Archive

Archive for September, 2010

กระแสความต้องการการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ ผลักดันให้ “แซส” เติบโตมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

September 30th, 2010 No comments

ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรม ธนาคาร โทรคมนาคม และหน่วยงานภาครัฐ สามารถหาโอกาสทางธุรกิจ ลดความเสี่ยง และเพิ่มรายได้ได้

บริษัท ผู้นำด้านซอฟต์แวร์และบริการการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ มียอดจำหน่ายและการเติบโตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นสูงมาก ด้วยรายได้รวมของซอฟต์แวร์เป็น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552

“ปริมาณของการนำซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจเข้ามาใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังแซงหน้าภูมิภาคอื่นๆ” นายแดน เวสเซ็ต รองประธานโครงการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ บริษัท ไอดีซี กล่าว และว่า “บริษัท ไอดีซี มองว่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในตลาดซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจเป็นผลมาจากซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยระบุปัญหาที่สำคัญได้เป็นอย่างดีภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน”

ในภูมิภาคเอเซีย แปซิฟิก มีหลายอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมนั้นๆ ต้องการให้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดถูกใช้ และมีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังได้จำนวนงานที่มากขึ้นขณะที่รายจ่ายน้อยลง ทำให้การนำเอาซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจเข้ามาใช้กำลังขยายตัวอย่างมาก เนื่องจากได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถช่วยบริษัทเหล่านี้ให้ได้รับมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้านไอทีทั้งในด้านการดำเนินงานหรือการเพิ่มผลผลิตของตน ด้วยการช่วยให้เกิดการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

“ซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ (Business Analytics) เป็นได้มากกว่าซอฟต์แวร์” ดร.จิม กูดไนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แซส กล่าว และว่า “การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ เป็นส่วนสำคัญ ในการช่วยด้านการปรับเปลี่ยนธุรกิจที่ดี ให้กลายเป็นธุรกิจที่ดีเยี่ยม ทำให้หน่วยงานภาครัฐสามารถดำเนินงานได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น ทำให้มีผลลัพธ์ที่ได้มีลักษณะเชิงนวัตกรรม มีกำไร และได้เปรียบด้านการแข่งขัน นี่ไม่มีเวทย์มนต์หรือการเล่นแร่แปรธาตุแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ Business Analytics จะใช้ความสามารถทางสถิติ คณิตศาสตร์ และตัวเลขเพื่อช่วยในการดำเนินงานให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถให้บริการลูกค้าของตนเองได้ดียิ่งขึ้นด้วยตามลำดับ”

การวิจัยของบริษัท ไอดีซี คาดว่าการขยายตัวโดยรวมต่อปีของตลาดซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจทั่วโลกในอีกห้าปีต่อจากนี้จะอยู่ที่ระดับ 7.2% โดยเวสเซ็ต จากบริษัท ไอดีซี ระบุว่า “มีสามปัจจัยที่กำลังผลักดันให้เกิดการนำเอาซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจมาใช้เพิ่มขึ้น นั่นคือ การลงทุนขององค์กรในด้านคลังข้อมูล ความพร้อมใช้งานของโซลูชั่นการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และการปรับใช้เครื่องมือข่าวกรองธุรกิจที่แพร่หลายสำหรับใช้ในการสืบค้นและจัดทำรายงานในหลายๆ ระดับขององค์กร”

จุดเด่นในภูมิภาค เอเซีย แปซิฟิก
บริษัท แซส ได้แก้ปัญหาให้กับธุรกิจจำนวนมากด้วยผลลัพธ์ที่สามารถตรวจวัดได้ ส่งผลให้รายได้ของบริษัท แซส ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ของบริษัท แซส ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก มีความน่าสนใจ ดังนี้
ในญี่ปุ่น บริษัท แซส มีรายได้เพิ่มขึ้น 16% โดยบริษัทต่างๆ อย่าง บริษัท เคดีดีไอ ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมรายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น ได้เห็นความสำคัญของซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจอย่างมาก จะเห็นได้ว่าบริษัท เคดีดีไอ ได้เลือกใช้ SAS Customer Experience Analytics และ SAS Customer Link Analytics เพื่อทำความเข้าใจกับลูกค้าของตนได้ดียิ่งขึ้น
บริษัท แซส ในออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% โดยบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆ เช่น ธนาคารเพื่อการอุตสาหกรรมแห่งเกาหลี (Industrial Bank of Korea) เลือกใช้แซสเพื่อสร้างโมเดลการทำนายที่ดียิ่งขึ้น
ขณะที่ในอินเดีย บริษัท แซส มองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวมของซอฟต์แวร์ที่เพิ่มขึ้น 75% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ อันเป็นผลมาจาก รัฐบาลอินเดียได้เดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างมากในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ
และสุดท้าย ในจีน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของโลก ก็ยังคงมีผลประกอบการเชิงบวก โดยรายได้รวมซอฟต์แวร์ของบริษัท แซส ในจีน เพิ่มขึ้น 35% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ อันเป็นผลมาจากการที่บริษัทต่างๆ อย่าง ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งกวางตุ้ง (Guangdong Development Bank) และบริษัท เซียงไฮ้ เจเนอรัล มอเตอร์ส (Shanghai General Motors) ได้พิจารณาเห็นถึงความสามารถของ SAS Business Analytics ในการเปลี่ยนข้อมูลดิบให้มีมูลค่าและสามารถปรับใช้ประโยชน์ได้อย่างทันท่วงที
การใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัท แซส ทำให้กระทรวงพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของฮ่องกง (Environmental Protection Department: EPD) สามารถดำเนินการจัดการลดมลพิษทางอากาศได้อย่างมาก
“เราใช้ซอฟต์แวร์ของแซสในการสร้างโมเดลทำนายคุณภาพทางอากาศและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบรรเทามลพิษทางอากาศที่ดีกว่า เพื่อให้ประชาชนในฮ่องกงสามารถหายใจรับอากาศที่สะอาด และ บริสุทธ์ได้” ดร.คริสโตเฟอร์ ฟัง เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของอีพีดี กล่าว

หลักการทำงานสู่ความสำเร็จ
SAS Business Analytics สามารถช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์แก่องค์กรต่างๆ ในการเปลี่ยนข้อมูลดิบที่มีจำนวนมหาศาลให้กลายเป็นการตัดสินใจที่ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รับมือกับการฉ้อฉล ให้บริการลูกค้า ปรับปรุงการทำงาน และอื่นๆ อีกมากมาย มูลค่าจากซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ธุรกิจมักจะได้รับกลับคืนมาภายในเวลาอันรวดเร็วที่ระดับสัปดาห์และเดือน ผลตอบแทนการลงทุนที่รวดเร็วนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันให้ความต้องการในซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ธุรกิจเกิดการขยายตัวมากยิ่งขึ้น
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก โซลูชั่นธุรกิจทั่วไปของแซสสามารถช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม เช่น การได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นจากการใช้ลูกค้าสัมพันธ์ การปรับใช้เครือข่ายไอทีที่มีประสิทธิภาพสูง และห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) การวัดและจัดการความเสี่ยง ตลอดจนการจัดวางกลยุทธ์ การเงิน และกำลังคน
ขณะที่โซลูชั่นธุรกิจเฉพาะของแซส สามารถจัดการกับงานสำคัญต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันการฟอกเงิน และการจัดการความยั่งยืน ไปจนถึงการวิเคราะห์สื่อสังคม การปรับราคาให้เหมาะสม และการทำนายความต้องการ
ทั้งนี้ SAS Business Analytics ประกอบด้วยการบริหารจัดการข้อมูล การวิเคราะห์ และการสร้างระบบข่าวกรองธุรกิจ/การจัดทำรายงาน จะเห็นได้ว่าความสามารถในด้านการวิคราะห์ของแซสนั้นมีความโดดเด่นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น จากการวิจัยในตลาดธุรกิจการวิเคราะห์ขั้นสูงโดยบริษัท ไอดีซี พบว่าบริษัท แซส มีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 34.7% มากกว่าคู่แข่งถึงสองเท่า[i]
ตัวอย่างเช่น บริษัท เทลสตรา ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สดในออสเตรเลีย ได้เลือกใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัท แซส เพื่อทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของลูกค้าให้ได้มากที่สุด จะเห็นได้ว่าการใช้ข้อมูลที่มีอยู่ร่วมกับซอฟต์แวร์ของแซส ทำให้บริษัท เทลสตรา สามารถดำเนินงานเชิงรุกได้ดียิ่งขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วบริษัทอาจต้องสูญเสียรายได้จำนวนมากหลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศให้มีบริการ คงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (mobile number portability) บริษัท เทลสตรา ได้วิเคราะห์ข้อมูลของตนและสร้างเป็นแคมเปญเพื่อรักษาฐานลูกค้าเป้าหมายให้คงอยู่ ซึ่งถือบทพิสูจน์ที่สำคัญถึงมูลค่าที่มีอยู่ใน SAS Business Analytics

[i] ที่มา: ไอดีซี, Worldwide Business Intelligence Tools 2009 Vendor Shares, เอกสารเลขที่ 223725, มิถุนายน 2553

View :1431
Categories: Press/Release Tags: ,

อีเบย์ฉลองการดำเนินงานครบรอบ 15 ปี ตอกย้ำความสำเร็จการเป็นตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

September 30th, 2010 No comments

อีเบย์ฉลองการดำเนินงานครบรอบ 15 ปี ในเดือนกันยายน 2553 ตอกย้ำความสำเร็จการเป็นตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบัน อีเบย์มีสมาชิกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลกมากถึง 90 ล้านคน ทั้งยังมีการดำเนินธุรกิจอยู่ใน 39 ประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย อีเบย์จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 15 ปี ณ โรงแรมแกรนด์ สุขุมวิท เชอราตัน โดยมีนักขายดีเด่นอีเบย์ในประเทศไทยจำนวน 120 คน และพนักงานอีเบย์ 20 คน เข้าร่วมงานพร้อมร่วมตัดเค้กฉลองวันเกิดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสร้างความสำเร็จทางธุรกิจออนไลน์บนตลาดอีเบย์

มร. ปิแอร์ โอมิดยาร์ โปรแกรมเมอร์ชื่อดังเริ่มทดลองเปิดให้บริการตลาดอีเบย์ในปี 2538 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา อีเบย์มีการเติบโตอย่างโดดเด่นจนเป็นตลาดออนไลน์ที่แข็งแกร่งและเปี่ยมประสิทธิภาพ โดยเป็นชุมชนที่สนับสนุนการประกอบธุรกิจซื้อขายข้ามพรมแดนที่เชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน

นักขายชาวไทยประสบความสำเร็จอบ่างงดงามบนตลาดอีเบย์ โดยมีมูลค่าการขายสินค้าบนตลาดอีเบย์ในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกาและยุโรปเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26 ในปี 2552

นายธเนศพงศ์ จารุสถิระกุล ผู้จัดการอาวุโสอีเบย์ กลุ่มธุรกิจอีเบย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่อีเบย์ซึ่งเป็นตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกมีการดำเนินงานครบรอบ 15 ปีในปีนี้ สำหรับนักขายชาวไทยเป็นผู้ที่มียอดขายสินค้าที่โดดเด่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจบนตลาดออนไลน์อีเบย์ครั้งแรก นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความคล่องตัวสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นของประเทศไทยดังกล่าว ทำให้อีเบย์เดินหน้าสนับสนุนนักขายชาวไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อย ให้ได้รับประโยชน์จากการค้าขายข้ามพรมแดนอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถขยายธุรกิจของตนออกสู่ตลาดในประเทศอื่นๆ อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น”

นายคิฟ เจอโชโนวิส และนายจิรพันธ์ สุคัมภีรานนท์ นักขายดีเด่นอีเบย์ในประเทศไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าขายเครื่องประดับเงินแท้บนตลาดอีเบย์ตั้งแต่ปี 2544 เผยว่า “พวกเราเริ่มต้นธุรกิจในตลาดอีเบย์เนื่องจากเห็นว่า อีเบย์เป็นช่องทางการซื้อขายออนไลน์ที่ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจไปสู่ตลาดขนาดใหญ่ ทั้งยังเป็นแพลทฟอร์มที่ดีในการทำการตลาดให้กับสินค้าในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งหลังจากดำเนินธุรกิจบนอีเบย์ได้ประมาณ 2 ปี ธุรกิจมีอัตราการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง ทำให้เราขยายการลงทุนโดยได้พัฒนาเว็บไซต์ของบริษัทที่มีชื่อว่า www.silvershake.com และ เพิ่มการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการดำเนินงานด้านต่างๆ ของบริษัท เช่น การขนส่ง การแปะขายสินค้า และ การบริหารการจัดการทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท”

ธุรกิจจิวเวลรี่นับว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจของซิลเวอร์เชค คือ
การนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูงสุดให้แก่ลูกค้า ปัจจุบัน บริษัทมีพนักงานเกือบ 80 คน จากเริ่มแรกที่มีทีมงานเพียง 4 คน โดยสหรัฐอเมริกาเป็นฐานลูกค้าหลัก ขณะที่สหราชอาณาจักรและรัสเซียเป็นตลาดสำคัญที่มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้

“ลูกค้าส่วนใหญ่ชื่นชอบสินค้าจิวเวลรี่ของร้านเนื่องจากรูปแบบดีไซน์ที่โดดเด่น คุณภาพที่ดีเยี่ยม และมีราคาเหมาะสม
ซึ่งปัจจุบัน เรามีฐานลูกค้าประจำที่มีการซื้อซ้ำประมาณร้อยละ 30 เหตุผลหลักที่ผู้ซื้อกลับมาซื้อสินค้าบนอีเบย์อย่างสม่ำเสมอ คือ อีเบย์ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งนอกเหนือจากการมีแพลทฟอร์มที่มีเสถียรภาพแล้ว อีเบย์ยังมีการพัฒนาการให้บริการลูกค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการใช้งานของผู้ใช้มากขึ้น อาทิ เมื่อเร็วๆนี้ อีเบย์ได้มีการพัฒนาการจัดประเภทของสินค้าให้มีมิติเชิงลึกมากขึ้น ซึ่งได้รับคิดค้นและพัฒนาโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ โดยจะมีความโดดเด่นมากกว่าการจัดประเภทสินค้าแบบทั่วไป” นายคิฟและนายจิรพันธ์กล่าว

นายโสภณ เลิศอัศววิวัฒน์ นักขายดีเด่นอีกรายในประเทศไทย ผู้ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าขายสินค้านาฬิกาข้อมือโบราณบนตลาดอีเบย์ตั้งแต่ปี 2544 กล่าวว่า “ผมได้รู้จักอีเบย์โดยบังเอิญขณะที่กำลังค้นหาสินค้าบนอินเทอร์เน็ต เริ่มแรกนั้นผมได้ทดลองขายนาฬิกาข้อมือโบราณบนอีเบย์และพบว่า ให้ผลกำไรดีกว่าการขายสินค้าในตลาดภายในประเทศ หลังจากนั้นจึงได้ขายสินค้าในอีเบย์มาอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเห็นว่า อีเบย์มีแพลทฟอร์มที่ปลอดภัยและมีผู้ซื้อจำนวนมากที่มองหาสินค้าที่ต้องการบนอีเบย์ ซึ่งสร้างโอกาสให้ผมสามารถขายสินค้าแก่ผู้ซื้อในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ อีเบย์ยังมีทีมงานที่ให้ความช่วยเหลือหากพบปัญหาระหว่างการขายสินค้า ผมเคยขายสินค้าในเว็บไซด์ต่างประเทศอื่นๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อีเบย์จึงเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดซึ่งทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อที่มีศักยภาพทั่วโลกและช่วยผลักดันธุรกิจของผมเติบโตรุดหน้าอย่างต่อเนื่อง”

หลังจากทำธุรกิจบนอีเบย์ได้ประมาณ 3 ปี โสภณได้ลาออกจากงานประจำที่บริษัทเพื่อมาพัฒนาธุรกิจของตนเองบนอีเบย์อย่างเต็มตัว และเพียง 1 ปีถัดมา เขาขึ้นแท่นเป็นนักขายดีเด่น โสภณมองเห็นว่า พฤติกรรมของผู้ซื้อบนโลกออนไลน์ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิมโดยผู้ซื้อตัดสินใจซื้อสินค้ายากมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นาฬิกาข้อมือโบราณของโสภณยังขายได้ดีในอีเบย์เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ (Unique) ประกอบกับจัดโปรโมชั่นค่าส่งฟรีในบางครั้งเพื่อกระตุ้นยอดขาย ปัจจุบัน โสภณมีฐานลูกค้าประจำที่มีการซื้อซ้ำประมาณร้อยละ 20 โดยมีกลุ่มลูกค้าในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรร้อยละ 90 ส่วนอีกร้อยละ 10 เป็นลูกค้าในประเทศออสเตรเลีย เยอรมนีและประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย
“หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผู้ซื้อมักกลับมาหาสินค้าบนอีเบย์อย่างสม่ำเสมอ คือ อีเบย์เป็นตลาดออนไลน์ขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งรวมสินค้าหลากหลายประเภท และผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบราคาได้อย่างง่ายดายเพื่อให้ได้ราคาตกลงที่ดีที่สุด” นายโสภณกล่าว

นายไมคลอส ผู้ซื้อจากสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นลูกค้าประจำยาวนานของโสภณโดยซื้อสินค้าของโสภณตั้งแต่เริ่มแรกธุรกิจบนอีเบย์จนถึงปัจจุบันกล่าวว่า “ผมชอบนาฬิกาข้อมือโบราณของโสภณมากเนื่องจากมีรูปแบบที่สวยงาม มีคุณภาพที่ดี และสามารถใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนแก้ไขอะไรเพิ่มเติม ผมมักจะกลับมาดูสินค้าในร้านค้าของโสภณสม่ำเสมอเนื่องจากจะมีสินค้าเข้ามาใหม่เป็นประจำ”

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำธุรกิจบนอีเบย์เพื่อขยายสู่ตลาดต่างประเทศได้ที่ http://export..co.th/

อีเบย์มีผลประกอบการที่โดดเด่นตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ดังนี้
2538 อีเบย์ ซึ่งต่อมาได้รับการขนานนามว่า เว็บประมูล (AuctionWeb) ก่อตั้งขึ้นโดยมร. ปิแอร์ โอมิดยาร์ โปรแกรมเมอร์ชื่อดัง ในปี 2538 โดยมีปากกาเลเซอร์สำหรับชี้ข้อความ (laser pointer) เป็นสินค้าชิ้นแรกที่เข้าทำการประมูลในราคา 14.83 เหรียญสหรัฐ
2542 อีเบย์ขยายการดำเนินงานในต่างประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร เยอรมนี และออสเตรเลีย และเปิดตัวตลาด ยานยนต์ออนไลน์ อีเบย์มอเตอร์ส (eBay Motors)
2543 อีเบย์ขึ้นแท่นเว็บไซด์อีคอมเมิร์ซอันดับ 1 พร้อมจัดตั้งอีเบย์ ยูนิเวอร์ซิตี้ (eBay University) แห่งแรก นอกจากนี้อีเบย์เปิดตลาดออนไลน์ในประเทศออสเตรีย แคนาดา ฝรั่งเศส และไต้หวัน พร้อมทั้งเปิดตัวฟีเจอร์ซื้อทันทีในรูปแบบ “Buy It Now” เพื่อให้ผู้ซื้อช้อปสินค้าในราคาที่กำหนดไว้
2545 อีเบย์ อิงค์เสริมความแข็งแกร่งของการเป็นตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเข้าซื้อธุรกิจเพย์พาล (PayPal)
ซึ่งเป็นระบบชำระเงินที่มีเสถียรภาพของอีเบย์
2550 อีเบย์ อิงค์เข้าซื้อสตับฮับ (StubHub) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซื้อขายตั๋วออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และเปิดตัว ไมโครเพลซ บริการเงินกู้เพื่อขยายโอกาสการลงทุนให้แก่พนักงานที่มีรายได้น้อยทั่วโลก
2552 อีเบย์ยังคงครองความเป็นผู้นำตลาดโมบายคอมเมิร์ซ โดยมีการอัพเดทแอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่นไอโฟนและติดตั้งแอพพลิเคชั่นใหม่อื่นๆ เพื่อรองรับการทำธุรกิจบนตลาดอีเบย์

View :1582
Categories: Press/Release Tags:

มาแล้ว “WD Elements Play™” ฮาร์ดไดรฟ์ มัลติมีเดียความจุสะใจ 2 เทราไบต์

September 30th, 2010 No comments

เล่นสื่อความละเอียดสูงแบบเต็ม HD 1080P รองรับรูปแบบไฟล์ได้หลากหลาย รวมถึง MKV และ Real Media RMVB

เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (WD) ผู้นำของโลกด้านโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลภายนอก วันนี้ประกาศเปิดตัว WD Elements Play™ มัลติมีเดีย ฮาร์ดไดรฟ์ใหม่ที่ช่วยจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลไม่ว่าจะเป็น วิดีโอ ภาพถ่าย หรือเพลงได้มากถึง 2 เทราไบต์ และสามารถเล่นสื่อดิจิตอลเหล่านี้บนจอทีวีขนาดใหญ่แบบโฮมเธียเตอร์ในระดับความละเอียดสูงแบบเต็ม HD 1080p ไดรฟ์มัลติมีเดีย WD Elements Play สามารถทำงานบนไฟล์ฟอร์ตแมตยอดนิยมส่วนใหญ่ได้สมบูรณ์แบบ รวมถึง H.264, MKV, .MOV และ Real Media’s RMVB ฟอร์แมตทั่วไปในแถบเอเชีย-แปซิฟิค

ฮาร์ดไดรฟ์ มัลติมีเดีย “WD Elements Play” ช่วยจัดการกับคอลเล็คชั่นสื่อส่วนบุคคลได้อย่างลงตัว ด้วยความจุสูงและประสิทธิภาพแห่งการเล่นสื่อความละเอียดสูง ผู้ใช้สามารถจัดเก็บสื่อส่วนบุคคลไว้เป็นคลังห้องสมุดเพียงแห่งเดียว เล่นสื่อบนหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดและมีระบบเสียงกระหึ่มสูงสุดภายในบ้านพักได้อย่างครบอรรถรส – ทั้งหมดทำได้ง่ายดายโดยอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว ไดรฟ์ มัลติมีเดียรุ่นล่าสุดของ WD เชื่อมต่อโดยตรงกับโทรทัศน์ที่มีสายวิดีโอ หรือ HDMI สำหรับการเล่นภาพความละเอียดสูงแบบ Full – HD 1080p

รายงานของพาร์คส แอสโซซิเอทส์ ระบุว่า ผู้บริโภคมีการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2009 จำนวนเนื้อหาดิจิตอลที่จัดเก็บเฉลี่ยต่อครัวเรือนพุ่งเกือบ 100 กิกะไบต์ ซึ่งรวมถึงไฟล์วีดีโอ 350 ไฟล์ และคาดว่าจะเติบโตมากกว่า 8 เท่าในปี 2014 ซึ่งผู้บริโภคยังคงแสวงหาโซลูชั่นที่ใช้งานง่ายเพื่อเพลิดเพลินกับเนื้อหาภายในห้องนั่งเล่นและบนหน้าจอที่ดีที่สุดในบ้าน

“ผู้บริโภคจัดการกับการเติบโตของคอลเล็คชั่นสื่อดิจิตอลของพวกเขาด้วยหลายวิธี” มร. เดล พิสทิลลี่ รองประธานฝ่ายการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ฮาร์ดไดรฟ์แบบติดตั้งภายนอกของ WD กล่าวและว่า “WD จึงนำเสนออุปกรณ์ที่ช่วยให้คนประหยัดเวลา สามารถปกป้องข้อมูล และเพลิดเพลินกับเนื้อหาดิจิตอลส่วนตัวได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ ด้วยความจุขนาด 2 เทราไบต์และความสามารถในการเชื่อมต่อกับ HDTVs ฮาร์ดไดรฟ์ มัลติมีเดีย WD Elements จึงรวมฟังก์ชันเหล่านี้ไว้ในเครื่องเดียว แบบออล-อิน-วัน สร้างประสบการณ์ความบันเทิงให้แก่ผู้บริโภคบนอุปกรณ์ที่ดีที่สุดของพวกเขาได้ง่ายขึ้น”

คุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมของ WD Elements Play™ ได้แก่
• เรียกใช้งาน DVD พร้อมด้วยเมนูการเรียกใช้งานครบถ้วน
• เล่นภาพสไลด์โชว์ เล่นดนตรี
• เล่นวิดีโอที่มีการเลือกช่องเสียง พร้อมรองรับเสียงบรรยาย
• เชื่อม Digital audio output ผ่าน optical หรือ HDMI
• สนับสนุนหลายภาษา
• โอนไฟล์หรือลบโดยตรงจากยูสเซอร์ อินเตอร์เฟส
• เล่นอัตโนมัติจากห้องเก็บข้อมูลดิจิตอล
• รับประกันสินค้า 3 ปี และ
• เข้ากันได้กับกล้องถ่ายรูป

ฮาร์ดไดรฟ์ มัลติมีเดีย WD Elements Play พร้อมวางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งในประเทศไทย รับประกันสินค้านาน 3 ปี โดยราคาแนะนำสำหรับรุ่นความจุ 1TB อยู่ที่ 6,090 บาท และความจุ 2TB เคาะราคา 7,590 บาท

View :1689
Categories: Press/Release Tags:

ทรูมูฟ ยกทัพสมาร์ทโฟน บุกงาน “Thailand Mobile Expo 2010 Showcase”

September 30th, 2010 No comments

พบ “แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3G” ใหม่ล่าสุด และ “โมโตโรล่า ไมล์สโตน” กับคีย์บอร์ดภาษาไทยสุดล้ำ พร้อมแพ็กเกจบริการสุดคุ้ม ตอกย้ำการเป็นเจ้าตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย

ทรูมูฟ โชว์ศักยภาพผู้ให้บริการรายแรกและรายเดียวที่มีสมาร์ทโฟนให้บริการครบทุกระบบปฏิบัติการ เตรียมนำทัพสมาร์ทโฟน ทั้งแบล็กเบอร์รี่ และโมโตโรล่า ไมล์สโตน พร้อมแพ็กเกจบริการสุดคุ้ม ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของก่อนใคร ในงาน “” 30 กันยายน – 3 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทรูมูฟ เตรียมเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มโดนใจ ในงาน “Thailand Mobile Expo 2010 Showcase” ได้แก่

แบล็กเบอร์รี่
- สมาร์ทโฟนน้องใหม่มาแรง “แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3G” รองรับ 3G และ WiFi ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับมิติใหม่ของประสบการณ์การสื่อสารไร้สายความเร็วสูง เพิ่มฟีทเจอร์ใหม่ อาทิ จีพีเอสในตัว แรงด้วยระบบประมวลผล 624 MHz และปุ่ม media key ปุ่มควบคุมการใช้งานด้านมีเดียโดยเฉพาะที่สะดวกยิ่งขึ้น กล้องดิจิตอลและวิดีโอความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น เป็นต้น ตั้งเป้ามัดใจกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนเริ่มทำงาน และมือใหม่ที่ต้องการใช้สมาร์ทโฟน ในราคาเบาๆ เพียง 12,500 บาท (รวม VAT) พร้อมโปรโมชั่นผ่อนจ่ายสบายๆ เมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจ ผ่านบัตรเฟิร์สช้อยส์ เพียงเดือนละ 603 บาท นาน 24 เดือน หรือเลือกผ่อน 0% นาน 10 เดือน เพียงเดือนละ 1,250 บาท ผ่านบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ เคทีซี กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ หรือผ่อน 0% นาน 9 เดือน เพียงเดือนละ 1,389 บาท ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ

- แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9700 สีขาว ในราคาเพียง 15,900 บาท (รวม VAT) เมื่อซื้อเครื่องพร้อมซิมทรูมูฟ หรือ 16,799 บาท (รวม VAT) เมื่อซื้อเครื่องเปล่า พร้อมโปรโมชั่นผ่อนจ่ายสบายๆ เมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจ ผ่านบัตรเฟิร์สช้อยส์ เพียงเดือนละ 767 บาท นาน 24 เดือน หรือเลือกผ่อน 0% นาน 10 เดือน เพียงเดือนละ 1,590 บาท ผ่านบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ เคทีซี กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ หรือผ่อน 0% นาน 9 เดือน เพียงเดือนละ 1,767 บาท ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ

- สุดคุ้มกับแพ็กเกจ “ทรูมูฟ BlackBerry Super Chat” ค่าบริการเพียงเดือนละ 199 บาท ทั้งแบบเติมเงินและแบบรายเดือน เลือกได้ 2 แพ็กเกจตามความต้องการใช้งาน ได้แก่ แพ็กเกจ “ แชต 1 ” แชร์ทุกเรื่องราวกับเพื่อนๆ ผ่าน Facebook และแชตผ่าน BBM ไม่อั้น หรือ แพ็กเกจ “ แชต 2 ” ใช้อีเมล์และแชตผ่าน BBM ไม่อั้น

โมโตโรล่า ไมล์สโตน
- พบกับ โมโตโรล่า ไมล์สโตน รุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมคีย์บอร์ดภาษาไทยสุดล้ำ ซึ่งทรูมูฟ ร่วมกับ โมโตโรล่า พัฒนาขึ้นเพื่อผู้บริโภคชาวไทยโดยเฉพาะ เป็นเจ้าของได้ในราคาเพียง 16,750 บาท (รวม VAT) พร้อมโปรโมชั่นผ่อนจ่าย เมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจ ผ่านบัตรเฟิร์สช้อยส์ เพียงเดือนละ 956 บาท นาน 18 เดือน หรือเลือกผ่อน 0% นาน 10 เดือน เพียงเดือนละ 1,676 บาท ผ่านบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ เคทีซี กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ หรือผ่อน 0% นาน 9 เดือน เพียงเดือนละ 1,861 บาท ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ พิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้น ลูกค้าที่ซื้อ โมโตโรล่า ไมล์สโตน สามารถเลือกรับฟรี multimedia dock หรือ car mount

- โมโตโรล่า ไมล์สโตน เหมาะกับคนทำงาน หรือคนที่ชื่นชอบการท่องเน็ต เชี่ยวชาญในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ล้ำหน้าด้วยแอพพลิเคชั่นของกูเกิ้ลและแอพพลิเคชั่นพิเศษที่พัฒนาขึ้นสำหรับลูกค้าทรูมูฟโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ลูกค้าโมโตโรล่า ไมล์สโตน เตรียมอัพเกรดซอฟต์แวร์เป็นแอนดรอยด์ 2.2 ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554

รุ่น

ราคาเครื่อง โปรโมชั่นผ่อนจ่าย ผ่านบัตรเครดิตต่างๆ
(เมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจ)
First Choice
(บาท/เดือน) 0% 10 เดือน
ผ่าน Citibank, KTC, K-Bank, SCB
(บาท/เดือน) 0% 9 เดือน ผ่าน BBL
(บาท/เดือน)
BB Curve 3G
(สีดำ) 12,500 บาท 603 บาท
นาน 24 เดือน 1,250 บาท 1,389 บาท
BB Bold 9700
(สีขาว) • 15,900 บาท (เครื่อง+ซิม)
• 16,799 บาท (เครื่องเปล่า) 767 บาท
นาน 24 เดือน 1,590 บาท 1,767 บาท
Motorola Milestone 16,750 บาท 956 บาท
นาน 18 เดือน 1,676 บาท 1,861 บาท
(ราคารวม VAT)

ทั้งนี้ ทรูมูฟ เตรียมความพร้อมด้านบริการหลังการขายสำหรับสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ ลูกค้าสามารถรับบริการหลังการขายได้ที่ ร้านทรูมูฟสแควร์ (สยามสแควร์ ซอย 2) ร้านทรูช็อป สาขาไอทีมอลล์ ฟอร์จูน และเตรียมเปิดให้บริการเพิ่มอีก 3 แห่ง ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ได้แก่ ร้านทรูช็อป สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ เซ็นทรัลลาดพร้าว และซีพีทาวเวอร์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ TrueMove iPhone Care Center โทร. 08-2000-3333

*บริการ 3G (บนมือถือหรืออุปกรณ์สื่อสารที่รองรับคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิร์ตซ์) เป็นส่วนหนึ่งในการปรับปรุงและพัฒนาโครงข่ายในบางพื้นที่ เพื่อให้บริการของทรูมูฟดีขึ้น

View :1736

ก.ไอซีที เดินหน้าจัดทำโครงการสนองนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ

September 30th, 2010 No comments

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิด เผยความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบาย บรอดแบนด์แห่งชาติ ว่า ในส่วนของกระทรวงไอซีที ได้นำเสนอ (ร่าง) นโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติให้คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารแห่งชาติ (กทสช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาให้ความเห็นชอบไปแล้วตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2553 โดยนโยบายบรอดแบนด์ แห่งชาติจะเป็นนโยบายหลักในการทำให้โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศทั่วประเทศสามารถรองรับบริการในระดับบรอดแบนด์ ซึ่จะช่วยให้เกิดการ พัฒนาแบบองค์รวม ทำให้โครงสร้างอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย ตลอดจนทำให้เกิดการเข้าถึงบริการบนบรอดแบนด์ รวมทั้งผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด

“ในการดำเนินโครงการระดับชาตินี้ จำเป็นต้องวางแผนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้น เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรเดิมที่มีอยู่แล้วอย่างคุ้มค่า และลดปัญหาการลงทุนที่ซ้ำซ้อน โครงการนี้จะเป็นพื้นฐานในการสร้างโอกาส ความเสมอภาค คุณภาพชีวิตที่ดี และอนาคตใหม่ๆ แก่คนไทยทุกคน ตลอดจนเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้พร้อมสู่การแข่งขันระดับสากลใน ศตวรรษที่ 20

สำหรับการดำเนินงานนั้น นอกจากกระทรวงฯ จะได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติแล้ว ในส่วนของรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงฯ ก็ได้รับมอบนโยบายให้ดำเนินโครงการถนนไร้สาย หรือ บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตให้กระจายเข้าถึงในทุกตำบล หรือขยายไปให้ถึงทุกหมู่บ้าน โดยมอบหมายให้บมจ.กสท โทรคมนาคม และบมจ.ทีโอที รับผิดชอบในการดำเนินงาน เพื่อให้ประชาชนทุกคนทุกพื้นที่มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รวมถึงข้อมูล และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการดิจิทัลของประชาชน” นายจุติ กล่าว

ในส่วนของ บมจ.ทีโอที ได้วางแผนที่จะดำเนินการติดตั้งอินเทอร์เน็ตไร้สายในระดับตำบลทั้งหมด 7,409 ตำบลทั่วประเทศไทย โดย ทีโอที มีแผนที่จะขยายพื้นที่ในข่ายสายตามแผนการดำเนินงานโครงการ TOT 3 G จำนวน 2,207 ตำบล ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 5,202 ตำบล แบ่งเป็นในข่ายสาย 2,737 ตำบล และนอกข่ายสาย 2,465 ตำบล ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายแบบผสมผสานตามสภาพของพื้นที่ คือเทคโนโลยี IPStar/WiFi ADSL/WiFi Wi-MAX และ TOT 3 G ที่ระดับความเร็ว 2 Mbps โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี นับจากโครงการได้รับอนุมัติ

นอกจากนั้น ทีโอที ยังได้ดำเนินการโครงการให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ( FTTx) เพื่อให้บริการบรอดแบนด์บนความเร็วสูงตั้งแต่ 10 Mbps ถึง 100 Mbps ซึ่ง จะเป็นส่วนหนึ่งในการรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในชุมชน ทำให้เศรษฐกิจของชุมชนมีการขยายและเติบโต โดยในปี 2553 นี้ ได้ดำเนินการติดตั้งและให้บริการแล้วจำนวน 6,368 ports แบ่งเป็นจังหวัดภูเก็ต จำนวน 3,200 ports นิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก คือ อมตะนคร มาบตาพุด เวลโกรว์ จำนวน 2,144 ports เกาะสมุย จำนวน 1,024 ports และมีโครงการแผนงานที่จะขยายโครงข่ายในปี 2554-2556 อีกจำนวน 511,040 ports โดยในอนาคต ทีโอที ได้กำหนดแผนโครงการ broadband wireless access ซึ่งเป็นโครงการที่จะนำศักยภาพโครงข่ายที่ ทีโอที มีอยู่ มาให้บริการโดยทั่วถึงในทุกจุด โดยการใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายทั้ง 3 G /WiMAX / Wi-Fi

ส่วนการให้บริการบรอดแบนด์เพื่อประโยชน์ของประชาชน ทีโอที ได้ดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ TOT IT School เป็น โครงการที่ให้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนได้มีโอกาสในการใช้ไอที เพื่อการศึกษา จำนวน 80 โรงเรียนทั่วประเทศ นอกจากนี้ ทีโอที ยังได้ร่วมกับ กทช. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม (มรม.) จัดทำโครงการศูนย์ทางไกลเพื่อพัฒนาการศึกษาและพัฒนาชนบทในภาคตะวันออกเฉียง เหนือ โดยจะมีการจัดทำศูนย์ทางไกลในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 20 โรงเรียน และ ทีโอที จะเข้าไปดำเนินการปรับปรุงติดตั้งระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1-2 Mbit/sec โดยใช้ข่ายสื่อสาร ADSL Wi MAX หรือข่ายสื่อสารดาวเทียม IP Star ตามความเหมาะสม

สำหรับการดำเนินโครงการโครงข่ายบรอดแบนด์ของ บมจ.กสท โทรคมนาคม นั้น แบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ 1. แบบ Wireline ได้ขยายการให้บริการ Broadband Internet (ADSL) เพิ่มขึ้น 20 % ทั่วประเทศ โดยเน้นติดตั้ง Node ในพื้นที่เขตตะวันออก และเขตตะวันตก รวมทั้งได้ดำเนินการขยายพื้นที่การให้บริการ Broadband Internet ผ่านโครงข่ายเคเบิลทีวี ( CAT Cable Broadband ) จำนวน 300 Node ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2553 จะติดตั้งได้ 100 Node โดยจะติดตั้ง Node ผ่านผู้ประกอบการเคเบิลทีวีเพิ่ม พร้อมกันนี้ยังจะขยายพื้นที่การให้บริการผ่านโครงการ Fiber ( FTTX ) ในพื้นที่ส่วนภูมิภาค 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี(พัทยา) ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์(หัวหิน) นครราชสีมา สงขลา(หาดใหญ่) อุดรธานี อุบลราชธานี ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี(เกาะสมุย) รวมถึงจัดการให้บริการ CAT – TeleHouse โดยคาดว่า CAT จะเป็น Carrier – neutral Data Center Service ราย แรกของประเทศ นอกจากนี้ยังจะมีการขยายโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำอ่าวไทย โดยจัดสร้างเครือข่ายเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่อ่าวไทยเชื่อมโยงจากจังหวัด ชลบุรี ไปยังจังหวัดสงขลา โดยใช้เทคโนโลยี DWDM และดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพโครงข่าย IP เพื่อให้รองรับการใช้งานรับส่งข้อมูลความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนรูปแบบที่ 2. Wireless กสทฯ ได้ให้บริการ CAT WiFi ทั่วประเทศ จำนวน 35,000 จุด รวมทั้งขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการอย่างน้อย 90% ของประชากรและขยายความจุ ( Capacity) ทั้งด้านเสียงและข้อมูล รวมถึงจัดทำโครงการ Telemedicine System เพื่อดูแลผู้ป่วยวิกฤติ การช่วยฟื้นคืนชีพ และการส่งสัญญาณชีพผู้ป่วยในรถพยาบาลโดยผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ CAT CDMA ซึ่ง โครงการดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และช่วยพัฒนาการสื่อสารระหว่างรถพยาบาลและโรงพยาบาลมากขึ้น โดยปัจจุบันได้ให้บริการในรพ.จังหวัดอุบลราชธานี รพ.จังหวัดยโสธร และจังหวัดใกล้เคียง

รูปแบบที่ 3 เป็นกิจกรรมเพื่อสังคม โดย กสทฯ ได้ดำเนินโครงการ “ สื่อสาร เรียนรู้ สู่ชุมชน ” เพื่อเพิ่มศักยภาพอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใน 76 โรงเรียน 76 จังหวัดในปีแรก และจะขยายโครงการต่อไปทุกอำเภอทั่วประเทศในระยะต่อไป ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้โรงเรียนและชุมชนได้ใช้เทคโนโลยี และพัฒนาศักยภาพทางการศึกษา เปิดโอกาสความเท่าเทียมด้านการศึกษาของเยาวชนไทย นอกจากนี้ยังได้ดำเนินโครงการ Telehealth ซึ่ง เป็นโครงการสาธารณสุขสู่ถิ่นทุรกันดาร โดยได้ร่วมมือกับมูลนิธิแพทย์อาสาในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ส่งเสริมการให้บริการทางการแพทย์ผ่านบริการบรอดแบนด์ไร้สายจากมือ 3G และโครงข่าย CAT CDMA

View :1531

ก.ไอซีที เตรียมพร้อมวางแนวทางการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานภาครัฐ

September 30th, 2010 No comments

นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังการสัมมนา “ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ” ว่า ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐซึ่งมีความ สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถให้บริการ ประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว แต่อาจก่อให้เกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งนับเป็นความเสี่ยงสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อ มั่นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ และการละเมิดดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นส่วนตัวของ ประชาชนด้วย

ดัง นั้น เพื่อให้มีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ภาครัฐ พ.ศ. 2549 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคลของหน่วยงานของรัฐ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้ให้บริการหรือดำเนินกิจกรรมใดๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ และ ได้มีการรวบรวม จัดเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงใดที่ทำให้สามารถระบุตัวบุคคลไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ทั้งนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือหน่วยงาน ที่คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มอบหมายก่อน

“คณะ กรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานของรัฐขึ้น เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นให้หน่วยงานของรัฐได้ใช้ในการจัดทำนโยบายและแนว ปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ซึ่งขณะนี้ร่างประกาศดังกล่าว ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการธุรกรรมฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2553 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2553 เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สาร ในฐานะประธานกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ลงนาม โดยร่างประกาศฯ นี้ ได้กำหนดสาระสำคัญขั้นต่ำเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐใช้ในการจัดทำนโยบายและข้อ ปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของแต่ละหน่วยงาน และกำหนดระยะเวลาในการปรับปรุงนโยบายดังกล่าวให้ชัดเจน” นายธานีรัตน์ กล่าว

ด้าน นางสาวลัดดา แจ้งเกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐสามารถจัดทำนโยบายและแนวปฏิบัติในการ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม สำนักธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการธุรกรรมฯ จึงได้จัดสัมมนาเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับแนวนโยบายและแนวปฏิบัติดังกล่าว ภายใต้โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น โดยมีหัวข้อสัมมนา คือ “ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ”

“การ สัมมนาครั้งนี้นอกจากจะจัดขึ้นเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับแนวนโยบายและแนวปฏิบัติฯ ของหน่วยงานของรัฐแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถพัฒนาการทำธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐภายใต้มาตรฐานและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยได้เชิญกลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง กับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และคณะอนุกรรมการโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายภายใต้คณะกรรมการธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งผู้แทนจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร และกรมการกงสุล เป็นต้น” นางสาวลัดดา กล่าว

สำหรับ รายละเอียดของการสัมมนาฯ นั้นแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ 1.ความสำคัญของการจัดทำนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของ หน่วยงานของรัฐ 2.การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานของรัฐกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 3.ขั้นตอนปฏิบัติในการจัดส่งแนวนโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อให้คณะกรรมการธุรก รรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ความเห็นชอบ และ4.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วย งานของรัฐ รวมถึงกรณีศึกษาด้วย

View :1692

โนเกียเปิดตัวครั้งแรกรุ่น Touch and Type

September 30th, 2010 No comments

; และ สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส
ในงานมือถือใหญ่ประจำปี Thailand Mobile Expo Showcase 2010

โนเกียเปิดตัวโทรศัพท์ 3 รุ่นใหม่เอาใจวัยรุ่น Nokia X3 Touch and Type และ Nokia C3 Touch and Type โทรศัพท์สุดเท่ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความบันเทิง ให้คุณใช้งานได้ทั้งหน้าจอสัมผัสและแป้นพิมพ์ และ

Nokia 5250 สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส ในงาน Thailand Mobile Expo Showcase 2010 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริ กิตติ์

มร . ชูมิท คาพูร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โนเกียเชื่อว่าไม่มีโทรศัพท์มือถือรุ่นใด เพียงรุ่นเดียวที่สามารถตอบสนองความต้องการของทุกคนได้ เราจึงมุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ คุณสมบัติ และดีไซน์ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เลือกในสิ่งที่ชอบ และเหมาะสมกับการใช้งาน Touch and Type นับเป็นนวัตกรรมใหม่ ด้วยการผสมผสานระบบหน้าจอสัมผัส และแป้นพิมพ์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ข้อความบนแป้นพิมพ์ และท่องเว็บด้วยหน้าจอสัมผัส ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการส่ง SMS ใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ และท่องโลกอินเตอร์เน็ต”

มร . ชูมิท คาพูร์ กล่าวต่อว่า “ งาน วิจัยของโนเกียพบว่าผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับการใช้งานอย่างรวดเร็วด้วยมือ ข้างเดียวและกดข้อความด้วยนิ้วโป้งข้างเดียว ต้องการใช้ความเร็วแบบเดิม กับ SMS, Chat และข้อความต่างๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องการสนุกกับระบบสัมผัส”

Nokia X3 Touch and Type

โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกในระบบ Touch and Type ผสมผสานทั้งระบบหน้าจอสัมผัสและแป้นพิมพ์ไว้ในเครื่องเดียว เพียงแค่แตะเบาๆ บนหน้าจอสีสดใส หรือจะเลือกใช้แป้นพิมพ์ตามความถนัด คุณก็สามารถพิมพ์ข้อความหรือโทรออกได้อย่างรวดเร็ว ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้เห็นไอคอนและเมนูได้ชัดเจน ทั้งยังมีปุ่มการทำงานที่สำคัญ เช่น ส่ง หรือ จบการทำงาน พร้อมปุ่มลัดเฉพาะเชื่อมไปยังฟังก์ชั่นสำคัญอย่าง เพลง หรือ การส่งข้อความ เพียงแค่เลื่อนนิ้วเบาๆ บนหน้าจอสัมผัส ก็สามารถเข้าสู่ระบบออนไลน์และเข้าถึงบริการมากมายบน Ovi Store ที่สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น และคอนเทนท์ต่างๆเก็บไว้ในการ์ดความจำขนาดสูงสุด 16 GB

Nokia X3 Touch and Type ดีไซน์บางเฉียบเพียง 9.6 มม. ถือเป็นโทรศัพท์มือถือที่บางที่สุด รุ่นหนึ่งของโนเกีย
สามารถใส่กระเป๋าเสื้อได้ง่ายๆ พร้อมดีไซน์ทันสมัยใน 4 สีสดใส ที่เข้าได้กับเสื้อผ้าหลากสีหลายรูปแบบ ได้แก่ สีเงิน (White Silver) สีเ ทาเข้ม ( Dark metal) สีชมพู (Pink) และม่วงอ่อน (Lilac) พรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นอื่นๆ เช่น WLAN, เครื่องเล่นเพลง และวิทยุเอฟเอ็ม พร้อมกล้องขนาด 5MP และดิจิตอลซูม 4 เท่า ที่ทำให้ถ่ายภาพและวิดีโอได้สวยงาม พร้อมแบ่งปันออนไลน์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้บริการ push mail ผ่าน Nokia Messaging ได้อีกด้วย

Nokia X3 Touch and Type จะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมนี้ในราคา 5,850 บาท

Nokia C3 Touch and Type

โทรศัพท์ในระบบปฏิบัติการ Series 40 ที่ผสมผสานทั้งหน้าจอสัมผัสและ แป้นพิมพ์ ไว้ด้วยกัน พร้อม ดีไซน์คลาสสิคทำจาก stainless steel รองรับระบบ 3G, WLAN และกล้องขนาด 5 MP ที่มาพร้อมแฟลช เครื่องเล่นเพลง วิทยุเอฟเ อ็ม รองรับการ์ดความจำได้มากถึง 32 GB แต่จำหน่ายในราคาย่อมเยา โดยมีให้เลือก 2 เฉดสี คือ เงิน (silver) และเทา (warm grey)

Nokia C3 Touch and Type จะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมนี้ในราคา 6,290 บาท

Nokia 5250

สมาร์ท โฟนหน้าจอสัมผัสดีไซน์โดดเด่นที่ช่วยให้เข้าถึงเพลง เกม แอพ และเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้รวดเร็ว สามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอหลักได้ตามสไตล์ของคุณ เข้าใช้งาน Facebook, Youtube หรือ Twitter ได้โดยตรงจากหน้าจอหลัก

และ แค่สัมผัสที่แถบเครื่องมือมีเดีย ก็สา มารถเข้าถึงคอลเลคชั่นเพลงของคุณได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ

ค้นหาแอพ เกม วิดีโอ ภาพตกแต่งหน้าจอ และอื่นๆ อีกมาก มายได้จาก Ovi Store รวมทั้ง ฟังเพลงต่อเนื่องได้ยาวนาน

ถึง 24 ชั่วโมงด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว Nokia 5250 มีให้เลือกทั้งสีเทา น้ำเงิน แดง ม่วง และขาว

Nokia 5250 วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 5,370 บาท

พิเศษในงานฯ วันนี้ถึง 3 ตุลาคม 2553 ซื้อ โนเกียหลากรุ่นในงาน รับของสมนาคุณมากมาย* อาทิ บัตรกำนัลมูลค่า 500 บาทสำหรับอุปกรณ์เสริม บัตรกำนัล จากเซ็นทรัล สเวนเซ่นส์ หรือ Ovi Thumbdrive

View :2675

ก.ไอซีที มุ่งสร้างความรู้หลักเกณฑ์การจัดทำเอกสารในรูป e-Document

September 27th, 2010 No comments

นายวรพัฒน์ ทิวถนอม ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน สัมมนาเพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำ หรือแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ตามแนวทางของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พุทธศักราช 2544 ว่า การพัฒนาทางเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้รูปแบบและวิธีการในการติดต่อสื่อสาร การรับส่งเอกสารและข้อมูล ตลอดจนการทำธุรกรรมปรับเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มาก ขึ้น รวมถึงมีเอกสารหรือข้อความที่ได้จัดทำหรือแปลงให้อยู่ในรูปของข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ในภายหลังเพิ่มขึ้น ซึ่งกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้กำหนดให้การจัดทำหรือแปลง เอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กำหนดไว้ในมาตรา 12/1 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551

ดัง นั้น การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำหรือแปลง เอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือเอกสาร อิเล็กทรอนิกส์ ( ) ตาม ที่กำหนดไว้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยกระทรวงฯ ได้ดำเนินโครงการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย แผน มาตรการ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำหรือแปลงเอกสาร และข้อความให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำหรือแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปของข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติฯ

ด้าน นางสาวลัดดา แจ้งเกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินงานตามโครงการฯ ที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุม Focus Group เพื่อ รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำหรือแปลง เอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จากผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งได้มีการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ตามข้อเสนอแนะจากการประชุม Focus group ให้ มีความสมบูรณ์และเป็นไปตามเจตนารมณ์ตามที่กฎหมายกำหนดเสร็จสิ้นเรียบร้อย แล้ว จึงได้นำเสนอร่างหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำหรือแปลงเอกสารและข้อความให้ อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ จากนั้นจึงได้นำเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์พิจารณาให้ความ เห็นชอบ โดยขณะนี้ คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำหรือแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูป ของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2553

ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้จัดการสัมมนาในครั้งนี้ขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลการศึกษาให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ได้ทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้งานที่เหมาะสมกับหน่วยงานของตนเอง โดยการนำเสนอร่างหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว พร้อมทั้ง แนวทางการประยุกต์ใช้งานให้กับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้แทนภาครัฐ และผู้แทนกลุ่มผู้ประกอบการ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่กระบวนการสร้าง/แปลง ส่ง – รับ เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสาร จำนวนประมาณ 300 คน
กระทรวงฯ หวังว่าการสัมมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัด ทำหรือแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งแนวทางการประยุกต์ใช้งานให้กับหน่วยงานต่างๆ ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปฏิบัติเพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนด และส่งผลต่อการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ให้มีความก้าวหน้าเทียบเท่าในระดับสากลต่อไป” นายวรพัฒน์ กล่าว

View :1660
Categories: Press/Release Tags: ,

เอไอเอสควงซัมซุงเปิดตัวสุดยอดสมาร์ทดีไวส์ “ซัมซุง กาแล็คซี่ แท็บ”

September 27th, 2010 No comments

ครั้งแรกในเมือง ไทยของแอนดรอยด์ 2.2 แท็บเล็ต บนสุดยอดเครือ ข่าย EDGE Plus พร้อมแพ็คเกจสุดคุ้ม

เอไอเอสจับมือซัม ซุง เปิดตัว “” ตอกย้ำกระแสแท็บเล็ต ดาวรุ่งดวงใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆ พร้อมแพ็คเกจดาต้าสุดคุ้มบนสุดยอด เครือข่าย EDGE Plus เปิดให้จองได้แล้วครั้งแรกในงานโมบายล์ เอ็กซโป 30 กันยายน ศกนี้
นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “ในฐานะ Operator หน้าที่หลักคือ เดินหน้าสรรหาทางเลือกในการใช้บริการให้แก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด DNA ซึ่งหมายรวมถึงการจับมือกับ พาร์ทเนอร์ในการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลามามอบให้ ก่อนใครพร้อมๆกับบริการทั้งก่อนขายและหลังการขายที่ครบถ้วน ภายใต้เครือข่ายที่พัฒนาตลอดเวลา โดยเฉพาะเครือข่ายการให้บริการ Data EDGE Plus ที่รองรับการใช้งาน internet ผ่าน device หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้จะเห็นได้จากยอดการใช้งาน Data ที่มีการเติบโตมากกว่า 300% และมีผู้ใช้งานมากกว่า 7 ล้านคน”

“ด้วยรูปลักษณ์ของ Device ที่อันเกิดจากพัฒนาการทางเทคโนโลยี ซึ่งเหล่าพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตระดับโลกของเอไอเอสต่างทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ดังเช่นกลุ่มของ แท็บเล็ต ซึ่งถือเป็นอีก 1 เซ็กเม็นท์ที่มาแรงเป็นอันดับต้นๆในปีนี้ ล่าสุดเราจึงร่วมมือกับซัมซุงนำสุดยอดเทคโนโลยีอย่าง “ซัมซุง กาแล็คซี่ แท็บ” ที่ถือเป็นการเปิดตัว Device ที่เป็นแท็บเล็ตอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกที่มาพร้อม Android 2.2 ระบบปฏิบัติการที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด เพื่อมอบให้แก่ลูกค้าเอไอเอส พร้อมสิทธิพิเศษที่มากกว่าด้วย Promotion สุดคุ้มให้ใช้งาน Data ได้ฟรี 500 เม็กกะไบต์ นาน 12 เดือน พร้อม กว่า 50,000 applications ทั้งความบันเทิงและข้อมูล โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับการร่วมทำตลาด ซัมซุง กาแล็คซี่ เอส ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน”

ด้านนาย วิชัย พรพระตั้ง ผู้อำนวยการ ธุรกิจโทร คมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัม ซุง กาแล็คซี่ แท็บ นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการสื่อสารที่เป็นมากกว่าโทรศัพท์มือถือ เป็นอุปกรณ์ สมาร์ทมีเดีย (Smart Media Device) หรือเรียกว่า“แท็บ เล็ต (Tablet)” ที่เอื้อความสะดวกทุกรูปแบบให้กับ การใช้ชีวิตนอกบ้านทั้งการโทรศัพท์ติดต่อสื่อสารและเพลิดเพลินกับ สื่อรูปแบบต่างๆ เรียกได้ว่าเป็น Possibility On the Go ที่จะตอบ สนองการใช้ชีวิตของคนยุคนี้ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับการเติบโตของระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งถือเป็นระบบปฏิบัติการที่ร้อนแรงที่สุดในยุคนี้ ส่งผลให้ซัมซุง กาแล็คซี่ แท็บ เป็นคลื่นลูกใหม่ที่จะมาแรงทั่วโลก”

“ซัม ซุง กาแล็คซี่ แท็บ โดดเด่นด้วย หน้าจอมัลติทัชขนาด 7 นิ้ว บางสวย น้ำหนักเบา จับถนัดด้วยมือข้างเดียว สนับสนุนทั้งการอ่านหนังสือ (e-book) หรือหนังสือพิมพ์ (Reader Hub) ท่องเว็บได้เต็มรูปแบบเหมือนคอมพิวเตอร์ ดูหนังแบบฟูลเอชดี และฟังเพลง นอกจากนี้ยังรองรับการดูและแก้ไขไฟล์ เอกสาร สื่อสารผ่านทางอีเมล์ พูดคุยโทรศัพท์ทั้งแบบเสียงและแบบเห็นภาพ (Voice and Video Call) รับส่ง SMS และ MMS หรือใช้บริการเครือข่ายสังคมต่างๆ ผ่านอินเตอร์เฟซที่ยอดเยี่ยม และเป็นเนวิเกเตอร์ส่วนตัวด้วยระบบ GPS ได้อีกด้วย จึงสามารถ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้นำเทรนด์ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือกลุ่มนักธุรกิจที่จำเป็นต้องทำ งานนอกสถานที่อยู่เป็นประจำ”

“สำหรับใน ประเทศไทยซัมซุงเตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างเต็มรูปแบบเพื่อ สร้างเซ็กเมนท์ใหม่ให้กับตลาดแท็บเล็ตซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนใน เมืองไทย รวมถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษร่วมกับเอไอเอส.ในครั้งนี้ โดยซัมซุงคาดการณ์ว่าแท็บเล็ตจะเป็นอีกก้าวของการใช้ชีวิตในอนาคต และการใช้มือถือแบบแท็บเล็ตจะเพิ่มเป็นครึ่งหนึ่งของอัตราการใช้ โทรศัพท์มือถือทั้งหมดในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งซัมซุงมั่นใจว่าจะสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดในกลุ่มนี้ได้ ด้วยส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่า 50%” นายวิชัยกล่าวเสริม

ซัมซุง กาแล็คซี่ แท็บ จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในราวกลางเดือนตุลาคม 2553 ในราคา 22,900 บาท โดยลูกค้าเอไอเอสจะได้รับสิทธิพิเศษใช้งาน Data ฟรี 500 เม็กกะไบท์นาน 12 เดือน ทั้งนี้จะเริ่มให้ทดลองสัมผัสและสั่งจองได้ในงานโมบายล์ เอ็กซโป ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน ศกนี้

View :1593

เสวนา “รู้ใช้ให้ฉลาด (กว่า) สมาร์ทโฟน ( Smart-Phone )”

September 23rd, 2010 No comments

สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สกทช.) มีภารกิจสำคัญคือ การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคม ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ของผู้บริโภค ดังนั้น สบท. จึงจะจัดให้มี การเสวนา “รู้ใช้ให้ฉลาด (กว่า) สมาร์ทโฟน ( Smart-Phone )” เพื่อให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ทโฟนแก่ ผู้บริโภค เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเท่าทันและไม่ถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคที่พึงมี ตามกฎหมาย ในวันอาทิตย์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๓ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ ห้อง Meeting Room 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ (รายละเอียดตามเอกสารแนบ)

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมการเสวนาฯ ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงโทรศัพท์มาลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ ๐๒-๖๓๔๖๑๓๔ หรือ ๐๘๒-๗๙๑๑๕๙๒ ภายในวันศุกร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ นี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tci.or.th

กำหนดการ

๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ น. ลงทะเบียน

๑๓.๓๐ – ๑๓.๔๕ น. กล่าวต้อนรับและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน

โดย ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครอง ผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.)

๑๓.๔๕ – ๑๖.๐๐ น. เสวนา “รู้ใช้ให้ฉลาด (กว่า) สมาร์ทโฟน”

ประเด็นเสวนา

๑. เลือกมือถือสมาร์ทโฟนอย่างไรให้เหมาะสมกับเรา

๒. ข้อควรระวังในการใช้งานมือถือสมาร์ทโฟน

๓. แพคเกจการใช้บริการมือถือสมาร์ทโฟนของไทยและต่างประเทศ

๔. เรื่องร้องเรียนจากการใช้บริการมือถือสมาร์ทโฟน

๕. แนวโน้มปัญหาจากการใช้บริการมือถือสมาร์ทโฟนในยุค 3.9 G และยุคต่อไป

๖. ข้อเสนอเพื่อผู้บริโภคใช้บริการมือถือสมาร์ทโฟนอย่างเป็นธรรม

๗. ซักถามและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น

ดำเนินการเสวนา โดย

ศรีสุดา วินิจสุวรรณ์ สำนักข่าวไทย *

ผู้ร่วมเสวนา

พีระพล ฉัตรอนันทเวช (ปีเตอร์กวง ควงมือถือ) รายการแบไต๋ไฮเทค ทางเนชั่นแชลแนล

คงเดช กี่สุขพันธ์ ทีมงาน App. Review

ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภค ในกิจการโทรคมนาคม (สบท.)

ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สกทช.)*

ผู้ให้บริการโทรศัพท์ และผู้ ให้บริการโทรศัพท์ที่ไม่ได้วางโครงข่ายเอง ( MVNO ) อื่นๆ*

สื่อมวลชนทุกแขนง *

ประชาชนผู้สนใจทั่วไป*

* หมายเหตุ อยู่ระหว่างการประสานติดต่อ

View :1625
Categories: Press/Release Tags: