Archive

Archive for the ‘SmartPhone/Mobile phone’ Category

ดีแทคมั่นใจเตรียมเครือข่ายพร้อมรองรับช่วงเคาท์ดาวน์และอวยพรปีใหม่ 2013

December 25th, 2012 No comments

25 ธันวาคม 2555 – ดีแทคพร้อมแล้วกับการให้บริการช่วงส่งความสุขอวยพรปีใหม่ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ พร้อมจัดรถโมบายล์เสริมสัญญาณในพื้นที่ยอดนิยมทั่วประเทศ ที่มีการใช้งานหนาแน่น และปีนี้ดีแทคได้อัพเกรดโครงข่ายทั่วประเทศทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย ครอบคลุมทั้ง 2G และ 3G พร้อมรองรับการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กผ่านสมาร์ทโฟนที่เพิ่มสูงขึ้นในปีนี้

ดร. ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคกล่าวว่าที่ผ่านมาผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่นิยมอวยพรส่งความสุขกันบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนที่สามารถเพิ่มการเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้การอวยพรผ่าน Facebook, Twitter, Google+, WhatsApp, , Instagram, EyeEm, BBM เป็นเรื่องง่ายและได้รับความนิยมที่นับวันจะสูงขึ้นกว่าการอวยพรแบบเดิมๆ โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ดีแทคได้อัพเกรดโครงข่ายทั่วประเทศทั้งหมดเป็นสัญญาณใหม่ (new network) เสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย โดยคุณภาพของสัญญาณใหม่ที่ดีแทคลงทุนได้ครอบคลุมทั่วพื้นที่โดยเป็น 2G กว่า 10,000 สถานีฐาน และเป็น 3G อีกกว่า 5,000 สถานีฐานทั่วประเทศ

สำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ดีแทคได้เพิ่ม capacity ของเครือข่ายเพื่อการรองรับการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตามจุดสำคัญของเทศกาลที่มีคนมารวมตัวใช้งาน เช่น จุดเคาท์ดาวน์ หรือสถานที่จัดงานปีใหม่ตามสถานที่ยอดนิยมในจังหวัดสำคัญทั่วประเทศ และดีแทคได้ส่งรถโมบายล์เพิ่มเพิ่มสัญญาณรองรับทราฟฟิคทั้งการใช้งานโทรออกและรับสายและการใช้งานดาต้า เพื่อให้ลูกค้าดีแทคได้มั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการเตรียมทีมงานพิเศษเพื่อดูแลเครือข่ายการใช้งานเป็นอย่างดีทั้งช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่และช่วงปีใหม่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยทีมงานพร้อมจะแก้ไขปัญหาทันทีเพื่อให้ผู้ใช้งานดีแทคได้อวยพรปีใหม่ผ่านรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ

View :1512

ดีแทคจับมือริมจัดแพ็กเกจ BlackBerry Curve 9220 สีขาว รับปีใหม่ด้วยแคมเปญ​ “White is Colourful”

December 21st, 2012 No comments

ลูกค้าดีแทครับค่าโทรฟรีเพิ่ม 600 นาที ลูกค้าแฮปปี้รับค่าโทรฟรีรวม 920 บาท พร้อมลุ้นชมมินิคอนเสิร์ตกับศิลปิน 25 Hours แบบเอ็กซ์คลูซีฟ

ในภาพ - ปกรณ์ มโนรมย์ภัทรสาร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโพสต์เพด บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น () ร่วมกับ ศิริภัทร ภัทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ประจำประเทศไทย บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (ริม) ร่วมจับมือโปรโมตแพ็กเกจ BlackBerry® Curve™ 9220 สีขาว รับปีใหม่


21 ธันวาคม 2555 – ดีแทคและรีเสิร์ช อิน โมชั่น (ริม) จัดแคมเปญ ​ “White is Colourful” แพ็กเกจพิเศษรับเทศกาลปีใหม่เอาใจลูกค้าที่ชื่นชอบสังคมโซเชียล นำ สีขาว จับคู่แพ็กเกจพิเศษ สำหรับลูกค้าดีแทคมอบค่าโทรฟรี 600 นาที เพื่อใช้โทรเบอร์ดีแทค และสำหรับลูกค้าแฮปปี้มอบฟรี แฮปปี้ BlackBerry® SIM รับฟรีแพ็กเกจ BB Me 1 สัปดาห์ พร้อมค่าโทรฟรีสูงสุด 920 บาท โดยรับทันทีค่าโทร 200 บาท นาน 30 วัน และเมื่อลูกค้าใช้งานครบ 30 วัน รับเพิ่มฟรีแฮปปี้ซูเปอร์โบนัส 60 บาทนาน 12 เดือนเพื่อใช้โทรเบอร์ดีแทค สิทธิพิเศษนี้สำหรับลูกค้าที่เปิดใช้บริการภายใน 31 มกราคม 2556 พร้อมสิทธิ์พิเศษผ่อน 0% นาน 6 เดือน และร่วมลุ้นไปชมมินิคอนเสิร์ต กับศิลปิน 25 Hours ฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556

BlackBerry® Curve™ 9220 สมาร์ทโฟน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Join the conversation” ด้วยคุณสมบัติใหม่ล่าสุดที่เพิ่มเข้ามา อาทิ การทำงานบนระบบปฏิบัติการแบล็กเบอรี่ OS 7.1, ปุ่มลัดเข้าโปรแกรม BBM, วิทยุเอฟเอ็ม และแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดของแบล็กเบอรี่ รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://th.blackberry.com

พร้อมกันนั้นดีแทคยังแนะนำแบล็คเบอรี่ยอดนิยมรุ่นอื่น ๆ พร้อมข้อเสนอพิเศษ อาทิ นำ BlackBerry Bold 9790, BlackBerry Bold 9900 และ BlackBerry Curve 9360 ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ที่ศูนย์บริการดีแทคทั่วประเทศ หรือที่ www..co.th

View :1532

โนเกียเปิดตัว Nokia Asha 205 สองซิม

December 20th, 2012 No comments

20 ธันวาคม 2555: โนเกียเปิดตัว Nokia Asha 205 โทรศัพท์สองซิมรุ่นใหม่มาพร้อมสุดยอดประสบการณ์อินเตอร์เน็ตในราคาย่อมเยา พร้อมฟีเจอร์สังคมออนไลน์ และฟีเจอร์สร้างสรรค์ที่ให้คุณแบ่งปันข้อมูลได้ทันใจ
เป็นโทรศัพท์ที่มอบทั้งดีไซน์สุดโดน และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานด้วยคุณภาพมาตรฐานโนเกีย

เปิดตัว Slam ฟีเจอร์ใหม่เพื่อการแบ่งปันข้อมูล
เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกของโนเกียที่มีฟีเจอร์ Slam ให้แบ่งปันไฟล์มัลติมีเดีย เช่น รูปภาพและวิดีโอ กับเพื่อนที่อยู่ใกล้กันได้ทันใจ Slam ทำงานกับโทรศัพท์มือถือที่มีบลูทูธโดยไม่ต้องจับคู่อุปกรณ์ และโทรศัพท์เครื่องผู้รับไม่จำเป็นต้องมีฟีเจอร์ Slam เพียงแค่คลิกก็สามารถแบ่งปันข้อมูลได้เร็วกว่าการใช้บลูทูธเพียงอย่างเดียว และไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

“Nokia Asha 205 สองซิม เป็นเครื่องมือสื่อสารสำหรับผู้ชอบแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ กับเพื่อนฝูง ผ่านฟีเจอร์ใหม่สุดสร้างสรรค์อย่าง Slam พร้อมบ่งบอกคาแรคเตอร์ของตนเองผ่านดีไซน์สุดเด่น และสีสุดโดน” มร.แกรนท์ แมคบีธ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวพร้อมเสริมว่า “Nokia Asha 205 สองซิม สร้างสรรค์ด้วยคุณภาพระดับโนเกียที่ผู้บริโภคชื่นชอบ มอบประสบการณ์อินเตอร์เน็ตสุดชาญฉลาดที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

Nokia Asha 205 สองซิม: โทรศัพท์สำหรับชาวสังคมออนไลน์
Nokia Asha 205 สองซิม เป็นโทรศัพท์ดีไซน์โดดเด่นมากับแป้นพิมพ์ QWERTY พิเศษปุ่ม Facebook ที่ให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อเฟซบุ๊คได้รวดเร็ว พร้อมโปรแกรม eBuddy Chat, Twitter และสามารถใช้งานอีเมล์ยอดนิยมอย่าง Gmail
Nokia Asha 205 สองซิมได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่สังคมออนไลน์ได้ด้วยการกดเพียงไม่กี่คลิก

ฟีเจอร์หลักอื่นๆ ของ Nokia Asha 205 สองซิมได้แก่

- การแจ้งเตือน eBuddy บนหน้าจอ เพื่อให้ผู้ใช้งานติดตามบทสนทนาใหม่ๆ ได้ทันใจ

- ความบันเทิงครบครัน ฟรีเกมสุดมันส์จาก EA 50 เกม พร้อมแอพนับแสนให้คุณได้เลือกสรรจาก Nokia Store

- ฟีเจอร์สองซิม มาพร้อมเทคโนโลยี EasySwap ที่ให้เปลี่ยนซิมการ์ดได้ง่ายโดยไม่ต้องปิดเครื่อง

- สแตนด์บายได้นานถึง 25 วัน

Nokia Asha 205 ใช้แพลทฟอร์มอินเตอร์เน็ต Nokia Xpress ซึ่งใช้เทคโนโลยี Cloud ของโนเกีย เพื่อลดการใช้ข้อมูลได้สูงสุดถึง 90% ช่วยให้ผู้บริโภคเพลิดเพลินกับการใช้อินเตอร์เน็ตในราคาที่ถูกลง พร้อม Nokia Nearby ซึ่งเป็นเว็บแอพที่ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสถานที่น่าสนใจอย่างร้านอาหาร แหล่งช็อปปิ้ง และตู้เอทีเอ็มที่อยู่ใกล้เคียงได้อย่างง่ายดาย

Nokia Asha 205 สองซิม มีสีฟ้า ชมพู และส้ม ให้เลือก วางจำหน่ายแล้วในราคา 1,890 บาท

ชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Nokia Asha 205 สองซิมได้ที่ www.nokia.co.th

View :2213

10 แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่โดดเด่นที่สุดในปี 2013

December 19th, 2012 No comments

· Ericsson ConsumerLab ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดบางประการในปีที่กำลังจะมาถึง

· เทคโนโลยี Cloud ได้ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป และกลุ่มผู้หญิงเป็นแรงผลักดันหลักในตลาดมือถือสมาร์ทโฟน ถือเป็นสองแนวโน้มที่สำคัญ

· พฤติกรรมของคนรุ่นหนุ่มสาวได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม และอินเตอร์เน็ทได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบใหม่ๆ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง

ในขณะที่ปี 2012 กำลังจะจบลง Ericsson ConsumerLab ได้พยายามค้นหาแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคที่โดดเด่นที่สุดสำหรับปี 2013 ที่กำลังจะมาถึง ตลอดระยะเวลามากกว่า 15 ปีที่ผ่านมา ConsumerLab ได้ทำการวิจัยลักษณะและพฤติกรรมของผู้บริโภค ในการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสารสนเทศต่างๆ

คุณ Michael Björn หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ ConsumerLab กล่าวว่า “ข้อมูลการศึกษาวิจัยทั่วโลกของเรามาจากการสัมภาษณ์ผู้คนมากกว่า 100,000 คนในแต่ละปี ในจำนวนกว่า 40 ประเทศ ซึ่งอยู่ในมหานครขนาดใหญ่กว่า 15 แห่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้สะสมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคจำนวนมหาศาล และเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”

นี่คือแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เห็นเด่นชัดที่สุด:

1. ความสำเร็จของบริการ cloud ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคบนอุปกรณ์ต่างๆเปลี่ยนไป
มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้แท็บเล็ต และมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน ในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสวีเดน ต่างพึงพอใจในการใช้บริการ cloud เพื่อให้สามารถใช้แอ็พตัวเดียวกันและแชร์ข้อมูลต่างๆได้ บนอุปกรณ์มากกว่าหนึ่งเครื่อง อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

2. อุปกรณ์สื่อสารเพื่อความรวดเร็วทันใจ
จากคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปที่ใช้ไฟล์และโฟลเดอร์ สู่อุปกรณ์พกพาที่ใช้ผ่านแอ็พและบริการ cloud ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจากการทำงานบนโต๊ะ สู่การใช้อุปกรณ์สื่อสารยุคใหม่ที่สามารถพกพาได้สะดวก งานหลายอย่างสามารถทำได้ในช่วงเวลาอันสั้น ขณะเข้าแถวซื้อสินค้า หรือขณะที่คุยกับใครสักคนในร้านกาแฟ โดยผู้บริโภคในหลายประเทศต้องการซื้อแท็บเล็ตมากกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และต้องการซื้อสมาร์ทโฟนมากกว่าแล็ปท็อป อีกด้วย

3. นำอุปกรณ์บรอดแบนด์ส่วนตัวมาทำงาน
ผู้ใช้สมาร์ทโฟนประมาณ 57 เปอร์เซ็นต์ จะใช้สมาร์ทโฟนส่วนตัวในที่ทำงานด้วย โดยนิยมใช้เพื่อช่วยทำงาน รับส่งอีเมลล์ วางแผนการเดินทางในธุรกิจ หาข้อมูลที่อยู่ต่างๆ และอีกหลากหลายประโยชน์ใช้สอย

4. ผู้คนในเมืองใหญ่นิยมใช้อินเตอร์เน็ททุกที่ทุกเวลา
ด้วยความต้องการของผู้บริโภคที่จะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทได้ในทุกที่ทุกเวลา ได้ผลักดันให้เกิดการเติบโตของตลาดอินเตอร์เน็ทบนมือถืออย่างแท้จริง โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนมากถึง 3,300 ล้านคนภายในปี 2018 และชีวิตในเมืองจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์มือถือคุณภาพดี ที่ครอบคลุมทั่วถึง

5. มีการนำเครื่องมือออนไลน์มาใช้ประโยชน์ในหลายภาคส่วน
เนื่องจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากเริ่มขาดความมั่นใจต่อองค์กรภาครัฐ และเอกชนบนโครงสร้างแบบดั้งเดิม จึงหันมาใช้เครื่องมือออนไลน์กันอย่างกว้างขวางเพื่อจุดประสงค์บางอย่างและเพื่อใช้เป็นที่พึ่งในยามฉุกเฉิน เช่น การรวมกลุ่มออนไลน์เพื่อสร้างสหกรณ์ออมทรัพย์แทนระบบธนาคาร การรวมกลุ่มของนักเรียนเพื่อช่วยกันทำการบ้าน การใช้สังคมออนไลน์แบบ Linked-in เพื่อช่วยในการหางานแทนบริษัทจัดหางานแบบดั้งเดิม เป็นต้น

6. กลุ่มผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดสมาร์ทโฟน
จากการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นแรงผลักดันสำคัญในการทำให้เกิดการยอมรับสมาร์ทโฟนอย่างกว้างขวาง โดยมากกว่า 97 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพศหญิงใช้ SMS, 77 เปอร์เซ็นต์ใช้รับส่งรูปภาพ, 59 เปอร์เซ็นต์ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค, 24 เปอร์เซ็นต์ใช้เช็คอินเพื่อแสดงสถานที่ที่ตนเองอยู่, 17 เปอร์เซ็นต์ใช้ค้นหาคูปองต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่ตัวเลขเหล่านี้สำหรับผู้ใช้เพศชายมีค่าน้อยกว่า

7. ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆในสังคมเมือง
ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มักมีจำนวนเพื่อนบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค มากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณชานเมืองมาก โดย 12 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่อยู่ในเมืองกล่าวว่า เหตุผลหลักที่พวกเขาใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ก็เพื่อติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น ซึ่งถือเป็นเหตุผลในการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสาม รองจากการใช้เพื่อติดตามเรื่องราวของกลุ่มเพื่อน และการใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลของตนเองสู่พวกเขา

8. ประสบการณ์ช็อปปิ้งแบบผสมผสานที่เรียกว่า “In- shopping”
ผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวน 32 เปอร์เซ็นต์ ใช้สมาร์ทโฟนในการซื้อสินค้าอยู่แล้ว และพวกเขาเริ่มช็อปปิ้งในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “In-line shopping” โดยผสมผสานข้อดีของการเลือกซื้อสินค้าในร้าน (in-store shopping) เพื่อมีโอกาสสัมผัสกับของจริง กับมีการใช้เครื่องมือออนไลน์ (online shopping) เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เปรียบเทียบราคา รวมทั้งใช้ซื้อสินค้าเพื่อลดเวลาในการเข้าคิวรอจ่ายเงิน เป็นต้น

9. ทีวีบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ผู้ชมราว 62 เปอร์เซ็นต์ ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในขณะที่ดูวีดีโอและทีวี โดย 42 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมกลุ่มนี้จะคุยกับผู้อื่น ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังรับชมอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง โดย 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมกลุ่มนี้ มีความเต็มใจที่จะจ่ายเงินกับ content ที่พวกเขารับชมผ่านช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์คมากกว่า และการรับชมวีดีโอและทีวีบนอุปกรณ์พกพาส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่บ้าน

10. การเรียนรู้บนความเปลี่ยนแปลง
ดัวยปัจจัยภายในและภายนอกทำให้การเรียนรู้ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เด็กหนุ่มสาวในยุคนี้มักนำอุปกรณ์ส่วนตัวของตนเองเข้าไปในห้องเรียนด้วย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งจากองค์กรภาครัฐและเอกชน เพื่อหาเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การเชื่อมต่อสู่โลกอินเตอร์เน็ททำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับเด็กๆทั่วโลก ในประเทศอินเดีย มีเด็กอายุ 9-18 ปี จำนวนประมาณ 30 ล้านคน จากทั้งหมด 69 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง

หมายเหตุ:

ลิงค์ของ รายงานเรื่อง “10 แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่โดดเด่นที่สุดในปี 2013”: http://www.ericsson.com/res/docs/2012/consumerlab/10-hot-consumer-trends-2013.pdf

View :1838

“เอไอเอส” ส่งสติ๊กเกอร์ Line น้องอุ่นใจ ธีมปีใหม่! เปิดดาวน์โหลดฟรี! เพียงแอด AIS LINE Official Account

December 19th, 2012 No comments


(19 ธันวาคม 2555) นายปรัธนา ลีลพนัง รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เปิดเผยว่า “ตลอดปี 2555 ที่ผ่านมา ตลาดแอพพลิเคชั่นมีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแอพพลิเคชั่นประเภทโซเชียลเน็ตเวิร์ก และแชท ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถือเป็นแอพพลิเคชั่นพื้นฐานที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนทุกเครื่องต้องมีติดหน้าจอไว้ โดย “ไลน์” () ขึ้นแท่นเป็นแอพพลิเคชั่นยอดฮิตติดอันดับที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 10 ล้านคนต่อเดือน เนื่องจากเป็นแอพพลิเคชั่นแชทที่มีเสน่ห์ ผู้ใช้มือถือในทุกระบบปฏิบัติการทั้ง iOS, Andriod และ Windows Phone สามารถส่งข้อความคุยกันได้อย่างไร้ข้อจำกัด ตลอดจนมีฟังก์ชั่นให้ส่งสติ๊กเกอร์ลวดลายต่างๆ แทนความรู้สึกได้ กลายเป็นลูกเล่นที่ผู้ใช้มือถือชื่นชอบและถูกใจเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างมากในกลุ่มลูกค้าทุกวัย ไม่เว้นแม้แต่ผู้สูงอายุ ซึ่งเอไอเอสได้เล็งเห็นเทรนด์นี้ และเป็นโอเปอร์เรเตอร์รายแรกที่จุดกระแสการสร้างสติ๊กเกอร์ Branding ให้กับตลาด ด้วยการเปิดตัวสติ๊กเกอร์ น้องอุ่นใจคอลเลคชั่นแรกไปเมื่อกรกฏาคมที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สาวก ให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม และเรียกร้องให้ออกคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด เพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข และเอาใจสาวก Line อีกครั้ง เอไอเอสจึงได้ออกสติ๊กเกอร์ Line น้องอุ่นใจ คอลเลคชั่นใหม่ ทั้ง 32 แบบ ในธีมอวยพรปีใหม่ และแอ็คชั่นน่ารักๆ ฮาๆ กวนๆ สไตล์น้องอุ่นใจ มาให้สาวก Line ได้ดาวน์โหลดฟรี! เพียงแอด LINE Official Account เป็นเพื่อน เพื่อรับข่าวสารอัพเดทสิทธิพิเศษโปรโมชั่นที่น่าสนใจจากเอไอเอส จากนั้น ก็ดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์น้องอุ่นใจ ไปส่งความสุขช่วงปีใหม่ให้กับเพื่อนๆ ได้เลย โดยสามารถดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์น้องอุ่นใจได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2555 – 19 มกราคม 2556 ซึ่งเอไอเอสหวังว่าสติ๊กเกอร์ Line น้องอุ่นใจใหม่นี้ จะช่วยสร้างสีสันในการส่งความสุขผ่านโลกออนไลน์ให้กับทุกท่าน” นายปรัธนากล่าว

View :1991

เอไอเอสชวนชาวไทยร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์ทั่วประเทศ

December 14th, 2012 No comments

นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “เอไอเอสต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข โดยใช้งบประมาณกว่า 30 ล้านบาท จัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ “ Bangkok Countdown 2013” ในธีม “กอดรักให้อุ่นใจ Big Hug Big Fun” ตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.55 – 1 ม.ค.56 ที่ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แลนด์มาร์คงานเคาท์ดาวน์ของคนกรุงเทพฯ เพื่อเป็นของขวัญให้กับลูกค้าและพี่น้องชาวไทย

ไฮไลท์ของงานจะเริ่มต้นขึ้นในคืนวันคริสมาสต์ โดยเอไอเอสเตรียมขนทัพศิลปินดาราชื่อดัง คิมเบอร์ลี่ เทียมศิริ , มีน – พีชญา วัฒนามนตรี , พอร์ช – ศรันย์ ศิริลักษณ์ , ฮั่น – เดอะ สตาร์ และแพทตี้ – อังศุมาลิน

สิรภัทรศักดิ์เมธา แปลงโฉมเป็นราชาและราชินีเมืองน้ำแข็ง มาร่วมมอบความสุข สนุกสนาน พร้อมแจก “ตุ๊กตาอุ่นใจ” ที่บู๊ธ “อุ่นใจ Ice Fantasy” ตื่นตาตื่นใจกับปราสาทน้ำแข็งขนาดใหญ่ พร้อมเทคนิค แสง สี เสียง สวยงามตระการตาท่ามกลางอากาศหนาวเย็น และร่วมสนุกกับเกมส์ชิงรางวัลมากมาย พิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอสรับฟรีขนมและเครื่องดื่มภายในงานตลอดช่วงเทศกาล พร้อมรับสิทธิสอยดาวเพื่อลุ้นรับของขวัญปีใหม่มากมายด้วย

และพิเศษสุดสำหรับคืนวันเคาท์ดาวน์ หัวใจแห่งความสุขที่คนไทยจะร่วมนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2013 ด้วยกัน เตรียมสนุกกับคอนเสิร์ตจากเหล่าศิลปินชื่อดังที่เอไอเอสพามาร่วมสร้างความบันเทิงตลอดงาน และต้อนรับวินาทีแรกของปี 2013 กับการแสดงพลุ และดอกไม้ไฟตระการตา ก่อนปิดท้ายด้วย “บอลลูนอุ่นใจไซส์ยักษ์” ที่จะมาโปรยของขวัญปีใหม่อุ่นใจสุดน่ารักให้ทุกคน ซึ่งนอกจากในกรุงเทพแล้ว เอไอเอสยังให้ลูกค้าและชาวไทยทุกคนประทับใจและสนุกสนานตลอดช่วงเวลาแห่งความสุขกับการนับถอยหลังก้าวสู่ปีใหม่พร้อมกันใน 5 ภูมิภาค ได้แก่ ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่, ประตูเมือง จ.ขอนแก่น, แหลมบาลีฮาย พัทยา จ.ชลบุรี, สนามชัย จ.ภูเก็ต และ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
นอกจากความสนุกสนานดังกล่าวแล้ว ลูกค้าเอไอเอสยังสามารถร่วมสนุกบนเว็บไซต์ www.ais.co.th/newyear2556 เพื่อรับน้องอุ่นใจรุ่นพิเศษเป็นของขวัญปีใหม่ส่งตรงถึงบ้าน รวมทั้งสิ้น 2556 ตัว ตั้งแต่วันที่ 22-31 ธ.ค.2555 ด้วย

View :1370

เอไอเอส โชว์ศักยภาพรับยุค 3G เปิดตัว AIS Flagship Store ศูนย์รวมสุดยอดมิติใหม่งานบริการจากทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชีวิตในแบบคุณ

December 13th, 2012 No comments

13 ธันวาคม 2555 : เอไอเอส เปิดตัว แห่งแรกในประเทศไทย พร้อมรับความต้องการลูกค้าในยุค 3G รวมสุดยอดงานบริการที่นำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้เต็มรูปแบบ จากทีมพนักงาน Expert ที่เชี่ยวชาญทั้งงานบริการและเทคโนโลยีไร้สาย มุ่งอำนวยความสะดวกพร้อมมอบประสบการณ์จากมิติใหม่ของงานบริการ เพื่อชีวิตในแบบคุณ
นายมาร์ค ชอง ชินก๊อก หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “ตลอดปี 2012 นับถึงไตรมาส 3 อุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีการเติบโตถึง 10% การเติบโตของอุตสาหกรรมมือถือมี Penetration ถึง 117% เช่นเดียวกับการเติบโตทางด้าน Data ที่ก้าวกระโดดถึง 83% รวมถึงการเติบโตของยอดขาย Smart Phone ซึ่งภาพรวมมีถึง 50% ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึง ความพร้อมและความต้องการของผู้บริโภคในการใช้งาน Wireless Communication ในทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ที่ประเทศไทยได้เริ่มก้าวเข้าสู่อีกขั้นของเทคโนโลยีใหม่อย่าง 3G ซึ่งแน่นอนย่อมทำให้เกิดมิติที่หลากหลายของรูปแบบการใช้งานเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายอย่างชัดเจน”
“เอไอเอสในฐานะผู้ให้บริการ นอกเหนือจากการมุ่งมั่นพัฒนาบริการคุณภาพอย่างลึกซึ้ง ลงรายละเอียดในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด Quality DNAs เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการไปยังลูกค้าด้วยแนวคิด “ชีวิตในแบบคุณ” ตามที่ได้เคยประกาศความตั้งใจว่า เราพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการถึงระดับ Micro segment ให้ได้มากที่สุดแล้ว การพัฒนางานบริการเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย ซึ่งท้ายที่สุดจะนำมาซึ่งการครองใจลูกค้า ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เอไอเอสให้ความสำคัญอย่างยิ่งและทำอย่างจริงจัง โดยทุ่มเทงบมากกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสร้างสรรค์โปรแกรม CRM-CEM, Reward&Privileges และหัวใจสำคัญอย่าง การพัฒนา Touch Point ไม่ว่าจะเป็น Call Center , Telewiz และ Shop ที่ถือเป็นหัวใจหลักของการส่งมอบบริการในธุรกิจเทคโนโลยีไร้สาย ส่งผลให้ในปีนี้ Trend ของความพึงพอใจโดยรวม (Overall Customers Satisfaction) สูงถึง 80%”
ด้าน นางวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและงานบริการ กล่าวว่า “กว่า 20 ปีของการดำเนินงาน แนวคิดในการส่งมอบบริการให้แก่ลูกค้ามีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ Transaction Base , Solutions Base จนถึงปัจจุบันที่เป็น Total Experience Base ที่เราได้เริ่มส่งมอบผ่าน AIS Shop ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั่วประเทศ 42 แห่ง และพาร์ทเนอร์อย่างร้าน เทเลวิซ ที่นอกเหนือจากการจัดจำหน่ายแล้ว ยังร่วมส่งมอบงานบริการภายใต้มาตรฐานเอไอเอสให้แก่ลูกค้าด้วย โดยปัจจุบัน มีร้านเทเลวิซ 450 แห่ง และร้านเทเลวิซพลัส 40 แห่ง”
“สำหรับ AIS Flagship Store แห่งนี้ เราได้ทุ่มงบประมาณเป็นเงินถึง 35 ล้านบาท โดยถือเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจทั้งหมดในการส่งมอบบริการไปสู่ลูกค้าอย่างเป็นรูปธรรม แนวคิดของเราคือ ที่นี่จะเป็นศูนย์รวมต้นแบบการอำนวยความสะดวกแบบ Total Experience ที่นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้งานบริการเป็นไปอย่างเหนือระดับ และส่งมอบโดยบุคลากรคุณภาพที่ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น ทั้งงานบริการ , Device และ Application Knowledge รวมไปถึงความรู้ด้าน IP Competency ซึ่งทั้งหมดจะทำให้สามารถสร้าง Extraordinary Life ให้คุณได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น Customer Journey ของลูกค้าทุกท่านที่ก้าวเข้ามาใน AIS Flagship Store ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม จะพร้อมถูกรับรองด้วยกระบวนการที่ออกแบบมาอย่างดีในแต่ละวัตถุประสงค์ของลูกค้าเสมอ ซึ่งรูปแบบและแนวคิดของ AIS Flagship Store นี้จะถูกถ่ายทอดไปยัง AIS Shop ทุกสาขาทั่วประเทศ รวมถึงร้านเทเลวิซ ตามความเหมาะสมของพื้นที่และพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละแห่งด้วยเช่นกัน”
“สิ่งที่เรามุ่งมั่นพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าตามหลักของ Total Experience ผ่านช่องทางงานบริการ ประกอบด้วย
1. บุคลากรคุณภาพ ที่ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น ทั้งหลักสูตรด้าน Customer Service , หลักสูตรด้าน IP Competency รวมถึงการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ผู้ผลิต Device และ ผู้พัฒนา Application จัดฝึกอบรมตามมาตรฐานสากลของแต่ละผู้ผลิต เพื่อให้สามารถแนะนำ ช่วยเหลือลูกค้าในการเลือก Smart Device และ Application ได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับความต้องการอย่างแท้จริง
2. เทคโนโลยีที่นำมายกระดับงานบริการ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และประสบการณ์พิเศษจากงานบริการ อาทิ

- ระบบคิวอัจฉริยะ หรือ AIS Smart Booking Appointment ที่สามารถทำการนัดหมายได้ล่วงหน้า
- โต๊ะข้อมูลอัจฉริยะ หรือ AIS Smart Table ที่นำเทคโนโลยี Multi Touch Screen เข้ามาประยุกต์ใช้ ในรูปแบบของโต๊ะข้อมูล ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาดกว่า 1 เมตร พร้อมด้วยแพล็ตฟอร์ม PixelSense ที่เมื่อวาง Smart Device แต่ละรุ่นลงไป จะแสดงคุณสมบัติเปรียบเทียบทันที โดยเฉพาะการแสดงภาพความละเอียดจากกล้องของ Smart Device แต่ละรุ่น, การสัมผัส AIS Application ที่จำลองมาให้เห็นภาพได้เสมือนจริงเพียงปลายนิ้ว รวมไปถึงรายละเอียดโปรโมชั่นทั้งหมด
- ระบบโอนถ่ายข้อมูล หรือ Express Data Transfer ที่สามารถโอนย้ายข้อมูลจากมือถือเครื่องเดิมมายัง Smart Device เครื่องใหม่ได้อย่างรวดเร็วจากเดิม 30 นาที เหลือเพียงภายใน 5 นาที ด้วยความครบถ้วนสมบูรณ์ ถูกต้อง
- ตู้บริการอัจฉริยะ หรือ Service Kiosk ตู้บริการออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทุกเรื่องได้ด้วยตัวเอง อาทิ การเปลี่ยนโปรโมชั่น ตรวจสอบรายละเอียดการโทร เปลี่ยนที่อยู่ และอื่นๆ ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ Shop จะไม่ได้เปิดทำการก็ตาม
- ตู้ชำระอัจฉริยะ หรือ Payment Kiosk จุดให้บริการธุรกรรมทางการเงิน ที่ลูกค้าสามารถชำระค่าบริการ GSM Advance, เติมเงิน One-2-Call! และชำระค่าสาธารณูปโภคอื่นๆได้สะดวกสบายเพียงปลายนิ้ว ทั้งรูปแบบเงินสดและบัตรเครดิต โดยพร้อมให้บริการ 24 ชั่วโมงเช่นกัน
3. เทคโนโลยีที่นำมาส่งมอบความพิเศษและเพิ่มสีสัน เมื่อมาใช้บริการ อาทิ
- AIS Video wall ที่นำเทคโนโลยี Augmented Reality หรือ AR มาสร้างความสนุก และสีสันแบบ Interactive โดยเอไอเอส เป็น Operator ไทยรายแรกที่นำเทคโนโลยีนี้มาแสดงที่ AIS Flagship Store ด้วย Theme หลากหลายเหมาะกับเทศกาลต่างๆ
- AIS Digital Magazine ให้คุณเพลิดเพลินกับนิตยสารจาก AIS Book Store ในระหว่างเข้ามาใช้บริการ
- AIS Free Wifi เพื่อให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อได้ตลอดเวลา เมื่อมาใช้บริการใน AIS Shop ทุกครั้งรวมไปถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหว ข่าวสาร ของงานบริการต่างๆของเอไอเอส ที่จะอยู่ในรูปแบบของ Digital media ทั้งหมด
โดยการยกระดับงานบริการของ AIS Flagship Store , AIS Shop และ ร้านเทเลวิซทั่วประเทศ จะทำให้เราสามารถรองรับบริการลูกค้าได้เร็วกว่าเดิมถึง 30%” คุณวิลาสินี เน้น
ทั้งนี้ นายมาร์ค ได้กล่าวในตอนท้ายว่า “ผมเชื่อมั่นว่าจากนี้เป็นต้นไป เราจะได้เห็นภาพการแข่งขันด้าน Customer Service อย่างรุนแรง และจะเกิด New Chapter ของการทำงานด้านนี้ ซึ่งเอไอเอสถือได้ว่าเป็นผู้กำหนดมาตรฐานด้านนี้มาโดยตลอด ดังเช่นการเปิดตัว AIS Flagship Store ที่แสดงให้เห็นว่า เราเป็น Mobile Operator เพียงรายแรกและรายเดียวที่ให้ความสำคัญกับงานบริการคุณภาพ และมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาจนเกิด ต้นแบบ Masterpiece ที่พร้อมมอบบริการในยุคนี้ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความนิยมใช้งานดาต้าของคนไทยเพิ่มขึ้น จากการที่ประเทศไทยได้ก้าวไปอีกขั้นกับเทคโนโลยีอย่าง 3G ซึ่งเราพร้อมเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนให้เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายสามารถสร้างประโยชน์ทั้งแก่บุคคลและประเทศชาติอย่างเต็มกำลังแน่นอน”
AIS Flagship Store พร้อมให้ลูกค้าได้มาสัมผัสประสบการณ์แบบ Total Experience เต็มรูปแบบแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ ชั้น 4 ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ais.co.th

View :1420

บลูโค้ทเผยโฉมโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยชั้นยอด ทำให้การนำอุปกรณ์และแอพพลิเคชั่น โมบายต่างๆมาใช้งานในองค์กรปลอดภัยยิ่งขึ้น

December 1st, 2012 No comments

บริการใหม่ที่ช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายที่ต้องการ ขณะที่องค์กรได้รับ การรักษาความปลอดภัย

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย–29 พฤศจิกายน, 2555 – บริษัท บลูโค้ท ซิสเต็มส์ ผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยสำหรับเว็บและโซลูชั่นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ WAN ประกาศเปิดตัว Blue Coat Mobile Device Security (MDS) บริการที่ช่วยให้ธุรกิจขยายขอบเขตการรักษาความปลอดภัยครอบคลุมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในเครือข่าย โดยบริการ MDS เป็นส่วนหนึ่งของบริการระบบคลาวด์ที่อยู่ในรูปแบบ security-as-a-service จะช่วยลดช่องว่างด้านการรักษาความปลอดภัย เพราะที่ผ่านมาธุรกิจไม่สามารถควบคุมการใช้งานแอพพลิเคชั่นผ่านเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบายได้ สิ่งผลให้องค์กรต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยคุกคามผ่านเว็บและอินเทอร์เน็ต

“นักออกแบบของเราทำงานอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดเวลา เรามีการติดต่อกับลูกค้าผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมถึงติดตามสไตล์และแนวโน้มการออกแบบใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการทำงานคือภารกิจที่สำคัญของผมและทีมงาน“ นายจอห์น เนเวนเนอร์ ผู้จัดการฝ่ายไอที บริษัท แคนโทนิ (Cantoni) ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านการออกแบบให้กับโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์แนวโมเดิร์นทั่วอเมริกากล่าวและว่า “บริการของบลูโค้ทช่วยให้พนักงานของเราปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ ไม่ว่าจะทำงานจากสำนักงานหรืออยู่ที่โชว์รูม ซึ่งเราก็ต้องการขยายการป้องกันนี้ไปใช้งานไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม”

ปัจจุบันธุรกิจมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับต่อกระแสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ด้วยการนำอุปกรณ์โมบายต่างๆมาใช้งาน กระแสการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในองค์กร (Bring Your Own Device : BYOD) เพื่อให้พนักงานสามารทำงานได้ยืดหยุ่น มากขึ้น รวมถึงการอนุญาตให้แขกผู้มาติดต่อ คู่ค้า หรือลูกค้านำอุปกรณ์ของตนเองมาใช้งานในองค์กรได้ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ที่มีการขยายสภาพแวดล้อมการทำงานไปสู่อุปกรณ์โมบายมากขึ้นด้วยเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้ทำให้องค์กรต้องเผชิญและจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่

1.ภัยคุกคามจากเว็บและอินเทอร์เน็ต 2. การสูญหายของข้อมูลจากการใช้งานแอพพลิเคชั่นปรกติและแอพพลิเคชั่นบนเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบาย และ 3. การหลีกเลี่ยงนโยบายความปลอดภัยของพนักงานบริการ MDS ของบลูโค้ทจะทำงานในระดับเครือข่ายและอุปกรณ์ เพื่อเสริมการปกป้องและควบคุมที่มีใช้งานอยู่ในสำนักงานใหญ่ไปสู่อุปกรณ์โมบายของพนักงานไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม ซึ่งการทำให้อุปกรณ์ โมบายต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมในองค์กรได้นั้น ต้องอาศัยคุณสมบัติที่สำคัญ 3 ประการได้แก่
การป้องกันขั้นสูง (Advanced Defenses) : บริการ MDS ทำงานภายใต้ระบบป้องกันภัยคุกคาม WebPulse และการป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น (Negative Day Defense) ของบลูโค้ท เพื่อปกป้องจากภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เดสก์ท็อป สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตของผู้ใช้การควบคุมแอพพลิเคชั่นและการทำงานแบบละเอียด (Granular Application and Operation Controls): สิ่งที่บริการ MDS ต่างจากโซลูชั่นสำหรับอุปกรณ์โมบายทั่วไปคือ โซลูชั่นทั่วไปจะบล็อกการทำงาน โมบายแอพพลิเคชั่นและไม่สามารถควบคุมการทำงานของแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานผ่านโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบายได้ แต่บริการ MDS สามารถควบคุมแอพพลิเคชั่นและการทำงานแบบละเอียดครอบคุลมทั้งโมบายแอพพลิเคชั่นปรกติและแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานผ่านโมบายเว็บบราวเซอร์ ซึ่งการควบคุมแอพพลิเคชั่นแบบละเอียดนี้ช่วยให้องค์กรกำหนดนโยบายการใช้งานที่ยืดหยุ่น ป้องกันการทำข้อมูลสูญหายโดยไม่ตั้งใจ

กำหนดนโยบายตามบริบท (Contextual Policies) : เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการในการเข้าถึงระบบเครือข่ายของพนักงานและความต้องการในการรักษาความปลอดภัยของธุรกิจ บริการ MDS มาพร้อมกับกรอบการกำหนดนโยบายอันชาญฉลาด ที่ทำให้องค์กรสามารถกำหนดนโยบายรักษาความปลอดภัยและใช้งานตามผู้ใช้ อุปกรณ์ สถานที่ หรือชนิดของข้อมูล อันช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดนโยบายที่เหมาะสมทั้งกับการใช้งานของบุคคลและธุรกิจได้โดยยังคงการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็ง

“ การทำงานขององค์กรยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสำนักงานเท่านั้น แต่ต้องสามารถทำงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ร้านกาแฟ หรือที่ใดก็ได้ที่พนักงานต้องการ การจะทำแบบนี้ได้ องค์กรต้องผสานรวมอุปกรณ์โมบายต่างๆ เข้ากับสภาพแวดล้อมระบบเครือข่ายขององค์กรอย่างลงตัว รวมถึงขยายการปกป้องและควบคุมนโยบายรักษาความปลอดภัยไปสู่อุปกรณ์เหล่านี้ด้วย “ นายคริสเตียน คริสเตียเซ่น รองประธานฝ่ายโปรแกรมและรักษาความปลอดภัย บริษัท ไอดีซี กล่าวและว่า “ความต้องการเข้าถึงระบบเครือข่ายทำให้ฝ่ายไอทีต้องพบกับความท้าทายในการบริหารจัดการอุปกรณ์ปลายทางในระดับหลายร้อยหรือหลายพันชิ้น ขณะเดียวกันก็ต้องจัดหาการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นสำหรับอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย ”

บริการ MDS จากบลูโค้ทจะให้บริการผ่านทาง Blue Coat Cloud Service ซึ่งประกอบขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานระดับเอ็นเทอร์ไพรซ์ ซึ่งจะมอบประสิทธิภาพและการขยายเพิ่มเติม โดยมีการรับประกันระดับการให้บริการ (Service Level Guarantee) สูงถึง 99.999 เปอร์เซ็นต์

“อุปกรณ์โมบายต่างๆ กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในองค์กร แต่ปัจจุบันผู้อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่กลับไม่ได้รับการปกป้องจากความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภัยคุกคามจากเว็บ การสูญหายของข้อมูลจากการใช้งานแอพพลิเคชั่นผ่านเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบาย” นายโจนาธาน แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์ ประจำภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก บริษัท บลูโค้ท ซิสเต็มส์ อิงค์ กล่าวและว่า “บริการ Mobile Device Security จาก บลูโค้ทช่วยขยายขอบเขตการปกป้องและควบคุมนโยบายที่มีอยู่ในระบบเครือข่ายขององค์กรไปสู่อุปกรณ์โมบายต่างๆ อันช่วยให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าทั้งผู้ใช้และข้อมูลได้ถูกปกป้องแล้วเช่นกัน”

บริการ MDS เป็นองค์ประกอบใหม่ล่าสุดของโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ Blue Coat Unified Security ซึ่งจะมอบการป้องกันภัยคุกคาม​แบบร่วมมือกัน​โดย​ผู้​ใช้ทั่ว​โลก (Global Threat Defense) การกำหนดน​โยบายที่สามารถครอบคลุม​ได้ทุกจุด (Universal Policy) ​และ​การรายงาน​แบบรวมศูนย์ (Unified Reporting) ของผู้ใช้ในแต่ละอุปกรณ์ โซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ (Unified Security) ประกอบด้วยอุปกรณ์ Blue Coat Secure Web Gateway และอุปกรณ์เสมือน (virtual appliances) และบริการในรูปแบบคลาวด์ Blue Coat Cloud Service ซึ่งจะมอบการรักษาความปลอดภัยในระดับที่องค์กรต้องการ

การวางจำหน่าย
บริการ Blue Coat Mobile Device Security จะเปิดให้บริการในวันที่ 10 ธันวาคม

View :1207

รายงานเรื่อง Ericsson Mobility Report แสดงถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดสมาร์ทโฟน และปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว

November 29th, 2012 No comments

· ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนโทรศัพท์ที่ขายได้ในไตรมาสที่สามของปี 2012 เป็นสมาร์ทโฟน และอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือสมาร์ทโฟนน่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย

· ระหว่างไตรมาสที่สามของปี 2011 และ ปี 2012 ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว และน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 12 เท่าระหว่างปี 2012 และ ปี 2018 โดยมีวีดีโอเป็นแรงผลักดันหลัก

· จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6,600 ล้านคนภายในปี 2012 และ 9,300 ล้านคนในปี 2018

· มีจำนวนผู้ใช้ LTE เพิ่มขึ้น 13 ล้านคน ในไตรมาสที่สามของปี 2012 และจำนวนผู้ใช้ LTE ทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,600 ล้านคนภายในปี 2018

รายงานล่าสุดของอีริคสัน เรื่อง หรือที่เคยรู้จักกันในนาม Ericsson Traffic and Market Report เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่สามของปีนี้ (ค.ศ. 2012) ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของมือถือที่ขายได้เป็นสมาร์ทโฟน และมีการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือ (data traffic) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตรายปีแบบทบต้น (compound annual growth rate, CAGR) ระหว่างปี 2012 และ 2018 จะอยู่ที่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยมีวีดีโอเป็นตัวผลักดันหลัก

จากการศึกษาวิจัยของอีริคสันพบว่า ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ทบนมือถือส่วนใหญ่ คือ การใช้เพื่อรับชมวีดีโอออนไลน์ ซึ่งคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการใช้งานบนมือถือสมาร์ทโฟนทั้งหมด และ 40 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการใช้งานบนแท็บเล็ต ทำให้ผู้เกี่ยวข้องต้องหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของเครือข่ายในทุกที่ทุกเวลา

คุณ Douglas Gilstrap รองประธานอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธแห่งอีริคสัน กล่าวว่า “ความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีต่อคุณภาพของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตกันอย่างกว้างขวาง และด้วยอุปกรณ์เหล่านี้เองที่ทำให้เราเปลี่ยนวิธีการใช้งานอินเตอร์เน็ท ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคนในยุคปัจจุบัน ผ่านอุปกรณ์พกพาที่มักมีอยู่ใกล้ๆมือเสมอ ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การบันเทิง และโซเชียลเน็ทเวิร์คต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา”

มีการคาดการณ์ไว้ว่า จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จะอยู่ที่ประมาณ 6,600 ล้านคนภายในปี 2012 และ 9,300 ล้านคน ภายในปี 2018 โดยตัวเลขนี้มิได้รวมถึงจำนวนการใช้งานแบบ machine-to-machine (M2M) ด้วย โดยในไตรมาสที่สามที่ผ่านมา ประเทศจีนเพียงประเทศเดียวมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นถึง 40 ล้านคน คิดเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด และมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในประเทศอื่นๆด้วย เช่น บราซิล (9 ล้าน), อินโดนีเซีย (7 ล้าน), และฟิลิปปินส์ (5 ล้าน) โดยรวมแล้วมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกประมาณ 91 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในไตรมาสที่สามของปี 2012 หรือคิดเป็นจำนวน 6,400 ล้านคน โดยมีการเพิ่มขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน และ 2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว

ภายในกลางปี 2012 เครือข่าย LTE น่าจะสามารถครอบคลุมพื้นที่ ที่มีประชากรทั้งหมดประมาณ 455 ล้านคนทั่วโลก และภายในห้าปีประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของโลกน่าจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี LTE นี้ด้วย

ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เทคโนโลยี LTE ถือได้ว่ามีการพัฒนารวดเร็วที่สุด ทั้งในเรื่องของการสร้างและขยายเครือข่าย ในขณะนี้ได้มีการสร้างเครือข่าย LTE แล้วในหลายพื้นที่ และมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 55 ล้านคนภายปี 2012 เป็น 1,600 ล้านคนตามการคาดการณ์ ภายในปี 2018 ส่วนเครือข่าย WCDMA/HSPA ที่ขณะนี้มีพื้นที่ครอบคลุมจำนวนประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งไปกว่า LTE โดยเพิ่มขึ้นถึง 65 ล้านคนในไตรมาสที่สามของปีนี้ เมื่อเทียบกับ 13 ล้านคนสำหรับ LTE

View :1482

ธอมัสไอเดียระบุเทรนด์ดิจิตอลคอมเมิร์ซปีหน้ามาแรง แนะนักการตลาดไทยเตรียมกลยุทธ์ครบทุกดิจิตอลแพลตฟอร์มรับมือคู่แข่งข้ามชาติ

November 26th, 2012 No comments

อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล CEO บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด

ธอมัสไอเดีย อินเตอร์แอคทีฟเอเยนซี่ชั้นนำของไทย ชี้เทรนด์ดิจิตอลคอมเมิร์ซปีหน้ามาแรง แนะนักการตลาดไทยควรเร่งสร้างระบบสู่ผู้บริโภคทั่วโลกผ่านออนไลน์ และจัดกลยุทธ์ให้พร้อมเพื่อรับมือคู่แข่งข้ามชาติหลังมือถือไทยเข้าสู่ยุค 3 จีและเปิดเสรีอาเซียน เผยความสำคัญของดิจิตอลแพลตฟอร์มเกิดขึ้นเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคสู่ยุคดิจิตอล รวมถึงงบการตลาดออนไลน์ปีหน้าโดยประมาณเป็น 5-10% ของงบการตลาด คาดส่งผลกระทบมูลค่าสื่อโฆษณาออนไลน์เป็น 3 % ของมูลค่าสื่อโดยรวม

น.ส. อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล CEO บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด เผยว่าสาเหตุที่ปีหน้า 2013 จะเป็นปีที่การแข่งขันดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งจะข้ามขั้นสู่ยุคดิจิตอลคอมเมิร์ซที่สร้างรายได้ตอบโจทย์นักการตลาดมากขึ้นว่า “เป้าหมายสูงสุดของผู้ประกอบการและนักการตลาด คือ การสร้างรายได้และจำนวนลูกค้าที่ภักดีในแบรนด์ที่เพิ่มมากขึ้น ปรากฎการณ์ Digital Disruption เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลกระทบโดยตรงกับเจ้าของสินค้าและบริการ เราได้เห็นตัวอย่างของแบรนด์และสินค้าระดับโลกหลายรายที่ต้องปิดตัวเพราะก้าวไม่ทันกระแสดิจิตอล รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและภาครัฐที่ต้องมีการพัฒนาและปรับตัวให้ทันเช่นกัน”

เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) องค์กรในประเทศไทยต้องเริ่มใช้กลยุทธ์ดิจิตอลเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจไปยังประเทศใกล้เคียง โดยต้องเตรียมความพร้อมของพนักงาน คู่ค้าตลอดจนกระบวนการทางธุรกิจเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางดิจิตอล การเตรียมความพร้อมด้านดิจิตอลเริ่มต้นจากความเข้าใจและการกำหนดแผนกลยุทธ์ทางด้านดิจิตอลอย่างชัดเจน ซึ่งอาจประกอบด้วยสามขั้นตอน ได้แก่

1. Local Takeoff เป็นขั้นตอนสำคัญที่องค์กรต้องเริ่มดำเนินงานผ่านทางดิจิตอล โดยมองจากกลุ่มลูกค้าและผู้บริโภคเป็นหลัก โดยต้องเริ่มศึกษาและกำหนดกลยุทธ์ดิจิตอลที่เหมาะสมกับองค์กร การใช้ดิจิตอลแบรนด์ดิ้งเพื่อขยายภาพลักษณ์ขององค์กรและแบรนด์ไปยังกลุ่มผู้บริโภคออนไลน์ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการจัดเตรียมทีมงานอีบิสสิเนส เพื่อดำเนินงานด้านการค้าผ่านออนไลน์ รวมถึงการสื่อสารการตลาด และเปิดช่องทางการใช้ดิจิตอลคอมเมิร์ซ

2. Regional Reach เป็นการขยายผลของกลยุทธ์ดิจิตอลในประเทศออกสู่ประเทศเป้าหมายในภูมิภาค

3. Regional Integration เป็นการอินทริเกรทเอาผลการดำเนินงานในแต่ละประเทศเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ และการสื่อสารการตลาด

หากมองในแง่ของนักการตลาด จากเดิมที่เราสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ ได้สำเร็จในปีที่ผ่านมา อาจจะไม่เพียงพอแล้วในวันพรุ่งนี้ หลายๆ องค์กรเริ่มตระหนักและลงทุนกับการสร้างธุรกิจในรูปแบบของดิจิตอลคอมเมิร์ซและพร้อมใช้งานทันทีเมื่อระบบเชื่อมโยงการทำงานภายในองค์กรพร้อม เพราะนวัตกรรมออนไลน์นี้จะกลายเป็นสำนักงานขายที่สำคัญในการซื้อขายไม่น้อยไปกว่าช่องทางออฟไลน์เลย และมีคู่แข่งที่พร้อมจะเข้ามาชิงตลาดและลูกค้าของเราไปได้โดยง่ายด้วย

นักบริหารและผู้ประกอบการทั้งหลายควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตลาดที่ต้องพึ่งดิจิตอลคอมเมิร์ซเป็นสำคัญ ทั้งนี้ อุไรพร ในฐานะที่คลุกคลีวงการออนไลน์มาร์เก็ตติ้งมามากกว่า 10 ปี ได้รวบรวมข้อมูลและสรุปเทรนด์การตลาดออนไลน์ในยุคดิจิตอลคอมเมิร์ซที่เด่นๆ และมาแรงมาให้ทราบ เพื่อให้นักการตลาดได้รับมือกับความเข้มข้นในปีหน้า ดังนี้

1) เชื่อมประสบการณ์ผู้ซื้อผ่านมือถือด้วยแอพ

IN-STORE MOBILE APP FOR SHOPPER EXPERIENCE INTEGRATION

แอพมือถือสำหรับต่อยอดประสบการณ์ผู้ซื้อในร้านค้า

มือถือทำให้กระบวนการซื้อขายปิดได้ทันทีเพียงปลายนิ้ว “คลิก” เทรนด์ที่จะมาให้เห็นกันมากขึ้น คือการเชื่อมโยงเอาประสบการณ์ในขณะที่ผู้บริโภคเดินเลือกซื้อสินค้า กับการเข้าหาข้อมูลทางมือถือเพื่อจับจ่ายใช้สอยพร้อมๆ กัน กลยุทธ์การใช้แอพพลิเคชั่น “In-Store App” จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักการตลาดต้องก้าวให้ทัน โดยเฉพาะร้านค้าปลีกที่พยายามต่อสู้ไม่ให้ร้านค้าตนเองเป็นแค่โชว์รูมสินค้า และต้องการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างกว่าร้านค้าออนไลน์ เพื่อดึงดูดลูกค้า

2) ร้านค้าออนไลน์ตัวเร่งหลักในการขยายธุรกิจ

E-STORE SPEEDS BUSINESS GROWTH

การลงทุนสร้างช้อปออนไลน์ ให้ความรวดเร็วและเปิดโอกาสทางการขายสร้างรายได้ก้อนใหม่

ด้วยพฤติกรรมผู้ซื้อที่เปลี่ยนไปและระบบโลจิสติคส์ที่มีศักยภาพมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการเปิดร้านค้าแบบรวดเร็วบนพื้นที่ออนไลน์ที่ไร้พรมแดน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคใน Untapped Markets เราจะได้เห็นแบรนด์ชั้นนำ ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีก ประกาศขยายการค้าขายในประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็วด้วย E-Store มากกว่าการเปิดร้านค้าจริง ร้านค้าออนไลน์จะเป็นร้านค้าสาขาที่ใหญ่ที่สุดของหลายๆ แบรนด์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการสร้างแพลตฟอร์มดิจิตัลคอมเมิร์ซที่มีประสิทธิภาพและสามารถขยายตัวได้ รวมทั้งการบริหารจัดการสินค้าและวางกลยุทธ์ในการขาย

3) โปรโมชั่นเฉพาะตัวผ่านมือถือ

PERSONALIZED PROMOTION IN CONSUMER’S POCKET

กระตุ้นการขายด้วยเทคโนโลยีออนไลน์ ยื่นข้อเสนอที่โดนใจลูกค้าแบบตัวต่อตัว

การทำงานของออนไลน์แพลตฟอร์มทั้งหมดเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายที่ทรงพลังทางการตลาดได้อย่างคาดไม่ถึง เพราะเทคโนโลยีอินเตอร์แอคทีฟในแต่ละแพลตฟอร์มและ e-CRM มีฐานข้อมูลส่วนตัวของกลุ่มเป้าหมาย เป็นตัวช่วยให้นักการตลาดวิเคราะห์ได้ลึกถึงความต้องการในใจของผู้บริโภคแต่ละคนได้ในทันที การสร้างกลไกอัตโนมัติที่ทำให้ระบบค้นหาสินค้าและนำเสนอโปรโมชั่นที่เร้าใจกว่า ผ่านรูปแบบของ Passbook ของแอปเปิ้ล, อีคูปองต่างๆ การสะสมคะแนนออนไลน์ รวมถึงความง่ายของระบบจ่ายเงินผ่าน Mobile Payment นอกจากจะทำให้การตัดสินใจซื้อเกิดเร็วแล้ว ยังช่วยให้นักการตลาดวางแผนจัดการทั้งระบบปฏิบัติการออนไลน์และออฟไลน์คู่ขนานกันได้สะดวกยิ่งขึ้น

4) ต่อยอดโซเชียลมีเดียไปโซเชียลคอมเมิร์ซ

FROM SOCIAL MARKETING TO SOCIAL COMMERCE

โซเชียลคอมเมิร์ซเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย

ที่ผ่านมาเราได้ใช้ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเพื่อสร้าง Brand Awareness ให้เกิดและค้นหาจนเจอแฟนพันธุ์แท้ตามช่องทางออนไลน์ต่างๆ ขั้นตอนต่อไปคือกลยุทธ์สำคัญสู่การเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซที่ช่วยให้เรา “ขาย” ได้จริงๆ ความพิเศษของโซเชียลคอมเมิร์ซ คือ การเน้น People-Centric มากกว่า Product-Centric เทรนด์ของโซเชียลไซต์ที่ใช้ Curator มาเป็นผู้คัดสรรสินค้าให้แฟนพันธุ์แท้แบบ Recommended Marketing เป็นกระแสใหม่ในโลกออนไลน์ ที่ทำให้เกิดโซเชียลคอมเมิร์ซได้อย่างแท้จริง

5) สมาร์ทโฟนจุดเปลี่ยนสื่อโฆษณา

MOBILE ADVERTISING – THE SMARTPHONE POWER

เมื่อโฆษณายุคดิจิตอล พุ่งตรงเข้าสู่มือกลุ่มเป้าหมายผ่านสมาร์ทโฟนและแทบเล็ต

สมาร์ทโฟนเปิดช่องทางการตลาดใหม่ให้กับธุรกิจ ด้วยจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟน (มากกว่า 10 ล้านคนในไทย) และการเปิดใช้ระบบ 3G จะทำให้การใช้ Device ใหม่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น จนนักการตลาดให้ความสนใจและมองหาโอกาสในการสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มนี้ ถึงแม้วันนี้รูปแบบของการโฆษณาผ่านมือถือยังเป็นขั้นเริ่มต้น สื่อก็ได้เริ่มวางแนวทางในการให้บริการและการขายอย่างจริงจัง สมาร์ทโฟนช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกมากให้กับค่ายมือถือและสื่อโฆษณารูปแบบใหม่อย่างน่าจับตามอง Mobile Advertising จึงกลายเป็นคำตอบสำหรับโจทย์หลักของนักโฆษณาทั้งหลาย ทำให้สมาร์ทโฟนและแทบเล็ตมีบทบาทมากขึ้น และบรรดานักโฆษณาทั้งหลายต้องปรับตัวให้พร้อมสร้างเทคโนโลยีโฆษณาดิจิตอลใหม่ๆ ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้แพลตฟอร์ม การออกแบบเนื้อหาในพื้นที่หน้าจอที่มีขนาดแตกต่างกัน

6) กลยุทธ์ดิจิตอลเชื่อมต่อทุกช่องทางออนไลน์เพื่อชนะใจลูกค้า

DIGITAL STRATEGY: INTEGRATION TO WIN THEM ALL

ไม่ใช่แค่วางกลยุทธ์ของแต่ละดิจิตอลแพลตฟอร์มแต่ต้องวางกลยุทธ์ดิจิตอล Digital Strategy เป็นภาพใหญ่

ถึงวันนี้องค์กรต่างได้ทดลองดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งในหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดด้วย E-mail, Search, Blogger, หรือโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ยังคงมีข้อข้องใจว่าไม่สามารถ Integrate การสื่อสารผ่านช่องทางเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดความต่อเนื่องในการสื่อสารระหว่างแบรนด์ต่อผู้ติดตาม หรือระหว่างสมาชิกในสังคมออนไลน์ที่แบรนด์ได้สร้างขึ้น เป็นความท้าทายของนักการตลาดที่ต้องวางกลยุทธ์ดิจิตอลเป็น Umbrella Strategy ให้ได้ เพื่อให้การต่อเชื่อมกลยุทธ์ในดิจิตอลแพลตฟอร์มอื่นๆ สอดประสานกันอย่างลงตัวในการ Execution

“ข้อแนะนำสำหรับนักการตลาด อำนาจและอิสระของผู้บริโภคในการเลือกผ่านช่องทางดิจิตอลมีมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลแลกปลี่ยนข่าวสารและช้อปปิ้งข้ามโลกเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้แบรนด์ของตัวเองมีสินค้าและบริการที่ต้องการด้วย ถ้าแบรนด์หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ตอบสนองไม่ทันก็อาจสูญเสียลูกค้าได้โดยง่าย ดังนั้น จำเป็นมากที่องค์กรต้องมีวิสัยทัศน์และนโยบายในการให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ดิจิตอลมากขึ้น พัฒนาศักยภาพของทีมวางแผนและทีมปฏิบัติการ โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีและการพัฒนาระบบเพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับส่วนงานขาย ขนส่ง บริการ ฯลฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้เป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ โดยมีดิจิตอลคอมเมิร์ซช่วยขับเคลื่อนยอดขายจากผู้ซื้อที่มีอยู่ทั่วโลก” อุไรพรเสริมท้าย

สำหรับธอมัสไอเดีย ในปีหน้าจะเน้นการให้บริการด้านกลยุทธ์ดิจิตอลที่ครบวงจร ครอบคลุมทุกดิจิตอลแพลตฟอร์ม อาทิ วางกลยุทธ์ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งพร้อมดำเนินการพัฒนาและบริหารแคมเปญออนไลน์ การวางกลยุทธ์ดิจิตอลมีเดีย การบริหารและวิเคราะห์โซเชียลมีเดียพร้อมต่อยอดเต็มรูปแบบ รวมถึงวางกลยุทธ์ดิจิตอลคอมเมิร์ซพร้อมการสร้างสรรค์ระบบอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ และระบบ e-CRM ดูแลฐานข้อมูลลูกค้า ต่อเชื่อมกับเว็บไซต์ โมบายและ แอพพลิเคชั่น

View :1853