Archive

Archive for the ‘Technology’ Category

บราเดอร์ ผนึกพลังศูนย์บริการยักษ์ใหญ่กว่า 50 แห่ง “ซ่อมฟรี” ปริ้นเตอร์เหยื่อน้องน้ำ!!

November 29th, 2011 No comments

ผู้นำด้านธุรกิจเครื่องพิมพ์ ของไทย ยื่นมือช่วยเหลือผู้ประสบมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปีของไทย ด้วยการจับมือเหล่าศูนย์บริการในเครือและศูนย์ตัวแทนจำหน่ายในทุกพื้นที่ประสบภัยบริการซ่อมฟรีแก่ลูกค้าที่อยู่ในระยะประกัน และฟรีค่าแรงแก่ลูกค้าที่หมดระยะประกันตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 มกราคม 2555

มร. ทาคาโอะ (แอนดี้) ชิมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันทั้งในพื้นที่ตอนเหนือ ตอนกลาง กทม. และปริมณฑล ได้สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของชาติกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ตลอดจนสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนคนไทยกว่า 5 ล้านคน รวมถึงทรัพย์สินและอุปกรณ์ไอทีต่างๆ ต้องจมน้ำเสียหายจำนวนมาก บราเดอร์ จึงได้มีนโยบายในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ ด้วยการมอบบริการซ่อมให้แก่ลูกค้า ซึ่งพร้อมให้บริการตั้งแต่บัดนี้ที่ศูนย์บริการของบราเดอร์ และศูนย์บริการของตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ประสบภัย

“ตลาดในเมืองไทยสำคัญกับบราเดอร์มาก เพราะเมื่อปีที่ผ่านมา บราเดอร์ ประเทศไทย สามารถสร้างยอดขายปริ้นเตอร์ให้กับบราเดอร์มากที่สุดในอาเซียน ด้วยสัดส่วนมากกว่า 30% ของยอดขายรวม ดังนั้น ความเดือดร้อนของลูกค้าชาวไทยครั้งนี้ บราเดอร์จึงต้องการยื่นมือเข้าช่วยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ เครื่องที่อยู่ในระยะประกันสามารถบริการซ่อมเปลี่ยนอะไหล่และค่าบริการได้ฟรี แต่ในกรณีที่ลูกค้านำเครื่องเข้ามาใช้บริการ และตรวจสอบพบว่าเป็นเครื่องหมดอายุการรับประกัน บราเดอร์ ได้ขอความร่วมมือไปยังศูนย์ในการให้บริการฟรี แต่หากมีการเปลี่ยนอะไหล่ เราจะคิดค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าอะไหล่เท่านั้น โดยระยะเวลาของโครงการได้เริ่มแล้วตั้งแต่บัดนี้จะเริ่ม จนถึง 31 มกราคม 2555” มร. ทาคาโอะ (แอนดี้) ชิมา กล่าว

ทั้งนี้ ลูกค้าของ บราเดอร์ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ 0-2665-7792-4

View :1561

เทรนด์ ไมโคร สรุปรายงานสถานการณ์ภัยคุกคามประจำไตรมาสที่สาม

November 21st, 2011 No comments

บริษัท สรุปรายงานสถานการณ์ภัยคุกคามประจำไตรมาสที่สาม ระบุว่ากูเกิลคว้าอันดับหนึ่งแทนที่ไมโครซอฟท์ในฐานะผู้ที่มีช่องโหว่ความปลอดภัยสูงสุด ด้วยจำนวนช่องโหว่ที่ได้รับรายงานทั้งสิ้น 82 รายการ ซึ่งพบในบราวเซอร์ Chrome ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากของกูเกิล ขณะที่ออราเคิลมาเป็นอันดับที่สองด้วยจำนวนช่องโหว่ที่ได้รับรายงาน 63 รายการ ส่วนไมโครซอฟท์หล่นไปอยู่อันดับที่สามด้วยจำนวนช่องโหว่ที่ได้รับรายงานทั้งสิ้น 58 รายการ

นักวิจัยด้านภัยคุกคามของบริษัท เทรนด์ ไมโคร ยังพบแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากที่พุ่งเป้าสร้างความเดือดร้อนแบบวงกว้าง (มวลชน) ได้กลายไปเป็นการโจมตีแบบมีเป้าหมาย ซึ่งพุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่และสถาบันต่างๆ ของภาครัฐโดยเฉพาะ การทำงานของนักวิจัยเหล่านี้ยังทำให้พบกลุ่มที่โจมตีแบบมีเป้าหมายที่มีชื่อเสียงอย่างมากกลุ่มหนึ่งในช่วงไตรมาสที่สาม ชื่อว่า LURID Downloader

บริษัท เทรนด์ ไมโคร ได้จัดประเภทของการโจมตีเหล่านี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อเนื่องขั้นสูง (Advanced Persistent Threat: APT) ซึ่งมีเป้าหมายเป็นบริษัทขนาดใหญ่และสถาบันต่างๆ ในกว่า 60 ประเทศ รวมถึงรัสเซีย คาซัคสถาน และยูเครน โดยอาชญากรไซเบอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเหล่านี้ได้ใช้งานมัลแวร์ไปแล้วกว่า 300 รายการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เป็นความลับและสามารถเข้าควบคุมระบบของผู้ใช้ที่ติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์โดยมีระยะเวลาที่ยาวนานกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของ LURID นั้นมาจากการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน และจากการกำหนดโซนภายในตำแหน่งและสถานที่ตามภูมิศาสตร์เฉพาะนี่เองที่ทำให้ LURID สามารถทำอันตรายระบบไปแล้วเป็นจำนวนมากถึง 1,465 ระบบ
การโจมตี กลลวง การละเมิด และช่องโหว่อื่นๆ ที่รู้จักกันดี

· นักวิจัยด้านภัยคุกคามของบริษัท เทรนด์ ไมโคร พบสายพันธุ์ใหม่ DroidDreamLight ที่มีชุดคำสั่งความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีการปลอมตัวเป็นโปรแกรมหรือเครื่องมือตรวจสอบแบตเตอรี่หรือเครื่องมือแสดงรายการงานที่อ้างว่าจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นรายการต่างๆ ที่อนุญาตให้โปรแกรมซึ่งได้รับการติดตั้งไว้สามารถใช้ประโยชน์ได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นสำเนาของมัลแวร์ใหม่สำหรับ Android ที่มีการซ่อนตัวอยู่เป็นจำนวนมากในร้านค้าโปรแกรมสัญชาติจีนแห่งหนึ่ง

· ในช่วงครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม นักวิจัยบริษัท เทรนด์ ไมโคร ได้ระบุเว็บเพจที่ล่อลวงให้ผู้ใช้คลิกลิงก์เพื่อรับคำเชิญฟรีจากการร่วมใช้งาน Google+ ซึ่งเป็นบริการสื่อสังคมออนไลน์ใหม่ล่าสุดจากกูเกิล แต่แทนที่จะเป็นการเชิญเข้าร่วมใช้บริการดังกล่าว สิ่งที่ผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อจะได้รับก็คือ “โอกาส” ในการร่วมทำแบบสำรวจที่จะนำพวกเขาตกอยู่ในภาวะเสี่ยงได้

· ผู้ใช้ LinkedIn ก็ตกเป็นเหยื่อของกลลวงอาชญากรรมออนไลน์เช่นกัน โดยจะมีการล่อลวงให้พวกเขาคลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายที่อ้างว่าจะนำไปชมวิดีโอของ จัสติน บีเบอร์ แต่เมื่อคลิกแล้วก็จะมีการเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายแทน

· สแปมที่มีชื่อเสียงที่สุดในไตรมาสนี้ได้นำไปสู่การดาวน์โหลดและการปฏิบัติการของโทรจันสองตัวที่เกี่ยวข้องกับธนาคาร โดยสแปมรายการแรกแอบอ้างว่ามาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสเปน ขณะที่ สแปมรายการที่สองแอบอ้างว่ามาจากสำนักงานสรรพากรสหรัฐฯ

· อินเดียและเกาหลีใต้ยังคงเป็นประเทศที่มีการส่งสแปมสูงสุดสามอันดับแรก โดยสหรัฐอเมริกาซึ่งมักจะติดอยู่ในกลุ่มอันดับสูงสุดกลับไม่ได้ติดอันดับอยู่ 10 อันดับแรกของประเทศที่มีการส่งสแปมสูงสุด เนื่องจากมีการจับกุมผู้ดำเนินการสแปมบ็อตแล้วเป็นจำนวนมาก

นอกจากการค้นพบ LURID Downloader แล้ว ในไตรมาสที่สามนี้ บริษัท เทรนด์ ไมโคร และทีมงานรักษาความปลอดภัยทั่วโลกทีมอื่นๆ ยังได้สร้างความสำเร็จที่น่าประทับใจดังนี้

· หลังจากดำเนินการติดตามตรวจสอบเป็นระยะเวลาหลายเดือน นักวิจัยของบริษัท เทรนด์ ไมโคร ได้เปิดเผยการทำงานของ SpyEye ที่ควบคุมโดยอาชญากรไซเบอร์ที่ใช้ชื่อว่า “Soldier” ซึ่งอาศัยอยู่ในรัสเซียและยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่อาศัยอยู่ในฮอลลีวูด มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย การดำเนินการของบ็อตเน็ตชนิดนี้ สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลาหกเดือน และได้ตั้งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่และสถาบันภาครัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งองค์กรต่างๆ ในแคนาดา สหราชอาณาจักร อินเดีย และแม็กซิโก สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ในรายงานการวิจัยของบริษัท เทรนด์ ไมโคร เรื่อง “From Russia to Hollywood: Turning Tables on a SpyEye Cybercrime Ring”

· นักวิจัยของบริษัท เทรนด์ ไมโคร ยังสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเครือข่ายร่วม FAKEAV (โปรแกรมป้องกันไวรัสปลอม) ขนาดใหญ่ที่สุดสองเครือข่ายในปัจจุบันไว้ด้วย ได้แก่ BeeCoin และ MoneyBeat โดยรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำงานของเครือข่ายร่วม FAKEAV สามารถดูได้ในรายงานการวิจัยเรื่อง “Targeting the Source: FAKEAV Affiliate Networks”

View :1444

ไอดีซีปรับลดการคาดการณ์ตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และตลาดพีซีโลกอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมในไทย

November 14th, 2011 No comments

มหาอุทกภัยในประเทศไทยนั้นกำลังสร้างความเสียหายอันประเมินค่ามิได้ต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อันเป็นผลจากการที่โรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์กว่า 6 โรงงานได้รับความเสียหายต้องหยุดการผลิตไป โดยงานวิจัยฉบับใหม่ของบริษัทวิจัยไอดีซีชี้ว่า เหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดการจัดจำหน่ายสินค้าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซีในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ทั่วโลกเช่นกัน

ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้นั้น ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นฐานการผลิตหลักของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ โดยมีจำนวนการผลิตเป็น 40-45% ของโลก แต่หลังจากต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา น้ำที่หลากอยู่ทั่วที่ราบภาคกลางได้ทำให้สายการผลิตเกือบครึ่งต้องหยุดชะงักไป ไม่เพียงแต่โรงงาน และ สายการ ผลิตเท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย แต่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ยังส่งผลให้พนักงานไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ และไฟฟ้าเองก็ใช้การไม่ได้ในหลายพื้นที่อีกด้วย ถึงแม้การประเมินความเสียหายทั้งหมดจะยังคงไม่สามารถทำได้จนกว่าระดับน้ำจะลดลง แต่ในขณะนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าอย่างแน่นอน

ความร้ายแรงของภาวะการขาดแคลนครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของอุตสาหกรรมในการฟื้นตัวจากความเสียหายที่มีต่อสายการผลิตในประเทศไทย ไอดีซีเชื่อว่าผู้ผลิตจะฟื้นตัวและกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตให้เป็นปกติได้ในระยะเวลาอันไม่นานนัก แต่อย่างไรก็ตามสินค้าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะยังคงขาดตลาดต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นผู้ผลิตสินค้าพีซีควรจะมีแผนรองรับสิ่งต่อไปนี้

• การขาดตลาดของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อย่างรุนแรงตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2554 และส่งผลต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 1 ของปี 2555
• การผลิตสินค้าพีซีส่วนใหญ่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 นั้นสามารถทำได้โดยการใช้ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่มีอยู่ในคลังของโรงงาน นั่นทำให้ยอดการผลิตพีซีในช่วงเวลาดังกล่าวได้รับผลกระทบน้อยกว่า 10% แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือยอดการผลิตพีซีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 นั้นอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 20% ซึ่งนี่คือผลมาจากการขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของพีซีนั่นเอง
• ราคาฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะถีบตัวสูงขึ้นเพราะปริมาณสินค้ามีน้อยกว่าความต้องการซื้อ อีกทั้งต้นทุนของผู้ผลิตเองก็สูงขึ้นอันเนื่องมาจากต้นทุนของวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายในการเร่งขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายในการย้ายฐานการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น
• อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า และราคาของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะคงที่ภายในเดือนมิถุนายน โดยสิ่งต่างๆ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในครึ่งหลังของปี 2555
• ผู้ผลิตพีซีรายเล็กจะสูญเสียลูกค้าระดับองค์กรให้กับผู้ผลิตรายใหญ่กว่า ซึ่งอาจนำไปสู่การควบรวมกิจการระหว่างผู้ผลิตด้วยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง

นายจอห์น ริดนิ่ง รองประธานฝ่ายงานวิจัยตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และเซมิคอนดัคเตอร์ของไอดีซีได้แถลงว่า “เพื่อที่จะรับมือกับวิกฤติครั้งนี้ ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะให้ความสำคัญกับการจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้าที่มียอดการสั่งซื้อสูงอย่างเช่นผู้ผลิตพีซีรายใหญ่ๆ ในขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นไปที่การจัดส่งสินค้าที่มีกำไรสูงซึ่งก็คือสินค้าที่เป็นส่วนประกอบของเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจระดับองค์กร แต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์คงไม่สามารถละเลยลูกค้ารายเล็กๆ ได้ เพราะลูกค้าเหล่านี้จะยังคงมีความสำคัญเมื่อกำลังการผลิตกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว”

“เราน่าจะได้เห็นวิธีการจัดการด้านการผลิตและการทำข้อตกลงกับลูกค้าแบบต่างๆ ที่น่าสนใจ เนื่องจากผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูกำลังการผลิต และในขณะเดียวกันจะต้องวางแผนที่จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วย”

ซึ่งนายไบรอัน มา รองประธานฝ่ายงานวิจัยตลาดอุปกรณ์ต่อพ่วงประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของไอดีซีได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ตลาดพีซีในเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดในภูมิภาคอื่นๆ เพราะยอดขายของพีซีที่ประกอบตามร้านนั้นมีปริมาณสูงในภูมิภาคนี้ แต่นั่นก็อาจเป็นโอกาสอันดีของผู้ผลิตพีซีแบรนด์เนมที่สามารถสั่งซื้อฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ได้ในปริมาณมาก ในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้”

“การบริโภคสินค้าพีซีภายในประเทศไทยเองก็ยังเป็นคำถามสำคัญ เพราะมีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมายตั้งแต่เรื่องของความสามารถในการขนส่งและกระจายสินค้าไปจนถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่เราเคยเห็นตัวอย่างจากในอดีตมาหลายครั้งแล้วว่าตลาดในประเทศไทยมักจะฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และเราก็หวังว่าจะไปเห็นการฟื้นตัวแบบนั้นอีกครั้งหนึ่งในครึ่งปีหลังของปีหน้า”

โดยไอดีซีได้จัดทำงานศึกษาวิจัยที่มีชื่อว่า “The PC Market Is Disrupted By HDD Shortages: The Severity, Resulting Opportunities, And Expected PC Market Reactions” ซึ่งเป็นงานวิจัยที่จะประเมินถึงผลกระทบจากภาวะการขาดแคลนสินค้าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อันเกิดจากวิกฤติอุทกภัยในประเทศไทย ที่มีต่อตลาดพีซีในไตรมาส 4 ปี 2554 และในครึ่งปีแรกของปี 2555 ซึ่งได้มีการนำสมมุติฐานในเรื่องของระยะในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และระยะเวลาที่ใช้ในการเพิ่มปริมาณฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในคลังสินค้าให้กลับมาสู่ภาวะปกติเข้าไปในกรอบการวิเคราะห์ อีกทั้งงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้ประมาณการณ์ราคาของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

View :1421

ฟูจิตสึเปิดแผนรุกตลาดครึ่งปีหลังมุ่งเจาะตลาดองค์กรพร้อมเน้นเพิ่มยอดขายต่างจังหวัดยิ่งขึ้น

November 14th, 2011 No comments

ฟูจิตสึเชื่อกำลังซื้อกลับมาแน่หลังสถานการณ์น้ำท่วมดีขึ้น พร้อมเปิดแผนเดินหน้าลุยทำตลาดครึ่งปีหลัง โฟกัสตลาดองค์กรเน้นการขายแบบโปรเจค ปูพรมเพิ่มยอดขายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น มั่นใจสร้างธุรกิจเติบโต 30-40% พร้อมประกาศแคมเปญ 123 ตอกย้ำความเป็นผู้นำทางธุรกิจโน้ตบุ๊กระดับโลก หลังครองผู้จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์พกพาอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น

นายวรวุฒิ โกศลกิจวงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอเชีย แปซิฟิก จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกนั้นผลการดำเนินธุรกิจ (เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2554) ที่ผ่านมาของฟูจิตสึ โน้ตบุ๊ก ในตลาดเมืองไทยนั้นมีการเติบโตขึ้นถึง 40% เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินธุรกิจช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยฟูจิตสึมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 1-2% สำหรับแผนการรุกตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ทางบริษัทจะเน้นไปเจาะตลาดองค์กรในลักษณะของโปรเจคมากขึ้น รวมทั้งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้นด้วย

นายวรวุฒิ โกศลกิจวงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิก จำกัด


สำหรับกลยุทธ์และกิจกรรมทางการตลาดที่จะใช้เจาะตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ในส่วนของรีเทลทางบริษัทจะเน้นทำยอดขายโน้ตบุ๊กรุ่นหน้าจอ 14 นิ้วเป็นหลัก และจะมีการขยายช่องทางใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนตลาดองค์กรจะเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่น MIJ (Made in Japan) ทั้งหมด รวมไปถึงการทำตลาดแท็บเลต ซึ่งตอนนี้เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง พร้อมทั้งวางแผนการจัดกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้น และเน้นในส่วนของโรดโชว์ตามตึกไอที โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด

ในด้านของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายอีกหลากหลายรุ่น โดยมีรุ่นไฮไลต์ที่กำลังจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย คือ ฟูจิตสึ ไลฟ์บุ๊ก SH771 โน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด จนกลายเป็นโน้ตบุ๊กที่บางเบามากขึ้น ด้วยน้ำหนักเพียง 1.22 กิโลกรัม ยิ่งไปกว่านั้นยังตอบสนองการทำงานได้ยาวนานกับแบตเตอรี่ที่สามารถใช้ได้นานถึง 18 ชั่วโมง ที่สำคัญฟูจิตสึยังคงยึดมั่นในเรื่องของรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะวัตถุดิบที่นำมาทำแบตเตอร์รี่เป็นรีไซเคิล รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่ยังคงประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

“เราตั้งเป้าหมายในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องรักษาอัตราการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 30-40% และมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 2%” นายวรวุฒิ กล่าวและเพิ่มเติมว่า “แนวโน้มการแข่งขันครึ่งปีหลังในตลาดคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊กหน้าจอ 14 นิ้ว จะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของราคาที่จะลดลงต่ำมาก ทางฟูจิตสึจึงมีการเพิ่มน้ำหนักให้กับตลาดองค์กรมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้”

ส่วนผลกระทบที่เกิดจากภาวะน้ำท่วมใหญ่นั้น นายวรวุฒิ กล่าวว่าอาจจะมีผลกระทบกับยอดขายโดยรวมของฟูจิตสึบ้าง เนื่องจากตลาดหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้กำลังซื้อของลูกค้าลดลงประมาณ 20% อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาสถัดไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ผลกระทบจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ จะมีผลให้ค่ายคอมพิวเตอร์มีการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ในอนาคตอันใกล้นี้ แม้ว่าปัจจุบันยังคงราคาจำหน่ายเดิมอยู่ก็ตาม แต่เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟขาดตลาด ทำให้การผลิตโน้ตบุ๊กได้ไม่เพียงพอกับความต้องการตลาด

จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศครั้งนี้ ทางฟูจิตสึได้มีการช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยสามารถนำเครื่องโน้ตบุ๊กเข้ามารับบริการได้ที่ศูนย์บริการฟูจิตสึ อาคารคิวเฮ้าส์ เพลินจิต ซึ่งจะไม่คิดค่าบริการซ่อมสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

นอกจากนี้นายวรววุฒิ ยังได้กล่าวถึงแคมเปญใหม่ล่าสุดของฟูจิตสึ คือแคมเปญ 123 ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำตลาดโน้ตบุ๊กของโลกในโอกาสที่ฟูจิตสึได้ครองอันดับ 1 ในญี่ปุ่น โดยฟูจิตสึได้รับรางวัลให้เป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น จากสถาบัน International Data Corporation หรือ IDC และฟูจิตสึยังมีประวัติศาสตร์ด้านการผลิตแท็บเลต ตั้งแต่สมัยแรกที่คอมพิวเตอร์แบบพกพาเพิ่งเป็นที่นิยม โดยในปี 1991 ฟูจิตสึได้ออกผลิตภัณฑ์พ็อกเก็ตพีซีเป็นเครื่องแรก และในปี 2011 นี้ฟูจิตสึได้เปิดตัว พีซีพกพาหน้าจอสัมผัส STYLISTIC Q550 เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ slate ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2011 ถือเป็นปีครบรอบที่ฟูจิตสึได้ผลิตและพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาครบ 30 ปี ตั้งแต่ปี 1981 ฟูจิตสึได้เติบโตเคียงข้างกับลูกค้าและได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองทุกความต้องการ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหลากหลายรุ่น แต่ละรุ่นมาพร้อมกับเทคโนโลยีระดับแนวหน้าและที่สำคัญเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ในตอนท้ายนายวรวุฒิ ยังได้แนะนำ นางสาวบริจิต ผลดี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ของ บจก.ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิค ที่จะมาทำหน้าที่ดูแลเรื่องการตลาดทั้งหมดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะผลักดันและเพิ่มยอดขายให้กับฟูจิตสึ

View :1401

“ดาต้าโปรคอมพิวเตอร์ซิสเต็มส์” ช่วยองค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมให้ใช้ระบบ HR-Payroll ฟรี 6 เดือน

November 14th, 2011 No comments

บริษัท จำกัด (DCS) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (Total Enterprise IT Solution Provider) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือองค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้ระบบงานบริหารงานทรัพยากรบุคคลและระบบเงินเดือน (HR-Payroll) ขององค์กรนั้นเกิดความขัดข้องและได้รับความเสียหาย โดยบริษัท จำกัด จะให้การสนับสนุนให้ใช้ระบบ HR-Payroll ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ระบบงานดังกล่าว เป็นระบบงานบริหารงานทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน เหมาะกับองค์กรธุรกิจที่มีพนักงานจำนวน 300 คนขึ้นไป โดยเป็นการใช้งานผ่านระบบ Internet และข้อมูลทั้งหมด จะได้รับการดูแลอยู่บน Data Center ของ DCS ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 27001 เรื่องความปลอดภัยของข้อมูล พร้อมการให้บริการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 20000 เรื่องการให้บริการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งทำให้องค์กรสามารถมั่นใจได้ว่า ข้อมูลทั้งหมดจะได้รับความปลอดภัย และมีเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือและดูแลตลอดระยะเวลาการใช้งาน ระบบงาน HR-Payroll พัฒนาขึ้นโดยบริษัท ดาต้าโปรคอมพิวเตอร์ซิสเต็มส์ จำกัด ที่ออกแบบระบบงานให้สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว สามารถนำข้อมูลมาคิดคำนวณให้อย่างเบ็ดเสร็จ ตามเงื่อนไขที่หลากหลายของการทำงานของพนักงาน อาทิ กะการทำงาน การคำนวณภาษี เงินชดเชย เป็นต้นองค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม สามารถติดต่อขอรับการสนับสนุนได้ที่ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร โทรศัพท์ 0 2684 8484 ต่อ 792

View :1739

ไอบีเอ็มเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ IBM System x3100 M4

November 9th, 2011 No comments

ไอบีเอ็มเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุด IBM System x 3100 M4 Express ที่มาพร้อมขุมพลัง Intel Xeon processor E3-1200 Series ด้วยศักยภาพเต็มเปี่ยม เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ในราคาที่คุ้มค่าเท่ากับเซิร์ฟเวอร์ในระดับเริ่มต้น

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ไอบีเอ็มได้เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ และ IBM System x3250 M4 Express มาเป็นพิเศษเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่ต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่ให้ประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า คุ้มราคา ด้วยคุณสมบัติเด่นที่ตอบสนองความต้องการใช้งานที่มีเสถียรภาพสูงสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงใน 7 วัน เพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจที่กำลังขยายการเติบโต และที่สำคัญเป็นการออกแบบมาตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยแนวคิดจากการผลิตเซิร์ฟเวอร์ในระดับ high-end ที่เป็นโซลูชั่นสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ อันทรงประสิทธิภาพ

IBM System x3100 M4 Express เป็นเซิร์ฟเวอร์ในตระกูล IBM x86 tower ที่มีขนาดเล็ก 1-socket system ที่มาพร้อมขุมพลังเทคโนโลยีล่าสุด Intel Xeon processor E3-1200 series, ที่ให้ประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 30% สามารถทำงานปริมาณมากเช่น ไฟล์และงานพิมพ์ การให้บริการทางด้านเว็บไซต์ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการโครงสร้าง และการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนในกลุ่มเล็กๆ

ความคุ้มค่าของเซิร์ฟเวอร์ IBM System x 3100 M4 Express ที่ธุรกิจจะได้รับประโยชน์เต็มๆ คือ
• ใช้งานง่าย ช่วยบริหารจัดการงานได้ในระดับดีเยี่ยม
• ประสิทธิภาพเหนือชั้น เมื่อเทียบกับเซิร์ฟเวอร์ราคาเดียวกัน
• มีขนาดเล็กประหยัดพื้นที่ สามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น

IBM System x 3100 M4 Express เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่กำลังมองหาเซิร์ฟเวอร์ที่ให้คุณภาพ พร้อมทั้งความประหยัดคุ้มค่าคุ้มราคา ในราคาพิเศษสุดเพียง 19,300 บาท สนใจติดต่อตัวแทนจำหน่ายไอบีเอ็ม หรือ www.bestibmdeal.comith

ไอบีเอ็มยังคงมุ่งมั่นในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆออกมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆนั้นมาช่วยพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์ทางด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และบริการให้คำปรึกษาการดำเนินธุรกิจ ที่เป็นพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี ให้กับกลุ่มองค์กรธุรกิจและภาครัฐ

View :1456

“คิงส์ตัน” เปิดตัว SSDNow V200

November 9th, 2011 No comments

บริษัท คิงส์ตัน เทคโนโลยี ประเทศไทย ผู้ผลิตและพัฒนาหน่วยความจำรายใหญ่ของโลก เปิดตัว SSDNow V200 รุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล V Series ที่ให้ผู้ใช้เรียกคืนข้อมูลในคอมพิวเตอร์และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี SSDNow V200 มาพร้อมคุณสมบัติและประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการอัพเกรดและเพิ่มประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ในราคาย่อมเยา

SSDNow V200 SATA Rev 3.0 (6Gb/s) มาพร้อมความเร็วเหนือกว่ารุ่น V100 ถึงสองเท่า* (ดูภาพที่ 1) และยังมีราคาต่ำกว่า V100 จึงเป็นหนึ่งในไดรฟ์ SSD ประสิทธิภาพสูงราคาย่อมเยาที่ดีที่สุดในท้องตลาด ณ ตอนนี้1 ด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและราคาที่ต่ำกว่านี้ SSDNow V200 จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่กำลังมองหาโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลแบบแฟลชเพื่อการอัพเกรดคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ

SSDNow V200 มีให้เลือกทั้งขนาดความจุ 64GB, 128GB และ 256GB และมีให้เลือกทั้งแบบไดรฟ์ SSD อย่างเดียว และชุดอัพเกรดเพื่อการติดตั้งอย่างสะดวกและง่ายดาย โดยชุดอัพเกรดสำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปประกอบด้วยไดรฟ์ SSD ซอฟต์แวร์โคลนฮาร์ดดิสก์ วิดีโอสาธิตขั้นตอนการติดตั้งในรูปแบบดีวีดี สายเคเบิล (สายข้อมูล SATA และสายไฟ) ขายึดและฮาร์ดแวร์สำหรับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว ส่วนชุดอัพเกรดสำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กประกอบด้วยไดรฟ์ SSD ซอฟต์แวร์โคลนฮาร์ดดิสก์ วิดีโอสาธิตขั้นตอนการติดตั้งในรูปแบบดีวีดีและซองหุ้มขนาด 2.5 นิ้วเพื่อการถ่ายโอนข้อมูลและระบบปฏิบัติการจาก HDD ลงสู่ SSD

ไดรฟ์ SSD ของคิงส์ตันรับประกันสามปีพร้อมบริการช่วยเหลือด้านเทคนิคฟรี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.kingston.com/thailand/flash/default.asp

* คะแนนจากผลการทดสอบ AS SSD Benchmark ของ of SSDNow V200 128GB (257) เปรียบเทียบกับ V100 128GB (144)
ระบบที่ใช้ในการทดสอบ: มาเธอร์บอร์ด Intel D67BG; Intel 2500K CPU; Kingston ValueRAM 4GB DDR3 1333MHz; กราฟิกการ์ด EVGA GTX550TI; Windows 7 Ultimate 64-bit พร้อมไดรฟ์เวอร์และแพทช์รุ่นล่าสุด
1 เปรียบเทียบราคาราคาตั้งจากโรงงาน (Manufacturing Suggested Retail Price: MSRP) ของ SSDNow V100 128GB ขณะวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553

View :1755
Categories: Technology Tags:

แคนนอนเปิดตัว EOS-1DX กล้องดิจิตอลSLR กล้องดิจิตอลฟูลเฟรมที่เร็วที่สุดในโลก

November 2nd, 2011 No comments

แคนนอนเปิดตัว EOS-1DX กล้องดิจิตอลSLR ที่พัฒนาจากผลการสำรวจความต้องการของช่างภาพมืออาชีพทั่วโลก พร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ช่วยให้คุณภาพของไฟล์ภาพคมชัดความละเอียดสูงและความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องที่เร็วที่สุดรวมทั้งพัฒนาฟังก์ชั่นการบันทึกภาพเคลื่อนไหว เพื่อตอบสนองทุกนิยามในการถ่ายภาพแบบมืออาชีพ

ที่สุดแห่งกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพของแคนนอน ในตระกูล EOS-1D แคนนอนสร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลแคนนอน EOS-1DX ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ CMOS ขนาดฟูลเฟรม ความละเอียด 18.1 ล้านพิกเซล ซึ่งทำงานควบคู่กับชิปประมวลผลภาพอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด Dual DIGIC 5+ ลิขสิทธิ์เฉพาะของแคนนอน ให้ภาพถ่ายคุณภาพสูง ถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงถึง 12 ภาพต่อวินาที ( หรือ 14 ภาพต่อวินาที ในโหมด Super High Speed Mode) คมชัดทุกสถานการณ์ด้วยช่วง ISO กว้างถึง ISO 100 – 51200 (และสามารถเพิ่มได้ถึง ISO 204800 ในโหมด H2 ) แม้ถ่ายภาพในที่มืด ก็ยังมีสัญญาณรบกวนต่ำ (low-noise) และด้วยระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบใหม่ เพื่อความแม่นยำ และความคมชัดในการโฟกัสภาพด้วยการผสานพลังของ61-Point High-Density Reticular AF และเซ็นเซอร์วัดแสงแบบ RGB ความละเอียด100,000 พิกเซลเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้EOS-1D X พัฒนาสู่ความเป็นเลิศในด้านความเร็วและความแม่นยำในการโฟกัสภาพ สามารถติดตามวัตถุที่เคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ แม้ในสภาวะที่ยากแก่การโฟกัสภาพ นอกจากนี้ EOS-1D X ยังได้รับการพัฒนาความสามารถด้านการบันทึกภาพเคลื่อนไหว บันทึกภาพที่ความละเอียดแบบ Full HD สามารถเลือกรูปแบบการบีบอัดไฟล์ภาพได้ 2 ระดับ (All-I Frame และ IPB)เฟรมเรทสูงสุดที่ 60p ที่ระดับ HD และใหม่ล่าสุดในกล้อง EOS ฟังก์ชั่น Timecode embedding ช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดต่อเมื่อใช้กล้องมากกว่า 1 ตัว หลายหลายความสามารถในการใช้งานด้วยฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ และยังคงความแข็งแรงของตัวกล้องด้วยอายุการใช้งานชัตเตอร์สูงถึง 400,000ครั้ง …และนี่คือที่สุดของ EOS ในปัจจุบัน

EOS-1DX นับเป็นกล้องรุ่นที่ 10 (X หมายถึงเลข 10 ในอักษรโรมัน) ของกล้องถ่ายภาพสำหรับมืออาชีพนับตั้งแต่รุ่น F-1 เป็นต้นมา (F-1, NewF-1,EOS-1, EOS-1N, EOS-1V, EOS-1D, EOS-1D Mark II, EOS-1D Mark III, EOS-1D Mark IV, EOS-1DX) ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เหนือกว่ากล้อง DSLR สำหรับมืออาชีพในรุ่นก่อนหน้า โดย X ย่อมาจากคำว่า EXTREME และยังหมายถึง Crossoverที่ได้ผสานเทคโนโลยีระดับมืออาชีพและพัฒนาจุดเด่น รวมถึงฟีทเจอร์ของกล้องในตระกูล1D และ 1DS ให้โดดเด่นมากขึ้น เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ให้กับการถ่ายภาพแบบมืออาชีพ

จุดขายของกล้องดิจิตอลแคนนอน EOS-1DX:
· ชิปประมวลผลภาพอัจฉริยะความเร็วสูง Dual DIGIC 5+ พร้อมด้วยเซ็นเซอร์ CMOS ความละเอียด 18.1 ล้านพิกเซล แคนนอนได้พัฒนาช่วงของค่าความไวแสงให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ที่ ISO 100 – 51200(และสามารถเพิ่มได้ถึง ISO 204800 ในโหมด H2)รวมทั้งปรับคุณภาพของไฟล์ภาพด้วยฟังก์ชั่นการแก้ไขความคลาดเคลื่อนของสีแบบเรียลไทม์
· พัฒนาระบบออโต้โฟกัสใหม่EOS iSA (Intelligent Subject Analysis) System เพื่อความแม่นยำในการติดตามวัตถุ รวมถึง EOS iTR (Intelligent Tracking and Recognition) AF เพื่อช่วยในการโฟกัสติดตามใบหน้า(Face Tracking) และ การโฟกัสติดตามสี (Color Tracking AF) พร้อมด้วยระบบวัดแสงแบบใหม่
· ระบบ AE และ AF ที่ให้ความแม่นยำสูงด้วยความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 12 ภาพต่อวินาที พร้อมทั้งฟังก์ชั่นถ่ายภาพใหม่ที่ถ่ายภาพด้วยความเร็วพิเศษต่อเนื่องสูงสุด 14 ภาพต่อวินาที (Mirror Lockup Function) ซึ่งมีเวลาหน่วงชัตเตอร์สั้นเพียง 36 มิลลิวินาที (ที่ความเร็วสูงสุด)
· ชุดชัตเตอร์ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพิ่มความทนทานกว่าเดิม ใช้วัสดุแบบคาร์บอนไฟเบอร์ รองรับการใช้งานได้สูงถึง400,000 ครั้ง พร้อมซีลป้องกันละอองน้ำและฝุ่น ร่วมด้วย Sensor Cleaning แบบใหม่ ที่ช่วยกำจัดฝุ่นละอองขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี พร้อมด้วยหน้าจอแสดงสถานะแจ้งผู้ใช้งานเมื่อระบบทำงานผิดปกติ
· นับเป็นครั้งแรกที่กล้องในตระกูล EOS ที่มีอุปกรณ์เสริม GPS ที่ช่วยระบุสถานที่และเวลา (UTC Synchronization) ส่วนอุปกรณ์เสริมWFT อุปกรณ์โอนไฟล์ภาพแบบไร้สายขนาดกะทัดรัดได้ติดตั้งบลูทูธเพิ่มเติมจากฟังกชั่นเดิมที่มีอยู่ ตัวกล้องมี 2 สล็อตสำหรับใส่การ์ดความจำแบบCF และสามารถรองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายด้วยช่องสัญญาณแบบGigabit Ethernet
· User Interface ออกแบบใหม่ พร้อมโครงสร้างเมนูที่ช่วยให้เข้าถึงการตั้งค่าสำคัญต่างๆได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น รวมทั้ง Help Function ที่อธิบายความหมายของการตั้งค่าต่างๆ
· การบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบEOS Movies ได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพหลากหลายด้าน ได้แก่ ค่าความไวแสง คุณภาพของไฟล์ภาพ (ลดการเกิดภาพเป็นคลื่น และลดสัญญาณรบกวน)พร้อมมีรูปแบบการบีบอัดข้อมูล 2 แบบให้เลือก (ALL-I Frame และ IPB) ตามความต้องการในงานตัดต่อของผู้ใช้งาน รวมถึงฟังก์ชั่น Time Code embedding ช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดต่อเมื่อใช้กล้องมากกว่า 1 ตัว และการแบ่งไฟล์และบันทึกอัตโนมัติสำหรับการบันทึกภาพต่อเนื่องเมื่อไฟล์มีขนาดใหญ่กว่า 4GB ทำให้สามารถบันทึกภาพต่อเนื่องได้นานถึง 29 นาที 59 วินาที

นอกจากนี้แล้ว กล้องดิจิตอลแคนนอน EOS-1DX ยังมีความสามารถที่หลากหลาย ตอบสนองทุกความต้องการของช่างภาพมืออาชีพ ด้วยคุณสมบัติดังนี้

ภาพถ่ายคมชัด คุณภาพสูง

EOS-1DX กล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ที่ใช้ CMOS เซ็นเซอร์ฟูลเฟรม หรือเท่ากับฟิล์ม 35 มม. ให้ความละเอียด 18.1 ล้านพิกเซล พร้อมทั้งอัตราส่วนภาพต่อสัญญาณรบกวนที่เหนือกว่าและมีค่าขนาดของพิกเซลที่ 6.95μm เมื่อเทียบกับรุ่น EOS-1D Mark IV ที่มีค่าขนาดของพิกเซล5.7μm ซึ่งค่าขนาดพิกเซล และเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น ช่วยให้ไม่พลาดในการเก็บทุกรายละเอียดและสีสันของภาพ พร้อมลดสัญญาณรบกวน

ชิปประมวลผลภาพอัจฉริยะความเร็วสูง Dual DIGIC 5+ ลิขสิทธิ์เฉพาะของแคนนอนใน EOS-1DX สามารถประมวลผลภาพเร็วกว่า DIGIC 4 ซึ่งใช้ใน EOS รุ่นปัจจุบันถึง 17 เท่า เพื่อให้ภาพถ่ายยังคงคุณภาพเยี่ยม แม้ถ่ายภาพด้วยค่าความไวแสง (ISO) สูง

จากการพัฒนาความสามารถในการลดสัญญาณรบกวน ทำให้คุณภาพของภาพที่ถ่ายด้วย EOS-1DXที่ ISO 51200 เทียบเท่ากับภาพที่ถ่ายด้วย EOS-1D Mark IV ที่ISO 12800 ซึ่งแคนนอนได้พัฒนามาตรฐานการตั้งค่าความไวแสงเพิ่มอีก 2 ระดับ คือ สูงสุดที่ความไวแสง ISO 51200 (กล้องEOS-1D Mark IV สามารถตั้งค่าความไวแสงสูงสุดได้สูงสุดที่ISO 12800) และยังสามารถเพิ่มได้สูงสุดถึง ISO 204800 ช่วงของความไวแสงที่กว้างกว่าขึ้นเดิมนี้ ช่วยลดความเบลอของภาพในเกือบทุกสถานการณ์ โดยยังให้สัญญาณรบกวน(Noise) ต่ำอีกด้วย

สุดยอดนวัตกรรมของระบบ AE/AF

แคนนอน EOS-1DX ออกแบบระบบออโต้โฟกัสใหม่ นับเป็นระบบออโต้โฟกัสที่ก้าวหน้ามากที่สุดของแคนนอน ออกแบบให้มีจุดโฟกัสทั้งหมด 61 จุด โดยมีจุดโฟกัสที่วางตำแหน่งเซ็นเซอร์แบบCross type มากถึง 41 จุด ช่วยให้การโฟกัสวัตถุเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
เซ็นเซอร์โฟกัสภาพแบบcross type ทั้ง41 จุดนั้นสนับสนุนการทำงานของเลนส์ที่มีรูรับแสงf/4.0 (ที่ความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วสูงสุดของกล้อง EOS-1D Mark IVที่รูรับแสง f/2.8) หรืออีกนัยหนึ่งถึงแม้จะใช้เลนส์ Extender 1.4X ควบคู่กับเลนส์ที่มีรูรับแสงขนาด f/2.8 เซ็นเซอร์โฟกัสภาพแบบกากบาท 41 จุดของEOS-1DX ก็ยังสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และถ้าใช้เลนส์ f/2.8 ก็ยิ่งทวีความเร็วในการโฟกัสด้วยเซ็นเซอร์โฟกัสภาพแบบ Dual Cross Type 5 จุดที่แถวกลาง ให้ความเร็วที่เหนือกว่ากล้องในตระกูล EOS-1D ที่เคยมีมาทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีเซ็นเซอร์โฟกัสภาพแบบกากบาทในพื้นที่ส่วนกลางอีก 21 จุด ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับเลนส์ f/5.6
เพื่อสนับสนุนเลนส์ที่มีรูรับแสงไม่กว้างมากเช่น EF70-300mm f/4-5.6 L IS USM, EF100-400mm f/4.5-5.6 L IS USM หรือเมื่อใช้ EF Extender 2x กับเลนส์f/2.8 หรือ ใช้ EF Extender 1.4x กับเลนส์ f/4เป็นต้น

EOS iSA (Intelligent Subject Analysis) System เปรียบได้กับหัวใจของชุดออโต้โฟกัสใหม่ของแคนนอนซึ่งเป็นผลมาจากการผสานการทำงานร่วมกันระหว่างเซ็นเซอร์วัดแสงแบบRGB ความละเอียด 100,000 พิกเซล และชิปประมวลภาพ DIGIC 4 ที่ถูกนำมาใช้ควบคุมระบบวัดแสงโดยเฉพาะซึ่งนวัตกรรมนี้ช่วยในการจดจำสีของวัตถุและใบหน้าของบุคคล เพื่อให้ระบบออโต้โฟกัสแบบEOS iTR (Intelligent Tracking and Recognition) AF นั้นสามารถติดตามวัตถุได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโฟกัสในที่มืดเมื่อเทียบกับ AF system แบบเดิม

สุดยอดประสิทธิภาพความเร็วสูงเหนือใคร

EOS-1D X ตอบสนองความต้องการของช่างภาพประเภทกีฬาได้เป็นอย่างดีเนื่องจากใช้เวลาหน่วงชัตเตอร์สั้นมากเพียง 36 มิลลิวินาที

เมื่อเลือกโหมด One-Shot AF และ AI Servo AF จะสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 12 ภาพต่อวินาที ขณะเดียวกันช่างภาพยังสามารถเลือกโหมดถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงที่14 ภาพต่อวินาทีได้อีกด้วย

โครงสร้างกระจกสะท้อนภาพใหม่ ใน EOS-1D X ซึ่งได้แก่ Quad Active Mirror Stopper ซึ่งใช้ระบบล็อคกระจกสะท้อนภาพBounce Lock Mechanism แบบแยกที่ทำงานร่วมกับDouble Balancers เพื่อช่วยลดการสั่นไหวของภาพจากการดีดกลับของกระจกสะท้อนภาพ ซึ่งกลไกกระจกสะท้อนภาพใหม่นี้ช่วยให้กล้องทำงานอย่างเสถียร และถ่ายภาพได้ต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับช่างภาพว่าจะไม่พลาดแม้ช็อตแอ็คชั่นที่มีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

ก้าวหน้ากว่าด้วยEOS Movie

ออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีEOS Movies ให้เหนือขึ้นอีกระดับด้วยชิปประมวลผลภาพอัจฉริยะความเร็วสูง Dual DIGIC 5+ ทำงานคู่กับระบบการขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ของเซ็นเซอร์ CMOS ช่วยลดการเกิดความคลาดสี และลายคลื่น(moiré) ที่ปรากฎอยู่ในวัตถุที่ถ่ายทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ให้คุณภาพไฟล์ภาพที่คมชัด สัญญาณรบกวนต่ำแม้ถ่ายภาพที่ความไวแสงสูง

EOS-1D X ยังเพิ่มคุณสมบัติใหม่ด้านการบันทึกภาพเคลื่อนไหว (EOS Movie) ไว้อีกมายมาย ได้แก่ สนับสนุนระบบTime code (SMTPE – compliant), สามารถปรับการตั้งค่าระดับบันทึกเสียงได้แบบแมนนวลในขณะที่ถ่ายอยู่ และสามารถบันทึกภาพได้แม้เลือกใช้งานในโหมด P, Av, TV และ Manual อยู่ โดยสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้ทันที โดยการตั้งค่าสำหรับปุ่ม User-Customizable ที่ตัวกล้อง
และนอกจากนี้ ยังสามารถเลือกรูปแบบการบีบอัดข้อมูลได้ 2 รูปแบบ คือ ALL-I และ IPB เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในWork Flow ของ Post-Productionต่างๆ โดยการบีบอัดแบบ ALL-I จะมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่กว่า แต่สามารถแปลงไฟล์ได้รวดเร็วในขณะตัดต่อเนื่องจากแต่ละเฟรมไม่ได้เชื่อมต่อกัน ส่วนการบีบอัดแบบIPB จะมีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่า โดยคุณภาพของไฟล์จะใกล้เคียงกับ EOS Movie ในเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้

เพื่อตอบสนองความต้องการแบบมืออาชีพ เพื่อการบันทึกภาพต่อเนื่องในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น และการใช้ร่วมกันกับไฟล์ภาพเคลื่อนไหวจากกล้องอื่นๆ ไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่มีขนาดใหญ่เกิน 4GB (ขนาดสูงสุดตามระบบการจัดการไฟล์แบบFAT) จะถูกแยกออกเป็นไฟล์ใหม่โดยอัตโนมัติ โดยยังคงบันทึกภาพเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก ตลอดความยาว 29 นาที 59 วินาที

เพิ่มความทนทานและความเชื่อใจได้ไปอีกระดับ

ชุดชัตเตอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ในกล้องEOS-1D X ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ โดยใช้ Carbon Fiber ในการผลิต Shutter Blade ซึ่งมีน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งทนทานจึงให้อายุการใช้งานชัตเตอร์สูงถึง400,000 ครั้ง และใหม่ล่าสุดของกล้องในตระกูล EOS-1D ที่ได้มีการพัฒนาม่านชัตเตอร์อิเลคทรอนิกส์ชุดที่หนึ่ง เพื่อลดการเกิดเสียงลงระหว่างการถ่ายภาพแบบ Live View

ด้วยความแข็งแรงของตัวกล้องที่ผลิตจากแมกนีเซียมอัลลอยการออกแบบตัวกล้องที่ช่วยป้องกันฝุ่นละอองและละอองน้ำ ช่วยตอบความต้องการด้านการถ่ายภาพได้ในทุกสภาวะการณ์ ร่วมด้วยกับระบบทำความสะอาดฝุ่นใหม่ล่าสุด Ultra Wave Motion Cleaning (UWMC) ซึ่งใช้ชิ้นส่วนที่สร้างคลื่นสั่นสะเทือนถึง 2 ชิ้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการขจัดเศษฝุ่นขนาดเล็กจากเซ็นเซอร์

นอกจากนี้ วงแหวนควบคุมกล้องได้รับการออกแบบใหม่ โดยเพิ่มระบบ Non-contact rotation detection ที่ช่วยชะลอการสึกหรอ และลดเสียงรบกวนขณะใช้งาน

อุปกรณ์เสริม GPSและ Wireless

EOS-1D X มาพร้อมกับอุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย (Wireless File Transmitter)รุ่น WFT-E6 ซึ่งรองรับกับ Wireless LAN IEEE802.11nช่วยให้การโอนถ่ายไฟล์ภาพเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า

WFT-E6มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบากว่า WFT-E2 II (ซึ่งใช้กับกล้อง EOS-1D Mark IV) และสามารถป้องกันฝุ่นละออง และละอองน้ำได้ดีเหมือนกับตัวกล้องEOS-1D X นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกล้องEOS-1D X ได้พร้อมกันถึง10 ตัวด้วยฟังก์ชั่น Wireless Time Syncing

อีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่น่าสนใจของ EOS-1D Xได้แก่ GP-E1 เครื่องรับสัญญาณจีพีเอสขนาดกะทัดรัดช่วยบันทึกข้อมูลพิกัดสถานที่ลงในข้อมูลEXIF ของภาพที่ถ่ายด้วยEOS-1D X โดยเมื่อใช้ร่วมกับแอพพลิเคชั่นแผนที่ต่างๆ ก็จะสามารถระบุตำแหน่งพิกัดสถานที่ที่ถ่ายรูปได้อย่างง่ายดาย

และด้วยความสามารถทั้งหมดนี้ ทำให้ EOS-1D X เป็นกล้องดิจิตอลฟูลเฟรมที่เร็วที่สุดในโลก ที่ตอบสนองทุกความต้องการของการถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ทั้งในด้านความประสิทธิภาพของกล้อง และคุณภาพของภาพถ่าย

View :1964

เอชพีเปิดตัว โซลูชั่น HP VirtualSystem และโซลูชั่น HP CloudSystem ใหม่

November 2nd, 2011 No comments

เอชพีเปิดตัวบริการและโซลูชั่นใหม่ที่พัฒนาต่อยอดจากระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) สนับสนุนผู้ให้บริการและองค์กรธุรกิจต่างๆ ในการให้บริการระบบคลาวด์ได้อย่างรวดเร็วภายใต้งบลงทุนเดิม โดยมีความเสี่ยงลดลงและประหยัดค่าใช้จ่าย

ปัจจุบัน องค์กรต่างๆ มีความกดดันเพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการทรัพยากรไอทีให้มีความคล่องตัว มีแต้มต่อในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ทั้งนี้ ระบบศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิม ระบบสถาปัตยกรรมไอทีที่ไม่คล่องตัว และการขยายตัวอย่างไร้ระเบียบของเทคโนโลยี คืออุปสรรคสำคัญในการติดตั้งและใช้ระบบการให้บริการแบบใหม่ อาทิ บริการ ไอที (IT as a Service) และระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ดังนั้น การใช้กลยุทธ์คลาวด์ที่เหมาะสมกับองค์กรของลูกค้า จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้แก่ลูกค้า

ดร. เบง เทค เลียง


สุดยอดบริการใหม่และโดดเด่นของเอชพี ได้แก่

· บริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (HP Technology Consulting Services) มุ่งสนับสนุนการนำกลยุทธ์การบริหารศูนย์ข้อมูลมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและราบรื่น โดยทำให้การวางแผน ออกแบบ และก่อสร้างศูนย์ข้อมูลมีความรวดเร็วมากขึ้นถึงร้อยละ 40 ทั้งยังขับเคลื่อนให้ระบบไอที ศูนย์ข้อมูล และองค์กร ประสานการทำงานร่วมกันอย่างดีเยี่ยม (1)

· พอร์ทโฟลิโอ HP CloudSystem ที่พัฒนาต่อยอดขึ้นมานี้ประกอบด้วยระบบการเงิน บริการ และนักพัฒนา รวมทั้งศูนย์ HP Cloud Centers of Excellence ใหม่ 100 แห่งทั่วโลก โดยในจำนวนนี้มี 50 แห่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และญี่ปุ่น ศูนย์ดังกล่าวเปิดให้บริการระบบ HP CloudSystem ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มแบบเปิด ครบวงจร และสมบูรณ์แบบมากที่สุดในวงการไอที ใช้สำหรับจัดทำและบริหารบริการต่างๆ ในสภาพแวดล้อมคลาวด์แบบส่วนตัว สาธารณะ และไฮบริด

· โซลูชั่น HP VirtualSystem for Microsoft® และโซลูชั่น HP VirtualSystem for Superdome 2/HP-UX คือ โซลูชั่นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ครบวงจรรุ่นใหม่ สำหรับสภาพแวดล้อมการทำงาน และการทดสอบบนแอพพลิเคชั่นแบบเวอร์ช่วลให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บริการที่ปรึกษาและบริการสนับสนุนจากเอชพีที่ออกแบบให้ตรงตามความต้องการใช้งานของลูกค้าแต่ละรายจะช่วยให้สามารถให้บริการแอพพลิเคชั่นต่างๆ ไปสู่ผู้ใช้งานจำนวนหลายพันคนได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เร็วกว่าเดิมที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือน(2)

ดร. เบง เทค เลียง กรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจ เอ็นเทอร์-ไพรส์ บิสิเนส บริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือจากเอชพีในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีการและโซลูชั่นที่พัฒนาต่อยอดจากระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพดีเยี่ยม เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้มากขึ้นในตลาด และให้บริการแก่ลูกค้าของตนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ของเอชพีตอกย้ำถึงความเป็นเลิศทางด้านทักษะและเทคโนโลยีของเอชพีในการขับเคลื่อนวิวัฒนาการสุดล้ำดังกล่าวให้แก่ลูกค้า โดยมีความซับซ้อนในการทำงาน ต้นทุน และความเสี่ยงที่ลดลง”

พลิกโฉมศูนย์ข้อมูลสู่ยุคคลาวด์

ระบบศูนย์ข้อมูลแบบเดิมต้องการการเปลี่ยนแปลงระดับสำคัญเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการก้าวสู่โลกของคลาวด์ คอมพิวติ้ง ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวครอบคลุมถึงการปรับเปลี่ยนระบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีกระบวนการวางแผนสั้นลงเพื่อให้สามารถมอบบริการใหม่ๆ ได้ทันที ทั้งยังทำให้การดำเนินงานเต็มประสิทธิภาพสูงสุด และการให้บริการมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น การดำเนินการให้บรรลุผลดังกล่าวจำเป็นต้องมีการประสานงาน การสื่อสาร และการวางแผนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตลอดทั่วทั้งองค์กร

บริการของเอชพีประกอบด้วยการวางกลยุทธ์ การดำเนินงาน และการควบคุมความต่อเนื่องของระบบศูนย์ข้อมูล โดยให้ความรู้ความเชี่ยวชาญ คำแนะนำ และระเบียบวิธีดำเนินการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า บริการดังกล่าวคือ

· บริการวางกลยุทธ์พัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center Strategy Services) จะช่วยประหยัดเวลาในการปรับเปลี่ยนระบบได้ถึงร้อยละ 40 โดยทำให้กระบวนการวางแผน ออกแบบ และสร้างศูนย์ข้อมูลสามารถทำได้พร้อมๆ กัน(1) ลูกค้าจึงสามารถใช้กลยุทธ์การตัดสินใจและการลงทุนได้เร็วขึ้น โดยมีการสื่อสารกับผู้บริหารเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ได้ครอบคลุมอย่างกว้างขวางมากขึ้น

· บริการควบคุมการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูล (Data Center Operations Services) ช่วยลดค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานของศูนย์ข้อมูลถึงร้อยละ 37 โดยมีการปรับดีไซน์และการก่อสร้างใหม่ รองรับการผนวกรวมระบบโครงสร้างพื้นฐานและการวางแผนศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ระบบศูนย์ข้อมูลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น

· บริการควบคุมศูนย์ข้อมูลให้มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง (Data Center Continuity Services) สนับสนุนผู้ให้บริการให้สามารถคาดการณ์ข้อผิดพลาดและปัญหาของระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีและศูนย์ข้อมูลได้ง่ายขึ้นและกระทำได้ล่วงหน้าก่อนมีปัญหาเกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ ด้วยพอร์ทโฟลิโอด้านบริการที่หลากหลาย ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้โปรแกรมเพื่อการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง (HP Continuous Improvement Program) เพื่อศึกษาข้อด้อยที่เกิดขึ้น และลดเวลาการหยุดทำงานของเครื่องที่ไม่ได้คาดคิด ทั้งยังสามารถใช้โปรแกรมรับประกันเสถียรภาพของระบบ (HP Reliability Assurance Program) เพื่อเพิ่มความต่อเนื่องในการดำเนินงาน หรือโปรแกรมประเมินความพร้อมในการกู้ระบบ (HP Disaster Recovery Readiness Assessment) เพื่อหาข้อด้อยในการวางแผน

เดินหน้าขยายแพลทฟอร์ม HP CloudSystem

โซลูชั่น HP CloudSystem เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจและผู้ให้บริการที่ต้องการให้บริการระบบคลาวด์ส่วนตัวและสาธารณะ ครอบคลุมตั้งแต่บริการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์จนถึงบริการซอฟต์แวร์ (Software as a Service) ทั้งนี้ การติดตั้งแพลทฟอร์ม HP CloudSystem จะทำให้ลูกค้าสามารถใช้บริการคลาวด์ใหม่ได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง เมื่อเทียบกับระบบแบบเดิมที่ต้องใช้เวลานานเป็นหลายสัปดาห์หรือเดือน นอกจากนี้ โซลูชั่น HP CloudSystem จะมีความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นจากระบบการเงิน บริการ และนักพัฒนาใหม่ๆ บริการที่โดดเด่น ได้แก่

บริการด้านการเงิน HP CloudSystem Financing(3) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนจัดสรรเงินสนับสนุนสูงถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับนำไปใช้ในโครงการพัฒนาระบบคลาวด์ บริการด้านการเงินดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการปรับเปลี่ยนสู่ระบบคลาวด์ได้ง่ายขึ้นและในราคาที่สามารถจ่ายได้มากขึ้น โดยเลือกแผนการผ่อนชำระเป็นงวด ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานแบบคลาวด์โดยไม่ต้องมีการจ่ายเงินก้อนใหญ่ล่วงหน้า ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับประธานด้านการเงินและประธานด้านไอทีซึ่งต้องมีการคาดการณ์และประเมินการลงทุนด้านไอที นอกจากนี้ โปรแกรม HP CloudAgile ยังให้มีบริการชำระเงินแบบขั้นบันได โดยเริ่มจากยอดจ่ายขั้นต่ำ และเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนที่ 6 -12 ส่งผลให้ผู้ให้บริการสามารถทยอยปรับขยายธุรกิจและจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการเติบโตด้านรายได้

บริการ HP CloudSystem Enablement Services คือ บริการผนวกรวมระบบและให้คำปรึกษาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อเร่งจัดทำบริการคลาวด์ชุดแรกให้แก่ลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์สรรหาทรัพยากร HP AllianceOne resource center ใหม่ภายใต้ระบบ CloudSystem จะสนับสนุนชุดเครื่องมือควิก-สตาร์ทเพื่อเริ่มการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้แก่ รหัสตัวอย่าง (sample code) ระบบการสาธิตด้วยวิดีโอ และคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ (expert tips) ให้แก่ผู้จำหน่ายซอฟท์แวร์อิสระ (ISVs) ผู้รวบรวมระบบ (SIs) และผู้ให้บริการ (service providers)
ศูนย์ HP Cloud Centers of Excellence ใหม่ ช่วยให้พันธมิตรคู่ค้าของเอชพีนำเสนอการสาธิตการทำงานของโซลูชั่นคลาวด์ของเอชพีที่พัฒนาต่อยอดจากโซลูชั่น HP CloudSystem ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถประเมิน ทดสอบ และใช้โซลูชั่นตระกูลคลาวด์ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมทั้งประเมินเส้นทางในการก้าวเข้าสู่ระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ติดตั้ง ใช้งาน และจัดการบริการแอพพลิเคชั่นอย่างเต็มประสิทธิภาพ

เวอร์ช่วลไลเซชั่นหรือเทคโนโลยีเสมือน เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ทั้งนี้ ด้วยโซลูชั่น HP VirtualSystems จะทำให้ผู้ให้บริการและองค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถกระจายการใช้งานกลุ่มแอพพลิเคชั่นต่างๆ สู่ผู้ใช้งานหลายพันคน การรันแอพพลิเคชั่นสำคัญๆ ในสภาพแวดล้อมแบบ เวอร์ช่วลจะช่วยเพิ่มความคล่องตัว เสริมประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินงาน โซลูชั่น HP VirtualSystems ประกอบด้วย

โซลูชั่น HP VIrtualSystem for Microsoft ส่งเสริมและสนับสนุนการทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นและการจัดส่งปริมาณภาระงานที่หลากหลายและมีความสำคัญเชิงธุรกิจให้มีความรวดเร็ว อาทิ Microsoft SharePoint, Exchange และ SQL Server ทั้งนี้ ด้วยการใช้คอนโซลแบบเดี่ยว จะทำให้ลูกค้าสามารถติดตามบริการด้านแอพพลิเคชั่น ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องหยุดการทำงานของเครื่องบนระบบโครงสร้างพื้นฐานของฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ ไฮเปอร์ไวเซอร์ และแอพพลิเคชั่นไมโครซอฟท์

โซลูชั่น HP VirtualSystem for Superdome 2/ HP-UX สนับสนุนการปรับระบบไอทีให้สามารถบริการแบบเสมือนและรองรับปริมาณงานสำคัญระดับ mission-critical ได้อย่างรวดเร็ว อาทิ ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ระบบวางแผนทรัพยากรระดับองค์กร (ERP) และแอพพลิเคชั่นการเงินระดับสำคัญที่ทำงานบนระบบ HP Integrity นอกจากนี้ การผนวกรวม HP Integrity Superdome 2 และ HP-UX11i v3 จะรองรับแอพพลิเคชั่นสำคัญระดับ mission-critical ทำให้การทำงานแบบเวอร์ช่วลไลเซชั่นมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม ทั้งยังสามารถปรับขยายระบบและมีความยืดหยุ่นสูงสุด

ในโลกที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) เป็นองค์ประกอบหลักขององค์กรแบบ Instant-On Enterprise ทั้งนี้ แนวคิดแบบ Instant-On Enterprise คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และประชาชนได้อย่างตรงจุดและโดยทันที

เอชพีมีกำหนดจัดงาน HP DISCOVER เพื่อแนะนำเทคนิคการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวขึ้นเป็นองค์กรแบบ Instant-On Enterprise ในวันที่ 29 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม ศกนี้ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.hp.com/go/HPCloudInnovation

View :1835

แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) เปิดตัว แอลจี BD670 เครื่องเล่นบลูเรย์ระบบสามมิติ

November 2nd, 2011 No comments

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวเครื่องเล่นบลูเรย์ระบบสามมิติ BD670 ด้วยระบบ Blu-ray 3D™ Player มอบความบันเทิงแบบสามมิติอย่างเต็มรูปแบบ เชื่อมต่อคอนเทนต์ต่างๆ ในแอลจี สมาร์ททีวีและอุปกรณ์ดิจิตอลได้ทุกประเภท

BD670 ได้รับการออกแบบการใช้งานบนหน้าจอให้ง่ายดายยิ่งขึ้น ช่วยให้เข้าสู่พรีเมียมคอนเทนต์ต่างๆ เช่น YouTube หรือ Video On Demand (VOD) รวมถึงคอนเทนต์ภาษาไทยได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ผู้ใช้งานยังเพลิดเพลินกับความบันเทิงที่หลากหลาย ผ่านทางฟังก์ชั่น แอลจี สมาร์ททีวี ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิง เกม ข้อมูลทั่วไป และการศึกษา เพื่อสร้างประสบการณ์ความสนุกให้แก่ทุกคนในครอบครัวอย่างแท้จริง

สำหรับผู้ใช้งานที่มีสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์, ไอโฟน หรือ ไอพ็อด ทัช สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นพิเศษ Smart Phone Remote Control เพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นรีโมทคอนโทรล ควบคุมการทำงานของเครื่องเล่นได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

BD670 ยังมีเมนูการทำงาน Blu-ray 3D™ Playback ซึ่งช่วยปรับภาพสามมิติให้สว่างคมชัด พร้อมให้ระบบเสียงสมจริงเพื่อการรับชมคอนเทนต์แบบสามมิติอย่างสมบูรณ์แบบ สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกับการแชร์ไฟล์จากอุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ ผ่านทางระบบ Wi-Fi Direct™ โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ด้วยระบบ Digital Living Network Alliance (DLNA) ที่ช่วยเชื่อมต่อข้อมูลจากกล้องถ่ายรูปหรือคอมพิวเตอร์แบบไร้สายได้อย่างรวดเร็ว

เครื่องเล่นบลูเรย์ BD670 ยังสามารถปรับระดับคุณภาพของภาพจากแผ่นดีวีดีทั่วไปให้กลายเป็นภาพสวยคมชัดระดับ High Definition 1080p สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อเครื่องเล่นบลูเรย์ระบบสามมิติ BD670 ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ราคา 7,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์:
รองรับแผ่น 3D Blu-ray, BD-ROM, DVD, DVD+-R/RW, AVCHD, Audio CD, CD-R/RW
Wireless LAN Build-in Wi-Fi
Blu-ray™ 3D Playback เล่นไฟล์ภาพ 3 มิติได้
เปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นรีโมทคอนโทรลด้วยด้วยแอพพลิเคชั่น Smart Phone Remote Control
Smart TV เข้าใช้งานคอนเทนต์ต่างๆ เช่น Accedo Game, vTuner (Music), Youtube, Picasa Web Albums และ AccuWeather ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ท
HD Content Playback (MKV, DivX HD, AVCHD)
External HDD Playback เล่นไฟล์ภาพยนต์ที่ต้องการได้ง่ายดายและรวดเร็ว
DLNA/CIFS และ Wi-Fi DirectTM แชร์ข้อมูลจากอุปกรณ์ดิจิตอลแบบไร้สาย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 0-2878-5757 หรือ www.lg.com/th

View :1905