Archive

Archive for March, 2014

ดีแทค ไตรเน็ตลุยพัฒนาระบบสถานีฐานเฟสแรกสู่ 4G 2100MHz

March 28th, 2014 No comments

25 มีนาคม 2557 – ดีแทค ไตรเน็ตเดินหน้าพัฒนาสถานีฐานเฟสแรกพร้อมเริ่มทดสอบสู่การให้บริการ 4G LTE บนคลื่น 2100MHz ในพื้นที่กรุงเทพฯ มั่นใจความพร้อมของเทคโนโลยีใหม่และการพัฒนาระบบที่ทำได้อย่างต่อเนื่องตามแผนงาน เพื่อรองรับการใช้งานดาต้าที่สูงขึ้นและต่อยอดประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตบนโครงข่ายดีแทค ไตรเน็ต
dtac4G-158N
นายปัญญา เวชบรรยงรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานปฏิบัติการโครงข่าย บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าขณะนี้ดีแทค ไตรเน็ตได้ดำเนินการพัฒนาระบบสถานีส่งสัญญาณหลักในพื้นที่กรุงเทพมหานครตามแผนงาน หลังจากได้รับมติอนุญาตอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เพื่อพัฒนาระบบสู่เทคโนโลยี 4G LTE บนคลื่นความถี่ 2100MHz บนช่องสัญญาณที่ดีแทค ไตรเน็ตมีอยู่ในปัจจุบัน มาให้บริการภายใต้ขอบเขตใบอนุญาตเดิม เรามั่นใจในความพร้อมของเครือข่ายใหม่ที่รองรับพัฒนาสู่เทคโนโลยีล่าสุดได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่เปลี่ยนการ์ด 4G ในตู้สัญญาณ และยังเริ่มทดสอบการใช้งานเทคโนโลยี 4G LTE ผ่านอุปกรณ์สื่อสารเพื่อเตรียมให้บริการในเร็วๆ นี้

ทางดีแทค ไตรเน็ตได้ออกแบบพื้นที่ที่จะให้บริการ 4G 2100MHz ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน เนื่องจากมีปริมาณการใช้งานดาต้า 3G สูง จึงจะนำ 4G 2100MHz เปิดให้บริการในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้งานดาต้าที่ดีมากขึ้น โดยทีมงานดีแทค ไตรเน็ตกำลังเร่งดำเนินการพัฒนาระบบสถานีฐานสู่ 4G LTE บนคลื่นความถี่ 2100MHz อย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่วางไว้

“การพัฒนาสู่ 4G LTE บนคลื่นความถี่ 2100MHz ของดีแทค ไตรเน็ตในครั้งนี้เป็นการต่อยอดประสบการณ์การใช้งานในการสื่อสารที่เหนือระดับกว่า และเป็นการสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยสู่อนาคต หลังจากดีแทค ไตรเน็ตประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมาด้วยการรวมเอาเครือข่ายบนคลื่น 2100MHz, 850MHz และ 1800MHz เข้าไว้ด้วยกันจึงมีแบนด์วิธที่กว้างที่สุดในการให้บริการ ตลอดจนรองรับอุปกรณ์สื่อสารได้หลากหลายและครอบคลุมที่สุด และระบบอัจฉริยะของ 3 โครงข่ายนี้พร้อมสลับคลื่นความถี่ให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ในทุกพื้นที่โดยอัตโนมัติ โดยลูกค้าไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะใช้บริการบนคลื่นความถี่ไหน พร้อมทั้งเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ Internet for All ของดีแทคที่มุ่งมั่นจะทำให้คนไทยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น” นายปัญญา กล่าว

View :3247

บิ๊กซี จับมือ Cdiscount ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซฝรั่งเศส และบริษัทในเครือกลุ่มคาสิโนในเวียดนามเปิดบริษัทลุยธุรกิจอีคอมเมิร์ซเต็มตัว

March 15th, 2014 No comments

บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เปิดมิติใหม่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จับมือ บริษัท Cdiscount ยักษ์ใหญ่ผู้นำอีคอมเมิร์ซ
แห่งประเทศฝรั่งเศส และบริษัทในเครือกลุ่มคาสิโนในเวียดนาม เปิดบริษัทลุยธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบเต็มตัวเพื่อจับ
ตลาดอาเซียน กำหนดเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในไทยและเวียดนาม ภายใต้ชื่อ “Cdiscount” (ซี ดิสเคาท์) ในอีกไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึง โดยจะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซกว่า 10 ปี ของ Cdiscount ในฝรั่งเศส มาผนวกกับความเป็นผู้นำด้านค้าปลีกและภาพลักษณ์ด้านราคาของบิ๊กซีในไทยและเวียดนาม เพื่อนำเสนอ
- สินค้ายอดนิยมหลากหลายในราคาที่ประหยัดที่สุด
- ช่องทางการจับจ่ายและรับสินค้าที่ครบถ้วนและครอบคลุมทุกความต้องการ
- แผนการตลาดที่ถูกออกแบบให้ตรงและตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะถิ่นของผู้บริโภคในทุกพื้นที่

การก้าวเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มตัวของบิ๊กซีในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนยุทธศาสตร์การขยายช่องทางการขายของบิ๊กซี โดยช่องทาง Cdiscount จะเติบโตคู่ไปกับช่องทางบิ๊กซี ช้อปปิ้ง ออนไลน์ ซึ่งทั้งสองจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตด้วย

เกี่ยวกับ Cdiscount:
Cdiscount เป็นบริษัทในเครือกลุ่มคาสิโน และเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในประเทศฝรั่งเศสที่มียอดขายถึง 1.6 พันล้านยูโร (รวมรายได้จากการเป็นช่องทางซื้อขายสินค้าแบบ Marketplace) หลังจากการเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็วในปี 2556 นอกจากนั้น Cdiscount ได้พัฒนากลยุทธ์การใช้ช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย และนวัตกรรมของการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และใช้ประโยชน์จาก
- การเป็นช่องทางและศูนย์รวมการรวมสินค้าแบบ Marketplace ที่หลากหลายและครอบคลุมสินค้าทุกประเภท จากผู้ค้าที่เข้าร่วมธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนถึง 16% ของมูลค่าการขายทั้งหมด มีสินค้ามากถึง 5.5 ล้านชิ้น และผู้ร่วมค้าขายกว่า 2,800 คน
- บริการใหม่ๆ อาทิ การรับชำระเงินที่ร้านค้าต่างๆ หรือผ่านเว็บไซต์และสมาร์ทโฟนแอพพลิเคชั่น
- เครือข่ายการกระจายสินค้าที่มีจุดรับสินค้ากว่า 14,000 แห่งในฝรั่งเศส

View :48266
Categories: E-Commerce Tags:

ซีเอ เทคโนโลยี จับมือFacebook เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลก

March 15th, 2014 No comments

ซีเอ เทคโนโลยี จับมือFacebook เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลก
นวัตกรรมจากซีเอ เทคโนโลยีช่วยเพิ่มสมรรถนะการใช้พลังงานให้กับระบบไอทีที่รองรับการใช้งานมากที่สุดในโลก

ซีเอ เทคโนโลยีเผย Facebook, Inc. บริษัทโซเชี่ยลมีเดียชั้นนำของโลกได้เลือกใช้งานซอฟต์แวร์โซลูชั่น CA DCIM (CA Data Center Infrastructure Management) เพื่อรวมระบบดูแลติดตามการใช้พลังงานในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

ก่อนหน้านี้ ทาง Facebook ได้รีวิวซอฟต์แวร์ DCIM จากหลายบริษัท และทางซีเอ เทคโนโลยีก็ได้ผ่านการคัดเลือกและได้ผ่านการนำเสนอโปรเจกต์นำร่องในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีเนื้อที่กว่า 100,000 ตารางฟุต หลังจากนั้นทาง Facebook ก็ได้ทำงานร่วมกับซีเอ เทคโนโลยีเพื่อสร้างโซลูชั่นพิเศษขึ้นมาเพื่อรองรับระบบ DCIM ในการประหยัดพลังงานเพื่อรองรับทั้งการใช้งานในปัจจุบันและอนาคตของเฟซบุ๊ค ซึ่งเป็นผลมาจากนวัตกรรมเทคโนโลยี และขีดความสามารถของซีเอ เทคโนโลยีในการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว ปรับขยายระบบได้ต่อเนื่องตามต้องการ รวมทั้งกระบวนการทำงานร่วมกันเพื่อปรับแต่งระบบให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

“การกิจของเราคือเชื่อมต่อโลกเข้าหากัน และโครงสร้างพื้นฐานระบบไอทีคือหัวใจของความสำเร็จของเรา ” ทอม เฟอร์ลอง รองประธานฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลบริษัท Facebook กล่าว “เราจะเดินหน้าปรับปรุงศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของเราต่อไปโดยมีเป้าหมายหลักที่จะรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการใช้พลังงานทั้งหมดมารวมไว้ในที่เดียวกัน”

“ในแต่ละวัน มีคนกว่า 728 รายใช้งาน Facebook และทุกรายต่างคาดหวังกับคุณภาพของงานบริการ ตลอดจนการพร้อมใช้งานที่สูงมากๆ ” เทอร์เรนส์ คลาก รองประธานอาวุโส ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลบริษัทซีเอ เทคโนโลยีกล่าว “งานของ Facebook กดดันการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานไอทีสูงมากๆ และแทบจะไม่มีช่องว่างสำหรับข้อผิดพลาด หรือความไร้ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นในระบบ ผลก็คือ ทีมไอทีของ Facebook จำเป็นที่จะต้อง ติดตามข้อมูลของระบบพลังงานและการทำความเย็นทั้งหมดที่อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ทุกขณะ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาและค่าใช้จ่าย”

“ทีมไอทีของ Facebook สามารถนำข้อมูลที่เกี่ยวกับการใช้พลังงานทั้งหมดมารวมไว้ในระบบข้อมูล DCIM ทั้งหมดเพื่อให้ภาพรวมที่ชัดเจนครอบคลุมมากยิ่งขึ้น สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมเข้ามาเพื่อใช้ตัดสินใจเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายลงมาในขณะที่สามารถนำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่ดีกับลูกค้าผู้ใช้งาน และสร้างโอกาสในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ต่อไป”

ระบบ CA DCIM คือโซลูชั่นที่ใช้ติดตามดูแลระบบพลังงาน การทำความเย็น และตัวแปรแวดล้อมอื่นๆ ในของอาคารและระบบไอทีที่ใช้ในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์รวมทั้งจัดการการใช้พื้นที่ และวงจรการใช้งานวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ http://www.ca.com/dcim

เกี่ยวกับ ซีเอ เทคโนโลยี
ซีเอ เทคโนโลยี (NASDAQ: CA) เป็นผู้จัดหาโซลูชั่นเพื่อการบริหารจัดการไอที ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการและรักษาความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมของระบบไอทีที่ซับซ้อนเพื่อรองรับการให้บริการธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งนี้ องค์กรต่างๆ ใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์และโซลูชั่นในกลุ่ม SaaS ของซีเอ เทคโนโลยี เพื่อสร้างนวัตกรรม ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน และรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและอัตลักษณ์ต่างๆ นับตั้งแต่ระดับดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบคลาวด์ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซีเอ เทคโนโลยี ได้ที่ www.ca.com

View :2376
Categories: Internet, Technology Tags:

Disney Infinity Launches Major Updates for PC Game

March 15th, 2014 No comments

New Content Expands Connected Play across Consoles, PCs and Mobile Devices

Disney Interactive announced today that the Disney Infinity PC game will allow new and existing online players to download true-to-property Play Sets for the first time. Additional new content include waves one and two hexagonal power discs, select pre-made Adventures and Mastery Tutorials. These functions were previously only available on the best-selling Disney Infinity console game.

The update also introduced a new Toy Box rewards program. Fans who log-in and play Disney Infinity on PC at least four times over the course of a week will earn new pre-made Adventures and a variety of toys they can use to make one-of-a-kind Toy Box creations. Those Toy Boxes can then be shared and played with friends on any platform, regardless of the one it was created on, including the Disney Infinity Toy Box app for iOS and Win8.

Players can download the PC game at https://infinity.disney.com/ and content updates can be purchased on the website at https://infinity.disney.com/pc-shop . Details of the content offerings are listed below:

Disney Infinity Toy Box Starter Pack
Players who download the game for the first time for free on PC will receive 85 starter toys, a playable Mr. Incredible character, one pre-made Adventure and three Mastery Tutorials. All players will have access to Disney services and user-generated content with a Disney ID, such as the weekly Toy Box Challenge winners featuring unique themed-worlds created by the Disney Infinity community.

Play Sets
· Each play set includes one unlocked character for $14.99 each. Complete play set bundle is also available for $74.95.
o The Incredibles – Mrs. Incredible
o Lone Ranger – Lone Ranger
o Toy Story in Space – Jesse
o Cars – Holley
o Pirates of the Caribbean – Jack Sparrow
o Monsters University – Sulley

Tox Box Content
· Ultimate Toy Box Experience: Includes all generic Toy Box toys, two additional characters, three advanced Mastery Tutorials and all items players would have earned through the Toy Box rewards program. ($19.99)

· Single Characters: Each figure comes with two specific Toy Box items. Items are exclusive to those characters and cannot be unlocked in other ways. ($2.99 for regular character figure, $3.99 for Crystal Series)

· Character Bundles: Character starter set, which includes all launch characters, will retail for $39.99 while post-launch Fall and Holiday character releases will retail at $14.99.

· Power Discs: Hexagonal discs from waves one and two are now available; wave three power discs will be available starting April 1. There is also an option to purchase bundles of each wave of power discs. ($1.99 for 2-pack; $2.99 for 3-pack; $19.99 for waves one and two bundle; $7.99 for wave three; $24.99 for bundle of all discs)

· 11 Free Pre-Made Adventures (select ones from console game): users will be awarded three Toy Box items for each completed Adventure. Character-specific Adventures are played with that character even if the player does not own that character.

· 6 Free Mastery Tutorials (all from console game): users will be awarded three Toy Box items for each completed Mastery Tutorial.

To access screenshots, please visit: http://smu.gs/1o4qols

About Disney Infinity
Disney Infinity is an all-new video game initiative starring the beloved characters from Walt Disney and Pixar Studios’ most popular franchises. Players can place real-world toy versions of favorite Disney characters onto a device called the Disney Infinity Base and transport them into the virtual game worlds of Monsters University, the Incredibles, Cars, Pirates of the Caribbean, The Lone Ranger and Toy Story in Space, as well as into a giant Toy Box. Disney Infinity is available now for Xbox 360, PlayStation 3, Wii U, Wii, 3DS, PC, iOs and Win8.

For additional information, please visit www.disney.com/infinity and www.youtube.com/disneyinfinity, join the Disney Infinity Facebook community (Facebook.com/disneyinfinity) and Google+ community (https://plus.google.com/+DisneyInfinity), and follow us on Twitter (twitter.com/disneyinfinity) and Instagram (instagram.com/disneyinfinity). To access press materials, please visit http://disneyinteractive.smugmug.com/DisneyInfinity.

View :2483
Categories: Press/Release Tags:

ทรู เผยปี’57 ปรับโฉมสู่ยุคคอนเวอร์เจนซ์เต็มรูปแบบ

March 15th, 2014 No comments

มุ่งสร้างคุณค่าและประโยชน์เพื่อลูกค้าเป็นสำคัญ
เน้นการบริหารค่าใช้จ่ายเต็มประสิทธิภาพ เสริมความแข็งแกร่ง
ทั้งด้านธุรกิจและการเงิน มั่นใจปีหน้าพลิกสร้างผลกำไร

กลุ่มทรู พอใจในความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ทั้งรายได้จากการให้บริการที่ยังคงเติบโต และความสำเร็จในการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม “ทรูโกรท” (TRUEGIF) รวมถึงภาระหนี้ที่ปรับลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมประกาศทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2557 ก้าวเป็นผู้ให้บริการคอนเวอร์เจนซ์เต็มรูปแบบโดยปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร และกำหนดทิศทางมุ่งเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ รุกเสริมความแข็งแกร่งทั้งด้านธุรกิจและการเงิน บริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มอัตรากำไรเบื้องต้น (EBITDA) มั่นใจนำกลุ่มทรูสร้างผลกำไรได้ภายในปี 2558

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมา กลุ่มทรูประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน ทั้งรายได้จากผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจที่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ และความสำเร็จจากการเป็นองค์กรไทยรายแรกของประเทศที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโลก COPC CSP จาก COPC (Customer Operation Performance Center) รวมทั้งความสำเร็จจากการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม “ทรูโกรท” (TRUEGIF) ซึ่งส่งผลให้กลุ่มทรูสามารถลดภาระหนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และในปี 2557 นี้ กลุ่มทรูจะก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการคอนเวอร์เจนซ์อย่างเต็มรูปแบบ โดยการปรับโครงสร้างการบริหาร และปรับองค์กร มุ่งให้ความสำคัญแก่ลูกค้าสูงสุด ทั้งการสร้างประโยชน์และมูลค่าเพิ่มยิ่งขึ้น รวมทั้งการก้าวเป็นองค์กรที่ขยายตัวเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

“ผมมั่นใจว่ากลุ่มทรูจะสามารถก้าวเป็นองค์กรที่ทำกำไรได้ในปีหน้าอย่างแน่นอน โดยในปีนี้จะเน้นการสร้างความแข็งแกร่งทั้งด้านธุรกิจและการเงิน การบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มอัตรากำไรเบื้องต้น (EBITDA) โดยใช้หลักการบริหารจัดการธุรกิจในแบบ Total Quality Management (TQM) ซึ่งเป็นการบริหารคุณภาพระบบงานทั้งหมดในองค์กร โดยการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กร และเพื่อยกระดับกลุ่มทรูให้ทัดเทียมมาตรฐานระดับโลก นอกจากนี้ยังนำ Lean Six Sigma ซึ่งเป็นขบวนการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาอย่างมีระบบเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่สาเหตุอย่างแท้จริง ตลอดจนปรับปรุงขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า”

ในปี 2556 กลุ่มทรูมีรายได้จากการให้บริการโดยรวม จำนวน 66.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากรายได้ที่เติบโตในทั้งสามธุรกิจหลัก ขณะที่มีผลขาดทุนสุทธิ 9.1 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายจากการสิ้นสุดสัมปทานของทรูมูฟในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการโอนย้ายลูกค้าทรูมูฟ มาเป็น ทรูมูฟ เอช การบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์โครงข่าย 2G รวมถึงค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น จากการร่นระยะเวลาการตัดค่าเสื่อมของสินทรัพย์ภายใต้สัญญาสัมปทานของทรูมูฟให้สั้นขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในช่วงการสิ้นสุดยุคสัมปทาน 2G เท่านั้น และรายได้รวมของกลุ่มทรูโมบายล์ ในปีที่ผ่านมายังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริการนอนวอยซ์ซึ่งเติบโตสูงถึงร้อยละ 49 จากปีก่อนหน้า ด้วยความเป็นผู้นำบริการ 3G ที่เร็ว แรงเต็มสปีด และครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด และบริการ 4G LTE รายแรกในไทย รวมถึงการนำเสนอแพ็กเกจบริการที่คุ้มค่าร่วมกับดีไวซ์หลากหลายรุ่น ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี ทำให้ ณ สิ้นปี 2556 กลุ่มทรูโมบายล์มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 22.9 ล้านราย

ทรูออนไลน์ ยังคงเดินหน้าขยายโครงข่ายบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมแล้วกว่า 4.3 ล้านครัวเรือน ใน 61 จังหวัด ณ สิ้นปี 2556 และตั้งเป้าครอบคลุมทั่วประเทศในปีนี้ ทั้งนี้ จากการนำเสนอแพ็กเกจคอนเวอร์เจนซ์ที่เพิ่มความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้าจากการรวมบริการอัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต ของทรูออนไลน์ ร่วมกับบริการอื่นๆ ภายในกลุ่มทรู ส่งผลให้ทรูออนไลน์มีจำนวนผู้ใช้บริการบรอดแบนด์รายใหม่สุทธิสูงกว่า 240,000 ราย มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านราย ณ สิ้นปี 2556 และมีรายได้บริการบรอดแบนด์ของทรูออนไลน์ เติบโตสูงถึงร้อยละ 17 จากปีก่อนหน้า

ทรูวิชั่นส์ มุ่งเน้นการเพิ่มประสบการณ์การรับชมให้กับลูกค้าด้วยการสรรหาคอนเทนต์คุณภาพทั้งในและต่างประเทศ และการปรับเพิ่มช่องรายการในระบบ HD เป็นจำนวนที่มากที่สุดในไทยถึง 50 ช่อง นอกจากนี้ยังได้นำเสนอแพ็กเกจใหม่ที่หลากหลายและบริการเสริมที่น่าดึงดูดใจ อาทิ แคมเปญ “สุขx2” บริการอัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต 12 Mbps. พร้อมรับชมช่องรายการต่างๆ จากทรูวิชั่นส์ถึง 78 ช่อง พร้อม 3 ช่อง HD ในราคาเพียง 699 บาท และทรูวิชั่นส์ เอนิแวร์ บริการโมบายเพย์ทีวีแบบใหม่ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ง่ายยิ่งขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2556 ทรูวิชั่นส์มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นทั้งสิ้น 2.4 ล้านราย และมีรายได้จากค่าโฆษณาและค่าสปอนเซอร์ เป็นปัจจัยที่สร้างความเติบโตให้แก่รายได้ของทรูวิชั่นส์

“ปี 2557 นี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยและกลุ่มทรู อันเกิดจากการปรับเปลี่ยนสู่ระบบเสรีที่ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ภายหลังการออกใบอนุญาตต่างๆ ทั้งในด้านกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ของคณะกรรมการ กสทช. อีกทั้งความสำเร็จจากการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเป็นครั้งแรกของไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน ลดการลงทุนซ้ำซ้อน อันจะนำมาซึ่งการแข่งขันที่เป็นธรรมและการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยในระยะยาว” นายศุภชัย กล่าวสรุป

View :1314
Categories: Press/Release Tags:

ออโตเดสก์ฟันธง 8 เทรนด์ฮิตของสิ่งก่อสร้างปี ‘57

March 15th, 2014 No comments

KHIDI Huangdeng Hydropower Station imageโดย มร.เจียนลูก้า แลงก์ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายอุตสาหกรรมประจำภูมิภาคอาเซียนของออโตเดสก์

จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่ตึกสูงเทียมฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางด้านสิ่งปลูกสร้างที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่มมีตึกสูงมากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่ารวมถึงการขยายตัวของเขตเมืองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาโดยได้แรงหนุนจากเหล่าชนชั้นกลางที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น เช่นเดียวกันกับปัญหาทางด้านสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น ความแออัดที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ความไม่เพียงพอทางด้านพื้นที่สำหรับรองรับการจราจรที่เพิ่มขึ้น ความไม่แข็งแรงทางด้านโครงสร้างเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถร่วมกันเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย อาทิ ระบบคลาวด์ฯ และโมบายเทคโนโลยีสำหรับการแสดงผลแบบเรียลไทม์ การจำลอง / ประมวลผลแบบเวอร์ชวลไลซ์เซชั่นเพื่อความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ถือหุ้น และผู้ที่มีส่วนได้ส่วยเสีย

การก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธาเป็นตัวแทนของ 2 สิ่งที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดทางเศรษฐกิจของประเทศไทย สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังคงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ การสร้างสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยและเป็นระบบแบบบูรณาการอย่างเช่น เซียงไฮ้ทาวเวอร์, สิงคโปร์สปอร์ตฮับ, แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติอินโดนีเซีย (MP3EI) และการก่อสร้างส่วนขยายของรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงการจ้างงานบุคลากรนับพัน แต่ยังเป็นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวอีกด้วย

เราจะเห็นอะไรในสิ่งก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานในปี ‘57

กระแสการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างได้เริ่มเกิดขึ้นแล้วและกุญแจสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมเหล่านี้ในปี 2557 และปีต่อๆ ไปก็คือเทคโนโลยีอันนำสมัยและนวัตกรรมทางการเงิน

อุตสาหกรรมการก่อสร้างในปี 2557 นี้จะเป็นปีแห่งการนำเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling ) มาปรับใช้ในงานเพื่อผลักดันให้เกิดผลผลิตอันยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น และนี่คือกุญแจสำคัญของเทรนด์อุตสาหกรรมการก่อสร้างที่น่าจับตามองในปี 2557 นี้
1. ในปี 2556 ที่ผ่านมา เราได้เห็นศักยภาพของเทคโนโลยีคลาวด์ที่ได้นำมาใช้อย่างแพร่หลายในการทำงาน ซึ่งช่วยให้การทำงานนอกสถานที่มีความสะดวกมากขึ้น โดยเทคโนโลยีนี้จะยังคงมีการใช้อย่างแพร่หลายอย่างต่อเนื่องในปี 2557 ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลโครงการแบบเรียลไทม์จะช่วยให้ผู้จัดการโครงการตระหนักถึงประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรากำลังร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงจากรากฐานอุตสาหกรรมเดิมๆ ไปเป็นการใช้ BIM โดยลูกค้าจะค้นพบวิธีใหม่ในการเพิ่มศักยภาพของกระบวนการภาคสนามมากยิ่งขึ้น

2. การทำงานโดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่, คลาวด์และ BIM เป็นตัวช่วย จะมีส่วนสำคัญในการสร้างความร่วมมือในสายงานทางด้านวิศวกรรม, สถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง บริษัทที่คิดการณ์ไกลจะเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการออกแบบและติดตามปัญหาในภาคสนาม ดังนั้นการนำ iPad และแทบเล็ตมาใช้งานในภาคสนามจะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ที่เริ่มใช้งานกัน

3. ในปี 2557 และจากนี้ไปอีก 5 ปี เราคาดการณ์ว่าการใช้งาน BIM จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เหล่าวิศวกร สถาปนิกและผู้ที่ทำงานก่อสร้างสามารถแบ่งปันข้อมูลโมเดลอันชาญฉลาดนี้ได้อย่างง่ายดาย โดย BIM จะมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการออกแบบและการจัดการในแต่ละโครงการจากแบบเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง โดยในปีพ.ศ.2563 คาดว่า BIM จะก้าวเข้ามาเป็นเทคโนโลยีหลักของการออกแบบและก่อสร้างโดยทำการประสานข้อมูลของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดให้มาอยู่ภายในโมเดลเดียว ในขณะเดียวกันก็จะมีการนำ BIM มาปรับใช้กับวงจรชีวิตของโครงการอีกด้วยทำให้ความเชื่อมต่อระหว่างการออกแบบและการก่อสร้างจะไหลลื่นและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อนและมีความแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย

4. เราเชื่อว่าภายในปี 2563 ระบบการส่งไฟล์จะมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถสร้างชิ้นส่วนของสิ่งก่อสร้างได้จากนอกสถานที่ ซึ่งการผลิตแบบดิจิตอลทั้งจากในและนอกสถานที่จะกลายมาเป็นมาตรฐานการทำงานของระบบอุตสาหกรรม

ส่วนในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางโยธานั้น BIM และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจะยังคงร่วมกันเปลี่ยนแปลงการก่อสร้างไปในทางที่ดีขึ้น แต่ว่ากุญแจอื่นในด้านกระแสของเงินทุนโครงสร้างพื้นฐานจะยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง

การจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

เมื่อมองไปที่การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของเมือง ทางโกลด์แมน แซชส์ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าโอกาสด้านโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียนนั้นมีมูลค่ากว่าครึ่งล้านล้านดอลล่าร์ ด้วยเวลาเพียงใม่กี่ปี เศรษฐกิจของอาเซียนได้มีการเติบโตของ GDP สูงมากและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยังคงเอื้อต่อความเจริญเติบโตและช่วยเพิ่มผลผลิตให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย จากข้อมูลของเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม ประเทศที่มีลักษณะเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตัวเองในอาเซียน เช่น มาเลเซียและไทยนั้น ได้มีการปรับปรุงคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานในประเทศของตัวเอง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ยังคงมีความต้องการการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง

การเจริญเติบโตนั้นเชื่อมโยงไปยังการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งคาดว่าจะมีการก่อสร้างครอบคลุมไปทั่วภูมิภาคและเชื่อกันว่านวัตกรรมทางการเงิน เช่น ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) ที่เข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ นั้นจำเป็นต่อการแก้ปัญหาด้านการขาดแคลนเงินทุน เราจะได้เห็นภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมทั้งในด้านการก่อสร้างและการพัฒนาการเงินเท่าที่ความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายจะทำได้ ซึ่งนั่นจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนมากขึ้น การการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นจะเปิดโอกาสอันดีให้กับเหล่าผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐาน

นี่คือ 4 ปัจจัยที่น่าจับตามองในปี 2557 และผลจาก PPP

1. เมื่อรัฐบาลมีปัญหาทางด้านการเงิน ความร่วมมือแบบ PPP จะมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง PPP คือการทำสัญญาระหว่างภาครัฐและเอกชนโดยมีทรัพยากร, ความเสี่ยง และผลตอบแทนต่างๆ ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงานที่มากกว่าเดิม ดีกว่าการที่ภาครัฐจะแบกรับค่าใช้จ่ายแต่เพียงผู้เดียว การโยกย้ายการจัดซื้อจัดจ้างออกจากงบดุลของภาครัฐไปยังภาคเอกชนถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่าการเพิ่มภาษีหรือเพิ่มภาระทางหนี้สินให้กับทางภาครัฐ

2. ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของ PPP ได้รับการตอบสนองจากการแข่งขันที่มาจากทั่วโลก การลงทุนที่มาจากภาคเอกชนในท้องถิ่นนั้นจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว ในทางกลับกัน การแข่งขันทางด้านเงินทุนจะก้าวเข้าสู่ระดับสากล การเพิ่มขึ้นของการแข่งขันทางด้านเงินทุนจากทางภาคเอกชนจะส่งผลต่อทั่วโลกให้เปลี่ยนจากโครงการเงินทุนที่เป็นระบบใครมาก่อนได้ก่อนเป็นหลักแล้วค่อยให้ผลตอบแทนด้านการเงินไปเป็นโครงการธุรกิจที่ดีที่สุด ในตอนนี้ PPP ได้มีการดำเนินการไปแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, โปรตุเกตุ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่นๆ และ PPP เองก็กำลังจะมีขึ้นในอีกหลากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ไทย, ฟิลิปปินส์

3. จับตามองความสำคัญของเงินทุน PPP ที่จะให้ผลตอบแทนแบบองค์รวมที่ดีที่สุดให้ดี เพราะไม่เพียงแต่จะดีในด้านการเงิน, สังคมและสิ่งแวดล้อมในโครงการที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างสมดุลย์อีกด้วย เจ้าของโครงการจะสามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มรูปแบบตลอดวงจรชีวิตของโครงการ ซึ่งพวกเขาสามารถเห็นภาพและจำลองเหตุการณ์ในอนาคตภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องยึดการออกแบบซึ่งอิงอยู่กับสภาพแวดล้อมที่มีอยู่อย่างเดียว

4. การวางแผน, การออกแบบที่ทันสมัยและการส่งมอบเครื่องมือจะส่งผลสำคัญต่อการพัฒนา PPP ในพ.ศ. 2557 การผูกการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาคเอกชนด้วยกลยุทธ์และนวัตกรรมจากเทคโนโลยี 3มิติ ไม่เพียงช่วยให้เจ้าของโครงสร้างพื้นฐานและนักลงทุนเห็นถึงความโปร่งใสของโครงการและสามารถเข้าใจถึงขอบเขตและความซับซ้อนในการลงทุนได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาปรับปรุงโครงการจัดหาเงินทุนโครงการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ในเมื่อความท้าทายทางด้านการก่อสร้างกับโครงสร้างพื้นฐานทางโยธาได้อยู่ตรงหน้าแล้ว ลูกค้าของเราจะสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายนั้นได้ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำหน้าร่วมกับนวัตกรรมด้านการเงิน ด้วยความร่วมมือระหว่าง PPP, คลาวด์, อุปกรณ์เคลื่อนที่และเทคโนโลยี BIM จะมาทดแทนกระบวนการที่ล้าสมัย และสร้างหนทางที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และในปี พ.ศ. 2557 นี้ จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียนและเราเองก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นเทรนด์เหล่านี้เผยโฉมออกมาในเร็วๆ นี้

View :1435
Categories: Article Tags:

ดีเอชแอล เผยบิ๊กดาต้าขจัดความเสี่ยงในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์

March 15th, 2014 No comments

· ระบบวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า อนาลิติกส์ คือ เทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ใน DHL Resilience360 นวัตกรรมโซลูชั่นใหม่ล่าสุด
· ข้อมูลรายงานผลการวิเคราะห์ทิศทางของระบบบิ๊กดาต้า สามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ อีกมากมาย

กรุงเทพฯ 11 มีนาคม 2557 – ดีเอชแอล ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ชั้นนำของโลก เปิดตัวรายงานผลการวิเคราะห์ทิศทางของระบบบิ๊กดาต้าในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ พร้อมนำเครือข่ายข้อมูลที่ครบวงจรมาใช้ตรวจจับความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนได้ล่วงหน้า นอกจากนี้ ดีเอชแอลยังเปิดตัว Resilience360 โซลูชั่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนที่สนับสนุนเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า อนาลิติกส์ (Big Data Analytics) เพื่อให้ข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระบบซัพพลายเชนของลูกค้าได้ล่วงหน้า สำหรับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่พัฒนาต่อยอดจากรายงานผลการวิเคราะห์ทิศทางของระบบบิ๊กดาต้าฯ ดังกล่าว ได้แก่ แอพพลิเคชั่น DHL Parcel Volume Prediction เพื่อคาดการณ์ปริมาณการขนส่งสินค้าและพัสดุ และแอพพลิเคชั่น DHL Geovista ซึ่งอยู่ในระหว่างการทดลองใช้งานอยู่ในขณะนี้

ดร.มาร์คุส คุคเคลเฮ้าส์ ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจ Trend Research ดีเอชแอล คัสตอมเมอร์ โซลูชั่นส์ แอนด์ อินโนเวชั่น กล่าวว่า “นวัตกรรมโซลูชั่น Resilience360 ตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบบวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า อนาลิติกส์ก่อให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมซัพพลายเชนอย่างแท้จริง การรวบรวมข้อมูลและการประเมินผลจะช่วยปกป้องและเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบซัพพลายเชน ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น รวมถึงสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งนี้รายงานผลการวิเคราะห์ทิศทางของระบบบิ๊กดาต้าในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ที่ดีเอชแอลจัดทำขึ้น ชี้ให้เห็นว่าระบบวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า อนาลิติกส์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ถึง 2 ด้าน คือ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และมีศักยภาพในการนำมาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ๆ”

โซลูชั่น DHL Resilience360 มีฟังก์ชั่นการทำงานแบบเรียลไทม์ที่สำคัญ 2 ประการ ประการแรกคือการศึกษาและการประเมินความเสี่ยง ประการที่ 2 คือการใช้เป็นเครื่องมือติดตามการทำงานของระบบซัพพลายเชน ซึ่งช่วยลดปัญหาและส่งผลให้ระบบซัพพลายเชนมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงป้องกันการผลิตไม่ให้เกิดการหยุดชะงักและกระทบต่อรายได้ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.dhl.com/resilience360)

การปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน คือประเด็นสำคัญที่ระบุไว้ในรายงานผลการวิเคราะห์ทิศทางของระบบบิ๊กดาต้าในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ โดยมีรายละเอียดครอบคลุมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพอากาศ การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัด และพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ของแต่ละบุคคล สำหรับแอพพลิเคชั่น DHL Parcel Volume Prediction ที่พัฒนาขึ้นใหม่นั้น ช่วยในการวางแผนและประเมินปริมาณสินค้าและการขนส่งพัสดุให้มีความสะดวก คล่องตัว และง่ายยิ่งขึ้น โดยใช้ข้อมูลที่มีความเกี่ยวพันกัน ซึ่งในกรณีดังกล่าว บิ๊กดาต้าจะนำมาใช้พัฒนากระบวนการดำเนินงานให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และปรับปรุงการให้บริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ บิ๊กดาต้ายังช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ให้แก่ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ เช่น การพัฒนาระบบการตลาดที่อิงตามข้อมูลทางภูมิศาสตร์ (geo marketing) สำหรับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก และแอพพลิเคชั่น DHL Geovista ที่สนับสนุนผู้ให้บริการลอจิสติกส์สามารถนำมาใช้วิเคราะห์และประเมินข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่มีความละเอียดและซับซ้อน พร้อมทั้งคาดการณ์ตัวเลขยอดขายของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ รายงานเรื่อง “บทบาทของระบบบิ๊กดาต้าในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์” (Big Data in Logistics) เปิดให้ดาวน์โหลดได้ที่ www.dhl.com/bigdata โดยรายงานการวิจัยชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาวิเคราะห์ธุรกิจลอจิสติกส์ของดีเอชแอล ซึ่งศูนย์สร้างสรรค์นวัตกรรมของดีเอชแอลได้นำเทคโนโลยี Trend Radar มาใช้วิเคราะห์ทิศทางการดำเนินธุรกิจ และศึกษาแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบสำคัญต่ออนาคตของอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ หรือติดตามบทความเกี่ยวกับบทบาทและอิทธิพลของบิ๊กดาต้าที่มีต่อโลกแห่งอนาคต โดย ดร.มาร์คุส คุคเคลเฮ้าส์ ได้ที่ดีเอชแอลบล็อก www.delivering-tomorrow.com

View :1775
Categories: Press/Release Tags:

Fuji Xerox introduces a new service “Digital Mailroom” to increase the speed of services.

March 15th, 2014 No comments

Digital Mailroom pics 30

Fuji Xerox (Thailand ) Co., Ltd. by Fuji Xerox Global Services business unit introduces a new service “” that plan to launch in this year. This service is an automation technology to improve working performance and reduce document management cost of all document types in an organization such as invoices, sales orders, contracts, faxes or letters, which consume times, manpower and high cost to manage.

Digital Mailroom is a service that collects and sorts all incoming documents. The document will be converted into digital image and store in digital mailroom system and deliver to end users within the organization. This service helps improve the organization’s communication increase the speed of services, enhance business partner’s relationship, and reduce document errors as well.

Digital Mailroom service is suitable for customers who involve with a lot of documents such as insurance, banking, including large enterprises having high daily document flow. Fuji Xerox aim to launch this service in this year and expect the income about 30 million baht per year .

View :1293
Categories: Application Tags:

เอสเอพี แต่งตั้ง ลีเฮอร์ ออบิซูร์ ขึ้นแท่นกรรมการผู้จัดการเล็งพัฒนากลยุทธ์ในอินโดจีน

March 15th, 2014 No comments

SAP0280copy
กรุงเทพฯ –- เอสเอพี เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (NYSE: SAP) ประกาศแต่งตั้ง นาย ลีเฮอร์ ออบิซูร์ ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอพี ประจำภูมิภาคอินโดจีน ลีเฮอร์ เป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจและการดำเนินงานของเอสเอพีในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งประกอบไปด้วย ประเทศไทย เวียดนาม เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา โดยประจำอยู่ในกรุงเทพฯ และขึ้นตรงต่อ นาย ฟรองซัว เลนคอน ประธานและกรรมการผู้จัดการเอสเอพีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ภูมิภาคอินโดจีนเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์สำหรับเอสเอพีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสมอมา การแต่งตั้ง ลีเฮอร์ จะช่วยให้เอสเอพีสามารถเพิ่มความเติบโตในตลาดที่สำคัญเช่นนี้” นาย ฟรองซัว เลนคอน ประธานและกรรมการผู้จัดการ เอสเอพีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว “ด้วยประสบการณ์และความรู้ความสามารถของเขา ผมมั่นใจว่าลีเฮอร์และทีมงานสามารถช่วย ลูกค้าในภูมิภาคอินโดจีน ได้ใช้นวัตกรรมที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ผ่านทางผลิตภัณฑ์และการบริการของเอสเอพี”

ลีเฮอร์ มีประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมไอทีและมีความเชี่ยวชาญทางด้านโซลูชั่นของเอสเอพีเป็นเวลายาวนานถึง 14 ปี โดยก่อนที่จะมาร่วมงานกับเอสเอพี ลีเฮอร์ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการที่บริษัท อาโทส ไอที โซลูชั่นส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส ประเทศไทย ซึ่งรับผิดชอบในด้านระบบธุรกิจแบบบูรณาการของอาโทส ประเทศไทย โดยเน้นที่การขายและผลการดำเนินงาน
ลีเฮอร์ ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าด้านการปฏิบัติการของโซลูชั่นเอสเอพี ประจำอาโทส ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค อีกทั้งยังเป็นผู้นำทีมที่ปรึกษาของโซลูชั่นเอสเอพี กว่า 400 ชีวิตทั่วทั้งภูมิภาค โดยเขาได้ดูแลในเรื่อง การขายและส่งต่อซอฟต์แวร์ของเอสเอพี โครงการและบริการ การจัดการแอพลิเคชั่น ซึ่งรวมไปถึงสัญญาการใช้งานและซ่อมบำรุงของโซลูชั่นเอสเอพีในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งประสานงานกับบริษัทต่างชาติในทั่วโลกอีกด้วย โดยลีเฮอร์ มีประสบการณ์ทางด้านโซลูชั่นเอสเอพี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ในงานหลากหลายด้าน ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาด้านการขายไปจนถึงระดับผู้บริหาร

View :1462
Categories: Press/Release Tags:

แอฟเน็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยชั้นนำระดับโลก เสริมแกร่งผลิตภัณฑ์ “บิทดีเฟนเดอร์” เติมเต็มโซลูชันความปลอดภัยครบวงจร

March 15th, 2014 No comments

AVNet-Bitdefender
ประเทศไทย – 12 มีนาคม 2557 – Avnet Technology Solutions ผู้นำด้านจัดจำหน่ายเทคโนโลยีโซลูชั่น และเป็นกลุ่มบริษัท Avnet (NYSE: AVT) แถลงข่าวประกาศว่า บริษัทได้รับสิทธิ์จาก Bitdefender ให้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นในตลาดของประเทศไทย ทำให้ Avnet สามารถจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นความปลอดภัยแอนตี้ไวรัสของ Bitdefender ได้อย่างเต็มรูปแบบสำหรับทุกกลุ่มตลาด ตั้งแต่ผู้ใช้ตามบ้านธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปจนถึงลูกค้าระดับองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโซลูชั่นความปลอดภัยสำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเวอร์ช่วลเสมือนจริง Avnet และ Bitdefender จะร่วมกันให้บริการโซลูชั่นความปลอดภัยแก่ตลาดองค์กรและหน่วยงานราชการ รวมถึงวงการศึกษา โทรคมนาคม และการเงิน เป็นต้น

คุณรุ่งโรจน์ รัตนาภากร ผู้จัดการบริษัท Avnet สาขาประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านจัดจำหน่ายโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีเป้าหมายที่จะนำเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาสู่ตลาดประเทศไทยผ่านตัวแทนจำหน่ายของเรา การได้โซลูชั่นของ Bitdefender เข้ามาในสายผลิตภัณฑ์ของเราทำให้ตัวแทนจำหน่ายได้เปรียบในการแข่งขัน สามารถตอบสนองความต้องการโซลูชั่นความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของลูกค้าตัวเองได้มากกว่า การลงทุนร่วมกันระหว่าง Avnet และ Bitdefender ทำให้พาร์ทเนอร์ได้ประโยชน์ต่างๆ อันรวมถึงด้านการอบรมและการตลาดที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าแก่บริการที่มีให้สำหรับลูกค้าปลายทางของพาร์ทเนอร์ด้วย

คุณมิฮาว โดมินิค ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ Bitdefender ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “โซลูชั่นความปลอดภัยของ Bitdefender เป็นซอฟต์แวร์ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งมากที่สุดในตลาดที่มีการยอมรับในระดับโลก และได้รับการยกย่องให้เป็นเทคโนโลยีแอนติไวรัสอันดับหนึ่งจากองค์กรอิสระระดับนานาชาติอย่างเช่น AV-Comparatives จากออสเตรีย หรือ PC Welt จากเยอรมัน ไม่นานมานี้ Bitdefender ยังชนะรางวัลจำนวนมาก และได้รับเกียรติในตลาดความปลอดภัยระดับโลกต่างๆ อันได้แก่ “สุดยอดผลิตภัณฑ์แห่งปี” โดย AV-Comparatives “สุดยอดซอฟต์แวร์กู้คืนระบบ” โดย AV-Test “Editor’s Choice” และ “แอนติไวรัสที่ดีที่สุดในปี 2556” โดย PC Mag ทั้งหมดนี้ช่วยยืนยันความเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์แอนติไวรัสเหนือคู่แข่ง ผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดของ Bitdefender ที่เพิ่งมีการแถลงข่าวไป “GravityZone” เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วระดับสุดยอด และมีประสิทธิภาพสูง มุ่งเน้นการปกป้องระบบการทำงานของลูกค้าระดับองค์กรที่มีการใช้ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบรวมศูนย์กลางขนาดใหญ่ ซึ่งอาจรวมถึงเดสก์ท็อป อุปกรณ์พกพา และเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้สภาพแวดล้อมการทำงานแบบเวอร์ช่วล”

เมื่อกล่าวถึงการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับ Avnet คุณมิฮาว ได้กล่าวว่า “Avnet เป็นผู้จัดจำหน่ายโซลูชั่นที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ และให้ความสำคัญรวมถึงมีประสบการณ์ในการผลักดันการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยในตลาดประเทศไทย ด้วยทรัพยากรด้านการขายในท้องถิ่นและความสามารถทางเทคนิคของ Avnet ซึ่งรวมถึงความรู้ความสามารถของพาร์ทเนอร์ ผมเชื่อว่าจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ยิ่งใหญ่แก่ทั้งสองบริษัทในระยะยาว”

เกี่ยวกับ Bitdefender®
Bitdefender เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาสายผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการรับรองระดับโลกที่ทำงานรวดเร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ถือเป็นผู้บุกเบิกในตลาด คิดค้นและพัฒนาระบบป้องกันที่ได้รับรางวัลมาตั้งแต่ปี 2544 ปัจจุบัน เทคโนโลยีจาก Bitdefender ได้สร้างความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานในโลกดิจิตอลกว่า 400 ล้านรายทั้งระดับผู้ใช้ตามบ้านและระดับองค์กรทั่วโลก

เกี่ยวกับ Avnet Technology Solutions
ในฐานะผู้จัดจำหน่ายโซลูชั่นไอทีระดับโลก Avnet Technology Solutions ได้มีความร่วมมือร่วมกับพาร์ทเนอร์และซัพพลายเออร์ในการสร้างและจำหน่ายโซลูชั่นด้านการบริการ ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ที่ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าปลายทางทั้งภายในท้องถิ่นและทั่วโลก กลุ่มบริษัทนี้ได้ให้บริการลูกค้าและซัพพลายเออร์ในอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกาและแคริบเบียน เอเชียแปซิฟิค และยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยสร้างรายได้กว่า 10.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2556 Avnet Technology Solutions เป็นกลุ่มปฏิบัติการของบริษัท Avnet สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม http://www.ats.avnet.com/

เกี่ยวกับ Avnet
บริษัท Avnet (NYSE: AVT) อยู่ในกลุ่ม Fortune 500 เป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ที่สุดสำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องแก่ลูกค้าทั่วโลก Avnet ได้ผลักดันความสำเร็จของพาร์ทเนอร์ด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลกร่วมกับฐานลูกค้าโดยให้บริการและโซลูชั่นที่คุ้มค่าและมีการเพิ่มมูลค่า ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเมื่อ 29 มิถุนายน 2556 Avnet ทำรายได้ถึง 25.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม www.avnet.com

View :1322
Categories: Press/Release Tags: