Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

กระทรวงไอซีที จับมือกระทรวงพลังงาน สนองนโยบายรัฐบาลสู่สมาร์ทไทยแลนด์ นำร่องสร้างต้นแบบ PTT Free Wi-Fi by TOT

May 22nd, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ และเปิดโครงการ บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายที่สถานีบริการ ปตท. สาขาเพื่อสวัสดิการ ร.๑ รอ. ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีสองยักษ์ บมจ.ทีโอที และ บมจ.ปตท. นำร่องสร้างโมเดลความร่วมมือคืนประโยชน์ให้กับสังคม โดยร่วมกันให้บริการ อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง ไม่คิดค่าใช้บริการ เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาล และยกระดับ ประเทศไทยในการจัดอันดับความพร้อมด้านไอซีที ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า ปี ๒๕๕๕ ไอซีที มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา (Smart Thailand) เพื่อเตรียม พร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยการพัฒนาด้าน ICT จะเป็นรากฐานสำคัญที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ซึ่งความร่วมมือในการจัดโครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยไม่คิดค่าใช้บริการ PTT Free Wi-Fi by TOT ระหว่าง ปตท. และ ทีโอที จะเป็นต้นแบบของความร่วมมือในการคืนประโยชน์ให้กับสังคม เพื่อสนองนโยบายด้าน ICT สู่ Smart Thailand ส่งผลต่อการยกระดับประเทศไทยในการจัดอันอับความพร้อมด้านไอซีที ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลก

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ความร่วมมือของ ปตท. และ ทีโอที ในการพัฒนาโครงการ PTT Free Wi-Fi by TOT ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศครั้งนี้ นับเป็นแบบอย่างความร่วมมือที่น่าชื่นชมของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจผู้ให้บริการแก่ประชาชนที่ดำเนินงานในรูปแบบเอกชน ด้วยการประสานประโยชน์จากจุดแข็งของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างเครือข่ายเทคโนโลยีไร้สาย (Wi-Fi) ของทีโอที กับ เครือข่ายสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศของ ปตท. กว่า ๑,๓๐๐ แห่ง จะเพิ่มช่องทางให้คนไทย ได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ และข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สนองตอบนโยบายการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคนไทยและประเทศไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาชาติต่อไป

นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานีบริการน้ำมันของ ปตท.ทั่วประเทศ จะเป็น “จุดเชื่อมต่อ” ที่มีประสิทธิภาพให้กับคนไทยในทุกเส้นทาง และเป็นอีกช่องทางที่มีศักยภาพในการนำพาองค์ความรู้สู่สังคมไทย และก้าวสู่สังคมอุดมปัญญา หรือ Smart Thailand ได้อย่างแท้จริง นับเป็นความร่วมมือที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ ปตท. ที่มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้มีความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนองค์กรทั้งในด้านธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทั้งสองด้านไปพร้อมๆ กันอย่างยั่งยืน นอกจากนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ยังจะช่วยพัฒนางานบริการ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดและรวดเร็วยิ่งขึ้น “เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส” อีกด้วย

ดร.มนต์ชัย หนูสง รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที กล่าวว่า วันนี้ ประเทศไทยจะก้าวไปสู่การพัฒนา และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างทั่วถึง ด้วยความร่วมมือของกระทรวงไอซีที และกระทรวงพลังงาน ในการสนับสนุนผลักดันให้ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านพลังงานรายใหญ่ที่สุด และ ทีโอที ซึ่งมีจุดแข็งในด้านโครงข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยครอบคลุมทั่วประเทศ สู่เป้าหมายร่วมกันในการสนองนโยบายของรัฐบาล ด้วยการร่วมกันเปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้บริการ หรือ PTT Free Wi-Fi by TOT เพื่อให้บริการกับประชาชนในสถานีบริการ ปตท. กว่า ๑,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ โดยในระยะแรกจะเปิดให้บริการเมื่อเริ่มโครงการประมาณ ๒๐๐ แห่ง ใน กทม. และต่างจังหวัด และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการครบทั้ง ๑,๐๐๐ แห่ง ภายใน ๕ เดือน

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ทีโอที จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาและติดตั้งระบบและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi การติดตั้ง และบริหารรวมทั้งการจัดหาอุปกรณ์ในการให้บริการ รวมถึงการให้บริการด้าน Call Center โดยผู้ใช้บริการจะสามารถใช้บริการ PTT Free Wi-Fi by TOT ด้วยการลงทะเบียน เพื่อขอรับรหัส Username และ Password สำหรับการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยรหัสดังกล่าวสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้วันละ ๒ ชั่วโมง ใช้งานได้ครั้งละไม่เกิน ๓๐ นาที นาน ๖ เดือน ด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน ๒M/๕๑๒ Kbps

ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่จะส่งเสริมการเข้าถึงการใช้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะที่มีการใช้งานตามความเหมาะสมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อันเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูล และข่าวสาร ยกระดับคุณภาพชีวิต และการศึกษาของประชาชนในประเทศ ซึ่งตามแผนแม่บทไอซีที ฉบับที่ ๓ มีเป้าหมายในการกระจายการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั้งแบบมีสายและไร้สายให้ครอบคลุมมากกว่า ๘๐% ของประชากรทั้งประเทศภายในปี ๒๕๕๘ และเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาล กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้จัดให้มีโครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้บริการมาตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๔ โดย ทีโอที ได้นำร่องดำเนินการให้บริการ Free Wi-Fi ในพื้นที่สาธารณะ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และสถานีขนส่ง เป็นต้น

View :1672

ก.ไอซีที ร่วมมือ กสทช. และ APT จัดประชุม Policy and Regulatory Forum (PRF-12)

May 21st, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุม Policy and Regulatory Forum (PRF-12) และการเจรจาธุรกิจ หรือ Business Dialogue ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Policy and Regulatory Forum (PRF-12) ขึ้น ระหว่างวันที่ 21 – 23 พฤษภาคม 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารระดับสูงของประเทศสมาชิก APT ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 38 ประเทศ ทั้งผู้กำหนดนโยบายด้านการพัฒนา ICT ของประเทศ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานกำกับดูแลได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และร่วมเสวนาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบาย การกำกับดูแลด้าน ICT / โทรคมนาคมสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายสากลและแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารของภูมิภาค

“กระทรวงฯ และสำนักงาน กสทช. ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม PRF – 12 ครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงถึงศักยภาพและความร่วมมือระหว่างผู้กำหนดนโยบาย และผู้กำกับดูแลด้าน ICT / โทรคมนาคมให้ประจักษ์ในเวทีระหว่างประเทศ โดยการประชุมดังกล่าว ได้แบ่งหัวข้อการประชุมออกเป็น 2 ส่วน คือ ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 เป็นการประชุม Business Dialogue ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและภาคเอกชนได้ใช้เวทีดังกล่าวในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมอง เพื่อสะท้อนความคิดเห็น ปัญหาอุปสรรค และความต้องการไปยังผู้กำหนดนโยบายและผู้กำกับดูแล เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปประกอบการพิจารณา วางกรอบนโยบาย และการกำกับดูแลในอนาคต ส่วนในวันที่ 22 – 23 พฤษภาคม 2555 เป็นการประชุม PRF ที่ให้ผู้กำหนดนโยบาย และผู้กำกับดูแลด้าน ICT / โทรคมนาคมได้แสดงความคิดเห็น และร่วมเสวนาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายด้าน ICT“ นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

สำหรับการประชุม Business Dialogue นั้น จะมีการหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับความคาดหวังของภาคอุตสาหกรรมต่อหน่วยงานกำกับดูแล นโยบายและการกำกับดูแลกับโอกาสและความท้าทายในการพัฒนา ICT รวมทั้งแนวโน้ม ICT เช่น cloud computing เทคโนโลยี mobile broadband, emergence of smart devices และ green initiatives ตลอดจนบทบาทของผู้กำหนดนโยบายและดูแลในยุคดิจิทัล

ส่วนรายละเอียดของการประชุม PRF นั้น มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับความสำคัญของบรอดแบนด์กับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเทศที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง บรอดแบนด์กับการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ อินเทอร์เน็ตกับการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ การใช้เทคโนโลยีที่สามารถส่งผ่านในระยะไกล เช่น Fiber Optic และดาวเทียม ซึ่งมีต้นทุนในการลงทุนสูง แนวทางการเชื่อมต่อสำหรับหมู่เกาะเล็ก ๆ (SIDS: Small Island Developing States) และประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล รวมทั้งยังมีประเด็นนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาบรอดแบนด์ ปัจจัยความต้องการบรอดแบนด์ และปัจจัยสำหรับผู้บริโภคในการเลือกใช้บรอดแบนด์ ซึ่งได้แก่ ความเร็วและคุณภาพการให้บริการ

นอกจากนี้ยังมีการหารือเกี่ยวกับนโยบายในด้านต่างๆ ได้แก่ ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ (Cyberspace) นโยบายและการกำกับดูแลเพื่อความปลอดภัยบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมทั้งแนวคิดริเริ่มด้านสภาพแวดล้อม (Green initiatives) ผลกระทบของ ICT ต่อสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การออกแบบระบบสำหรับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ Smart Grid นโยบายและการกำกับดูแล Green initiatives ตลอดจนการวางนโยบายและการกำกับดูแลเกี่ยวกับราคาค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับ International Mobile Roaming นโยบายและการกำกับดูแลประเด็นอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจสำหรับภูมิภาค เช่น อัตราค่าธรรมเนียม International Mobile Roaming ที่มีการคิดราคาสูงเกินจริง และการใช้ ICT เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการภัยพิบัติ แผนบริการจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ การใช้โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเตือนภัย การป้องกัน และการช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติ เป็นต้น

View :1230
Categories: Press/Release Tags:

ฟูจิ ซีร็อกซ์ เปิดแผนรุกตลาดปี 2555 ตั้งเป้ารายได้ 5,000 ล้าน ชูโซลูชั่นผลิตภัณฑ์เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม-ประหยัดงบลงทุน

May 18th, 2012 No comments

กางแผนรุกตลาดไทยปี 2555 วางเป้าหมายดันธุรกิจเติบโตขึ้นอีก 22% โกยยอดรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท โชว์นโยบายธุรกิจ “Challenge to Increase Fuji Xerox Total Value” มั่นใจสอดรับแนวโน้มความต้องการตลาดที่มุ่งมองหาโซลูชั่นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบโจทย์องค์กรเรื่อง Cost Management ผ่านโซลูชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการอย่างหลากหลายครอบคลุมที่มีแผนเปิดตัวใหม่อย่างต่อเนื่องในปีนี้

นายสมมาตร บุณยะสุนานนท์ รองประธานและกรรมการ บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด


นายสมมาตร บุณยะสุนานนท์ รองประธานและกรรมการ บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าผลประกอบการในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 4,100 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 14% สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2555 ทางบริษัทตั้งเป้าหมายผลประกอบการอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้แนวทางการดำเนินธุรกิจและแผนการตลาดสำหรับปี 2555 นี้ ฟูจิ ซีร็อกซ์ ได้วางนโยบายธุรกิจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Challenge to Increase Fuji Xerox Total Value” สะท้อนให้เห็นว่าฟูจิ ซีร็อกซ์คำนึงถึง “eco Friendly Solution” หรือโซลูชั่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวทางและหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ฟูจิ ซีร็อกซ์จากทุกๆ ประเทศทั่วโลกดำเนินอยู่ โดยทางบริษัทอยากมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นในปีนี้อีกด้วย

“เรามีกลยุทธ์ที่จะผลักดันโซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นไปยังกิจกรรมที่ทำร่วมกับกลุ่มธุรกิจประเภทต่างๆให้มากขึ้น และพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นกับคู่ค้าทางไอที เพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มธุรกิจต่างๆ เหมือนในปีที่ผ่านมาที่เราประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และจะขยายโซลูชั่นไปยังกลุ่มธุรกิจต่างๆให้มากขึ้นเช่น กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มการศึกษา กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มธุรกิจทางการเงิน” นายสมมาตร กล่าว

นายสมมาตร กล่าวว่า ถึงแม้ว่ารายได้หลักของฟูจิ ซีร็อกซ์ กว่า 60% จะมาจากกลุ่ม Office Products แต่ทางบริษัทก็มีการขยายงานในส่วนของ PSB (Production Service Business) และธุรกิจบริการ โดยในส่วน PSB จะมุ่งเน้นที่สินค้าตั้งแต่ speed ต่ำจนถึง speed สูงเพื่อตอกย้ำความเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจเครื่องพิมพ์ดิจิตอลสี ซึ่งฟูจิ ซีร็อกซ์ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่เสนอสินค้าที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทยในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน

สำหรับในปีนี้ ฟูจิ ซีร็อกซ์ จะเปิดตัวสินค้าใหม่ล่าสุดที่จะเป็นเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทความเร็วสูง โดยคาดว่าจะติดตั้งได้ประมาณ 3 เครื่องในปีนี้ เช่นเดียวกันกับธุรกิจบริการที่ฟูจิ ซีร็อกซ์มีบริการ MPS (Managed Printing Service) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมทั่วโลก และ ฟูจิ ซีร็อกซ์ เองก็เป็นผู้นำในบริการแบบนี้อยู่ นอกจากนี้ในส่วนของ FXGS (Fuji Xerox Global Services) ฟูจิ ซีร็อกซ์ มีบริการโซลูชั่นการแปลงเอกสารให้เป็นรูปแบบดิจิตอลและนำเข้าสู่ระบบการจัดเก็บแบบครบวงจร, Business Process Services หรือ BPS ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้ครบวงจรมากยิ่งขึ้นด้วย

นอกจากนี้ในแง่ของนวัตกรรมใหม่ของฟูจิ ซีร็อกซ์ที่จะนำเสนอในปีนี้ ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นทั้งหมดกำลังอยู่ในช่วงวางตลาด ซึ่งทางบริษัทจะมุ่งเน้นให้เห็นถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ฟูจิ ซีร็อกซ์ได้คิดค้นขึ้นมา เพื่อตอบสนองนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อม ความสะดวกสบายและความประหยัดของลูกค้า เช่น Smart WelcomEyes, Scan Convert, One path duplex Color scanning and hi Speed รวมไปถึงGreen Report ที่นำรายงานกลับไปที่ลูกค้า เพื่อวิเคราะห์กันภายในองค์กรเพื่อประโยชน์ที่สูงสุด รวมไปถึงเมนูหน้าจอที่เป็นภาษาไทย และแป้นพิมพ์ที่ป้อนข้อมูลเป็นภาษาไทยด้วย เพื่อการใช้งานที่เต็มประสิทธิภาพอย่างสูงสุด ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับปี 2555 นี้ ทาง OPB (Office Product Business) ตั้งเป้าที่จะนำสินค้าเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยหลายรุ่นด้วยกัน แน่นอนว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหลากหลายรูปแบบได้เป็นอย่างดี

“แนวโน้มภาพรวมตลาดที่เห็นได้ชัดในปีนี้คงจะมีการแข่งขันเรื่องราคากันสูงมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น แต่ฟูจิ ซีร็อกซ์เลือกที่จะใช้ Know-how Strategy มาเป็นนโยบายในการพัฒนาสินค้า โดยเราเลือกที่จะผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย รวมไปถึงการบริการที่ครบวงจร และการบริการหลังการขายที่รวดเร็ว” นายสมมาตรกล่าวถึงจุดแข็งของฟูจิ ซีร็อกซ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทให้สู่เป้าหมายในปี 2555 และกล่าวต่อว่า “ปัจจัยบวกเรื่องแนวโน้มการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการที่องค์กรแต่ละแห่งให้ความสำคัญเรื่องของ Cost Management ที่มากขึ้น ทางฟูจิ ซีร็อกซ์สามารถตอบสนองในเรื่องของปัจจัยดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากได้ทำการวิจัยและพัฒนาสินค้ามาเพื่อเสริมความต้องการในด้านนี้มาตลอด ทำให้เราสามารถเป็นผู้นำและสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆในกลุ่มธุรกิจแบบเดียวกัน”

View :6123

สวทช./ซอฟต์แวร์พาร์ค ผนึกกำลัง 3 หน่วยงานไอทีไทย-ญี่ปุ่น เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นในการนำซอฟต์แวร์ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ ขยายฐานตลาดการส่งออกญี่ปุ่น

May 18th, 2012 No comments

สวทช./ซอฟต์แวร์พาร์คลงนามบันทึกความร่วมมือในการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นในการนำซอฟต์แวร์ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น ในโครงการความร่วมมือขยายช่องทางและโอกาสทางการตลาดแก่ซอฟต์แวร์ไทยและญี่ปุ่น

นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ถือได้ว่าเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เป็นกลไกสำคัญที่สามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพการขาย สร้างช่องทางความสัมพันธ์ลูกค้า เป็นต้น ซอฟต์แวร์พาร์คเป็นหน่วยงานภายใต้ สวทช. ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากร การพัฒนากระบวนการผลิตซอฟต์แวร์ การขยายโอกาสทางธุรกิจทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งการสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ดังที่มีการจัดคณะผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยเดินทางไปจัดกิจกรรมการเจรจาทางการค้าในต่างประเทศ

สุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

นอกจากนี้ สวทช.เองยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเป้าหมายและมุ่งมั่นพัฒนางานวิจัยให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงพัฒนางานวิจัยที่สามารถรับมือกับสภาพปัญหาได้ทันเหตุการณ์ ทั้งในแง่การคิดค้นสิ่งใหม่ๆไปล่วงหน้า และการสนับสนุนภาคเอกชนในด้านการบริการวิจัยให้เอกชน การรับจ้างทดสอบ หรือแม้กระทั่งการร่วมลงทุนตั้งบริษัทกับเอกชน เพื่อนำนวัตกรรมใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว และโดยอาศัยองค์ความรู้และงานวิจัยต่างๆที่ สวทช.ได้ริเริ่มดำเนินการไว้ และการทำงานที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานหลักๆ ในภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC 2015) ซึ่งจะมีการเชื่อมตลาดการค้าการลงทุนให้เป็นตลาดเดียว (Single Market) การเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะข้ามชาติ การเคลื่อนย้ายการลงทุนจากต่างประเทศ ปัจจัยเหล่านี้เป็นทั้งการสร้างโอกาสและภัยคุกคามต่อการเจริญเติบโตโดยเฉพาะบริษัทซอฟต์แวร์ท้องถิ่นอย่างมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยต้องเตรียมความพร้อม และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และส่งเสริมการขยายช่องทางการตลาดและการขายเนื่องจากการแข่งขันจากซอฟต์แวร์ต่างประเทศจะมีมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และการสร้างความเข้มแข็งของทีมงาน (Teamwork) เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน

ดังนั้น การลงนามความร่วมมือกับทาง MIJS (Made in Japan Software Consortium) จากประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับสมาคม ATCI (The Association of Thai ICT Industry) และ TSEP (Thai Software Export Promotion Association) ในประเทศไทยในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อร่วมกันขยายตลาดการให้บริการซอฟต์แวร์ในทั้งสองประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป”

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย กล่าวว่า “นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ความถดถอยทางเศรษฐกิจและเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น จากสถิติของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้แสดงว่า มีการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงเดือน มกราคม ถึง มีนาคม 2555 ประมาณ 12% และ ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมากเป็นอันดับ 1 อีกทั้งซอฟต์แวร์พาร์คได้รับการติดต่อจากหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชนจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อขยายความร่วมมือในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของทั้งสองประเทศ ผ่านกิจกรรมการเจรจาทางการค้า การจับคู่ธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุน (Venture capitalist) จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีความสนใจและต้องการหาคู่ค้าและพันธมิตรในธุรกิจซอฟต์แวร์ของประเทศไทย

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย

สำหรับในปีนี้ ได้มีกิจกรรมความร่วมมือระหว่างซอฟต์แวร์พาร์คและหน่วยงานต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เช่น โครงการแลกเปลี่ยนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยการคัดเลือกนักพัฒนา (Programmer) ของไทยเพื่อเดินทางไปฝึกงาน เรียนรู้ระบบการทำธุรกิจซอฟต์แวร์ในญี่ปุ่น รวมถึงสร้างเครือข่ายกับบริษัทซอฟต์แวร์ที่ญี่ปุ่น เป็นเวลา 1 เดือน อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ Inbound-outbound สร้างเครือข่ายพันธมิตร กับหน่วยงานต่างๆ เช่น Kanagawa Information Service Industry Association (KIA) และ Made in Japan Software Consortium (MIJS) เป็นต้น

ส่วนการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ กับทาง Made in Japan Software Consortium (MIJS) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคเอกชนซอฟต์แวร์ญี่ปุ่น ที่รวมตัวกันเพื่อผนึกกำลังสร้างความร่วมมือในต่างประเทศ ประกอบด้วยสมาชิก 55 บริษัท แบ่ง software เป็น 3 ประเภทหลักคือ ด้าน Infrastructure, Marketing และ Human Resource Managementจะทำให้เกิดการบูรณาการทางด้านการตลาด สร้างความร่วมมือในระดับองค์กร แลกเปลี่ยน know-how, การถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างเครือข่าย รวมถึงขยายช่องทางการตลาดซอฟต์แวร์ไทยไปตลาดญี่ปุ่นในอนาคต นอกจากนี้ในการบันทึกข้อตกลงร่วมมือกันในครั้งนี้ ได้มีหน่วยงานภาคเอกชนคือ สมาคมซอฟต์แวร์ไทย 2 สมาคมเข้าร่วมลงนามดังกล่าว ประกอบด้วย สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (The Association of Thai ICT Industry: ATCI) และ สมาคมส่งเสริมการส่งออกซอฟต์แวร์ไทย (Thai Software Export Promotion Association) ซึ่งจะทำให้บริษัทสมาชิกของทั้งสองสมาคม ได้รับประโยชน์จากการความร่วมมือในระดับองค์กรดังกล่าว ผ่านการเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจซอฟต์แวร์ จากประเทศญี่ปุ่น ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านเทคโนโลยี เกิดโครงการการพัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกัน เกิดโอกาสในการรับงานพัฒนาซอฟต์แวร์จากประเทศญี่ปุ่น (Software outsourcing) อันจะส่งผลในการขยายโอกาสทางการตลาดในทั้งสองประเทศ เพิ่มมูลค่าการพัฒนาและการส่งออกซอฟต์แวร์ไทย อีกทั้งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคุณภาพของซอฟต์แวร์ไทยต่อไป”

นายมิโนะ คาซูโอะ Chief Director, Made in Japan Software Consortium (MIJS) กล่าวว่า “ความร่วมมือกับหน่วยงานของไทยในวันนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดี เพราประเทศไทยกับญี่ปุ่นถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภาวะที่เกิดความเดือดร้อนของทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น และเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในไทยเมื่อปีที่ผ่านมา โดยมีความหวังว่าประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน จะร่วมมือกันสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในเอเชีย และพัฒนาประเทศของตนเองให้มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาประเทศต่อไป

สำหรับความเป็นมาของ MIJS นั้นเป็นการรวมตัวกันของบริษัทซอฟต์แวร์หลายๆบริษัทที่มีแนวความคิดเหมือนกัน คือ อยากให้คนในหลายๆประเทศ ใช้ซอฟต์แวร์ญี่ปุ่นให้แพร่หลายมากขึ้น ปัจจุบันมีสมาชิกประจำ 19 บริษัท สมาชิกสมทบ 45 บริษัท พันธมิตรที่ทำสื่อมีเดีย 20 สื่อ และพันธมิตรอื่นๆอีก 9 แห่ง โดยสมาชิกประจำส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่การผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาเอง ซึ่งครอบคลุมทั้ง โปรแกรมฟร้อนท์เอนด์ (Front-end solutions) โปรแกรมใช้งานทางธุรกิจ (Business Solutions) และระบบสนับสนุนการดำเนินงาน ส่วนสมาชิกสมทบก็เป็นบริษัทขนาดไอทีชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น NEC, Hitachi, และ Fujitsu เป็นต้น

ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา MIJS ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยได้เปิดสำนักงานที่ประเทศจีนในเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งได้มีการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และในปี 2010 ได้ลงนามความร่วมมือกับ สมาคมซอฟต์แวร์เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน และสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไต้หวัน ในปี 2012 ก็ได้ลงนามความร่วมมือร่วมกับองค์การซอฟต์แวร์ของฮ่องกง ทั้งนี้ตลาดที่กลุ่ม MIJS สนใจมากที่สุดคือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย โดยเน้นการทำธุรกิจแบบเน้นผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย (Win-Win) เพื่อการทำธุรกิจที่ยั่งยืนกับพันธมิตรในประเทศไทย และมีความคาดหวังในการประสบความสำเร็จในความร่วมมือครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน จากจุดเริ่มต้นของความร่วมมืออย่างเป็นทางการในวันนี้จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน และสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจแบบ Win-win เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของทั้งสองประเทศต่อไป”

View :1903

“AIS Call Conference” โซลูชั่นส์ประชุมนอกสถานที่ผ่านมือถือ

May 17th, 2012 No comments

ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพด้านการสื่อสาร

โดยนายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานการตลาดและพัฒนาโซลูชั่นส์กลุ่มลูกค้าองค์กร ร่วมกับบริษัท iSoftel โดยนายเกรียงไกร ศรีอนันต์รักษา กรรมการผู้จัดการ พัฒนาโซลูชั่นส์ใหม่เพื่อผู้ประกอบการ กับบริการ “AIS Call Conference” ซึ่งเป็นบริการที่ทำให้การประชุมสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้ผู้ประชุมอยู่ต่างสถานที่กัน โดยใช้บริการผ่านทางโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์พื้นฐาน พร้อมรองรับผู้เข้าประชุมได้สูงสุดถึง 120 คน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการสื่อสารของธุรกิจและความคล่องตัวในการบริหารจัดการภายในองค์กร รวมถึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาประชุมอีกด้วย

โดยระบบถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ทั้งในเรื่องการตรวจสอบ และการจองห้องประชุม ซึ่งสามารถทำได้ผ่านทางเว็บไซต์ และระบบจะทำหน้าที่ส่ง SMS และอีเมล์ แจ้งรายละเอียดการประชุมให้กับผู้เข้าร่วมประชุมทราบโดยทันที เป็นการช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากในการติดต่อให้กับผู้เชิญประชุม จึงเหมาะกับธุรกิจที่มีสาขาหรือสำนักงานตามภูมิภาค หรือมีพนักงานที่ทำงานลงพื้นที่ต่างๆ เช่น ตัวแทนจำหน่ายตามภูมิภาค, ตัวแทนประกัน, พนักงานขายบัตรเครดิต เพื่อใช้อัพเดทข้อมูลโปรโมชั่นให้แก่พนักงาน รวมถึงกรณีเกิดภัยพิบัติ เป็นต้น โดยผู้ที่สนใจสมัครใช้บริการและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AIS Corporate Call Center 1149

View :1081
Categories: Press/Release Tags:

เอไอเอสส่งตัวแทนหารืออนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ หวังหาข้อยุติปัญหาพรีเพด

May 17th, 2012 No comments

ส่งตัวแทนหารือ อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม หวังหาข้อยุติปัญหากำหนดวันใช้บริการพรีเพด “สารี” เผยที่ประชุม เสนอสองทางเลือกพร้อมจุดยืนชัดเจน เสนอไม่มีวันหมดอายุ หรือหากบริษัทจะกำหนดวัน ก็ต้องเป็นธรรมไม่เร่งให้ผู้บริโภคต้องเติมเงิน

(วันที่ 17 พ.ค. 55) นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้มีการหารือร่วมกับ ตัวแทน บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส และตัวแทนบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เนื่องจากบริษัทฯ เอไอเอส ต้องการทราบแนวทางแก้ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการล่วงหน้า หรือพรีเพด เพื่อแสวงหาความร่วมมือและข้อยุติร่วมกัน โดยมีอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมที่เข้าร่วมได้แก่ นายศรีสะเกษ สมาน นายศิริศักดิ์ ศุภมนตรี และนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา

นางสาวสารีกล่าวว่า ผลของการหารือที่ประชุมได้เสนอทางออกเป็น 2 ทางเลือก ทางเลือกแรกคือ การไม่กำหนดระยะเวลาการใช้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงิน คือ ให้เป็นไปตาม ประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ข้อ 11 วิธีการนี้คือ หากผู้บริโภคยังมีเงินเหลืออยู่ในระบบ ก็มีสิทธิที่จะใช้บริการได้ตลอดโดยไม่ถูกกำหนดวัน ซึ่งไม่กระทบกับผู้บริโภคที่ใช้บริการระบบเติมเงิน แต่จะกระทบกับผู้ที่เก็บเลขหมายไว้กับตัวเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการใช้งาน ซึ่งอาจมีการกำหนดระยะเวลาที่ต้องมีความเคลื่อนไหวของการใช้บริการ เช่น หากไม่มีความเคลื่อนไหวของการใช้บริการภายในกี่เดือน ผู้ให้บริการจะสามารถหักค่าบริการในการรักษาเลขหมายได้ในอัตราที่เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการถือครองเบอร์ และปัญหาเลขหมายไม่เพียงพอ

“การเคลื่อนไหวหมายถึงไม่ว่าจะโทรออกหรือรับสาย ก็ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหว เพราะมีการได้สตางค์เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจ ก็มาหาข้อตกลงกันอย่างเดียวว่า สมมติว่าเป็นระยะเวลา 1 ปี ต้นทุนที่จะตัดกับผู้บริโภคหากเบอร์ไม่เคลื่อนไหวเลยเป็นเท่าไหร่ ก็ต้องยินดีให้ตัดโดยมูลค่าการตัดต้องพิจารณาจากต้นทุนที่แชร์ความรับผิดชอบกันระหว่างผู้บริโภคและบริษัทฯด้วย” ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมกล่าว

ทางเลือกที่สอง คือ หากจะต้องมีการกำหนดระยะเวลาการใช้บริการ เนื่องจากบริษัทฯมีต้นทุนเช่นค่าบริหารเลขหมาย การดูแลลูกค้า การพัฒนาโครงข่าย ก็ต้องยืนอยู่บนหลักการ 3 ข้อ คือ 1.จำนวนวันขั้นต่ำที่กำหนดควรเป็นระยะเวลาที่เป็นเหตุเป็นผลไม่เร่งรัดการใช้บริการเช่น 3 วัน 5 วัน ดังเช่นปัจจุบัน 2.มีการกำหนดวันเป็นขั้นบันไดคือ จำนวนวันผันแปรตามจำนวนเงินที่เติม และ3. หากมีเงินเหลือในระบบต้องคืนให้กับผู้บริโภค แต่ทั้งหมดก็ต้องมาขออนุญาตกสทช. หากไม่ขออนุญาตก็มีวันหมดอายุไม่ได้

“บริษัทเอไอเอส ชี้แจงปัญหาเรื่องต้นทุน ขณะที่บริษัทดีแทค กลัวปัญหาเรื่องการกระจุกตัวของเลขหมายที่ไม่พอใช้ ดังนั้นหากกำหนดวัน จำนวนวันที่กำหนดต้องเป็นอัตราที่ไม่เร่งรัดให้ผู้บริโภคต้องเร่งเติมเงิน เช่น หาก 100 บาท ได้ 30 วัน 50 บาทก็จะได้ 15 วัน ลดหลั่นลงไป เพราะปัจจุบันการกำหนด 10 บาท ต้องใช้ภายใน 1 วัน ถือว่าเร่งรัดเกินไป วันที่กำหนดจึงควรมีลักษณะที่เป็นธรรม ซึ่ง การหารือในวันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ เอไอเอส เป็นฝ่ายขอหารือกับอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯและเสนอที่จะร่วมกันคิดเพื่อแก้ปัญหานี้ ตั้งแต่การผลักดันปัญหานี้ในยุค สบท. ซึ่งถือเป็นเรื่องดีในการทำงานร่วมกันเพราะทางบริษัท ทรูมูฟ จำกัดได้เคยมาร่วมหารือไปแล้ว แต่จะแจ้งผลของการประชุมกับสองบริษัทในวันนี้ไปให้รับทราบด้วย” นางสาวสารีกล่าว

View :1457

ไปรษณีย์ดันส่งออกไทย ผุดบริการใหม่ส่งของใหญ่เต็มพิกัดถึง 200 กก.

May 16th, 2012 No comments

์ไทยเปิดบริการใหม่โลจิสโพสต์ระหว่างประเทศส่งของใหญ่น้ำหนัก 20-200 กก. เจาะตลาดส่งออกไทยเอาใจคอ SME ส่งถึงปลายทาง 7 ประเทศภายใน 7-10 วันทำการ พร้อมตรวจสอบสถานะสิ่งของผ่านระบบ Track&Trace ได้ตลอด 24 ชม.

นางปริษา ปานะนนท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวถึงการเปิดให้บริการโลจิสต์โพสต์ระหว่างประเทศว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ส่งออกสินค้าขนาดใหญ่หรือส่งออกคราวละมากๆน้ำหนักตั้งแต่ 20 – 200 กก. อาทิ เครื่องประดับ สินค้าโอทอป ของตกแต่งบ้าน หรือสินค้าตัวอย่างไปยังปลายทางในต่างประเทศ โดยเปิดให้บริการแล้วในระยะแรก 7 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ จีน สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ด้วยระบบการขนส่งทางอากาศที่ได้มาตรฐานในระดับสากล นำจ่ายถึงผู้รับภายใน 7-10 วันทำการ สะดวกคุ้มค่าในราคาประหยัด อัตราค่าบริการคิดตามน้ำหนักและพื้นที่ปลายทาง ผู้สนใจสามารถติดต่อขอใช้บริการได้แล้ว ณ ที่ทำการไปรษณีย์จำนวน 41 แห่งที่เปิดให้บริการทั้งในเขตกรุงเทพ-ปริมณฑล และไปรษณีย์จังหวัด 4 แห่ง อาทิ ไปรษณีย์กลาง ปณ.จตุจักร พระโขนง ลาดพร้าว ปทุมธานี รังสิต หลักสี่ คลองจั่น อ่อนนุช สมุทรปราการ รองเมือง ลาดกระบัง อุดรธานี เชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต เป็นต้น

“สินค้าหรือสิ่งของที่ผ่านการดำเนินพิธีการศุลกากรขาออกและหุ้มห่อภายในกล่องพัสดุอย่างเรียบร้อยเตรียมพร้อมสำหรับฝากส่ง ณ ที่ทำการฯ จะถูกส่งต่อไปยังสายการบินซึ่งมีเที่ยวบินออกจากประเทศทุกวัน ร่วม 4 เที่ยวบินต่อวัน เพื่อส่งต่อไปยังที่อยู่ผู้รับในต่างประเทศด้วยมาตรฐานเครือข่ายการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ มั่นใจได้ว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกและรองรับความต้องการส่งสินค้าของกลุ่มผู้ อาทิ ผู้ส่งออกสินค้าในโครงการ Thaitrade.com ผู้ประกอบการ SMEs ประเภทต่างๆ ที่ต้องการส่งสินค้าในปริมาณมากได้อย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ส่งออกสินค้าในโครงการ Thaitrade.com ที่ใช้บริการโลจิสโพสต์ระหว่างประเทศตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 สิงหาคม ศกนี้ รับส่วนลด 10% ต่อชิ้นทันทีที่ใช้บริการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายตลาดสื่อสารและขนส่ง 0-2831-3213 , 0-2831-3906 หรือเข้าชมได้ทาง www.thailandpost.co.th

View :1324

ก.ล.ต. เปิดตัว Mobile App “start-to-invest” ที่ปรึกษาส่วนตัวด้านการเงินบน iPhone และ iPad

May 16th, 2012 No comments


นำเทคโนโลยี ช่วยวางแผนทางการเงินให้แก่ผู้ลงทุนบน iPhone และ iPad ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การลงทุน ใช้งานง่าย ตอบคำถามด้านการลงทุนได้ทุกมิติ เสมือนมีที่ปรึกษาด้านการเงินส่วนตัวมาอยู่ใกล้ ๆ ทำให้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี
บน App store ผ่าน iPhone และ iPad ได้ตั้งแต่วันนี้

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ในการตัดสินใจลงทุนอย่างถูกต้อง ผู้ลงทุนจำเป็นต้องมีข้อมูลคุณภาพ เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว และต้องมีเครื่องมือช่วยวางแผนที่มีประสิทธิภาพ ก.ล.ต. จึงมุ่งมั่นที่จะให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้สะดวก รวดเร็ว เชื่อถือได้ Mobile App “start-to-invest” นี้จึงเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ลงทุน สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้หลายมิติ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของ ก.ล.ต. ในภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและด้วยท่าทีที่เป็นมิตรกับทุกภาคส่วน”

นายชาลี จันทนยิ่งยง รองเลขาธิการ ก.ล.ต. ดูแลสายงานให้ความรู้การลงทุน กล่าวว่า “App “start-to-invest” เป็นความตั้งใจของ ก.ล.ต. ที่จะมอบเครื่องมือการวางแผนทางการเงินและคลังข้อมูลสินค้าเพื่อการลงทุนสำหรับผู้ที่เริ่มลงทุน โดยเน้นการใช้งานที่ง่าย ออกแบบให้ดูสบายตา เป็นกันเอง ซึ่ง ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า App นี้จะช่วยให้คนไทยเข้าใจความสำคัญของการวางแผนการเงินและสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างอนาคตที่มั่งคั่งด้วยการลงทุนได้”

Mobile App “start-to-invest ได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยทำงานที่สนใจเรียนรู้การลงทุนบนโลกออนไลน์ App นี้จะช่วยให้การวางแผนการเงินเป็นเรื่องง่าย เพราะมีโปรแกรมทดลองคำนวณเพื่อวางแผนการเงินได้ด้วยตนเอง และสามารรถปรับเปลี่ยนการคำนวณให้เหมาะกับความต้องการที่เปลี่ยนไป สามารถเช็คข้อมูลสินค้าการลงทุนที่อยู่ระหว่างเสนอขายได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงข้อมูลกองทุนรวมที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และช่องทางลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบต่าง ๆ พร้อมฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนโทรออกถึงผู้ให้บริการทางการเงินได้ทันที นอกจากนี้ ยังมีคลิปความรู้การเงินการลงทุนที่ดูง่ายและให้ความบันเทิง เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส

ดร. สมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า “น่าดีใจแทนคนรุ่นใหม่ ที่ได้มีเครื่องมือชิ้นใหม่ที่ให้ทั้งข้อมูลที่ทันสมัย และยังช่วยการวางแผนการลงทุนเบื้องต้นได้ด้วย ขอเชียร์ทุกคนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวให้ลองใช้ Mobile App “start-to-invest” และที่สำคัญอยากให้ลงมือลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างมีวินัย และยิ่งทำให้เป็นอัตโนมัติได้ก็ยิ่งดีครับ”

นายมงคล ลีลาธรรม นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า “เงินทองเป็นของหายาก หากมีความรู้ รู้จักการวางแผนที่ดีจะช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินได้ Mobile App “start-to-invest” ที่ ก.ล.ต. ได้พัฒนาขึ้นมาช่วยเรื่องการวางแผนการเงินได้เป็นอย่างดี มีเป้าหมาย และทำให้เข้าใจง่ายขึ้น แค่กรอกข้อมูลเข้าไปไม่กี่ตัวก็ได้คำตอบ ไม่ว่าจะวางแผนเพื่อการศึกษาบุตร ซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเพื่อเกษียณอายุ เป็นวิธีการให้ความรู้จับคู่กับเงิน ทำให้เงินงอกเงย น่าสนใจจริง ๆ”

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง กล่าวว่า “Mobile App “start-to-invest” ที่ ก.ล.ต. ได้พัฒนาขึ้น ถือเป็นความก้าวหน้าของ ก.ล.ต. ที่เข้าถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้ลงทุน โครงการนี้ทำให้ผู้ลงทุนสามารถรับข่าวสารที่ถูกต้องจาก ก.ล.ต. ได้โดยตรง ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด เขาก็สามารถศึกษาหาข้อมูลความรู้การลงทุน ค้นหาข้อมูลกองทุนรวมต่าง ๆ ที่คัดกรองมาแล้ว จึงเป็น Application ของหน่วยงานรัฐที่อุดมไปด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้ จึงเชื่อมั่นว่า Mobile App “start-to-invest” นี้จะให้ประโยชน์สูงสุดกับผู้ลงทุนบนโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี”

คุณอศินา พรวศิน รองบรรณาธิการข่าวไอที และบรรณาธิการโซเชียลมีเดีย The Nation กล่าวว่า “มีโอกาส ได้สัมผัส Mobile App “start-to-invest” ในฐานะที่เป็นนักข่าวและมีการลงทุนอยู่บ้าง ดีใจที่ ก.ล.ต. ให้บริการและเข้าถึงประชาชนให้วางแผนทางการเงินได้อย่างถูกต้อง ทั้งการออมในรูปแบบของการลงทุนในแต่ละเดือน การซื้อ LTF เพื่อวางแผนเรื่องภาษี และยังสามารถคำนวณวันที่ขาย LTF ได้ ที่ผ่านมาต้องพึ่งพาคำแนะนำพนักงานธนาคาร คราวนี้ทำให้มั่นใจมากขึ้น เพราะ ก.ล.ต. เป็นผู้ให้คำตอบ”

View :1458

Show No Limit เปิดตัวเกม “ชนด้วง” โซเชี่ยลเกมบนเฟซบุ๊คเกมแรกของบริษัท

May 16th, 2012 No comments

จับมือ MOL และ PaySbuy “ดึงวัฒนธรรมมาทำให้สนุกได้” ปั้นอดีตนักล่ารางวัลประกวดเกมสู่เวทีมืออาชีพ
“ชนด้วง” ชนลั่น สนั่นป่า บน Facebook แล้ววันนี้

โชว์โนลิมิต แถลงข่าวเปิดตัวเกม “ชนด้วง” โซเชี่ยลเกมบนเฟซบุ๊คเกมแรกของบริษัท เนรมิตรจากการละเล่นพื้นบ้านชาวเหนือของไทย สู่เกมต่อสู้รูปแบบใหม่โดยฝีมือนักพัฒนาเกมดาวรุ่ง “เจี๊ยบ โกวิทย์ ชนะเคน” ที่ผ่านเวทีประกวดสร้างเกมมาอย่างโชกโชน หวังเป็นเกมทางเลือกให้เด็ก เยาวชน และคนรุ่นใหม่ ที่ใช้เฟซบุ๊คอย่างเป็นประจำได้เล่นเกมปลอดภัย สร้างสรรค์ในรูปแบบที่แปลกใหม่

\“ชนด้วง” เป็นเกมประเภท Action RPG แนว Action Fighting บน Facebook รายแรกและรายเดียวในประเทศไทยในขณะนี้ เนื้อหาเหมาะสมสำหรับทุกเพศทุกวัย (เรทติ้ง ท.) เริ่มเรื่องราวด้วยการสวมบทบาทเป็นนักชนด้วง ที่ผู้เล่นจะต้องเลี้ยงดูด้วงและทำการต่อสู้บนสนามชนด้วง ผู้ชนะจะได้รับค่าประสบการณ์และเงินรางวัลเพื่อนำไปแลกไอเทมต่างๆ เช่น เขาด้วง ปีกด้วงแบบพิเศษ ที่ล้วนแต่จะช่วยเพิ่มศักยภาพของด้วง ให้สามารถต่อกรกับคู่แข่งในระดับที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยพิเศษอื่นๆ ทั้งระบบภูต ไอเทมพิเศษ ไข่ทองคำเพื่อชุบชีวิต ฯลฯ ที่จะทำให้โลกของการ “ชนด้วง” เป็นเกมการแข่งขันที่สนุกสนานไม่รู้เบื่อ
สำหรับระบบการต่อสู้นั้น สามารถเลือกท้าประลองได้จากเพื่อนบน Facebook หรือแม้แต่ผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลก หรือจะต่อกรกับ NPC สุดอัจฉริยะ ที่พร้อมจะท้าทายคุณได้ทุกเมื่อ พร้อมกับระบบ Quest ในการช่วยเหลือผู้เล่น แถมยังได้โบนัสพิเศษทุกครั้งที่ Log In เข้าเล่นเกมในแต่ละวัน เป็นการตอบแทนสำหรับผู้ที่เล่น “ชนด้วง” เป็นประจำ เป็นต้น

เจี๊ยบ – โกวิทย์ ชนะเคน บุรุษผู้ถือคติ “เหนือกว่าได้ ด้วยรายละเอียด” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเกมชนด้วง คือนักล่ารางวัลฝีมือฉกาจจากเวทีประกวดเกมระดับประเทศมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย กับผลงานชนะเลิศอันดับ 1 จากหลากหลายเวที ทั้ง “Hello Nuclear” โครงการโดยสถาบันนิวเคลียร์แห่งชาติ ร่วมกับรายการสมรภูมิไอเดีย ไทยทีวีสีช่อง3 “White Road” โครงการโดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน กรมการขนส่งทางบก

“Anurak (อนุรักษ์)” โครงการโดยสำนักงานคณะกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
หนุ่ย – พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโชว์ไร้ขีด จำกัด (Show No Limit) ผู้อำนวยการสร้างเกมชนด้วง กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้กลับมาทำเกมคอมพิวเตอร์อีกครั้งว่า “สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดของโปรดักชั่นนี้คือการได้สนับสนุนดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการเกม ‘โกวิทย์ ชนะเคน’ เขาเคยเป็นนักล่ารางวัลที่ในอดีตไม่ว่าเวทีไหนที่ผมไปเป็นกรรมการตัดสิน ผมจะเจอเขาเข้าแข่งขันตลอด จนครั้งหลังสุดที่เวทีประกวดเกมของกระทรวงวัฒนธรรม ผมเดินเข้าไปหาเขาแล้วถามว่า “จะเดินสายประกวดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” จากนั้นเราจึงได้ร่วมงานกันในรูปแบบบริษัท ที่มีฝ่ายการตลาด, ฝ่ายอีเว้นท์, ฝ่ายกราฟฟิค และฝ่ายวิศวกรระบบบิลลิ่ง เพื่อทำให้ฝันของเขาเป็นจริงคือ “สร้างเกมในระดับอาชีพได้”

ส่วนตัวมองว่า “ชนด้วง” ไม่ได้เป็นเกมไทยจ๋า แต่การดึงเอาวัฒนธรรมพื้นบ้านมาประยุกต์ให้อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ถือเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมทางภาคเหนือแบบอ้อมๆ และการได้สัมผัสคาแรคเตอร์ตัวด้วงผ่านเกม น่าจะเป็นสื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้เล่น หันมาสนใจศึกษา และดูแลสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวมากขึ้นได้อีกทางหนึ่ง”

เจี๊ยบเขามีจุดเด่นในเรื่องนี้คือ “ดึงวัฒนธรรมมาทำให้สนุกได้” ซึ่งฉายแววมาตั้งแต่เวทีประกวดแล้ว ผมเชื่อมั่นมากว่า “ชนด้วง” จะสามารถมอบความสนุกสนานแบบใหม่ๆให้กับผู้ใช้เฟซบุ๊คชาวไทยกว่า 14 ล้านคนได้ ชวนค้นหาคำว่า “ชนด้วง” บนเฟซบุ๊ค เพื่อเข้าสู่ตัวเกมได้ง่ายๆ

ปรีชา ไพรภัทรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มอล แอ็คเซสพอร์ทัล จำกัด (MOL Thailand) กล่าวว่า “เกมชนด้วงเป็นเกม Facebook ที่น่าสนใจ ทั้งวิธีการเล่น และ ตัวละคร เพราะเป็นเกมแนวใหม่ที่มาจากฝีมือคนไทย MOL ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายบัตรเติมเงินสำหรับเกมกว่า 2,000 เกมทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมที่จะสนับสนุนและเป็นช่องทางในการเติมเงินที่รวดเร็วสะดวกสบายให้แก่ผู้เล่น”

ทั้งนี้ สมหวัง เหลืองไพบูลย์ศรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เพย์สบาย จำกัด กล่าวเสริมว่า “เกมชนด้วง เป็นเกมที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย สามารถเล่นได้บน Facebook เพื่อต่อสู้กับเพื่อน และ NPC นอกจากนี้ PaySbuy ยังเป็นช่องทางการเติมเงินเกมส์ด้วยบัญชีเพย์สบาย บัญชีธนาคาร เคาน์เตอร์เซอร์วิส และเทสโก้โลตัส ที่ทำให้ผู้เล่น มีความสะดวกสบายมากขึ้น
พิเศษ ตั้งแต่วันเปิดตัวเกม 16 พฤษภาคม 2555 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 ผู้เล่นที่ Log in เข้ามาเล่นเกม “ชนด้วง” รับไปเลย เงิน 300 B เพื่อนำไปสนุกกับตัวเกมอย่างเพลิดเพลิน สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่facebook.com/beetlebeam และ www.ชนด้วง.com

นอกจากนี้ยังมีการเปิด Youtube Channel “youtube.com/beetlebeam” เพื่อสื่อสารตัวเกมนี้ไปสู่สังคมออนไลน์อีกด้วย
ชวนคุณค้นหาคำว่า “ชนด้วง” บนเฟซบุ๊ค…เราขอท้าชนคุณ!

View :1643

ก.ไอซีที ร่วมมือ ทีดีอาร์ไอ วางกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ

May 16th, 2012 No comments

นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นโครงการจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่า ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ได้ปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ของรัฐบาล รัฐสภา ประชาชน และ กสทช. ให้ชัดเจนขึ้น และภายใต้กฎหมายดังกล่าวได้กำหนดให้ กสทช.ต้องมีการจัดทำแผนบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม โดยการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนบริการดังกล่าวให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล

“และเพื่อให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปตามบทบาทที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินนโยบายด้านโทรคมนาคมของประเทศไทยในสภาพแวดล้อมปัจจุบันและอนาคตเป็นไปอย่างมีทิศทางที่เหมาะสม ตลอดจนสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะหน่วยงานฝ่ายบริหารที่ดูแลนโยบายด้านการสื่อสารของประเทศ จึงจำเป็นจะต้องมีการจัดทำกรอบนโนบายโทรคมนาคมแห่งชาติขึ้น” นางเมธินี กล่าว

โดยกระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย () ดำเนินการศึกษาวิจัยในโครงการ “” ที่ครอบคลุมทั้งระยะกลาง 3 – 5 ปี และระยะยาว 10 ปี ซึ่งได้มีการวางเป้าหมายของกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติเอาไว้ คือ 1. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศด้วยการลดต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับธุรกิจต่างๆ ทั้งอัตราค่าบริการโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประเทศไทยให้อยู่ในระดับต่ำอย่างน้อยเป็นอันดับที่สองของภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2557

2. เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั้งระบบมีสายและไร้สายให้สูงขึ้นโดยรวมกันแล้วไม่น้อยกว่าระดับ ร้อยละ 35 ของประชากร ในปี 2557 และร้อยละ 70 ของประชากร ในปี 2564 รวมทั้งสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสื่อสารที่สำคัญ และบริการโทรศัพท์ฉุกเฉินอย่างเท่าเทียม 3. สร้างกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูล การกำกับดูแลคุณภาพ และอัตราค่าบริการ และ 4. วางโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่มีความมั่นคงปลอดภัยจากภัยคุกคาม และสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติและเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้

“หลังจากที่กระทรวงฯ ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยโครงการดังกล่าวแล้ว จึงได้มีการจัดสัมมนาขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อนำเสนอผลการศึกษาการจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ รวมทั้งนำเสนอร่างกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ ตลอดจนเปิดรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เข้าร่วมการสัมมนาจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นเหล่านั้น ไปใช้ในการปรับปรุงร่างกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดย ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ร่วมกับ ทีดีอาร์ไอ จัดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นในระดับภูมิภาคไปแล้ว 2 ครั้ง ที่จังหวัดนครราชสีมา และที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” นางเมธินี กล่าว

View :1479