Archive

Archive for the ‘Technology’ Category

๕ พันธมิตร ร่วมมือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์การคำนวณสมรรถนะสูงระดับชาติ

September 29th, 2011 No comments

๕ พันธมิตรประกาศความร่วมมือพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงพร้อมการเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายกริด มุ่งหวังให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์การคำนวณสมรรถนะสูงระดับชาติ เพื่อรองรับโครงการการวิจัย e-Science ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากๆ เช่น ข้อมูลจีโนม ข้อมูลสภาพอากาศ จนถึงข้อมูลจากเครื่องเร่งอนุภาคขององค์กรวิจัยระดับนานาชาติอย่างเซิร์น นักวิจัยสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ และแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ทำการศึกษาวิจัยสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโลกร้อน การจัดการทรัพยากรน้ำ การเกษตร นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ จนไปถึงวิทยาศาสตร์พื้นฐานอย่าง ฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูง ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การยกระดับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานของชาติ และ รองรับการวิจัยที่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย

๕ หน่วยงานพันธมิตร ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์กรมหาชน) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์การคำนวณสมรรถภาพสูงระดับชาติ เพื่อรองรับการวิจัย e-Science หรือโครงการ

ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าวว่า “โครงการ e-Science เป็นโครงการตามพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้คณะนักวิทยาศาสตร์ไทยตามเสด็จฯ ไปเยือนองค์การเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือเซิร์น ที่นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งมีการทดลองเครื่องเร่งอนุภาคที่ทำหน้าที่บังคับให้อนุภาคชนกันที่ความเร็วสูง ใกล้เคียงความเร็วแสง ซึ่งมีค่าประมาณ ๓ แสนกิโลเมตรต่อวินาที เพื่อค้นคว้าความเข้าใจทางฟิสิกส์พื้นฐานว่า สสารต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอันตรกิริยา (interaction) ต่อกันอย่างไร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล็งเห็นความสำคัญของงานวิจัยนี้ จึงเป็นที่มาของการลงนามความร่วมมือระหว่าง เซิร์น กับ ประเทศไทย โดยประเทศไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารงานความร่วมมือระหว่างเซิร์นกับประเทศไทยขึ้น ในคณะกรรมการชุดดังกล่าว มีคณะย่อยหนึ่งชุดซึ่งดำเนินงานตามพระราชดำริในการจัดตั้งกริดคอมพิวติ้ง สำหรับเชื่อมโยงกับเซิร์น โดยเรียกว่า National e-Science Infrastructure Consortium ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ระดับชาติ”

จุดเริ่มต้นจากความร่วมมือ ๕ หน่วยงานพันธมิตร โดยใช้งบประมาณของตนเองในการลงทุนจัดตั้งระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงของแต่ละหน่วยงาน แล้วเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกริด โครงการ National e-Science Infrastructure Consortium เพื่อเชื่อมโยงไปที่เซิร์น ในการดึงข้อมูลมาทำวิจัยทางฟิสิกส์อนุภาค และในขณะเดียวกันก็จะให้เซิร์นใช้ทรัพยากรของเราเช่นกัน นอกจากนี้หน่วยงานภายใต้ความร่วมมือนี้จะสามารถใช้ทรัพยากรในโครงการ National e-Science Infrastructure Consortium มาทำการวิจัยพัฒนาตามความต้องการของประเทศไทยด้วย อาทิ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เรื่องทรัพยากรน้ำ หรือ การคำนวณอื่นใดที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพื่อให้โครงการ National e-Science Infrastructure Consortium ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืน ช่วยยกระดับการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานด้านฟิสิกส์อนุภาคที่ร่วมมือกับเซิร์น ในการทำวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ในสาขาอื่นๆ
ตัวอย่างโครงการวิจัยพัฒนาที่จะใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์สมรถนะสูงประกอบด้วย
 worldwide LHG Computing Grid
 ระบบ AliEn GRIเครื่องตรวจหาอนุภาคที่เกิดจากการชนของไอออนหนักของเครื่องเร่งอนุภาค LHG ที่ CERN
 งานวิจัยด้านการบริหารจัดการพลังงาน วิทยาการและวิศวกรรมเชิงคำนวณด้านการออกแบบทางวิศวกรรม
 Bee-inspired algorithm for scientific applications
 งานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
 งานวิจัยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม

View :2512

ก.ไอซีที จับมือภาครัฐ และเอกชนบูรณาการแจ้งเตือนภัย เพื่อป้องกันภัยต่อประชาชน

September 29th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยถึงการบูรณาการเพื่อการแจ้งเตือนภัย และป้องกันภัยต่อประชาชน ว่า ภายหลังจากนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับการเตือนภัยและเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับทราบอย่างรวดเร็วและทั่วถึง กระทรวงฯ จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเพื่อกำหนดมาตรการในการบูรณาการเพื่อการแจ้งเตือนภัย ป้องกันภัยต่อประชาชนผ่านช่องทางสื่อสารสารสนเทศที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

“กระทรวงฯ ได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี กรมอุทกศาสตร์ กระทรวงกลาโหม กรมชลประทานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คือ กรมอุตุนิยมวิทยา ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ บมจ.ทีโอที บมจ.กสท โทรคมนาคม บจ.ไปรษณีย์ไทย ตลอดจนผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ได้แก่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น และบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่นเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือแนวทางการบูรณาการเพื่อการแจ้งเตือนภัย ป้องกันภัยต่อประชาชน

โดยจากการหารือสรุปว่า หน่วยงานรับผิดชอบที่มีความชำนาญในแต่ละด้าน จะเป็นผู้ทำหน้าที่แจ้งกระจายข่าวสารให้แก่ประชาชน เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในยามปกติ และขณะเดียวกันก็จะทำหน้าที่แจ้งข้อมูลข่าวสารให้แก่ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อนำไปวิเคราะห์และตัดสินใจกรณีที่จะมีภัยพิบัติกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ก่อนกระจายข้อมูลแจ้งเตือนภัยไปสู่ประชาชน หน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย และสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ โดยใช้ช่องทางต่างๆ อาทิ วิทยุภาคประชาชน วิทยุสื่อสาร หอกระจายข่าว สถานีถ่ายทอดสัญญาณเตือนภัย Social Network , website รวมถึงข้อความสั้น (SMS) ซึ่งเป็นช่องทางที่ทำให้ประชาชนรับทราบได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากที่สุด ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้ขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 รายให้ร่วมเป็นพันธมิตรในการช่วยเหลือสังคมด้วยการสนับสนุนการส่ง SMS แจ้งเตือนภัยแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วย” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

สำหรับเกณฑ์การกระจายข้อมูลและข่าวสารของศูนย์เตือนภัยฯ นั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ 1.รายงาน เป็นการกระจายข่าวเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งนี้ เพื่อให้รายละเอียดของภัย ความรุนแรง ผลกระทบ เวลาที่คาดหมายว่าภัยจะเกิด คำแนะนำในการปฏิบัติเพื่อลดอันตราย ลดความสูญเสีย คำแนะนำในการช่วยเหลือกู้ภัย โดยจะรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค หน่วยช่วยเหลือและกู้ภัย ตลอดจนประชาชน 2.เฝ้าระวัง เป็นการกระจายข่าวเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ แต่ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการตื่นตระหนกและการเข้าใจผิดของประชาชน โดยจะกระจายข่าวให้กับผู้บังคับบัญชาทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นข้อมูลในการชี้แจงกับประชาชน
3. เตือนภัย เป็นการกระจายข่าวเมื่อคาดว่าจะเกิดภัยธรรมชาติ ที่จะเป็นอันตรายมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างรุนแรงหรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง โดยจะมีการให้รายละเอียดของภัย ความรุนแรง ผลกระทบ เวลาที่คาดหมายว่าภัยจะเกิดคำแนะนำในการปฏิบัติเพื่อลดอันตราย ลดความสูญเสีย คำแนะนำในการช่วยเหลือกู้ภัย และ 4. ยกเลิก เป็นการกระจายข่าว เมื่อสถานการณ์ภัยพิบัติกลับสู่ภาวะปกติ และทำการตรวจสอบข้อมูลจากทุกๆ แหล่ง จนเป็นที่แน่ใจและเป็นไปตามเกณฑ์ยกเลิกสถานการณ์ของภัยแต่ละชนิด ทั้งนี้ เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีความปลอดภัย และให้หน่วยช่วยเหลือกู้ภัยดำเนินการบรรเทาสาธารณภัยได้ต่อไป

View :1695

เออาร์ไอพีดึงสแพลช อินเตอร์แอ็คทีฟ สยายปีกธุรกิจสื่อครบวงจร

September 28th, 2011 No comments

เออาร์ไอพีย้ำความเป็นผู้นำสื่อไอทีร่วมลงทุนกับ สแพลช อินเตอร์แอ็คทีฟ ขยายธุรกิจสื่อให้ครบครัน พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ให้วงการสื่อเมืองไทย นำเสนอช่องทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ Live Interactive ผ่านระบบ streaming ครั้งแรก และเจ้าแรกในเมืองไทย จับ On Air, Online, On Print และ On Location เชื่อมโยงกัน ครบทั้ง สื่อออนไลน์ สื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ ชูคอนเซ็ปท์ รวดเร็ว ครบวงจร ครอบคลุม และคุ้มค่า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคสมาร์ทไลฟ์

นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เออาร์ไอพี ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสื่อไอที และผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอทีอันดับหนึ่งของประเทศ อย่าง คอมมาร์ต ได้เล็งเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้รูปแบบการสื่อสารต้องเปลี่ยนแปลงตามด้วย ทางเออาร์ไอพี จึงสร้างช่องทางการสื่อสารกับผู้บริโภครูปแบบใหม่ขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคสมาร์ทไลฟ์ รวมสื่อครบวงจร สมบูรณ์แบบไว้ด้วยกัน ทำให้ครองความเป็นผู้นำทางด้านสื่อไอที

“เออาร์ไอพี มีช่องทางในการสื่อสารที่หลากหลายและครบทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็น Printed Media เช่นนิตยสารคอมพิวเตอร์ ทูเดย์ นิตยสารไอทีขายดีอันดับหนึ่งทั่วประเทศ สำรวจโดยสวนดุสิตโพล นิตยสารคอมมาร์ต นิตยสารอีเอ็นเตอร์ไพร์ส นิตยสารอีลีดเดอร์ และนิตยสารที่นำเสนอเรื่องราวของธุรกิจ บิสิเนสพลัส นอกจากนี้ ยังมี Online Media อย่าง www.arip.co.th เว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวไอที ยอดนิยมอันดับหนึ่ง www.buzzidea.tv เว็บไซต์บริการอินเทอร์เน็ตทีวี ตลอด 24 ชั่วโมง www.thaimail.com บริการฟรีอีเมล์ของคนไทย เพื่อคนไทย และ www.jobmartthailand.com เว็บไซต์บริการหางานแบบครบวงจร และที่สำคัญ คือ On Location เออาร์ไอพี เป็นผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอทีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “คอมมาร์ต” ที่มีผู้เข้าชมงานกว่า 10 ล้านคน ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา” นายปฐม กล่าว

นายปฐม กล่าวต่อว่า สำหรับสื่อ On Air เออาร์ไอพี ได้เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท สแพลช อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรายการโทรทัศน์ เพื่อเป็นการตอบสนองไลฟ์ไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยในช่วงเวลาระหว่างการจัดงาน “คอมมาร์ต” (On Location) จะทำการถ่ายทอดสด (Live Streaming) ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างผู้เข้าชมงานทั้งจากในงาน และการถ่ายทอดสด ที่สำคัญคือการนำ On Location มาอยู่ บน Online ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างอินเตอร์แอคทีฟกับผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ทำการตัดต่อเพื่อเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านรายการไซเบอร์ ซิตี้ รายการไลท์เฮ้าส์ แฟมิลี่ และนำเสนอเป็นบทความหรือข่าวสารผ่านนิตยสาร เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุมให้มากยิ่งขึ้น ด้วยอำนาจของสื่อที่มีอยู่ทั้งหมดของ เออาร์ไอพี ทำให้กลายเป็นธุรกิจสื่อที่มีการสื่อสารแบบครบวงจรรายแรกของประเทศ

ด้าน นายจอห์น รัตนเวโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแพลช อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด ผู้ผลิตรายการไซเบอร์ ซิตี้ และ รายการไลท์เฮ้าส์ แฟมิลี่ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เปิดเผยถึงการได้เข้าร่วมธุรกิจกับ เออาร์ไอพี ว่า สแพลช อินเตอร์แอ็คทีฟ มีความเชี่ยวชาญทางด้านการผลิตรายการโทรทัศน์ ส่วน เออาร์ไอพี มีความเชี่ยวชาญด้านสื่อไอทีต่างๆ รวมถึงการจัดงานอีเว้นท์ ภารกิจนี้จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ เออาร์ไอพี จะสร้างสรรค์สื่อรูปแบบใหม่ให้สมบูรณ์แบบ และประสบความสำเร็จมากที่สุด

“เป้าหมายการร่วมธุรกิจของ เออาร์ไอพี ในครั้งนี้ คือ RICH โดย R – Reach คือ ความสำเร็จ จากพลังศักยภาพของสื่อและกิจกรรมทางการตลาดที่ครบวงจร I – Impact and Interactive คือ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สร้างการรับรู้และตอบสนองอย่างได้รวดเร็ว C – Creative Contents คือ มีเนื้อหาที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ปรุงแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละสื่ออย่างน่าสนใจ ส่วน H – Hybrid Media คือ สื่อทางเลือกรูปแบบใหม่ ที่รวดเร็ว ครบวงจรเข้าถึงครอบคลุมได้มากกว่า ทั้ง On Air, Online, On Print และ On Location”

อย่างไรก็ตาม การใช้สื่อโฆษณาในอดีตจะเน้นอยู่ที่สื่อหลัก คือ ฟรีทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป โดยอัตราการใช้สื่อโฆษณามีแนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับสื่อใหม่ (New media) ที่เข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มได้ดีกว่า โดยมีข้อดี คือ ความรวดเร็ว และสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากกว่าอีกด้วย

View :2289
Categories: Press/Release, Technology Tags:

ไอบีเอ็มช่วยลูกค้าองค์กรเสริมความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์พกพา

September 28th, 2011 No comments

ไอบีเอ็มเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ ซึ่งเป็นผลงานจากการผนวกรวมเทคโนโลยีของ BigFix ที่ไอบีเอ็มเข้าซื้อกิจการ ด้วยการผสานเทคโนโลยีการบริหารจัดการอุปกรณ์ปลายทางภายในเครือข่ายเข้ากับการบริหารจัดการความปลอดภัยไว้ในโซลูชั่นเดียว ช่วยให้ทีมงานไอทีสามารถมองเห็น และบริหารจัดการอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งที่มีอยู่จริงหรือสร้างไว้แบบเวอร์ช่วล โดยครอบคลุมอุปกรณ์ปลายทางหลากหลายประเภท เช่น เซิร์ฟเวอร์, เดสก์ท็อป, อุปกรณ์เวอร์ช่วลไลซ์, สมาร์ทโฟน, แทบเล็ต, เอทีเอ็ม โดยไอบีเอ็มขอมอบข้อเสนอสุดพิเศษในการทดลองใช้งานฟรี 30 วัน สำหรับองค์กรที่ต้องการจัดการและคุ้มครองอุปกรณ์ปลายทางอย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ibm.com/software/th/tivoli/solutions/endpoint/index.html

นางเจษฎา ไกรสิงขร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซอฟต์แวร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ซอฟต์แวร์ใหม่นี้รวมการจัดการอุปกรณ์ปลายทางและระบบรักษาความปลอดภัยเข้าไว้ในโซลูชั่นเดียวกัน เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถตรวจสอบและจัดการอุปกรณ์ทั้งแบบที่มีอยู่จริงและเวอร์ช่วลได้อย่างครบวงจร โดยลูกค้าจะสามารถคุ้มครองและจัดการทรัพยากรไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงความสามารถในการตรวจสอบ ควบคุม และสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานไอทีที่ต้องใช้เวลานาน เช่น การจัดทำรายการบัญชีทรัพยากรไอที และการจัดการแพตช์ (Patch Management) สำหรับระบบปฏิบัติการและแอพลิเคชันที่หลากหลาย”

Tivoli Endpoint Manager สามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและคอนฟิกูเรชั่นของเครือข่าย โดยจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าภายในเวลาอันรวดเร็ว องค์กรจะสามารถระบุอุปกรณ์ที่ไม่เป็นไปตามนโยบายไอทีที่กำหนด และแนะนำให้มีการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยผ่านซอฟต์แวร์อัพเดตอย่างทันท่วงทีสำหรับอุปกรณ์ทั้งหมดภายในองค์กรโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

ขณะที่อุปกรณ์พกพาส่วนบุคคลหลั่งไหลเข้าสู่เครือข่ายองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพให้แก่พนักงานและบริษัทต่างๆ มากมาย แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เป็นผลมาจากการเชื่อมต่ออุปกรณ์ใหม่ๆ เหล่านี้เข้ากับเครือข่ายของบริษัท ขณะที่ภัยคุกคามใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซอฟต์แวร์นี้จะช่วยให้คุณแก้ไข ปกป้อง และรายงานเกี่ยวกับอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ ในแบบเรียลไทม์ ฟังก์ชั่นการทำงานแบบอัตโนมัตินี้จะช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย ควบคู่ไปกับการลดความเสี่ยงและรองรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเหมาะสม ซอฟต์แวร์ดังกล่าวสนับสนุนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย

โซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยของไอบีเอ็ม
โซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยของไอบีเอ็มประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บริการระดับผู้เชี่ยวชาญ และบริการเอาต์ซอร์สที่หลากหลาย โดยครอบคลุมความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทั้งในส่วนของไอทีและธุรกิจ เช่น ผู้ใช้และข้อมูลประจำตัว, ข้อมูลสารสนเทศ, แอพพลิเคชั่นและกระบวนการ, เครือข่าย, เซิร์ฟเวอร์, อุปกรณ์ปลายทาง และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ โซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยของไอบีเอ็มช่วยให้ลูกค้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพบนแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่มีความปลอดภัยสูง

หลังจากที่เข้าซื้อกิจการของ Watchfire, Ounce Labs, Encentuate และ BigFix ไอบีเอ็มมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์อัจฉริยะ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 40 ปีในการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านระบบรักษาความปลอดภัย ไอบีเอ็มเป็นบริษัทเดียวที่มีความเชี่ยวชาญเชิงลึกและความหลากหลายทั้งในส่วนของงานวิจัย ผลิตภัณฑ์ บริการ การให้คำปรึกษา และพันธมิตรธุรกิจทั่วโลก และมีความพร้อมที่จะนำเสนอระบบรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจร ไอบีเอ็มมีห้องปฏิบัติการวิจัย 9 แห่งทั่วโลก ซึ่งทำหน้าที่สร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย และศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย 9 แห่งทั่วโลก ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารักษาเสถียรภาพด้านความปลอดภัยได้อย่างเหมาะสม

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยของไอบีเอ็มได้ที่: http://www.ibm.com/software/th/tivoli/solutions/endpoint/index.html

View :1362

ดีแทคเปิดตัว iPad 2 ชูจุดเด่น “เร็วกว่าด้วย dtac 3G ดีกว่าด้วยซิมเสริม (Multi SIM) และใส่ใจกว่าด้วยบริการ iPad Tour”

September 23rd, 2011 No comments

ดีแทคเปิดตัว ให้ความใส่ใจกว่ากับการใช้งานของลูกค้า ด้วยแพ็กเกจใหม่และบริการรูปแบบพิเศษ รับฟรี “ซิมเสริม” (Multi SIM) พร้อมแพ็กเกจใหม่ราคาดีที่สุด พิเศษในช่วงเปิดตัวจัด iPad Tour by iBuddy นำทีมผู้เชี่ยวชาญแนะนำการใช้งานลูกค้าถึงบ้าน ให้ความมั่นใจใช้บริการได้อย่างรวดเร็วบนเครือข่าย dtac 3G ที่ความเร็วสูงสุด 42 Mbps พร้อมข้อเสนอพิเศษผ่อน 0% นาน 10 เดือนและรับเงินคืนสูงสุดถึง 15% พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจดีแทคอินเทอร์เน็ตหลากหลายเพื่อการใช้งานสำหรับ iPad โดยเฉพาะ

นายปภาพรต ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดีแทคเปิดจำหน่าย iPad 2 ในวันนี้ ด้วยความพร้อมของบริการและข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าของเรา และยังคงแนวความคิด “เร็วกว่า ดีกว่า ใส่ใจกว่า” เราเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์และความต้องการในการใช้งานของลูกค้า จึงมอบฟรี “ซิมเสริม” หรือ Multi SIM เพื่อให้ลูกค้าที่ใช้งานมือถืออยู่แล้วได้รับความสะดวกในการใช้งาน iPad 2 ด้วยโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมหรือเปิดเลขหมายใหม่ ซึ่งลูกค้าที่ใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตไม่จำกัดอยู่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตบน iPad ไม่จำกัดด้วยซิมเสริม โดยมีค่าบริการรายเดือนของซิมเสริมเพียง 250 บาท ในช่วงเปิดตัวนี้เรายังจัด iPad Tour by iBuddy ไปพบลูกค้า 100 ท่านแรกที่ซื้อ iPad 2 ถึงที่บ้าน เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำแอพพลิเคชั่นที่เป็นประโยชน์เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ทำให้การใช้งาน iPad2 สนุกและเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคและดีแทคเซ็นเตอร์ก็ยังสามารถใช้บริการจากทีม iBuddy ที่ประจำอยู่ที่จุดบริการคอยแนะนำการใช้งานให้ด้วยเช่นกัน”

“ทั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อ iPad 2 จากดีแทค ยังสามารถเลือกชำระด้วยข้อเสนออัตราดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือนและรับเงินเครดิตคืน (cash back) สูงสุดถึง 15% กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ โดยเราได้จัดแพ็กเกจ ดีแทคอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ให้ลูกค้าได้เลือกใช้ตามความเหมาะสมอีกมาก เพื่อให้ลูกค้าที่ใช้งาน iPad 2 ของดีแทคได้รับความสะดวกรวดเร็วบนเครือข่าย dtac 3G ที่ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และ EDGE ที่มีอยู่ทั่วประเทศด้วย” นายปภาพรตกล่าวปิดท้าย

ลูกค้าที่ซื้อ iPad2 ที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคและดีแทคเซ็นเตอร์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคมนี้ รับฟรี ซิมเสริม (Multi SIM) และรับสิทธิ์ในการใช้บริการ iPad Tour by iBuddy โดยลูกค้าสามารถโทรเข้ามาที่หมายเลข 082 497 7706 เพื่อขอรับบริการได้ ทีม iPad Tour by iBuddy จะเดินทางไปพบลูกค้าถึงสถานที่ และให้คำแนะนำการใช้งานแอพพลิเคชั่น ตามไลฟ์ไตล์ของลูกค้าแต่ละท่าน (จำนวนจำกัด 100 ท่านแรก) หลังจากนั้นลูกค้าสามารถพบกับบริการ iPad Tour by iBuddy ได้ที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคที่กำหนด

แพ็กเกจดีแทคอินเทอร์เน็ตบนเครือข่าย dtac 3G สำหรับ iPad ประกอบด้วย

§ แพ็กเกจซิมเสริม (Multi SIM) – สำหรับลูกค้าแบบจดทะเบียนของดีแทคที่มีแพ็กเกจการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบไม่จำกัด สามารถออกซิมเสริม และใช้งานดีแทคอินเทอร์เน็ตสำหรับ iPad ด้วยค่าบริการรายเดือนเริ่มต้นเพียง 250 บาท
§ แพ็กเกจ iPad 550 – สำหรับลูกค้าใหม่ ใช้งานดีแทคอินเทอร์เน็ตสำหรับ iPad ได้ไม่จำกัด พร้อมรับหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ ค่าบริการรายเดือน 650 บาท พร้อมรับส่วนลดพิเศษสำหรับค่าบริการ จ่ายเพียง 550 บาทสำหรับ 6 เดือนแรก
§ แพ็กเกจ Happy Internet 790 – สำหรับลูกค้าแฮปปี้ จ่ายเพียง 790 บาท ใช้งานดีแทคอินเทอร์เน็ตสำหรับ iPad ได้ 5 กิกะไบต์ นาน 3 เดือน

ดีแทคพร้อมจำหน่าย iPad 2 รุ่น Wi-Fi + 3G และแพ็กเกจดีแทคอินเทอร์เน็ตสำหรับ iPad 2 แล้ววันนี้ ที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทค ดีแทคเซ็นเตอร์ที่ร่วมรายการทั่วประเทศ พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อ iPad 2 พร้อมกับแพ็กเกจดีแทคอินเทอร์เน็ต เลือกผ่อนชำระ 0% นาน 10 เดือน และรับเงินเครดิตคืน (cash back) สูงสุดถึง 15% กับ 10 บัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจและบริการได้ที่ www.dtac.co.th/ipad

View :1615

ฟูจิตสึเปิดตัวโน้ตบุ๊กเพื่อโลกสีเขียวตอกย้ำผู้นำเทคโนโลยีด้วยโน้ตบุ๊กตระกูล S Series

September 22nd, 2011 No comments


ฟูจิตสึโชว์ความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กครั้งใหม่กับโน้ตบุ๊กตระกูล S Series ที่มาพร้อมกับสุดยอดคุณสมบัติเพื่อการเป็นโน้ตบุ๊กเพื่อโลกสีเขียวอย่างสมบูรณ์แบบด้วยลิขสิทธิ์เฉพาะของฟูจิตสึ ผสานกับประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมพกพาด้วยความบางและเบา ตอบสนองทั้งการทำงานธุรกิจและการใช้งานส่วนตัวได้อย่างดีเยี่ยม

นายวรวุฒิ โกศลกิจวงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิก จำกัด เปิดเผยว่าฟูจิตสึให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อโลกสีเขียวมาอย่างต่อเนื่องซึ่งฟูจิตสึได้มีการแนะนำ Fujitsu LIFEBOOK ในตระกูล S Series 2 รุ่นได้แก่ Fujitsu LIFEBOOK SH761 และ Fujitsu LIFEBOOK SH561 ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับโลกอย่างสมบูรณ์แบบ และยังเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติสุดยอดที่ครอบคลุมการใช้งานทุกด้าน สามารถพกพาไปได้ทุกที่ด้วยความบางและเบา


Fujitsu LIFEBOOK SH761 ถือเป็นเทคโนโลยีเรือธงของฟูจิตสึ โดยโน้ตบุ๊กรุ่นนี้มาพร้อมกับคุณสมบัติที่สุดยอดครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น อแดปเตอร์ประหยัดพลังงาน (Green 0 Watt AC Adapter) ที่พกพาได้อย่างสะดวกด้วยน้ำหนักเพียง 1.6 กิโลกรัม ขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว และแสดงผลแบบ Superfine HD LED back-light screen ให้ความสว่างในการแสดงผลภาพระดับ 300nits และแบตเตอรี่ขนาด 6200mAH รองรับการใช้งานได้นานขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในรุ่นที่มีความสามารถสูงสุดในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ ด้วยระบบระบายอากาศที่เป็นสิทธิบัตรและเอกลักษณ์ของฟูจิตสึ ช่วยทำให้เครื่องทำงานได้เงียบ ใช้งานได้นานขึ้น และให้ความมั่นใจในเรื่องความเสถียรของการทำงานทั้งในสถานการณ์ทางธุรกิจ และการใช้งานส่วนตัว

ส่วน Fujitsu LIFEBOOK SH561 เป็นโน้ตบุ๊กที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกในการพกพาเป็นหลัก ด้วยหน้าจอ 13 นิ้ว ซึ่งจะเหมาะกับผู้บริหารที่เน้นการใช้งานนอกสถานที่ แต่ยังคงประสิทธิภาพและความคงทน พิเศษด้วยการออกแบบที่ให้ประโยชน์สูงสุดในการใช้งานด้วยพื้นที่สำหรับวางพักมือ นอกจากนี้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Biometric และระบบเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือผ่านคลื่นความถี่วิทยุที่แสดงสถานะด้วยไฟ LED เพื่อการป้องกันขั้นสูงสำหรับการเข้าดูข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายวรวุฒิ กล่าวถึงคุณสมบัติเด่นของ Fujitsu LIFEBOOK ทั้ง 2 รุ่น ว่ามีการขจัดการสิ้นเปลื้องพลังงาน จากเดิมที่เคยสูญเปล่ามากถึง 10% เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย ด้วยการเพิ่มโหมดประหยัดพลังงาน (Eco Mode) ไว้ในอแดปเตอร์ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ทุกรุ่นของฟูจิตสึ ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมๆกัน

ทั้งนี้โดยทั่วไปโน้ตบุ๊กจะยังคงใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 0.8-0.9 WH ในขณะที่อยู่ในสถานะสแตนด์บาย แต่ระบบอีโคโหมดของฟูจิตสึ ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าดังกล่าวลงเหลือเพียง 0.009 WH (ในกรณีใช้ไฟฟ้า 230 โวลต์) และ 0.005 WH (ในกรณีใช้ไฟฟ้า 110 โวลต์) ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานได้มากถึง 93% ต่อปี หรือเทียบเท่า 1.687 WH ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ 768 กรัมและเมื่อเปรียบเทียบการประหยัดพลังงานของที่ชาร์ตแบต 0-watt ทุกๆ 1,000 ยูนิต สามารถประหยัดต้นไม้สนซีดาร์ได้ถึง 48 ต้น

ฟูจิตสึยังติดตั้งระบบตรวจสอบพลังงานในแบตเตอรี่อย่างง่ายโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่อง เพียงสังเกตสีก็สามารถตรวจสอบพลังงานในแบตเตอรี่ได้ทันที่ โดยสีเขียว (50-100%) สีส้ม (12-50%) และสีแดง (0-12%) เป็นสัญญาณบอกปริมาณไฟที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ เพื่อสามารถเลือกใช้พลังงานได้อย่างเหมาะสมระหว่างพลังงานไฟฟ้ากับพลังงานแบตเตอรี่

นอกจากนี้ฟูจิตสึยังติดตั้งซอฟต์แวร์เพื่อจัดการการชาร์จไฟผ่านช่องเชื่อต่อ USB เพื่อป้องกันการสิ้นเปลื้องโดยไม่จำเป็นจากการชาร์จไฟที่ไม่ต้องการผ่าน USB Port โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวสามารถกำหนดให้มีการชาร์จตลอดเวลาก็ได้ และยังมีระบบจัดการตัดการชาร์จแบตเตอรี่ของเครื่องโน้ตบุ๊กเมื่อมีการเสียบปลั๊กอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันการเสื่อมของแบตเตอรี่โดยไม่จำเป็นอีกด้วย

View :1426

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ที่มีผลต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันในอนาคต

September 22nd, 2011 No comments

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามมองในปีนี้นั้น จะนำเสนอเทคโนโลยีใน 4 สาขาที่กำลังได้รับความสนใจ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านพลังงานสะอาด ด้านวัสดุศาสตร์ และด้าน IT โดยเทคโนโลยีที่นำเสนอในปีนี้นั้น จะมีบางเทคโนโลยีที่ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และมีบางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ทุกท่านจะต้องติดตาม รับรู้ และจับตามอง เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้ อาจมีผลต่อธุรกิจ และชีวิตประจำวันของท่านในอนาคต
10 เทคโนโลยีนี้ ได้แก่

ด้าน Health

10. อวัยวะซ่อมเสริมเติมสร้าง (Artificial Organ)
ศาสตร์แห่งการสร้างอวัยวะซ่อมเสริมเติมสร้างหรืออวัยวะเทียม (Artificial Organ) เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่จะช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนมากขึ้น เพื่อสนับสนุนและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้ป่วยและผู้พิการ

9. ระบบส่งยานำวิถีด้วยนาโน (Drug Delivery System หรือ DDS)
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ยาที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถนำส่งยานั้นไปสู่ต้นตอของโรคได้ดีขึ้น
ระบบที่เตรียมขึ้นเพื่อใช้เป็นพาหะในการนำส่งยาหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเข้าสู้ร่างกาย โดยสามารถควบคุมการปลดปล่อย หรือเพื่อให้นำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้เฉพาะเจาะจง โดยมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้น้อยที่สุด รวมไปถึงสามารถติดตามผลของการรักษาได้อย่างต่อเนื่องด้วย

8. จิโนมิกส์ส่วนบุคคล (Personal Genomics)
เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์ โดยใช้เทคนิคการหาลำดับเบสของสารพันธุกรรม (DNA Sequencing) ซึ่งสามารถพิจารณาความเสี่ยงของการเกิดโรค การแพ้ยา (Predictive medicine) และการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลได้ รวมไปถึงสามารถใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมในการพัฒนายาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลหรือกลุ่มประชากรได้ (Personalize medicine)

ด้าน Green Energy

7. ก้าวใหม่ของพลังงานชีวภาพ (Cellulosic biofuel)
การพัฒนาเอทานอลจากวัสดุเซลลูโลส เช่น เศษวัสดุการเกษตร พืช/ไม้โตเร็ว เป็นทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์เรื่อง การขาดแคลนพลังงาน ปัญหาโลกร้อน และข้อขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงพืชอาหารเพื่อผลิตพลังงานในปัจจุบันได้

6. เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง (High Efficiency Solar Cell)
เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงชนิดรอยต่อแบบเฮเทอโร (High efficiency heterojunction solar cells) เป็นเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนที่มีประสิทธิภาพสูงและมีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูงเมื่อเทียบกับเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนทั่วไป ทำให้มีความเหมาะสมสำหรับภูมิอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย

ด้าน Material

5. พลาสติกฐานชีวภาพ (Future Bio-based Plastics)
Bio-based Plastics หรือพลาสติกชีวภาพ จากแหล่งวัตถุดิบที่เป็น renewable resources ซึ่ง มีทั้งที่เป็นประเภทย่อยสลายได้ ย่อยสลายได้บางส่วน หรือ ย่อยสลายไม่ได้ แล้วแต่ประเภทและการใช้งาน โดยพลาสติกชีวภาพจะช่วยแก้ปัญหาของปริมาณวัตถุดิบจากปิโตรเลียมที่มีจำกัด และลดปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากกระบวนผลิตอีกด้วย

4. จีโอพอลิเมอร์ (Geopolymer)
เป็นวัสดุจำพวกอะลูมิโนซิลิเกต ที่มีสมบัติทางกลดีมาก ทนไฟ และทนทานต่อสารเคมี นอกจากนี้กระบวนการผลิต จีโอพอลิเมอร์ นั้นยุ่งยาก ใช้พลังงานต่ำ และยังเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้น จีโอพอลิเมอร์จึงเป็นวัสดุและเทคโนโลยีที่น่าจับตาและมีแนวโน้มที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในอนาคต

3. กราฟีน (graphene)
กราฟีน (graphene) คือวัสดุมหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติน่าทึ่งหลายอย่าง เช่น แข็งกว่าเหล็กกล้าและแม้แต่เพชร ยืดหยุ่นได้ถึงร้อยละ 20 นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงและยังโปร่งแสงอีกด้วย จากคุณสมบัติดังกล่าว จึงสามารถนำกราฟีนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย เช่น สามารถเป็นได้ทั้งวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จอภาพที่ใช้งานด้วยการสัมผัส (touch screens) โทรศัพท์มือถือ และชิปคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง เซ็นเซอร์ตรวจวัด และเป็นโซลาร์เซลล์ เป็นต้น
ด้าน IT

2. จอแสดงภาพสามมิติ (3D Display)
จอภาพสามมิติในปัจจุบัน ใช้หลักการมองเห็นภาพแบบ Stereoscopy และ Parallax มาผสมผสานเข้ากับหน่วยแสดงจอแสดงผลแบบผลึกเหลว จอพลาสมาและฉากรับภาพ ซึ่งการเติบโตและการประยุกต์ใช้จอแสดงภาพ 3 มิติจะเกิดขึ้นเมื่อจอแสดงภาพ3 มิตินั้นเป็นแบบไม่ใส่แว่นหรืออุปกรณ์เสริมจากภายนอก

1. จากเว็บไซต์สู่เว็บเชิงความหมาย (Semantic Web)
เทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคตอันใกล้ คือ Web 3.0 หรือ Semantic Web ซึ่งหมายถึง เทคโนโลยีที่มีแนวคิดที่จะเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน เว็บไซต์อยู่ในรูป Read-Write-Relate นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถจัดการกับเว็บไซต์ของตนเองได้อย่างอิสระ (Read-Write-Execute)
สิ่งที่สำคัญของ Semantic Web คือ การเชื่อมโยงนั้นจะเป็นการเชื่อมโยงเนื้อหา ไม่ใช่รูปแบบหรือลิงค์ อย่างที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดเบื้องหลังคือ ออนโทโลยี และแสดงผลบนมาตรฐานได้แก่ RDF (Resource Definition Framework) หรือ OWL (Ontology Web Language) นั่นเอง

View :1741

5 พันธมิตร จับมือร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์การค ำนวนสมถรรภาพสูงระดับชาติ

September 22nd, 2011 No comments

5 พันธมิตร:
จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุรนารี
มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
สถาบัน สารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์กรมหาชน)
สำนักงาน พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จากหลายๆ หน่วยงานเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย เพื่อการประมวลผลข้อมูลปริมาณมากๆ และจัดการข้อมูล เช่นเดียวกับ การใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์ในการศึกษาฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูง ของเซิร์น (CERN) หรือ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรป เพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์(Europear Center for Nuclerr Reseaoh)

ตัวอย่างโครงการวิจัยพัฒนาที่ใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์สมรถนะสูง ในการพัฒนาประเทศ ประกอบด้วย

งานวิจัยเกี่ยวกับ Worldwide LHC Computing Grid for Particule Physics Research โดย ความร่วมมือระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนคเทค CMS collaboration และ CERN WLCG

งานวิจัยด้านการบริหารจัดการพลังงาน และวิทยาการวิศวกรรมเชิงคำนวณ ด้านการออกแบบทางวิศวกรรม

การ พัฒนาอัลกอริทึมหรือลำดับขั้นตอนของกระบวนการ ประเภทปัญหาการรวมฝูง (Swarm Intelligent) ให้มี การประมวลผลเร็วยิ่งขึ้น สำหรับการประยุกต์ใช้ทางการแพทย์ และพัฒนาระบบ Drug Delivery ใน อนาคต

ด้าน วิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาแบบจำลองคาดการณ์ลมและปริมาณฝน และการติดตามการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลและการเกิดพายุ

โครงการ National e-Science และ การการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม โครงการการจำลองคลื่นพายุซัดฝั่งการลุกล้ำของคลื่นทะเลและน้ำท่วมบริเวณชาย ฝั่งอ่าวไทย

View :1333

รมว.ไอซีที ร่วมประชุมชี้​แจงนโยบายและ​แลกเปลี่ยน​ความเห็นเพื่อผลักดันนโยบายด้าน ICT

September 22nd, 2011 No comments


นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธานการประชุมชี้​แจงนโยบายและ​แลกเปลี่ยน​ความเห็นกับคณะกรรมการบริหารสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย และผู้แทนจาก 12 สมาคมอุตสาหกรรมด้าน ICT ณ ห้อง MICT ชั้น 9 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อชี้แจงนโยบายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงข้อเสนอแนะของแต่ละสมาคมใน 4 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการสนับสนุนอุตสาหกรรม ด้านการตลาด และด้านกฎหมายและระเบียบ ทั้งนี้ เพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันผลักดันนโยบายด้าน ICT ให้ประสบความสำเร็จ

View :1450

ไอที ซิตี้ รุกธุรกิจศูนย์ซ่อมสินค้าไอทีแบบครบวงจรเปิดบริการตระกูลไอ 3 รูปแบบใหม่ iFix iClinic และ iCare

September 21st, 2011 No comments

ไอที ซิตี้ ศูนย์รวมอุปกรณ์ไอทีครบวงจร รุกธุรกิจบริการซ่อมและดูแลสินค้าไอทีเต็มรูปแบบ เปิดให้บริการศูนย์ซ่อมสินค้าไอทีตระกูลไอ 3 รูปแบบใหม่ ได้แก่ iFix iClinic และ ภายในร้านไอที ซิตี้ ทั้ง 44 สาขาทั่วประเทศ

นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไอที ซิตี้ พร้อมเปิดให้บริการศูนย์ซ่อมสินค้าไอที ตระกูลไอ ใน 3 รูปแบบใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตทางด้านอุตสาหกรรมไอทีที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายสินค้าไอที ประเภทคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และพรินเตอร์ ที่มียอดการจำหน่ายในแต่ละประเภทเพิ่มสูงขึ้นทุก ๆ ปี

โดยบริการตระกูลไอ ตัวแรก เรียกว่า “ไอฟิกซ์” (iFix) เป็นการให้บริการซ่อมสินค้าไอทีทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก อุปกรณ์ต่อพ่วง ทั้งที่อยู่ในระยะประกันสินค้า และนอกระยะรับประกันแบบครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ทั้งในส่วนของลูกค้าของไอที ซิตี้ และแบรนด์สินค้าอื่นๆ ทั่วไป ที่ซื้อสินค้าไปแล้วเกิดปัญหาหรือใช้การไม่ได้หรือหาศูนย์บริการซ่อมสินค้าไม่สะดวก ก็สามารถจะมาใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการ iFix ภายในร้านไอที ซิตี้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยขณะนี้ศูนย์ซ่อม iFix ได้เปิดให้บริการรับซ่อมสินค้าไอทีประเภทคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต พรินเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงทุกยี่ห้อ โดยลูกค้าสามารถเลือกให้บริการศูนย์ซ่อมได้ทั้ง 44 สาขาของไอที ซิตี้ได้ทั่วประเทศ

“สำหรับสินค้าที่ศูนย์บริการ iFix ลูกค้าจะหมดปัญหาในเรื่องของการรอรับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กเป็นเวลานาน เนื่องจากทีมงานช่าง iFix ทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมและรับรองมาตรฐานการซ่อมจากเจ้าของสินค้าทุกแบรนด์ และไม่ต้องกังวลในเรื่องของอะไหล่ เนื่องจากไอที ซิตี้ได้ประสานกับเจ้าของแบรนด์ในการใช้อะไหล่แท้กับทุกชิ้นส่วนของเครื่องที่ซ่อม และมีอะไหล่ประจำอยู่ที่สำนักงานอยู่แล้ว สามารถเปลี่ยนใหม่ให้ได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 082 330 0402”

นายเอกชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า บริการตระกูลไอ ตัวที่สอง คือ “” (iClinic) เป็นศูนย์บริการตรวจเช็กแก้ปัญหาไวรัส และซอฟต์แวร์ ที่พร้อมให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ซึ่งจะให้คำแนะนำในเรื่องของการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ การแก้ปัญหาไวรัส สปายแวร์ทุกชนิด รวมทั้งมีการรับประกันคุณภาพการให้บริการโดยช่างผู้ชำนาญงานที่ได้รับการอบรมจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ โดยคิดค่าบริการมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 083 500 6788

และบริการตระกูลไอ ตัวที่สาม คือ “ไอแคร์” (iCare) เป็นการให้บริการประกันสินค้าโน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ จอมอนิเตอร์ โปรเจคเตอร์ และแอลซีดี ทีวี ที่จะเพิ่มระยะเวลาประกันเป็น 3 ปีเต็ม ในราคาสุดพิเศษ โดยการรับประกันนี้ครอบคลุมไปถึงภัยที่คาดไม่ถึง ประกอบด้วย ไฟไหม้ ฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าผิดปกติหรือลัดวงจร อุบัติเหตุทางน้ำ อุบัติเหตุจากการหล่น กระแทก หรือการถูกจารกรรมหรือลักทรัพย์ ทั้งนี้บริการตระกูลไอของไอที ซิตี้ พร้อมเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ไอที ซิตี้ คอลล์ เซ็นเตอร์ โทรศัพท์ 0 2656 5030 ถึง 45 หรือ www.itcity.co.th

View :1600