Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

แพคเน็ทแต่งตั้งคุณไพศาล กวียานันท์ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทย

June 5th, 2012 No comments

แพคเน็ทได้แต่งตั้งให้คุณไพศาล กวียานันท์ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการประจำประเทศของแพคเน็ท ประเทศไทย โดยเขาจะเป็นผู้รับผิดชอบการเจริญเติบโตเชิงกลยุทธ์และการขยายธุรกิจของแพคเน็ทในประเทศไทย

คุณไพศาลมีประสบการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทยมากว่า 20 ปี เขาได้รับการยอมรับให้เป็นมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย เขามีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในธุรกิจโทรคมนาคม ทั้งทางด้านวิศวกรรม ด้านการปฏิบัติการ ตลอดทั้งด้านการขายและการตลาด

“ประเทศไทยเป็นตลาดหลักที่สำคัญในธุรกิจของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีความยินดีที่คุณไพศาลจะมาช่วยผลักดันการดำเนินงานในประเทศไทยของเรา เรามั่นใจว่าเขาจะนำเอาความรอบรู้ในอุตสาหกรรม และประสบการณ์ด้านการจัดการของเขามาช่วยเร่งการเติบโตทางธุรกิจของแพคเน็ทในประเทศไทย” แฌก เกรอโซว์ กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของแพคเน็ท กล่าว

ก่อนที่จะมาร่วมงานกับแพคเน็ท คุณไพศาลเป็นที่ปรึกษาของประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจัสมินกรุ๊ป กลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำด้านธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศไทย ซึ่งเขาเป็นผู้ให้คำปรึกษาในการกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ของกลุ่มจัสมิน รวมถึงการบริหารจัดการผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยในกลุ่มอีกด้วย

ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่คุณไพศาลได้ร่วมงานกับกลุ่มจัสมิน เขาได้ดำรงตำแหน่งระดับผู้บริหารที่สำคัญมากมาย รวมทั้งตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด และเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทในเวลาต่อมา

คุณไพศาลจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ด้านโทรคมนาคมและอิเล็กทรอนิกส์ และจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจหลักสูตรสำหรับผู้บริหาร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย

View :1314

UIH ก้าวข้ามพรมแดนขยายตลาดสู่ลาว จีน เวียดนาม

May 31st, 2012 No comments

คุณทยาวัต อุนนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายInternational Broadband Solutionนำทีมคณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด () เดินทางไปเยือนเวียงจันทร์ สาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อเจรจาธุรกิจสำหรับเส้นทางเชื่อมต่อโครงข่ายของ ชูจุดยืนความมีเสถียรภาพโครงข่าย จากภายในประเทศไทยสู่ประเทศเพื่อนบ้านผ่านพันธมิตร 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศลาว อาทิ ETL, UNITEL, LAO Telecom และ Beeline เพื่อเป็นการเตรียมโครงข่ายสำหรับรองรับการขยายธุรกิจขององค์กรลูกค้า และพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน หรือ AEC ในปี 2015 ที่กำลังจะมาถึง สำหรับการเยือนเวียงจันทร์ของผู้บริหาร ในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มความมั่นใจแก่องค์กรลูกค้าในเรื่องศักยภาพด้านเสถียรภาพ และความแข็งแกร่งของโครงข่าย ที่พร้อมเชื่อมโยงสู่ประเทศต่างๆทั่วโลก พร้อมทั้งขยายรูปแบบการบริการเพื่อตอบสนองการสื่อสารหลากหลายรูปแบบขององค์กรลูกค้าที่มากขึ้น ทั้งยังช่วยให้การสื่อสารขององค์กรลูกค้าสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วอีกด้วย

View :1793
Categories: Press/Release Tags:

เอไอเอส จับมือ จีเอ็มเอ็ม แซท ออกแพ็กเกจใหม่ “เอไอเอส – จีเอ็มเอ็ม แซท สปอร์ต”

May 31st, 2012 No comments


ครั้งแรกที่ให้ลูกค้าชมถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร ทุกแมทช์ตลอดทัวร์นาเม้นท์ บนมือถือ

ร่วมกับ แซท ผู้ได้รับสิทธิ์จาก แกรมมี่ ซึ่งเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ในประเทศไทย เตรียมเอาใจคอบอลเปิดปฐมบทแห่งความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ด้วยแพ็กเกจใหม่ “ – จีเอ็มเอ็ม ” สร้างปรากฏการณ์ที่แตกต่างให้ลูกค้าเอไอเอสสามารถชมถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร ได้ทุกแมทช์ตลอดทัวร์นาเม้นท์ บนมือถือเป็นรายแรกและรายเดียว สมัครง่ายๆได้แล้ววันนี้ เพียงกด *841# แล้วโทรออก

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า “เอไอเอสดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความต้องการและประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นหลักมาโดยตลอด และเนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทุกพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างแท้จริง เอไอเอสจึงมีนโยบายหลักในการทำตลาดภายใต้แนวคิด Quality DNAs ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพในทุกมิติของการบริการ โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ สร้างสรรค์บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อมอบ Content ที่ดีและมีคุณภาพ รวมทั้งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างให้กับลูกค้าเอไอเอสมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับวันนี้ด้วยกระแสฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ในระหว่างวันที่ 8 มิ.ย. – 2 ก.ค./55 ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลแมทช์สำคัญที่คนทั่วโลกรอคอย รวมทั้งพี่น้องชาวไทยด้วย ดังนั้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าเอไอเอส ผู้ให้บริการมือถือบนเครือข่ายคุณภาพ จึงจับมือกับ จีเอ็มเอ็ม แซท ผู้ดำเนินธุรกิจกล่องทีวีดาวเทียมจากแกรมมี่ โดยได้รับสิทธิ์จาก จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลยูโร ในประเทศไทย โดยร่วมกันออกแพ็กเกจใหม่ “เอไอเอส – จีเอ็มเอ็ม แซท สปอร์ต” ขึ้น เพื่อให้ลูกค้าเอไอเอสสามารถชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร ได้ทุกแมทช์ตลอดทัวร์นาเม้นท์ บนมือถือ เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย”

ทางด้านนายธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจกล่องจีเอ็ม เอ็ม แซท กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “จีเอ็มเอ็ม แซท รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเอไอเอส ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับหนึ่งและมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย มอบสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าเอไอเอสที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล สามารถรับชมการแข่งขันฟุตบอลยูโร ในรูปแบบต่างๆ ได้ ถือเป็นการเพิ่มอีกหนึ่งช่องทางการรับชมฟุตบอลยูโรจากเดิมรับชมผ่านกล่องจีเอ็มเอ็ม แซท ครบทุกนัด ชัดทุกแมทช์ ซึ่งมั่นใจว่าการให้บริการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะการแข่งขันฟุตบอลยูโร ถือเป็น Content กีฬาระดับโลกที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจติดตามรับชม โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์คุ้นเคยกับการรับชมทีวีออนโมบายอยู่แล้ว ถือเป็นการร่วมมือสร้างปรากฎการณ์ดูฟุตบอลยูโรผ่านมือถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทย”

โดยแพ็กเกจ “เอไอเอส – จีเอ็มเอ็ม แซท สปอร์ต” มีให้ลูกค้าเลือกรับชมบนมือถือได้อย่างเต็มอิ่มในหลากหลายรูปแบบตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์
· Live Match ชมการถ่ายทอดสดครบทุกแมทช์ (31 แมทช์)
· Highlight Clip ชมคลิปไฮไลท์การแข่งขันคู่เด็ดๆ
· Road to Euro วิเคราะห์เจาะลึกการแข่งขันแบบคู่ต่อคู่ จากกูรูฟุตบอลชื่อดัง
· Euro Talk รายการข่าวสารที่พูดคุยเกี่ยวกับฟุตบอลยูโรแบบเจาะลึก
· Euro Update เกาะติดตารางการแข่งขันทุกคู่ และรายการผลการแข่งขัน
แบบรวดเร็วทันใจ

ลูกค้าที่สนใจสมัครได้ง่ายๆ ทางมือถือ เพียงกด *841# แล้วโทรออก จากนั้นรอรับลิงค์ แล้วกดเข้าสู่บริการ “เอไอเอส-จีเอ็มเอ็ม แซท สปอร์ต” โดยมีอัตราค่าบริการเพียง 39 บาท ตลอดทัวร์นาเม้นท์

นอกจากเอไอเอสและจีเอ็มเอ็ม แซท จะร่วมกันออกแพ็กเกจใหม่ เพื่อให้ลูกค้าเอไอเอสได้รับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในการชมการแข่งขันฟุตบอลยูโรบนมือถือทุกที่ ทุกเวลาแล้ว ลูกค้าเอไอเอสยังสามารถชมบอลยูโร ผ่านกล่องจีเอ็มเอ็ม แซท โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยตนเองผ่านมือถือ เพียงกด *841*0* ตามด้วยหมายเลข Serial Number 16 หลักด้านหลังกล่อง # แล้วโทรออก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.55 หรือหากต้องการชมในระบบ HD (High – Definition) ก็สามารถชมได้ผ่านกล่อง HDTV
และในเร็วๆ นี้ ลูกค้าเอไอเอสที่ใช้บริการกล่อง จีเอ็มอ็ม แซท ยังสามารถชำระค่าบริการเพย์ทีวีซึ่งเป็นรายการของจีเอ็มเอ็ม แซท ผ่านบริการ mPAY ทางมือถือ ได้ด้วย

“เราเชื่อมั่นว่าด้วยเครือข่ายคุณภาพของเอไอเอส เมื่อผสานรวมกับ Content ที่ดีและมีคุณภาพของจีเอ็มเอ็ม แซท จะทำให้ลูกค้าเอไอเอสที่เป็นคอบอลสามารถเกาะติดการแข่งขันฟุตบอลยูโร ได้ทุกที่ ทุกเวลา ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบคุณได้อย่างแท้จริง” นายฐิติพงศ์ และนายธนา ร่วมกันกล่าวสรุปในตอนท้าย

View :1811

แคนนอน เปิดตัวกล้องดิจิตอลคอมแพ็ครุ่นใหม่ล่าสุด 2 รุ่น สำหรับชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ค XUS 510 HS และ IXUS 240 HS กับ ฟังก์ชั่น Wi-Fi ในตัวกล้อง

May 31st, 2012 No comments


และ แอพพลิเคชั่น Camera Window ให้คุณแชร์รูปสวยแบบ Hi-resolution หรือไฟล์วิดีโอแบบ Full HD จากกล้องดิจิตอล IXUS ไปยังอุปกรณ์สมาร์ทโฟน หรือ แทปเล็ททั้งระบบ iOS และ Android แล้วอัพโหลดไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ ได้ทันที พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกมากมาย อาทิ เลนส์ไวด์พิเศษ 28 มม.ซูมออปติคอล 12X ในรุ่น IXUS 510HS / เลนส์ไวด์ 24 มม. ซูมออปติคอล 5X ในรุ่น IXUS 240HS / หน้าจอ LCD แบบทัชสกรีนขนาด 3.2” / โหมดออโต้อัจริยะ Smart Auto ปรับโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติได้มากถึง 58 แบบ / โหมด Smooth Skin ปรับสีผิวให้สว่างใส / โหมด Soft Focus ปรับโทนสีภาพให้หวานซึ้ง / โหมดบันทึกวีดิโอความละเอียดแบบ Full HD พร้อมระบบกันสั่น Dynamic IS ขณะกำลังถ่ายวีดีโอ / ฟังก์ชั่น Face ID Recognition บันทึกชื่อและจดจำใบหน้าได้ถึง 12 คนในตัวกล้อง และจำได้สูงสุดถึง 5 ภาพต่อคน / ชิปประมวลผลภาพ DIGIC 5 ลิขสิทธิ์เฉพาะของแคนนอน ให้ภาพสีสันสวยคมชัดในทุกสภาพแสง ลดสัญญาณรบกวนภาพ (noise)

กล้องดิจิตอลแคนนอนพร้อมฟังก์ชั่น WiFi IXUS 510 HS ราคา 13,900บาท และ IXUS 240 HS ราคา 10,900บาท วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ณ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.canon.co.th

View :2358
Categories: Press/Release Tags:

เวลเทคกรุ๊ปหั่นราคามือถือ-แท็บแลตหัวเว่ยยกแผง หวังเข็นแบรนด์แจ้งเกิดในตลาดสมาร์ทดีไวซ์อีกยก

May 31st, 2012 No comments


เวลเทคกรุ๊ปหั่นราคา สมาร์ทดีไวซ์หัวเหว่ยทุกรุ่น ราคาช็อคตลาด หวังผู้ใช้หันมาสนใจเลือกใช้แบรนด์หัวเว่ย ส่งผลให้เป็นที่รู้จักในตลาดมากขึ้น เชื่อหากได้ลองใช้จะไม่กังขาเรื่องคุณภาพการันตรีเป็นแบรนด์จีนอินเตอร์ เผยตลาดสมาร์ทดีไวซ์กระแสดียอดขายพุ่งแต่ยังผูกติดกับไม่กี่แบรนด์ ส่งผลรายใหม่แจ้งเกิดยากต้องใช้สเปคสูง คุณภาพดี แต่ราคาต่ำเข้าทำตลาด ชี้ยุคค่าครองชีพสูงราคาขายที่สมเหตุสมผลจะจูงใจได้เป็นอย่างดี

นายสุวิทย์ ชัยกิจพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวลเทคกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เวลเทคกรุ๊ป ได้ปรับราคาขายส่งสมาร์ทดีไวซ์แบรนด์หัวเว่ย ทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บแล็ตให้ตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายสามารถทำราคาขายให้สามารถแข่งขันกับโทรศัพม์เคลื่อนที่แบรนด์อื่นได้ ขณะนี้ยอมรับว่าตลาดมือถือและแท็บแลตมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือน การแจ้งเกิดแบรนด์ใหม่ในตลาดทำได้ยาก เพราะมีเจ้าตลาดอยู่เพียงไม่กี่แบรนด์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

ทั้งนี้จากการปรับราคาดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาขายกับผู้ใช้ทั่วไป (คอนซูเมอร์) มีดังต่อไปนี้ MediaPad ราคา 9,900 บาท แท็บแลตขนาด 7 นิ้ว ขนาดกะทัดรัดบางเบา หน้าจอคมชัดแบบ IPS สมารถอัพเกรดเป็นระบบปฎิบัติการแอนดอยด์ 4.0 สมาร์ทโฟนหัวเว่ย รุ่น IDEOS X1 สมาร์ทโฟนขนาดเล็ก ที่มาพร้อมกล้อง 3.2 ล้านพิกเซลที่สามารถเชื่อมต่อทุกโลกโชเชียลเน็ตเวิร์ก ราคา 2,990 บาท

นอกจากนี้ยังมีสมาร์ทโฟนหัวเว่ยรุ่น IDEOS X3 สมาร์ทโฟนระดับกลางระบบปฎิบัติการแอนดอยด์ 2.3 ที่มาพร้อมกล้องหน้า VGA และกล้องหลัง 3.2 ล้านพิกเซล ราคา 3,990 บาท นับเป็นสมาร์ทโฟนรุ้นเดียวที่มีทั้งกล้องหน้า-หลังราคาต่ำกว่า 4,000 บาท และสมาร์ทโฟนหัวเว่ย รุ่น IDEOS X5 (Pro) สมาร์ทโฟนแอนดอย์ 2.3 แรงด้วย CPU 1 GHz กล้องคมชัด 5 ล้านพิกเซล หน้าจอขนาดใหญ่TFT 38” พร้อมหน่วยความจำในตัวเครื่อง 4 GB คมชัดทุกรายละเอียดราคา 4,790 บาท สามารถหาซื้อได้จากดีเลอร์ไอทีชั้นนำ

View :1719

เอไอเอส เตรียมความพร้อมเครือข่ายรับ ประชุม World Economic Forum on East Asia (WEF)

May 30th, 2012 No comments

นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ กล่าวว่า “จากการที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออกหรือ ระหว่างวันที่ 30 พ.ค. – 1 มิ.ย.ศกนี้ นั้น เพื่อยืนยันถึงศักยภาพความพร้อมด้านเทคโนโลยีของประเทศและ อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศต่างๆรวมถึงสื่อมวลชนให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการประชุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอไอเอสจึงเตรียมความพร้อมด้านเครือข่ายและบริการด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย ประกอบด้วย

· ดำเนินการติดตั้งเทคโนโลยี 4G บริเวณห้องสื่อมวลชน ทั้งนี้สืบเนื่องจากการอนุมัติโดย กสทช. ให้ TOT ผ่านการทำงานของเอไอเอส โดยใช้คลื่น 2.3 GHz พร้อมจุดบริการ Notebook และ 4G Dongle รวมถึงการกระจายสัญญาณในลักษณะของบริการ Wifi จาก 4G ณ บริเวณดังกล่าว

· จัดเตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่ รวมถึงติดตามเฝ้าระวังคุณภาพเครือข่ายทั้งเส้นทางการเดินทางและสถานที่ประชุม รวมถึงสถานที่จัดเลี้ยง ตลอด 24 ชั่วโมงของช่วงการประชุม

· ประสานงานกับโอเปอเรเตอร์ ผู้ให้บริการต่างประเทศกว่า 40 แห่งจากทุกประเทศที่เข้าร่วมประชุม เพื่อเตรียมพร้อมกรณีหากเกิดปัญหาการใช้งานของผู้เข้าร่วมเพื่อให้การประชุมไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสาร

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเตรียมความพร้อมในฐานะภาคเอกชนที่เป็นผู้นำระบบการสื่อสารจะมีส่วนสนับสนุนให้การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออกหรือ World Economic Forum on East Asia (WEF) ณ ประเทศไทย เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้” นายวิเชียร กล่าวในตอนท้าย

View :1341

ไอบีเอ็มและทีซีซีเทคโนโลยี ประกาศความร่วมมือโครงการเมกะดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของประเทศไทย

May 29th, 2012 No comments

ทีซีซี เทคโนโลยี (TCCT) ผู้นำการให้บริการดาต้าเซนเตอร์ที่เป็นอิสระระดับแนวหน้าของประเทศไทย ได้มอบหมายให้ไอบีเอ็มเป็นผู้พัฒนา ออกแบบกลยุทธ์ รวมถึงรูปแบบของดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่หรือ “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” โดยไอบีเอ็มจะให้คำปรึกษาเพื่อการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน และคุณภาพการบริการด้วยขนาดและทำเลที่เหมาะสมสูงสุดสำหรับลูกค้าในแต่ละประเภทธุรกิจ ด้วยประสบการณ์และคุณภาพการบริการมาตรฐานระดับสากล ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์วิจัย ไอบีเอ็มจะช่วยให้ทีซีซี เทคโนโลยี สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานของราคาและประโยชน์ที่สมเหตุสมผลสำหรับการลงทุนครั้งนี้

นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ที.ซี.ซี เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “เราไว้วางใจไอบีเอ็มให้ทำการศึกษาวิจัยในการสำรวจและคัดเลือกทำเลที่ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ให้กับทีซีซีที ผนวกกับการวิเคราะห์ถึงขนาดที่เหมาะสม และกลยุทธ์การสร้างศักยภาพสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ เนื่องจากในปัจจุบัน มีความต้องการบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นมากจากหลากหลายประเภทธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค โดยมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองทั่วโลก การไว้วางใจให้ผู้เชี่ยวชาญด้านดาต้าเซ็นเตอร์ดูแลข้อมูลสำคัญต่างๆให้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถลดต้นทุนโดยพิจารณาบริการของเราแทนการลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ ศูนย์สำรองข้อมูล และการจ้างวิศวกรคอมพิวเตอร์ในการดูแลดาต้าเซ็นเตอร์ด้วยตนเอง ในฐานะผู้นำการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นอิสระชั้นแนวหน้าของประเทศไทย เราพร้อมตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นและขยายศักยภาพด้วยการวางแผนสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” โดยจะสร้างเป็น ดาต้าเซ็นเตอร์คอมมิวนิตี้ อันจะประกอบด้วยธุรกิจต่างๆจากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถรองรับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยทีซีซีทีจะเป็นศูนย์กลางการเก็บข้อมูล และเป็นผู้บริหารจัดการข้อมูลด้วยระบบไอทีอย่างชาญฉลาด เราต้องการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำซึ่งโดดเด่นด้วยขนาด ทำเลและบริการที่ดีที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกไอบีเอ็มซึ่งมีความเชี่ยวชาญระดับโลกและมีบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบให้คำแนะนำจนไปถึงการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ มาทำการศึกษาวิจัยให้กับเราและสามารถตอบสนองความต้องการจุดนี้ได้อย่างครบถ้วน”

นายยศ กิมสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริการ บริษัทไอบีเอ็มประเทศไทยจำกัด กล่าวว่า “ไอบีเอ็มรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทีซีซีทีได้เลือกไอบีเอ็มเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ที่จะช่วยตอบโจทย์ทางธุรกิจและเสริมความเป็นผู้นำของทีซีซีทีในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วยบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ครบครันและความเชี่ยวชาญระดับโลกของไอบีเอ็ม เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเสริมศักยภาพให้ทีซีซีทีสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างเหนือระดับ”

“เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ของทีซีซีทีจะใช้กลยุทธ์ “3S” โดยมุ่งหมายที่จะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย โดยมีคุณสมบัติที่มีความยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ และความสามารถในการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นสูง รวมถึงสามารถสองตอบความต้องการของลูกค้าที่ต้องการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มจากเดิมอีกด้วย

โดยกลยุทธ์ “3S” คือ
• Size (ขนาด) จากความต้องการของทีซีซีที ไอบีเอ็มจะศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ขนาดในการสร้าง “เมกะดาต้าเซ็นเตอร์” ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและสามารถรองรับรูปแบบการบริการที่จะนำเสนอให้แก่ลูกค้าอีกด้วย
• Site (ทำเลที่ตั้ง) การเลือกทำเลที่ตั้งของศูนย์แห่งใหม่จะเป็นการผนวกรวมความเชี่ยวชาญของไอบีเอ็มในฐานะผู้มีประสบการณ์การให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสากลที่ได้ศึกษาวิจัยและวางแผนการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบยกพื้น (Raised-Floor) กว่า 30 ล้านตารางฟุตให้กับองค์กรมาแล้วทั่วโลก กับความชำนาญในการเลือกสรรทำเลที่ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยของทีซีซีทีซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเซียได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ทีมงานผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ของไอบีเอ็มจะทำการศึกษาวิจัย รวบรวมข้อมูลแนวโน้มตลาด ความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย แล้วจึงจะทำการสำรวจทำเลที่ตั้ง โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปวิเคราะห์โดยใช้โมเดลช่วยการตัดสินใจและเครื่องมือการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ทำเลที่เหมาะสมที่สุดในการสร้าง“เมกะดาต้าเซ็นเตอร์”
• Services (บริการ) จากคำปรึกษาของไอบีเอ็ม ทีซีซีทีจะสามารถตัดสินใจเรื่องรูปแบบดาต้าเซ็นเตอร์และการบริการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้ในอนาคต โดยขนาดและทำเลที่ตั้งจะต้องเหมาะสมกับบริการที่จะให้กับลูกค้า

บริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนและกลยุทธ์ดาต้าเซ็นเตอร์ของไอบีเอ็มจะช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีอยู่และดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะสร้างใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ เช่น การขยายตัวของธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และความสามารถในการให้บริการ โดยไอบีเอ็มสามารถช่วยลูกค้าตั้งแต่การวางแผนที่รัดกุมเพื่อลดความเสี่ยง ลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน รวมถึงลดความซับซ้อนในการสร้างหรืออัพเกรดดาต้าเซ็นเตอร์ ไอบีเอ็มยังสามารถช่วยเลือกสรรเทคโนโลยี ทำเลที่ตั้งของศูนย์ และรูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมทางไอทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงช่วยออกแบบ ติดตั้งและสร้างสมาร์ทเตอร์ดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการบริหารจัดการ ทำการทดสอบและติดตั้งให้แก่ลูกค้า
ข้อมูลเพิ่มเติม

ปัจจุบันทีซีซีทีมีดาต้าเซ็นเตอร์อยู่สามแห่ง 3 แห่ง คือ
• ระดับองค์กร: ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับองค์กรธุรกิจ (Enterprise Data Centers) ได้แก่ เอ็มไพร์ทาวเวอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ (ETDC) สาทร และ บางนาดาต้าเซ็นเตอร์ (BNDC) ตั้งอยู่บนอาคาร TCIF ห่างจากสนามบินนานาชาติเพียง 10 กิโลเมตร
• ระดับอุตสาหกรรม: ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Data Center) ได้แก่ Amata Industrial Estate (AMDC)
• ระดับภูมิภาค: ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาค (International Data Center) ได้แก่ (KMDC) ที่จะสร้างขึ้นที่ประเทศกัมพูชา
ท่านสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tcc-technology.com

View :1579

เอปสันเผยผลงานปี 54 ยอดขายทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้าปี 55 โตอีก 15%

May 29th, 2012 No comments

ประเทศไทย ประกาศผลการดำเนินงานปี 2554 ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 13% พร้อมส่งสินค้ารุ่นใหม่ และเปิดไลน์สินค้าใหม่ รุกตลาดลูกค้าองค์กรทุกระดับ รับกระแสเศรษฐกิจฟื้นตัว

มร.เออิจิ คาโตะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทเอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด


มร.เออิจิ คาโตะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทเอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานใน ปีที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ มียอดขายในทุกหมวดสินค้าเพิ่มขึ้นโดยรวม 13% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมในช่วงปลายปี ทั้งนี้เป็นผลจากการที่บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ส่งสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดหลายรุ่นติดต่อกัน เพื่อเข้าถึงลูกค้าองค์กรในหลายระดับ และยังเปิดไลน์สินค้าใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสามารถเปิดตลาดใหม่ๆ ได้ บวกกับการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จนได้รับความไว้ใจจากลูกค้าในหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มหันมาลงทุนในโครงการต่างๆ มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี บริษัทฯ จึงเชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตในปีนี้ที่ 15% ได้

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หมวดสินค้าของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตเกินความคาดหมาย ได้แก่ กลุ่มสินค้าทีเอ็มพรินเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มธุรกิจซึ่งเอปสันเป็นผู้นำตลาดมาโดยตลอด โดยมีการขยายตัวอย่างโดดเด่นถึง 40% เป็นผลจากห้างร้านจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจาก น้ำท่วม กลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง และเปลี่ยนอุปกรณ์ไอทีภายในร้านใหม่ บวกกับร้านค้าขนาดเล็กมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

“สำหรับอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ เอปสันมียอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 25% โดยไฮไลท์อยู่ที่ พรินเตอร์ระบบหมึกสีต่อเนื่อง หรือ เอปสัน แอล ซีรี่ส์ (L Series) ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า เครื่องแท็งค์แท้ ที่ผ่านมาเอปสันเปิดตัวไป 3 รุ่น และได้ผลตอบรับดีมาก จากกลุ่มเอสเอ็มอี ออฟฟิศโซโห และสถาบันศึกษา และจากผลสำรวจของ GFK เอปสันยังคงเป็นผู้นำในตลาดซิงเกิ้ล ฟังก์ชั่น อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ และมีอัตราการเติบโตสูงสุดในตลาดมัลติ ฟังก์ชั่น ซึ่งในภาพรวมของตลาดนี้ เอปสันมีส่วนแบ่งการตลาดในด้านรายได้เป็นอันดับหนึ่ง อยู่ที่ 30.2%”

นายยรรยง ยังได้กล่าวถึงกลยุทธ์ในปีนี้ว่า บริษัทฯ จะโฟกัสสินค้าที่มีการเติบโตอย่างชัดเจน อาทิ สินค้าในกลุ่มธุรกิจ โปรเจคเตอร์ และอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ พร้อมเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ทั้งยังจะเดินหน้ารุกตลาดใหม่ๆ ด้วยสินค้ารุ่นใหม่ ที่เน้นความคุ้มค่าและต้นทุนการใช้งานที่ต่ำ ในขณะเดียวกัน ก็จะรักษาความต่อเนื่องในการสร้างแบรนด์ ผ่านการเป็นพาร์ทเนอร์ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“ในอีกด้านหนึ่ง เอปสันจะเพิ่มความเข้มข้นในการบริหารจัดการช่องทางการขาย โดยเน้นการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจให้กับทีมขายในแต่ละช่องทาง เกี่ยวกับคุณค่าและความคุ้มค่าในการลงทุนที่ผลิตภัณฑ์เอปสันมอบให้กับลูกค้า ทั้งยังรักษาความต่อเนื่องในการจัดกิจกรรมทางการตลาด เพื่อสนับสนุนพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายทุกช่องทาง ที่สำคัญ เอปสันจะรักษาความเป็นที่หนึ่งในด้านการให้บริการหลังการขาย”

“สำหรับทิศทางธุรกิจของเอปสันในปี 2555 นี้ บริษัทฯ ยังโฟกัสที่ตลาดองค์กรธุรกิจอยู่ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีโอกาสในการขยายตัวอีกมาก ธุรกิจขนาดเล็กเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน ธุรกิจเอสเอ็มอีและโซโหก็มีโอกาสขยายตัว มีความต้องการใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ก็มองหาโซลูชั่นที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงาน พร้อมกับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน และประหยัดเวลา รวมไปถึงการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อย่างภัยธรรมชาติ” นายยรรยง กล่าวต่อ

นอกจากนี้ เอปสัน ประเทศไทย ยังได้เปิดตัวสินค้าใหม่ และสินค้าไลน์ใหม่ ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งประกอบด้วย บิสิเนส สแกนเนอร์ จำนวน 1 รุ่น คือ Epson DS-30 สแกนเนอร์ขนาดพกพาสะดวก สำหรับนักธุรกิจ น้ำหนักเบาเพียง 325 กรัม รองรับเอกสารในการสแกนได้หลากหลาย ตั้งแต่ขนาดนามบัตร ถึง A4 ราคา 7,990 บาท

อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ สี ขนาด A3 สำหรับองค์กรธุรกิจ จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ Epson WorkForce WF-7011 เครื่องรุ่น ซิงเกิ้ล ฟังก์ชั่น ความเร็วในการพิมพ์สูงสุดถึง 34 หน้าต่อนาที พิมพ์เอกสารในระบบการพิมพ์ 2 หน้า ด้วยความเร็ว 7.7 ipm ใช้งานแบบไร้สายผ่าน WIFI สั่งพิมพ์ตรงจากอุปกรณ์สื่อสารแบบพกพาต่างๆ ผ่าน Epson iPrint 2.0, Apple’s airport และ Google Cloud Printing พิมพ์งานขนาดโปสเตอร์ A3 พิมพ์งานต่อเนื่องไม่สะดุด ด้วยถาดป้อนกระดาษ 2 ชั้น รองรับกระดาษได้สูงสุดถึง 500 แผ่น ราคา 9,900 บาท

Epson WorkForce WF-7511 เครื่องรุ่นมัลติ ฟังก์ชั่น พิมพ์ความเร็วสูงสุด 34 หน้าต่อนาที และพิมพ์ 2 หน้า ด้วยความเร็ว 7.7 ipm รองรับงานถ่ายเอกสารขนาด A3 สแกนที่ความละเอียดสูงสุดถึง 1200×2400 dpi รับ/ส่ง แฟกซ์ ง่ายดาย สามารถใช้งานแบบไร้สายผ่าน WIFI จอแสดงผล ขนาด 2.5 นิ้ว และช่องเสียบ memory card ราคา 13,900 บาท

เลเซอร์ พรินเตอร์ จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ Epson AcuLaser C500DN เครื่องพิมพ์เลเซอร์สี สำหรับธุรกิจขนาดกลาง
และขนาดใหญ่ พิมพ์งานเต็มประสิทธิภาพด้วยความเร็วสูงถึง 45 แผ่น/นาที พร้อมระบบการพิมพ์ 2 หน้า อัตโนมัติ รองรับการทำงานแบบเครือข่ายผ่านการต่อเชื่อมทาง Ethernet ทนทานสามารถรองรับการทำงานสูงได้ 120,000 แผ่นต่อเดือน ตลับผงหมึกขนาดใหญ่ พิมพ์ได้มากถึง 18,000 แผ่นต่อตลับดำ และ 12,000 แผ่นต่อตลับสี ต้นทุนการพิมพ์ต่ำเพียง 59 สตางค์ (พิมพ์ดำ) และ 2.9 บาท (พิมพ์สี) สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมชุดเย็บกระดาษเอกสารอัตโนมัติ เย็บกระดาษหนา สูงสุดถึง 50 หน้าในพริบตา ราคา 51,900 บาท

Epson AcuLaser M7000N เลเซอร์ พรินเตอร์ ขาวดำ ขนาด A3 ระดับเวิร์คกรุ๊ป สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ความเร็วในการพิมพ์ 32 แผ่น/นาที รองรับการทำงานแบบเครือข่ายผ่าน Ethernet พิมพ์ได้มากถึง 100,000 แผ่นต่อเดือน ตลับผงหมึกขนาดใหญ่ พิมพ์ได้มากถึง 15,000 แผ่นต่อตลับดำ ด้วยต้นทุนการพิมพ์ต่ำเพียง 89 สตางค์ มีฟังชั่น Advanced IPSec/SSL และ Print Job Interruption ช่วยจัดการเอกสารที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ ราคา 51,000 บาท

Epson AcuLaser C9300N เลเซอร์ พรินเตอร์ สี ขนาด A3 เพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ สามารถพิมพ์ 30 แผ่น/นาที ทั้งพิมพ์สี และดำ นอกจากนี้ยังสามารถพิมพ์งาน A3 ได้ 17.3 แผ่นต่อนาที รองรับการทำงานแบบเครือข่าย พิมพ์ได้มากถึง 100,000 แผ่นต่อเดือน ตลับผงหมึกขนาดใหญ่ Epson AcuBrite ต้นทุนการพิมพ์ต่ำเพียง 59 สตางค์ (พิมพ์ดำ) และ 94 สตางค์ (พิมพ์สี) ราคา 119,000 บาท

ลาเบล พรินเตอร์ หรือ เครื่องพิมพ์ฉลาก หนึ่งในสินค้าไลน์ใหม่ ที่เอปสันทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้ พร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ Epson LabelWorks LW-300 เครื่องพิมพ์ฉลากแบบมือถือ พร้อมคีย์บอร์ดในตัว รองรับเทปขนาด 9 มม. และ 12 มม. ของเอปสัน สามารถจัดบรรทัดการพิมพ์ได้ 2 บรรทัด เก็บรูปแบบที่ออกแบบไว้แล้วได้ถึง 30 แบบ พร้อมเรียกใช้งานได้ทันที ระบบตัดเทปที่มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้ประหยัดกว่า และพิมพ์ได้มากกว่าในปริมาณเทปเท่ากัน ใช้งานง่าย ด้วยแป้นพิมพ์ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม จับถนัดมือ ใช้งานได้ทั้งไฟ AC หรือ ถ่าย AAA 6 ก้อน มีจอ LCD แสดงผล 1 บรรทัด ราคา 1,790 บาท

Epson LabelWorks LW-400 เครื่องพิมพ์ฉลากแบบมือถือ ที่เพิ่งได้รับรางวัลด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์จากเวทีระดับโลกอย่าง iF Product Design Awards 2012 ที่ประเทศเยอรมัน ตัวเครื่องสามารถรองรับเทปขนาด 9 มม. 12มม. และ 18 มม. ของเอปสัน สามารถพิมพ์บาร์โค้ดได้ถึง 9 รูปแบบ จัดบรรทัดการพิมพ์ได้ 4 บรรทัด จัดเก็บรูปแบบที่ออกแบบไว้ได้ 50 แบบ ระบบตัดเทปที่มีประสิทธิภาพ มีจอ Backlit LCD แสดงผล 2 บรรทัด แสดงผลก่อนการพิมพ์ ราคา 2,290 บาท

Epson LabelWorks LW-900P เครื่องพิมพ์ฉลากระดับมืออาชีพ สามารถต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ ทั้งพีซี และ Mac
พิมพ์ได้ทั้งภาษาอังกฤษและไทย ด้วยซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย รองรับเทปขนาด 9 มม. 12มม. 18 มม. 24 มม. และ 36 มม. ของเอปสัน สามารถพิมพ์บาร์โค้ด 9 รูปแบบ โปรแกรม Label Editor สำหรับแก้ไขฉลากที่ใช้งานง่าย และผู้ใช้สามารถออกแบบฉลากเองได้ ไม่ว่าใส่ภาพ กรอป บาร์โค้ด หรือสัญลักษณ์ นำเข้าข้อมูลในรูปแบบ csv, txt, และ xls(x) และพิมพ์ฉลากในแต่ละบรรทัดของข้อมูลได้ สามารถตัดเก็บมุมของฉลาก รวมไปถึงการตัดฉลากแบบ Half Cut เพื่อความสวยงามและ สะดวกในการลอกเทปออก ราคา 6,990 บาท

นอกจากนี้ เอปสันยังได้เปิดตัวเครื่องบันทึกข้อมูลพร้อมพิมพ์หน้าแผ่นซีดี ประสิทธิภาพสูงสำหรับองค์กรธุรกิจ จำนวน 3 รุ่น คือ Epson DiscProducer PP-50, PP-100 และ PP-100N เพื่อรองรับงานเขียนหรือบันทึกข้อมูลลงแผ่น Printable CD/DVD และพิมพ์หน้าแผ่นในขั้นตอนเดียวด้วยความเร็วสูงสุด 30 แผ่นต่อชั่วโมง รองรับการทำงานแบบเครือข่ายผ่าน Ethernet ในรุ่น PP-100N งานพิมพ์มีความละเอียดสมจริง ด้วยหัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ หมึก 6 สี มาพร้อมระบบแขนกลอัจฉริยะ จับแผ่นซีดีโดยไม่มีการสัมผัสหน้าแผ่น ลดการสูญเสียระหว่างการผลิต เครื่องรุ่น PP-50 สามารถรองรับงานพิมพ์สูงสุด 50 แผ่น เปิดตัวในราคา 79,000 บาท และเครื่องรุ่น PP-100 และ PP-100N รองรับงานพิมพ์ 100 แผ่น ราคา 129,000 บาท และ 149,000 บาท

และสุดท้าย อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ พร้อมระบบนำกระดาษแบบหนามเตย เพื่องานพิมพ์ที่ต้องการความเที่ยงตรงแม่นยำ เน้นการพิมพ์กระดาษต่อเนื่องโดยเฉพาะ รองรับงานพิมพ์ฉลาก รูปแบบต่างๆ และบาร์โค้ดหลากหลายรูปแบบ หัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ หมึก 4 สี ให้ความละเอียดงานพิมพ์ได้เหมือนจริง ใช้งานได้นานถึง 600,000 แผ่น เปิดตัวพร้อมกันในวันนี้ 2 รุ่น คือ Epson GP-M810 เครื่องพิมพ์ขาวดำ และ Epson GP-C810 เครื่องพิมพ์สี ในราคา 32,500 บาท

นายยรรยง กล่าว “สำหรับไลน์สินค้าใหม่ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ทั้งลาเบล พรินเตอร์ และเครื่องบันทึกข้อมูลพร้อมพิมพ์หน้าแผ่นซีดี จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับเอปสัน ในการแข่งขันกับคู่แข่ง สินค้าที่หลากหลายขึ้นจะทำให้เอปสัน สามารถเจาะเข้าถึงตลาดและลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของแบรดน์เอปสัน ทั้งในเรื่องของคุณภาพ และความคุ้มค่า บวกกับเทคโนโลยี หัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ ของเอปสันที่เป็นยอมรับในเรื่องของความทนทาน และประสิทธิภาพในการพิมพ์งาน สินค้าไลน์ใหม่จะได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่ต้องการของลูกค้า ได้โดยไม่ยาก”

“นอกจากนี้แล้ว ในปี 2555 นี้ ยังเป็นปีครบรอบ 70 ปี การก่อตั้งบริษัทเอปสัน สินค้าไลน์ใหม่ที่นำมาเปิดตัวในไทยครั้งนี้ เป็นเหมือนกับของขวัญชิ้นหนึ่งที่ยืนยันถึงความสำเร็จอันยาวนานในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ของเอปสัน โดยเฉพาะตัวเครื่องบันทึกข้อมูลพร้อมพิมพ์หน้าแผ่นซีดี ที่เป็นการผสานเทคโนโลยีหัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ กับระบบแขนกลอัจฉริยะที่บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาขึ้นเอง”

“ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมปลายปีที่แล้ว ทางเอปสัน ประเทศไทย ได้คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบมากระดับหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าผิดคาด สินค้าในหลายหมวดกลับมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนถึงในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ ความต้องการลงทุนเพิ่มเติมจากกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจในทุกขนาดก็ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจที่จะเดินหน้ารุกตลาดเต็มที่มากยิ่งขึ้น ยิ่งในเวลานี้ บริษัทฯ มีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งผลิตภัณฑ์ ซึ่งครอบคลุมทุกความต้องการขององค์กรธุรกิจทุกขนาด ความพร้อมในด้านช่องทางจำหน่าย และการให้บริการหลังการขาย บวกกับนโยบายผลักดันเศรษฐกิจของรัฐบาล และการกลับมาลงทุนด้านไอทีของหน่วยงานราชการ และการปรับตัวรับมือขององค์กรเอกชนขนาดใหญ่ ในการรับมือกับภัยธรรมชาติ ทำให้ปีนี้เป็นปีแห่งโอกาสของเอปสันอย่างแท้จริง” นายยรรยง กล่าวสรุป

View :1323

สุขสันต์วันแฮปปี้ ครบรอบ 9 ปีเต็ม มอบของขวัญให้ลูกค้าแฮปปี้โทรฟรี 99 นาทีในวันที่ตรงกับวันเกิด

May 25th, 2012 No comments


แฮปปี้ขอขอบคุณจากใจที่รักกันมานานเป็นเวลา 9 ปีเต็มแล้วที่เราให้บริการการสื่อสารแก่ลูกค้าตามสไตล์แฮปปี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแฮปปี้รวมเรื่องราวที่สร้างรอยยิ้มไว้มากมาย นับตั้งแต่วันที่เราเริ่มให้บริการจาก “แฮปปี้ดีพร้อมท์” มาเป็น “แฮปปี้จากดีแทค” จากลูกค้าเพียง 5 ล้านรายในวันนั้นเป็น 21 ล้านรายในวันนี้ แฮปปี้สร้างสรรค์บริการเพื่อลูกค้าในแต่ละกลุ่มแต่ละช่วงวัยโดยยึดถือลูกค้าเป็นสำคัญ นวัตกรรมของแฮปปี้ก็เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เช่น ซิมรุ่นเล็กสำหรับคนโทรน้อย ใช้ได้นาน, บัตรเติมเงินราคาเล็กที่สุด 50 บาทเจาะตลาดต่างจังหวัด, ใจดีให้ยืม เอาใจกลุ่มนักศึกษาที่ค่าโทรหมดก่อนได้รับเงินค่าขนม ซึ่งได้ต่อยอดมาถึงใจดีให้ยืมบีบีในช่วงที่สมาร์ทโฟนเป็นที่นิยมและการใช้งานดาต้าของลูกค้าเติบโต ฯลฯ

ปีที่ 9 นี้เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าเราได้เลือกของขวัญเพื่อขอบคุณทุกคนที่รักกันมาตลอด 9 ปี เป็นของขวัญที่เป็นประโยชน์กับการใช้งานเพื่อที่เราจะได้ฉลองวันครบรอบ 9 ปีไปด้วยกัน

แฮปปี้ให้ลูกค้าทุกหมายเลขโทรฟรีหาเบอร์ดีแทควันละ 99 นาที เพียงใส่ตัวเลขวันเกิดและทำรายการจากมือถือ โดยกด *9000*วันที่เกิดเป็นตัวเลข 2 หลัก# แล้วกดโทรออก สมัครได้ตั้งแต่วันนี้และใช้สิทธิ์โทรฟรีวันละ 99 นาทีในวันที่ตรงกับวันเกิดได้ทุกเดือนตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2555 โดยไม่เสียค่าบริการ เราจะช่วยเติมความสุขให้มากยิ่งขึ้น และต่อรอยยิ้มสำหรับลูกค้าที่ค่าโทรหมดสามารถให้พวกเขากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

View :1894
Categories: Press/Release Tags:

ก.ไอซีที วางกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ

May 24th, 2012 No comments

นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยถึงโครงการการจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะหน่วยงานฝ่ายบริหารที่ดูแลนโยบายด้านการสื่อสารของประเทศ ได้จัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติขึ้น เพื่อให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปตามบทบาทที่กฎหมายกำหนด และการดำเนินนโยบายในด้านโทรคมนาคมของประเทศไทยในสภาพแวดล้อมปัจจุบันและอนาคตเป็นไปอย่างมีทิศทางที่เหมาะสม ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ตลอดจนสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน

“กรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาตินี้ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแนวโน้มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทบทวนสภาพแวดล้อมของตลาดโทรคมนาคมไทยในปัจจุบัน และทบทวนสถานภาพ บทบาท ความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในภาครัฐตามกฎหมาย รวมทั้งเพื่อกำหนดทิศทางในการพัฒนากิจการโทรคมนาคม ทั้งด้านโครงข่ายสื่อสารภาคพื้นดิน โครงข่ายการสื่อสาร ไร้สาย และการสื่อสารผ่านดาวเทียม โดยคำนึงถึงการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน การบริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง (Universal service) อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และสร้างความมั่นคงในการสื่อสารให้สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้ พร้อมกันนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางและกำหนดนโยบายการเปิดตลาดโทรคมนาคมพื้นฐาน และการสื่อสารผ่านดาวเทียมที่เหมาะสมของประเทศไทย ตลอดจนเพื่อกำหนดกรอบแนวทางการกำกับดูแลการประกอบกิจการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแนวทางในการพัฒนาการประกอบกิจการโทรคมนาคมของผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนอีกด้วย” นางเมธินี กล่าว

ในการดำเนินโครงการฯ นี้ ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลนโยบาย แผนงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรอบนโยบายโทรคมนาคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแนวโน้มเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง สภาพแวดล้อมของตลาดโทรคมนาคมของไทย ในปัจจุบัน ตลอดจนบทบาท สถานภาพ และความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในภาครัฐตามกฎหมายใหม่ๆ โดยคำนึงถึงการหลอมรวมทางเทคโนโลยี (Technological convergence) นอกจากนี้ยังมีการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาโครงข่าย บรอดแบนด์แห่งชาติ ทั้งเทคโนโลยีโครงข่ายมีสาย และไร้สาย แนวทางการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure sharing) และแนวนโยบายในการกำหนดสิทธิแห่งทาง (Rights of way) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมมากที่สุด แนวทางการเปิดตลาดโทรคมนาคมที่เหมาะสมของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกอบกิจการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน และกิจการดาวเทียมสื่อสาร (Communication satellite) หรือกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แนวนโยบายต่อการให้บริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง (Universal service) ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และแนวทางนโยบายด้านความมั่นคงในการสื่อสารทั้งภาวะปกติและภาวะวิกฤติ เช่น ภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ อย่างมีประสิทธิผล

“ภายหลังจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำมาจัดทำกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติแล้ว กระทรวงฯ ได้ มีการทำแบบสอบถาม และสำรวจความคิดเห็นเพื่อรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกรอบนโยบายดังกล่าว รวมทั้งมีการจัดประชุมระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อระดมความคิดเห็น รวบรวมข้อเสนอ ตลอดจนจัดสัมมนาเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กสทช. ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและด้านโทรคมนาคม ผู้บริโภค และประชาชนทั่วไปที่สนใจ พร้อมทั้งจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่สาธารณชนใน 4 ภูมิภาคด้วย ซึ่งกระทรวงฯ จะได้รวบรวมข้อเสนอแนะและความคิดเห็นต่างๆ เหล่านั้นมาใช้ในการปรับปรุงกรอบนโยบายโทรคมนาคมแห่งชาติให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น” นางเมธินี กล่าว

View :1264
Categories: Press/Release Tags: