Archive

Archive for July, 2011

ว่าที่ กสทช. สายคุ้มครองผู้บริโภคซัดปัญหาผู้บริโภคไม่ทะลุ เพราะสำนักงานทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

July 31st, 2011 No comments

ว่าที่ กสทช. สายคุ้มครองผู้บริโภคประสานเสียง หัวใจสำคัญคือการตั้งกลไกอิสระและงานเครือข่าย

ว่าที่ กสทช. สายคุ้มครองผู้บริโภคชี้สำนักงาน กสทช. ต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพ และถูกประเมินอย่างใกล้ชิด ประสานเสียงเห็นความสำคัญการตั้งกลไกอิสระในการทำงานและส่งเสริมเครือข่ายภาคประชาชน ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ระบุ การเข้าถึงดิจิตอล คือการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในการเสวนา เรื่อง “เอ็กซเรย์ ว่าที่ กสทช. รายบุคคล” ซึ่งจัดโดย คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภาร่วมกับ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ และสมาคมวิทยุชุมชนเพื่อความเข้มแข็ง โดยในครั้งนี้เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครที่สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และด้านการศึกษา วัฒนธรรมหรือการพัฒนาสังคม ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นวันสุดท้าย

กรรณิการ์ กิจติเวชกุล นักสื่อสารมวลชน ในฐานะผู้สมควรได้รับการคัดเลือกเป็น กสทช. รายบุคคล กล่าวว่า สิ่งสำคัญ คือการเร่งการปรับปรุงประสิทธิภาพของ กสทช. และสำนักงานกสทช. เพื่อทำประโยชน์สูงสุดแก่สาธารณะชนอย่างแท้จริงโดยมีระบบการประเมินและการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด การไม่มีระบบตรวจสอบที่ดีทำให้ที่ผ่านมา กสทช.หรือรักษาการกสทช.และสำนักงาน ทำงานไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์กับสาธารณะชน เช่น การกำหนดเวลาเติมเงินล่วงหน้า ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ระบบเติมเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดกำลังเผชิญอยู่ นั้นก็คือการถูกกำหนดให้หมดอายุของเงินเติมโทรศัพท์มือถือ เป็นการเร่งรัดให้มีการใช้บริการ คือเงินยังอยู่แต่ห้ามใช้ ทั้งที่ กทช. ได้ออกประกาศห้ามการกำหนดอายุของเงินที่เติมล่วงหน้า แต่เมื่อมีการฝ่าฝืน กทช.ก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ด้วย ปล่อยให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการปีละนับหมื่นล้าน

“นอกจากนี้ยังต้องสนับสนุนให้เกิดหน่วยงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์ ที่เป็นหน่วยงานอิสระปราศจากการแทรกแซงจาก กสทช.และไม่อยู่ภายในสำนักงานกสทช.เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระและมีประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างแท้จริง ให้องค์กรเครือข่ายผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องผู้ประกอบการที่กระทำผิด หรือ พบการทุจริต การไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน หรือเจตนาให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานของ กสทช.และเจ้าหน้าที่สำนักงานกสทช. รวมถึงให้อำนาจการชี้เบาะแสและการให้ความเห็นต่อการลงโทษต่อ กรรมการ กสทช. และเจ้าหน้าที่ ที่ละเลยการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ”กรรณิการ์กล่าว

นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้สมัครที่สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช. กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องเร่งรีบสร้างกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์ขึ้นมาใหม่ เนื่องจากในหน่วยงานมีการตีความอ้างกฎหมาย กสทช.ฉบับใหม่ เพื่อยุบเลิกกลไกที่ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมในลักษณะที่เป็นเชิงรุกและรอบด้าน อย่าง สบท. ทิ้งไปแล้ว รวมถึงกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้รับการสร้างมาและลงไปถึงระดับชุมชนและให้ชุมชนเข้มแข็งรวมตัวกันขึ้นมา ตอนนี้ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนต่อ ดังนั้นในอนาคตจึงต้องสร้างกลไกที่ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนขึ้นมาใหม่ โดยมีหน้าที่ให้การศึกษาให้ข้อมูลกับผู้บริโภคในระดับท้องถิ่น เพื่อให้ผู้บริโภคเท่าทันการใช้เทคโนโลยี และเป็นกลไกกลางในแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ยังต้องรื้อและทบทวนสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเพื่อแก้ไขให้เกิดสัญญาที่เป็นธรรมกับผู้บริโภค

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กล่าวว่า ปัญหาโทรคมนาคมเป็นเรื่องที่มีบทเรียนมาก่อนในต่างประเทศ ทั้งเอสเอ็มเอสขยะ โทรหลอกลวง และผลกระทบคลื่น จึงเป็นเรื่องที่เราเรียนรู้ล่วงหน้าได้ สำหรับอนาคตประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ที่อาจนำไปสู่การล่อลวง ปัญหาความเที่ยงตรงของข้อมูล เช่น การแจ้งเหตุผ่านอินเทอร์เน็ตแต่ไม่เกิดจริง การปลุกเร้าสังคมเช่น การทำให้สังคมเกลียดเด็กหญิงคนหนึ่งภายในข้ามคืน ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร และล่าสุดปัญหาอันดับหนึ่งที่พบในสหรัฐอเมริกาคือ การขโมยตัวตนทางอินเทอร์เน็ต หรือโลกไซเบอร์ซึ่งจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกเพราะเป็นการลักลอบใช้ฐานข้อมูลบัตรเครดิต ดังนั้นอนาคตเรื่องสำคัญคือ ความเป็นส่วนตัวทางโลกอินเทอร์เน็ต เรื่องเหล่านี้คนไทยจะเท่าทันได้โดยการศึกษาบทเรียนที่เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ และที่สำคัญอีกประการคือ การพยายามลดช่องว่างทางดิจิตอล
“ที่ผ่านมาการศึกษาเปลี่ยนสถานะทางสังคม แต่ปัจจุบันการศึกษาไม่ใช่โรงเรียนแต่เป็นเรื่องของข้อมูล ดังนั้นโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลคือ โอกาสทางการศึกษาที่แท้จริง ดังนั้นถ้าเราทำให้คนเข้าไม่ถึงข้อมูลเพราะขาดโอกาสอันนี้เป็นการในการเข้าถึง จะเป็นการแยกโลกออกจากกันจริงๆ เป็นความเหลื่อมล้ำจริง เป็นคนที่เข้าถึงกับคนที่เข้าไม่ถึง ดังนั้นทำอย่างไรให้ดิจิตอลเป็นของทุกๆคน ไม่ทิ้งคนใดคนหนึ่งออกไป” นายประวิทย์กล่าว

นายจอน อึ้งภากรณ์ ผู้สมัครที่สมควรได้รับเลือกเป็น กสท. กล่าวว่า คลื่นความถี่เป็นสมบัติสาธารณะต้องใช้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด โดยเปิดพื้นที่ให้กับประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ใช้ประโยชน์เพื่อศึกษา องค์กรของรัฐจะทำอย่างที่ผ่านมา คือ ตั้งสถานีวิทยุแต่เปิดเพลงทั้งวันเป็นเสือนอนกินไม่ได้ ถ้าเป็นคลื่นของกรมอุตุก็ต้องทำเรื่องอุตุ ถ้าเป็นเคลื่อนสาธารณสุขก็ต้องทำเรื่องสาธารณสุข คือต้องมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ส่วนภาคชุมชนต้องเป็นประชาธิปไตยจริงและกระจายเสียงแพร่ภาพในท้องถิ่นด้วยภาษาท้องถิ่น โดยมีกฎกติกาการให้ใบอนุญาตที่เป็นธรรม นอกจากนี้ต้องมีการสร้างเครือข่ายผู้บริโภคและระบบการร้องเรียนที่เข้มแข็ง การสร้างความเข้มแข็งขององค์กรวิชาชีพ โดยเฉพาะวิทยุชุมชน

แหล่งที่มา:
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค Foundation for Consumers(FFC) www.consumerthai.org

View :1549

อินเทลร่วมฉลองครบรอบ 30 ปีคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกสานต่อนวัตกรรมคอมพิวเตอร์จากปัจจุบันสู่อนาคต

July 29th, 2011 No comments


อินเทลร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่บริษัทมีส่วนสำคัญในการปฏิวัติวงการไอทีตั้งแต่ยุคของคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็มเครื่องแรกไปจนถึงยุคแห่งการเติบโตของคอมพิวเตอร์และยุครุ่งเรืองของแท็บเบล็ต

ในขณะที่เรากำลังฉลองช่วงเวลาครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์โลกของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอยู่นี้ การทำความเข้าใจว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีอิทธิพลสูงเพียงใดต่อชีวิตประจำวันในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมานั้นนับเป็นสิ่งที่ยากทีเดียว ปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้วสัมผัส และราคาของคอมพิวเตอร์ถูกลงมากอย่างที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เมื่อ 30 ปีก่อนหน้านี้ ไมโครโปรเซสเซอร์ของอินเทลกลายมาเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ โดยมีบทบาทในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง ช่วยยกระดับประสิทธิภาพของการดำเนินธุรกิจให้สูงขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยรังสรรค์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคทั่วโลกอย่างมากอีกด้วย

จากจุดเริ่มต้นของ “สิ่งเร้นลับหลังม่านดำ”

ก่อนที่จะเกิดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปี 2524 ผู้สนใจคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มที่มีความสนใจในเทคโนโลยี ผู้ที่ซื้อคอมพิวเตอร์โดยส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่สนใจนำไปใช้ในกิจกรรมอดิเรกของตน และกระหายที่จะเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการใช้งาน องค์ประกอบต่างๆ และพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมา แต่หลังจากนั้นไอบีเอ็มได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงแนวคิดดังกล่าว โดยการสร้างมาตรฐานสากลขึ้นมาในวงการอุตสาหกรรม และผลักดันการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ออกมาปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลกในวงกว้าง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนจึงเริ่มเปลี่ยนมุมมองความคิดโดยมองว่า คอมพิวเตอร์คือเครื่องมือชนิดหนึ่งและไม่ใช่ของเล่นอีกต่อไป
ไอบีเอ็มเปิดตัวพีซีเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 2524 ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของยุคแห่งการหลบซ่อนอยู่ในเงามืดของคอมพิวเตอร์ และก้าวสู่ยุคของการพัฒนาอย่างแท้จริง เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกของไอบีเอ็มใช้ไมโครโปรเซสเซอร์รุ่น อินเทล 8086 เป็น “สมอง” ภายในคอมพิวเตอร์

การแปรสภาพของเครื่องพิมพ์ดีดที่มีจอเรืองแสง
ระบบประมวลผลผ่านการแปรสภาพต่างไปจากเดิมอย่างมาก นับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ผู้ที่อายุน้อยกว่า 45 ปีอาจไม่สามารถจินตนาการได้ว่าการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มแรกเป็นอย่างไร จอภาพที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นจอโมโนโครมที่แสดงตัวอักษรและตัวเลขสีเขียวเรืองแสงออกมา แม้ว่าในช่วงแรกๆ มีการจำหน่ายจอสีด้วยเช่นกัน แต่จอสีมีการใช้ในแวดวงที่จำกัดและมีราคาค่อนข้างสูงมาก ในยุคนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ไม่คล่องตัวมากนัก เนื่องจากยังไม่มีการแสดงผลแบบกราฟฟิกและไม่มีเมาส์สำหรับใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ในยุคปัจจุบันอาจนึกไม่ถึง ในขณะที่ผู้บริโภคในปัจจุบันสามารถซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีไมโครโปรเซสเซอร์ชั้นยอดอย่าง อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 2 ทั้งสามรุ่น คือ อินเทล คอร์ ไอ5 ไอ7 และ ไอ3 ทีมีพลังสมรรถนะในการประมวลผลที่ดีเยี่ยมกว่าสมัยก่อนมาก รวมทั้งยังประกอบด้วยคุณสมบัติต่างๆ อีกมากมาย (ขึ้นอยู่กับรุ่นของโปรเซสเซอร์) อาทิ ® Quick Sync, ® Wireless Display 2.0, ® Turbo Boost Technology 2.0 และเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดอื่นๆ อีกหลากหลาย

ในปัจจุบัน เราสามารถเพลิดเพลินกับภาพกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูง สร้างวิดีโอหรือภาพยนตร์ได้อย่างง่ายดาย ดาวน์โหลดข้อมูลได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ล้วนแตกต่างจากสมัยก่อนโดยสิ้นเชิง

เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกมีราคาราวๆ 3,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 91,000 บาท) หรือราคาสูงกว่าเงินเดือนเฉลี่ยของคนไทยในขณะนั้นประมาณ 10 เท่า ปัจจุบันราคาคอมพิวเตอร์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.75 เท่าของเงินเดือนเฉลี่ยของคนไทย และในอนาคตราคาอาจจะยิ่งถูกลงเรื่อยๆ

ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์จำนวน 10,000 เครื่อง ถือเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาลแล้ว จอห์น มาร์คอฟ นักเขียนของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ผู้เขียนบทความชื่อ “มองย้อนหลังพีซีเครื่องแรกของฉัน” ที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2544 เล่าว่า ไอบีเอ็มคาดว่าจะจำหน่ายคอมพิวเตอร์ได้ 240,000 เครื่องภายในเวลา 5 ปี แต่ปรากฏว่าไอบีเอ็มได้รับยอดสั่งซื้อจำนวนนี้ภายในเดือนแรกเท่านั้น ปัจจุบันมีการจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์กว่าหนึ่งล้านเครื่องต่อวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเวลาไม่นานในช่วงชีวิตของเรา

เครื่องคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มรุ่นแรก และ “เครื่องเลียนแบบ” ที่ปรากฏตามมาในช่วงต้นปี 2525 ถูกผู้คนมองว่าเป็นแค่ “เครื่องพิมพ์ดีดที่มีจอเรืองแสง” หรือ “เครื่องคิดเลขชั้นดีกว่าปกติ” เท่านั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้ยังทำงานได้อย่างจำกัด แต่ในปัจจุบัน คุณสมบัติต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ได้ขยายขอบเขตออกไปถึงระดับที่ผู้คนในยุคก่อนหน้านี้ไม่เคยจินตนาการว่าจะทำได้มาก่อน คอมพิวเตอร์สามารถทำหน้าที่เป็นโทรศัพท์ ไปรษณีย์ โรงภาพยนตร์ คลังจัดเก็บข้อมูล และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำรงชีวิตของเราไปแล้ว

วันนี้และอนาคต

กอร์ดอน มัวร์ ผู้ก่อตั้งอินเทลตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในปี 2508 ว่า ความจุของโปรเซสเซอร์จะเพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 18 เดือน ซึ่งนำไปสู่ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่เพิ่มเป็นทวีคูณภายในช่วงเวลาสั้นๆ คำพูดดังกล่าวต่อมาได้กลายเป็น “กฎของมัวร์” และแนวโน้มดังกล่าวยังคงเป็นจริงมาจนถึงทุกวันนี้ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพในการประมวลผลสำหรับผู้บริโภคมากกว่าคอมพิวเตอร์ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเคยใช้ในการส่งคนไปดวงจันทร์เสียอีก และวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ก็มิได้หยุดนิ่งอยู่แค่นั้นหลังจากผ่านไปแล้ว 30 ปี

นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโคร อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความก้าวหน้าในสามทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในการปฏิวัติวิธีการที่ผู้คนสื่อสาร ทำงาน ศึกษาและเรียนรู้ ตลอดจนแสวงหาความสุขใส่ตัว ในขณะที่วิวัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับโปรเซสเซอร์ของอินเทลจะยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการจัดการงานต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ผู้คนในช่วงหนึ่งหรือสองปีก่อนหน้านี้คาดไม่ถึงว่าจะทำได้”

ปัจจุบันระบบประมวลผลมีการแปลงสภาพต่างไปจากเดิมอย่างมาก จากยุคที่เป็นแค่เครื่องพิมพ์ดีดซึ่งมีจอเรืองแสง ไปจนถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก เน็ตบุ๊ก และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ใช้งานร่วมกับพีซีได้ สมาร์ทโฟน กระทั่งมาถึงยุคของแท็บเบล็ต คอมพิวเตอร์กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และยังคงทวีความแข็งแกร่งไปทั่วโลก วิสัยทัศน์ของอินเทลในอนาคตอันใกล้นี้คือ การนำรูปแบบการใช้งานแนวใหม่มาใช้ ซึ่งมาในรูปของคอมพิวเตอร์แบบพกพารุ่นใหม่อย่าง Ultrabook นั่นเอง คอมพิวเตอร์ชนิดนี้จะให้ประสิทธิภาพและคุณสมบัติต่างๆ ของโน้ตบุ๊กที่มีอยู่ในปัจจุบันไปผสมผสานกับคุณสมบัติต่างๆ ของแท็บเบล็ต เพื่อให้มีรูปแบบการใช้งานที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ด้วยดีไซน์ของเครื่องที่บางมาก (บางไม่ถึง 20 มม.) น้ำหนักเบาและดูเรียบหรู ในราคาทั่วไปที่ต่ำกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 29,900 บาท) นอกจากนั้น คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคแต่ละรายสามารถเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ได้มากกว่าหนึ่งเครื่อง เพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน หรือขณะอยู่บนท้องถนนก็ตาม


นอกจากนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับทุกครัวเรือน ไม่ว่าจะใช้เป็นระบบประมวลผลข้อมูล เพื่อความบันเทิง หรือใช้ระบบสื่อสารก็ตาม โดยใช้เทคโนโลยีที่มีวิวัฒนาการอย่าง Wi-Di (Wireless Display) ซึ่งจะเข้ามาเป็นตัวเชื่อมการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และทีวีได้ และสมาชิกในบ้านทุกคนสามารถหันมาใช้เวลาอันมีค่าร่วมกันได้มากขึ้น ใน “ยุคแห่งการเติบโตของคอมพิวเตอร์” คอมพิวเตอร์ที่บ้านจะได้รับการใช้งานมากขึ้น และผู้บริโภคจะกลายเป็นศูนย์กลางเพื่อกำหนดประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตของตนเอง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ที่ปลายนิ้วในอนาคตอันใกล้นี้

เมื่อถึงจุดหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ อินเทลคาดหวังว่าการก้าวกระโดดของประสิทธิภาพในครั้งต่อไปจะทำให้ระบบประมวลผลก้าวไปสู่ยุคใหม่อีกครั้ง ตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ที่สามารถรับคำสั่งที่เป็นเสียงพูดและตอบสนองได้ในทันทีเป็นต้น

เราได้เดินทางมาไกลมาก นับตั้งแต่ยุคที่พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาที่ผู้คนต้องปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยี จนถึงปัจจุบันที่ไลฟ์สไตล์และความต้องการต่างๆ ของผู้คนได้กลายเป็นปัจจัยหลักของการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับเทคโนโลยีไปแล้ว ระบบประมวลผลส่วนบุคคลได้กลายมามีความเป็นส่วนบุคคลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

View :2117

เทรนด์ ไมโคร เผยผลวิจัยพบอันตรายที่มาจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในองค์กร

July 29th, 2011 No comments

แม้ว่าการใช้สื่อสังคมออนไลน์จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ แต่องค์กรธุรกิจควรรับรู้ไว้ว่าเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์สามารถเป็นพาหะภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้เช่นกัน

องค์กรธุรกิจจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือชี้วัดที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับวัดการขยายบทบาทของตนในตลาด โดยจะเห็นได้ว่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในด้านการส่งเสริมการขายและการตลาด อย่างไรก็ตามแม้ว่าจำนวนการใช้ไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์จะเพิ่มสูงขึ้น แต่หลายองค์กรยังขาดความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นและภัยคุกคามที่มีสื่อสังคมออนไลน์เป็นพาหะ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงการมีนโยบายควบคุมที่สามารถดูแลพนักงานของตนได้อย่างครอบคลุม ด้วยเหตุนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการละเมิดความปลอดภัยซึ่งเป็นผลมาจากการใช้แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์จึงมีจำนวนมากกว่าผลประโยชน์ที่พึงจะได้รับ

รายงานจากนีลเซนระบุว่า 74% ของประชากรอินเทอร์เน็ตโลกเข้าชมไซต์บล็อก (blog) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ และพบว่าจุดที่ใช้ในการเข้าร่วมในสื่อสังคมออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะอยู่ในที่ทำงานเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่รายงานของการ์ทเนอร์ระบุว่า การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในที่ทำงานกำลังขยายตัวอย่างมากโดยจากการสำรวจพบว่าพนักงานเกือบครึ่งมีการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์และ 18.5% มีความชำนาญหรือมีหน้าที่รับผิดชอบในด้านการวางแผน ประเมิน หรือเลือกสื่อสังคมออนไลน์มาใช้ภายในองค์กรของตน

“สื่อสังคมออนไลน์กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในแวดวงธุรกิจ เราพบว่าบริษัทหลายแห่งได้ปรับใช้ไซต์เครือข่ายเสมือนให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดของตนหรืออยู่เหนือคู่แข่งในตลาด อย่างไรก็ตาม หลายรายมองข้ามความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ภายในไซต์เครือข่ายสังคมดังกล่าว” ไมลา ปิลาโอ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีหลัก ศูนย์วิจัยเทรนด์แล็บส์ บริษัท อิงค์กล่าว

ด้วยจำนวนผู้ใช้งานกว่า 500 ล้านราย ทำให้ Facebook กลายเป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด อย่างไรก็ตามอาชญากรไซเบอร์เองก็ได้มองเห็นโอกาสในการใช้ Facebook เป็นพาหะแพร่มัลแวร์หรือสร้างการโจมตีด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น สแปมเมอร์ใช้ Facebook เพื่อแพร่ลิงก์ที่เป็นอันตรายซึ่งมักจะนำไปสู่การดาวน์โหลดมัลแวร์โดยอาศัยผู้ใช้เป็นนกต่อล่อลวงบุคคลอื่นๆ ให้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ด้วยเหตุนี้ บริษัท เทรนด์ ไมโคร จึงได้รวม Facebook ไว้ในรายชื่อสิ่งที่มีอันตรายที่สุด 10 อันดับแรกโดยพิจารณาจากการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับ Facebook ซึ่งได้รับการรายงานอยู่บ่อยครั้ง

เช่นเดียวกับเครื่องมือค้นหาอื่นๆ Twitter ได้กลายเป็นแหล่งรวมลิงก์ที่เป็นอันตราย โดยอาชญากรไซเบอร์ได้ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมของผู้ใช้ที่มักจะติดตามหัวข้อที่กำลังได้รับความสนใจ (trending topics) และกระตุ้นให้ผู้ใช้ทำการค้นหาข้อมูล จากนั้นเมื่อผู้ใช้ Twitter คลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายก็จะถูกนำไปยังเพจที่มีมัลแวร์แฝงอยู่

หลุมพรางจากการเข้าใช้ไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์โดยไม่ระวังตัวจะครอบคลุมตั้งแต่การปรับเปลี่ยนเส้นทางแบบง่ายๆ ไปจนถึงการทำให้ระบบติดเชื้อได้อย่างซับซ้อน “นอกจากไวรัสหรือมัลแวร์ การลวงให้คลิกไลค์ (likejacking) แอพพลิเคชั่นอันตราย และสแปมทวิตเตอร์แล้ว องค์กรธุรกิจกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงหากพนักงานของตนโพสต์ข้อความหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมที่นำไปสู่การเปิดเผยที่ตั้งสำนักงาน ปัญหาการเมืองภายในองค์กร โครงการลับ กลยุทธ์ หรือสภาพภายในสำนักงาน เป็นต้น” ไมลา กล่าว

ในการบล็อกภัยคุกคามที่มาจากการใช้เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ของพนักงาน มีหลักการที่สำคัญอยู่ไม่กี่ข้อซึ่งองค์กรธุรกิจควรนำไปปรับใช้ ได้แก่ 1) สร้างแนวทางเกี่ยวกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อควบคุมพฤติกรรมพนักงานและแนะนำให้พนักงานพึงระวังในสิ่งที่พวกเขาเผยแพร่ทางออนไลน์ 2) ปรับใช้และปรับปรุงการป้องกันแบบหลายชั้นเป็นประจำ 3) ติดตามตรวจสอบสินทรัพย์สื่อสังคมออนไลน์ทั้งหมดและบันทึกการสื่อสารทั้งหมดไว้ 4) พัฒนาแผนการสื่อสารและการดำเนินการที่เหมาะสมสำหรับกรณีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และข้อสุดท้ายแต่ไม่ใช่ท้ายสุด จัดแคมเปญรณรงค์ให้เกิดการตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้ใช้เพื่อช่วยให้พนักงานเข้าใจและสำนึกในคุณค่าของสินทรัพย์ข้อมูลองค์กร รวมถึงผลที่ตามมาในกรณีที่สินทรัพย์นั้นตกอยู่ในภาวะอันตรายด้วย

View :2076

เปิดเทคโนโลยี Near Field Communications

July 29th, 2011 No comments

โดย เจเรมี่ เบโลสต็อก หัวหน้าฝ่าย โนเกีย

Near Field Communications () เป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ทำให้อุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ใกล้กันสามารถเชื่อมต่อกันได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Open (แบบเปิด) และ Secure (แบบรักษาความปลอดภัย) Open หมายถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารที่มีเทคโนโลยี เข้าด้วยกัน หรือการใช้อุปกรณ์สื่อสาร เพื่ออ่าน tag (ชิพที่ฝังในโปสเตอร์ การ์ด หรือสิ่งพิมพ์) เพื่อรับข้อมูลหรือทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วน Secure คือ การใช้อุปกรณ์สื่อสารเสมือนกระเป๋าสตางค์ หรือเครดิตการ์ด เพื่อจ่ายค่าสินค้าหรือบริการ เพียงแค่วางลงบนเครื่องอ่าน

NFC เป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นที่สุดอย่างหนึ่งในปัจจุบันของอุตสาหกรรมการสื่อสารเคลื่อนที่ในแง่ของการสร้างรายได้ โดยคาดการณ์ว่า โทรศัพท์มือถือที่มีเทคโนโลยี NFC จะขายได้ถึง 700 ล้านเครื่อง ภายในปี 2013 ในฐานะ
หนึ่งในผู้บุกเบิกเทคโนโลยี NFC และผู้ก่อตั้ง NFC Forum โนเกียเชื่อว่า Open NFC จะมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและระบบนิเวศน์ NFC ได้มากกว่า Secure NFC เพราะ Open NFC มีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับนักธุรกิจ ผู้ค้าปลีก ผู้โฆษณา ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆ ได้มากกว่า

ข้อเด่น
ด้วย Open NFC คุณเพียงแค่แตะอุปกรณ์สื่อสารที่มีเทคโนโลยี NFC บน NFC tag เพื่อทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การเช็คอิน ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง การเก็บแต้มสะสมของร้านค้า หรือการเข้าเว็บไซต์โดยไม่ต้องพิมพ์ URL นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ NFC tag เพื่อโปรโมตแอพพลิเคชั่นบนร้านค้าออนไลน์ได้อีกด้วย อาทิ แทนที่จะเข้าไปยังร้านค้าออนไลน์เพื่อหาแอพพลิเคชั่น คุณเพียงแค่แตะบน tag ก็สามารถดาวน์โหลดแอพได้ทันที

NFC tag ซึ่งมีราคาไม่กี่บาท จะมอบศักยภาพมหาศาลให้กับผู้โฆษณา ผู้ค้าปลีก และอื่นๆ เพื่อให้เข้าถึง มอบสิทธิประโยชน์ และติดต่อสื่อสารกับลูกค้า เราสามารถติดตั้ง NFC tag ที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายโทรศัพท์ ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านกาแฟ ซึ่งสามารถวัดผลลัพธ์ได้และเห็นผลทันที การเปิดศักยภาพ NFC tag ไม่ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานอะไรมากมาย เพียงแค่มีการวางตลาดอย่างแพร่หลายของอุปกรณ์สื่อสารที่มีเทคโนโลยี NFC และการตระหนักถึงคุณประโยชน์ของ NFC tag ในกลุ่มผู้โฆษณาเท่านั้น

นอกจากการอ่าน tag แล้ว Open NFC ยังสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์ NFC 2 เครื่องได้ง่ายๆ เพียงแค่นำเครื่องทั้งสองแตะกัน คุณก็สามารถแบ่งปันเนื้อหา เช่น รูปถ่าย หรือการเล่นเกมส์คู่ โดยไม่เสียเวลาเชื่อมต่ออย่างบลูทูธ ล่าสุดเกมส์สุดฮิตอย่าง Angry Birds ได้ออก Angry Birds Free With Magic เกมส์เวอร์ชั่นพิเศษสำหรับอุปกรณ์สื่อสารที่มีเทคโนโลยี NFC อย่าง C7 ซึ่งได้ซ่อนขั้นพิเศษของเกมส์เอาไว้ ซึ่งจะเข้าไปเล่นได้ต่อเมื่อนำโทรศัพท์ NFC ของคุณแตะกับ C7 หรืออ่าน NFC tag ที่จะนำคุณสู่ร้านค้าออนไลน์ของโนเกียเพื่อดาวน์โหลดขั้นพิเศษของเกมส์

Open NFC ยังสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือของคุณไปยังลำโพงไร้สาย หรือหูฟังที่มีเทคโนโลยี NFC ได้อย่างง่ายดาย ถ้าคุณกลับถึงบ้านขณะฟังเพลงจากโทรศัพท์ด้วยหูฟังค้างอยู่ เพียงแค่แตะโทรศัพท์มือถือกับลำโพง NFC ที่บ้าน คุณก็เปลี่ยนไปฟังเพลงจากลำโพงได้อย่างต่อเนื่อง เพียงเท่านี้ก็ทำให้จินตนาการถึงอุปกรณ์และแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้อีกมากมาย

เปิดสู่อนาคต

โนเกียในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารที่มีประสบการณ์สูงในเทคโนโลยี NFC ได้เปิดตัวอุปกรณ์สื่อสาร NFC แล้ว 5 รุ่น อย่างไรก็ดี พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ หน่วยงานด้านการชำระเงิน ธนาคาร ผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้จัดการระบบ นักพัฒนา และอื่นๆ จะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยี NFC ให้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์

ขณะเดียวกัน Open NFC จะให้ประโยชน์กับผู้บริโภคได้มากขึ้น และให้ผู้คนได้คุ้นเคยกับการใช้อุปกรณ์สื่อสาร NFC ก่อนที่ Secure NFC จะเริ่มได้รับความนิยม เมื่อโทรศัพท์มือถือ NFC เข้ามาในตลาดในปี 2554-2555 Open NFC จะเปลี่ยนรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ของผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้นักพัฒนาทั้งใหญ่และเล็ก เราเชื่อว่า นักพัฒนาจะใช้โอกาสที่ได้รับจาก Open NFC ในการสร้างแอพสำหรับการ แบ่งปันข้อมูล การอ่าน tag การร่วมสังคมออนไลน์ และอื่นๆ อีกมากมาย และโอกาสของ Open NFC จะมาถึงก่อนที่ Secure NFC จะเริ่มต้นขึ้น

—–
เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือของคุณเป็นสมาร์ทการ์ดเอนกประสงค์ด้วยเทคโนโลยี NFC

รู้จัก NFC
• เป็นวิธีการที่สะดวกในการโอนย้ายข้อมูลระหว่างโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อื่นๆ โดยการนำอุปกรณ์ทั้งสองมาสัมผัสกัน
• เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือให้เป็นสมาร์ทการ์ด
• ซื้อสินค้าและบริการโดยการแตะโทรศัพท์กับเครื่องอ่าน NFC
• ให้โทรศัพท์ของคุณเป็นบัตรโดยสาร ณ ประตูทางเข้าที่มี NFC
• NFC ทำงานในระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตร
• ใช้ชิพสำหรับเก็บรายละเอียดวงเงินและการเดินทางอย่างปลอดภัย

NFC คืออะไร
NFC เป็นวิธีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโทรศัพท์มือถือกับอุปกรณ์อื่นๆ อาทิ เครื่องอ่านเครดิต NFC ที่ประตูทางเข้าที่มี NFC หรือ RFID tag โดยการแตะอุปกรณ์ทั้งสองเข้าด้วยกัน คุณสามารถใช้โทรศัพท์มือถือที่มีเทคโนโลยี NFC เพื่อซื้อสินค้าและบริการได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นหรือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเดินทาง คุณยังสามารถรับข้อมูลข่าวสาร เช่น ข่าวประจำวัน หรือข้อมูลการเดินทางล่าสุดได้โดยแตะโทรศัพท์ของคุณกับ RFID tag ที่ฝังอยู่บนโปสเตอร์ หรือแลกเปลี่ยนนามบัตรได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะโทรศัพท์เข้าด้วยกัน โทรศัพท์ NFC จะติดตั้งชิพที่เก็บข้อมูลลับ เช่น ข้อมูลวงเงิน หรือข้อมูลการเดินทาง ไว้อย่างปลอดภัย คุณสามารถใช้โทรศัพท์ NFC กับ RFID tag เพื่อรับข้อมูลและบริการต่างๆ เพียงแค่แตะเบาๆ ลงบน tag

โทรศัพท์รุ่นไหนมี NFC
พร้อมใช้งานใน Nokia C7 และอีกหลายรุ่นในอนาคตอันใกล้ ตรวจสอบเพิ่มเติมที่ www.nokia.co.th หรือโนเกีย แคร์ไลน์ 02-255-2111

ทำไมต้องใช้ NFC
NFC ทำให้เราชำระค่าสินค้าและบริการได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลจาก smart poster, RFID tag และบุคคลอื่นๆ ได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะโทรศัพท์ของคุณกับอุปกรณ์ NFC อื่นๆ

ด้วยโทรศัพท์ NFC คุณจะสามารถ
• ซื้อหนังสือพิมพ์ได้ในเวลาไม่กี่วินาที โดยเฉพาะในช่วงเร่งรีบยามเช้า
• รับตารางเวลาต่างๆ เพียงแค่แตะโทรศัพท์มือถือกับ smart poster
• โดยสารรถประจำทาง รถไฟ หรือรถไฟฟ้า เพียงโหลดข้อมูลบัตรโดยสารเข้าไปในโทรศัพท์ และแตะโทรศัพท์ของคุณกับประตูทางเข้า NFC
• แลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อ และข้อมูลอื่นๆ กับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานโดยเพียงแค่นำโทรศัพท์มาแตะกัน
• ทำ RFID tag ของคุณเอง โดยใส่ข้อมูลการติดต่อ และเชื่อมต่อไปยังบริการมือถือ เช่น ข่าว พยากรณ์อากาศ ราคาหุ้น

ในอนาคตโทรศัพท์ NFC สามารถนำไปใช้เป็น
• อุปกรณ์ยืนยันสถานะบุคคล
• บัตรโดยสารเครื่องบิน
• กุญแจอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ โรงแรม หรือสำนักงาน

View :2440

ลูกค้าเอไอเอส รับส่วนลดสูงสุด 10% เมื่อบินภายในประเทศกับบางกอกแอร์เวย์ส

July 29th, 2011 No comments

เอไอเอส โดย คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ จับมือ โดย คุณอาริญา ปราสาททองโอสถ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย ร่วมจัดแคมเปญสุดพิเศษอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานต่อโครงการ “เอไอเอสเดินทางอย่างมีระดับ ในราคาอุ่นใจ” ปี 2 เอาใจลูกค้าเอไอเอสที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว รับส่วนลดสูงสุดถึง 10% เมื่อเดินทางกับเส้นทางการบินภายในประเทศของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยรับสิทธิได้ง่ายๆเมื่อจองผ่าน eService ที่ www..co.th หรือจองผ่าน www.bangkokair.com/ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 31 สิงหาคม และเดินทางได้จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน ศกนี้

สำหรับลูกค้าเซเรเนดก็ยังคงได้รับสิทธิใช้บริการในฐานะคนพิเศษระดับ VIP อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเช็คอินที่เคาน์เตอร์พิเศษ Blue Ribbon Counter หรือเข้าใช้บริการห้องรับรอง Blue Ribbon Club Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเดินทางโดยเที่ยวบินของบางกอกแอร์เวย์สในทุกระดับ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ AIS Call Center 1175

View :2050

“งานประชุมสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติด้านอาหารในโลกอนาคต InnovAsia 2011: Food in the Future (FIF2011)”

July 28th, 2011 No comments

จัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

แนวโน้ม/ทิศทางนวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหารของโลก

ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มตื่นตัวและได้หันกลับมาใส่ใจกับการดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น แนวโน้มการผลิตและบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพจึงเพิ่มขึ้นตามมาอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ถือแนวคิดที่ว่า “การป้องกันดีกว่าการรักษา” อาหารจึงไม่เป็นเพียงปัจจัยในการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต
ดังนั้น แนวโน้มของการพัฒนาอาหารของโลกในปัจจุบันและอนาคตจึงมีทิศทางไปยังการพัฒนานวัตกรรมอาหารในกลุ่มอาหารเสริมสุขภาพในรูปของอาหารฟังก์ชั่นและผลิตภัณฑ์นิวตราซูติคอล (functional food and nutraceutical) เป็นหลัก

ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพของโลกโดยรวมภายในปี 2553 จะมีมูลค่าประมาณ 167,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีญี่ปุ่นและประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปเป็นตลาดหลักของผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ นอกจากนี้ จากการศึกษาถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระเบียบกฎเกณฑ์ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของประชากร และการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะ 5 ปีข้างหน้า คือ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพเฉพาะด้าน (specialty supplements) ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้าน ดังนี้

1. อาหารเพื่อบำรุงสมอง (food for brain)
เป็นอาหารที่มีสารอาหารสำหรับบำรุงสมองที่ได้จากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีหน้าที่นำไปใช้ในการซ่อมแซมหรือทำให้การทำงานและสุขภาพของสมองเจริญเติบโตแข็งแรง สามารถทำงานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารอาหารบำรุงสมองที่เป็นที่รู้จักกันดีเช่น โอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมองและระบบประสาทเกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ รวมทั้งเกี่ยวกับเรตินาในการมองเห็น โคลีนมีบทบาทสำคัญเรื่องการแก้ปัญหาทางด้านความจำ หลงลืม เศร้าหมอง ขาดสมาธิและจิตใจหดหู่ และวิตามินบี เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
2. อาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนัก (food for weight management)
เป็นอาหารที่มีส่วนผสมสารอาหารในกลุ่มควบคุมปริมาณอาหารและลดไขมัน เช่น สารสกัดจากผลส้มแขก ซึ่งมีผลต่อการลดความอยากอาหารและลดปริมาณการรับประทานอาหารอย่างได้ผล สารอาหารในกลุ่มเพิ่มการเผาผลาญไขมัน เช่น แอล-คาร์นิที ซึ่งมีฤทธิ์เป็นตัวนำพาไขมันที่สะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายออกมาเผาผลาญให้เป็นพลังงาน และกลุ่มกำจัดไขมันออกจากร่างกายได้แก่ ไคโตซาน โดยหน้าที่เหมือนฟองน้ำ เพื่อดูดซับไขมันในกระเพาะอาหารไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
3. อาหารเพื่อความสวยงาม (food for beauty & anti-aging)
เป็นอาหารที่มีการใช้สารสกัดจากพืชผักและผลไม้มาเป็นส่วนผสมซึ่งสามารถซ่อมแซม บำรุงโครงสร้างผิว และป้องกันการทำลายผิวจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังรักษาสมดุลของร่างกาย ตั้งแต่ฮอร์โมน สารอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระ และระบบชีวเคมี ในร่างกายให้สมดุลกัน เพื่อให้สวยจากภายไม่ใช่แค่ความสวยงามภายนอกเท่านั้น เช่น คอลลาเจนซึ่งเป็นตัวช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น เสริมความเรียบตึงให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนกระชับ และโคเอนไซม์คิวเท็นที่มีหน้าที่ช่วยป้องกันการทำงานเซลล์ผิวจากการถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระ และป้องกันการทำงานเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน
4. อาหารเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน (food for well-being)
เป็นอาหารที่ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยสำหรับการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เพิ่มศักยภาพให้กับระบบต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้ออักเสบ ความเสื่อมของกระดูก และจอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น ซึ่งมีผลให้สุขภาพโดยรวมมีความแข็งแรงมากขึ้น ต้านทานต่อโรคและความเสี่ยงต่างๆที่เข้ามาสู่ร่างกายของมนุษย์ เช่น กลูโคซามีน ซึ่งเป็นสารสกัดจากเปลือกกุ้งและปูที่มีฤทธิ์ช่วยในการสร้างกระดูกอ่อนและน้ำเลี้ยงไขข้อที่สูญเสียไปในผู้สูงวัย หรือลูทีนซึ่งเป็นสารอาหารที่มีความ สำคัญในการปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีนจะทำงานร่วมกันกับกรดไขมันดีเอชเอซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็ก

กิจกรรมภายในงาน

1. การจัดประชุม/สัมมนา
- “มุมมองการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมของโลกในศตวรรษที่ 21” โดย Dr. Ad Juriaanse ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศูนย์วิจัยอาหาร NIZO food research BV ประเทศเนเธอร์แลนด์
- “การประยุกต์เทคโนโลยีและงานวิจัยอาหารฟังก์ชั่นและส่วนประกอบของอาหารที่ประสบความสำเร็จ” โดย Dr. Meike te Giffel ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอาหาร NIZO food research BV ประเทศเนเธอร์แลนด์
- “เกณฑ์การกล่าวอ้างทางสุขภาพของยุโรปที่มีการปรับปรุงล่าสุด” โดย Prof. Dr. Alfred Hagen Meyer จาก meyer // meisterernst rechtsanwälte สหพันธรัฐเยอรมนี
- “สาร Glavonoid ในชะเอมที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด” โดย Dr. Kaku Nakagawa ผู้จัดการอาวุโสจากทีมวิจัยและทรัพย์สินทางปัญญา บริษัท Kaneka Corporation ประเทศญี่ปุ่น
- “สาระสำคัญในสารสกัดจากไก่ที่มีผลต่อการทำงานของสมอง” โดย Dr. Keiichi Abe รองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาจากบริษัท เซเรบอส แปซิฟิค จำกัด (บริษัทผู้ผลิตซุปไก่สกัดแบรนด์)
- กระแสและแนวโน้มของผู้บริโภคของอาหารและอาหารเสริมประเภทต่างๆ โดย คุณวฤตดา วรอาคม ผู้อำนวยการแผนกคอนซูเมอร์อินไซต์ บริษัท McCann Worldgroup ประเทศไทย
- คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อที่ให้ผลในการชะลอริ้วรอย โดย ดร. สิทธิศักดิ์ เหมืองสิน กรรมการผู้จัดการจากบริษัท ภูเก็ตเป๋าฮื้อฟาร์ม จำกัด

2. นิทรรศการ – แสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหารของผู้ประกอบการทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมนำเสนอตัวอย่างงานวิจัยที่สามารถต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เด่น ได้แก่

2.1 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ QH
“ยูบิควินอล (ubiquinol) หรือ QH” เป็นสารโคเอนไซม์คิวเท็น (coenzyme Q10) ที่มีโครงสร้างทางเคมีในรูปของรีดิวซ์ฟอร์ม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์สารให้พลังงานของสิ่งมีชีวิต (ATP synthesis) อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) อย่างไรก็ดี เนื่องจาก QH เป็นสารที่มีความเสถียรต่ำ ดังนั้น การผลิตสารโคเอนไซม์คิวเท็นในระดับอุตสาหกรรมจึงได้มุ่งผลิตสารโคเอนไซม์คิวเท็นที่มีโครงสร้างทางเคมีในรูปของออกซิไดซ์ฟอร์ม (ubiquinone) ซึ่งมีความเสถียรสูง อนึ่ง ร่างกายจะนำสารโคเอนไซม์คิวเท็นที่ได้รับนี้ไปเปลี่ยนให้เป็น QH และนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความสามารถของร่างกายในการเปลี่ยนโคคิวเท็นให้กลายเป็น “QH” ก็จะได้ด้อยประสิทธิภาพลง ส่งผลให้ร่างกายขาดสาร QH และนำมาซึ่งสภาวะเสื่อมถอยของร่างกาย ดังนั้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ QH นี้ ก็จะช่วยลดปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคในวัยชราได้เป็นอย่างดี

**Source: Kaneka Corporation, Japan

2.2 โยเกิร์ตสำหรับควบคุมน้ำหนักด้วย Plant-Derived LAB
โยเกิร์ตโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการนมมาผ่านกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ชนิดผลิตกรดแล็กติกที่สกัดได้จากสัตว์ (animal-derived lactic acid bacteria; animal-derived LAB) เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้มักจะไม่สามารถคงอยู่ได้ในสภาวะที่เป็นกรดของระบบย่อยอาหาร ในขณะที่จุลินทรีย์ชนิดผลิตกรดแล็กติกจากพืช (plant-derived lactic acid bacteria; plant-derived LAB) นั้นจะมีความสามารถคงอยู่ได้ในสภาวะที่เป็นกรดของระบบย่อยอาหาร ดังนั้น เพื่อให้คงคุณสมบัติทางด้านโพรไบโอติกของจุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร จึงได้มีการนำ plant-derived LAB มาใช้ในการผลิตโยเกิร์ต

นอกจากนี้ plant-derived LAB บางสายพันธุ์ยังมีคุณสมบัติเด่นในด้านอื่นด้วย โดยเฉพาะด้านระบบภูมิคุ้มกันโรคในระบบย่อยอาหาร หรือแม้กระทั่งการควบคุมน้ำหนัก โดยได้มีการนำ plant-derived LAB สายพันธุ์ L.plantarum LP28 ที่มีคุณสมบัติเด่นด้านการยับยั้งการเพิ่มขึ้นของปริมาณไขมันในลำไส้และตับ รวมทั้งยังสามารถลดการสั่งการของยีนในกระบวนการสังเคราะห์ไขมัน มาใช้ในการผลิตโยเกิร์ตสำหรับควบคุมน้ำหนัก

รูปภาพแสดงคุณสมบัติในการลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ในตับหนู ของจุลินทรีย์ชนิดผลิตกรดแล็กติก
จากพืช (LP28) เปรียบเทียบกับจุลินทรีย์ชนิดผลิตกรดแล็กติกจากพืชชนิดอื่น (SN13T)

**Source: Center for Collaborative Research & Community Corporation, Hiroshima University, Japan

2.3 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก Glavonoid
กลาโวนอยด์ (Glavonoid) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ประกอบด้วยกลุ่มสารออกฤทธิ์ทางธรรมชาติ (bio-active compound) ที่สกัดได้จากรากของชะเอม (ricolice) สายพันธุ์ glabra spices ที่มีชนิดของสารกลุ่มพอลิฟีนอลสูงและมีจำนวนมากกว่า 80 ชนิด โดยเฉพาะสารกลาบริดิน (glabridin) ซึ่งพบได้เพียงในชะเอมพันธุ์ดังกล่าวเท่านั้น
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลาโวนอยด์ จะมีปริมาณสารพอลิฟีนอลที่สูงและมีการปนเปื้อนต่ำ เนื่องจากใช้กระบวนการสกัดด้วยไขมัน (lipid extraction) 2 ขั้นตอน จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลาโวนอยด์มีสารกลาบริดินสูงมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดอื่นๆ นำมาซึ่งคุณสมบัติเด่นทางด้านต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ต้านการเกิดเมลานิน (melanogenesis inhibition) รวมทั้งสามารถลดปริมาณไขมัน

**Source: Kaneka Corporation, Japan

http://www.swansonvitamins.com

2.4 สารสกัดเซราไมด์จากสับปะรดสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อความงาม
เซราไมด์ (ceramide) เป็นโมเลกุลของไขมันชนิดหนึ่งที่พบมาในเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งเซราไมด์จะมีคุณสมบัติเหมือนกับสารปกป้องผิวตามธรรมชาติมากที่สุด (natural protection factor) ซึ่งจะช่วยปกป้องและรักษาผิวพรรณ ตลอดจนปรับสมดุลและคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ดังนั้น จึงได้มีการผลิตสารสกัดเซราไมด์ในระดับอุตสาหกรรมจากวัตถุดิบชนิดต่างๆ อาทิ ข้าว (rice-germ ceramide) บุก (konjak ceramide) และนม (milk ceramide) เป็นต้น

สารสกัดเซราไมด์จากสับปะรด (pineapple ceramide) ถือเป็นเซราไมด์ชนิดแรกที่สกัดได้จากผลไม้ โดยเซราไมด์จากสับปะรดนั้นจะมีคุณสมบัติเด่นทางด้านสร้างความกระจ่างใสให้เซลล์ผิว (skin lightening) ให้ความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ผิว (skin moisturizing) และคุณสมบัติด้านการอักเสบ (anti-inflammatory) อนึ่ง เซราไมด์จากสับปะรดนี้เป็นผลจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัท ทิปโก้ ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และ Maruzen Pharmaceuticals Co., Ltd ประเทศญี่ปุ่น โดยการสนับสนุนของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ทั้งนี้ สารสกัดเซราไมด์จากสับปะรดนี้จะถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในอนาคต โดยเฉพาะอาหารฟังก์ชัน และเครื่องดื่มฟังก์ชัน

**Source: Maruzen Pharmaceutical, Japan
2.5 ผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวพร้อมดื่มสำหรับลดความดันโลหิตและลดคลอเรสเตอรอล
ผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวพร้อมดื่มมีส่วนประกอบของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากเปบไทด์ในนม (bioactive milk peptide) ชนิดไตรเปบไทด์ที่มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต โดยจะไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่เป็นตัวควบคุมความดันโลหิต (angiotensin converting enzyme; ACE) และมีสารแพลน สเตรอล (plant sterol) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากพืช ทำให้มีฤทธิ์ในการลดระดับคลอเรสเตอรอลได้อีกด้วย

View :6355
Categories: Press/Release, Science Tags:

กฎหมายการประกอบกิจการของคนต่างด้าว: ได้เวลาที่จะสะสางแล้วหรือยัง?

July 28th, 2011 No comments

โดย

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สื่อต่างๆ มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการตรวจสอบการถือหุ้นของบริษัท DTAC ว่ามีลักษณะของการถือหุ้นแทนหรือไม่ และมีบทความจำนวนมากที่เสนอให้มีการปรับปรุงนิยามของคนต่างด้าวให้เข้มงวดมากขึ้นดังเช่นในต่างประเทศซึ่งมีการพิจารณาถึงสัดส่วนการถือหุ้นทั้งโดยตรงและโดยอ้อม การถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง อำนาจในการควบคุมบริษัทในทางปฏิบัติ ฯลฯ ผู้เขียนเห็นว่าประเด็นเรื่องการลงทุนของคนต่างด้าวมิใช่เพียงเรื่องของนิยามของคนต่างด้าวเท่านั้น หากแต่ต้องพิจารณาถึงข้อบทของกฎหมายในภาพรวมและสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกด้วย ทั้งนี้ มีข้อเท็จจริงบางประการที่จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาว่าเราควรที่จะมีการแก้นิยามของ “คนต่างด้าว” พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือไม่ และอย่างไรดังนี้

ประการแรก นิยามของ “คนต่างด้าว” ในกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในปัจจุบันที่มีความหละหลวมนั้นมิได้เกิดจากความไม่รอบคอบหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ร่างกฎหมาย หากแต่เกิดจากเจตนาของรัฐบาลที่จะผ่อนปรน กฎ กติกาในการควบคุมการลงทุนของคนต่างด้าวเพื่อที่จะรักษาและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เมื่อประมาณสองทศวรรษมาแล้ว

ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 เป็นกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติที่ไทยประกาศใช้เพื่อจำกัดสิทธิการลงทุนของต่างชาติฉบับแรก ประกาศฯดังกล่าว ได้จำกัดสัดส่วนหุ้นส่วนคนต่างด้าวในธุรกิจในบัญชีแนบท้ายกฎหมายไว้ไม่เกินร้อยละ 49 สำหรับธุรกิจที่ปรากฏในบัญชีแนบท้าย (ก)–(ค) บัญชีดังกล่าวห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจในภาคการผลิตและบริการบางประเภทที่เกี่ยวโยงกับการประกอบธุรกิจทางเกษตรกรรม หัตถกรรม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับวิชาชีพที่สงวนสำหรับคนไทย ฯลฯ โดยความแตกต่างระหว่างบัญชีแต่ละบัญชีขึ้นอยู่กับระยะเวลาและเงื่อนไขที่คนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามอยู่เดิมจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎหมาย และ วิธีการและเงื่อนไขที่คนต่างด้าวรายใหม่จะสามารถขออนุญาตในการประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามเหล่านั้น แต่ที่สำคัญคือ บัญชี (ค) นั้นห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจบริการทุกประเภทโดยไม่ระบุสาขา ข้อจำกัดดังกล่าวยังคงปรากฏอยูในบัญชี 3 ใน พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน

ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 281 ได้กำหนดนิยามของคนต่างด้าวไว้ในข้อ 3 ของประกาศฯ ว่า หมายถึง “ นิติบุคคล ซึ่งทุนตั้งแต่กึ่งหนึ่งของบุคคลนั้นเป็นของคนต่างด้าว “ ต่อมาได้มีการร้องเรียนให้สอบสวน บริษัทเอบีบี ดิสทรีบิวชั่น จำกัด ว่าเป็นบริษัทต่างด้าวหรือไม่เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีผู้ถือหุ้นต่างชาติ คือ บริษัท เอบีบี อาเซีย อาบราวน์ โบเวอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนจัดตั้ง ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถือหุ้นโดยตรงร้อยละ 49 และถือหุ้นโดยอ้อมผ่าน เอเซีย อาบราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลไทยอีกร้อยละ 49 อีกชั้นหนึ่งทำให้มีสัดส่วนของทุนรวมกันแล้วประมาณร้อยละ 74 เกินกว่ากึ่งหนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัท เอบีบี ดิสทรีบิวชั่น จำกัด เป็นนิติบุคคลต่างด้าวเนื่องจากทุนมากกว่ากึ่งหนึ่งมาจากผู้ถือหุ้นต่างชาติ[1]

สืบเนื่องจากผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาในกรณีของบริษัท เอบีบี ดิสทรีบิวชั่น จำกัด กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการเพื่อตรวจสอบการถือหุ้นของคนต่างด้าวในนิติบุคคลไทยในหลายลำดับชั้นของการถือหุ้นและพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากที่มีสัญชาติเป็นคนต่างด้าวหากนับรวมการถือหุ้นทางอ้อมด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนต่างด้าวมีบทบาทอย่างมากในเศรษฐกิจไทย รัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน ในสมัยนั้นมีความเห็นว่าหากมีการตีความคำจำกัดความของคำว่า “ทุน” ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงมีการออกพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 (ฉบับที่ 2) ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 โดยให้ยกเลิกบทนิยามของคำว่า `คนต่างด้าว’ ในข้อ 3(1) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฯ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“คนต่างด้าว” หมายถึง บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลซึ่งมีหุ้นอันเป็นทุนจดทะเบียนตั้งแต่กึ่งหนึ่งของนิติบุคคลนั้นถือโดยคนต่างด้าว หรือนิติบุคคลซึ่งมีคนต่างด้าวลงหุ้นมีมูลค่าตั้งแต่กึ่งหนึ่งของทุนทั้งหมดในนิติบุคคลนั้น’ เพื่อให้มีความชัดเจนว่าสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าวนั้นจะพิจารณาจากการถือหุ้นและทุนในนิติบุคคลนั้นๆ ชั้นเดียวโดยไม่พิจารณาถึงทุนของคนต่างด้าวในนิติบุคคลอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมลงทุนในนิติบุคคลนั้น จึงเข้าหลักเกณฑ์สัดส่วนการถือหุ้นคนไทยกับต่างชาติที่ร้อยละ 49:51 ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การแก้ไขนิยามของคนต่างด้าวให้กลับไปเหมือนกับนิยามที่กำหนดใน ปว. 281 ย่อมหมายถึงการปฏิเสธการลงทุนจากต่างประเทศดังเช่นนโยบายของคณะปฏิวัติเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2535 ที่มีการแก้ไขนิยามของคนต่างด้าว และคงจะยิ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่มีการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดนมากขึ้น

ข้อเท็จจริงประการที่สองคือ นิยามของคนต่างด้าวในต่างประเทศมีความรัดกุมกว่าประเทศไทย หากแต่ประเทศเหล่านี้มีข้อจำกัดการลงทุนของคนต่างด้าวเพียงไม่กี่สาขา ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ห้ามต่างชาติเข้ามาลงทุนในทุก “สาขาบริการ” ในขณะที่ประเทศอื่นมักจำกัดหุ้นส่วนต่างชาติในสาขาบริการหลักๆ เช่น การธนาคาร การขนส่ง การสื่อสาร เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว เป็นที่น่าสังเกตว่า จีน เวียดนาม กลับมีข้อกำหนดสัดส่วนทุนต่างชาติ “ขั้นต่ำ” ไม่ใช่ “ขั้นสูง” เพราะเขาต้องการดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้และการจ้างงานในประเทศ หากแต่มีการกำหนดเงื่อนไขในการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เข้มงวดกว่าไทย ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นสหรัฐอเมริกาก็ยังมีข้อจำกัดหุ้นส่วนต่างชาติอยู่ในบางธุรกิจ เช่น โทรคมนาคม มีการจำกัดหุ้นส่วนต่างชาติไว้ที่ร้อยละ 20 และมีนิยามของคนต่างด้าวที่ค่อนข้างรัดกุม หากแต่กฎหมายเปิดช่องให้หน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม (Federal Communication Commission หรือ FCC) สามารถอนุญาตให้บริษัทต่างชาติประกอบกิจการได้หากเห็นว่าการเข้ามาของบริษัทต่างชาติจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ซึ่งต่างจากในกรณีของกฎหมายไทยที่ไม่ได้เปิดช่องดังกล่าว ซ้ำร้ายหน่วยงานกำกับดูแลรายสาขาบางแห่งยังมีการร่างประกาศที่จะทำให้นิยามของคนต่างด้าวสำหรับธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของตนมีความเข้มขึ้นเพื่อที่ป้องกันมิให้บริษัทต่างชาติเข้ามา “ฮุบ’ บริษัทไทย หากแต่ไม่ได้วิเคราะห์ว่าหากต่างชาติที่ให้บริการแก่ประชาชนคนไทยอยู่นั้นต้องถอนทุนไปทำให้เกิดการผูกขาดในตลาดแล้ว คนไทยและเศรษฐกิจไทยจะได้ประโยชน์อย่างไร ครั้นจะหันไปพึ่งพากฎหมายป้องกันการผูกขาดของเราก็ไม่ได้ เพราะกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงเศษกระดาษเนื่องจากไม่มีการบังคับใช้มาเป็นเวลากว่า 12 ปี

ผู้เขียนมองไม่เห็นว่า การห้ามธุรกิจต่างด้าวประกอบธุรกิจบริการทุกประเภทแบบครอบจักรวาลที่เป็นอยู่นั้นเป็นผลดีอย่างไรต่อคนไทยและเศรษฐกิจไทย เพราะสุดท้ายแล้วการที่เราห้ามเปรอะไปหมดทำให้เราก็ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เลยในทางปฏิบัติ เพราะมีธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมากในหลากหลายสาขา รวมถึงบาร์เบียร์หรือสถานบันเทิงจำนวนมากแถวพัทยาที่เป็นของคนต่างด้าวที่ไม่ก่อประโยชน์ใดๆ ต่อเศรษฐกิจไทย ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายการลงทุนแบบ “ปากว่า ตาขยิบ” ของไทย คือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ของไทยบางกลุ่มที่พอใจที่จะเห็นคู่แข่งต่างชาติถูกกีดกันในการประกอบธุรกิจ และพร้อมที่จะงัดกฎหมายนี้ออกมาเป็นอาวุธในการต่อสู้ทางธุรกิจกับคู่แข่งที่มีหุ้นส่วนต่างชาติ เพราะหากปราศจากการแข่งขันจากบริษัทต่างชาติแล้ว กลุ่มทุนเหล่านี้จะสามารถแผ่ขยายอำนาจทางธุรกิจเพื่อยึดครองตลาดภายในประเทศได้ง่ายดายขึ้น

ผู้เขียนมีความเห็นว่ารัฐบาลควรที่จะทบทวนบัญชี 3 ของกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในปัจจุบัน ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อ“ธุรกิจไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน” หากภาคบริการของไทยยังคงไม่พร้อมที่จะแข่งขันหลังจากเวลาเนิ่นนานมาแล้วเป็นเวลาเกือบ 40 ปีนับจากที่มี ปว. 281 ในปี พ.ศ. 2515 เราก็คงต้องเลิกพูดกันเรื่องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะภาคบริการจะเป็นตัวถ่วงภาคอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมทำให้เราล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในการตักตวงประโยชน์จากการเปิดเสรีการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนในปี พ.ศ. 2558

ผู้เขียนเห็นว่า บัญชีสามควรให้การคุ้มครองแก่ ธุรกิจที่เป็นแหล่งทำมาหากินของผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากเท่านั้น มิใช่ส่งเสริมให้ทุนขนาดใหญ่ที่มีอำนาจทางตลาดสูงเอาเปรียบเกษตรกร ผู้ประกอบการขนาดย่อมและผู้บริโภคไทย จากการผูกขาดตลาด ประเทศไทยจะไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ หากนโยบายของภาครัฐยังคงให้การคุ้มครองกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในภาคบริการที่สำคัญของประเทศ

สุดท้าย ผู้เขียนหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมีความกล้าหาญที่จะเข้ามารื้อกฎหมายฉบับนี้เพื่อปฏิรูปให้ภาคบริการของประเทศไทยโดยเฉพาะในสาขาที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจของประเทศให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับภาคการผลิตของเราที่เติบโตแข็งแกร่งจากทั้งการลงทุนจากต่างประเทศ และจากแรงกดดันของการแข่งขันจากทั้งในตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศโดยไม่ต้องพึ่งพิงกฎหมายที่กีดกันคู่แข่งจากต่างชาติแต่อย่างใด.

——————————————————————————–

[1] บันทึกของคณะกรรมการกฤษฎีกา (เลขเสร็จ 332/2535) เรื่อง ความหมายของคนต่างด้าว ตามข้อ 3 แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ 2515 (กรณีบริษัท เอบีบี ดิสทรีบิวชั่น จำกัด)

View :1527

ทรูมูฟแบบรายเดือน ชวนเพื่อนมอบสิ่งดีๆ ให้แก่กัน กับแคมเปญ Member Get Member รับส่วนลดสูงสุดถึง 50% เพียงชวนเพื่อนมาสมัครทรูมูฟ

July 28th, 2011 No comments

ผู้ให้บริการที่มอบความคุ้มค่าสูงสุด (Best Value, Best Buy) ออกแคมเปญใหม่ “Member Get Member” ให้ลูกค้าทรูมูฟบอกต่อสิ่งดีๆ และความคุ้มค่าสุดพิเศษ เพียงชวนเพื่อนๆ เปิดบริการทรูมูฟแบบรายเดือน รับไปเลยส่วนลดค่าบริการรายเดือนสูงสุด 50% ทั้งลูกค้าทรูมูฟและลูกค้าใหม่ ยิ่งชวนมาก ยิ่งได้ส่วนลดมาก… ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษง่ายๆ โทร *9399 กด 6 กด 1 สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม2554


ทั้งนี้ ลูกค้าทรูมูฟและลูกค้าใหม่จะได้รับส่วนลดค่าบริการรายท่านละ 10% นาน 3 เดือน เพียงลูกค้าใหม่ชำระค่าบริการตรงตามกำหนดชำระ นอกจากนี้ลูกค้าทรูมูฟสามารถชวนเพื่อนๆ มาสมัครและรับสิทธิพิเศษจากแคมเปญ Member Get Member ได้ถึง 5 เลขหมาย พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 50%

วิธีการสมัครแคมเปญ Member Get Member

1. ลูกค้าทรูมูฟปัจจุบัน แนะนำเพื่อนๆ เปิดซิมใหม่ทรูมูฟแบบรายเดือนที่ ทรู ช้อป ทุกสาขา แพ็กเกจใดก็ได้ จำกัดจำนวนสมาชิกสูงสุด 5 เลขหมาย ต่อ 1 ท่าน

2. ลูกค้าทรูมูฟใหม่ โทร *9399 กด 6 กด 1 เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์เข้าร่วม แคมเปญ Member Get Member ได้ภายใน 15 วันนับจากวันที่เปิดใช้บริการทรูมูฟ

3. หลังจากลูกค้าใหม่โทรลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าปัจจุบันผู้แนะนำจะได้ข้อความยืนยัน จากนั้นต้องทำการยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ โดยโทรกด *9399 กด 6 กด 1 ภายใน 5 วัน มิฉะนั้น ทั้งผู้แนะนำและลูกค้าใหม่จะไม่สามารถรับสิทธิพิเศษนี้ได้ ทั้งลูกค้าผู้แนะนำและลูกค้าใหม่ จะได้รับส่วนลด 10% (สูงสุด 50% ตามเงื่อนไขแคมเปญ) ในรอบบิลถัดไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ร้านทรูช้อป หรือ ทรูมูฟ แคร์ โทร.1331, www.truemove.com

View :1843

เอไอเอสผนึกกำลังพาร์ทเนอร์ หนุนพลัง Ecosystem ไปอีกขั้น กับ E3- Enhanced Ecosystem Experience

July 28th, 2011 No comments

เอไอเอสผนึกพลังพาร์ทเนอร์ ผ่าน แนวคิด Ecosystem เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์การใช้บริการ โดยเปิดเครือข่าย 3G ในกรุงเทพฯ และอีก 7 จังหวัด เสริมศักยภาพการบริการไร้รอยต่อผ่าน 3 เครือข่าย (3G, Wifi, EDGE+) พร้อมให้บริการ 3 Applications ใหม่ล่าสุด ( Music Store, Book Store, App Store) และประกาศเปิดตัว 3 Device ใหม่ล่าสุด (Samsung Galaxy Tab 10.1, N9, HTC EVO 3D) ที่ exclusive เฉพาะกับ เอไอเอส

นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า “ครึ่งปีแรกภาพรวมของอุตสาหกรรมยังคงเติบโต โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเอไอเอสครองส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ 54.5% ทั้งนี้หากมองไปที่รายละเอียดสำคัญๆจะพบว่า ปริมาณลูกค้าที่ใช้โมบาย อินเตอร์เน็ต มีสูงถึง 7.5 ล้านคน , ความนิยมดาวน์โหลดคอนเท็นต์มากกว่า 48 ล้านครั้งต่อปี เช่นเดียวกับการส่งมอบสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์มากกว่า 5 ล้านครั้งในแต่ละปีให้แก่ลูกค้า เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งยืนยันแนวความคิด Ecosystem ที่เราได้มุ่งมั่นมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา”

“สิ่งที่ผู้ประกอบการมุ่งหวังคือ โอกาสทางการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานหลัก (Infrastructure) ที่เป็นรากฐานมีผลต่อการเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งหากภาครัฐมีการบริหารจัดการด้านกฏเกณฑ์อย่างชัดเจน ปี 2013 จะได้เห็นมูลค่าการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ถึงกว่า 240,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามระหว่างที่รอความชัดเจนของการเปิดประมูล 3จี ของภาครัฐ เราจึงเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายเพื่อส่งมอบให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งาน Data บนเครือข่าย Hi Speed คือ 3G, Wifi, EDGE+ ที่จะทำให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อเข้าสู่โลก online ได้อย่างต่อเนื่อง สะดวกสบาย ทุกที่ ทุกเวลา กับเครือข่ายดาต้าไร้สายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อันประกอบด้วย 3G บนคลื่นความถี่ 900 MHz ที่ขยายเพิ่มเติมในพื้นที่กรุงเทพและอีก 7 จังหวัด (จะเป็น 9 จังหวัดในสิ้นปี ’54) ประกอบด้วย กรุงเทพ, เชียงใหม่ ,ชลบุรี, หาดใหญ่-สงขลา, ภูเก็ต, ชะอำ-หัวหิน-ปราณบุรี และนครราชสีมา รองรับมาตรฐานความเร็วสูงสุดถึง 21.6 Mbps , Wifi มากกว่า 30,000 จุด (จะเป็น 50,000 จุดภายในสิ้นปี’54) และ EDGE+ ครอบคลุมทั่วไทย ให้คุณอัพโหลดข้อมูลสูงสุดถึง 236 Mbps. (เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ) และดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุดถึง 296 Mbps. (เพิ่มขึ้นเป็น 25% ) พร้อมโทรออก-รับสายได้แม้ขณะท่องโลกออนไลน์ จึงไม่พลาดทุกการติดต่อ

นายมาร์ค ชอง ชิน ก๊อก หัวหน้าผู้บริหาร ด้านปฏิบัติการ เอไอเอส เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “มุมมองของเอไอเอสในการพัฒนาเครือข่าย คือ เดินหน้านำทุกเทคโนโลยีมามอบให้ลูกค้าได้ใช้งานอย่างตอบโจทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ความต้องการใช้งาน Hi speed Data เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ดังเช่นเทคโนโลยี 3G บนคลื่นความถี่ 900 MHz ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2551 และขยายพื้นที่ครอบคลุมต่อเนื่อง จนปัจจุบันได้พร้อมให้บริการแล้วในกรุงเทพและ 7 จังหวัดดังกล่าว ด้วยแนวคิดที่จะให้ลูกค้าใช้งาน Data ได้ต่อเนื่องทุกที่ ทุกเวลา โดยลูกค้าที่มีโทรศัพท์รองรับ 3G 900จะได้รับการ upgrade ความเร็วสูงสุดพื้นฐานไปถึง 384 Kpbs. และสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเร็ว 3G อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตตามเวลาไปจนถึงการใช้งานที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลาอย่างสมาร์ทโฟน ก็สามารถสมัครแพ็กเกจ 3G – Wifi – EDGE+ ที่หลากหลาย เริ่มต้นเดือนละ 150 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจ iPhone , Blackberry 300 บาท และ 799 บาท รวมถึงลูกค้าที่อยู่ในแพ็กเกจการใช้งาน unlimited 799 บาท จะได้รับการ upgrade ใช้ 3G อัตโนมัติ ภายในรอบบิลถัดไป โดยไม่ต้องสมัคร”

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เอไอเอสให้ความสำคัญมาโดยตลอดคือ Quality DNAs ที่ต้องส่งมอบไปพร้อมๆกัน ดังนั้นย่อมไม่ได้หมายความเพียง เครือข่าย หากแต่ต้องมี สุดยอด Applications ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อลูกค้าเอไอเอส ซึ่งในครั้งนี้ได้เปิดตัว 3 Application ล่าสุด คือ

1. AIS Bookstore ครั้งแรกของการเปิด E-Book Store เคาน์เตอร์จำหน่ายหนังสือบนโลก online ที่ใหญ่ที่สุด โดยร่วมมือกับสำนักพิมพ์ชั้นนำในประเทศเปิดให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดนิตยสารและพ็อคเก็ตบุ๊คชั้นนำกว่า 200 หัว จากกว่า 40 สำนักพิมพ์ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ทั้งบน iOS และ Android

2. AIS Music Store ครั้งแรกในการร่วมกับทุกค่ายเพลงในเมืองไทยให้ลูกค้าดาวน์โหลด ฟัง และแชร์ได้เพียงปลายนิ้ว ไม่อั้นกว่า 60,000 เพลงในราคาสุดคุ้มแบบเหมาจ่าย ที่รวมค่าบริการ Data ไว้ด้วย

3. AIS App Store ประตูสู่โลก Application ที่ดีที่สุดทั้งไทย และต่างประเทศที่รองรับทุกระบบปฏิบัติการ อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้เข้าถึง application ง่ายขึ้น

พร้อมประกาศ 3 Smart Devices ที่ exclusive เฉพาะลูกค้าเอไอเอส ประกอบด้วย

1. Samsung Galaxy Tab 10.1 ที่มาพร้อมแพ็กเกจสุดคุ้มที่รวม E-Magazine จาก AIS Book Store 10 เล่มต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน

2. Nokia N9 มือถือ Smart Phone ที่ดีที่สุดของ โนเกีย และ

3. HTC Evo ED มือถือที่สามารถถ่ายภาพ 3 มิติเครื่องแรก

ทั้ง 2 รุ่นจะวางตลาด เร็วๆ นี้

อีกด้านที่ เอไอเอสพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งคือ ช่องทางการส่งมอบบริการ ที่พัฒนาอย่างสอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่ม Trend ข้างต้น พร้อมทีมพนักงาน Smart Expert กว่า 300 คนทั่วประเทศ ที่พร้อมให้คำแนะนำและอยู่เคียงข้างเสมอ”

“ทั้งหมดนี้คือ คุณภาพในทุกด้าน ที่ทีมงานเอไอเอสทั้งหมดขออาสาเป็นตัวกลางที่จะทำงานร่วมกับทุกส่วนใน Ecosystem ในการสร้างพลังให้แก่ E3 – Enhanced Ecosystem Experience

ทั้งนี้นายวิเชียร กล่าวย้ำตอนท้ายว่า “ขณะนี้ลูกค้ามีความต้องการใช้งาน Hi speed Data เป็นอย่างมาก 3G บนคลื่นความถี่ 900 MHz จึงเป็นเพียงเทคโนโลยีเท่าเทียมกันในปัจจุบันที่เอไอเอสสามารถนำมาให้บริการได้ แต่ก็จะตอบสนองความต้องการได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เอไอเอสจึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐมองเห็นความสำคัญของการวางแผนนโยบายบรอดแบนด์ แห่งชาติ เริ่มจากการกำหนดช่วงเวลาเปิดประมูลใบอนุญาต 3 จี ให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ส่งมอบบริการ 3จี ที่แท้จริง บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพบริการ Data บนเครือข่าย High Speed ที่สมบูรณ์แบบ และการพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆต่อไป”

เกี่ยวกับการพัฒนาบริการ 3G บนคลื่นความถี่ 900 MHz ของเอไอเอส

ปี 2551 พบว่าความต้องการใช้งาน Data ของลูกค้าเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เอไอเอสจึงเดินหน้าสรรหาเทคโนโลยีที่จะมาตอบสนองความต้องการดังกล่าวเบื้องต้น ในระหว่างรอความชัดเจนจากภาครัฐเกี่ยวกับแนวทางให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิร์ตซ์ เอไอเอสจึงนำเทคโนโลยี HSPA (High Speed Packet Access)บนคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ตซ์ ปัจจุบันมาให้บริการ โดยถือเป็นการทำงานบนสัญญาที่รับสิทธิอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง TOT และ เอไอเอส ที่ได้ทำ MOU ร่วมกันในการพัฒนากิจการโทรคมนาคมไทย ซึ่ง เอไอเอสได้รับสิทธิจาก TOT ในการปรับปรุงโครงข่ายจากที่ให้บริการอยู่ปัจจุบัน เพื่อที่จะใช้เทคโนโลยีใหม่บนความถี่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ TOT เองก็ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ในเวลาดังกล่าว) ให้ทำการปรับปรุงโครงข่ายโดยใช้เทคโนโลยี HSPA บนคลื่นความถี่ 900 เม็กกะเฮิร์ตซเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

3 แอพพลิเคชั่นเพื่อลูกค้าเอไอเอส

บริการ AIS Music Store

คลังเพลงล่าสุดบนเอไอเอส สมาร์ทโฟน ที่ให้คุณโหลดเพลงได้ไม่จำกัดกว่า 50,000 เพลง จากทุกค่ายเพลงชั้นนำของเมืองไทย ทั้ง GMM Grammy, RS, Sony Music, Small Room, Spicy Disc, Universal, Warner, KPN ฯ ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Unlimited Load, Play, Share” ที่โหลดเพลงได้ไม่อั้น ทั้งเต็มเพลง และมิวสิควิดีโอ ผ่านทางแอพพลิเคชั่น AIS Music Store และเล่นเพลงได้ทั้งแบบ on line และ off line ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ หรือจะแชร์เพลงโปรดให้เพื่อนผ่านทาง Facebook หรือ Twitter ก็ได้ง่ายๆ ทั้งหมดนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่า 3G/EDGE Plus/GPRS อีกต่อไป

ลูกค้าเอไอเอสเพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น AIS Music Store มาเก็บไว้ที่เครื่องฟรี จากนั้นก็สมัครใช้บริการแบบรายเดือน เพียงโทร *272# เพื่อดาวน์โหลดเพลงมาฟังได้แบบไม่อั้น ในอัตราสุดคุ้ม เพียง 99 บาท/เดือน โดยค่าบริการนี้เป็นราคาเหมาจ่าย ที่รวมทั้งค่าคอนเทนต์และค่าเชื่อมต่อ 3G/EDGE Plus/GPRS ไว้แล้ว เมื่อใช้บริการ ไม่ว่าจะโหลด เล่น แชร์เพลง ลูกค้าไม่ต้องเสียค่าเชื่อมต่อ 3G/ EDGE Plus /GPRS เพิ่มแต่อย่างใด ซึ่งรองรับบนเอไอเอส iPhone, Android และ BlackBerry

บริการ AIS Bookstore

ร้านหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งเอไอเอสได้รวบรวมนิตยสารชั้นนำในเมืองไทย และพ็อกเก็ตบุ๊ค กว่า 200 เล่มมาให้ดาวน์โหลดไปอ่านบน iPad, iPhone, Android และ Tablet โดยหนังสือที่ขายอยู่บน AIS Bookstore จะวางจำหน่ายพร้อมกับแผงหนังสือทั่วไป

ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น AIS Bookstore ได้ฟรี ส่วนราคาหนังสือแต่ละเล่ม ขึ้นอยู่กับสำนักพิมพ์ มีทั้งแบบโหลดฟรี และคิดค่าบริการ โดยสามารถซื้อได้ทั้งแบบเล่มเดี่ยว และแบบสมัครสมาชิก พร้อมกันนี้ เอไอเอสยังได้จัดแพ็คเกจพิเศษ สำหรับผู้ที่สมัครใช้แพ็ค Unlimited 3G / WiFi / EDGE Plus 899 บาท จะได้รับฟรี e-magazine จาก AIS Bookstore เดือนละ 10 เล่มเป็นระยะเวลา 3 เดือน ได้แก่ Image, ดิฉัน, Men’s Health, Seventeen, Mother&Baby, GM, GM Car, Hello, T3 และ Maxim

บริการ AIS APP Store

แหล่งรวมแอพลิเคชั่นเพียงแห่งเดียว ที่รวมทั้งแอพจากไทยและทั่วโลก สามารถรองรับ มือถือได้ทุกรุ่น เพียงโทร *900 ภายใต้คอนเซ็ปท์ Life Work Play จัดเต็มทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ทั้งขาช้อป คอหุ้น ดูหนังฟังเพลง อัพเดทข่าวสาร ท่องเที่ยว รวมทั้งแอพฯ ที่ช่วยบริหารจัดการการใช้งานมือถือของคุณได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้การใช้งานสมาร์ทโฟนจากเอไอเอสเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ อาทิ AIS Music store, AIS Bookstore, AIS eService, AIS SoccerLive, Serenade Mag, Layar, mPAY, SE-ED, ASTVManager, Nation Super News, Major, Blue, Central, Shoppening และยังมีแอพและเกมจากทั่วโลกอีกเพียบ

พื้นที่ให้บริการ _กรุงเทพ

พื้นที่ให้บริการ AIS 3G_ชลบุรี

พื้นที่ให้บริการ AIS 3G_ชะอำ หัวหิน ปราณบุรี และภูเก็ต

พื้นที่ให้บริการ AIS 3G_เชียงใหม่

พื้นที่ให้บริการ AIS 3G_นครราชสีมา

พื้นที่ให้บริการ AIS 3G_สงขลา

View :2396

ดีแทคเดินเกมรุก มุ่งสู่ความเป็นเครือข่ายดาต้าที่ดีที่สุดของไทย

July 28th, 2011 No comments


คณะผู้บริหารของโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ “ดีแทค” นำโดย จอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คาลิต ชีซาร์ท (ที่ 2 จากขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทคโนโลยี ปกรณ์ พรรณเชษฐ์ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ และประเทศ ตันกุรานันท์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิศวกรรม ร่วมยืนยันความพร้อมของระบบและอุปกรณ์เครือข่ายในการให้บริการ 3จี เอชเอสพีเอ บนคลื่น 850 เมกะเฮิร์ตซ์ซึ่งจะเปิดตัวกลางเดือนสิงหาคม 2554 บริการใหม่นี้คือจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของดีแทคบนย่างก้าวที่เหนือกว่าและแข็งแกร่งกว่าในการมุ่งสู่ความเป็นเลิศภายใต้กลยุทธ์ “ลูกค้าคือศูนย์กลาง” พร้อมบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายดาต้าที่ดีที่สุดของไทย ด้วยบริการดีแทค 3จี ลูกค้าจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากประสบการณ์สื่อสารที่ดีกว่า เร็วกว่า ตลอดจนจากโซลูชั่นและบริการใหม่ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นตามมา

View :2010
Categories: ภาพข่าว Tags: