Archive

Archive for February, 2012

ไมโครซอฟท์สนับสนุนนักพัฒนาเว็บไซต์ไทยสู่สากลด้วยเทคโนโลยี HTML5 ผ่านโครงการ “Travel Thailand, Bring Back the Land of Smiles”

February 22nd, 2012 No comments


บริษัท (ประเทศไทย) จำกัด มุ่งผลักดันเทคโนโลยีมาตรฐานล่าสุด ผ่านโครงการแข่งขันออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ “Travel Thailand, Bring Back the Land of Smiles” โดยเชิญชวนนักพัฒนาเว็บไซต์ไทยให้ใช้เทคโนโลยี ในการพัฒนาเว็บไซต์ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ด้วยความสามารถพิเศษต่างๆ ของ อาทิ Responsive Web Design ที่สามารถแสดงมุมมองที่เหมาะสมบนทุกอุปกรณ์ไอทีและบราวเซอร์ เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ของผู้บริโภคยุคใหม่

ความสามารถที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ HTML5 คือช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปิดไฟล์เสียงและวิดีโอผ่านบราวเซอร์ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมเสริมหรือปลั๊กอิน สามารถเล่นย้อนกลับไปมาได้อย่างอิสระ เว็บไซต์โซเชียลมีเดียชื่อดังระดับโลกอย่างเฟซบุ๊คนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์ไอทีที่หลากหลายได้ทุกที่ทุกเวลา ไมโครซอฟท์ ในฐานะหนึ่งในสมาชิก 150 องค์กร และกลุ่มทำงาน 350 แห่ง ที่สนับสนุนการสร้างมาตรฐานไอทีในระดับโลก ไม่ใช่เพียงให้ผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์สามารถทำงานร่วมกับโอเพ่นซอร์ส แต่ส่งเสริมให้โอเพ่นซอร์ส์ทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์ได้เป็นอย่างดี จึงพร้อมผลักดันการใช้งาน HTML5 เทคโนโลยีมาตรฐานใหม่นี้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์ไอทีที่หลากหลาย บนแพล็ตฟอร์มใดก็ได้ ในทุกที่ทุกเวลา โดยผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์ที่กำลังจะออกสู่ตลาดในเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นวินโดว์ 8 และอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ 10 () ต่างสนับสนุนการทำงานของ HTML5 โดยเฉพาะอินเทอร์เฟซแบบ Metro Style จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ

สงวน ธรรมโรจน์สกุล ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมนักพัฒนา บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด


นายสงวน ธรรมโรจน์สกุล ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมนักพัฒนา บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกและผู้ร่วมสนับสนุนการสร้างมาตรฐานไอที ไมโครซอฟท์ผลักดันแนวคิด Interoperability ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำงานร่วมกันของระบบต่างๆ และเล็งเห็นถึงความสำคัญในการร่วมผลักดันเทคโนโลยีมาตรฐานล่าสุดที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานไอทีให้กับผู้ใช้ ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย และ HTML5 คือเทคโนโลยีล่าสุดที่จะเข้ามาช่วยต่อยอดการทำงานของนักพัฒนาเว็บไซต์ ให้ผลงานสามารถแสดงผลอย่างเหมาะสมผ่านหน้าจอที่หลากหลายของอุปกรณ์และแพลตฟอร์มต่างๆ โดยไม่มีข้อจำกัด บริษัทฯ หวังว่าผลงานการออกแบบเว็บไซต์ภายใต้โครงการแข่งขันออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ “Travel Thailand, Bring Back the Land of Smiles” จะช่วยสร้างการรับรู้และขยายการใช้งาน HTML5 ในวงกว้างในประเทศไทย อีกทั้งช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี”

หลังจากเปิดตัวไปเมื่อกลางเดือนมกราคม 2555 โครงการแข่งขันออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ ภายใต้หัวข้อ “Travel Thailand, Bring Back the Land of Smiles” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีนักพัฒนาเว็บไซต์เข้าร่วมกว่า 300 คน สำหรับจำนวนแฟนของเฟซบุ๊คแฟนเพจ HTML5 Developer Thailand ซึ่งเป็นช่องทางการรับสมัครและศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างไมโครซอฟท์และผู้สมัคร ก็เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 คนแล้ว

เว็บไซต์ชื่อดังของไทยที่ก่อตั้งมายาวนานถึง 15 ปี ถือเป็นเว็บไซต์ของไทยเว็บไซต์แรกที่ตัดสินใจปรับปรุงเว็บไซต์ โดยนำเทคโนโลยี HTML5 มาพัฒนา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการข้อมูลข่าวสารออนไลน์ของผู้ใช้ในปัจจุบัน โดยพันทิปดอทคอมถือเป็นศูนย์กลางสังคมออนไลน์สำหรับข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเงิน ภาพยนตร์ การทำอาหาร ท่องเที่ยว สัตว์เลี้ยง การถ่ายภาพ ครอบครัว อุปกรณ์สื่อสาร ไอทีและอีกมากมาย มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์สูงถึง 700,000 คนต่อวัน โดยเว็บไซต์รูปแบบใหม่ที่พัฒนาบนเทคโนโลยี HTML5 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการประมาณเดือนกรกฎาคม

ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์พันทิปดอทคอม หัวหน้าทีมพัฒนาเว็บไซต์พันทิปดอทคอม


นายอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์พันทิปดอทคอม หัวหน้าทีมพัฒนาเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กล่าวถึงการหันมาใช้เทคโนโลยี HTML5 ว่า “ผู้บริโภคมีความต้องการที่จะเข้าถึงข้อมูลและบริการเว็บไซต์ทุกที่ทุกเวลา โดยเฉพาะปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต่างๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเทคโนโลยี HTML5 ตอบโจทย์ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่ เราจึงตัดสินใจนำ HTML5 มาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเว็บไซต์พันทิปดอทคอมในลุคใหม่”

นายอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินโครงการแข่งขันออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ “Travel Thailand, Bring Back the Land of Smiles” นอกจากนี้ ยังมีกรรมการจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย และเว็บไซต์ Blognone ที่ต่างร่วมกันผลักดันและสนับสนุนให้นักพัฒนาเว็บไซต์ไทยได้ใช้เทคโนโลยี HTML5 ในการสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่มีคุณภาพ โดยกิจกรรมต่อไปภายใต้โครงการฯ นี้คือ ทริปถ่ายภาพ ที่จะนำรูปมาให้ผู้สมัครเข้าแข่งขันได้ใช้งาน จะจัดขึ้นที่จังหวัดอยุธยา ในวันที่ 3 มีนาคม 2555 และคอร์สอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี HTML5 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงต้นเดือนมีนาคม โดยโครงการฯ ได้ขยายเวลาปิดรับสมัครไปจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2555 เนื่องจากมีผู้สนใจเข้าร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://html5thailand.com

View :3424

SEA-EU-NET partners in science พันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลกนำคณะสื่อมวลชนต่างประเทศ เข้าศึกษาดูงานวิจัยด้าน S&T ในภูมิภาคเอเชีย

February 21st, 2012 No comments

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้การต้อนรับคณะพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลก SEA-EU-NET (Souteast Asia European Network) ที่นำคณะสื่อมวลชนจากต่างประเทศ เข้าเยี่ยมชมและศึกษา พร้อมร่วมสังเกตการณ์งานวิจัยต่างๆ ของ สวทช. เพื่อศึกษาทิศทาง แนวโน้ม การทำงานด้านการวิจัยและพัฒนาของไทย

โครงการ SEA-EU-NET (Souteast Asia European Network) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างยุโรปกับเอเชีย ที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่าง 2 ภูมิภาค โดยปีนี้ ทาง SEA-EU-NET มีโครงการที่จะมาศึกษาดูงานวิจัยในประเทศไทย โดยระบุเลือก สวทช. เป็นสถานที่ศึกษาดูงาน เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพในการทำงานวิจัยที่พัฒนาประเทศโดยตรง

View :1426

แสนสิริจับมือยูนิเซฟชู “สิทธิในการเล่น” ด้วยแคมเปญ Social Network “เล่นด้วยกัน ปันให้น้อง”

February 21st, 2012 No comments

บริษัท จำกัด (มหาชน) ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยเปิดตัวแคมเปญบนเครือข่ายออนไลน์ที่ชื่อ “เล่นด้วยกัน ปันให้น้อง” หรือ Let’s Play Togetherเพื่อสนับสนุนให้เด็กๆ ที่ขาดแคลนมีโอกาสได้เล่นกีฬาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาการของเด็กๆ

แคมเปญนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักในเรื่อง “สิทธิในการเล่นของเด็ก” ในหมู่คนรุ่นใหม่ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กๆและเป็นตัวแทนส่งต่อความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิในการเล่นอย่างง่ายๆ เพียงแค่เข้าร่วมเล่นและออกแบบเสื้อกีฬาออนไลน์ผ่านช่องทางหลักคือ www.letsplaytogether.com หรือ www.facebook.com/unicefthailand

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแคมเปญ Let’s Play Together นี้ถือเป็นการต่อยอดโครงการ Sansiri Academy ซึ่งเปิดสอนฟุตบอลฟรีให้แก่เด็กและเยาวชนไทยโดยโค้ชที่มีชื่อเสียง เพื่อสนับสนุนให้ เด็กที่รักในกีฬาฟุตบอลมีโอกาสได้เรียนรู้หลักสูตรกีฬาฟุตบอลจากโค้ชที่ได้รับ Licenseซึ่งจะเป็นทักษะที่อยู่กับตัวเด็กต่อไป

“จากการร่วมงานกับยูนิเซฟในปีที่ผ่านมา เราพบว่าแสนสิริเป็นภาคเอกชนที่ส่งเสริมสิทธิเด็กในด้านต่างๆ เช่น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การยุติการใช้แรงงานเด็กในทุกโครงการก่อสร้างของแสนสิริและการสนับสนุนกฎหมายเกลือเสริมไอโอดีนผ่านโครงการ IODINE PLEASE ในเครือข่ายออนไลน์ เราจึงอยากต่อยอดการสร้างเครือข่ายออนไลน์เพื่อส่งเสริมสิทธิเด็กด้านอื่นๆ เช่น สิทธิในการเล่นและเรียนรู้เราต้องการให้เด็กในโรงเรียนเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลได้มีอุปกรณ์กีฬาที่จำเป็นสำหรับพัฒนาการของพวกเขา” นายเศรษฐากล่าว

นายโทโมโอะ โฮซูมิ ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยกล่าวว่าเด็กๆ มีสิทธิที่จะเรียนรู้และเล่นสนุก ซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก การเล่นจะช่วยให้เด็กๆ สามารถพัฒนาทางร่างกาย อารมณ์และสังคมแต่ปัจจุบันเด็กจำนวนมากกลับขาดพื้นที่ในการเล่นตลอดจนอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก

View :1602

ลอจิเทคเปลี่ยนโลโก้ใหม่ สะท้อนพลัง “Forward Thinking”

February 21st, 2012 No comments

ลอจิเทค ประกาศวันนี้ว่า บริษัทได้เปลี่ยนสัญลักษณ์หรือโลโก้ Logitech ใหม่มาเป็นโทนสีเทา ซึ่งได้รับการออกแบบและปรับแต่งให้เป็นสัญญลักษณ์ที่สามารถสะท้อนให้เห็นพลังแห่งการคิดไปข้างหน้า (forward thinking) ขณะเดียวกัน ยังแสดงถึงพลังความแข็งแกร่ง หนักแน่น และเป็นโลโก้ที่ดูร่วมสมัยมากขึ้น

โลโก้ใหม่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์และเครื่องหมายของคำว่า “Logitech” เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการระบุตัวตนของแบรนด์ลอจิเทค นอกจากนี้ ยังสามารถตอบสนองผู้บริโภคที่มักมองหาแบรนด์ที่มีความเป็นมืออาชีพ และมีสไตล์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของพวกเขา กล่าวโดยรวมแล้ว โลโก้ใหม่ในโทนสีเทาจะช่วยให้แบรนด์ Logitech ก้าวมุ่งไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง และยังเรียกความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น สำหรับโลโก้ใหม่ของ Logitech มีผลบังคับใช้ทันที
เกี่ยวกับลอจิเทค

View :1643

เวสเทิร์น ดิจิตอลส่ง WD Sentine DX4000 เจาะกลุ่มธุรกิจ SMB

February 21st, 2012 No comments

ผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายใหม่ล่าสุด โดดเด่นด้วยระบบจัดเก็บ-สำรอง-ปกป้อง และกู้คืนข้อมูลแบบรวมศูนย์สำหรับอุปกรณ์ภายในเครือข่ายได้มากถึง 25 ตัว มั่นใจเต็มร้อยสำหรับการเชื่อมต่อ ปกป้องและเชื่อมประสานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (WD) ผู้นำด้านระบบการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลระดับโลก ล่าสุดประกาศเปิดตัว WD Sentinel™ DX4000 ซึ่งเป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายที่สมบูรณ์แบบที่ได้รับการออกแบบโดยเฉพาะเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMB) ในปัจจุบัน


WD Sentinel DX4000 ประกอบด้วยซอฟต์แวร์ของระบบปฏิบัติการ Windows® Storage Server 2008 R2 Essentials และใช้ซีพียู Intel® D525 Dual Core Atom โดย WD Sentinel DX4000 เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบใช้ร่วมกันจากส่วนกลาง และสามารถสำรองและกู้คืนอุปกรณ์บนเซิร์ฟเวอร์แบบอัตโนมัติได้สูงสุดถึง 25 ตัว (เครื่องพีซีและเครื่อง Mac®) ที่อยู่ในเครือข่าย มอบการปกป้องข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์ด้วยฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้วในตัว และซอฟต์แวร์ที่มีความซ้ำซ้อนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับระบบสำหรับอุปกรณ์ทุกตัวที่เชื่อมต่อในเครือข่าย WD Sentinel DX4000 มาพร้อมความจุขนาด 4 และ 8 เทราไบต์ ทำให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสามารถขยายความจุในการจัดเก็บบนเซิร์ฟเวอร์ในสำนักงานขนาดเล็กได้ ในขณะที่ความต้องการด้านธุรกิจและความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ เซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลสำหรับสำนักงานขนาดเล็ก WD Sentinel DX4000 ยังทำหน้าที่เป็นเสมือน “ที่จัดเก็บข้อมูลด้วยระบบคลาวด์ในสถานที่ตั้ง” สำหรับ SMB ด้วย

“เซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลสำหรับสำนักงานขนาดเล็ก WD Sentinel เป็นที่จัดเก็บ สำรอง และรักษาความปลอดภัยให้กับระบบการเข้าถึงข้อมูลจากระยะไกลที่สมบูรณ์แบบสำหรับ SMB ทุกราย” โธมัส กัลลิแวน รองประธานฝ่ายการตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของ WD กล่าวและเสริมว่า “ความสามารถในการเป็นที่จัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ ณ สถานที่ตั้ง และการเข้าถึงข้อมูลจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัยทำให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและพนักงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับไลฟ์สไตล์แบบเคลื่อนที่ในปัจจุบัน WD นำเสนอโซลูชันที่ไม่ต้องใช้มือในการควบคุมให้กับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก อันเป็นการนำเสนอการปกป้องข้อมูลที่สมบูรณ์แบบและมอบความน่าเชื่อถือที่ไม่มีใครเทียบได้”

ขณะที่เดวิด ทูวี่ ผู้จัดการทั่วไปของอินเทล ดาต้าเซ็นเตอร์ แอนด์ คอนเน็ค ซิสเต็ม กรุ๊ป กล่าวว่า “ความต้องการในการประสานงานกันระหว่างอุปกรณ์จำนวนมากกับที่ตั้งหลายแห่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูลจากส่วนกลางในสภาพแวดล้อมของ SMB ในปัจจุบัน อินเทลกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมและบริษัทต่างๆ อย่างเช่น เวสเทิร์น ดิจิตอล เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่เป็นตัวหลักของระบบจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ และนำเสนอแพลตฟอร์มสำหรับ SMB ในการจัดการ จัดระเบียบ และรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของตน เพื่อรับประกันถึงความต่อเนื่องทางธุรกิจ”

โธมัส พีเฟนนิ่ง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลของไมโครซอฟท์แสดงความเห็นว่า “ด้วยการสร้างขึ้นบน Windows Storage Server ทำให้ WD Sentinel สามารถมอบศักยภาพของ Windows Server ในการจัดเก็บและการให้บริการไฟล์แก่ลูกค้าที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กได้ รวมถึงระบบที่มุ่งเป้าหมายเป็นการเฉพาะที่ภาคธุรกิจ SMB และเราก็ดีใจที่จะได้เห็น WD Sentinel ให้บริการแก่ลูกค้าของเราทั้งสองฝ่าย”

WD Sentinel DX4000


ไม่ว่าจะเป็นแบบส่วนตัวหรือสำหรับใช้ในการทำงานก็ตาม เนื้อหาดิจิตอลและไฟล์ที่สำคัญล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ และมักจะไม่สามารถแทนที่กันได้ หากสูญหายหรือถูกเจาะข้อมูล เซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลสำหรับสำนักงานขนาดเล็ก WD Sentinel นำเสนอหลายวิธีสำหรับธุรกิจในการปกป้องข้อมูลของตนโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง WD Sentinel ได้รับการกำหนดค่าล่วงหน้าแล้วด้วยฮาร์ดไดรฟ์ระดับองค์กร ใช้เทคโนโลยี RAID ในการการปกป้องข้อมูลที่จัดเก็บ ใช้ซอฟต์แวร์การสำรองและกู้คืนข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ที่มีอยู่แล้วภายในตัว มีพอร์ตเครือข่ายที่ซ้ำซ้อนและทางเลือกพลังงานที่ซ้ำซ้อนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับระบบ นอกจากนี้ WD Sentinel ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการที่จัดเก็บข้อมูลบน “ระบบคลาวด์สาธารณะ” ซึ่งเป็นการนำเสนอโซลูชันในการกู้คืนความเสียหายแบบเบ็ดเสร็จและประหยัดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหว ถูกลักขโมย เพลิงไหม้ หรือความเสียหายจากน้ำ

ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกับ WD Sentinel ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและพนักงานมีอิสระและความยืดหยุ่นในการที่จะเข้าถึงไฟล์จากระยะไกล และแบ่งปันไฟล์กับพนักงานที่อยู่ภายนอก ที่ปรึกษาอิสระ และสำนักงานสาขาอื่นๆ ที่ใดก็ได้ในโลก

ปกป้องข้อมูลได้ถึงห้าชั้น
WD Sentinel DX4000 มอบการปกป้องข้อมูลถึงห้าชั้นสำหรับอุปกรณ์ทุกตัวที่อยู่ในเครือข่ายของสำนักงานขนาดเล็ก และยังได้รับบริการสนับสนุนจาก WD Guardian Services
1. ฮาร์ดไดรฟ์ที่อยู่ภายในเครื่อง: ได้รับการกำหนดค่าล่วงหน้าด้วยฮาร์ดไดรฟ์ระดับองค์กรที่ได้รับรางวัลชนะเลิศของ WD เพื่อความคงทนและความน่าเชื่อถือ
2. เทคโนโลยี RAID: มีระดับการปกป้องข้อมูลและความเร็วตั้งแต่ระดับ 1 ถึง 5
3. การสำรองข้อมูลรายวัน: ซอฟต์แวร์สำรองและกู้คืนข้อมูลแบบอัตโนมัติจะทำการสำรองข้อมูลบนระบบอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนทุกวันสำหรับอุปกรณ์ที่อยู่บนเครือข่ายสูงสุด 25 ตัว เพียงแค่ตั้งค่า จากนั้นซอฟต์แวร์จะจัดการส่วนที่เหลือให้คุณเอง
4. ความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบซ้ำซ้อน: ดูอัลกิกะบิตอีเธอร์เน็ตที่ได้รับการกำหนดค่าในระบบการป้องกันความผิดพลาดแบบประยุกต์ (AFT) จะสลับไปยังพอร์ตเครือข่ายที่สองโดยอัตโนมัติในกรณีที่เครือข่ายล่ม
5. การปกป้องเสริมด้วยการกู้คืนความเสียหาย: เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กโดยซอฟต์แวร์เสริมสำหรับกู้คืนความเสียหาย และจัดเก็บข้อมูลของคุณไว้นอกสถานที่สำหรับกู้คืนความเสียหาย

WD Sentinel ได้รับการรับรองให้สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการหลายระบบ รวมถึง Windows XP, Windows Vista® และ Windows 7 นอกจากนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Mac OS X® Leopard® และ Snow Leopard® สำหรับการแบ่งปันไฟล์ระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows, Mac และ Unix/Linux และช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งปันไฟล์ร่วมกับลูกค้า ที่ปรึกษา และบุคลากรระหว่างสำนักงานโดยไม่ต้องคำนึงว่าใช้ระบบปฏิบัติการใดอยู่

WD Sentinel DX4000 ได้รับการสนับสนุนโดยบริการและการสนับสนุนลูกค้าระดับโลกจาก WD ลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กทุกรายที่ใช้ WD Sentinel จะได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคฟรีนาน 30 วันนับจากที่มีการโทรเพื่อขอรับบริการครั้งแรก ลูกค้า WD Sentinel ยังสามารถอัพเกรดแผนบริการได้จากหนึ่งในสามตัวเลือกต่อไปนี้
1. WD Guardian Express: เสนอบริการเปลี่ยนชิ้นส่วนในวันถัดไป รวมถึงการจัดส่งและจัดการค่าใช้จ่าย
2. WD Guardian Pro: เสนอข้อตกลงในการสนับสนุนหนึ่งปีด้วยบริการ WD บริการเปลี่ยนชิ้นส่วนแบบด่วน และรับสิทธิการสนับสนุนทางเทคนิคตามลำดับความสำคัญ
3. Guardian Extended Care: บริการที่ขยายการรับประกันผลิตภัณฑ์จากมาตรฐานสามปีเป็นห้าปี

WD Sentinel DX4000 วันนี้มีจำหน่ายแล้วผ่านตัวแทนจำหน่ายของ WD ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ราคาแนะนำของรุ่นความจุ 4 เทราไบต์ อยู่ที่ 33,080 บาท ส่วนรุ่นความจุ 8 เทราไบต์ ราคา 49,620 บาท

View :1461

บริจาคหนังสือสู่มือน้องๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น “The Flying Book” กับกิจกรรม “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง”

February 21st, 2012 No comments

โครงการ One by One: เปิดโลกกว้างทางปัญญา โดยมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยและบริษัท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่ “” ซึ่งเป็นการบริจาคหนังสือรูปแบบใหม่ ครั้งแรกของโลกที่นำเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Location-based Service มาใช้ในการปล่อยนกหนังสือสู่มือน้องๆ ในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ผ่านแอพพลิเคชั่นบนไอโฟนหรือไอแพด และไมโครไซต์ www.flyingbook.org ภายใต้กิจกรรม “ แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง”

“Flying Book” เป็นนวัตกรรมการบริจาคหนังสือในรูปแบบเสมือนจริง ผ่านแอพพลิเคชั่นบนไอโฟนหรือ ไอแพด และผ่านไมโครไซต์ ที่ให้ประชาชนสามารถเลือกหนังสือที่ตัวเองต้องการและทำการส่งให้น้องอย่างง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยเมื่อกดปล่อยหนังสือบินออกไป แอพพลิเคชั่นนี้จะแสดงรูปและระยะทางการบินของหนังสือว่ากำลังบินไปหาน้องๆ ผ่านเวลาและสถานที่จริงจนถึงมือน้อง เช่นเดียวกับการปล่อยหนังสือบินจากไมโครไซต์ www.flyingbook.org ภาพการปล่อยนกหนังสือจะแสดงผลผ่านโปรแกรมแฟลชแอนิเมชั่น เพื่อแสดงพิกัดการบินของหนังสือไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกันนั่นคือ น้องๆ ในโรงเรียนอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถติดตามการเดินทางของนกหนังสือได้จากทั้ง 2 ช่องทางทั้งบนไอโฟนหรือไอแพด และไมโครไซต์ www.flyingbook.org โดยมูลนิธิฯ จะมอบหนังสือที่ได้รับการกดส่งมากที่สุด 100 เล่มแก่ห้องสมุดแอมเวย์

ผู้สนใจสามารถร่วมทำความดีในการหยิบยื่นโอกาสการเรียนรู้ให้กับน้องๆ ได้ด้วยการร่วมบริจาคหนังสือผ่านกิจกรรม “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง” โดยสามารถปล่อยหนังสือบินผ่าน 2 ช่องทางคือ 1) ผ่านแอพพลิเคชั่น Flying Book บนไอโฟนและไอแพด ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก App Store และ 2) ผ่านไมโครไซต์ www.flyingbook.org ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2555

View :1685

จ๊อบส์ ดีบี ผนึกพันธมิตรจัดงาน “มหกรรมสมัครงานออนไลน์” ชูงานว่าง 30,000 อัตราจาก 200 บริษัทชั้นนำ

February 21st, 2012 No comments

จ๊อบส์ ดีบี ผนึกกำลังฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยด้วยการสร้างงานให้ประชาชน จับมือพันธมิตรธุรกิจชั้นนำกว่า 200 แห่ง นำโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เครือธนาคารกสิกรไทย กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย และ กลุ่ม ปตท. ฯลฯ เปิดรับสมัครงานคุณภาพกว่า 30,000 อัตรา ใน มหกรรมสมัครงานออนไลน์: Career Exhibition 2012 by ครั้งที่ 8 ณ ห้องเพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 16-18 มีนาคม 2555 ชูระบบ E–Recruitment Solution ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดสรรพนักงานคุณภาพ พร้อมเพิ่มความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยระบบ Barcode สมัครงานผ่านบัตร Career Card คาดยอดผู้ร่วมงานปีนี้กว่า 80,000 คน

นพวรรณ จุลกนิษฐ ผู้จัดการทั่วไป จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มหกรรมสมัครงานออนไลน์ปีนี้จัดเป็นปีที่ 8 โดยจ๊อบส์ ดีบี เป็นผู้ริเริ่มมหกรรมสมัครงานออนไลน์เป็นเจ้าแรกในไทย ซึ่งเป็นมหกรรมสมัครงานออนไลน์ที่ใหญ่ ทันสมัยและประสบความสำเร็จมากที่สุด ในปี 2554 มีผู้เข้าร่วมงานและสมัครงานกว่า 50,000 คน มีใบสมัครงานในตำแหน่งต่างๆ มากกว่า 370,000 รายการ ถือเป็นความภาคภูมิใจที่บริษัทฯ ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่าปีที่แล้ว คือราว 80,000 คน และคาดว่าจะมีจำนวนใบสมัครงานในตำแหน่งต่างๆ ราว 500,000 รายการ

จากภาพรวมตลาดแรงงานไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จึงเป็นโอกาสดีของผู้หางานที่จะได้งานใหม่ และบริษัทที่กำลังหาคนจะได้เลือกสรรบุคลากรได้เต็มที่ ขณะที่เว็บไซต์จัดหางานออนไลน์มีการแข่งขันสูงขึ้น การจะทำให้เว็บไซต์ติดตลาดได้นั้นเป็นเรื่องที่ยาก และยิ่งลูกค้าหรือผู้ใช้งานมีความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งเลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด ปีนี้บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นให้ลูกค้าหรือคนหางานได้รับประสบการณ์ที่ดีในการหางาน นั่นคือเมื่อเข้าเว็บไซต์มาแล้วสามารถหางานที่มุ่งหวังได้อย่างรวดเร็ว และผลการค้นหา Search ก็ออกมาถูกต้องแม่นยำ ซึ่งเป็นพื้นฐานแรกที่จะดึงดูดให้คนเข้ามาหางานผ่านเว็บไซต์มากขึ้น

สำหรับเทรนด์การหางานออนไลน์ตอนนี้ถือว่าเป็นเทรนด์ปกติ เพราะชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่จะหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต และใช้อุปกรณ์สื่อสารได้ทุกที่ ไม่ว่าจะที่บ้าน มือถือ โน้ตบุ๊ค แทบเล็ต รวมถึงเมื่อมีการเปิดใช้ระบบ 3G ก็ยิ่งทำให้คนเข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งตามคาดการณ์ในปีนี้จะมีคนใช้บริการหางานออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟน หรือแทบเล็ตมากขึ้น ในส่วนของจ๊อบส์ ดีบี ก็มีแอพลิเคชั่นรองรับระบบเหล่านี้เพื่อตอบสนองการใช้งานที่มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ได้แก่ iPhone Application, BB Application และแอนดรอยด์สำหรับบางยี่ห้อ

เกษร หวังวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบุคลากรและวางแผน กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย กล่าวว่า พานาโซนิคเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมหลากหลายในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ ดังนั้นตำแหน่งงานที่เปิดรับสูงสุด ก็คือ “วิศวกร” ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา (R&D) การออกแบบ (Design) การผลิต (Production) การควบคุมคุณภาพ (Quality) การขายและการบริการ (Sales & Service) เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ฯลฯ ในบริบทของโลกไร้พรมแดนในปัจจุบัน รวมถึงการนับถอยหลังสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างเข้มข้นในตลาดแรงงาน อันเนื่องมาจากการไหลเวียนอย่างเสรีของแรงงานในภูมิภาค การทำงานในบริษัทข้ามชาติที่มีเครือข่ายทั่วโลก เช่น Panasonic ซึ่งต้องติดต่อกับลูกค้า ซัพพลายเออร์ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินธุรกิจ ภาษาต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ และใช้ความรู้สร้างมูลค่าเพิ่มที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกผ่านกิจกรรมทางธุรกิจของเรา ดังนั้น ผู้หางานจึงควรพัฒนาทักษะทางธุรกิจ การสื่อสาร และภาษาต่างประเทศควบคู่กันไป เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคโลกาภิวัตน์

ด้านเดือนเพ็ญ ภวัครานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานทรัพยากรบุคคล ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เครือธนาคารกสิกรไทย มีความต้องการบุคลากรในตำแหน่งงานระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า ทางด้านสาขาบริหารธุรกิจ การเงินการธนาคาร เศรษฐศาสตร์ วิศวกรรม หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งควรต้องมีประสบการณ์ในงานด้านการวางแผนการเงิน สินเชื่อ การบริหารความเสี่ยง รวมไปถึงงานด้านการบริการและการขาย เป็นต้น โดยจะเน้นสรรหาบุคลากรที่เป็นคนเก่ง คนดี เข้ากับวัฒนธรรมขององค์กร คือ ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม มีความเป็นมืออาชีพ และ ชอบคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา สำหรับข้อเสนอแนะสำหรับผู้หางาน คือ ต้องการเชิญชวนให้มาร่วมงาน Career Exhibition 2012 นับว่าเป็นโอกาสดีที่ผู้หางานจะได้พบปะ พูดคุย และสอบถามเกี่ยวกับลักษณะงานกับองค์กรชื่อดังต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิด จึงอยากให้ผู้หางานได้พิจารณาและเลือกตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุด

ด้านความร่วมมือจากพันธมิตรหลักที่มาร่วมออกบูธรับสมัครงานในปีนี้ จ๊อบส์ ดีบี ได้รับเกียรติจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เครือธนาคารกสิกรไทย กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย และ กลุ่ม ปตท. ร่วมด้วยบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

กลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง ประเทศไทย บริษัท อมาเดอุส เอเชีย จำกัด เครือเบทาโกร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท เดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทล็อกซเล่ย์ บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (เทสโก้ โลตัส) บริษัท สยามมิชลิน จำกัด และบริษัทต่างๆ อีกรวมทั้งสิ้นกว่า 200 บริษัท

นอกจากบูธรับสมัครงานจากกว่า 200 บริษัทแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมอีกมากมายโดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลจากแต่ละบริษัทชื่อดัง ที่จะมาแนะเทคนิคเคล็ดลับดีๆ ให้แก่ผู้หางานตลอดทั้ง 3 วัน พร้อมพิเศษกับกิจกรรมเสวนา ติวเข้มเตรียมความพร้อมเข้าสัมภาษณ์งาน การเปิดเวที HR Forum พูดคุยกันระหว่างผู้บริหารจ๊อบส์ ดีบี และผู้บริหารฝ่ายบุคคลจากองค์กรชื่อดัง คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เครือธนาคารกสิกรไทย กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย ในหัวข้อ “เก่งและดี โดนใจนายจ้างยุคดิจิตอลกับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)”

ข้อมูลการจัดงาน “มหกรรมสมัครงานออนไลน์: Career Exhibition 2012 by JobsDB.com”

สำหรับรายละเอียดงาน Career Exhibition 2012 by JobsDB.com ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 ภายใต้ Concept “The Infinity” โดยมีความหมายถึง ที่สุดของมหกรรมสมัครงานออนไลน์ที่ก้าวมาสู่ความสำเร็จถึงปีที่ 8 ที่เราจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อเป็นที่ 1 ในใจของผู้ประกอบการและกลุ่มผู้หางานตลอดไป โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 มีนาคม 2555 นี้ ณ ห้องเพลนารีฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 19.00 น. งานเดียวที่รวบรวมบริษัทชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทยมาเปิดบูธให้ผู้หางานได้สมัครงานกันอย่างจุใจกว่า 200 บริษัท กว่า 30,000 อัตรา รายละเอียดติดตามได้จาก www.jobsdb.co.th/ce

ในปีนี้ยังคงมีระบบ E-Recruitment Solution ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตมาเพิ่มศักยภาพและพัฒนาประสิทธิภาพของระบบการสรรหาบุคลากร มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการและผู้กำลังมองหางาน โดยจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการคัดกรองข้อมูลให้ตรงกับความต้องการของทั้งสองฝ่ายให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ จ๊อบส์ ดีบี ยังได้นำระบบบาร์โค้ดมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัครงาน โดยไม่จำเป็นต้องนำประวัติ (resume) ในรูปแบบกระดาษมาเพื่อใช้สมัครงาน เพียงแต่บันทึกข้อมูลประวัติ (resume) ใส่ใน thumb drive มาเท่านั้น หรือลงทะเบียนฝากประวัติก่อนเข้าร่วมงานได้ที่ www.jobsdb.co.th/ce จากนั้นก็สามารถมารับบัตร Career Card ที่หน้างาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับการสมัครงานให้มีความทันสมัย สะดวก รวดเร็ว พร้อมสามารถสมัครงานหลายตำแหน่ง หลายบริษัทได้ภายในไม่กี่วินาที

กิจกรรมก่อนวันงานเป็นกิจกรรมออนไลน์ “ลงทะเบียนล่วงหน้า ลุ้นรับโบนัสต่อที่ 1 กับ JobsDB” เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้า ผ่าน www.jobsdb.co.th/ce พร้อมบอกต่อเพื่อนให้ร่วมสนุกและลงทะเบียน ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับโบนัสรวมมูลค่า 4,000 บาท ทุกสัปดาห์ ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 13 มีนาคม 2555 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-667-0832

สำหรับกิจกรรมต่างๆ ภายในงาน ประกอบด้วย
1. การเปิดเวทีเสวนา HR Forum โดย ผู้บริหารฝ่ายบุคคลจากองค์กรชั้นนำของประเทศไทยหัวข้อ “เก่ง และ ดี โดนใจนายจ้างยุคดิจิตอล กับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)”
2. แจกคู่มือหางาน (ฉบับใหม่ล่าสุด) สำหรับ 1,000 คนแรกที่มาร่วมงานในแต่ละวัน
3. กิจกรรมจากฝ่ายทรัพยากรบุคคลจากแต่ละบริษัทชื่อดัง ที่จะมาแนะเทคนิคเคล็ดลับดีๆ ให้แก่ผู้หางานตลอดทั้ง 3 วัน และในวันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2555 เวลา 16.30 – 17.00 น. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (จำกัด) มหาชน ได้เชิญณัฐ ศักดาทร (นัท) นักร้อง AF เข้าร่วมกิจกรรมบนเวทีกลาง และกิจกรรมในบูธ
4. กิจกรรมโหวต ได้แก่
- รางวัลสุดยอดบริษัทในฝัน (The Most Admired Company) – รางวัลสำหรับบริษัทที่มีคนอยากทำงานด้วยมากที่สุดในงาน CE2012
- สุดยอดบริษัทประทับใจ (The Best Impressive Exhibitor) – รางวัลสำหรับบริษัทที่ Jobseeker มีความประทับใจทั้งด้านการให้บริการ การให้ข้อมูล การตอบข้อซักถามไขข้อสงสัยได้เป็นอย่างดี ด้วยมิตรไมตรีและยิ้มแย้มแจ่มใส
- สุดยอดบูธสวยโดนใจ (The Best Design Booth) – รางวัลสำหรับบริษัทที่ออกแบบและตกแต่งบูธได้สวยงาม โดดเด่น และสะดุดตา
ซึ่งบริษัทที่ได้รับการโหวตในแต่ละประเภทจะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณจาก JobsDB ส่วนผู้ที่ร่วมสนุกในการโหวตแต่ละวัน จะได้ลุ้นรับ Gift Voucher วันละ 4,000 บาท
5. กิจกรรม Hire me Please! เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้มาร่วมงานเลือกถ่ายรูปกับ Screen พร้อม Post ภาพมันส์ๆ ขึ้นบน Facebook โชว์เพื่อนๆ ได้ทันที
6. กิจกรรม “Big Bonus ต่อที่ 2 โดนใจ คนได้งาน” เพียงคุณชวนเพื่อนมาสมัครงานใน CE2012 หากคุณหรือเพื่อนได้งานที่สมัครไว้ รับโบนัสโดนใจแบบแพ็คคู่ โดยนำ Career Card มาแสดงจะได้รับ Big Bonus มูลค่ารางวัลละ 10,000 บาท ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4 รางวัล

View :1475

ออโตเดสก์เทคโนโลยี เบื้องหลังความสำเร็จการ์ตูนอะนิเมชั่นชื่อดัง “การผจญภัยของตินติน”

February 20th, 2012 No comments


เวต้า ดิจิตอล สร้างก้าวใหม่ให้วงการอะนิเมชั่นหลังคว้ารางวัลออสการ์ด้วยซอฟต์แวร์จากออโตเดสก์

, อิงค์ (NASDAQ: ADSK) ผู้นำซอฟต์แวร์เพื่องานออกแบบ 3มิติ งานวิศวกรรมและเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ได้โอกาสพาการ์ตูนคลาสสิกชื่อดัง “” (The Adventures of Tintin) กลับคืนสู่จอเงิน โดยปีเตอร์ แจ็คสัน แห่งสตูดิโอเวต้า ดิจิตอล (Weta Digital) ชื่อดังที่นิวซีแลนด์เลือกใช้ออโตเดสก์ซอฟต์แวร์ Digital Entertainment Creation (DEC) ในการนำตินตินกลับมาโลดแล่นเสมือนจริงในรูปแบบงานอะนิเมชั่นเรียลไทม์ ซึ่งซอฟต์แวร์นี้เป็นซอฟท์แวร์ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ที่ใช้ในการเปิดตัวเรื่อง “อวาตาร” ในปี 2552

สตีเฟ่น สปีลเบิร์กสร้างตัวละครที่ประพันธ์โดยนักเขียนชาวเบลเยี่ยม Hergé ให้ติดอยู่ในบ็อกซ์ออฟฟิศได้อย่างไร้ข้อกังขาถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งทำรายได้มากกว่า 360 ล้านดอลลาร์จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้มาที่สุดในปี 2554 ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเอาประสบการณ์ภาพ 3มิติมาผสมผสานเข้ากับการจับภาพและการสร้างภาพยนตร์แบบเสมือนจริงสำหรับภาพยนตร์อะนิชั่น

“ความสามารถในการจับภาพแบบดิจิตอล ควมละเอียดอ่อนต่างๆ ของการแสดงของตัวละครและการย้ายข้อมูลที่เป็นดิจิตอลในช่วงระหว่างก่อนการผลิต, ขั้นตอนการผลิต และหลังการผลิตได้เปิดประสบการณ์ให้กับการสร้างภาพยนตร์เป็นอย่างมาก” กล่าวโดย โจ เลตเตอรี่ ผู้บริหารของ Weta Digital Senior VFX “เราสามารถสร้างฉากเสมือนจริงเพื่อให้ผู้กำกับภาพยนตร์สามารถวางโครงสร้างในแต่ละช็อตให้กับตัวละครในสภาพแวดล้อมต่างๆ เหมือนการจัดฉากในการแสดงจริง การจับภาพนี้ใช้สำหรับการให้แสง, การจำลองต่างๆ พื้นผิวและใช้สำหรับส่วนที่เหลือของกระบวนการหลังการผลิตทั้งหมด ในขณะที่เทคโนโลยีการสร้างคล้ายกับที่เราใช้ใน “อวาตาร” นั้นเราเข้าใจในเครื่องมือที่เราจำเป็นต้องใช้มากขึ้น และมีความสามารถในการปรับปรุงกระบวนการทำงานที่ช่วยให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจับภาพเคลื่อนไหวจากฉากไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการผลิต”

กระบวนการผลิตภาพยนตร์สำหรับ “Tintin” นั้นร่วมภาพแสดงผลจากนักสร้างสรรค์จากเวต้า ดิจิตอล และการสร้างองค์ประกอบดิจิตอลของภาพยนตร์ที่มีความละเอียดต่ำใช้ Autodesk Maya สำหรับอะนิเมชั่น 3มิติและใช้ซอฟต์แวร์ visual effects และนำข้อมูลเหล่านั้นไปสู่สภาพแวดล้อมเสมือนจริง การแสดงของจริงของตัวละครในฉากนั้นถูกจับภาพโดยใช้ Autodesk MotionBuilder ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์อะนิเมชั่นสำหรับตัวละคร 3มิติแบบเรียลไทม์ ที่จัดหาแพลตฟอร์มที่สอดคล้องกันที่สามารถให้ทีมงานผู้งานผลิตเริ่มกระบวนการทำงานได้รวดเร็ว สามารถทำซ้ำ และปรับแต่งรูปลักษณ์ของภาพยนตร์ตลอดกระบวนการผลิตได้ต่อเนื่อง การประยุกต์ใช้เทคนิคการผลิตเสมือนจริงกับการสร้างภาพภาพยนตร์ด้วยระบบ CG หรือการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายความเวต้า ดิจิตอล สามารถสร้างสภาพแวดล้อมและองค์ประกอบบนฉากที่เชื่อมกับกระบวนการประมวลผลภาพและทำให้สตีเฟ่น สปีลเบิร์กทำงานในแบบที่เขาทำในการแสดงของจริง เขายังสามารถใช้ทักษะเฉพาะตัวของเขาและได้ในสิ่งที่เขากำลังมองหาอยู่ในบริบททั้งหมดในโลกของ “Tintin” นอกจากนักแสดงจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ในการแสดงของจริงแล้ว พวกเขายังสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ และอาศัยอยู่ในโลกนั้นได้ทั้งร่างกายและเสียง

“เทคโนโลยีล่าสุดจากออโตเดสก์จะช่วยให้ผู้สร้างก้าวเข้าสู่โลกใหม่อันน่าทึ่งของการสร้างภาพยนตร์” กล่าวโดย มาร์ค เปติ รองประธานอาวุโสของออโตเดสก์มีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ “เครื่องมือเหล่านั้นช่วยให้เทคนิคต่างๆ เข้าถึงผู้ผลิตภาพยนตร์ในวงกว้าง สามารถแสดงความตั้งใจและความสามารถได้ชัดเจน สิ่งที่นักสร้างสรรค์และผู้คิดค้นนวัตกรรมต่างๆ จากเวต้า ดิจิตอล ได้รับจากเทคโนโลยีนี้ คือการบรรลุเป้าหมายในภาพยนตร์อะนิเมชั่นที่เต็มไปด้วยตัวละครอะนิเมชั่นที่พวกเขารักกับประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ที่ทำออกมาได้งดงามสมจริง”

“การผจญภัยของตินติน” เปรียบเสมือนเครื่องหมายการค้าสำหรับการผลิตภาพยนตร์เสมือนจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในสาขา Best Animated Feature Film “เวต้า ดิจิตอล มุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมได้สู่อนาคตเพื่อต่อยอดในสิ่งที่เป็นไปได้” กล่าวโดย เซบาสเตียน ซิลแวน ประธานคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโยโลยีที่เวต้า ดิจิตอล “ความต้องการต่อเทคโนโลยีของเรามีแนวโน้วที่จะซับซ้อนมากขึ้น และเราก็ทำงานร่วมกับสถาบันวิจัย, พาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมต่างๆ และผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างออโตเดสก์ เพื่อสร้างสรรค์เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดที่เราสามารถทำได้สำหรับนักสร้างสรรค์ของเรา ในเรื่อง “การผจญภัยของตินติน” นั้น เราได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่สนับสนุนจากออโตเดสก์ ที่ช่วยเราให้สร้างกระบวนการแสดงผลภาพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดได้”

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับออโตเดสก์ซอฟต์แวร์ที่เวต้า ดิจิตอล ใช้ในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “การผจญภัยของตินติน” สามารถเข้าชมได้ที่: http://area.autodesk.com/tintin

View :1870

ก.ไอซีที ร่วมเป็นเจ้าภาพ ITU Workshop on Emergency Communications and Information Management

February 20th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม on ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ร่วมกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ITU Workshop on ขึ้น ระหว่างวันที่ 20 – 22 กุมภาพันธ์ 2555 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสาธารณรัฐเกาหลี องค์การระหว่างประเทศด้านการจัดการภัยพิบัติ และหน่วยงานธุรกิจภาคเอกชนด้านโทรคมนาคม และ ICT

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


การประชุมฯ ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการถ่ายทอดข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์และกรณีศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมฯ จะได้รับทราบถึงวิธีการบริหารจัดการด้านสารสนเทศและการสื่อสารในการจัดการภัยพิบัติ และในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อนำไปใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนาแผนการบริหารจัดการสารสนเทศและการสื่อสารกรณีเหตุฉุกเฉิน ส่วนเนื้อหาของการประชุมฯ จะครอบคลุมประเด็นสำคัญ คือ นโยบายและกรอบการบริหารจัดการภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นโยบายการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมเพื่อเอื้อต่อการสื่อสารในกรณีเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ แผนการรับมือภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินภายในองค์กร รวมถึง business continuity plan

นอกจากนี้ ยังมีการประชุมในประเด็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาตรฐานระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉิน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การบริหารจัดการสารสนเทศและรายการสิ่งของในเหตุภัยพิบัติและกรณีฉุกเฉิน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างประเทศด้วย โดยการประชุมฯ ในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประมาณ 100 คน ซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานรัฐและภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทย ที่รับผิดชอบงานด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉิน ผู้แทนจากประเทศสมาชิก ITU ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก องค์การระหว่างประเทศที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติและการสื่อสารในกรณีเหตุฉุกเฉิน

View :1922

ก.ไอซีที เปิดแผนงานผลักดันโครงการ SMART THAILAND

February 20th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในการแถลงข่าว “แผนดำเนินงานเพื่อผลักดันโครงการ ” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของประเทศที่มีความพร้อมของโครงข่ายโทรคมนาคมลดลงเป็นอย่างมาก โดยจากการศึกษาของ World Economic Forum พบว่าอันดับความพร้อมใช้งานโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554 อยู่ที่อันดับ 59 ลดลงจากปี พ.ศ. 2549 ที่อยู่ในอันดับ 37 ขณะที่ประเทศ เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามนั้นมีอันดับที่ดีขึ้น ประเทศไทยจึงจำเป็นจะต้องพัฒนาด้าน ICT ทั้งในส่วนโครงสร้างพื้นฐาน และรูปแบบการ ใช้งาน (Applications) รวมทั้งบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อย่างเร่งด่วน เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจในยุค Digital economy

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


ดังนั้น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะหน่วยงานหลักซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาประเทศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงได้ดำเนินโครงการ SMART THAILAND ซึ่งเป็นโครงการที่สอดรับกับนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ และนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทยสำหรับปี พ.ศ. 2554-2563 หรือ ICT 2020 รวมถึงนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงฯ ได้ดำเนินงานหลักๆ ใน 2 ส่วน คือ 1. เป็นการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เน้นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายในการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 80 ในอีก 3 ปีข้างหน้า และร้อยละ 95 ภายในปี พ.ศ. 2563 โดยปัจจุบันประเทศไทยมีโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงไปถึง (Reach) ระดับตำบล ครอบคลุมประชากรประมาณร้อยละ 87 แต่ยังขาดความพร้อมของอุปกรณ์ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานของประชากรได้ประมาณร้อยละ 33 เท่านั้น และเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ รวมทั้งการวางสายเคเบิลใยแก้วนำแสงเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนของทั้งโครงการประมาณ 80,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนในการวางโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงเพื่อให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปถึงในระดับตำบล และให้มีบริการอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐ

พร้อมกันนี้ ยังได้วางเป้าหมายด้านราคาด้วยการสนับสนุนให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานให้เกิดการใช้สินทรัพย์โครงข่ายร่วมกัน เพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการเข้ามาลงทุนในส่วน Last mile ต่อจากโครงข่าย SMART NETWORK ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งคาดว่าผลของการดำเนินการนี้จะสามารถลดอัตราค่าใช้จ่ายของประชาชนในการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากประมาณร้อยละ 6 ของรายได้ต่อประชากร เป็นร้อยละ 3 และลดเหลือร้อยละ 1 ของรายได้ต่อประชากร ซึ่งเป็นอัตราที่เทียบเท่ากับของประเทศที่พัฒนาแล้ว

สำหรับการดำเนินงานในส่วนที่ 2. คือ เป็นการส่งเสริมการให้บริการผ่านโครงข่าย SMART NETWORK ซึ่งบริการอิเล็กทรอนิกส์และธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น มีความสำคัญต่อการกระตุ้นความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง โดยในปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทยมีมูลค่าการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สูงถึงประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท (37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) กระทรวงฯ จึงได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)เป็นผู้ดูแลและส่งเสริมการเติบโตของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ในขณะเดียวกันยังจะได้ผลักดันบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของภาครัฐ โดยในขั้นแรกจะเป็นการผลักดันบริการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึง และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการและโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประชาชนในเขตเมืองและชนบท เช่น โครงการรักษาพยาบาลทางไกล โครงการศึกษาทางไกล

จีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


ด้านนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินงานทั้ง 2 ส่วน ว่า ในส่วนของ SMART NETWORK ได้แบ่งแผนการดำเนินงานออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือ การขยายโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการจัดตั้งหน่วยงานบรอดแบนด์แห่งชาติ ในส่วนของการขยายโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะมุ่งเน้นการนำสินทรัพย์โครงข่ายที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเป็นการขยายโครงข่ายเคเบิลใยแก้ว นำแสงในส่วนของ Backbone และ Backhaul ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้เป็นทางผ่านของข้อมูลปริมาณมากและรองรับความเร็ว ได้สูง เพื่อเชื่อมต่อไปยังชุมสายในพื้นที่ระดับตำบลและสถานที่ราชการสำคัญ ๆ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ขณะที่โครงข่ายในส่วนที่จะเชื่อมต่อจากชุมสายไปยังผู้ใช้งาน หรือที่เรียกว่า Last mile นั้น จะให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายอื่นเข้ามาลงทุนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ในแต่ละพื้นที่ เช่น การให้บริการด้วยเทคโนโลยี Mobile 3G, 4G/LTE, Wi-Fi หรือ FTTx เป็นต้น

สำหรับแผนการดำเนินการขยายโครงข่าย SMART NETWORK จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ปี พ.ศ. 2555 – 2558เป็นการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของโครงข่ายที่มีอยู่เดิมให้มีความพร้อมในการรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยไม่ต้องลงทุนลากสายเคเบิลใยแก้วนำแสงเพิ่มเติม ระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2559 – 2563 จะเป็นการลงทุนลากสายเคเบิล ใยแก้วนำแสงเพิ่มเติมไปยังตำบลที่ยังไม่มีโครงข่ายฯ เพื่อให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 95 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยการขยายโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงนี้ จะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงโครงข่ายในจังหวัดที่มีความครอบคลุมของโครงข่ายน้อยก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น สตูล กระบี่ อุดรธานี ร้อยเอ็ด และขอนแก่น เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงฯ มีแนวคิดที่จะระดมทุนเพื่อนำมาใช้ในการขยายโครงข่าย SMART NETWORK เช่น การระดมทุนผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยทำให้การขยายโครงข่ายดำเนินไปได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินงบประมาณของรัฐเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนการขยายโครงข่ายบรรลุผลสำเร็จ กระทรวงฯ จะสนับสนุนให้มีการแบ่งแยกบทบาทของผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่ชัดเจน รวมถึงการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งหรือแต่งตั้งหน่วยงานบรอดแบนด์แห่งชาติ หรือที่ในต่างประเทศเรียกว่า หรือ ซึ่งจะเป็นหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่รวบรวมโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงของประเทศไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายของรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคม ได้แก่ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาบริหารเพื่อให้มีการบริหารและการลงทุนที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน ซึ่งแนวทางในการรวบรวมโครงข่ายสามารถดำเนินงานได้หลายแนวทาง เช่น การโอนสินทรัพย์มาร่วมกันแล้วก่อตั้ง หรือ การให้ เช่า หรือ ซื้อโครงข่าย เป็นต้น

NBNCo จะทำหน้าที่เป็นผู้ลงทุนในโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงเพิ่มเติมโดยเฉพาะการขยายโครงข่ายไปยังพื้นที่ห่างไกล และให้บริการให้เช่าโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงในระดับขายส่งให้แก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่สนใจเพื่อนำไปให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ ในระดับขายปลีกต่อไป ซึ่งโครงข่ายของ NBNCo หรือ โครงข่าย SMART NETWORK นี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ทุกรายมาใช้บริการอย่างเป็นธรรม รวมทั้งกำหนดอัตราค่าบริการขายส่งที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย ในท้องถิ่น เช่น องค์การบริการส่วนตำบล (อบต.) เป็นต้น สามารถมาขอเชื่อมต่อและให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนมอบหมายให้ทำหน้าที่บำรุงรักษาโครงข่ายในพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้มีการสร้างอาชีพและพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่ได้

สำหรับการก่อตั้ง NBNCo นั้น กระทรวงฯ มีนโยบายที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยการโอนสินทรัพย์โครงข่ายมาร่วมลงทุน หรือผ่านการระดมทุนจากภาคเอกชนเพื่อนำมาขยายเพิ่มเติม ซึ่งการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมนี้จะช่วยให้การบริหารงานและการดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีแนวทางและรูปแบบการดำเนินงานของเอกชน อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะเป็นหน่วยงานสำคัญที่เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลเพื่อช่วยกันส่งเสริมให้มีการใช้สินทรัพย์โครงข่ายร่วมกัน เพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน

ส่วนแผนการดำเนินงาน SMART GOVERNMENT ซึ่งเป็นการส่งเสริมการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้เกิดบริการที่มีประสิทธิภาพ สะดวก ทั่วถึงและเป็นธรรม แก่ประชาชน รวมถึงเป็นการกระตุ้นประชาชนให้มีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น โดยกระทรวงฯ ได้วางแผนที่จะดำเนินการร่วมกับกระทรวงต่างๆ ในการพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐต่างๆ โดยระยะแรกจะเน้นถึงการส่งเสริมให้มีบริการของภาครัฐที่เป็นบริการพื้นฐานหลัก และก่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างแก่ประชาชนคนไทย คือ

1. บริการ Smart – Education เป็นการพัฒนาและส่งเสริมการขยายโครงข่ายการให้บริการการศึกษาไปยังโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล 2. บริการ Smart – Health เป็นโครงการพัฒนาระบบการรักษาพยาบาลทางไกลผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 3. บริการ Smart – Government เป็นโครงการเพิ่มช่องทางการให้บริการทะเบียนราษฎร์ออนไลน์ โดยขยายการให้บ

View :1650