Archive

Archive for August, 2011

แอลจี เปิดตัว “LG Optimus 3D” สมาร์ทโฟน 3 มิติรุ่นแรกของวงการ

August 31st, 2011 No comments

มอบประสบการณ์สามมิติเต็มรูปแบบ พร้อมขีดสุดแห่งสมรรถนะตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโซลูชั่น 3 มิติอย่างครบวงจร

นายสมศักดิ์ อธิศัยตระกูล (กลาง) หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ และนายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด พร้อมด้วยนายธีรวัฒน์ นิมนภาโรจน์ (ซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมถ่ายภาพกับ

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสมาร์ทโฟนและโซลูชั่น 3 มิติ เปิดตัว LG Optimus 3D สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่รองรับคอนเทนต์ 3 มิติอย่างเต็มรูปแบบ สามารถชมภาพสามมิติได้ด้วยตาเปล่า มาพร้อมสถาปัตยกรรมแบบ Tri-dual ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลและการประมวลผลอันทรงพลัง

นายสมศักดิ์ อธิศัยตระกูล หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แอลจีมุ่งนำเสนอมือถือซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดสู่ผู้บริโภค ที่ผ่านมาเราได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนในตระกูล Optimus อย่างต่อเนื่อง ทั้ง LG Optimus 2X และ LG Optimus Black ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย วันนี้แอลจีตอกย้ำจุดยืนดังกล่าวอีกครั้งด้วยการนำเสนอ LG Optimus 3D สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของวงการที่รองรับคอนเทนต์ 3 มิติได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำด้านโซลูชั่น 3 มิติของแอลจีได้อย่างครบวงจร นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ LG CINEMA 3D ในกลุ่มทีวีและจอมอนิเตอร์ ซึ่งเราเชื่อว่า LG Optimus 3D จะมอบประสบการณ์ใช้งานรูปแบบใหม่ที่เหนือกว่าสู่ผู้ใช้ชาวไทยได้อย่างแน่นอน”

LG Optimus 3D เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเดียวในปัจจุบันที่รองรับคอนเทนต์ 3 มิติอย่างเต็มรูปแบบ สามารถชมภาพสามมิติได้ด้วยตาเปล่า และใช้เทคโนโลยี Tri-dual ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

บันทึก แสดงผล และแชร์คอนเทนต์ 3 มิติได้อย่างเต็มรูปแบบ
LG Optimus 3D เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่แสดงภาพ 3 มิติโดยไม่ต้องใช้แว่นในการรับชม ด้วยจอภาพ WVGA ขนาด 4.3 นิ้ว ซึ่งให้ภาพที่คมชัดและสว่างสดใส พร้อมระบบปรับความลึกของภาพ 3 มิติเพื่อความสบายตาในการเล่นเกมหรือชมภาพยนตร์ รวมทั้งฟังก์ชั่นแปลงภาพนิ่งและวิดีโอแบบ 2 มิติให้เป็น 3 มิติได้ทันที พร้อมหน่วยความจำภายในถึง 8GB

LG Optimus 3D มีกล้องสามมิติ 5 ล้านพิกเซลที่สามารถบันทึกภาพนิ่งและวิดีโอในรูปแบบไฟล์ 3 มิติ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นในขณะถ่ายทำ รวมทั้งมีระบบแก้ไขความคลาดเคลื่อนของเลนส์ ผู้ใช้สามารถแชร์คอนเทนต์ 3 มิติกับทีวีหรือจอมอนิเตอร์ผ่านพอร์ท HDMI 1.4 หรือส่งไปยังอุปกรณ์ที่รองรับ DLNA ได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังอัพโหลดไฟล์ไปยังยูทูบ 3D เพื่อแชร์ให้เพื่อนๆ รับชมได้แล้ววันนี้ที่ www.youtube.com/3D

ขีดสุดแห่งประสิทธิภาพและสมรรถนะ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Tri-dual
LG Optimus 3D เป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Tri-dual ซึ่งปกติจะพบในคอมพิวเตอร์เท่านั้น ได้แก่ หน่วยประมวลผล Dual-core, Dual-channel, และหน่วยความจำ Dual-memory จึงให้ประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลภายในที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนดูอัลคอร์ทั่วไป และมอบสมรรถนะการทำงานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งการท่องเว็บ มัลติทาส์ก การเล่นเกม และการใช้งานมัลติมีเดียได้อย่างไม่มีสะดุด

เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ความบันเทิง 3 มิติอย่างสูงสุด LG Optimus 3D เพิ่มความสนุกด้วยเกม สามมิติจาก Gameloft ฟรีถึง 11 เกม โดยมาพร้อมตัวเครื่อง 3 เกม ได้แก่ Asphalt 6: Adrenaline, N.O.V.A. และ Let’s Golf! 2 และมีอีก 8 เกมดังให้ดาวน์โหลดได้ฟรี อาทิ Assassin’s Creed, Ultimate Spiderman และ 2011 Real Football

แอลจียังร่วมกับเอไอเอสในการนำเสนอแพ็คเกจพิเศษ โดยลูกค้าเอไอเอสที่ซื้อ LG Optimus 3D จะได้รับสิทธิในการสมัครใช้งานแพ็กเกจ 3G สุดคุ้มในราคาเพียง 199 บาท โดยสามารถใช้งาน 3G หรือ EDGE+ อย่างจุใจถึง 1 GB ต่อเดือน นาน 8 รอบบิล ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ใช้งานสมาร์ทโฟนที่ ยอดเยี่ยมจาก LG Optimus 3D ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น 3 มิติเต็มรูปแบบและขีดสุดแห่งสมรรถนะ ร่วมกับเครือข่ายคุณภาพจากเอไอเอส

LG Optimus 3D วางจำหน่ายแล้วในราคา 18,900 บาท (แถมฟรีสาย HDMI) ข้อมูลเพิ่มเติมเข้าชมได้ที่ www.lg.com/th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลแอลจี โทร 02-878-5757 หรือหมายเลขโทรฟรี 1-800-545454

คุณสมบัติ
• หน่วยประมวลผล Dual-core และ Dual Channel ความเร็ว 1GHz (Texas Instruments OMAP4)
• จอภาพ 3 มิติ WVGA ขนาด 4.3 นิ้ว
• หน่วยความจำภายใน 8GB และรองรับการ์ดความจำภายนอกสูงสุด 32GB
• แบตเตอรี่ 1,500 mAh
• กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล ที่บันทึกไฟล์ 3 มิติได้ทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง
• ภาพ 2 มิติ – บันทึกภาพความละเอียดสูงสุด 5MP
• ภาพ 3 มิติ – บันทึกภาพความละเอียดสูงสุด 3MP
• วิดีโอ 2 มิติ – บันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด 1080p MPEG-4/H.264
• วิดีโอ 3 มิติ – บันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด 720p H.264
• รองรับ HSPA+ และ DLNA/HDMI 1.4
• รองรับไฟล์ H.264, H.263, DivX, WMV-9, ASF, AVI, 3GP, MP4

View :2150

กลุ่มทรู เผยโฉมแบรนด์ “ทรูมูฟ เอช” ใช้บริการ 3G+ ทั่วกรุงเทพฯ และอีก 16 จังหวัดทั่วไทย

August 31st, 2011 No comments

กลุ่มทรู เผยโฉมแบรนด์ “” มอบชีวิตอิสระทุกที่ทุกเวลา ตอบสนองไลฟ์สไตล์ล้ำยุคไร้ขีดจำกัด ด้วยพลังการสื่อสารไร้สายสมบูรณ์แบบ เทคโนโลยีและบริการสุดล้ำเหนือใคร ตอกย้ำผู้นำบริการ 3G ตัวจริง บนเครือข่ายไร้สายใหม่ 3G+ ที่แรงกว่า เร็วกว่า และครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ให้ความเร็วสูงสุดถึง 42 Mbps และ Wi-Fi ความเร็วสูงสุด 8 Mbps** ครอบคลุม 100,000 จุด*** เติมพลังอุปกรณ์สื่อสารเพิ่มประสิทธิภาพให้ใช้งานได้แบบสุดๆ สนุกกับคอนเทนต์โดนใจและแอพพลิเคชั่นอินเทรนด์ มั่นใจกับบริการหลังการขายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และแพ็กเกจเลือกได้หลากหลายตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้งาน ทั้งโทรเป็นหลัก เล่นเน็ตเป็นหลักโทร+เล่นเน็ต ตลอดจนแพ็กเกจเสริม พร้อมแพ็กเกจพิเศษสำหรับสมาร์ทโฟนทุกแพลตฟอร์ม และแท็บเล็ตอีกมากมาย ร่วมสัมผัสอิสรภาพการสื่อสารไร้สายในสไตล์ของตัวเองได้แล้ววันนี้ ทั่วกรุงเทพฯ และอีก 16 จังหวัดทั่วไทย

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า หลังจากที่ เรียล มูฟ ผู้ขายต่อบริการ (รีเซลเลอร์) 3G+ ของ CAT ภายใต้แบรนด์ “ทรูมูฟ เอช” เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา วันนี้ “ทรูมูฟ เอช” พร้อมเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำผู้นำบริการ 3G ตัวจริง บนเครือข่ายไร้สายใหม่ 3G+ ที่แรงกว่า เร็วกว่า และครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยสู่ยุคบรอดแบนด์ไร้สายเต็มรูปแบบอย่างเป็นรูปธรรม เปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันให้มีสีสัน อิสระเต็มที่ทั้งเรียน เล่น และทำงาน พร้อมสัมผัสอิสรภาพการสื่อสารไร้สายในสไตล์ของตัวเอง สอดรับกับยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ของกลุ่มทรู ที่มุ่งเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคชาวไทยให้สามารถติดต่อสื่อสารได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยเครือข่ายคอนเวอร์เจนซ์ทั้ง 3G+ และ Wi-Fi เต็มอิ่มกับคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นหลากหลาย ที่จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยไปสู่ความเป็นคอนเวอร์เจนซ์ไลฟ์สไตล์สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

ทรูมูฟ เอช แบรนด์ใหม่จากกลุ่มทรู สะท้อนอิสรภาพการสื่อสารไร้สายบนเครือข่ายใหม่ ให้ติดต่อสื่อสารได้รวดเร็วทันใจยิ่งกว่า สามารถเข้าถึงทุกข้อมูลและความบันเทิงอย่างไร้ขีดจำกัด สนุกกับการแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วยบริการอันชาญฉลาดเหนือกว่า (Highly Intelligent) ของทรูมูฟ เอช ที่จะมอบชีวิตอิสระ FREEYOU ตรงใจไลฟ์สไตล์ลูกค้า

§ อิสระ…ให้ได้ทุกที่ – Free Your World ด้วย Hyper hi-speed network ให้ติดต่อสื่อสารบนเครือข่ายใหม่ 3G+ ที่แรงกว่า เร็วกว่า ด้วยความเร็วสูงสุด 42 Mbps และครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ทั่วกรุงเทพฯ และอีก 16 จังหวัดทั่วไทย ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ อยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร ชลบุรี ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี เชียงใหม่ สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต นครศรีธรรมราช และกระบี่ พร้อมเครือข่าย Wi-Fi ความเร็วสูงสุด 8 Mbps ครอบคลุม 100,000 จุด

§ อิสระ…ให้กับทุกไลฟ์สไตล์ – Free Your Style ด้วย High variety of devices เลือกสนุกกับ gadget โดนใจทุกรูปแบบ ทั้งสมาร์ทโฟนหลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิ iPhone, iPad, Samsung และ Android Phone และอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ อาทิ Aircard และ Mi-Fi เล่นได้เต็มประสิทธิภาพบนเครือข่าย 3G+ และ Wi-Fi

§ อิสระ…ให้สนุกกับแอพพลิเคชั่นโดนใจ – Free Your Desires ด้วย Hip content and application สนุกไม่อั้นกับคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นที่คัดสรรมาโดยเฉพาะ อาทิ เลือกชมช่องรายการโปรดจากทรูวิชั่นส์ได้ถึง 14 ช่อง บน iPhone และ iPad โดยสามารถเลือกชมได้แบบสดๆ ดูรายการย้อนหลัง หรือคลิปรายการ ไฮไลต์ต่างๆ เช่น พรีเมียร์ลีก พร้อมสัมผัสแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดทั้ง Thailand GPS by NAVFONE ระบบนำทางและแผนที่ประเทศไทยบนมือถือที่ช่วยนำทางไปได้ทุกหนทุกแห่ง, TrueMove H iService ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เช่น เลขหมายที่ใช้งาน วันที่เปิดใช้บริการ โปรโมชั่น ยอดเงินค้างชำระ การใช้งานดาต้าคงเหลือ หรือ ซื้อแพ็กเกจบริการต่างๆ ได้ทันทีบนมือถือ และ TrueMusic HD ศูนย์รวมเพลงฮิตทั้งไทยและเทศกว่า 400,000 เพลง เลือกฟัง ดูมิวสิกวิดีโอ และเนื้อเพลงได้ตามสไตล์ที่ชื่นชอบ และยังสามารถแชร์ให้เพื่อนผ่าน facebook และ twitter ได้ง่ายๆ และแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อีกมากมาย

§ อิสระ…ให้สบายกับบริการหลังการขาย – Free Yourself ด้วย Human services บริการสำหรับลูกค้าคนพิเศษ โดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่ใส่ใจและรอบรู้ทุกบริการ ทั้ง IT Friends กว่า 300 คนที่คอยให้คำแนะนำด้านเทคนิคและการใช้งาน รวมถึงศูนย์บริการลูกค้า โทร 1331, ทรูช็อป, ทรูพาร์ตเนอร์ และตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ

§ อิสระ…ให้เป็นพิเศษกับหลากหลายแพ็กเกจ – Free Your Mind ด้วย High value offering ตรงใจ สบายกระเป๋ากับแพ็กเกจค่าบริการหลากหลายเลือกได้ทุกสไตล์การใช้งาน ทั้งโทรเป็นหลัก (Free to Talk) เล่นเน็ตเป็นหลัก (Free to Surf) และโทร+เล่นเน็ตไม่อั้น (Free to Surf & Talk) รวมทั้งแพ็กเกจเสริม (Free to Topping) ให้เลือกซื้อเพิ่มได้ตามความต้องการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นค่าโทร, SMS, MMS, 3G+, Wi-Fi หรือซื้อแอพพลิเคชั่น ตลอดจนแพ็กเกจพิเศษสำหรับ iPhone, สมาร์ทโฟนทุกแพลตฟอร์ม และแท็บเล็ต

“ทรูมูฟ เอช เป็นก้าวสำคัญของกลุ่มทรู เพื่อมอบประสบการณ์สื่อสารไร้สายสมบูรณ์แบบ ที่ให้อิสระ “FREEYOU” ไร้ขีดจำกัด พร้อมสัมผัสอิสรภาพการสื่อสารไร้สายในสไตล์ของตัวเอง ด้วยบริการบนเครือข่ายไร้สาย 3G+ ความเร็วสูงสุด 42 Mbps และ Wi-Fi ความเร็วสูงสุด 8 Mbps ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการใช้งานทั้งชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปิดโลกที่ให้อิสระ “FREEYOU” ในการเข้าถึงข้อมูลสาระบันเทิงกับ คอนเทนต์หลากหลาย พร้อมแอพพลิเคชั่นตรงใจ ให้คนไทยได้แบ่งปันประสบการณ์ และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อความสุขร่วมกัน” นายศุภชัย กล่าวสรุป

* การให้บริการ 3G+ ขึ้นอยู่กับพื้นที่การให้บริการ และอุปกรณ์ที่รองรับ

** ความเร็วในการใช้บริการ 3G+ และ Wi-Fi ขึ้นอยู่กับปริมาณผู้ใช้งาน ณ จุดที่ใช้งานและอุปกรณ์ที่รองรับ

*** บริการ Wi-Fi 100,000 จุดทั้งในและต่างประเทศ ภายในกันยายน 2554

View :2020

กรุงไทยรับชำระค่าภาระและบริการขนส่งทางน้ำผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นธนาคารแรก

August 30th, 2011 No comments

ธนาคารกรุงไทยจับมือการท่าเรือแห่งประเทศไทย อำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออก โดยเพิ่มช่องทางรับชำระค่าภาระและค่าบริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเป็นธนาคารแห่งแรก สามารถใช้บริการได้ไม่มีวันหยุด เริ่มให้บริการ 1 กันยายนนี้

นางศรีประภา พริ้งพงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจภาครัฐ เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารได้พัฒนาช่องทางการให้บริการทางการเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและประชาชน ล่าสุดธนาคารได้ร่วมมือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ขยายช่องทางในการรับชำระค่าภาระและบริการ ในรูปแบบการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านระบบอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ e-Port ของ กทท. โดยจะเริ่มให้บริการในวันที่ 1 กันยายนนี้

ธนาคารกรุงไทย เป็นธนาคารแห่งแรกที่ให้บริการดังกล่าว ซึ่งเป็นการก้าวสู่โลกธุรกิจขนส่งทางน้ำยุคใหม่ โดยจะช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับผู้นำเข้าและส่งออกที่ไม่ต้องไปทำธุรกรรมที่ กทท. สามารถชำระค่าระวางและบริการได้ถึงเวลา 22.00 น. ช่วยให้การชำระเงินตรงตามกำหนดเวลา สามารถเลือกรับผลการชำระค่าสินค้าและบริการหลังการทำรายการได้ทั้งทาง e-mail และ SMS นอกจากนี้ ระบบยังมีความปลอดภัยในการใช้งานด้วยเทคโนโลยีระดับสากล ที่สำคัญช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการอีกด้วย

นางศรีประภา พริ้งพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ธนาคารได้พัฒนาขั้นตอนการใช้บริการให้สามารถใช้งานได้ง่าย เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ www.port.co.th เลือกประเภทบริการที่ต้องการชำระ และเลือกชำระผ่านธนาคารกรุงไทย เมื่อทำรายการเสร็จ ระบบจะออกใบรับเงินชั่วคราว เพื่อเป็นหลักฐานการชำระเงิน ผู้สนใจสามารถสมัครใช้บริการที่ได้ทุกสาขาของธนาคารทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังได้ร่วมกับ กทท.เชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมงานสัมมนา เพื่อแนะนำการใช้เว็บไซต์ระบบการชำระค่าภาระและบริการ พร้อมเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ให้ทดลองใช้อีกด้วย

View :1458

ก.ไอซีที เสริมความรู้โครงข่ายโทรคมนาคมในยุคหน้า หวังสร้างโครงข่ายที่เชื่อมต่อกันได้โดยไร้ตะเข็บ

August 29th, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยเกี่ยวกับการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ว่า ตามกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ. 2554 -2563 ของประเทศไทย (ICT 2020) ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT ที่เป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไว้ภายในปี 2563 โดยให้การบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย เป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ อย่างมีคุณภาพและมั่นคงปลอดภัย ซึ่งจะเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมปัจจุบันไปสู่โครงข่ายโทรคมนาคมในยุคหน้า (Next Generation Network : NGN) เพื่อให้มีโครงข่ายที่สามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไร้ตะเข็บ เสมือนเป็นโครงข่ายเดียวกันทั้งประเทศ

“กระทรวงฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมจากยุคปัจจุบันไปสู่ NGN เป็นอย่างมาก และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการหลอมรวมของเทคโนโลยี รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้ ทุกที่ ทุกเวลา สำหรับการติดต่อสื่อสารในอนาคต อันเป็นการเปิดประตูไปสู่การพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมให้เกิดธุรกิจและอาชีพแบบใหม่เพิ่มขึ้น ตลอดจนสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเสมอภาค และลดช่องว่างการเข้าถึงทางดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ในด้านการศึกษา การเกษตรกรรม การแพทย์ และการสาธารณสุข

ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้ร่วมกับ Japan International Cooperation Agency (JICA) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ตามโครงการ Capacity Building in National ICT Development จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “NGN : Advanced Technologies and New Applications for Life” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ของ NGN ในระดับสากลเพื่อประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพื่อนำเสนอการใช้ประโยชน์จาก NGN ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จ ในด้านการให้บริการสาธารณสุข การศึกษา การเกษตรกรรมสำหรับประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล” นางจีราวรรณ กล่าว

การสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ กระทรวงฯ ได้เชิญผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านวิชาการ ด้านนโยบายและแผนเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนสมาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวนประมาณ 100 คน เข้าร่วมการสัมมนาและรับฟังการบรรยายทางวิชาการดังกล่าว

“กระทรวงฯ คาดหวังว่า ผลจากการสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ จะสร้างความตระหนักให้หน่วยงานต่างๆ ได้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ประโยชน์จาก NGN ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งได้เผยแพร่การใช้ประโยชน์ของ NGN ตามกรอบนโยบาย ICT 2020 และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการขยายบริการบรอดแบนด์ไปสู่พื้นที่ชนบท เพื่อให้มีการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและเท่าเทียมต่อไป” นางจีราวรรณ กล่าว

View :1569

อสมท ระเบิดศึกการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Robocon 2011 อย่างยิ่งใหญ่ 18 ประเทศร่วมชิงชัย ณ อิมแพคอารีนา พร้อมส่งไม้ต่อให้ฮ่องกงเป็นเจ้าภาพปีหน้า

August 29th, 2011 No comments

อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี : บมจ.อสมท ระเบิดศึกการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2011 , Bangkok ครั้งที่ 10 ซึ่งปีนี้ประเทศไทยได้รับคัดเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันอย่างยิ่งใหญ่ โดยมี “ทีมลูกเจ้าแม่คลองประปา The Limited” จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และ “ทีมซุ้มกอ” จากวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร สองทีมตัวแทนประเทศไทย ร่วมชิงชัยกับตัวแทนนักศึกษาจากอีก 17 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ภายใต้แนวคิด “จุดประกายแห่งความสุขด้วยมิตรภาพ (Lighting Happiness with Friendship) ผู้ใดเอาชนะใจตนเอง และเอาชนะใจผู้อื่นได้ ผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะตลอดกาล พร้อมส่งไม้ต่อให้กับประเทศฮ่องกง รับหน้าที่เจ้าภาพการแข่งขันในปีหน้า

นายธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความเป็นมาของการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia-Pacific Robot Contest (ABU Robocon) ว่า การแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ เริ่มขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2543(ค.ศ.2000) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยประเทศสมาชิก ABU (The Asia-Pacific Broadcasting Union) มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ที่ประดิษฐ์โดย นักศึกษาของภูมิภาค ในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา เป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อพัฒนาการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์ และ การพัฒนาทักษะในการประดิษฐ์นวัตกรรมของเยาวชนให้มีความรู้ ความสามารถ และความเข้าใจได้อย่างทัดเทียมกัน ควบคู่ไปกับการเชื่อมความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกันด้วยเจตนารมณ์ที่ดีของการร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Robocon ในแต่ละปีประเทศสมาชิกจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ

สำหรับการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2011 หรือ ABU Robocon 2011 ในโอกาสครบรอบปีที่ 10 ของการแข่งขัน ประเทศไทยได้รับเกียรติ ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี หนึ่งในสมาชิกสหภาพวิทยุและโทรทัศน์แห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Broadcasting Union – ABU) และเป็นตัวแทนโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทีวีพูล) ในฐานะผู้จัดการแข่งขันในครั้งนี้จึงได้นำเอา ประเพณีลอยกระทง จากโบราณประเพณีอันงดงามของไทยบางส่วนมาประยุกต์ให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือหุ่นยนต์ ภายใต้ชื่อการแข่งขัน “จุดประกายแห่งความสุขด้วยมิตรภาพ (Lighting Happiness with Friendship) ผู้ใดเอาชนะใจตนเอง และเอาชนะใจผู้อื่นได้ ผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะตลอดกาล ซึ่งเป็นหัวใจของเกมการแข่งขันนี้

โดยปีนี้มีทีมเยาวชนตัวแทนจาก 18 ประเทศ ได้แก่ บรูไน จีน อียิปต์ ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล รัสเซีย ศรีลังกา ตุรกี เวียดนามและไทย สำหรับประเทศลาว และรัสเซีย เพิ่งเข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้เป็นครั้งแรก เดินทางมาเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งแต่ละประเทศสามารถส่งทีมตัวแทนได้ประเทศละ 1 ทีม ส่วนประเทศเจ้าภาพ ส่งได้ 2 ทีม รวมทั้งหมด 19 ทีม แต่ละทีมจะประกอบไปด้วยนักศึกษา 3 คน อาจารย์ที่ปรึกษา 1 คน ทั้งหมดต้องอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา/อาชีวศึกษาเดียวกันเท่านั้น ในส่วนของประเทศไทย ทีมเยาวชนตัวแทนประเทศไทย มี 2 ทีม ได้แก่ ทีมลูกเจ้าแม่คลองประปา The Limited” จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ แชมป์ประเทศไทยสมัยที่ 3 และ “ทีมซุ้มกอ” จากวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร รองแชมป์ประเทศไทย

“แนวคิดหลักของการแข่งขันในครั้งนี้ ผู้ชมการแข่งขันจะต้องเข้าใจกติกาได้ง่าย ให้ความสนุกสนานและตื่นเต้นต่อผู้ชม หุ่นยนต์มีความฉลาด สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกทั้งหุ่นยนต์มีกลไกหยิบจับและวางสิ่งของได้ในแนว 3 มิติ ที่สำคัญจะต้องมีการร่วมมือกันระหว่างหุ่นยนต์ทั้งสองฝ่าย ในขณะแข่งขัน นำเรื่องราวจากวัฒนธรรมประเพณีของไทย มาประยุกต์เข้ากับกติกาการแข่งขัน การออกแบบเกมการแข่งขัน เพื่อให้ทีมผู้เข้าร่วมแข่งขัน มีความเพลิดเพลินร่วมไปกับการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ในภารกิจสุดท้ายคือการปล่อยเปลวเทียนลงบนยอดสุดของเทียนซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเกม ได้ถูกออกแบบเพื่อให้หุ่นยนต์ของทีมใดๆก็ตาม ที่สามารถปฏิบัติการได้สำเร็จในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สมควรได้รับชัยชนะ โดยรางวัลในการแข่งขันจะประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ, รองชนะเลิศอันดับที่ 1, รองชนะเลิศอันดับที่ 2, Best IDEA Award, Best ENGINEERING Award, Best DESIGN Award, SPECIAL Awards และ ABU ROBOCON Award และในปีหน้าประเทศฮ่องกง จะรับช่วงต่อในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน ABU Robocon 2012 ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวในที่สุด

View :1706

สาวกแอนดรอยด์ชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน “เอ็มเปย์ แอพฯ” ได้ง่ายๆ แล้ววันนี้

August 29th, 2011 No comments

เอ็มเปย์ กระเป๋าเงินบนมือถือ เอาใจสาวกสมาร์ทโฟนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดให้ผู้ใช้ มือถือระบบแอนดรอยด์ สามารถชำระค่าสินค้าและบริการ ได้แล้วอย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านไอคอนต่างๆ ใน ” ทำให้วันนี้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนใน ทุกระบบปฏิบัติการ สามารถดาวน์โหลด ” มาไว้บนหน้าจอมือถือได้ง่ายๆ เพียงกด *900*8# แล้วโทรออก

และ พิเศษ! สำหรับลูกค้าเอ็มเปย์ใหม่ ที่ชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน “เอ็มเปย์ แอพฯ” เป็นครั้งแรก รับฟรีบัตรชมภาพยนตร์ 4DX หมายเลขละ 1 ใบ พร้อมกิฟท์เซ็ทสุดน่ารัก ตั้งแต่ 1 ก.ย. – 31 ต.ค. 54 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เอไอเอส คอลล์เซ็นเตอร์ 1175

View :1753

ก.ไอซีที ศึกษาวิจัยการประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียมสำหรับการเฝ้าระวังและเตือนภัยดินถล่ม

August 26th, 2011 No comments

นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยเกี่ยวกับการสัมมนาโครงการศึกษาวิจัยภายใต้ความร่วมมือองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก (APSCO) ครั้งที่ 1 ว่า กระทรวงไอซีที ได้ดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาต่อยอดจากโครงการที่ประเทศไทยเคยมีความร่วมมือกับองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Space Cooperation Organization – APSCO) ได้แก่ โครงการประยุกต์ใช้ดาวเทียมสำหรับการเฝ้าระวังและระบบเตือนภัยทางพื้นดินและทางทะเล ภายใต้ความร่วมมือองค์การ APSCO ในปี 2552 และเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือในการพัฒนาองค์ความรู้ การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากดาวเทียม การพัฒนากิจการอวกาศของประเทศ และเป็นการพัฒนาต่อยอดจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา กระทรวงฯ จึงได้ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยการประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียมสำหรับการเฝ้าระวังและเตือนภัย ดินถล่มภายใต้ความร่วมมือองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก โดยมีเป้าหมายที่จะศึกษาและวิจัยการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดินถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัย เนื่องจากดินถล่มเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยากต่อการเตือนภัยหรือหลบหนีได้ทัน ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเตือนภัยทางตรง

“โครงการศึกษาวิจัยฯ นี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ได้ผลการศึกษาวิจัยที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดินถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย รวมทั้งผลศึกษาวิจัยและพัฒนาต่อยอดแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ที่สามารถใช้ประเมินโอกาสการเกิดภัยดินถล่มในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิผล เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยในอนาคต นอกจากนั้นยังมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือภายใต้ความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิกในการใช้ข้อมูลร่วมกัน (Proposal for spatial data sharing service platform and its application pilot project) ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเพื่อประยุกต์ใช้ดาวเทียมสำหรับการเฝ้าระวังและระบบเตือนภัย” นายธานีรัตน์ กล่าว

ดังนั้น เพื่อนำเสนอผลงานศึกษาวิจัยของโครงการฯ กระทรวงไอซีที จึงได้จัดการสัมมนาโครงการศึกษาวิจัยภายใต้ความร่วมมือองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก (APSCO) ครั้งนี้ขึ้น โดยเชิญอาจารย์ นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการประมวลผลข้อมูลดาวเทียม จากสถาบันการศึกษา และบุคลากรด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากหน่วยงานภาครัฐ จำนวนประมาณ 50 คน เข้าร่วมการสัมมนา

“กระทรวงฯ หวังว่าผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ ครั้งนี้ จะได้รับทราบถึงโครงการแบ่งปันข้อมูลดาวเทียมภายใต้องค์การ APSCO และแนวทางการประยุกต์ใช้งานเพื่อกิจการด้านภัยพิบัติ รวมทั้งได้ติดตามความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนาของโครงการฯ ตลอดจน ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างความร่วมมือและการวิจัยต่อยอด นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างให้เกิดเครือข่ายองค์ความรู้ในด้านการวิจัยและการพัฒนาด้านกิจการอวกาศ เพื่อสามารถประยุกต์ใช้งานข้อมูลดาวเทียมในการพัฒนาระบบแจ้งการเตือนภัยในอนาคต” นายธานีรัตน์ กล่าว

View :1433

ทีดีอาร์ไอร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. เปิดตัวเว็บไซต์ Thai Law Watch เปิดโอกาสประชาชน ติดตามร่างกฎหมายไทย

August 26th, 2011 No comments

โครงการปรับปรุงกระบวนการนิติบัญญัติของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย นำโดย นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย () นายปกป้อง จันวิทย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะทำงาน ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ Thailawwatch.org เว็บไซต์ระบบติดตามร่างกฎหมายไทย

โดยมองว่า กฎหมายเป็นเครื่องมือทางนโยบายสาธารณะที่สำคัญที่สุดเครื่องมือหนึ่ง การปฏิรูปประเทศไทยในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ และบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใหม่จำนวนมาก ทั้งนี้ กระบวนการนิติบัญญัติซึ่งเป็นกระบวนการในการปรับปรุงแก้ไขและบัญญัติกฎหมายใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมในกระบวนการนิติบัญญัติได้มากขึ้น คณะผู้วิจัยยังได้จัดทำเว็บไซต์ Thailawwatch.org ระบบติดตาม (tracking system) ร่างกฎหมายซึ่งกำลังจะเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติในขั้นตอนต่างๆ ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการติดตามของสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจ อันจะนำไปสู่การจัดตั้งหน่วยในการเฝ้าระวังกฎหมาย (legislative watch unit) ในภาควิชาการ หรือภาคประชาสังคมในอนาคต

ทั้งนี้ ในการปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ วาระการปฏิรูปกฎหมายของรัฐบาลใหม่ โดย อ. จอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวถึงมุมมองของการปฎิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ต้องยอมรับว่าเรามีปัญหามากในเรื่องการให้ความเป็นธรรมกับคนในสังคม กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และที่ผ่านมากฎหมายเน้นการเอาคนเข้าคุกมากเกินไป สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการลดการลงโทษประชาชนในเรื่องต่างๆ หลายชั้น ลดบทบาทของกฎหมายในฐานะเครื่องมือผู้มีอำนาจและให้อำนาจแบบไม่จำกัดต่อเจ้าหน้าที่ ขณะที่สิ่งที่ต้องเพิ่มคือการให้ความสำคัญของกฎหมายในฐานะทีเป็นเครื่องมือของผู้ไร้อำนาจ เช่น กฎหมายที่ส่งเสริมสิทธิ ส่งเสริมการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ส่งเสริมสวัสดิการประชาชนหรือรัฐสวัสดิการ และส่งเสริมอำนาจประชาชนในการตรวจสอบผู้มีอำนาจ

อ.จอน กล่าวว่า ลักษณะกฎหมายที่ดีในยุคสมัยนี้ว่า หนึ่ง หากเป็นกฎหมายที่เริ่มจากภาคประชาชนยิ่งดี สอง ควรต้องเป็นกฎหมายที่เสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และสาม ต้องมีการประชาพิจารณ์ที่เป็นกระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมและรับรู้อย่างแท้จริง ที่สำคัญเราต้องการกฎหมายที่เขียนง่าย เข้าใจง่าย ที่คนทั่วไปอ่านรู้เรื่อง กฎหมายหนึ่งฉบับควรต้องมีเหมือนบทสรุปสำหรับผู้บริหารให้เป็นภาษาชาวบ้านกำกับไปด้วย และเวลาประชาพิจารณ์ ต้องคุยกันในเรื่องหลักการ ไม่ใช่เรื่องภาษา

นายจอน กล่าวด้วยว่า ต้องมองกฎหมายในมุมใหม่ คือ กฎหมายเป็นเรื่องที่ดี ที่จะไปจัดการกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ไม่ให้สร้างปัญหาในสังคม แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วกฎหมายควรใช้เพื่อการลงโทษอย่างสร้างสรรค์ ไม่เน้นการเอาคนไปเข้าคุกจนเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่ทำกันมา การมีเว็บไซต์ Thailawwatch จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งสำหรับองค์กรประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นในกฎหมายต่างๆ ก่อนที่จะการผลักดันออกมาเป็นกฎหมาย จึงเป็นเว็บนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เรื่องกฎหมายไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ซับซ้อน อย่างที่ประชาชนรู้สึกและเป็นปัญหาอย่างที่ผ่านมา ซึ่งคนจะกลัวกฎหมาย

ด้านนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า เว็บไซต์ Thailawwatch เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยในโครงการปรับปรุงกระบวนการนิติบัญญัติของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยงานวิจัยนี้จะศึกษาขั้นตอนของกฎหมาย เปรียบเทียบสามรัฐบาล ที่มีการออกกฎหมายจำนวนมาก คือ รัฐบาล พ.ต.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

โดยเนื้อหาใน ThaiLawWatch ประกอบด้วยสี่ส่วน ส่วนแรกเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติไทย เพื่อบอกความเข้าใจพื้นฐานในกระบวนการกฎหมายไทย ส่วนที่สอง เป็นการติดตามร่างกฎหมาย (Law tracking) จะติดตามกฎหมายตั้งแต่เริ่มต้น และชี้ให้เห็นว่ากำลังค้างอยู่ในขั้นตอนใด ซึ่งการติดตามขั้นตอนกฎหมายจะเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างความรับผิดชอบของคนออกกฎหมาย ส่วนที่สามเป็นการวิเคราะห์สาระสำคัญของกฎหมาย ซึ่งคณะทำงานจะเลือกกฎหมายสำคัญๆ ขึ้นมาวิเคราะห์ และส่วนสุดท้าย เป็นบทความข่าวสารทั่วไป ทั้งนี้ประชาชนและผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าไปติดตามชีวิตของร่างกฎหมายแต่ละเรื่องแต่ละฉบับได้ที่เว็บไซต์ Thailawwatch.org เพื่อร่วมกันกำกับและติดตามให้กฎหมายนั้น ๆ ออกมาตรงตามเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง.

View :2991

ดอยตุง สร้างช่องทางใหม่ เปิดตัว www.doitung.com

August 26th, 2011 No comments

เปิดตัว e-Commerce จากดอยสูงมุ่งสู่ผู้บริโภคระดับโลก เปิดช่องทางการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิคส์ ภายใต้แนวทาง โลกสู่ชุมชน/ชุมชนสู่โลก (Global to Local / Local to Global) เปิดตัวเว็บไซต์ นำเสนอผลิตภัณฑ์ดอยตุง และเผยแพร่แนวทางการพัฒนาการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ตรงสู่ผู้บริโภคระดับคุณภาพที่ ให้ความสำคัญกับการบริโภคสินค้าคุณภาพและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการ e-Commerce จากดอยสูงมุ่งสู่ผู้บริโภคระดับโลก เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์แบรนด์ดอยตุง ก้าวสู่ตลาดโลก ภายใต้ห่วงโซ่แห่งคุณค่าผลิตภัณฑ์ดอยตุง (DoiTung Value Chain) ที่เน้นการต่อยอดความชำนาญและภูมิปัญญาท้องถิ่น และเน้นการพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์งานฝีมือต่างๆ อย่างครบวงจรด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดเอกลักษณ์และคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ

การจัดทำ www.doitung.com เป็นความร่วมมือ ระหว่าง โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้พัฒนาช่องทางการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่สนใจงานที่เกิดขึ้นจากฝีมือของชนเผ่าต่างๆ สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แบรนด์ดอยตุง ผ่านระบบออนไลน์ได้

www.doitung.com จะเป็น สะพานเชื่อมสำคัญและทรงประสิทธิภาพ ระหว่าง ห่วงโซ่แห่งคุณค่าดอยตุง กับ ประชาคมโลก ทั้งในฐานะผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ดอยตุงอันทรงคุณค่า และผู้สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้แนวทาง โลกสู่ชุมชน/ชุมชนสู่โลก (Global to Local / Local to Global)

โลกสู่ชุมชน(Global to Local) คือ เทคโนโลยีระดับโลก ถูกใช้เป็นเครื่องมือด้านการตลาดของชุมชนจากดอยสูง ทำให้กลุ่มผู้บริโภคระดับคุณภาพทั่วโลก สามารถเข้าถึงคุณค่าผลิตภัณฑ์ดอยตุงได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านช่องทางกระจายสินค้าแบบดั้งเดิม

ประการสำคัญ กลุ่มเป้าหมายระดับคุณภาพทั่วโลกนี้ ได้รับทราบแนวทางการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ เกิดเป็นแรงบันดาลใจที่ร่วมสร้างสรรค์แนวทางการพัฒนาที่เอื้อประโยชน์ ต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม

ชุมชนสู่โลก (Local to Global) ผลิตภัณฑ์ จากห่วงโซ่แห่งคุณค่าดอยตุง ได้เข้าถึงผู้บริโภคระดับคุณภาพทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าผลิตภัณฑ์ในเชิงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวก็สามารถรับรู้ความต้องการใหม่ๆของผู้บริโภคโดยผ่านระบบการสื่อสารสองทาง (Two-Way Communication) เป็นข้อมูลที่นำไปสู่ การพัฒนารูปแบบและคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ อย่างต่อเนื่อง

www.doitung.com นำเสนอผลิตภัณฑ์เด่นๆ จาก 2 ธุรกิจหลักของแบรนด์ดอยตุง คือ ด้านอาหารแปรรูป ได้แก่ กาแฟ แมคคาเดเมียนัทอบ คุกกี้แมคคาเดเมียนัท และ แมคคาเดเมียสเปรด และด้านผลิตภัณฑ์งานมือ ได้แก่ งานเซรามิค ปลอกหมอน กระเป๋า ผ้าพันคอ และผลิตภัณฑ์จากกระดาษสา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้วิถีชีวิตชนเผ่าในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และทำให้พวกเขาได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปลูกกาแฟแมคคาเดเมีย-พืชผลเมืองหนาว-ฝึกงานหัตถกรรมรูปแบบใหม่ๆอีกหลายประเภท เช่น งานกระดาษสา ตัดเย็บเสื้อผ้า การวาดลวดลายด้วยมือลงบนเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ ส่วนเยาวชนจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ก็ได้เรียนหนังสือในสถาบันการศึกษาชั้นสูงและได้ประกอบอาชีพหลากหลายทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชนและอาชีพส่วนตัว หลายคนได้กลับคืนมายังถิ่นฐาน มาทำงานในโครงการฯ และอยู่ร่วมกับครอบครัว

“ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ดอยตุงผ่านช่องทาง e-Commerce นี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กระบวนการพัฒนาโครงการดอยตุงที่ดำเนินการครบวงจร สัมผัสได้จริง ได้แก่ การพัฒนาขั้นต้นน้ำ(Upstream Development) การพัฒนาขั้นกลางน้ำ(Midstream Development) และการพัฒนาขั้นปลายน้ำ(Downstream Development) จนอาจกล่าวได้ว่าดอยตุงเปรียบเสมือน “มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต” ในด้านการพัฒนา

ทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิต มีรูปแบบและวิธีการแก้ปัญหาและการพัฒนาชุมชนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ครบถ้วนรอบด้านที่สุดทั้งในประเทศและในโลก สามารถให้คนได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในสภาพภูมิสังคมต่างๆ และเกิดประโยชน์ขยายวงสู่คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ” เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวเสริมท้าย

View :2228

ตลาดออนไลน์ Thaitrade.com ทางลัดสู่ตลาดโลก (ตอนที่1)

August 26th, 2011 No comments

ในยุคสังคมออนไลน์(Social Network) ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันทั่วทุกมุมโลก ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมาก มองเห็นถึงโอกาสในการทำตลาดบนโลกเสมือนจริงนี้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหลายรายที่ยังมีข้อกังวลว่า จะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อก้าวเข้าสู่สนามการค้าในยุคสังคมออนไลน์

ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจในเบื้องแรกก่อนว่า การตลาดในปัจจุบันนั้น มีแนวทางการดำเนินการอยู่ 2 แนวทางคือ การตลาดแบบ Offline Marketing ซึ่งเป็นการทำการตลาดโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ผ่านรูปแบบหรือกิจกรรม เช่น กิจกรรมทางโฆษณา การตลาดและการขายที่มองเห็นและจับต้องได้ อีกแนวทางหนึ่งคือการตลาดแบบ Online Marketing ซึ่งเป็นการตลาดที่มีกิจกรรมบนโลกไซเบอร์หรือผ่านระบบอินเตอร์เนตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การขาย การโฆษณาหรือการวางแผนการตลาด ซึ่งปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

ทั้งนี้ในช่วงเริ่มต้น การตลาดแบบออนไลน์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่การศึกษาหาข้อมูล และการทำความเข้าใจในวิธีการทำตลาดออนไลน์ที่ดี จะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่มเติมความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย การใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์นั้น สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และการให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใน 7 วัน บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทำผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาเรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์, ช่องทางการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อสารประเภทนี้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

กรณีศึกษาที่น่าสนใจจากผู้ประกอบการที่ดำเนินการตลาดแบบ Online Marketing เพียงอย่างเดียวคือ บริษัท Exportcity Group บริหารงานโดยคุณณัลลิกา ธนสรรค์นนท์ ที่สั่งสมประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจออนไลน์มากว่า 10 ปี และปัจจุบันยังเป็นสมาชิกระดับ gold ของเว็บไซต์ Alibaba.com ต่อเนื่องมา 5 ปี (5th year gold supplier on Alibaba) ได้แนะนำขั้นตอนการทำธุรกิจออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการไทยที่สนใจว่า สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเริ่มทำคือ

1. มีรูปภาพของสินค้าที่สามารถบอกรายละเอียด และสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
2. สมัครเข้าเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ B2B หลายๆ แห่งเพื่อสร้างเครดิตให้กับสินค้าและธุรกิจ โดยปัจจุบันเว็บไซต์ประเภทนี้มีมากกว่า 18,000 เว็บไซต์ ซึ่งผู้ประกอบการอาจเริ่มสมัครจากเว็บไซต์ในกลุ่มประเทศที่ต้องการจำหน่ายสินค้าเช่น ในแถบตะวันออกกลาง อย่าง อินเดีย ดูไบ ปากีสถาน ให้สมัครเป็นสมาชิกของกับ Alibaba และ go4worldbusiness.com สำหรับในเกาหลี มีเว็บไซต์ ezplaza.com ในญี่ปุ่นมี jetro ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เน้นทำธุรกิจ business matching และในไต้หวัน มีเว็บไซต์ tradkey.com เป็นต้น
3. จัดทำเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งการลงทุนต่ำสุดประมาณ 6,000 บาท ทั้งนี้เพราะ เว็บไซต์เป็นเสมือนกับหน้าร้านที่สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของบริษัท รวมทั้งรายละเอียดของสินค้าได้มากกว่าเว็บไซต์ B2B ที่เป็นสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกมากมายอยู่ในนั้น การจัดทำเว็บไซต์จึงเป็นการรองรับการทำธุรกิจอย่างแท้จริง

สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ คือ สินค้าต้องมีจุดเด่นและความแตกต่าง เพราะเว็บไซต์เป็นเหมือนถนนที่คนต้องเดินผ่าน หากสินค้าไม่สะดุด คนก็ไม่หยุดดู ดังนั้นสินค้าต้องมีจุดเด่น และแตกต่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้

ด้วยความสำคัญและเป็นรูปแบบการตลาดที่ยังเปิดกว้างไร้ขอบเขตให้กับผู้ประกอบการทุกราย กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ จึงได้จัดทำ โครงการตลาดกลางซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้เว็บไซต์ชื่อ ขึ้น เพื่อเป็นตลาดกลางการซื้อขายสินค้าไทยแบบ B2B (หรือ B2B E-Marketplace) อย่างเป็นทางการของประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของการค้าบนโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจทั่วโลก หันมาใช้อีคอมเมิร์ซเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนของผู้ที่เข้าใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกไทยให้ก้าวสู่โลกการค้าในตลาดออนไลน์แบบ B2B ให้ประสบผลสำเร็จ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการค้าแบบออฟไลน์

และจากข้อมูลสถิติ www.internetworldstats.com ปี 2551 พบว่าการดำเนินธุรกิจอีคอนเมิร์ซ ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ร้อยละเฉลี่ย 80% อยู่ในรูปของ B2C แต่มีมูลค่าตลาด 45,951 ล้านบาท คิดเป็น 8.7 % ของมูลค่าตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศเท่านั้น ในขณะที่มูลค่าตลาดของ B2B ในปีเดียวกัน สูงถึง 190.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 36 % ของตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ดังนั้นกรมส่งเสริมการส่งออก จึงได้จัดทำเว็บไซต์thaitrade.com และตั้งเป้าให้เป็น Thailand B2B E-Marketplace เพื่อผลักดันให้สินค้าไทยออกไปสู่ตลาดโลก ซึ่งมีศักยภาพการซื้อขายสูง จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทย และโอกาสของการส่งออกไทยอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญยิ่ง.

View :2065