ดีแทคตัดสินใจยอมชำระค่าปรับตามที่ กสทช. กำหนด แม้ว่า จำนวนลูกค้าของดีแทคที่ถูกผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะมีจำนวนเพียงประมาณ 1.6 ล้านหมายเลข จากฐานลูกค้าทั้งหมดของดีแทค ประมาณ 24 ล้านคน และยอมชำระค่าปรับ แม้ว่า ความขัดข้องทางบริการ อันเป็นผลจากความขัดข้องของอุปกรณ์ MPLS Signaling Server  นั้น เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัทฯ   รับจ้างติดตั้งอุปกรณ์ เข้าไปดำเนินงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง ที่สำนักงานชุมสายรังสิตของบริษัทฯ

“บริษัทฯ ยอมชำระค่าปรับ โดยไม่อุทธรณ์แต่ประการใด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้าของเรา และต่อ กสทช. ในฐานะที่เราทำให้คนเหล่านั้น ต้องผิดหวังจากการทำงานของเรา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก เนื่องจากเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ โดยมีเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัทรับจ้างติดตั้งอุปกรณ์เพียงคนเดียว ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพ และคุณภาพชั้นสูงของระบบ network ของเราแต่ประการใด” นายจอน กล่าว

“อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงได้รีบดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ในการชดเชยให้กับลูกค้าของเรา จนถึงบัดนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการชดเชยให้ลูกค้าของเราไปแล้วกว่า 3 ล้านคน  มีมูลค่าการชดเชยประมาณ 100 ล้านบาท และเป็นที่คาดการณ์ว่า มูลค่าการชดเชยดังกล่าว อาจสูงถึง 300 ล้านบาท เมื่อถึงวันสุดท้ายของการแจ้งขอรับบริการโทรฯ ฟรี ในวันที่ 14 กันยายน ศกนี้ บริษัทฯ ให้การชดเชยแก่ลูกค้าของเราทุกท่านที่แจ้งแสดงความจำนงเข้ามา แม้ว่า บริษัทฯ ทราบจากการประมาณการณ์ว่า ลูกค้าที่ถูกผลกระทบโดยตรงนั้น น่าจะมีเพียง 1.6 ล้านหมายเลข จากจำนวนการใช้บริการโดยเฉลี่ยในวันดังกล่าว ประมาณ 4.8 ล้านหมายเลข” นายจอน อธิบาย

“แม้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดีแทคจะประสบเหตุขัดข้องในการให้บริการหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่ไม่อยากให้มองว่า แนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป มีเพียงเหตุการณ์เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุปกรณ์ในระบบ network ส่วนเหตุการณ์ที่เหลือเกี่ยวข้องกับการที่สาย fiber optic ถูกตัดขาด หรือความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เทคนิคดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจอย่างสูงเกี่ยวกับคุณภาพของระบบ network และบริการของบริษัทฯ รวมทั้งคุณภาพของบุคลากรของเรา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะเพิ่มมาตรการป้องกันให้มากขึ้น จากมาตรการต่างๆ ที่เรามีอยู่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า กฎระเบียบและขั้นตอนการทำงานต่างๆ จะได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญที่สุดคือ บริษัทฯ จะต้องทำงานให้หนักขึ้น ในการที่จะพยายามชนะใจลูกค้าของเราอีกครั้งหนึ่ง” นายจอน กล่าวสรุป

อนึ่ง การที่ดีแทคต้องชำระค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท ในครั้งนี้ ถือเป็นการชำระค่าปรับที่เป็นประวัติศาสตร์ สำหรับธุรกิจที่ให้บริการสาธารณูปโภค ทั้งในภาคธุรกิจโทรคมนาคม และภาคธุรกิจอื่นๆ เพราะไม่เคยปรากฏว่า มีบริษัทใดต้องชำระค่าปรับ อันเนื่องจากสาเหตุการให้บริการต่อผู้บริโภคโดยขาดประสิทธิภาพมาก่อน

View :1306

“ทรูสโตร์” ช้อปใหญ่ใกล้มือ คลิก http://store.truecorp.co.th ออนไลน์ที่เดียว ครบ คุ้ม ทันใจ วันเดียวได้

August 29th, 2012 No comments


กลุ่มทรู โดย นายกิตติณัฐ ทีคะวรรณ รองผู้อำนวยการ หัวหน้าสายงานการตลาดเชิงพาณิชย์และบริหารงานขาย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (ซ้าย) และ นายวรุตม์ ลีเรืองสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ Web Business บริษัท ทรู ดิจิตอล คอนเท้นท์ แอนด์ มีเดีย จำกัด (ขวา) เปิดตัว ช่องทางจำหน่ายสินค้า-บริการ รวมถึงแพ็กเกจต่างๆของกลุ่มทรู ผ่านhttp://store.truecorp.co.th สร้าประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้งอย่างสะใจ…ที่ครบสุดคุ้ม ชูจุดเด่นศูนย์รวมสมาร์ทโฟน และ Gadgetขนาดใหญ่ที่เปิด 7 วัน 24 ชั่วโมง ราคาพิเศษกว่าที่ซื้อในช้อป ไม่ต้องรอคิวประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทาง ด้วยแนวคิด “ทรูสโตร์…ช็อปทรูที่ใกล้ที่สุด คลิกที่เดียวครบ สั่งครั้งเดียวคุ้ม วันเดียวได้ของทันใจ” รับประกันสินค้าและการบริการหลังการขาย มั่นใจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้งออนไลน์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วประเทศ เริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 28 สิงหาคม พร้อมโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวสั่งซื้อสินค้า-บริการ จัดส่งฟรีทั่วประเทศจนถึง 31 ธันวาคมนี้

ทรูสโตร์ มีผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของกลุ่มทรู อย่างครบถ้วน ประกอบด้วย
• Shopping: ศูนย์รวมสมาร์ทโฟน และ Gadget หลากหลายแบรนด์ อาทิ Apple, Samsung,
HTC, Blackberry โดยมีการรับประกันและบริการหลังการขายเสมือนซื้อสินค้าจากทรู
ช็อป
• Package/Plan: ศูนย์รวมแพ็กเกจและโปรโมชั่น สินค้าและบริการต่างๆในเครือทรู
ทั้งทรูออนไลน์ ทรูมูฟ เอช ทรูมูฟ โทรศัพท์บ้านทรู ทรูวิชั่นส์
• True Digital Store: ศูนย์รวมของดิจิตอลคอนเทนต์ ทั้งเพลง ภาพยนตร์ และรายการ
สุดฮิตจากทรูวิชั่นส์
• Application: รวมแอพพลิเคชันที่ทุกไลฟ์สไตล์ต้องโหลดใช้ ทั้ง H Music, H TV,
H Movie และอื่นๆอีกมากมาย

ทั้งนี้ กลุ่มทรู มั่นใจว่า ทรูสโตร์จะเป็นช้อปที่สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการสั่งซื้อสินค้าบริการ โดยการันตีความมั่นใจด้านความปลอดภัยต่อการสั่งซื้อสินค้าในรูปแบบออนไลน์ และการจัดส่งสินค้าให้ถึงมือได้ภายใน 1 วันเท่านั้น ซึ่งในการชำระค่าบริการ ลูกค้าสามารถเลือกชำระได้ทั้งผ่านบัตรเครดิต โอนเงินผ่านเอทีเอ็มทุกธนาคาร หรือเลือกผ่อน
ชำระด้วยโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน (เฉพาะธนาคารที่ร่วมรายการ) พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ ให้ลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านทรูสโตร์ ได้แก่ SamsungNote 10.1 ราคา 21,900 บาท แถมฟรีฟิล์มกันรอยและ Memory Card 16GB ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2555 (100 ท่านแรกเท่านั้น)

View :1498

“เอไอเอส” ผนึกกำลัง “Google ประเทศไทย” ให้ลูกค้าใช้ Google+ และ Gmail บนมือถือ ผ่านโอเปร่า มินิ ได้ฟรี!

August 23rd, 2012 No comments


โดยนายปรัธนา ลีลพนัง รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล ร่วมกับ “” โดยนางสาวพรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาด ประจำประเทศไทย และ “โอเปร่าซอฟแวร์” โดยนายวิทมนต์ ภริตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำประเทศไทย เปิดประสบการณ์ใหม่สุดล้ำ เป็นครั้งแรกที่ให้ลูกค้าเอไอเอสกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักเรียนนักศึกษา สนุกกับการใช้งาน + และรับ-ส่ง บนมือถือได้ฟรี! โดยไม่คิดค่า EDGE/3G เพียงใช้งานผ่านบราวเซอร์ของโอเปร่า มินิ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการ ในการผนึกกำลังกันของ 3 ค่ายยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที ร่วมกันสร้างสรรค์โมเดลพิเศษในการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าเอไอเอสได้สัมผัสกับประสบการณ์บนโลกออนไลน์ก่อนใคร
ทั้งนี้ มือถือรุ่นที่รองรับการใช้งาน Opera Mini ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Java, Symbian, แบล็คเบอรี่ โดยลูกค้าเอไอเอสสามารถดาวน์โหลด Opera Mini ได้ฟรี! ง่ายๆ เพียงโทร *900 หรือพิมพ์ wap.mobilelife.co.th จากนั้นเลือก App Store แล้วเลือก Opera Mini ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www..co.th/operamini_google สอบถามโทร.1175

View :1367

นอสตร้าประกาศศักดาผู้นำคอนเทนต์แผนที่แบรนด์ไทย เดินหน้ารุกตลาดสมาร์ทโฟน

August 23rd, 2012 No comments

โกลบเทคบุกตลาดเต็มสูบ ชูความเป็นผู้นำ โลเคชั่น คอนเทนต์ โพรวายเดอร์ ดัน ขึ้นแท่นโกยรายได้ เผยแผนเดินหน้ารุกตลาดสมาร์ทโฟน เกี่ยวก้อยพันธมิตรพัฒนาแอพพลิเคชั่น จับกลุ่มไลฟ์สไตล์บนโซเซียลมีเดีย มั่นใจสิ้นปีผลประกอบการเป็นไปตามเป้า

นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด ผู้นำด้านการให้บริการข้อมูลแผนที่ หรือ โลเคชั่น คอนเทนต์ โพรวายเดอร์ (Location Content Provider) รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์นอสตร้า (NOSTRA) เปิดเผยถึงทิศทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังว่า โกลบเทคมีแผนที่จะเดินหน้าเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ด้วยการขยายการให้บริการข้อมูลแผนที่สู่กลุ่มธุรกิจพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน สืบเนื่องจากภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนในไทยปีนี้ที่มีตัวเลขคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนมากกว่า 4 ล้านเครื่อง และการเติบโตของแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนประเภทการบริการอ้างอิงตำแหน่ง แบบ Location-based Services (LBS) ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดในช่วงปีที่ ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเพื่อระบุตำแหน่งของผู้ใช้ไปยัง social network หรือด้านธุรกิจและการตลาด

นายวิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการใช้โทรศัพท์แบบออลอินวัน โทรศัพท์เครื่องเดียวที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบถ้วน ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดแผนที่สำหรับค้นหาเส้นทางและสถานที่ขยายตัวขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมากขณะเดียวกันผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นก็มีความต้องการข้อมูลแผนที่ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชันในการใช้งานสำหรับแอพพลิเคชั่น เช่น ระบบเนวิเกชั่น การระบุตำแหน่งของร้านค้า การระบุตำแหน่งของผู้ใช้งาน การแชร์ตำแหน่งบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นต้น และด้วยจุดแข็งของแผนที่ NOSTRA ที่มีข้อมูลสถานที่ หรือ Points of Interest (POI) มากกว่า 830,000 ตำแหน่งทั่วประเทศไทย และสามารถแบ่งหมวดหมู่ได้อย่างชัดเจน จึงทำให้โกลบเทคได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพันธมิตรผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น เช่น SpeedNavi, Zodio และ Guide & Go

“NOSTRA เป็นข้อมูลแผนที่ประเทศไทยที่พัฒนาโดยทีมงานคนไทย ด้วยวิศวกรที่มีประสบการณ์ในการออกแบบฐานข้อมูลแผนที่เพื่อรองรับงานระบบภูมิสารสนเทศและระบบเนวิเกชั่น และทีมสำรวจที่มีความชำนาญและเข้าใจสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประเทศไทยเป็นอย่างดี กอปรกับการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้งานสำรวจข้อมูลมีความถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด และก่อนที่เราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราจะตรวจสอบความต้องการของลูกค้าและทดสอบผลิตภัณฑ์จนมั่นใจว่าสามารถใช้งานได้จริง ทำให้ผลงานที่ผ่านมาของเราได้รับการยอมรับในระดับสากล ว่าเป็นข้อมูลแผนที่ที่มีคุณภาพ ทั้งความละเอียดและความถูกต้องของข้อมูล เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจในการทำงานด้านแผนที่มาตลอดกว่า 20 ปี และโกลบเทคมีความพร้อมร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นแผนที่บนสมาร์ทโฟนร่วมกัน บนทุกระบบปฏิบัติการ”

นายวิชัย กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีหลังนี้โกลบเทคยังคงให้ความสำคัญกับตลาดแผนที่นำทางสำหรับรถยนต์ หรือ GPS Car Navigation ทั้งในรูปแบบอุปกรณ์พกพา PND (Personal Navigation Device) และรูปแบบติดตั้งพร้อมใช้ในรถยนต์ (In Car Navigation) และจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดระบบนำทางรถยนต์ ส่งผลให้ NOSTRA ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ข้อมูลแผนที่ในจีพีเอส เร่งปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ ด้วยการเพิ่มข้อมูลที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันโกลบเทคได้ทำการบันทึกข้อมูลที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของสถานที่ต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปแล้วจำนวนกว่า 1 ล้านแห่ง และตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2 ล้านแห่งภายในสิ้นปีนี้ ตลอดจนการเพิ่มข้อมูลแผนที่ภายในอาคาร (Indoor map) เช่น แผนที่แผนผังร้านค้าภายในห้างสรรพสินค้า ที่จะช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาสถานที่และทางเดินภายในอาคารได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการวิจัยและพัฒนา

สำหรับการบริการและโซลูชั่นอื่นๆ โกลบเทคได้ขยายบริการแผนที่ในรูปแบบแผนที่ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ หรือ Map Service โดยกลุ่มฐานลูกค้าผู้ใช้งานแผนที่ออนไลน์ มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ ที่นำข้อมูลแผนที่ NOSTRA ไปวิเคราะห์และประยุกต์การใช้งานตามความเหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง อาทิ การเลือกทำเลที่ตั้งสาขา จุดจำหน่ายสินค้า หรือขอบเขตการให้บริการ ฯลฯ และ กลุ่มลูกค้าทั่วไป ที่ใช้ข้อมูลแผนที่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยโกลบเทคจะให้บริการข้อมูลแผนที่ NOSTRA ผ่านพันธมิตรธุรกิจในกลุ่มเว็บไซต์โซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม เป็นต้น

“เมื่อเร็วๆ นี้ โกลบเทคได้เปิดให้บริการ Free Service เป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ใช้งานทั่วไปมีโอกาสใช้ข้อมูลแผนที่ NOSTRA ทั้งข้อมูลสถานที่สำคัญ โครงข่ายคมนาคมทั่วประเทศ ข้อมูลรายงานสภาพการจราจร (Traffic information) และข้อมูลร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ (NOSTRA Guide) ทั้งในรูปแบบแผนที่ออนไลน์ “NOSTRA Map Cloud” บนเว็บไซต์ www.nostramap.com และแอพพลิเคชั่นแผนที่ “NOSTRA Map Thailand” บนสมาร์ทโฟน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถค้นหาสถานที่สำคัญ สถานที่ใกล้เคียง เส้นทางการเดินทาง และยังสามารถแชร์ตำแหน่งผ่าน email, SMS หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ”

ในท้ายที่สุด นายวิชัยกล่าวว่า ปีนี้โกลบเทคตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 200 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ โกลบเทค บริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทซีดีจี มีศักยภาพที่จะเติบโตและขยายธุรกิจทั้งภายในและนอกประเทศ เนื่องจากกลุ่มบริษัทซีดีจีมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นองค์กรชั้นนำในระดับสากล (1 ใน 10 ของอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558) ตลอดจนการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการตลาดในภูมิภาคนี้ให้แก่โกลบเทคเป็นอย่างมาก

View :1356