Archive

Archive for March, 2012

ผลวิจัยแมคแคนชี้ โทรคมนาคม 3.0: ก้าวสู่กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง-การบรรจบกันกับวิถีแห่งอนาคต

March 30th, 2012 No comments

แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) แผนกคอนซูเมอร์ อินไซต์ เผยผลวิจัยผ่าน แมคแคน ทรูท เซ็นทรัล (McCann Truth Central) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการวิจัยผู้บริโภค ได้ชี้ถึง 5 เทรนด์หลักที่จะเป็นแรงผลักดันสำคัญของธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในยุคปัจจุบัน พบว่า การไร้ขีดจำกัดในการเชื่อมต่อได้ทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างหลากหลายรูปแบบในการใช้งาน

วฤตดา วรอาคม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรม (ซีไอโอ) ของแมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาธุรกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมจะอาศัยเทคโนโลยีเป็นกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนารูปแบบการให้บริการ แต่ในยุคนี้บริการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนถูกสร้างขึ้นจากการที่ผู้บริโภครู้บทบาทของตัวเองและมีอิสระในการเลือกใช้มากขึ้น ผู้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จึงไม่ได้อยู่ในรูปแบบของเสียงอีกต่อไป แต่ได้ก้าวสู่เทคโนโลยีใหม่ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น โมบาย คลาวด์ (Mobile Cloud) คลาวด์ คอนเวอร์เจนซ์ (Cloud Convergence)

แมคแคน ทรูท เซ็นทรัล (McCann Truth Central) ได้ชี้ถึง 5 เทรนด์หลักที่จะเป็นแรงผลักดันสำคัญของธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในยุคปัจจุบัน

TELEMOCRACYปรากฏการณ์เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนบวกกับค่าบริการทั้งรายเดือนและเติมเงินที่มีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ๆจากสมาร์ทโฟนได้อย่างหลากหลาย และเริ่มมองหานวัตกรรมการให้บริการที่ฉลาด ใช้งานง่าย มีอรรถประโยชน์แท้จริง และสามารถเข้ามาช่วยทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วยการเชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริง (Real) และโลกดิจิตอล (Virtual) เข้าด้วยกันโดยผ่านการกดหรือสัมผัสเท่านั้น

EXPERIENCE ROAMINGการรวมกันของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารในปัจจุบัน (Technology Convergence) กำลังจะสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจในรูปแบบโซเชียลมีเดียให้กับผู้บริโภค อุปกรณ์อินเทอร์เนตไร้สายในรูปแบบต่างๆ และอิทธิพลจากวัฒนธรรมการใช้สกรีนทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างแพร่หลาย ถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคยุคนี้พร้อมที่จะเปิดรับประสบการณ์ความบันเทิงในแบบที่ไม่ไม่จำเจ กล่าวคือผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆโดยใช้สมาร์ทโฟนเป็นตัวกลางผ่านประสบการณ์สื่อสารข้ามสกรีนในเวลาจริง

SEIZE THE CLOUD ผู้บริโภคในยุคนี้มองสมาร์ทโฟนเป็นเหมือนสกรีนและมีการเลือกปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองไปตามกิจกรรม ช่วงเวลาและสถานที่ ในยุคที่อุปกรณ์ทุกอย่างถูกเชื่อมโยงด้วยอินเตอร์เน็ต การให้บริการโมบาย คลาวด์ (Mobile Cloud) จะเริ่มมีความแพร่หลายมากขึ้น ส่งผลให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคในการทำกิจกรรมในแต่ละวันมากขึ้น นอกจากนี้เราจะได้เห็นความร่วมมือกันจากหลากหลายภาคธุรกิจมาร่วมพัฒนาบริการใหม่ๆที่ครอบคลุมหลายมิติของไลฟ์สไตล์และการใช้งาน โดยถูกออกแบบจากความต้องการผู้บริโภคและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน

ON THE SPOT CULTURE เทคโนโลยีการสื่อสารตามเวลาจริงและสถานที่จริง (Real Time Real Location) ก่อให้เกิดประสบการณ์การชอปปิ้งแบบใหม่ที่มีลักษณะเรียลไทม์และสะดวกสะดวกสบายต่อผู้บริโภคยิ่งขึ้น โดยนวัตกรรมล่าสุดที่เริ่มมีให้เห็นแพร่หลายมากขึ้น ได้แก่ แอพพลิเคชั่นบริการชอปปิ้งเฉพาะบุคคลในรูปแบบระบุพิกัด (LBS Personalized Shopping Service) กระเป๋าสตางค์มือถือ (Mobile Wallet) ผนังชอปปิ้ง (Mobile Shopping Wall) และการค้นหาข้อมูลสินค้าด้วยรูปภาพ (Visual Search) เป็นต้น ทั้งนี้ยังคงอาศัยโซเชียลมีเดียเป็นตัวกลางเชื่อมเทคโนโลยีเข้ากับสไตล์ของผู้บริโภคยุคนี้ต้องการการใช้ชีวิตแบบความสำเร็จรูปมากขึ้น

HUMANIZE MANIFESTIONS ปัจจุบันธุรกิจให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงไม่แค่การส่งสัญญาณโทรศัพท์เพียงเท่านั้น เนื่องจากผู้ให้บริการเครือข่ายเหล่านี้ต่างกำลังเร่งตัวเองเพื่อแข่งขันกับทั้งผู้ผลิตมือถือ ผู้สร้างแอพลิเคชั่นบนมือถือ หรือแม้แต่ผู้ผลิตคอนเทนต์ โดยพยายามต่อยอดการสร้างคุณค่าในรูปแบบใหม่ๆที่นอกเหนือจากคุณค่าการใช้งานให้กับผู้บริโภค และเชื่อมโยงรูปแบบบริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อตอบสนองทุกแง่มุมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดและมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นในรูปแบบต่างๆ

View :1902
Categories: Press/Release Tags:

TARAD.com ประกาศความเติบโตครั้งยิ่งใหญ่ในธุรกิจอีคอมเมิรซ์ของประเทศไทย

March 30th, 2012 No comments

ด้วยยอดขายเติบโตสูงถึง 216 เปอร์เซ็นต์(จากการเปรียบเทียบยอดขายของTARAD.com ระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2553 และ สิงหาคม-ธันวาคม 2554) หลังจากบริษัทฯ ปรับกลยุทธ์ตามโมเดลธุรกิจของบริษัทแม่อย่างราคูเท็น ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่อันดับสามของโลก

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง


นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง TARAD.com กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า เกิดจากที่ TARAD.com ให้ความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพแก่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจการค้าออนไลน์ เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ทั่วประเทศและทั่วโลก รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผ่านรูปแบบของโมเดลทางธุรกิจแบบ B2B2C หรือ ธุรกิจกับธุรกิจกับผู้บริโภค ซึ่งมีความแตกต่างจากรูปแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยอย่าง B2C หรือ ธุรกิจกับผู้บริโภค และ C2C หรือ ผู้บริโภคกับผู้บริโภค เมื่อมอบอิสระให้แก่ผู้ประกอบการในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าตามหลักของราคูเท็น ส่งผลให้ช่องทางการค้ารูปแบบใหม่จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ สำหรับผู้ที่ต้องเพิ่มยอดขายและสร้างความจงรักภักดีในแบรนด์และสินค้า

TARAD.com ได้นำกลยุทธ์ตามแบบราคูเท็นมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตลาดประเทศไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ โดยจำนวนผู้ประกอบการใน TARAD.com ได้เพิ่มขึ้นกว่า 110 เปอร์เซ็นต์ (จากการเปรียบเทียบจำนวนผู้ประกอบการในTARAD.com ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2553 และ มกราคม-ธันวาคม 2554) ส่วนยอดขายเติบโตสูงถึง 216 เปอร์เซ็นต์ (จากการเปรียบเทียบยอดขายของTARAD.com ระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2553 และ สิงหาคม-ธันวาคม 2554)

โดย TARAD.com ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกรายอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการที่ได้มาตรฐานตามแบบฉบับญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า “omotenashi” (“โอโมเทนาชิ” คือการบริการจากใจตามแบบญี่ปุ่น) โดยเป้าหมายของ TARAD คือการที่ผู้ประกอบการทุกรายสามารถมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำและเกินความคาดหวังให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ TARAD.com ได้นำระบบสะสมแต้ม Super Points program (โปรแกรมซุเปอร์พ้อยท์) ของราคูเท็นที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งมาใช้ภายใต้ชื่อ TARAD Super Point (ตลาดซุเปอร์พ้อยท์) ซึ่งมอบสิทธิให้ลูกค้าสะสมแต้มจากการซื้อสินค้าเพื่อใช้แทนเงินในการชำระครั้งต่อไป

สำหรับ ราคูเท็น บริษัทค้าปลีกออนไลน์จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้บริษัทแม่ของ TARAD.com() มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทอีคอมเมิร์ซอื่นๆนั่นคือ โมเดลธุรกิจแบบ B2B2C หรือ บริษัทกับบริษัทกับผู้บริโภค โดยราคูเท็นยึดมั่นในการให้อำนาจแก่ผู้ประกอบการที่เป็นเสมือนพันธมิตรทางธุรกิจให้มีอิสระในการใช้พื้นที่เว็บไซต์เพื่อการประกอบธุรกิจของตน นอกจากนั้น ราคูเท็น ยังช่วยผู้ประกอบการด้วยวิธีอันหลากหลาย เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมากที่สุด เช่น จัดอบรมหลักการเนินธุรกิจออนไลน์โดย Rakuten University (มหาวิทยาลัยราคูเท็น) และการสร้างเครือข่ายผู้ให้คำปรึกษาเฉพาะทางหรือ ECC ที่ย่อมาจาก e-commerce consultants ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการสร้างผลงานที่ดีที่สุด

View :2051

ดี-ลิงค์ เปิดตัวโซลูชั่น mydlinkTM Cloud Services พร้อมกัน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์รุกตลาดผู้ใช้คลาวด์เต็มตัว

March 29th, 2012 No comments

อินเตอร์เนชั่นแนล หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดตัวโซลูชั่นบนระบบคลาวด์ ในชื่อ “มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส” (mydlinkTM Cloud Services) พร้อมกันทีเดียว 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ คลาวด์ แคม (Cloud Cam) คลาวด์ เราเตอร์ (Cloud Router) และคลาวด์ สตอเรจ (Cloud Storage) พร้อมประกาศเปิดฉากรุกตลาดผู้ใช้คลาวด์เต็มตัว

มร.แซม หว่อง ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ดีลิงค์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า “ดี-ลิงค์ ก้าวเข้าสู่คลาวด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ด้วยการเปิดตัวแพลทฟอร์มคลาวด์ของบริษัทฯ ในชื่อ mydlinkTM เพื่อให้บริการแบบเรียลไทม์ และได้รับความสำเร็จอย่างมาก mydlinkTM สร้างความเปลี่ยนแปลงในการใช้กล้องไอพี โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้ามาดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น จากที่ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ที่เปิดตัวในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น คลาวด์แคม คลาวด์เราเตอร์ และ ของดี-ลิงค์ ก็สามารถใช้อินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อเว็บพอร์ทัล และแอพพลิเคชั่น mydlinkTM ได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าที่ซับซ้อนใดๆ ใช้งานง่าย และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เครือข่ายของตนได้เพียงไม่กี่คลิก จากระยะไกล ดี-ลิงค์จึงมั่นใจว่าลูกค้าจะสัมผัสถึงความสะดวกสบายและประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน”

มร.หว่อง กล่าวต่อว่า “โซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ได้รวมเอานวัตกรรมล่าสุดที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เพื่อสร้างความสอดคล้องและตอบรับกับพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเข้าถึงระบบเครือข่ายที่บ้านและออฟฟิศและยังเข้าถึงข้อมูลต่างๆ จากทุกที่ทุกเวลา ดังนั้น ดี-ลิงค์ จึงเปิดตัวทีเดียวพร้อมกัน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งคลาวด์แคม คลาวด์เราเตอร์ และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายคลาวด์ หรือ คลาวด์ สตอเรจ”

“โซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อ บันทึก เรียกดู หรือควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายของตนได้อย่างง่ายดาย จากทุกที่ทุกเวลา ด้วยการเชื่อมต่อกับแพลทฟอร์ม mydlinkTM นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย อาทิ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบดูว่าใครเชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย หรือบล็อกไม่ให้ผู้ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงเครือข่ายได้แม้ว่าผู้ใช้คลาวด์จะไม่อยู่ที่บ้านหรือออฟฟิศก็ตาม โดยอุปกรณ์ มายดีลิงค์ คลาวด์ สามารถส่งข้อความหรืออีเมล์แจ้งเตือนให้ผู้ใช้ได้รับทราบ จึงสามารถควบคุมความปลอดภัยในเครือข่ายได้อย่างสมบูรณ์แบบและมั่นใจ”

สำหรับโซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม ได้แก่ คลาวด์แคม จำนวน 5 รุ่น คลาวด์ เราเตอร์ 1 รุ่น และ คลาวด์ สตอเรจ 1 รุ่น
คลาวด์แคม 5 รุ่น ประกอบด้วย
· DCS-930L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 IP Camera

กล้องไอพีพื้นฐาน ดิจิตอลซูม 4 เท่า พร้อมไมโครโฟนในตัว
· DCS-932L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 Infrared IP Camera

กล้องไอพีที่เพิ่มคุณสมบัติ LED อินฟราเรด ซึ่งสามารถดูภาพในเวลากลางคืนได้ไกลถึง 5 เมตร
· DCS-942L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 Infrared IP Camera

กล้องไอพีแบบ LED อินฟราเรด และสามารถทำการสนทนาโต้ตอบแบบ 2 ทิศทาง สามารถเลือกแสดงผล ในการบีบอัดข้อมูลเป็นแบบ MPEG4 หรือ MJPEG หรือ
H.264 และยังมีเซ็นเซอร์ PIR (Passive Infrared Sensor) สำหรับตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ พร้อมทั้งยังรองรับการใช้งาน ร่วมกับการ์ดไมโคร เอสดี
เพื่อใช้ในการบันทึกภาพนิ่งและภาพวีดีโอ
· DCS-1130L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 IP Camera

ผู้ใช้สามารถบันทึกวิดีโอลงในอุปกรณ์จัดเก็บบนเครือข่าย ประเภท NAS (Network Attached Storage) ได้โดยตรง ทั้งยังสามารถเลือกบันทึกเฉพาะภาพนิ่ง หรือภาพ
วิดีโอในกรณีที่มีการเคลื่อนไหว เท่านั้น ตัวกล้องสามารถซูมแบบดิจิตัลได้ถึง 16 เท่า และผู้ใช้สามารถปรับระยะชัดของเลนส์ได้ด้วยตัวเอง
· DCS-5230L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 PTZ Infrared IP Camera

กล้องไอพีที่ครบครัน ด้วยอินฟราเรด สำหรับมองภาพในเวลากลางคืน รองรับการสนทนาแบบ 2 ทิศทาง เซ็นเซอร์ PIR และยังหมุนจับภาพได้รอบทิศ
คลาวด์ เราเตอร์ 1 รุ่น ได้แก่
· DIR-605L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 Cloud Router
ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการของ mydlinkTM ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายจากทุกแห่ง ด้วยการแจ้งเตือน ต่างๆ เช่น Push Event, User Control, Real-time
Browsing Record และสามารถใช้งานไวร์เลสได้ ทั้ง มาตรฐานมาตร 802.11n และ 802.11g มี 4 พอร์ต 10/100 Mbps สนับสนุนการเข้ารหัสเครือข่ายไร้สาย
ด้วย WPA และ WPA2 สามารถรับ-ส่งข้อมูลทางไวร์เลสได้ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดถึง 300 Mbps

คลาวด์ สตอเรจ 1 รุ่น ได้แก่
· DNR-322L : mydlinkTM Cloud Network Video Recorder
อุปกรณ์ NVR (Network Video Recorder) แบบสแตนอโลน ที่ใช้จัดเก็บภาพและควบคุมการทำงานของ กล้องไอพีแบบเรียลไทม์ สามารถเชื่อมต่อกับ mydlinkTM ได้
อย่างรวดเร็วและง่ายดาย DNR-322 สามารถ ต่อกล้องไอพีของดี-ลิงค์ ได้ถึง 9 ตัว โดยไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ควบคุม ผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบ ดู หรือเล่นภาพ
ที่บันทึกไว้ ผ่านเว็บไซต์ mydlink™ หรือเว็บอินเทอร์เฟสของ NVR จึงสร้างความสะดวก สบายและบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ยังสามารถ
สำรองข้อมูลโดยเทคโนโลยี RIAD 1 (mirroring) เพื่อปกป้องข้อมูลต่างๆ
“วันนี้เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคของ “คลาวด์ส่วนบุคคล” ซึ่งจะเป็นหัวใจของชีวิตดิจิตอลยุคนี้ การขยายตัวของเครือข่ายมือถือและการเชื่อมต่อแบบไร้สายทำให้ความต้องการเข้าถึงคลาวด์ส่วนตัวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และตลอด 25 ปีของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านระบบเครือข่าย นวัตกรรม มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ก็คือความพยายามล่าสุดของดี-ลิงค์ ในการยกระดับการใช้งานและการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายในระดับผู้ใช้งาน ซึ่งดี-ลิงค์จะมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบเครือข่าย มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ต่อไป เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ความปลอดภัยและเพิ่มความสะดวกสบายของผู้ใช้” มร.หว่อง สรุป

View :1765

เอไอเอส จัดกิจกรรมคลายร้อน “สงกรานต์ทั่วไทย อุ่นใจกับเอไอเอส” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

March 29th, 2012 No comments


โดย นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ ด้วยกิจกรรมคลายร้อน “ อุ่นใจกับเอไอเอส” ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อให้พี่น้องชาวไทยเย็นกายสบายใจตลอดช่วงเทศกาล และในปีนี้เอไอเอสได้เนรมิต “อุ่นใจ Water Land” ให้เป็นดินแดนแห่งความชุ่มฉ่ำและสนุกสนาน โดยในกรุงเทพมีไฮไลท์ที่ถนนข้าวสาร ในวันศุกร์ที่ 13 เม.ย. 55 ตั้งแต่เวลา 12.00 – 15.00 น. พบกับอุ่นใจไซส์ใหญ่ตั้งตระหง่านเพื่อเล่นน้ำกับทุกคน พร้อมมีจุดบริการเติมน้ำฟรี และสนุกสนานแบบใกล้ชิดกับศิลปินชื่อดัง ทั้งบอย-ปกรณ์, โป๊บ ธนวรรธณ์,โตโน่ เดอะสตาร์, พีค-ภัทรศยา, จุ๋ย-วรัทยา และ 2 พิธีกรอารมณ์ดี ชมพู่ ก่อนบ่ายคลายเครียด และเอ๊าะ กีรติ พร้อมด้วยมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินวงแคนดี้มาเฟีย ที่จะมาร่วมสาดความสุขพร้อมมอบของพรีเมียมน้องอุ่นใจสุดน่ารัก อาทิ ปืนฉีดน้ำ, ซองใส่โทรศัพท์มือถือกันน้ำและหมวก ให้กับทุกคนอย่างจุใจด้วย และนอกจากที่กรุงเทพแล้ว พี่น้องต่างจังหวัดก็เตรียมสนุกกับ “อุ่นใจ Water Land” ได้ทั้งที่ เชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และชลบุรี

สนุกกับกิจกรรมสุดคูลแล้ว เอไอเอสยังมอบสิทธิพิเศษส่วนลดจากร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าเลือกรับสิทธิ์ได้ตามใจคุณ ทั้งส่วนลดร้านอาหาร อาทิ S&P, แมคโดนัลด์, แบล็คแคนยอน, เอแอนด์ดับบลิว, ฮาร์เก้น ดาร์ส, อินทนิล ค๊อฟฟี่ ในปั้มบางจาก เป็นต้น และพิเศษสำหรับลูกค้าเซเรเนดรับเครื่องดื่มในร้านแบล็คแคนยอนฟรีตามแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต ได้แก่ ปาย ,ปาลิโอ และสนามบินทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังรับส่วนลดบริการคาร์แคร์จากศูนย์บริการชั้นนำทั่วประเทศด้วย

และสำหรับลูกค้าที่เดินทางกลับบ้าน หรือไปท่องเที่ยวพักผ่อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจตลอดการเดินทาง สามารถนำรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ไปตรวจสภาพก่อนเดินทางได้ฟรี! ระหว่างวันที่ 11 – 17 เม.ย.55 โดยสอบถามจุดให้บริการได้ที่สายด่วน 1156 และสามารถโทรตรวจสอบสภาพการจราจร และแจ้งขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ฟรี! ที่หมายเลข 1644

View :1937

ดีแทค ซัมเมอร์ สเปเชียล ให้ส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท บน 3G สมาร์ทโฟนรุ่นยอดนิยม ไม่มีสัญญา ไม่มีค่าปรับ

March 29th, 2012 No comments

ดีแทคจัดโปรโมชั่นพิเศษ (dtac Summer Special) เพิ่มความร้อนแรงให้กับตลาดสมาร์ทโฟน พร้อมเอาใจลูกค้าดีแทคด้วยการสร้างความผูกพันระยะยาวแต่ไม่ผูกมัด ไม่มีสัญญา ไม่มีค่าปรับ มอบส่วนลดรวมสูงสุด 10,000 บาท พร้อมให้ผ่อน 0% นาน 6 เดือน สมาร์ทโฟนยอดนิยมรุ่นล่าสุดร่วมรายการทั้ง iPhone 4S, Samsung Galaxy Note, และ HTC Sensation XL รวมทั้งให้ลูกค้าใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างสบายใจโดยจ่ายค่าบริการรายเดือนหลังหักส่วนลด 539 บาทสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้แบบไม่จำกัด

ดีแทคมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าดีแทครายเดือนโดยเฉพาะ แบบไม่มีเงื่อนไขผูกมัดให้ลูกค้าต้องชำระเงินในระยะยาว เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคและดีแทค เซ็นเตอร์ ทุกสาขา ทั่วประเทศและสมัครแพ็กเกจ 899 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2555 ลูกค้าดีแทคที่มีอายุการใช้งาน 1 ปีขึ้นไปและมีค่าใช้บริการรายเดือนที่เรียกเก็บแล้วในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน 2555 เดือนใดเดือนหนึ่งจำนวน 1,200 บาทขึ้นไป จะได้รับส่วนลดค่าเครื่องในวันแรกสูงสุดทันที 3,520 บาท โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการล่วงหน้า และรับส่วนลดค่าโทรเพิ่มอีก 6,480 บาท (ส่วนลดเดือนละ 360 บาท นาน 18 เดือน) ทั้งนี้ลูกค้าดีแทคทุกหมายเลขและลูกค้าใหม่ก็สามารถใช้สิทธิพิเศษนี้ได้ โดยจะได้รับส่วนลดรวมสูงสุด 6,250 บาท ทุกเครื่องไม่มีการทำสัญญา ลูกค้าจึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนปรับเมื่อไม่ใช้งานไม่ครบตามกำหนด

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกชำระได้ทั้งบัตรเครดิต และเงินสด รวมทั้งได้สิทธิผ่อน 0% นาน 6 เดือน กับบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย ลูกค้าสามารถตรวจสอบอายุการใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ดีแทคและตรวจสอบค่าบริการรายเดือนล่าสุดของตัวเองได้โดยกด *140# จากมือถือ หรือสามารถนำใบเสร็จค่าบริการตามเงื่อนไขมาแสดงเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการพร้อมสมัครแพ็กเกจที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทค และดีแทค เซ็นเตอร์ ทุกสาขาทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม – 30 เมษายนศกนี้ และสามารถดูรายละเอียดสมาร์ทโฟนและแพ็กเกจที่ร่วมรายการ ตลอดจนเงื่อนไขการชำระเงินเพิ่มเติมได้ที่ www.dtac.co.th

View :3113

เอชพี เปิดตัวอุปกรณ์สวิตช์รุ่นใหม่ล่าสุด รองรับเทคโนโลยี OpenFlow

March 28th, 2012 No comments

เอชพี ส่งพอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์บนเทคโนโลยี ที่มีให้เลือกหลากหลายที่สุดในตลาดอุปกรณ์สวิตช์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้ง่ายดายและคล่องตัวมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนสูงสุด ทั้งทางด้านแบนด์วิธ สมรรถนะการทำงาน และงบประมาณ (1)

พอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow มีให้เลือกมากถึง 16 รุ่น อาทิ อุปกรณ์สวิตช์ต่างๆ ในซีรี่ย์ HP3500, HP5400 และ HP8200

ทั้งนี้ ภายในปีนี้ เอชพีจะนำเทคโนโลยี OpenFlow ไปใช้สนับสนุนการทำงานของอุปกรณ์สวิตช์ทุกรุ่นบนระบบสถาปัตยกรรม HP FlexNetwork ซึ่งจะส่งผลให้ เอชพีขึ้นแท่นเป็นผู้พัฒนาและจำหน่ายระบบเครือข่ายรายเดียวในอุตสาหกรรม ไอทีที่มีพอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์บนเทคโนโลยี OpenFlow อย่างครบวงจร

OpenFlow คือ เทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบเสมือนหรือแบบเวอร์ช่วลใหม่ เพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้าในการดูแลและควบคุมการออกแบบและตั้งค่าระบบเครือข่ายให้ตรงตามที่ต้องการ

การใช้เทคโนโลยีมาตรฐาน OpenFlow ช่วยลดความซับซ้อนของการบริหารจัดการอุปกรณ์เครือข่ายที่มีความหลากหลาย และสนับสนุนงานด้านต่างๆ ให้ทำงานอย่างอัตโนมัติ โดยใช้โซลูชั่นการบริหารจัดการเครือข่ายที่ทำงานง่ายขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยี OpenFlow ยังลดเวลาในการปรับเปลี่ยนระบบเครือข่าย ช่วยให้เจ้าหน้าที่ด้านไอทีสามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเรียลไทม์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ลูกค้าและพันธมิตรของเอชพี สามารถอัพเกรดซอฟต์แวร์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อนำไปใช้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์สวิตช์ของเอชพีได้ที่ https://h10145.www1.hp.com/downloads/ProductsList.aspx

นายศักดิ์ชาย ปัญญจเร ผู้จัดการทั่วไป หน่วยธุรกิจ HP Networking เอชพี ประเทศไทย กล่าวว่า “เอชพีเป็นรายแรกๆ ที่พัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อรองรับมาตรฐานเทคโนโลยี OpenFlow โดยสนับสนุนการนำเทคโนโลยี OpenFlow ไปทดสอบและใช้งานจริงในมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยต่างๆ รวมกว่า 60 แห่งทั่วโลก เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถบริหารจัดการการสัญจรบนระบบเครือข่ายภายในศูนย์ข้อมูลได้อย่างเป็นเอกภาพ จึงทำให้เอชพีขึ้นแท่นเป็นผู้นำในการปรับเปลี่ยนสู่มาตรฐานเทคโนโลยี OpenFlow และพัฒนาระบบเครือข่ายให้มีการทำงานง่ายขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อลูกค้าองค์กรระดับเอ็นเทอร์ไพรส์ ด้วยอุปกรณ์สวิตช์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow มากกว่า 10 ล้านพอร์ทที่ใช้งานอยู่ในตลาด และยังมีพอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์ให้เลือกหลากหลายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตลาดอีกด้วย”

เอชพีคือผู้บุกเบิกการพัฒนาอุปกรณ์สวิตช์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow ขับเคลื่อนการใช้งานจริงให้ได้ผลเด่นชัด
อุปกรณ์สวิตช์ของเอชพีที่ใช้ซอฟต์แวร์ OpenFlow ได้มีการนำมาใช้งานโดยนักวิจัยเชิงวิชาการและเพื่อการพาณิชย์ทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ให้เห็นจริงถึงการบริหารจัดการต่างๆ ที่ง่ายดาย ทั้งนี้ การทดสอบและนำเทคโนโลยี OpenFlow มาใช้บนอุปกรณ์สวิตช์ของเอชพีตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาในสภาพแวดล้อมที่กล่าวถึงข้างต้น ได้ช่วยพัฒนามาตรฐานของอุปกรณ์สวิตช์ให้มีความพร้อมรองรับการใช้งานระดับองค์กรที่มีขอบข่ายกว้างขวางยิ่งขึ้

พันธมิตรและลูกค้าของเอชพี ได้แก่ มหาวิทยาลัยอินเดียนา มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด และโครงการ Global Environment for Network Innovations (GENI) สำหรับโครงการ GENI คือ โครงการปฏิบัติการวิจัยแบบเวอร์ช่วล เพื่อศึกษาค้นคว้าแอพพลิเคชั่นและบริการใหม่ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต สำหรับนำไปใช้พัฒนาระบบเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น โดยเป็นโครงการที่ดำเนินงานโดยสถาบัน Ratheon BBN Technologies และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากมูลนิธิ National Science Foundation

มร. จอน ออลท์ซิค นักวิเคราะห์ระดับอาวุโส บริษัท เอ็นเทอร์ไพรส์ สตราเตอจี้ กรุ๊ป กล่าวว่า “จากการศึกษาวิจัย พบว่า ศูนย์ข้อมูลขององค์กรธุรกิจต่างๆ คือ หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการผนวกรวมศูนย์ข้อมูล การทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ การพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับการใช้งานบนระบบออนไลน์หรือเว็บ และความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ ส่งผลให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ บนระบบเครือข่าย ซึ่งจะไม่สามารถทำได้บนระบบเครือข่ายแบบเก่า หรือในกระบวนการดำเนินงานแบบแมนวล แต่เทคโนโลยี OpenFlow จะช่วยขจัดปัญหาที่ทำให้เครือข่ายไม่มีความคล่องตัว และสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมระบบเครือข่ายในศูนย์ข้อมูลให้เป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ดังนั้น การสนับสนุนจากบริษัทผู้จำหน่ายอย่างเอชพีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคโนโลยี OpenFlow ให้เติบโตรุดหน้าในปี 2555 นี้”

เอชพีเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Open Networking Foundation โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนามาตรฐานเทคโนโลยี OpenFlow ให้รุดหน้าและล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดูแลและบริหารระบบเครือข่ายในองค์กรต่างๆ โดยเดินหน้าพัฒนาระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และกระบวนการบริหารให้มีการทำงานง่ายขึ้น นอกจากนี้ เอชพียังมี HP Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ทำการวิจัยของเอชพี โดยดูแลและรับผิดชอบด้านการพัฒนาระบบเครือข่ายตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ทั้งยังได้จัดพิมพ์ผลการวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการของเทคโนโลยี OpenFlow เพื่อรองรับการนำไปใช้งานอย่างหลากหลายมากขึ้นในองค์กรต่างๆ อีกด้วย

View :1538
Categories: Press/Release Tags:

สวทช. กระทรวงวิทย์ ฯ เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ หรือ TOPIC

March 28th, 2012 No comments

เน้นจับมือเอกชนสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง นำร่องด้วยนวัตกรรมใหม่บนนิตยสารและบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะหรือ Smart Magazine และ Smart Packaging

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ และอิเล็กทรอนิกส์ อินทรีย์ (Thailand Organic @ Printed Electronics Innovation Center ) หรือ เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตนวัตกรรมใหม่ของอิเล็กทรอนิกส์แบบพิมพ์ได้ ( Organic & Printed Electronics) เน้นความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยให้ก้าวสู่นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต นำร่องด้วยนวัตกรรมใหม่บนนิตยสารและบรรจุภัณฑ์ด้วยหมึกพิมพ์นำไฟฟ้าครั้งแรกในประเทศไทย หวังปลุกชีพอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งการโฆษณา สิ่งทอ บรรจุภัณฑ์ พาณิชย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเด็ก ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายตลาดการค้าให้ภาคธุรกิจไทยเติบโตได้อย่างมีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ โดย ดร.ทวีศักดิ์ เปิดเผยว่า

“อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ถือเป็นอีกอุตสาหกรรมหลักในประเทศไทยที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและมีศักยภาพเป็นผู้นำด้านการพิมพ์ของอาเซียน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันอุตสาหกรรมการพิมพ์กำลังประสบกับวัฏจักร “ขาลง” ซึ่งฉุดอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งระบบให้ตกต่ำอีกด้วย ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องเร่งหาเทคโนโลยี ที่จะมาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านสิ่งพิมพ์อย่างเร่งด่วน สวทช.เองซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเป้าหมายและมุ่งมั่นพัฒนางานวิจัยให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงพัฒนางานวิจัยที่สามารถรับมือกับสภาพปัญหาได้ทันเหตุการณ์ ทั้งในแง่การคิดค้นสิ่งใหม่ๆไปล่วงหน้า และการสนับสนุนภาคเอกชนในด้านการบริการวิจัยให้เอกชน การรับจ้างทดสอบ หรือแม้กระทั่งการร่วมลงทุนตั้งบริษัทกับเอกชน เพื่อนำนวัตกรรมใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว และโดยอาศัยองค์ความรู้และงานวิจัยต่างๆที่ สวทช.ได้ริเริ่มดำเนินการไว้ และการทำงานที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานหลักๆ ในภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ สวทช.ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาหมึกพิมพ์นำไฟฟ้า ที่สามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิวต่างๆ ทำให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดของอุตสาหกรรมการพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรวัสดุที่มีคุณสมบัติหลากหลาย ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ Smart Packaging บรรจุภัณฑ์ที่สามารถแสดงข้อมูลหรือภาพเคลื่อนไหวบนหีบห่อ เพื่อแสดงวิธีการใช้งานผลิตภัณฑ์ บอกคุณภาพของสินค้ากระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และสามารถส่งข้อมูลกลับมายังผู้ผลิตเพื่อการปรับปรุงคุณภาพสินค้าในอนาคต หรือ หมึกพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถนำมาใช้พิมพ์ RFID ไปพร้อมกับการพิมพ์ฉลากบรรจุภัณฑ์ ในราคาที่ถูกกว่า RFID แบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน , E-paper หรือกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ที่ม้วนได้ สามารถติดลงบนพื้นผิวโค้งงอเพื่อใช้ในงานโฆษณา หรือสิ่งพิมพ์อัจฉริยะ จอแสดงผลชนิด OLED ซึ่งนำไปเป็นส่วนประกอบในกล้องดิจิตอลหรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะให้ภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น มีสีสันงดงาม ใช้พลังงานน้อยลง และต้นทุนการผลิตที่ต่ำ หรือเซลล์แสงอาทิตย์ที่เป็นฟิล์มบาง น้ำหนักเบาสามารถคลุมลงบนหลังคาหรือห่อหุ้มอาคารแทนการใช้ฟิลม์กรองแสงและสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในตัว ,อาคารประหยัดพลังงาน ที่นำเทคโนโลยีกระจกอัจฉริยะ ซึ่งสามารถควบคุมปริมาณแสงและความร้อนจากภายนอกที่จะส่องเข้าไปในตัวอาคารในระดับที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการก่อสร้างอาคารอนุรักษ์พลังงาน หรือแม้แต่นวัตกรรมทางการแพทย์เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำตาลและไขมันในเลือด และเซ็นเซอร์เพื่อการตรวจสอบคุณภาพอาหาร เช่น สารตกค้างในอาหาร ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถสร้างเซ็นเซอร์ที่มีราคาถูก ใช้แล้วทิ้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบทำให้การบริโภคอาหารมีความปลอดภัย ตลอดจนเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ฯ จะเป็นศูนย์รวมเครือข่ายการทำงานระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดยจะมีห้องปฏิบัติการ และบริการทางเทคนิค เพื่อบริการแก่ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาในการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยหมึกอิเล็กทรอนิกส์ หรือหมึกนำไฟฟ้า นอกจากนี้ ไทยยังเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Organic Electronics Association หรือ O-EA ซึ่งเป็นสมาคมด้านอิเล็กทรอนิกส์และอินทรีย์ระดับโลกเพื่อเชื่อมโยงงานวิจัยระหว่างกลุ่มสมาชิกของ O-EA ที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะทำให้ไทยมีฐานข้อมูล และเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยที่กว้างมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการปฏิวัติวงการพิมพ์ของไทยให้ก้าวไปสู่โลกอนาคต ซึ่งผมมั่นใจว่าภาคธุรกิจที่เข้ามาร่วมกับ สวทช.จะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่นี้ที่สามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและบริการได้หลากหลายให้สามารถแข่งขันได้ ตลอดจนเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคได้เข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆที่ใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตอีกด้วย” ดร.ทวีศักดิ์กล่าว

View :2408

ไอบีเอ็มรั้งแชมป์ผู้นำตลาดเซิร์ฟเวอร์องค์กรในอาเซียนไตรมาส 4 ปี 2554

March 28th, 2012 No comments

ไอบีเอ็มครองส่วนแบ่งตลาดรายได้เซิร์ฟเวอร์โดยรวมอันดับ 1 ในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในไตรมาส 4 ปี 2554

ไอบีเอ็มยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรของอาเซียน ในไตรมาส 4 โดยครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ได้อย่างแข็งแกร่ง ตามข้อมูลจากรายงานตลาดเซิร์ฟเวอร์รายไตรมาสในเอเซียแปซิฟิคของไอดีซีระบุว่า ไอบีเอ็มครองอันดับ 1 ในอาเซียนในแง่ของรายได้ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 40 เปอร์เซ็นต์มากกว่า HP ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 9 จุด โดยมาจากความสำเร็จของ IBM Power Systems™และ System z servers

สำหรับประเทศไทย ไอบีเอ็มเป็นผู้จำหน่ายเซิร์ฟเวอร์อันดับ 1 โดยครองส่วนแบ่งตลาดในแง่ของรายได้เซิร์ฟเวอร์โดยรวมสูงถึง 52.1 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนแบ่งรายได้จากตลาดเซิร์ฟเวอร์โดยรวมสูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 29.6 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554

นอกจากนี้ ไอบีเอ็มยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 สำหรับ:
➢ ตลาดเซิร์ฟเวอร์องค์กรระดับไฮเอนด์ (เซิร์ฟเวอร์ระดับราคา 250,000 ดอลลาร์ขึ้นไป) ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 79.8% (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 59.6 จุด)
RISC/EPIC ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 49.6% (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 18.1 จุด)
➢ ส่วนแบ่งตลาดในแง่ของรายได้จากยูนิกซ์เซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ใช่สถาปัตยกรรม x86 อยู่ที่ 64 เปอร์เซ็นต์ (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 39.7 จุด)
➢ ส่วนแบ่งตลาดในแง่ของรายได้จากลีนุกซ์เซิร์ฟเวอร์ อยู่ที่ 36.2 เปอร์เซ็นต์ (สูงกว่าคู่แข่งที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ราว 7.9 จุด)

ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี บริษัท ประเทศไทย จำกัด


ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “การที่เรารั้งตำแหน่งผู้นำอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการลงทุนในระบบที่หลากหลายและเทคโนโลยีชั้นนำ โดยเรามุ่งมั่นผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรม การเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับขนาด และการปรับปรุงประสิทธิภาพ ไอบีเอ็มยังคงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างจริงจังเพื่อค้นหาหนทางใหม่ๆ ในการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือลูกค้า เราจึงพยายามที่จะนำเสนอโซลูชั่นที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ปรับขนาดได้อย่างเหมาะสม ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการใช้พลังงาน เพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ลูกค้าและเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขัน”

นอกจากนี้ พง เทเลอร์ (Phong Taylor) Vice President, System and Technology Group, IBM ASEAN กล่าวว่า “ ไอบีเอ็มรู้สึกภูมิใจในการเป็นผู้นำตลาดครั้งนี้ ด้วยคุณค่าของ Smarter Computing ที่รวมเอาความแข็งแกร่งของ Big Data การวิเคราะห์ข้อมูลOptimize System และคลาวด์ คอมพิวติ้ง มาเป็นสถาปัตยกรรมอัจฉริยะที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึก เพิ่มขีดความสามารถทางด้านไอที และนำเสนอบริการใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่า เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้องค์กรต่างๆ ได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และสมรรถนะ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า

ไอบีเอ็มมั่นใจว่า ในยุคใหม่ของระบบคอมพิวติ้ง ที่ไอบีเอ็มกำลังพัฒนาออกมา จะเป็นการรวบรวมเอาเซิรฟเวอร์รุ่นต่างๆ มาพัฒนารวมเรียกว่า เป็น ระบบบูรณาการอัจฉริยะ (Integrated Expertise) ซึ่งจะเป็นการติดตั้งที่รวมเอา ไอบีเอ็มเซมิคอนดัคเตอร์ การวิจัย และบริการ ซึ่งทำให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายทางด้านไอที ลดคนดูแลระบบ นอกจากเป็นการช่วยลดทรัพยากรการดูแลระบบแล้ว ยังทำให้การบริหารจัดการ และการลงทุนไอทีทำได้ถูกต้องตรงจุด ด้วยการใช้คลาวด์ ในการจัดการกับเวิร์คโหลดได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

ที่มา: รายงานตลาดเซิร์ฟเวอร์รายไตรมาสทั่วโลกและเอเซียแปซิฟิคของไอดีซี, ไตรมาสที่สี่ 2554

View :1571

สรอ.เดินหน้า ใส่บริการเสริม ปรับเครือข่ายสื่อสารเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐเป็น GIN 2.0

March 28th, 2012 No comments

มั่นใจช่วยหน่วยงานรัฐเชื่อมต่อบริการภาครัฐสำคัญๆ ผ่านเครือข่ายได้ทันที พร้อมปรับสร้างเครือข่ายใหม่ลดความซ้ำซ้อน เสริมเทคโนโลยีไฮเทครองรับ เพิ่มความเร็วของการใช้งาน

ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการ หรือ สรอ. เปิดเผยว่า ในไตรมาสสามของปีนี้ สรอ.ได้ผลักดันให้ ระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐหรือระบบ GIN เป็นเวอร์ชั่น GIN2.0 โดยจะทำเครือข่าย GIN ให้เป็นเครือข่ายที่ทันสมัยที่รองรับทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการผนวกเข้ากับระบบบริการสำคัญๆของภาครัฐ เพื่อเสริมประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้งานเครือข่าย GIN

เครือข่าย GIN2.0 ได้ยกระดับโครงข่ายหลักเป็นไปสู่ IPV6 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถรองรับการทำงานของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดได้ โดยหน่วยงานที่เชื่อมต่อสามารถเข้าสู่ระบบ IPV6 โดยอัตโนมัติ แต่หน่วยงานภาครัฐเองก็ต้องดำเนินการปรับปรุงระบบภายในของตนให้เป็น IPV6 เช่นกัน ซึ่งสรอ. กำลังช่วยผลักดันอยู่ทั้งการให้ความรู้ และเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นการเร่งให้เครือข่ายทั้งระบบเข้าสู่โปรโตคอลนี้โดยเร็วที่สุด นอกจากนั้น GIN2.0 ยังมีระบบ Time Stamp, Single Sign On, Advanced VDO Conference, System Center Configuration Manager (SCCM) ที่ทำให้ระบบ GIN2.0 มีความทันสมัยที่สุด โดยจะทยอยผลักดันออกมาให้บริการอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นหน่วยงานทุกหน่วยเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับ GIN2.0 แล้ว หากมีการบันทึกข้อตกลงกับหน่วยงานรัฐอย่าง ระบบทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง ที่เป็นระบบแจ้งรายละเอียดและยืนยันตัวบุคคล รหัส 13 หลักของงานทะเบียนราษฎร์ ประโยชน์คือ สามารถตรวจสอบประวัติบุคคลทั่วไปได้ โดยผ่านเครือข่าย GIN โดยที่ไม่ต้องเดินสายต่อตรงไปที่กรมการปกครองอีก, นอกจากนี้สรอ. ยังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับอีกหลายระบบงาน อย่างเช่น ระบบ GFMIS ของ กรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ ประโยชน์คือ หน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เชื่อมกับระบบนี้ผ่าน GIN2.0 สามารถกรอกความก้าวหน้าในการใช้งบประมาณของหน่วยงานไปยังกรมบัญชีกลางได้ทันที

ระบบ NSW ของกรมศุลกากร ซึ่งเป็นระบบการแลกเปลี่ยนเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ในด้านการทำใบอนุญาตการส่งออก-นำเข้า ซึ่งหน่วยงานรัฐต่างๆ สามารถตรวจสอบการเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้เข้ากับหน่วยงานของตนเองได้โดยทันที, ระบบ CABNET ของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือ สลค.ซึ่งเป็นระบบการแจ้งวาระการประชุมและส่งเอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการนำเรื่องเข้าประชุมครม. สามารถตรวจสอบวาระที่มีอยู่แล้ว และยังสามารถคาดการณ์ช่วงเวลาของการนำเสนอเรื่องเข้าประชุมของหน่วยงานตนเองได้ ทำให้เวลาที่ใช้ในการประสานงานลดน้อยลง

ระบบ GSMS ของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ซึ่งเป็นระบบการบริหารยุทธศาสตร์ขององค์การภาครัฐ เป็นระบบที่ช่วยในการออกแบบและการวางแผนการจัดการยุทธศาสตร์ การจัดทำแผนการปฎิบัติการและการติดตามความก้าวหน้าในการปฎิบัติงาน หน่วยงานภาครัฐที่ใช้ GIN2.0 ก็สามารถเชื่อมโยงและตรวจสอบแผนของหน่วยงานของตนเองเข้ากับระบบของกพร.ได้โดยทันที และสุดท้ายคือ ระบบเชื่อมโยงระบบสารบรรณภาครัฐ ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นระบบเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ที่ถือเป็นแอพพลิเคชันหลักในการทำงานอย่างหนึ่งของหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบัน

การเชื่อมโยงระบบงานหลักๆ ของภาครัฐ ให้สามารถใช้บริการผ่าน GIN ได้จะช่วยภาครัฐลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณด้านเครือข่ายได้เป็นอย่างมาก โดยหน่วยงานไม่จำเป็นต้องเดินสายเครือข่ายตรงไปที่หน่วยงานบริการระบบหลักต่างๆ อีกต่อไป สามารถใช้ผ่านเครือข่ายที่ให่บริการและดูแลโดยสรอ. ไดทันที ทั้งนี้ สรอ. เตรียมพิจารณาระบบงานอื่นๆ เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องในระยะถัดไป

สิ่งที่เสริมเข้ามาเพิ่มเติมจากเครือข่าย GIN เดิมอีกประเด็นคือ สรอ.ได้ทำการออกแบบโครงข่ายเน็ตเวิร์คใหม่ถือเป็นการลดความซ้ำซ้อนของโครงข่าย จากเดิมที่เน้นการเดินสายโครงข่ายคู่กันไประหว่าง CAT และ TOT ในจำนวนเท่ากัน มาเป็นการปรับเครือข่ายหลักและสำรองตามความต้องการจริงของหน่วยงานุผู้ใช้บริการ โดยเสริมบริการสำคัญตามมาตรฐานสากล และมีสร้างระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดความสะดวก และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเป้าหมายของสรอ.ในการให้บริการคือ หน่วยงานรัฐในกรุงเทพมหานคร จะมีการรับรองระดับการให้บริการ หรือ Service Level Agreement (SLA) ไม่ต่ำกว่า 99.3% ขณะที่ต่างจังหวัดจะเป็น 99.00% โดยเป็นการรับรองระดับบริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ที่ 99.50% ในปี 2555 และในปีถัดไปที่ กทม.จะเป็นขยับเพิ่ม SLA เป็น 99.50% ขณะที่ต่างจังหวัดจะเพิ่มเป็น 99.30% สำหรับอินเทอร์เน็ตเกตเวย์จะยังเพิ่มเป็น 99.95% โดยเน้นการบริหารเครือข่ายหลักไปที่ระดับกระทรวง และจังหวัดเป็นหลัก

นอกจากนั้นทางสรอ.ยังได้จัดทำระบบคอลล์เซ็นเตอร์ ที่เป็นศูนย์กลางการรับแจ้งและตอบปัญหาตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีหยุดพัก อย่างไรก็ตามแม้ว่าสรอ.จะทำการปรับปรุงการบริการส่วนเสริมที่ใช้ทางด้านเทคโนโลยี การบริการ และการเชื่อมโยงส่วนของข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาเสริม แต่ในส่วนของโครงข่ายหลักซึ่งถือว่าเป็นส่วนของการลงทุนนั้นในปีนี้สรอ.ได้รับพิจารณาอนุมัติงบประมาณปี 55 ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถจัดสรรเครือข่าย GIN เพื่อรองรับการใช้งานให้กับหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งได้ครบถ้วนตามที่ร้องขอ จึงจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากหน่วยงานรัฐนั้นๆ เพื่อให้บริการได้ตามวัตถุประสงค์ ด้วยการโอนงบประมาณหรือจัดทำสัญญาจ้างกับ สรอ. ในช่วงปีแรกเข้ามาแทนที่

View :1509

ก.ไอซีที จับมือ ก.เกษตรฯ และ ม.เกษตร ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม SMMS พยากรณ์ผลผลิตข้าว

March 28th, 2012 No comments

นางทรงพร โกมลสุรเดช ผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียมในการประมาณการเนื้อที่เพาะปลูกและผลผลิตพืชเศรษฐกิจ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยกระทรวงไอซีที ในฐานะเจ้าของโครงการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากดาวเทียม SMMS และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการข้อมูลและพัฒนาองค์ความรู้ ได้ให้ความร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินโครงการนำร่องพยากรณ์ผลผลิตข้าวโดยใช้ข้อมูลดาวเทียมร่วมกับการตั้งแปลงสังเกต

ในการดำเนินงานจะมีการนำข้อมูลดาวเทียม SMMS มาใช้ในการวิเคราะห์เนื้อที่เพาะปลูกข้าว และค่าดัชนีพืชพรรณ เพื่อหาความสมบูรณ์ของต้นข้าว รวมทั้งมีการวัดค่าการสะท้อนแสงจากเครื่องมือ Spectrometer ในทุกระยะการเจริญเติบโตของข้าว ตั้งแต่ช่วงต้นกล้า ช่วงแตกกอ ช่วงตั้งท้อง ช่วงออกรวง และช่วงเก็บเกี่ยว โดยข้อมูลทั้งหมดนี้จะนำมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ร่วมกับข้อมูลดาวเทียมเพื่อวิเคราะห์ช่วงการเจริญเติบโตของข้าวต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม SMMS มาใช้ประเมินเนื้อที่และและติดตาม การเพาะปลูกข้าวนาปรัง ปี 2555 เพื่อคาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น โดยจะนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม SMMS นี้มาใช้วิเคราะห์เดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 เป็นต้นมา ซึ่งคาดการณ์ว่าการนำข้อมูลจากดาวเทียมมาใช้นี้จะทำให้สามารถคาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสูตลาดได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากขึ้น และยังจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนกำหนดนโยบายและมาตรการต่างๆ ได้อีกด้วย

View :1308