Archive

Archive for January, 2012

Nokia Lumia 900 แจ้งเกิดในงาน CES 2012

January 24th, 2012 No comments

ในงาน CES 2012 (the 2012 International Consumer Electronics Show) งานแสดงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองลาส เวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โนเกียประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในการเปิดตัว สมาร์ทโฟนบนระบบปฏิบัติการ Windows Phone มาพร้อมเทคโนโลยี LTE ความเร็วสูงรองรับ 4G พร้อมขึ้นแท่นรับรางวัลถึง 4 รางวัล รวมถึงรางวัลสุดยอดสมาร์ทโฟน
ของงาน CES 2012

Nokia Lumia 900


Nokia Lumia 900 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุดยอดสมาร์ทโฟนประจำงาน CES 2012 (Best Smartphone of CES 2012) โดยกองบรรณาธิการ CNet ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการนำเสนอข่าว รีวิว ขั้นตอนการใช้งาน และตลาดซื้อขายผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิคส์ Nokia Lumia 900 ยังได้รับรางวัล Editor’s Choice จากนิตยสาร Popular Machanics รางวัลผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต จาก Popular Science ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำและเก่าแก่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของ CES โดยนิตยสาร LAPTOP

“เมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 20,000 รายการที่เปิดตัวในงาน CES เราสามารถพูดได้ว่า Nokia Lumia 900 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามทันทีที่เปิดตัวในงาน CES 2012 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กลยุทธ์สมาร์ทโฟนของโนเกีย ได้ดำเนินมาถูกทางแล้ว” มร.แกรนท์ แมคบีธ กรรมการผู้จัดการ โนเกีย ประเทศไทย และตลาดเอเชียเกิดใหม่กล่าว
“ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ที่สุด Nokia Lumia 900 มอบประสบการณ์คอนเทนท์ที่สมบูรณ์บนมือถือขนาดเหมาะมือ
เรียกได้ว่า เป็นสมาร์ทโฟนที่มีทั้งความสวยงามภายนอกและประสบการณ์สังคมออนไลน์และอินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์ภายในเครื่อง”

Nokia Lumia 900 มีหน้าจอ AMOLED ClearBlack ขนาด 4.3 นิ้ว เพื่อภาพที่คมชัดและสว่างทั้งการใช้งานภายนอก
และ ภายในอาคาร การเชื่อมต่อที่เร็วยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี 4G LTE พร้อมแบตเตอรี่ 1830 mAH ที่ให้คุณใช้งานได้ทั้งวัน
กล้องหลักมาพร้อมเลนส์ Carl Zeiss รูรับแสงขนาดใหญ่ (F2.2) ระยะโฟกัสมุมกว้าง (28 mm) เพื่อการเก็บภาพได้สมบูรณ์ไม่หลุดเฟรม และมีคุณภาพสูงแม้ในที่แสงน้อย Nokia Lumia 900 ยังมีกล้องด้านหน้ามีรูรับแรงขนาดใหญ่
และเลนส์มุมกว้างที่ช่วยให้ภาพคมชัดสว่างสดใสขณะใช้งาน video call นอกจากนี้ People Hub ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับเพื่อนได้อย่างรวดเร็ว มาพร้อม Live Tiles แจ้งการอัพเดตเรื่องราวล่าสุด และ Internet Explorer Mobile ที่มอบ
ประสบการณ์การท่องเว็บที่รวดเร็ว

Nokia Lumia 900 มอบประสบการณ์การใช้งานเนื้อหาชั้นนำ อาทิ
- Nokia Drive ระบบนำทางด้วยเสียงแบบเลี้ยวต่อเลี้ยว ฟรีตลอดชีพ พร้อมระบบการใช้งานภายในรถยนต์ที่เปลี่ยนให้ Nokia Lumia 900 เป็นเครื่อง GPS นำทาง
- ESPN sports hub ที่ดาวน์โหลดไว้ในเครื่อง พิเศษเฉพาะสมาร์ทโฟน Nokia Lumia เท่านั้น ให้คุณรับข่าวสาร วิดีโอ และผลคะแนนกีฬาหลากหลายประเภทในแอพเดียว
- CNN App สำหรับ Windows Phone ที่รายงานข่าวล่าสุดรอบโลก และเข้าสู่ iReport ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้คุณได้เป็นผู้สื่อข่าวพลเมืองได้โดยตรง โดยจะเปิดให้บริการทั่วโลกภายในเดือนหน้า พร้อมให้ผู้ใช้งาน
สมาร์ทโฟนโนเกียใช้งานได้ฟรี 90 วัน

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ Nokia Lumia 900 เป็นภาษาอังกฤษได้ที่

http://www.nokia.com/us-en/products/phone/lumia900/

View :1666

ทรู ยู รวมความสุขสุดอร่อยจากหลากหลายร้านดัง สำหรับลูกค้าทรู ที่ร้านเบอร์เกอร์ คิง แด๊ดดี้ โด และฮาเก้น-ดาส

January 24th, 2012 No comments

ทรู ยู มอบความสุขพิเศษสำหรับลูกค้าในกลุ่มทรู ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนชอบ Enjoy Dining รับความคุ้มค่าที่หลากหลายร้านดัง เพียงแสดงบัตรทรูการ์ด หรือดาวน์โหลด ทาง หรือพิมพ์รหัสร้านค้าส่งไปที่หมายเลข 9989 (ฟรี) ข้อเสนอพิเศษประจำเดือนนี้ ได้แก่

· ร้านเบอร์เกอร์คิง รับฟรี Hash Browns กรอบนอกนุ่มในสูตรพิเศษของเบอร์เกอร์ คิง (ขนาดเล็ก) ทันที เมื่อซื้อเมนูใดๆ ครบ 130 บาท (รหัส BK1) หรือ รับฟรี Hash Browns ขนาดปกติ เมื่ออร่อยกับเมนูพรีเมี่ยมน้องใหม่ แองกัส สเต็กเฮาส์(รหัส BK2) ) หมดเขต 31 มกราคมนี้

· ร้านแด๊ดดี้ โด รับโดนัทฟรีทันที 1 ชิ้น (มูลค่า 24 บาท) เมื่อซื้อชุด Combo Set ชุดใดก็ได้ 1 ชุด พร้อมรับสิทธิซื้อบัตร Daddy Dough Privilege ราคาพิเศษเพียง 99 บาท (ปกติ 129 บาท) เมื่อซื้อ โดนัทกล่อง 6 ชิ้น ราคาพิเศษ 125 บาท (ปกติ 138 บาท) (รหัส DAD) หมดเขต 15 กุมภาพันธ์นี้

· ร้านฮาเก้น-ดาส รับฟรีวาฟเฟิลหอมกรุ่น (มูลค่า 40 บาท) เมื่อซื้อไอศกรีมฮาเก้นดาส 2 ลูกขึ้นไป (รหัส HD) หมดเขต 29 กุมภาพันธ์นี้

อนึ่ง ทรู ยู (TrueYou) เป็นความสุขสุดพิเศษ เลือกสรรให้ลูกค้าที่ใช้บริการกลุ่มทรูทุกคนโดยเฉพาะ ลูกค้าสามารถเลือกรับความสุขได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ ซึ่งสิทธิพิเศษจะเพิ่มเป็นทวีคูณยิ่งขึ้น ตามระยะเวลาการใช้บริการของกลุ่มทรู ซึ่งครอบคลุมทั้งลูกค้าทรูมูฟ ทรูมูฟ เอช ทรูออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ทรูไลฟ์ พลัส โทรศัพท์พื้นฐาน และวี พีซีที ลูกค้าสามารถรับทราบข่าวสารเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมและสิทธิพิเศษดีๆ จากทรูยู ได้ที่ www.true-u.com

View :1504

ไอดีซีเผยตลาดพีซีในเอเชียแปซิฟิกยังโต11%

January 24th, 2012 No comments

แม้ประสบมรสุมเศรษฐกิจโลก ฮาร์ดดิสก์ขาดตลาด และการแข่งขันกับมีเดียแท็บเล็ต

ผลการวิจัยเบื้องต้นของไอดีซีระบุว่าตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในปี 2554 ที่ผ่านมานั้นขยายตัวถึง 11% โดยมียอดจัดส่งทั้งหมดกว่า 119 ล้านเครื่องด้วยกัน ถึงแม้เป็นการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าปีก่อนๆ แต่ก็ถือว่าเป็นอัตราที่น่าพอใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนตลอดทั้งปี ซึ่งนี่แสดงถึงความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นของตลาดในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ตลาดเติบโตเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 สูงกว่าที่ไอดีซีคาดการณ์ไว้ 3% โดยผลกระทบจากสถานการณ์ การขาดตลาดของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่มีต่อตลาดในหลายประเทศเช่นประเทศจีนและอินโดนีเซียนั้น ไม่ได้รุนแรงเท่ากับที่ไอดีซีได้คาดไว้เบื้องต้น

โดยนายไบรอัน มา รองประธานฝ่ายงานวิจัยตลาดอุปกรณ์ต่อพ่วงประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของไอดีซีเผยว่า “ตลาดพีซีต้องฝ่ามรสุมหลายระลอกในปีที่ผ่านมา ทั้งปัญหาที่มาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและความนิยมที่มีต่อมีเดียแท็บเล็ตที่ทำให้ผู้บริโภคสนใจพีซีน้อยลง โดยหลังจากนี้นั้น ตลาดก็ยังคงต้องประสบกับปัญหา การขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ แต่ไอดีซีเชื่อว่าหากผ่านช่วงต้นปี 2555 ไปแล้ว ตลาดจะดีดตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วในครึ่งปีหลัง ซึ่งภาพรวมของตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกน่าจะขยายตัวแตะที่ระดับ 10% ได้สำหรับปีนี้”

เลอโนโวยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดได้อย่างเหนียวแน่นตลอดปีที่แล้ว โดยไม่ใช่แค่ทำผลงานได้ดีในประเทศจีนเท่านั้น แต่เลอโนโวยังสามารถขยายตลาดในประเทศอื่นๆ ได้อีกด้วย ในขณะที่เอชพีมีผลงานที่แย่ลงในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผู้จำหน่ายรายใหญ่จากฝั่งอเมริการายนี้ประกาศว่าจะทบทวนอนาคตของการทำธุรกิจพีซีของตน ฝั่งเอซุสยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดอาเซียน และเดลล์เองก็ประสบความสำเร็จมากขึ้นในตลาดจีนและอินเดีย

View :1675

ก.ไอซีที ผลักดันสำนักงานสถิติฯ จัดระบบสถิติประเทศไทย 3 ด้าน

January 24th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมการจัดระบบสถิติประเทศไทย 3 ด้าน ครั้งที่ 1/2555 ว่า ในการขับเคลื่อนแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. 2554-2558 ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาร่วมกันพัฒนาระบบสถิติของประเทศ โดยอาศัยองค์ความรู้ และเครือข่ายผู้ดำเนินการด้านสถิติที่ปฏิบัติงานร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการใช้ข้อมูลสถิติในการตัดสินใจ และการดำเนินนโยบายบนพื้นฐานข้อมูลที่เป็นจริงของทุกภาคส่วน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีการผลิตข้อมูล/ สถิติที่ดำเนินการโดยหน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ข้อมูลมีความซ้ำซ้อน หลายมาตรฐาน และยากต่อการบูรณาการเชื่อมโยงสถิติที่หน่วยงานต่างๆ ผลิตให้เป็นชุดข้อมูลที่จะนำไปใช้ในการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์และการบริหารให้กับผู้บริหารในระดับต่างๆ ทั้งประเทศ จังหวัด และท้องถิ่น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระบบสถิติเพื่อทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการผลิต บูรณาการ และเชื่อมโยงข้อมูล/ สถิติในทุกสาขา ให้สามารถนำชุดข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจได้จริง นอกจากนั้นยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาคุณภาพการผลิตข้อมูลสถิติให้เป็นมาตรฐานเดียวกันอีกด้วย
ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้ตั้งคณะกรรมการจัดระบบสถิติประเทศไทย 3 ด้าน คือ ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านทรัพยากรธรรมชาติ ขึ้น เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านสถิติของประเทศ รวมทั้งกำกับ ติดตามการดำเนินงานด้านสถิติของประเทศให้ เป็นไปตามแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พร้อมรายงานความก้าวหน้าตามแผนแม่บทฯ และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบสถิติต่อคณะรัฐมนตรี โดยผ่านสำนักงานสถิติแห่งชาติ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่กำหนดนโยบายเกี่ยวกับงบประมาณ และการพัฒนาบุคลากรเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ตลอดจนแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม โดยคณะกรรมการฯ ชุดนี้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธาน และสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นเลขานุการ

สำหรับการจัดระบบสถิติของประเทศไทยนั้นมีองค์ประกอบสำคัญ คือ 1) ผังสถิติทางการ สาขาต่างๆ เช่น สาขาอุตสาหกรรม สาขารายได้ – รายจ่าย สาขาแรงงาน สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่จะสนับสนุนผู้บริหารระดับประเทศ จังหวัด และท้องถิ่นในการกำหนดและดำเนินงานตามนโยบาย 2) ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์การพัฒนา และต้องการชุดข้อมูลสถิติหลากหลายสาขามาสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารทั้งสามระดับ 3) การพัฒนาทักษะผู้ผลิตและผู้ใช้สถิติทุกระดับ เพื่อสนับสนุนการนำสถิติมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนและตัดสินใจบนฐานข้อมูล

ส่วนการประชุมคณะกรรมการจัดระบบสถิติ 3 ด้านของประเทศครั้งนี้มีสาระสำคัญ คือ การศึกษานโยบายและยุทธศาสตร์ระดับประเทศและสาขาต่างๆ รวมทั้งได้มีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อระบุประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ต้องการการพัฒนาข้อมูลสถิติเป็นลำดับต้นๆ นอกจากนั้นยังได้มีการตรวจสอบข้อมูลสถิติที่หน่วยงานต่างๆ ได้ผลิตในปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่การกำหนด “เจ้าภาพสถิติสาขาต่างๆ” ตลอดจนได้ศึกษามาตรฐานคุณภาพสถิติและแนวทางการพัฒนาสถิติแต่ละประเภทอีกด้วย การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนงานในระดับสาขาและระดับพื้นที่ต่อไป

View :1404

ก.ไอซีที ร่วมโครงการทางด่วนนี้ดีจัง เปิดศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน และ e-library ใต้ทางด่วน ถ.สุขุมวิท

January 21st, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังพิธีเปิด ”ศูนย์ชุมชนสร้างสรรค์” ใต้ทางด่วนบริเวณ ถ.สุขุมวิท (เพลินจิต) ว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้มีดำริเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ให้พัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนสุขุมวิท (เพลินจิต) เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว กระทรวงฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของนโยบายดังกล่าว ซึ่งมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน จึงได้ร่วมมือกับภาคี ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และการทางพิเศษแห่งประเทศ สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน โดยการจัดตั้ง ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนในพื้นที่ใต้ทางด่วนเพลินจิตขึ้น

“กระทรวงฯ และภาคีจากภาคส่วนต่างๆ ได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนแห่งนี้ให้เป็นพื้นที่ชุมชนสร้างสรรค์ เพื่อให้เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้แก่เด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว โดยกระทรวงฯ ได้สนับสนุนอุปกรณ์ในการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ที่ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย 1 ชุด เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลทั่วไป 12 ชุด เครื่องพิมพ์ ระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง คู่สายโทรศัพท์ และอินเทอร์ข่ายไร้สาย (WiFi) จำนวน 4 จุด นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ ที่สามารถให้บริการสืบค้นและให้บริการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีเนื้อหาครอบคลุมในเรื่องต่างๆ รวมถึงด้านการส่งเสริมสุขภาวะ โดยใช้เนื้อหาของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตามอัธยาศัย และสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ ICT เป็นสื่อให้แก่ เยาวชน และชุมชน” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนแห่งนี้ เป็นศูนย์ลำดับที่ 1,880 ภายใต้ “โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน” ของกระทรวงฯซึ่งได้วางเป้าหมายการจัดตั้งเอาไว้ในบริเวณชุมชน โรงเรียน และศาสนสถาน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดกิจกรรมที่หลากหลาย และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแก่เด็ก เยาวชน รวมถึงประชาชนในชุมชน ให้สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนนี้ กระทรวงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประชาชน รวมถึงส่งเสริมให้มีการพัฒนาสังคมอย่างเท่าเทียม ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในด้านต่างๆ ของชุมชน รวมทั้งการเข้าถึงบริการภาครัฐ (e-Services) และการแลกเปลี่ยนความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ระหว่างชุมชนได้โดยทั่วกัน

View :1469

อนุฯคุ้มครองโทรคมนาคม ระบุจากบทเรียนดีแทค ต้องออกมาตรการแจ้งเตือนผู้บริโภครู้ตัวล่วงหน้า

January 19th, 2012 No comments

มติอนุฯคุ้มครองโทรคมนาคม ระบุต้องออกมาตรการแจ้งเตือนผู้บริโภครู้ตัวล่วงหน้า กรณีปัญหาดีแทคสัญญาณล่ม พร้อมเสนอให้ผู้ให้บริการเดิมจ่ายตังค์ค่าย้ายเครือข่ายหากผู้บริโภคจะใช้บริการคงสิทธิเลขหมายเพราะเจอปัญหาเครือข่ายล่ม

จากกรณีปัญหาสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ล่มถึง 3 ครั้งในระยะเวลาไม่ถึงเดือนนั้น นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับผู้บริโภคจำนวนนับล้านรายที่ใช้บริการ และสร้างความเสียหายกับชื่อเสียงของบริษัทเองด้วย จึงถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของดีแทค ทั้งนี้ในการประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีการหารือในกรณีนี้และมีมติว่า ให้มีการกำหนดเป็นประกาศ หรือมาตรการ เรื่องการแจ้งเตือนหากมีการปรับปรุงระบบที่อาจมีผลกระทบต่อมาตรฐานการให้บริการ โดยการแจ้งเตือนผู้บริโภคควรมีระดับการแจ้งเตือน 2 ระดับคือ ระดับที่ 1 กรณีการปรับปรุงระบบที่มีความเสี่ยงว่า จะเกิดผลกระทบกับการใช้บริการ ผู้ให้บริการจะต้องแจ้งเตือนให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้า เช่นเดียวกับไฟฟ้า หรือประปา ระดับที่ 2 กรณีที่มีการปรับปรุงระบบแล้วเกิดปัญหาจนส่งผลกระทบกับการใช้บริการในวงกว้าง บริษัทจะต้องแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการโดยการสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะเพื่อรับทราบสถานการณ์ทันที

นางสาวสารีกล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ยังได้หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบสัญญาณการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่า ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างวิศวกรของบริษัทผู้ให้บริการและ สำนักวิศวกรรมของสำนักงาน กสทช. เพื่อดูระดับความเสี่ยงในกระบวนการปรับปรุงระบบสัญญาณทั้งหมด และร่วมกันกำหนดว่าความเสี่ยงระดับใดควรมีการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการล่วงหน้า

“เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หลายคนคิดว่า โทรศัพท์ตัวเองเสีย ดังนั้นพอเกิดเหตุการณ์ปุ๊บภายใน 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง ต้องแจ้งต่อสาธารณะทราบ คนจะได้เลิกสงสัย บางคนแฟนโทรหา เจ้านายโทรหาก็คิดว่า ปิดเครื่องหนีหรือเปล่า เพราะไม่ทราบสาเหตุ เพราะทุกเจ้าเวลาปรับปรุงระบบเมื่อไหร่ก็จะมองว่า เป็นงานประจำ ความเสี่ยงต่ำ ก็จะไม่แจ้งเตือน แต่ครั้งนี้ชัดเจนว่า งานประจำของเค้ามีความเสี่ยงมากมาก ดังนั้นจึงควรมีการหารือว่า ขั้นตอนไหนมีความเสี่ยงก็ต้องประกาศให้ทราบล่วงหน้า และต้องนำกระบวนการปรับปรุงระบบทั้งหมดมากาง และติกลงไปเลยว่า ขั้นตอนนี้ ต้องประกาศแจ้งเตือน โดยอาจกำหนดโดยวิศวกร ก็บังคับไปและทำเช่นนี้ทุกเจ้า ก็จะเกิดระดับชั้นว่า การปรับปรุงระบบระดับไหนต้องแจ้งเตือน เช่น การให้บริการอินเทอร์เน็ตบางเจ้าจะมีการแจ้งเตือนว่า ช่วงเวลาใดใช้บริการไม่ได้ หากมีภารกิจจะต้องใช้งานจะได้เตรียมการณ์ได้ถูก ถือเป็นเรื่องปกติ เพื่อให้ผู้บริโภครู้ตัวล่วงหน้า” นางสาวสารีกล่าว

นางสาวสารีกล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมยังมีมติให้มีการออกระเบียบว่า กรณีมีปัญหาสัญญาณซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของผู้ให้บริการ จนทำให้ผู้ใช้บริการขาดความเชื่อมั่น หากผู้ใช้บริการต้องการย้ายเลขหมายไปใช้บริการกับผู้ให้บริการรายอื่น ผู้ให้บริการรายเดิมต้องเป็นรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการใช้บริการคงสิทธิเลขหมายของผู้ใช้บริการรายนั้นๆ และจะได้เสนอมติดังกล่าวไปยังประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคมต่อไป

“เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและให้บทเรียนกับผู้ให้บริการว่า ถ้าโครงข่ายคุณมีปัญหาบ่อยๆ ผู้ใช้บริการก็จะหนีนะ เช่น ใช้บริการแล้วเจอปัญหาล่ม 3 ครั้งจะย้ายเครือข่าย ก็ต้องควักเงินเอง 99 บาท ตรงนี้ผู้ให้บริการรายเดิมควรเป็นผู้รับผิดชอบหากการโอนย้ายนั้นมีสาเหตุมาจากปัญหาสัญญาณล่ม และคงสิทธิเลขหมายก็เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค ซึ่งเราก็พบว่า มีผู้บริโภคที่เพิ่งซื้อซิมการ์ดของดีแทคมา ยังไม่ได้ใช้ปรึกษาเข้ามาว่าจะย้ายค่ายได้หรือไม่ ซึ่งอันนี้เป็นสิทธิตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ “ นางสาวสารีกล่าว

View :1394

ทรู ดิจิตอลพลัส ชู Cover Dance Project ปฏิบัติการเฟ้นหาเกมเมอร์ขาแดนซ์ Magic World 2 Online

January 19th, 2012 No comments

และแฟนคลับ Prince Kacha หวังทุบสถิติ ผู้เล่นออนไลน์ทะลุ 3 หมื่นคน

ทรู ดิจิตอล พลัส ผู้ให้บริการเกมออนไลน์ชั้นแนวหน้าของประเทศ ตอกย้ำความสำเร็จของเกมแนว MMORPG อีกครั้งหลังสร้างยอด CCU กว่า 15,000 กับปฏิบัติการเอาใจวัยทีน ด้วยกิจกรรม “Prince Kacha Cover Dance Project” เพื่อกระตุ้นตลาด พร้อมเปิดตัวท่าเต้น และเพลง “ไม่เคยแพ้” ในการประกวด Cover dance ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 50,000 บาท พร้อมลุ้นมีทแอนด์กรี๊ดกับ คชา AF8 แบบใกล้ชิด หวังทุบสถิติใหม่ เพิ่มผู้เล่นออนไลน์ (CCU) สูงกว่า 30,000 มั่นใจเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเกมออนไลน์อีก 10% ให้กลุ่มทรู

นายมานะ ประภากมล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู ดิจิตอล พลัส จำกัด กล่าวว่า “ทรู ดิจิตอล พลัส ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจเกมออนไลน์ และผู้ให้บริการเกมออนไลน์ Good Game (GG) ที่เน้นกลยุทธ์ สร้างความต่างอย่างมีระดับ เน้นความโดดเด่นของการเล่นเกมดี สร้างสังคมดี เอาใจเกมเมอร์อีกครั้ง ด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดกับโครงการ “Prince Kacha Cover Dance Project” ของ คชา AF8 พรีเซ็นเตอร์เกมออนไลน์ “” เกมแนว MMORPG (Massive Mult-player Online Role Playing Game) พร้อมเปิดตัวท่าเต้น และเพลง “ไม่เคยแพ้” ในกิจกรรมการประกวด Cover dance เพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่า 40,000 บาทพร้อมลุ้นมีทแอนด์กรี๊ดกับ คชา AF8 แบบใกล้ชิด

โดยกิจกรรมครั้งนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากความสำเร็จเกินคาดจากการเปิดตัวเกม “Magic World 2 Online” เกมแนว MMORPG (Massive Mult-player Online Role Playing Game) ในปีที่ผ่านมา โดยใช้ คชา AF8 เป็นพรีเซ็นเตอร์ กระทั่งสามารถสร้างปรากฏการณ์ Magic World 2 Online Fever ที่ทำยอด CCU ทะลุ 15,000 หลังเปิดตัวไม่นานจากการตอบรับเป็นอย่างดีของเหล่าเกมเมอร์ และกลุ่มผู้เล่นใหม่ จนเกิดเป็นกิจกรรม “Prince Kacha Cover Dance Project” ขึ้นเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดในเกมแนว MMORPG

“กิจกรรมครั้งนี้เป็นการเปิดพื้นที่ให้สำหรับเกมเมอร์ ร่วมถึงเหล่าแฟนคลับที่ชื่นชอบการเต้น ที่จะได้เข้ามาร่วมกิจกรรมที่สร้างสรรค์ อีกทั้งยังได้ใกล้ชิด Idol ของตัวเอง และทรูยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันสามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ทั้งแบบเดี่ยวหรือกลุ่ม เพื่อให้ได้แสดงฝีไม้ลายมือกันเต็มที่ โดยจะเปิดโอกาสให้เพื่อนๆ ของแต่ละทีมเข้ามาร่วมโหวตได้เต็มที่” นายมานะกล่าว

สำหรับกติกาการร่วมกิจกรรมสุดมันส์นี้เปิดกว้างให้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเต้นทุกเพศทุกวัย สามารถร่วมสนุกได้ทั้งแบบเดี่ยวหรือแพ็คกันมาเป็นทีม แต่ไม่เกิน 8 คน สามารถออกแบบจินตนาการท่าเต้นได้สุดล้ำ มีท่าบังคับอยู่ที่ท่อน Hook ของเพลงที่ต้องเต้นแบบ หนุ่มคชา AF8 และท่าจบด้วยโลโก้ของเกม MW2

จากนั้นส่งคลิปเข้าร่วมประกวดและร่วมโหวตได้ที่ http://mw2.truelife.com/kacha ได้ ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 18 มกราคม – 24 กุมภาพันธ์ 2555 โดยจะตัดสินจากคะแนนการโหวต สูงสุด 3 อันดับ ซึ่งทีมที่ได้รับรางวัลที่ 1 จะได้รางวัลเงินสดมูลค่า 20,000 บาท พร้อมของรางวัลจากผู้ร่วมสนับสนุน รางวัลที่ 2 ได้รับรางวัลเงินสดมูลค่า 10,000 บาทและรางวัลที่ 3 ได้รับรางวัลเงินสด 5,000 บาท พร้อมของรางวัลจากผู้ร่วมสนับสนุนเช่นกัน โดยทั้ง 3 อันดับจะได้ร่วมถ่าย MV เพลง ไม่เคยแพ้ของ คชา AF8 พร้อม Meet&Greet แบบ Close-up

และกติกาสาหรับผู้ร่วมโหวตนั้น สามารถร่วมโหวตผลงานที่ส่งเข้าร่วมกิจกรรมะต้องมี ID True Life สามารถ กด Like ผ่าน True ID ได้ 5 คะแนน Share ได้ 1 คะแนน โหวตผ่าน ID Magic World 2 Online โหวต ได้ 10 คะแนน โดยสามารถร่วมโหวต ได้ที่ http://mw2.truelife.com/kacha

นอกจากนี้ยังจะมีไอเทมพิเศษและของที่ระลึกไว้สำหรับเกมเมอร์ และแฟนคลับร่วมสะสมถึง 12 แบบตลอดทั้งปี เพื่อนำไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ของ Prince Kacha ที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 อีกด้วย โดยผู้ที่ซื้อของที่ระลึกและ ไอเท็มพิเศษชิ้นแรก Saber Tooth สัตว์ขี่สุดเท่ห์ จะได้รับสิทธิ์ลุ้นเข้าร่วม Meet&Greet ในเดือนมีนาคม เพียงลงทะเบียนก่อนเริ่มเลี้ยงภายในเดือนกุมภาพันธ์แล้วเลี้ยงสัตว์ขี่ให้โตเต็มที่ จากนั้นก็ลุ้นการประกาศผลในเดือนมีนาคม 2555 ทันที ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวสามารถเข้าไปดูรายละเอียดและดาวน์โหลดเกมได้ที่ www.MW2.in.th ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

สาหรับ Magic World 2 Online มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายนิสิต นักศึกษา และวัยทำงาน อายุ 18-25 ปี ที่ชื่นชอบเกมออนไลน์ เชื่อมั่นว่าด้วยกิจกรรมดังกล่าวจะ สามารถเพิ่มจำนวนเกมเมอร์ได้ ไม่ต่ำกว่า 30,000 CCU ภายในปี 2555 โดยนายมานะยังกล่าวต่อว่ากลยุทธ์ที่สาคัญที่จะช่วยทา ให้ ทรู ดิจิตอล พลัส ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำตลาดเกมออนไลน์แนว MMORPG นั้นจะเน้นและให้ความสำคัญไปที่ผู้เล่นกลุ่มใหม่ๆ ด้วยการเปิดแคมเปญใหม่โดยใช้ Brand Ambassadors รวมไปถึงการพัฒนาเนื้อหาในเกมให้แน่นขึ้นโดยจะมีการอัพเดทภายในเกมแบบต่อเนื่อง ทั้งสัตว์พาหนะ สัตว์เลี้ยงต่างๆ และลูกเล่นและกิจกรรมในเกมที่จะมีอย่างต่อเนื่องทั้งปี มุ่งเน้นการบริการที่สามารถรองรับทุกความต้องการของผู้เล่นได้ครบและครอบคลุมที่สุด

ปัจจุบัน ทรู ดิจิตอล พลัส มีเกมดังในเครือ 5 เกม คือ Special Force, FIFA Online, Hip Street, Revo และ Magic World 2 Online ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากคอเกมชาวไทย โดยเกมออนไลน์แนว MMORPG จะยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาดเกมออนไลน์ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% ซึ่งทรู ดิจิตอล พลัส จะเปิดตัวเกมใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายเพื่อรองรับกับความต้องการของผู้บริโภค และก้าวสู่การเป็นผู้นำเกมออนไลน์ในที่สุด

View :1748

ไอเซ็บ และ ม.หอการค้าไทย ถกทิศทางธุรกิจสื่อ หลัง กสทช. เดินหน้าประกาศใช้ พ.ร.บ. กสทช. เต็มรูปแบบ

January 18th, 2012 No comments

โดย ดร.ภูษณ ปรีย์มาโนช ประธานสถาบันฯ จับมือกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดย รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี และดำเนินการจัดงานโดยACE (เอ๊ซ) จะจัดงานสัมมนา เรื่อง “ทิศทางและโอกาสของธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ ยุคใหม่” หวังกระตุ้นให้ภาคเอกชนในแวดวงสื่อสารมวลชน และโทรคมนาคม เตรียมความพร้อมหลังคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 เต็มรูปแบบ

ดร.ภูษณ ปรีย์มาโนช ประธานสถาบันนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ (ISEP) กล่าวถึงแนวคิดในการจัดงานครั้งนี้ว่า เนื่องด้วยพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 จะมีผลบังคับใช้และมีการแต่งตั้งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่ง ชาติ (กสทช.) ซึ่งอำนาจหน้าที่มิได้มีเพียงการจัดสรรคลื่นความถี่ การออกใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือการประมูลคลื่นความถี่ 3G เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ของประเทศทั้งระบบ โดยเฉพาะภาครัฐที่ดูแลกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่จะต้องคืนคลื่นความถี่ และสัญญาสัมปทานที่มีอยู่เดิม การยกเลิกสัมปทานวิทยุและโทรทัศน์ทั้งหมด การเรียกคืนคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์จากเจ้าของเดิม เพื่อการนำมาเปิดประมูลใหม่เพื่อการพาณิชย์ จึงเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตามว่า จะเกิดผลกระทบอย่างไรในสังคมไทยต่อจากนี้ไป

ด้านรองศาสตราจารย์ดร. เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ ควบคู่กับการมีแผนแม่บท ของ กสทช. ตลอดจนการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ นำไปสู่การเป็นดิจิทัล ทีวีเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ภาคประชาชนได้รับสัญญาณในระบบดิจิทัลอย่างทั่วถึง และกรอบการกำกับดูแลเชิงเศรษฐกิจจะส่งผลต่อการแข่งขันในอนาคตอย่างไร ทั้งนี้ ทิศทางของเศรษฐกิจและธุรกิจภายหลังมี กสทช. จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้างนั้น การสัมมนาครั้งนี้จะเป็นตัวบ่งชี้กิจการวิทยุ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมอื่นๆ ของประเทศไทย

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า กสทช. มีความยินดีที่จะสนับสนุนการจัดสัมมนาในครั้งนี้ เพราะจะทำให้ประชาชนทั่วไปรวมไปถึงผู้ประกอบกิจการชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อจากนี้ไป โดยเฉพาะในเรื่องของตัวเลือกและความหลากหลายของบริการด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ตลอดจนการเตรียมความพร้อมก่อนที่กฎหมาย กสทช. จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ดังนั้น จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้ประกอบการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฟังและแสดงความคิดเห็นในงานสัมมนาดังกล่าว รับรองว่าจะสามารถสร้างความกระจ่างให้กับทุกท่านได้อย่างแน่นอน

ด้านผู้แทนจากภาคธุรกิจ การเงิน นายพรชัย ประเสริฐสินธนา กรรมการ และ ผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางด้านการเงินการลงทุนก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ต้องเตรียมพร้อมรองรับต่อการเปลี่ยนแปลง การเปิดเสรี ในวงการสื่อสารมวลชนและโทรคมนาคม ครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้เช่นกัน การเตรียมความพร้อมและให้ข้อมูลที่ชัดเจน จะส่งผลโดยตรงกับตลาดเงิน และตลาดทุน ในด้านการแข่งขันและการเจริญเติบโตของธุรกิจวิทยุ โทรทัศน์ และการโทรคมนาคม ตลอดจนการเกิดสื่อใหม่ ๆ ซึ่งในขณะนี้ได้มีการจัดทีมรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับกลุ่มนักธุรกิจสื่อสารมวลชน ในวันสัมมนาที่จะจัดขึ้น

ทั้งนี้ สถาบันนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ (ISEP) ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สนับสนุนโดย กสทช.จึงริเริ่มจัดงานสัมมนางานแรก เรื่อง“ทิศทางและโอกาสของธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ยุคใหม่” ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 09.00 – 16.30 น. ณ ห้องเมจิก ชั้น 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ดอนเมือง โดยมีเป้าหมาย เพื่อเปิดเวทีการแลกเปลี่ยนความเห็นของ นักวิชาการ นักธุรกิจ ผู้รู้ และผู้มองเห็นอนาคต ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในวงการสื่อสารมวลชน และโทรคมนาคม อันจะส่งผลกระทบโดยตรงทั้งในเชิงเศรษฐกิจ และสังคม อันเนื่องมาจาก พ.ศ.2553 วิทยากรระดับแถวหน้าจากหลากหลายวงการ จากภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน อาทิ พันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการ กสทช. จำนรรค์ ศิริตัน นายกสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ปราโมทย์ โชคศิริกุลชัย ที่ปรึกษากรรมการ ผู้จัดการ กลุ่มบีอีซี เวิลด์ 1 วสันต์ ภัยหลีกลี้ รองผู้อำนวยการทีวีไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มร.คาริม ซาลามาเทียน บริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด

นอกจากนี้ยังมี ดร.นิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้แทนจาก ไมโครซอฟ กูเกิ้ล ปังย่าเกมส์ บริษัท อินิทรี ดิจิตอล จำกัด อารักษ์ ราษฎร์บริหาร กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สปริงนิวส์ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) เป็นต้น โดยมี รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม คณะบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อสารและโทรคมนาคมเป็นผู้ดำเนินรายการ และมีหัวข้อที่ท้าทายและน่าสนใจ อาทิ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โฉมหน้าใหม่ของธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ไทย อุปสรรคและความท้าทายของธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ ประเทศไทย ความท้าทายธุรกิจสื่อใหม่ (New Media) รูปแบบใหม่ของการแข่งขันในธุรกิจวิทยุและโทรทัศน์ ประเทศไทย…. ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการแข่งขันอย่างไร เป็นต้น เชื่อว่า งานสัมมนาครั้งนี้จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางใหม่ ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมกับ พ.ร.บ. กสทช. ฉบับนี้ ได้อย่างแน่นอน

ผู้สนใจเข้าร่วมฟังสัมมนา สามารถจองบัตรได้แล้ววันนี้ที่ ACE (เอ๊ซ) โทร.02 254-8282-3

View :1410

ทรู เผยโฉมผู้ชนะ “ทรู อินโนเวชั่น อวอร์ดส์ 2011”

January 18th, 2012 No comments

19 สุดยอดผลงานนวัตกรรมใช้ ได้จริง จาก 1,291 ผลงานทั่วประเทศ คว้าเงินรางวัลกว่า 1 ล้านบาท

ดร.อาชว์ เตาลานนท์ รองประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรูภูมิใจอย่างยิ่งที่โครงการ “” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ร่วมกับหลักสูตรเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักข่าวต่างประเทศ CNBC ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับล้นหลาม มีผู้ส่งผลงานนวัตกรรมเข้าร่วมประกวดในประเภท IDEA SEED (เมล็ดพันธุ์ความคิด) และ INNO TREE (สุดยอดนวัตกรรม) รวมทั้งสิ้น 1,291 ผลงานทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นจากครั้งแรกที่ผ่านมาเกือบ 2 เท่า มีผู้ร่วมแข่งขันทั้งกลุ่มนิสิต นักศึกษา และองค์กร ตลอดจนกลุ่มชุมชนที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อประโยชน์และคุณค่าให้แก่สังคมท้องถิ่น สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเริ่มตื่นตัวและสนใจนวัตกรรมมากขึ้น ทั้งนี้ ผลงานทั้งหมดสามารถนำไปพัฒนาและใช้ได้อย่างรูปธรรม ตรงกับแนวคิด “The Reality” ปีนี้ ซึ่งผู้ชนะการประกวดทุกทีม จะได้รับเงินรางวัล
มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท โดยกลุ่มทรูมุ่งมั่นจัดการประกวด “ทรู อินโนเวชั่นอวอร์ดส์” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้นวัตกรไทยนำเสนอความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานนวัตกรรมเพื่อให้ประเทศเจริญก้าวหน้า อีกทั้งยกระดับขีดความสามารถของคนไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ”

สำหรับการประกวด “ทรู อินโนเวชั่น อวอร์ดส์ 2011” มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 1,291 ผลงานทั่วประเทศ แบ่งเป็น IDEA SEED (เมล็ดพันธุ์ความคิด) แนวคิดแผนธุรกิจนวัตกรรม จำนวน 994 ผลงานและ INNO TREE (สุดยอดนวัตกรรม) ผลงานนวัต
กรรมที่มีการสร้างขึ้นจริง จำนวน 297 ผลงาน โดยประกาศผลการตัดสินเมื่อวันอังคารที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา ณ เซ็นเตอร์พ้อยท์ เพลย์เฮาส์ ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์และมีรายละเอียดดังนี้

IDEA SEED (เมล็ดพันธุ์ความคิด)
1. ประเภท Gold ได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท ได้แก่
ผลงาน “เธอคือลมหายใจ…เครื่องตรวจเบาหวานจากลมหายใจ”

2. ประเภท Silver 4 รางวัลๆ ละ 20,000 บาท ได้แก่
1. ผลงาน “ตรวจเชื้อแบคทีเรียอีโคไลในอาหารด้วยตาเปล่า”
2. ผลงาน “Easy Open Egg”
3. ผลงาน “Thai Musical Instrument’s Supportive Learning Kit”4. ผลงาน “AgroSense War-room”

3. ประเภท Bronze 4 รางวัลๆ ละ 5,000 บาท ได้แก่
1. ผลงาน “กระติบข้าวอัตโนมัติ”
2. ผลงาน “แคปซูลหลบภัยสึนามิ (Tsunami Escape Safety Capsule)”
3. ผลงาน “ระบบตอบสนองต่อสัญญาณกล้ามเนื้อด้วยเกมส์แอนิเมชั่น และการ
กระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยสัญญาณไฟฟ้าเพื่อบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยโรคอัมพาต”
4. ผลงาน “Braille Cell ปุ่มกดสำหรับคนพิการ”

INNO TREE (สุดยอดนวัตกรรม)
1. ประเภท Gold ได้รับเงินรางวัล 500,000 บาท ได้แก่
ผลงาน “เครื่องมือยึดจับกระดูกจากภายนอกชนิดยืดหยุ่น”

2. ประเภท Silver 4 รางวัลๆ ละ 50,000 บาท ได้แก่
1. ผลงาน “Robo-Blocks: ระบบเขียนโปรแกรมแบบจับต้องและโต้ตอบได้สำหรับเด็ก”
2. ผลงาน “อุปกรณ์ตรวจจับตำแหน่งนิ่ว และควบคุมการยิงคลื่นช็อกเวฟอัตโนมัติ สำหรับเครื่องสลายนิ่ว”
3. ผลงาน “SAX for ALL (Vibrato Mold Injection Saxophone)”
4. ผลงาน “วัสดุฉลาดเพื่อการใช้งานทางการแพทย์”

3. ประเภท Bronze 5 รางวัลๆ ละ 10,000 บาท ได้แก่
1. ผลงาน “ของเล่นเพื่อพัฒนาเด็กพิการ”
2. ผลงาน “แคบหมูกึ่งสำเร็จรูปสำหรับไมโครเวฟ”
3. ผลงาน “การผลิตปุ๋ยอินทรีย์แบบกองแถวยาวไม่พลิกกลับกอง วิธีวิศวกรรมแม่โจ้ 1”
4. ผลงาน “เครื่องอัดภาชนะขึ้นรูปใส่อาหารจากวัสดุใบไม้ เพื่อทดแทนกล่องโฟมและพลาสติก”
5. ผลงาน “ระบบดูแลผู้ป่วยและผู้ชราด้วยอุปกรณ์โครงข่ายเซ็นเซอร์ร่างกายไร้สายและโทรศัพท์มือถือ”

นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษ Best Inspiration 2 รางวัลๆ ละ 10,000 บาท ได้แก่
1. ผลงาน “Monofilament ชุดตรวจเท้าเบาหวานจากศูนย์ฯ 41 คลองเตย”
2. ผลงาน “ของเล่นเพื่อพัฒนาเด็กพิการ”

View :1656

สรอ. จัดทัพประกาศแนวรุกรัฐบาลไทยก้าวสู่ยุค “Smart Government” ยกระดับงานบริการไอทีภาครัฐ ในรูป e-Services แบบก้าวกระโดด

January 18th, 2012 No comments

สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (สรอ.) จัดทัพประกาศแนวรุกดันรัฐบาลไทยก้าวสู่ยุค “Smart Government” ชู 4 พันธกิจหลักประกาศแผนเร่งด่วนพัฒนาการใช้ไอทีในภาครัฐ หวังยกระดับ e-Services ให้บริการประชาชนได้เต็มพิกัด พร้อมลดงบประมาณภาครัฐได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมวาง “Roadmap” คาด 4 ปีข้างหน้าพลิกโฉมการบริการภาครัฐด้านอิเล็กทรอนิกส์ ทำได้แบบครบวงจร และมีมาตรฐานกลาง

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่า เป้าหมายในการผลักดันให้เกิด Smart Government คือ ภาคประชาชนได้รับการบริการที่ดียิ่งๆ ขึ้น ภาครัฐจึงต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว และใช้งบประมาณให้น้อยที่สุด ที่สำคัญต้องเลือกเทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด และเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเน้นเรื่อง Speed (ความเร็ว) มาเป็นอันดับหนึ่ง จึงเร่งให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์หรือ สรอ.คิดค้นโครงการที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนภาครัฐบาลไปสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างรวดเร็ว และใช้ต้นทุนต่ำ และเป็นตัวกลางเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานรัฐที่มากกว่าหนึ่งหน่วยงานเข้าด้วยกัน พร้อมเพิ่มระดับความเร็วในการเชื่อมโยงบริการโดยประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเองอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน

สิ่งที่จะได้เห็นต่อไปจากนี้ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าวทั่วประเทศ หรือโครงการอื่นๆ อีกจำนวนมาก จะเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และเชื่อมข้อมูลแต่ละหน่วยงานถึงกันได้เป็นอย่างดี สามารถรองรับการบริการไปสู่ภาคเอกชนอีกด้วย โดยบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ต้องสามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น คาดว่าภายในครึ่งปีนี้จะเริ่มมีบริการต่างๆ ของภาครัฐทยอยเข้ามาใช้ระบบฐานข้อมูลบัตรประชาชน ดังนั้น Roadmap ที่สรอ. กำลังดำเนินการจะเป็นการทำให้เกิด Paradigm Shift หรือการทำให้มาตรฐานของต้นแบบถูกยกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง โดยมีคำว่า Speed (ความเร็ว) เป็นตัวขับเคลื่อน มีระดับนโยบายคอยส่งเสริม โดยเฉพาะกฎระเบียบ และการประสานงานในระดับนโยบาย

ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สรอ. ได้ถูกจัดตั้งเป็นองค์กรมหาชน เพื่อเป็นหน่วยงานที่จะต้องเข้ามาดูทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ และการบริหารจัดการโครงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสร้างมาตรฐานกลางให้กับไอทีภาครัฐทั้งหมด โดยมี 4 พันธกิจหลักที่มีเป้าหมายในการผลักดันให้ภาครัฐของไทยก้าวสู่การเป็น “Smart Government” ดังนี้ 1.สร้างเครือข่ายและพัฒนาความรู้ไปสู่การเป็น Smart Government ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรไอทีภาครัฐ 2. สร้างโครงสร้างพื้นฐานและแอพพลิเคชันร่วม เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ของภาครัฐ เป็นต้น 3. ยกระดับ e-service และบูรณาการ Back office ด้วยการทำให้แต่ละหน่วยงานภาครัฐสามารถเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกันสร้างเป็นบริการใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น และ 4. สร้างสถาปัตยกรรมและมาตรฐานให้เกิดขึ้นในระบบไอทีภาครัฐ ที่จะต้องสอดรับกับแนวนโยบายของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ต้องการให้สรอ.จำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างองค์กรการทำงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยงบประมาณไม่มากและเกิดการบูรณาการอย่างเป็นระบบอันจะนำไปสู่การใช้ไอทีในภาครัฐที่คาดว่าจะทำให้ ลดงบประมาณโดยรวมได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานอีกประการหนึ่งที่ถือว่าเป็นแผนดำเนินการเร่งด่วนของสรอ.คือ การทำระบบ Government Data Center หรือศูนย์ข้อมูลกลางภาครัฐให้มีมาตรฐานและแข็งแกร่งในการรองรับระบบฐานข้อมูลของทุกหน่วยงานได้ โดยศูนย์นี้เป็นพื้นฐานเพื่อนำไปสู่ระบบ Government Cloud Service ที่จะทำให้การบริการภาครัฐเข้าสู่ระบบออนไลน์อย่างสมบูรณ์แบบ โดยอาศัยการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านโครงสร้างเครือข่ายอย่าง Government Information Network 2.0 (GIN 2.0) ซึ่งเป็นงานที่กระทรวงไอซีทีได้มอบหมายให้ สรอ.ดำเนินการและจะมีการเร่งรัดให้โครงการนี้สำเร็จให้เร็วที่สุด เพื่อให้เป็นทางเลือกหลักในการสร้างระบบเครือข่ายทั้งหมด ตลอดจนการดูแลทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยไอทีของภาครัฐ ผ่านระบบโครงสร้าง Government Security Monitoring (GovMon) และมีระบบ Government Nervous System หรือ GNS ที่ สรอ. จะต้องจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการติดตามสถานภาพการดำเนินงานด้านรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีแผนงานเร่งด่วนที่ไม่ใช่งานทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ สรอ.ต้องเร่งดำเนินการภายในปี 2555 คือ การสร้างระบบอีเมล์ของภาครัฐหรือ MailGoThai ที่จะทำให้ง่ายและใช้งานได้จริง โดยที่บุคลากรภาครัฐไม่ต้องไปใช้งานอีเมล์จากต่างประเทศ และจะเป็นอีเมล์ที่ติดตัวไปทุกที่แม้จะมีการโยกย้ายตำแหน่งในภายหลังก็ตาม รวมไปถึงการสร้างระบบ e-Government Portal ที่จะรวบรวมบริการและการแบ่งปันความรู้ในด้านต่างๆ ให้กับทั้งบุคลากรภาครัฐและประชาชนทั่วไปในอนาคต โดยการทำงานทั้งหมดเป้าหมายของสรอ.กับหน่วยงานภาครัฐก็คือการเข้าสู่ระบบ Paperless Government หรือหน่วยงานรัฐไร้กระดาษ

สำหรับในระยะถัดไป สรอ. ต้องจัดเตรียมการดำเนินงานเรื่องใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐ หรือ Government Certification Authority (GCA) สำหรับรองรับกระบวนการทำงานทางอิเล็กทรอนิกส์ของข้าราชการ เพื่อให้เป็นมาตรฐานในการสร้างระบบความปลอดภัยข้อมูลการติดต่อสื่อสารของคนภาครัฐในขั้นต่อไปจากการเน้นให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของ สรอ. ในครั้งนี้ทำให้ สรอ. จะต้องทำหน้าที่เป็น PMO ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและบริการภาครัฐ โดยเน้นด้านคุณภาพบริการเป็นหลัก เพื่อทำให้ระบบภาครัฐทั้งหมดเกิดความมั่นใจ เพื่อนำไปสู่การประยุกต์ใช้ระบบไอทีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยสรอ.จะเน้นการรับฟังความเห็นของหน่วยงานรัฐทั้งหมดมาเป็นพื้นฐาน และมีการทำวิจัยรองรับมากขึ้น รวมถึงการทำระบบ SLAs หรือข้อกำหนดในการให้บริการที่ชัดเจน และเป็นมาตรฐานสากล โดยปรับแต่งให้เข้ากับหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะ ในปัจจุบัน SLAs ของภาคเอกชนเองก็มีความแตกต่างกันไปตามจุดเด่นทางการตลาด ซึ่งของสรอ.จะมุ่งเน้นการให้บริการภาครัฐเท่านั้น ทำให้เกิดจุดแข็งที่แตกต่างอย่างมาก

อย่างไรก็ดีคาดว่าภายใน 4 ปีข้างหน้า สรอ.จะก้าวสู่เป้าหมายที่จะต้องทำให้เอกสารภาครัฐที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์สามารถทำได้อย่างครบวงจร และต้องเข้าไปแทรกอยู่ทุกกระบวนการการทำงานในส่วนของหน่วยงานภาครัฐต้องเปิดบริการประชาชนที่ไม่ต้องนำสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน โดยสามารถเชื่อมต่อกับบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดได้โดยตรง และข้อมูลสามารถดึงเชื่อมกันได้ด้วยมาตรฐานเดียวกันรวมถึงบริการ IT Service ของภาครัฐสามารถจัดซื้อจัดจ้างในแบบบริการสาธารณูปโภค โดยในเบื้องต้นผ่านระบบ Cloud Computing และต้องเข้าสู่ระบบจ่ายตามการใช้งานจริง ใช้น้อยจ่ายน้อย ใช้มากจ่ายมาก โดยที่ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ IT ของภาครัฐ ลดลง 30-50 % และหน่วยงานภาครัฐต้องสร้างการทำงานในแบบทำงานที่บ้านได้หรือ Work at Home ผ่านโครงสร้างสาธารณูปโภคทางด้านไอทีที่มีประสิทธิภาพมีการปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ IT ของภาครัฐไปสู่การเป็นเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ (Project Manager) และเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล (MIS Manager) นอกจากนั้นต้องมีการซ้อมแผนสำรองฉุกเฉินเป็นแนวปฏิบัติทั่วไปของหน่วยงานรัฐขึ้นมา

ดร.ศักดิ์ กล่าวต่อว่า เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของกระทรวงไอซีที คือ สรอ.จะเป็นตัวกลางในการผลักดันการเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานรัฐที่มากกว่าหนึ่งหน่วยงานเข้าด้วยกัน ซึ่งในปี 2555 นี้ไม่เพียงสร้างมาตรฐานการเชื่อมต่อที่เป็นจริงแล้วยังเพิ่มระดับความเร็วในการเชื่อมโยงบริการโดยประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเองอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าวทั่วประเทศ หรือโครงการอื่นๆ อีกจำนวนมาก จะเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และเชื่อมข้อมูลแต่ละหน่วยงานถึงกันได้เป็นอย่างดีและที่สำคัญจะได้เห็นประชาชนที่ถือบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์สามารถนำความสามารถของบัตรเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ซึ่งภายในครึ่งปีนี้คาดว่าจะเริ่มมีบริการต่างๆ ของภาครัฐทยอยเข้ามาใช้ระบบฐานข้อมูลบัตรประชาชน และคาดว่าเมื่อถึงปลายปีจะมีมากกว่าสิบหน่วยงานที่รองรับได้

นอกจากนี้สรอ.ยังต้องเป็นฝ่ายวิชาการในการค้นคว้าและสร้างมาตรฐานทางวิชาการใหม่ๆ ให้กับภาครัฐทั้งหมด การสร้าง Government Enterprise Architecture ขึ้นมา รวมถึงการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อทำให้ Speed ของการบริการภาครัฐไทยในด้านอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปแบบก้าวกระโดด ดังนั้น Roadmap ที่สรอ.กำลังจะดำเนินการไปนั้นต้องถือว่าเป็นการทำให้เกิด Paradigm Shift หรือการทำให้มาตรฐานของต้นแบบถูกยกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง โดยมีคำว่า Speed เป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อผลักดันให้เกิด Smart Government และนำไปสู่การเกิด Smart ต่างๆ ขึ้นอีกมากมาย อีกด้วย
# # #

View :1414