Archive

Author Archive

โนเกียเปิดตัว 3 สมาร์ทโฟนใหม่บน Symbian Belle เร็วขึ้น ดีขึ้น พร้อมนำตลาดเทคโนโลยี NFC

September 22nd, 2011 No comments

โนเกียเปิดตัวสมาร์ทโฟน 3 รุ่นใหม่บน Symbian Belle ได้แก่ Nokia 700, Nokia 701 และ Nokia 600 ครบทั้งดีไซน์ ฟีเจอร์ และฟังก์ชั่นในราคาดึงดูดใจ มอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น และรวดเร็ว ด้วย CPU 1GHz เสริมศักยภาพด้วยเทคโนโลยี NFC ให้คุณได้แบ่งปัน (sharing) ข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนและจับคู่ (pairing) อุปกรณ์เสริมต่างๆ นับเป็น user interface ที่ให้ความสะดวกมากที่สุดของการสื่อสารเคลื่อนที่ในปัจจุบัน

มร. แกรนท์ แมคบีธ กรรมการผู้จัดการ โนเกีย ประเทศไทย และตลาดเอเชียเกิดใหม่ กล่าวว่า “สมาร์ทโฟน Symbian Belle ทั้ง 3 รุ่นได้รับการพัฒนาให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น มาพร้อมฟีเจอร์หลักที่เป็นเอกลักษณ์ของโนเกียซึ่งผู้ใช้งานมีความคุ้นเคย ขณะเดียวกันแต่ละรุ่นยังมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกสมาร์ทโฟนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา Nokia 700 เป็นสมาร์ทโฟนโมโนบล็อคหน้าจอสัมผัสที่มีขนาดกะทัดรัดที่สุดในโลก Nokia 701 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีสไตล์ที่เพรียวบางและมีหน้าจอที่สว่างที่สุดสำหรับการใช้งานที่สมบูรณ์แบบไม่ว่าจะดูวีดีโอหรือเล่นเกมส์ระดับ HD และ Nokia 600 สมาร์ทโฟนเพื่อความบันเทิงที่สามารถเปิดฟังวิทยุ FM ได้โดยไม่ต้องใช้หูฟังเพราะมาพร้อมลำโพง ที่ดังที่สุดของโนเกีย ถือได้ว่าสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่นได้นำความเป็นที่สุดมาสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนของโนเกีย”

Nokia 700: สมาร์ทโฟนที่กระทัดรัดที่สุดของโนเกีย
ด้วยปริมาตรเพียงแค่ 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร น้ำหนัก 96 กรัม ขนาด 110×50.7×9.7 มิลลิเมตร Nokia 700 ไม่เพียงแค่เป็น สมาร์ทโฟนที่กระทัดรัดที่สุดในกลุ่มสมาร์ทโฟน Symbian ของโนเกีย แต่ยังเป็นสมาร์ทโฟนโมโนบล็อคหน้าจอสัมผัสที่กระทัดรัดที่สุดในโลกอีกด้วย แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี NFC สำหรับแบ่งปันและจับคู่ อุปกรณ์ หน่วยประมวลผล 1Ghz หน้าจอ Amoled ClearBlack ขนาด 3.2 นิ้ว หน่วยความจำภายใน 2 GB (ซึ่งสามารถขยายได้โดยใช้ microSD 32 GB รวมกันเป็น 34 GB) วิดีโอ HD และกล้อง full focus 5 MP พร้อมแฟลช LED Nokia 700 ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดด้วยแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ทำจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีฟีเจอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ จึงเป็นสมาร์ทโฟนสำหรับผู้บริโภคที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

Nokia 701 สมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอสว่างที่สุดของโนเกีย

Nokia 701


Nokia 701 เป็นสมาร์ทโฟนดีไซน์เพรียวบางพร้อมหน้าจอที่สว่างที่สุด ด้วยหน้าจอ ClearBlack 3.5 นิ้ว ทำให้ Nokia 701 สมบูรณ์แบบทั้งการใช้งานภายในร่มหรือกลางแจ้ง และรองรับการถ่ายและชมวีดีโอหรือเล่นเกมส์ในระดับ HD ทั้งยังมีระบบตัดเสียงรบกวน ช่วยให้มีคุณภาพเสียงที่ชัดเจนที่สุด พร้อมด้วยเทคโนโลยี NFC ช่วยให้คุณได้แบ่งปันข้อมูลหรือฟังเพลงผ่านหูฟังหรือลำโพงได้อย่างง่ายดาย Nokia 701 ออกแบบโดยพัฒนาจาก Nokia C7 ที่ได้รับความนิยม มีหน่วยประมวลผล 1 GHz กล้อง full focus 8MP พร้อมแฟลชคู่ LED และดิจิตอลซูม 2 เท่า กล้องตัวที่ 2 ด้านหน้า (2nd front-facing camera) และวิดีโอ HD มาพร้อมกับหน่วยความจำ 8GB ซึ่งสามาถขยายไปจนถึง 40 GB โดยใช้ micro SD ขนาด 32 GB

Nokia 600 สมาร์ทโฟนที่ดังที่สุดของโนเกีย

Nokia 600 มอบเสียงกระหึ่มเผยความเป็นตัวตนของคุณด้วยลำโพง 106 Phons เสาอากาศวิทยุเอฟเอ็มในตัวสำหรับฟังวิทยุโดยไม่ต้องอาศัยหูฟังและเครื่องรับสัญญาณ Nokia 600 นับเป็นสมาร์ทโฟนในฝันของผู้รักเสียงดนตรี ด้วยความสามารถในการเล่นเพลงได้นานถึง 60 ชั่วโมง ลำโพงอันทรงพลังและสามารถเล่นเพลงไร้สายผ่านอุปกรณ์ NFC ได้ จึงถือเป็น สมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับงานปาร์ตี้ของคุณ ในราคาที่ถูกกว่า Nokia 600 ก็ยังครบครันด้วยหน่วยประมวลผล 1 GHz กล้อง full focus 5 MP และหน่วยความจำภายใน 2GB ซึ่งสามารถขยายได้ถึง 34 GB ด้วย MicroSD ขนาด 32 GB

Symbian Belle และ NFC
Symbian Belle เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของแพลทฟอร์ม Symbian โดยเพิ่มจำนวน home screen จาก 3 เป็น 6 home screen
ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการแสดงแอพพลิเคชั่นและบริการต่างๆ พร้อมมี widget ให้เลือก 5 ขนาด ทำให้หน้าจอมีชีวิตชีวา
และช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีเมนูและtaskbar ที่สามารถดึงลงมา
เพื่อดูการแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ home screen ไหน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการท่องเว็บ Symbian Belle
จึงมอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและรวดเร็ว

ฟีเจอร์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดของ Symbian Belle คือ เทคโนโลยี NFC (Near Field Communications) ที่ให้คุณได้แบ่งปันข้อมูล (sharing) และจับคู่อุปกรณ์ (pairing) ด้วยการแตะ (tap) อุปกรณ์เข้าด้วยกันเพียงครั้งเดียว คุณก็สามารถแบ่งปันรายชื่อผู้ติดต่อ วิดีโอ รูปภาพ กับสมาร์ทโฟน NFC อื่นๆ รวมไปถึงอุปกรณ์เสริมอย่างลำโพงหรือหูฟังที่มี NFC คอเกมส์ยังได้รับประโยชน์จาก NFC ด้วยการปลดล็อคด่าน Angry Birds หรือค้นพบดาบที่ซ่อนไว้ในเกมส์ Fruit Ninja เพียงแค่แตะโทรศัพท์ NFC เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ Nokia 701 ยังติดตั้ง Asphalt 5 ไว้ในเครื่องเพื่อให้คุณและเพื่อนได้จับคู่เพื่อแข่งในสนามเดียวกัน

“Symbian Belle และสมาร์ทโฟนใหม่ทั้ง 3 รุ่น แสดงให้เห็นว่าเรายังคงขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ Symbian เพื่อให้ผู้คนสามารถเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การใช้งาน การออกแบบ ฟังก์ชั่น และราคา นอกจากนี้ เรายังนำตลาดด้วยการใส่นวัตกรรม NFC ซึ่งคาดว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทมากขึ้นในอนาคต เป็นการตอกย้ำว่า
โนเกียยังคงให้ความสำคัญกับ Symbian และมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและราบรื่นให้กับผู้บริโภคอย่างไม่หยุดยั้ง” มร.แมคบีธ กล่าวสรุป

Nokia 701


บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส ได้มอบแพคเกจพิเศษ เฉพาะลูกค้าเอไอเอส เมื่อซื้อ Nokia 600, 700, 701
ฟรี AIS 3G/EDGE+ เดือนละ 500 MB นาน 8 เดือน เมื่อสมัครแพ็กเสริมเดือนละ 175 บาท เพียงโทร *212333 ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 54

Nokia 701 วางจำหน่ายแล้วในราคา 11,300 บาท Nokia 700 จะวางจำหน่ายในเร็วๆนี้ในราคา 9,990 บาท ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่โนเกียแคร์ไลน์: 02 255 2111 หรือ เอไอเอส คอลเซ็นเตอร์ 1175

View :1707

WD พร้อมลุยอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคล (PERSONAL CLOUD)

September 21st, 2011 No comments

ส่งฮาร์ดไดรฟ์เครือข่าย My Book® Live™ และแอพฯ ใหม่ ™ ช่วยให้เข้าถึงและแบ่งปันไฟล์จากพีซี เครื่องแมค แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนได้ง่ายดาย ไม่เสียค่าใช้จ่ายรายเดือนและปลอดภัยเต็มร้อย

วสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (Western Digital®) ผู้นำอุตสาหกรรมด้านโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลแบบติดตั้งภายนอก (external storage solutions) ได้ฤกษ์เปิดตัวแอพพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ใหม่ล่าสุด ได่แก่ WD 2go™ และ WD 2go Pro สำหรับใช้กับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคล My Book® Live™โดยฮาร์ดไดรฟ์ My Book Live ของ WD จะทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายภายในบ้านเพื่อสร้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้จากทั้งภายในและจากนอกบ้าน

ผู้ใช้สามารถเข้าถึง My Book Live แบบระยะไกลได้อย่างปลอดภัยบนคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ผ่านเว็บไซต์ www.WD2go.com ขณะที่แอพพลิเคชัน WD 2go จะให้การเข้าถึงผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ไปยังไฟล์ที่จัดเก็บไว้บนฮาร์ดไดรฟ์โดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad®, iPhone®, iPod touch® หรือ Android™ ได้

อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคล My Book Live ซึ่งเป็นการรวมจุดเด่นของระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มทั้งแบบส่วนตัวและสาธารณะเข้าไว้ด้วยกัน ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บรักษาสื่อและไฟล์ต่างๆ ไว้ที่บ้านได้อย่างปลอดภัยบนฮาร์ดไดรฟ์ของตนเอง และขณะเดียวกันก็สามารถเข้าถึงสื่อและไฟล์เหล่านั้นได้บนอินเทอร์เน็ตผ่านเครื่องพีซีหรือเครื่อง Mac® หรือแท็บแล็ตและสมาร์ทโฟนเครื่องใดก็ได้ผ่านแอพฯ บนอุปกรณ์ เคลื่อนที่ของ WD (mobile apps) ผู้ใช้สามารถใช้ My Book Live ในการแบ่งปันไฟล์ สตรีมสื่อ และเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ ได้จากทุกที่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือน และวางใจได้ว่าข้อมูลของตนจะปลอดภัย เนื่องจากข้อมูลนั้นจะได้รับการจัดเก็บไว้ที่บ้านของผู้ใช้เองภายใต้การควบคุมแบบพิเศษเฉพาะ นอกจากนี้ แอพฯ WD 2go Pro ทำให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันไฟล์ร่วมกับเพื่อนๆ ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานได้ โดยสามารถแบ่งปันไฟล์ได้เกือบทุกประเภท ตั้งแต่ไฟล์ภาพและวิดีโอส่วนตัวไปจนถึงเอกสารเกี่ยวกับงานและพรีเซ็นเตชั่น

WD 2go ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บเป็นเครื่องหมายของเทคโนโลยีการเข้าถึงจากระยะไกลรุ่นที่สองของ WD ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการเชื่อมต่อแบบเพียร์ทูเพียร์ระหว่าง My Book Live และเครื่องพีซีระยะไกลหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วและปริมาณงานได้สูงสุด

มร. จิม เวลช์ รองประธานฝ่ายบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์ฮาร์ดไดรฟ์แบบติดตั้งภายนอกและกลุ่มคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ของ WD กล่าวว่า “ผู้ใช้ต้องการที่จะเข้าถึงอุปกรณ์จากที่ใดก็ได้ ที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้จาก “กลุ่มที่เก็บข้อมูล” แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการที่จะเสียค่าธรรมเนียมรายเดือน หรือสูญเสียการควบคุมข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา ผู้ใช้ต้องการเข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของพวกเขาโดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าไฟล์ไหนจะต้องซิงค์กับอุปกรณ์ชิ้นไหน” มร. จิม เสริมว่า “ด้วยแอพฯ เคลื่อนที่ WD 2go ใหม่ล่าสุด และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคล My Book Live ของ WD ผู้ใช้จึงมีวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วในการจัดเก็บ แบ่งปัน และเข้าถึงเนื้อหาดิจิตอลทั้งหมดจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่แห่งไหนก็ตาม”

ทั้งนี้ แอพฯ WD 2go เป็นการต่อยอดวิสัยทัศน์ของ WD ในการให้บริการระบบจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย และการเข้าถึงเนื้อหาดิจิตอลบนหน้าจอใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการเดินทางหรืออยู่ที่บ้าน แอพพลิเคชันนี้รองรับรูปแบบไฟล์สื่อหลากหลายชนิดสำหรับการสตรีมภาพยนตร์และเพลง หรือการเข้าถึงไฟล์อย่างเช่น เอกสาร Microsoft® Office นอกเหนือจากฟีเจอร์ทั้งหมดที่มีให้บริการอยู่ในปัจจุบันในแอพฯ WD 2go แบบฟรีๆ แล้ว แอพฯ WD 2go Pro ยังมีฟีเจอร์ขั้นสูงอื่นๆ อีกด้วย ได้แก่

• คลิปปิ้ง: ผู้ใช้สามารถดึงไฟล์ ภาพถ่าย เพลง วิดีโอ หรือโฟลเดอร์เพื่อดาวน์โหลดสำเนาจากไดรฟ์ My Book Live ไปยังอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์เหล่านั้นได้ในภายหลังแม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
ก็ตาม
• การซิงค์อัตโนมัติ: ไฟล์ใหม่หรือไฟล์ที่มีการแก้ไขที่เพิ่มเข้าไปไว้ใน My Book Live จะซิงค์โดยอัตโนมัติกับอุปกรณ์เคลื่อนที่
• การแบ่งปันเนื้อหา: แอพฯ WD 2go Pro ทำให้ผู้ใช้สามารถส่งอีเมลไฟล์ แบ่งปันไฟล์ในรูปแบบลิงก์ พิมพ์และเปิดไฟล์โดยใช้แอพพลิเคชันของผู้ผลิตรายอื่นได้
• ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: ผู้ใช้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพชั้นการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมอีกชั้นหนึ่งได้ ด้วยการล็อคการเข้าถึงฮาร์ดไดรฟ์ My Book Live บนอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยใช้รหัสผ่านสี่หลัก

นอกเหนือจากการเข้าถึงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคลจากระยะไกลและผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่แล้ว ฮาร์ดไดรฟ์ My Book Live ของ WD ยังมาพร้อมกับเซิร์ฟเวอร์สื่อที่ติดตั้งไว้ภายในเครื่อง ซึ่งจะสตรีมเพลง ภาพถ่าย และภาพยนตร์ไปยังอุปกรณ์มัลติมีเดียอื่นๆ ที่ได้รับการรับรองจาก DLNA (Digital Living Network Alliance) เช่น มีเดียเพลเยอร์สำหรับเครือข่าย WD TV® Live™ เครื่องเล่น Blu-ray Disc™, Xbox 360®, PlayStation® 3 และโทรทัศน์ที่เชื่อมต่อ

อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคล My Book® Live™ มีจำหน่ายในรุ่นความจุ 1 TB, 2 TB และ 3 TB และสามารถทำงานร่วมกับ Windows® XP, Windows Vista®, Windows 7, Mac OS® X Leopard®, Snow Leopard® หรือ Lion™ รวมถึงอุปกรณ์ที่รองรับ DLNA/UPnP®

แอพพลิเคชั่น WD 2go (ให้ดาวน์โหลดฟรี) และ WD 2go Pro (ราคา $2.99 USD) ตอนนี้สามารถดาวน์โหลดได้จากร้าน iTunes® Store และ Android Market ส่วน My Book Live อุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มส่วนบุคคล วันนี้มีจำหน่ายแล้วผ่านตัวแทนจำหน่ายของ WD ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ราคาแนะนำของรุ่นความจุ 1 เทราไบต์ อยู่ที่ 5,090 บาท รุ่น 2 เทราไบต์ ราคา 6,000 บาท และรุ่น 3 เทราไบต์ ราคา 7,590 บาท

View :1484

ไอที ซิตี้ รุกธุรกิจศูนย์ซ่อมสินค้าไอทีแบบครบวงจรเปิดบริการตระกูลไอ 3 รูปแบบใหม่ iFix iClinic และ iCare

September 21st, 2011 No comments

ไอที ซิตี้ ศูนย์รวมอุปกรณ์ไอทีครบวงจร รุกธุรกิจบริการซ่อมและดูแลสินค้าไอทีเต็มรูปแบบ เปิดให้บริการศูนย์ซ่อมสินค้าไอทีตระกูลไอ 3 รูปแบบใหม่ ได้แก่ iFix iClinic และ ภายในร้านไอที ซิตี้ ทั้ง 44 สาขาทั่วประเทศ

นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไอที ซิตี้ พร้อมเปิดให้บริการศูนย์ซ่อมสินค้าไอที ตระกูลไอ ใน 3 รูปแบบใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตทางด้านอุตสาหกรรมไอทีที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายสินค้าไอที ประเภทคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และพรินเตอร์ ที่มียอดการจำหน่ายในแต่ละประเภทเพิ่มสูงขึ้นทุก ๆ ปี

โดยบริการตระกูลไอ ตัวแรก เรียกว่า “ไอฟิกซ์” (iFix) เป็นการให้บริการซ่อมสินค้าไอทีทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก อุปกรณ์ต่อพ่วง ทั้งที่อยู่ในระยะประกันสินค้า และนอกระยะรับประกันแบบครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ทั้งในส่วนของลูกค้าของไอที ซิตี้ และแบรนด์สินค้าอื่นๆ ทั่วไป ที่ซื้อสินค้าไปแล้วเกิดปัญหาหรือใช้การไม่ได้หรือหาศูนย์บริการซ่อมสินค้าไม่สะดวก ก็สามารถจะมาใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการ iFix ภายในร้านไอที ซิตี้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยขณะนี้ศูนย์ซ่อม iFix ได้เปิดให้บริการรับซ่อมสินค้าไอทีประเภทคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต พรินเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงทุกยี่ห้อ โดยลูกค้าสามารถเลือกให้บริการศูนย์ซ่อมได้ทั้ง 44 สาขาของไอที ซิตี้ได้ทั่วประเทศ

“สำหรับสินค้าที่ศูนย์บริการ iFix ลูกค้าจะหมดปัญหาในเรื่องของการรอรับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กเป็นเวลานาน เนื่องจากทีมงานช่าง iFix ทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมและรับรองมาตรฐานการซ่อมจากเจ้าของสินค้าทุกแบรนด์ และไม่ต้องกังวลในเรื่องของอะไหล่ เนื่องจากไอที ซิตี้ได้ประสานกับเจ้าของแบรนด์ในการใช้อะไหล่แท้กับทุกชิ้นส่วนของเครื่องที่ซ่อม และมีอะไหล่ประจำอยู่ที่สำนักงานอยู่แล้ว สามารถเปลี่ยนใหม่ให้ได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 082 330 0402”

นายเอกชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า บริการตระกูลไอ ตัวที่สอง คือ “” (iClinic) เป็นศูนย์บริการตรวจเช็กแก้ปัญหาไวรัส และซอฟต์แวร์ ที่พร้อมให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ซึ่งจะให้คำแนะนำในเรื่องของการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ การแก้ปัญหาไวรัส สปายแวร์ทุกชนิด รวมทั้งมีการรับประกันคุณภาพการให้บริการโดยช่างผู้ชำนาญงานที่ได้รับการอบรมจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ โดยคิดค่าบริการมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 083 500 6788

และบริการตระกูลไอ ตัวที่สาม คือ “ไอแคร์” (iCare) เป็นการให้บริการประกันสินค้าโน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ จอมอนิเตอร์ โปรเจคเตอร์ และแอลซีดี ทีวี ที่จะเพิ่มระยะเวลาประกันเป็น 3 ปีเต็ม ในราคาสุดพิเศษ โดยการรับประกันนี้ครอบคลุมไปถึงภัยที่คาดไม่ถึง ประกอบด้วย ไฟไหม้ ฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าผิดปกติหรือลัดวงจร อุบัติเหตุทางน้ำ อุบัติเหตุจากการหล่น กระแทก หรือการถูกจารกรรมหรือลักทรัพย์ ทั้งนี้บริการตระกูลไอของไอที ซิตี้ พร้อมเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ไอที ซิตี้ คอลล์ เซ็นเตอร์ โทรศัพท์ 0 2656 5030 ถึง 45 หรือ www.itcity.co.th

View :1600

กลุ่มทรู จับมือ กสิกรไทย ติดสปีดออนไลน์ไร้สายเต็มร้อย กับ “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ที่ KBank

September 21st, 2011 No comments

กลุ่มทรู ย้ำภาพผู้นำโมบายล์ ไฮสปีด อินเทอร์เน็ต และโครงข่าย Wi-Fi ที่ใหญ่ที่สุด ผนึกกำลัง ธนาคารกสิกรไทย ผู้นำบริการด้านดิจิตอลแบงกิ้ง เติมความคุ้มค่าให้ลูกค้าสัมผัสนวัตกรรมเทคโนโลยีไร้สาย “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ความเร็วสูงสุด 100 Mbps ที่ธนาคารกสิกรไทยพันธมิตรสถาบันการเงินแห่งแรกของกลุ่มทรู เพิ่มชีวิตอิสระ FREE YOU ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ให้ลูกค้าที่มาทำธุรกรรมการเงิน ใช้ชีวิตออนไลน์ไฮสปีดไร้สายได้ตลอดเวลา ไม่พลาดทุกการสื่อสารในโลกยุคดิจิตอล

นายนนท์ อิงคุทานนท์ ผู้จัดการทั่วไป สายงานบริการบรอดแบนด์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ไลฟ์สไตล์และเวิร์คสไตล์คนเมืองยุคปัจจุบัน นิยมสื่อสารออนไลน์แบบไร้สายตลอดเวลา ส่งผลให้ตลาดการใช้งานด้านดาต้าในปีนี้มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดถึง 60% โดยกลุ่มทรูมีลูกค้าที่ใช้บริการ

Wi-Fi by TrueMove มากกว่า 700,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เลือกใช้บริการเนื่องจากโครงข่าย Wi-Fi มีคุณภาพสูง และมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมสูงสุด ตลอดจนประสิทธิภาพความเร็วในการใช้งานออนไลน์ไร้สายที่เหนือกว่า และล่าสุด กลุ่มทรูนำเสนอนวัตกรรม “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ความเร็วสูงสุด 100 Mbps เป็นรายแรกในประเทศไทย และครั้งนี้ได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย พันธมิตรสถาบันการเงินที่มีความมุ่งมั่นตรงกันที่จะสรรหาบริการที่ดีที่สุด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเอาใจลูกค้ายุคดิจิตอล ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารกสิกรไทย ยังเป็นสถาบันการเงินที่เป็นผู้นำด้านดิจิตอลแบงกิ้ง มีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ตามติดเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวแทนคนยุคดิจิตอลอย่างชัดเจน ดังนั้น การเปิดให้บริการ

Ultra Wi-Fi by TrueMove H ที่ธนาคารกสิกรไทยครั้งนี้ จะตอบโจทย์แนวคิด FREEYOU ที่ให้ลูกค้าอิสระเต็มที่ ไม่พลาดทุกการสื่อสาร สามารถออนไลน์ไร้สายความเร็วสูง ได้สูงสุดถึง 100 Mbps ซึ่งมั่นใจได้ด้วยศักยภาพที่เหนือกว่าของกลุ่มทรู ผู้นำบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง เจ้าของโครงข่าย Wi-Fi คุณภาพที่ใหญ่ที่สุด ตลอดจนพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมสูงสุด โดยมีจำนวนฮอตสปอตคุณภาพที่มากถึง 100,000* จุดทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งจะตอบโจทย์ชีวิตไร้สายของคนยุคดิจิตอลให้อิสระ…ได้เร็วยิ่งกว่า ทุกที่ทุกเวลา

ทั้งนี้ TrueMove H ได้จัดเตรียม Wi-Fi Card ความเร็วสูงสุด 8 Mbps จำนวน 50,000 ใบเพื่อให้ลูกค้าธนาคารกสิกรไทยได้ทดลองใช้บริการ โดยลูกค้าจะสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย แล้วเลือกชื่อเครือข่าย (SSID) เป็น @ TRUEWIFI เพื่อสัมผัสชีวิตอิสระอย่างเต็มที่ ณ สาขาที่มีสัญลักษณ์ Ultra Wi-Fi by TrueMove H และ Wi-Fi by TrueMove H ลูกค้าที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าทรูมูฟ เอช โทร 1331, www.truewifi.net พิเศษสุด แพคเก็จเสริม Ultra Wi-Fi by TrueMove H “ใช้ได้ไม่จำกัด” ด้วยค่าบริการพิเศษเพียง 100 บาทต่อเดือน ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้ (จากค่าบริการปกติ 300 บาทต่อเดือน) สำหรับลูกค้าทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช เท่านั้น สมัครผ่าน *9000

ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยได้มีการพัฒนาการให้บริการด้านดิจิตอลแบงกิ้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือกับกลุ่มทรูเสริมภาพผู้นำด้านการให้บริการบนโลกดิจิตอลของธนาคารกสิกรไทย เพราะจะเป็นครั้งแรกของไทยที่สาขาของธนาคารพาณิชย์จะมอบประสบการณ์ความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายภายในสาขา ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านดิจิตอลแบงกิ้งในตลาดนี้ ด้วยจำนวนผู้ใช้งานรวมกว่า 3,900,000 คน มี Transaction รวมกว่า 14 ล้านต่อเดือน ทั้งบริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ต (K-Cyber Banking) ซึ่งมีระบบความปลอดภัยสูงสุด และบริการธนาคารบนโทรศัพท์มือถือ (K-Mobile Banking) ซึ่งรองรับการใช้งานที่หลากหลาย มีผู้ใช้งานในปัจจุบันจำนวนกว่า 2.4 ล้านราย และล่าสุดได้มีการพัฒนาบริการโมบาย เวอริฟาย บาย วีซ่า ด้วยการขอรหัสแบบใช้ครั้งเดียว (One-time Password: OTP) ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อรองรับธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกของโลก นอกจากนี้ธนาคารฯ ได้มีนวัตกรรมในการให้ข้อมูลและสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ เช่น KBank Live บนเฟซบุ๊ก ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไทย

ความร่วมมือครั้งนี้ จะครอบคลุมทั้งสิ้น 42 สาขาหลักในกรุงเทพฯ ในช่วงแรก โดยจะเป็นบริการ Ultra Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุดถึง 100 Mbps จำนวน 6 สาขา โดยเน้นพื้นที่มหาวิทยาลัย ย่านธุรกิจ ท่องเที่ยว และการค้าสำคัญต่างๆ คือ สาขาสยามสแควร์ สาขาสยามพารากอน สาขาเอสพลานาด รัชดาภิเษก สาขาถนนรัชดาภิเษก สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาอาคารจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ และบริการ Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุดถึง 8 Mbps อีก 36 สาขา โดยลูกค้าที่ทำธุรกรรมที่ธนาคารฯ กำหนดสามารถขอรับรหัส (Password) และใส่รหัสเพื่อใช้บริการฟรี 30 นาทีต่อหนึ่งยูสเซอร์ ณ สาขาที่มีสัญลักษณ์การให้บริการ

นอกจากนี้ธนาคารยังตั้งเป้าขยายการบริการไปยังทุกสาขาของธนาคารทั่วกรุงเทพฯ กว่า 300 แห่งภายในปี 2554 ซึ่งมั่นใจว่า ความร่วมมือในการให้บริการโครงการ “Ultra Wi-Fi Experience @ KBank” ครั้งนี้ จะมอบความประทับใจให้ลูกค้าของธนาคารที่ใช้บริการสาขา สามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์เพื่อสื่อสารและค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการทำธุรกรรม ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร 02 888 8888 หรือ www.kasikornbank.com

View :1685

ก.ไอซีที ระดมสมองภาครัฐ – เอกชน แปลงกรอบนโยบาย ICT 2020 สู่แผนปฏิบัติการ

September 21st, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยเกี่ยวกับการประชุมชี้แจงและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระยะ พ.ศ. 2554 – 2563 ของประเทศไทย (ICT 2020) ว่า ประเทศไทยได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระดับมหภาค ซึ่งเป็นแนวนโยบายระยะยาว 10 ปี มาตามลำดับ โดยเริ่มจากกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ.2539 (IT 2000) และกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ.2544 – 2553 ของประเทศไทย (IT 2010)

“เมื่อระยะเวลาของกรอบนโยบาย IT 2010 ใกล้จะสิ้นสุดลง คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2550 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) จัดทำกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ. 2554 – 2563 ของประเทศ (ICT 2020) ขึ้น เพื่อให้นโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศมีความต่อเนื่อง และเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้ใช้ เป็นแนวทางในการพัฒนาหรือปรับแผนแม่บทด้าน ICT ของหน่วยงานให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสาระสำคัญของกรอบนโยบาย ICT 2020 ฉบับนี้ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ 7 ยุทธศาสตร์ โดยใช้ ICT เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการนำพาคนไทยสู่ความรู้และปัญญา เศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน สังคมไทยสู่ความเสมอภาค และเพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่ Smart Thailand ในปี ค.ศ. 2020 หรือปี พ.ศ.2563” นางจีราวรรณ กล่าว

กรอบนโยบาย ICT 2020 ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 โดยคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงฯ เป็นหน่วยงานหลัก ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล บริหารจัดการตามกรอบนโยบาย ICT 2020 ให้เป็นวาระแห่งชาติด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ รวมทั้งรับผิดชอบจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย ฉบับที่ 3 และฉบับที่ 4 ซึ่งแต่ละฉบับจะครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี ภายในช่วงระยะเวลาของกรอบนโยบาย ICT 2020 คือ ระหว่าง พ.ศ.2554 – 2563 โดยจะมีการประเมินผลเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเมื่อครบกำหนดครึ่งระยะเวลาของกรอบนโยบายฯ หรือในปี 2558

นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ กระทรวง กรม และรัฐวิสาหกิจทุกหน่วยงาน ดำเนินการตามบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของหน่วยงาน ตามที่ระบุไว้ในกรอบนโยบาย ICT 2020 เพื่อให้การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศมีการ บูรณาการระหว่างหน่วยงาน รวมทั้งให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร ได้แก่ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน นำกรอบนโยบาย ICT 2020 มาใช้เป็นแนวทางในการจัดสรรทรัพยากรทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย ตลอดช่วงระยะเวลาของกรอบนโยบาย ICT 2020

“ดังนั้น เพื่อเป็นการชี้แจงและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม ในระยะ 10 ปีให้มีความต่อเนื่องจากกรอบนโยบายเดิม รวมทั้งสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโลกได้ กระทรวงฯ จึงได้จัดการประชุมฯ ครั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้รับทราบและมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ให้บรรลุตามเป้าหมายของกรอบนโยบายฯ และปรับแผน ICT ของหน่วยงานให้สอดคล้องกับกรอบนโยบาย ICT 2020 รวมถึงรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมการแปลงกรอบนโยบาย ICT 2020 สู่การปฏิบัติในรูปของแผนปฏิบัติการ โดยจะมีการจัดทำแผนแม่บท ICT ฉบับที่ 3 ของประเทศไทยต่อไป

และหลังจากการจัดประชุมฯ ในครั้งนี้แล้ว กระทรวงฯ จะได้จัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงและเผยแพร่กรอบนโยบาย ICT 2020 ให้แก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในส่วนภูมิภาค อีก 4 ครั้ง ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2554 นี้ด้วย” นางจีราวรรณ กล่าว

View :1723

เอไอเอส เดินหน้าขยาย 3G ต่อเนื่อง เผยยอดการใช้ Mobile Internet โตก้าวกระโดด

September 21st, 2011 No comments

ผู้บริหารเอไอเอสโดย นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด และนายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการบริการเสริม ร่วมกันเปิดเผยความคืบหน้าการติดตั้งเครือข่าย 3G, ผลการตอบรับของลูกค้าและการเติบโตของตลาด Smart Device โดยเฉพาะ Tablet ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดสอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของ Mobile Internet

“ปัจจุบันมีลูกค้าเอไอเอสที่ใช้ Mobile Internet มากกว่า 8 ล้านราย เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 43% โดยรูปแบบการใช้งานของลูกค้ากลุ่มนี้ ราว 45% มาจาก Smart Phone ที่มีปริมาณการใช้งานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 800 MB/เดือน, 49% จาก Feature Phone ที่มีปริมาณการใช้งานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 100 MB/เดือน , 5% จาก Aircard และ 1% จาก Smart Tablet ที่มีปริมาณการใช้งานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 GB ซึ่งพบว่าปัจจัยหลักของการเติบโตดังกล่าว เกิดจาก

1. พัฒนาการของตลาด Smart Device และ Smart Tablet อาทิ
- การเติบโตของตลาด Smart Phone ที่ในฐานลูกค้าเอไอเอสมีอยู่ราว 3.7 ล้านเครื่อง โดยถือเป็นสัดส่วนที่มากกว่า 55% Market Share ซึ่งเอไอเอสเองยังคงมุ่งมั่นทำงานกับ Partner ชั้นนำอย่างต่อเนื่องในการนำ Variety of Smart Phone ในทุก OS ในทุก Level เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุก Segment
- การเติบโตของการใช้งานในลักษณะของ Wireless PC to internet (เชื่อมต่อผ่าน Aircard) ที่ปัจจุบันมีอยู่ถึง 350,000 ราย เติบโตมากกว่า 350% ของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
- ตลาดใหม่ของ Smart Device อย่าง Tablet ที่เติบโตมากกว่า 50% ของช่วงเวลาเดียวกัน โดยในช่วงปีที่ผ่านมาเอไอเอสได้เริ่มนำ Smart Tablet ที่เป็น Branded เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ล่าสุดที่นำ Samsung Galaxy Tab 10.1 เข้ามาทำตลาดในลักษณะ Exclusive ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ในปัจจุบันมีลูกค้าที่ใช้อุปกรณ์ประเภท Tablet ในเครือข่าย เอไอเอสมากกว่า 5 หมื่นเครื่อง
2. ความหลากหลายของ Data SIM และ Data Package ที่สอดคล้องในทุกๆ Segment ของ Smart Device
3. Customize Application เพื่อชาวเอไอเอสโดยเฉพาะ เช่น AIS Book Store ที่หลังจากเปิดตัวได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยมีลูกค้าดาวน์โหลดหนังสือไปแล้วมากกว่า 250,000 เล่ม จาก Devices 70,000 เครื่อง
4. พัฒนาการของเครือข่ายเอไอเอสที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตั้งเครือข่าย 3G ที่เอไอเอสได้ประกาศในช่วงที่ผ่านมาในพื้นที่กรุงเทพและอีก 7 จังหวัด และมีลูกค้าใช้งานแล้วถึงกว่า 890,000 ราย ซึ่งการขยายเครือข่าย 3G ของเอไอเอสที่กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯและปริมณฑล
- เชียงราย
- พัทยา
- นครปฐม
- ขอนแก่น
ทั้งนี้รวมไปถึงความร่วมมือกับ 3BB ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยสิ้นปีจะครบ 70,000 จุด ด้วยความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 6 Mbps ซึ่งเชื่อมั่นว่าด้วยเครือข่าย Data ที่ใหญ่ที่สุด ตอบโจทย์ในทุก Solutions และความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการเพื่อลูกค้าอย่างครบถ้วน จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจแน่นอน

View :1997

เลอโนโว เปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่ม ThinkCentre Edge All-In-One พร้อมเปิดตัวโน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad Edge รุ่นใหม่รุกตลาด SME

September 21st, 2011 No comments

เลอโนโว (Lenovo) เปิดตัวเดสก์ท็อป ThinkCentre Edge 91z และ ThinkCentre Edge 71z All-in-One (AIO) มาพร้อมกับรูปลักษณ์เด่นสะดุดตา และฟังก์ชั่นตรงความต้องการทางธุรกิจ พร้อมประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือชั้นแต่ประหยัดพื้นที่ และประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ โน้ตบุ๊คตระกูล ThinkPad Edge ยังมาพร้อมกับดีไซน์บางเบา เพื่อความคล่องตัวในการทำงาน พกพาสะดวก หลากรุ่นหลายสไตล์ อาทิ ThinkPad Edge E120, ThinkPad Edge E320, ThinkPad Edge E420, ThinkPad Edge E220s และ ThinkPad Edge E420s

คอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดที่พัฒนาภายใต้แนวคิด “DO” ของเลอโนโวออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ช่วยให้ลูกค้าทำงานได้มากขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกับสไตล์เสริมภาพลักษณ์ทางธุรกิจ ประสิทธิภาพล้ำสมัย และคุณสมบัติหลากหลายที่ใช้งานง่าย เพื่อช่วยให้ทุกธุรกิจสามารถสร้างประสิทธิผลสูงสุดในการทำงาน (productivity)

นายจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “คอมพิวเตอร์ThinkCenter Edge All-in-One รุ่นล่าสุดของเลอโนโว จะช่วยเสริมทัพผลิตภัณฑ์ในตระกูล Edge ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ ดีไซน์และฟังก์ชั่นของทั้งคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊คในตระกูล Edge ถูกพัฒนามาเพื่อตอบสนองการใช้งานของธุรกิจ SME โดยเฉพาะ พร้อมเต็มเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมใหม่และประสิทธิภาพการใช้งานทรงพลัง ซึ่งมีให้คุณเลือกหลากรุ่น หลายสไตล์ ตรงตามความต้องการ

เดสก์ท็อป ThinkCentre Edge 91z และ 71z All-In-One เป็นนวัตกรรมที่ลงตัวทั้งในแง่ดีไซน์และสไตล์ที่ช่วยประหยัดพื้นที่ โดย ThinkCentre Edge 91z มาพร้อมกับจอแบบ glossy ความคมชัดระดับ HD ขนาด 21.5 นิ้ว ทำให้ภาพชัดใสและขนาดใหญ่เต็มตาภายในกรอบจอบางเฉียบ ช่วยให้สามารถจัดวางได้อย่างลงตัวแม้ในพื้นที่ทำงานแคบๆ ส่วน ThinkCentre Edge 71z ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ด้วยเทคโนโลยีที่เทียบชั้นคอมพิวเตอร์ระดับออฟฟิศระดับสูง ทั้งยังมาพร้อมกับจอ glossy black shell รูปลักษณ์สวยสะดุดตาขนาด 20 นิ้ว

ThinkCentre Edge 91z และ ThinkCentre Edge 71z All-In-One รุ่นใหม่ เน้นการออกแบบดีไซน์เรียบหรูและฟังก์ชั่นตอบสนองการใช้งานอย่างครบครัน ตั้งแต่ ปุ่มควบคุมด้านหน้า (front-facing control buttons) และทางเลือกในการนำเสนอทั้งขาตั้งเครื่องแบบบานพับหรือติดตั้งบนผนัง พร้อมรองรับการแสดงผลแบบหลายจอ (multiple-display) รวมถึง คีย์บอร์ดไร้สายที่กันน้ำ (อุปกรณ์เสริม) โดยคอมพิวเตอร์ All-In-One ดังกล่าว เสริมประสิทธิภาพการใช้งานให้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น ช่วยขจัดความยุ่งยากในการใช้คอมพิวเตอร์ระหว่างปฏิบัติภารกิจประจำวัน พร้อมสรรพทั้งความเพลิดเพลินและศักยภาพในการทำงาน นอกจากนี้ยังมาพร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและหน่วยความจำที่มากขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมใดๆเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้จัดเก็บข้อมูลได้รวดเร็วยื่งขึ้น พร้อมดีไซน์แถบยางจับถนัดมือ ช่วยให้การเคลื่อนย้ายเครื่องเป็นเรื่องสะดวกง่ายดาย

ยิ่งไปกว่านั้น เดสก์ท็อปทั้งสองรุ่นยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของ SME ได้อย่างมาก พร้อมอุปกรณ์ด้านความบันเทิงที่สมบูรณ์แบบเพื่อการชมภาพยนตร์หรือรับชมรายการทีวี ฟังเพลง และผ่อนคลายกับการใช้อินเทอร์เน็ตหลังเลิกงาน ในส่วนของหน่วยประมวลผล ThinkCentre Edge 71z มีหน่วยประมวลผลให้เลือกใช้สูงสุดที่ 2nd Generation Intel® Core™ i5 และ ThinkCentre Edge 91z ใช้หน่วยประมวลผลให้เลือกใช้สูงสุดที่ 2nd Generation Intel® Core™ i7 Quad Core ผู้ใช้จึงสามารถวางใจได้ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพและขีดความสามารถ

เดสก์ท็อปทั้งสองรุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของเลอโนโวอย่าง ThinkVantage Technologies ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรม Rescue and Recovery, Power Manager และ System Update ซึ่งทำให้สามารถกู้คืน จัดการ และอัพเดทข้อมูลต่างๆในเครื่องได้อย่างง่ายดาย พร้อมบริการคู่ใจด้านไอที อย่างโปรแกรม ThinkPlus Priority Support ซึ่งบริการให้ความช่วยเหลือด้านไอทีให้นักธุรกิจ SME สามารถบริหารจัดการดูแลได้ ตั้งแต่ด้านการป้องกันความเสียหายและอุบัติเหตุ ไปจนถึงความช่วยเหลือทางเทคนิคและการสำรองข้อมูลออนไลน์

โน้ตบุ๊ค ThinkPad Edge สำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว ตอบโจทย์ธุรกิจ SME ด้วยเทคโนโลยีที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง กับวัสดุผิวด้านของตัวเครื่อง แต่อัดแน่นด้วยประสิทธิภาพระดับ business-class ผสานฟังก์ชั่นการใช้งานง่าย พร้อมอุปกรณ์ด้านภาพและเสียงครบครัน

จอที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยวล้ำสมัยขนาด 12 นิ้ว ของ ThinkPad Edge E220s และจอขนาด 14 นิ้วของ ThinkPad Edge E420s ออกแบบมาได้อย่างสวยงามโดดเด่น ทั้งยังให้ประโยชน์ใช้สอยทางธุรกิจเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังบางและเบา อัดแน่นด้วยพลังการประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผลที่มีให้เลือกตั้งแต่ 2nd Generation Intel® Core™ i3, i5 และ i7 รองรับทั้งเรื่องงานและความบันเทิงด้วยระบบเสียง Dolby Home Theatre® ที่ให้เสียงชัดใสสมบูรณ์แบบกว่าที่เคย

โน้ตบุ๊คในกลุ่ม ultraportable ของ ThinkPad Edge อย่าง E120E320 และ E420 อัดแน่นด้วยนวัตกรรมหลากหลายไว้ภายใน form factor ที่เล็กและบาง ภายใต้ภาพลักษณ์ที่สวยงามและสะท้อนความชาญฉลาด ส่วนที่พัฒนาให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า คือ เฟรมที่บางกว่าเดิม 13 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ดูโดดเด่นและง่ายต่อการพกพาใส่ในกระเป๋าถือหรือกระเป๋าเดินทาง โดยหนักเพียง 3.4 และ 3.6 ปอนด์ ตามลำดับ ในส่วนของหน้าจอ ThinkPad Edge E120 มาพร้อมกับจอขนาด 11.6 นิ้ว E320 มาพร้อมกับจอ 13.3 นิ้ว และ E420 มาพร้อมกับหน้าจอ 14 นิ้ว ทำให้โน้ตบุ๊ค ultraportable ทั้งสามรุ่นเป็นนวัตกรรมที่ลงตัวทุกองค์ประกอบ ทั้งเรื่องขนาดและน้ำหนัก ชั่วโมงการใช้งานแบตเตอรี่ ประสิทธิภาพ และคุณสมบัติที่ครบครัน นอกจากนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสามรุ่นยังมีความสวยงามโดดเด่นด้วยวัสดุผิวด้าน มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Heatwave red และ Midnight black พร้อมนวัตกรรมหน้าจอแบบ anti-glare หรือ glossy ให้เลือก ส่วนคีย์บอร์ดเป็นแบบ island-style ที่กันน้ำ พิมพ์ง่าย ใช้งานสะดวก แต่ให้ความรู้สึกที่ดูทันสมัย

โน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ทั้งหมดมีคุณสมบัติรองรับการเชื่อมต่อให้เลือกใช้มากมาย อาทิ mobile broadband, Wi-Fi, Bluetooth และ Gigabit Ethernet อีกทั้ง HDMI port และ USB port เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเล่นไฟล์มัลติมีเดียบนหน้าจอขนาดใหญ่ และ slot หลายช่องทางในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ พร้อมประสิทธิภาพชั่วโมงการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานถึงกว่า 9 ชั่วโมง

เพื่อตอบสนองแนวโน้มความต้องการใช้งานด้าน voice และ video conferencing ของธุรกิจต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น และเพื่อให้ธุรกิจเหล่านั้นได้รับประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โน้ตบุ๊คดังกล่าวมีเครื่องมือที่ล้ำสมัยมากมาย ได้แก่ กล้องแบบ low-light sensitive คีย์บอร์ดที่ช่วยลดเสียงรบกวน ปุ่มปิดเสียงไมโครโฟน และที่ขาดไม่ได้ คือ ThinkVantage Communications Utility 2.0 โปรแกรมสนับสนุนการใช้งานฟังก์ชั่นเกี่ยวกับ video และ voice บนอินเทอร์เน็ต และเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนการตั้งค่าต่างๆ สำหรับกล้อง ไมโครโฟน และลำโพง ขณะที่การเชื่อมต่อแบบไร้สายสามารถทำได้สะดวกง่ายดายแม้อยู่ระหว่างเดินทาง เนื่องจากโน้ตบุ๊คสามารถคงสถานะการเชื่อมต่อไร้สายนั้นไว้ได้หลายวินาทีแม้จำเป็นต้องปิดฝาเครื่อง

ด้วยเทคโนโลยี Rapid Boot ของเลอโนโวที่ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ solid state drive (SSD) เฉพาะรุ่นสามารถบูทได้เร็วกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เวลาที่ร่นลงนี้หมายถึงปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น คอมพิวเตอร์ในตระกูล ThinkPad Edge จึงให้ประสิทธิภาพและความสามารถที่ชาญฉลาดอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกราฟิกสีสวยสดใสเต็มตา และ 2nd Generation Intel® Core™ และด้วยพลังการประมวลผลระดับสูง ผู้ใช้สามารถเปิดไฟล์พรีเซ็นเทชั่น ดาวน์โหลดเบราเซอร์และเว็บไซต์ และถ่ายโอนไฟล์มัลติมีเดียได้รวดเร็วขึ้น

คอมพิวเตอร์ ThinkCentre และ ThinkPad Edge มาพร้อมคุณสมบัติที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย เช่น เลือกใช้วัสดุรีไซเคิลมาผลิตตัวเครื่อง ทั้งยังใช้แบตเตอรี่ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน Energy Star 5.0 และล้วนแต่ได้รับการจัดระดับ EPEAT Gold นอกจากนี้ เดสก์ท็อป ThinkCentre Edge ยังได้รับการรับรอง TCO Certified Edge สำหรับคุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งานอีกด้วย

เดสก์ท็อป ThinkCentre Edge 91z ในราคา 30,900 บาท และ ThinkCentre Edge 71z All-in-One ราคาเริ่มต้นที่ 18,900 บาท ส่วนโน้ตบุ๊ค ThinkPad Edge E220s มีจำหน่ายแล้วในราคา 43,800 บาท ThinkPad Edge E420s ราคา 36,300 บาท และ ThinkPad Edge E420 ราคาเริ่มต้นที่ 22,400 บาท และสำหรับแล็ปท็อป ultraportable รุ่น ThinkPad Edge E120 ราคา 21,900 บาท และ ThinkPad Edge E320 ราคา 23,900 บาท (ราคาดังกล่าวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)

View :2066
Categories: Press/Release Tags:

เซ็ทเทรด ย้ำมั่นใจระบบซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต พร้อมพัฒนาต่อเนื่อง

September 20th, 2011 No comments

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการ บริษัท ดอท คอม จำกัด เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนได้ให้ความสนใจลงทุนผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดอนุพันธ์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2554 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 24.5 % และ 32.5% ตามลำดับ จากปริมาณการซื้อขายรวมทั้งหมด โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เซ็ทเทรดฯ ได้พัฒนาระบบการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บริการแก่บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดอนุพันธ์ และได้พัฒนาเพื่อรองรับ function และการซื้อขายตราสารใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง Silver Futures, ETF และยังเตรียมการสำหรับ Oil Futures และตราสารใหม่ ๆ ในอนาคต

จากการพัฒนาเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าในหลาย ๆ ด้าน ทำให้เกิดการติดขัดของระบบบ้างตามที่ปรากฏเป็นข่าว อย่างไรก็ตาม เซ็ทเทรดฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ประสานงานกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิก ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการระบบ (Vendor) อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัญหาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว โดยจัดให้มีทีมงานเฉพาะ เพื่อติดตามแก้ไขปัญหาให้ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ เซ็ทเทรดฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนา ให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์เทรดดิ้งแพลตฟอร์มชั้นนำของภูมิภาค เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของบริษัทสมาชิกอย่างต่อเนื่อง

“เพื่อเพิ่มสเถียรภาพแก่ระบบในอนาคต บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม ได้จัดทำแผนงานในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้รองรับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนงานเพื่อขยายระบบและรองรับสินค้าใหม่ เช่น Thai DR และ Options รวมทั้ง ตราสารอื่น ๆ ในอนาคต ที่สำคัญ คือการเตรียมแผนงานในระยะยาว เพื่อรองรับการต่อเชื่อมกับระบบซื้อขายใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีหน้า” ดร. ภากร กล่าว

บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม ก่อตั้งในปี 2543 โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการระบบซื้อขายหลักทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ตให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดอนุพันธ์ ทั้งนี้ การจัดตั้งเซ็ทเทรด เป็นการอำนวยความสะดวกแก่บริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ต้องการพัฒนาระบบซื้อขายเอง และต้องการให้มีจำนวนผู้ให้บริการระบบซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นทางเลือกมากขึ้น ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ตของเซ็ทเทรด ครอบคลุมหลายช่องทาง รวมทั้ง มือถือ และอุปกรณ์ใหม่ ๆ เช่น Tablet ปัจจุบันเซ็ทเทรด ดอท คอม ให้บริการระบบซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตแก่บริษัทหลักทรัพย์ 34 ราย จาก 45 ราย

View :1545

สนข.รุกคืบพัฒนาระบบรายงานสภาพจราจรแบบ Real Time หลังจากประสบความสำเร็จเปิดเว็บไซต์ บริการข้อมูลรายงานจราจรผ่าน www.itsotp.net และทางระบบมือถือ m.itsotp.net

September 19th, 2011 No comments

ล่าสุดเพิ่มข้อมูลจากเครือข่ายกว่า10 หน่วยงาน เพื่อให้บริการข้อมูลทั้งด้านที่จอดรถ รายงานสภาพอากาศ เที่ยวบิน แบบเรียลไทม์ ช่วยเป็นตัวเลือกก่อนตัดสินใจเดินทางแก่ประชาชน พัฒนาขึ้นสู่ สังคมออนไลน์ Face book และ Smart Phone ถือเป็นรายเดียวที่ให้บริการข้อมูลครบสมบูรณ์

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากที่สนข.ได้เปิดให้บริการข้อมูลรายงานการจราจรแบบเรีลไทม์ ผ่าน www.itsotp.net และทางระบบมือถือ m.itsotp.net เมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากประชาชนกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี มีผู้เข้าใช้บริการทางเว็บไซต์กว่า 10,000 คนต่อเดือนและทางมือถืออีกว่า10,000 คนต่อเดือน และทางหน่วยงานได้มีการพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการเชื่อมต่อข้อมูลซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลจราจรจากหน่วยงานอื่นๆที่นอกเหนือจากหน่วยงานสนข.เอง อาทิ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กองบังคับการกองตำรวจจราจร กรุงเทพมหานคร กรมทางหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)เป็นต้น

“เราได้มีการพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติม ที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจก่อนการเดินทาง ล่าสุด ได้เพิ่มระบบรายงานที่จอดรถสาธารณะแบบReal Time ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินเฉลิมพระเกียรติ บีทีเอส และแอร์พอร์ตเวลลิงค์ กว่า 10 แห่ง ที่จอดรถสาธารณะ รฟม.กว่า100 แห่ง และที่จอดรถในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุม ซึ่งข้อมูลนี้จะรายงานจำนวนที่จอดรถว่าง อัตราค่าบริการ แผนที่ตั้งของที่จอดรถ นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่

มีระบบรายงานข้อมูลไฟล์การบินที่สนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แบบ Real Time สำหรับท่าอากาศยานในประเทศ 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ,เชียงใหม่,ภูเก็ต,หาดใหญ่ และแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

นอกจากนี้ยังมีระบบรายงานสภาพอากาศที่ได้เชื่อมต่อกับกรมอุตินิยมวิทยา ซึ่งช่วยให้ผู้เดินทางสามารถตรวจสอบสภาพอากาศของเมืองต่างๆทั้งในและต่างประเทศซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดและข้อมูลอนาคตได้อีกด้วย และปัจจุบันสนข.อยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมต่อข้อมูลเพิ่มเติมจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และศูนย์ควบคุมอาชญากรรมและสั่งการจราจรของตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี จัดทำระบบนำร่องการบริหารจัดการข้อมูลให้การบริการรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งระบบข้อมูลระบบขนส่งสาธารณะแบบ บูรณาการ ทั้งระบบอีกด้วย

นางสร้อยทิพย์กล่าวต่ออีกว่า ทางสนข.ได้เพิ่มช่องทางการให้ข้อมูลการจราจรผ่านเครือข่ายออนไลน์ Facebook โดยค้นหา “Thai Trafinfo Page ” จากนั้นกด Like หน้าดังกล่าว หรือสามารถ twitter ด้วยการสมัครFollwer ของ “ ThaiTrafinfo ” ติดตามข้อมูลการจราจรล่าสุด และรวมแชร์ข้อมูลให้กับเครือข่ายให้กับเพื่อนในสังคมออนไลน์ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ได้จัดทำระบบรายงานสภาพการจราจร ผ่านทางระบบมือถือแบบ Smart Phone ได้แก่โทรศัพท์ ไอโฟน และ สมาร์ทโฟน ต่างๆที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android และสามารถดาวโหลด แอพพลิเคชั่นชื่อ “ Thai Trafinfo ” ได้ทาง App Store ของ ไอโฟน และ Market ของระบบ Android นับเพิ่มความสะดวกให้กับคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

ระบบแนะนำข้อมูลการจราจรและการเดินทาง

ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้ทำการพัฒนาระบบรายงานสภาพการจราจรแบบ Real Time เพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสารสภาพจราจรแก่ประชาชนผู้เดินทางสำหรับใช้วางแผนการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในลักษณะของเส้นสีบนแผนที่โครงข่ายถนนซึ่งจำแนกตามระดับการติดขัดของการจราจร และภาพการจราจรจากกล้อง CCTV มาอย่างต่อเนื่องซึ่งแหล่งที่มาของข้อมูลสภาพจราจรนี้มีทั้งส่วนที่เป็นของสนข.เองและสนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กองบังคับการตำรวจจราจร กรุงเทพมหานคร กรมทางหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด(มหาชน) เป็นต้น โดยผู้เดินทางสามารถตรวจสอบข้อมูลก่อนเดินทางได้ทั้งทางเว็บไซต์ http://www.itsotp.net และทางระบบโทรศัพท์มือถือที่ m.itsotp.net ล่าสุด สนข.ได้ทำการพัฒนาและปรับปรุงระบบฯให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น มีการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องการเดินทางเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาวิธีการติดตามข้อมูลสภาพจราจรให้มีช่องทางหลากหลายเพิ่มขึ้น ได้แก่

 ระบบรายงานสภาพจราจรผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook โดยผู้เดินทางที่ใช้งาน Facebook สามารถติดตามข้อมูลได้โดยทำการค้นหา “Thai Trafinfo Page” จากนั้นกด “ ถูกใจ หรือ Like” Page ดังกล่าว เสร็จแล้วก็จะสามารถติดตามข้อมูลสภาพจราจรล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอดเวลา นอกจากนี้ ผู้เดินทางสามารถร่วมแชร์ข้อมูลสภาพจราจรให้เพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้รับทราบโดยการพิมพ์ข้อความรายงานสภาพจราจรบน Wall ของ Thai Trafinfo Page ได้อีกด้วย

 ระบบรายงานสภาพการจราจรผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ twitter โดยการสมัครเป็น Follower ของ “ThaiTrafinfo” ก็จะสามารถติดตามข้อมูลสภาพจราจรล่าสุดและร่วมแชร์ข้อมูลให้กับเพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน

 ระบบรายงานสภาพจราจรผ่านทางระบบโทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone ได้แก่ โทรศัพท์ iPhone และ Smart Phone ต่างๆที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android โดยสามารถ download แอพพลิเคชั่นชื่อ “Thai Trafinfo” ได้ทาง App Store ของ iPhone และ Market ของระบบ Android

 ระบบรายงานที่จอดรถสาธารณะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมรัชมงคล รถไฟฟ้าบีทีเอส และแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน และส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้น โดยผู้เดินทางสามารถตรวจสอบข้อมูลที่จอดรถสาธารณะบริเวณสถานีรถไฟฟ้าและบริเวณใกล้เคียง อาทิเช่น จำนวนที่จอดรถทั้งหมด จำนวนที่จอดรถว่างในขณะนั้น (ข้อมูลในส่วนนี้มีเฉพาะที่จอดรถตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลซึ่งสนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) แบบ Real Time โดยจัดทำเป็นโครงการนำร่องในที่จอดรถ 2 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดรถลาดพร้าวและศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) อัตราค่าบริการจอดรถ แผนที่ที่ตั้งของที่จอดรถ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการรายงานข้อมูลที่จอดรถสาธารณะประเภทอื่นๆ ในเขตกทม.และปริมณฑลด้วย อาทิเช่น ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุม เป็นต้น

 ระบบรายงานข้อมูลไฟลท์การบินที่สนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยผู้ใช้งานสามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลสถานะการบริการของไฟลท์การบินต่างๆ แบบ Real Time สำหรับท่าอากาศยานภายในประเทศจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

 ระบบรายงานสภาพอากาศที่สนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากกรมอุตุนิยมวิทยาซึ่งจะช่วยให้ผู้เดินทางสามารถตรวจสอบสภาพอากาศของเมืองต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยข้อมูลสภาพอากาศที่รายงานจะประกอบด้วยข้อมูลสภาพอากาศล่าสุด และข้อมูลการพยากรณ์สภาพอากาศล่วงหน้า

นอกจากนี้ ปัจจุบัน สนข.อยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมต่อข้อมูลเพิ่มเติมจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และศูนย์ควบคุมอาชญากรรมและสั่งการจราจรของตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี การจัดทำระบบนำร่องการบริหารจัดการข้อมูลการให้บริการรถไฟของการรถไฟแห่งประเทสไทย (รฟท.) รวมทั้งการพัฒนาระบบแนะนำการเดินทางทั้งที่เป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลและระบบขนส่งสาธารณะแบบบูรณาการซึ่งครอบคลุมทั้งระบบรถโดยสารประจำทาง รถไฟฟ้าและเรือโดยสารประจำทางด้วย

View :2759
Categories: Press/Release, Technology Tags:

กทท. จัดเสวนาเตรียมความพร้อมใช้ระบบ e-Gate เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ

September 19th, 2011 No comments

การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จัดเสวนาการผ่านเข้า-ออกประตูตรวจสอบอัตโนมัติ () สำหรับผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และพนักงาน กทท. รวมกว่า 250 คน ในวันที่ 20 กันยายน 2554 นี้ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติงานร่วมกัน รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ เปิดเผยว่า กทท.จะจัดเสวนาการผ่านเข้า-ออกประตูตรวจสอบอัตโนมัติ (e-Gate) สำหรับผู้ประกอบการหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและพนักงาน กทท. รวมกว่า 250 คน ในวันที่ 20 กันยายน 2554 นี้ ณ ห้องประชุมชั้น 19 อาคารที่ทำการ กทท.เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับระบบ e-Gate และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งเพื่อให้การปฏิบัติงานมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี ผศ.ดร.สมนึก คีรีโต ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและ อ.สุรชัย กรีวัชรินทร์ ผู้จัดการโครงการสถาบันฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์ นักบริหาร 15 ประจำผู้อำนวยการ กทท. และเจ้าหน้าที่ระดับสูง กทท. ร่วมเป็นวิทยากรในการเสวนาฯ

สำหรับการพัฒนาและติดตั้งระบบควบคุมการผ่านเข้า-ออก (e-Gate) ที่ ทกท. ตามโครงการพัฒนาสู่การบริการในระบบท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ () นั้น ขณะนี้ระบบฯ ดังกล่าวผ่านการทดสอบความพร้อมในการปฏิบัติงานและได้ทดลองระบบฯ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ควบคู่กับการเปิดลงทะเบียนทำบัตรอนุญาตบุคคลและยานพาหนะผ่านเข้า-ออก ทกท. สำหรับผู้ใช้บริการ โดยมีกำหนดเปิดใช้งานระบบ e-Gate เต็มรูปแบบทุกช่องทางในวันที่ 1 ตุลาคม 2554 นี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริการตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ หรือ ISPS Code (International Ship and Port Facilities Security Code)

ทั้งนี้ ได้มีการดำเนินการติดตั้งระบบ e-Gate ดังกล่าวที่ประตูด่านตรวจสอบจำนวน 3 ประตู และประตูด่านควบคุมภายในเขตรั้วศุลกากร ทกท. จำนวน 4 ประตู โดยเป็นการทำงานระบบอัตโนมัติด้วยการใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ในการอ่านหมายเลขตู้สินค้าและ RFID (Radio Frequency Identification) ในการตรวจสอบสิทธิบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออก ทกท. ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถตรวจสอบหมายเลข สภาพความชำรุดเสียหายของตู้สินค้า รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ของยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออกตามบัตร RFID ได้ทันที ซึ่งเจ้าของสินค้าจะต้องแจ้งข้อมูลทั้งหมดล่วงหน้า และมีการบันทึกลงบัตร RFID โดยกระบวนการตรวจสอบโดยผ่านบัตร RFID ดังกล่าว จะใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาที/คัน ซึ่งจะสามารถลดขั้นตอนด้านเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบข้อมูล การจราจรมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพด้านการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการ

View :1634