Archive

Author Archive

ผลการศึกษาระบุหากไทยยกระดับกรอบนโยบายเพื่อรองรับเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง จะเพิ่มโอกาสการจ้างงานเชิงคุณภาพ และทำให้เกิดธุรกิจใหม่

September 9th, 2011 No comments

การยกระดับกรอบนโยบายของประเทศไทย เพื่อรองรับเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) และเศรษฐกิจแบบดิจิตอล () จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่เป้าหมายการขยายระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพิงนวัตกรรมตามที่มุ่งหวังไว้ นำไปสู่การเติบโตของตลาดงานแบบยั่งยืน โดยมีค่าแรงที่เพิ่มสูง และมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีอุปสรรคบางประการที่ต้องข้ามผ่านเสียก่อน เป็นข้อมูลจากการศึกษาล่าสุด เรื่องเศรษฐกิจแบบดิจิตอลและคลาวด์ คอมพิวติ้ง โดยกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ) และบริษัทวิจัยกาเลกเซีย (Galexia) ที่ศึกษาความพร้อมด้านนโยบาย และกฎหมาย ที่เกี่ยวกับคลาวด์ คอมพิวติ้ง ใน 14 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก

การศึกษาระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีศักยภาพในการเป็นศูนย์รวมการทำธุรกิจบนเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง ระดับโลก อย่างไรก็ดี พบว่าเกือบจะทุกประเทศในภูมิภาคนี้จะได้รับประโยชน์มากขึ้น หากมีการปรับปรุงกฎหมาย และนโยบาย ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในลักษณะที่แตกต่างกันไป เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง ระหว่างประเทศ

“การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งกำหนดนโยบายในเรื่องนี้ เพื่อให้ภาคธุรกิจได้รับโอกาสทางธุรกิจมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจแบบดิจิตอล และคลาวด์ คอมพิวติ้ง” นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าว “ประเทศไทยมีจุดแข็งในกรอบนโยบายอย่างชัดเจน แต่เรายังสามารถปรับปรุง และทำให้กรอบนโยบายของเราดียิ่งขึ้น การเพิ่มความเชื่อมั่น และสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ เป็นเรื่องจำเป็นที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย ในการดึงดูดนักลงทุน สร้างงานคุณภาพ และส่งเสริมอุตสาหกรรมไอทีของเรา”

ประเทศไทยเริ่มต้นได้ดีแล้วกับนโยบายเพื่อรองรับคลาวด์ คอมพิวติ้ง และเศรษฐกิจแบบดิจิตอล อย่างไรก็ดี ยังต้องแก้ไขช่องโหว่ที่สำคัญ เพื่อให้ทันคู่แข่งอื่นในภูมิภาค การส่งเสริมความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับกรอบนโยบาย ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของประเทศไทย ในสิ่งแวดล้อมใหม่ที่เป็นคลาวด์ คอมพิวติ้งและเศรษฐกิจแบบดิจิตอล

“บางเรื่องภายใต้กรอบนโยบายเพื่อรองรับเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง ของประเทศไทย ถือว่าเป็นจุดแข็ง แต่หากมีการพัฒนาเนื้อหาในบางเรื่อง ประเทศไทยจะสามารถมีกรอบนโยบายที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจแบบดิจิตอล เกิดผลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น” มร. โรเจอร์ ซอมเมอร์วิลล์ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านรัฐบาลและนโยบายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบีเอสเอกล่าว “การมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกมารองรับ จะช่วยให้ไทยสามารถเพิ่มโอกาสได้มากขึ้น จากเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง

มร. โรเจอร์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้พัฒนากฎหมายหลายฉบับ ที่มีเนื้อหาครบถ้วน ที่เกี่ยวกับอาชญกรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจสำหรับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีกฎหมายที่ดีหลายฉบับ เกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วด้วย

การศึกษาครั้งนี้ ได้ตรวจสอบกรอบกฎหมายและนโยบายของ 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกอบด้วย ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม และเน้นไปที่ 8 หัวข้อที่สำคัญ ผลการศึกษาที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

 ความปลอดภัย (Security) ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่มีกฎหมายว่าด้วยเรื่องลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่ชัดเจนและมีความเป็นกลางในเรื่องเทคโนโลยี และได้กำหนดกฎระเบียบว่าด้วยการรับรองลายมือชื่อเซ็น ตามความจำเป็นไว้แล้ว มีการกำหนดมาตรการเรื่องความปลอดภัยในประเทศส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี มีประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย ได้เริ่มต้นกำหนดรูปแบบการปิดกั้น หรือกลั่นกรองเนื้อหาบนอินเตอร์เน็ท ซึ่งอาจขัดขวางการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบดิจิตอล และคลาวด์ คอมพิวติ้งได้
 อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime) ประเทศส่วนใหญ่มีกฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็มีกฎหมายเกี่ยวกับอาชญกรรมบนโลกไซเบอร์ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว และเนื้อหาส่วนใหญ่ของกฎหมายดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องอาชญกรรมบนโลกไซเบอร์ อย่างไรก็ดี ยังมีความแตกต่างกันอย่างมากในส่วนของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน และการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ และการกระทำความผิดข้ามเขตแดนที่กฎหมายของแต่ละประเทศบังคับใช้อยู่
 ความสามารถในการทำงานข้ามระบบกันได้ (Interoperability) ถึงแม้ว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ่มีกฎหมาย หรือกฎข้อบังคับที่กำหนดกรอบเรื่องความสามารถในการทำงานข้ามระบบ และการถ่ายโอนข้อมูล แต่แนวทางของรัฐบาลที่เกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานยังมีความลักหลั่นกันอยู่ มีการตัดสินใจนอกรอบหลายเรื่องโดยไม่ได้อิงกับกรอบการทำงานและนโยบายแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องมีการทำงานอย่างจริงจังในส่วนนี้ เพื่อส่งเสริมและเร่งการพัฒนามาตรฐานดังกล่าว
 การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) ประเทศเอเชียส่วนใหญ่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอยู่แล้ว และได้จัดตั้งกรรมาธิการอิสระขึ้น เพื่อดูแลในเรื่องนี้ มีการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีการทบทวนและข้อเสนอเกิดขึ้น ในออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน อย่างไรก็ดี ประเทศสำคัญ อย่าง จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูล
 สิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Rights) ภูมิภาคนี้กำลังมุ่งหน้าไปในแนวทางต่อเนื่องเกี่ยวกับสิทธิหลายอย่างที่สำคัญ และการคุ้มครองสิทธิเหล่านั้น แม้ว่าจะยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ของแนวทางเกี่ยวกับข้อมูลการจัดการสิทธิ และเทคโนโลยีการเข้าสู่ข้อมูล ยังมีช่องว่างในกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศสำคัญๆ รวมถึงอินเดีย และฟิลิปปินส์
 การสร้างกฎเกณฑ์ร่วมกันในระดับนานาชาติ (International harmonization of rules) กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคนี้มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกันมาก โดยประเทศส่วนใหญ่มีการร่างกฎหมาย โดยอิงกับโมเดลกฎหมายของ UNCITRAL ว่าด้วยเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และ/หรือ อนุสัญญาขององค์กรสหประชาชาติว่าด้วยการทำสัญญาทางอิเล็กทรอนิกส์ (UN Convention on Electronic Contracting) หลายประเทศได้ลงนามและรับรองอนุสัญญา และนำไปสู่การสร้างกฎเกณฑ์ร่วมกัน ทำให้การเก็บภาษีศุลกากร หรือการกีดกันทางการค้า สำหรับการซื้อขายซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ แบบออนไลน์ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากมากในภูมิภาคนี้
 การค้าเสรี (Free trade) ยังคงมีการจัดซื้อจัดหาที่ให้สิทธิพิเศษหรือไม่เท่าเทียมกันอยู่บ้างประปราย การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการจำกัดการแข่งขัน และอาจส่งผลกระทบในระยะยาว ต่อการจัดหาและต้นทุนของผลิตภัณฑ์และบริการแบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง ในบางประเทศ อย่างไรก็ดี มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นภาคีของความตกลงว่าด้วยการจัดซื้อจัดหาของภาครัฐ (WTO Agreement on Government Procurement) เป็นจำนวนมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้การจัดซื้อจัดหาของภาครัฐมีความเป็นกลางและเสรีมากขึ้น
 โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) การมีอยู่และการเข้าถึงบริการบรอดแบนด์ในภูมิภาคมีความแตกต่างกัน และพบว่ามีบางประเทศยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ที่สามารถสนับสนุนและใช้แสวงหาประโยชน์จากเศรษฐกิจแบบดิจิตอลและคลาวด์ คอมพิวติ้ง ได้อย่างเต็มที่

“การศึกษาครั้งนี้ไม่ได้จัดอันดับคุณภาพของสภาวะแวดล้อมทางกฎหมายและนโยบายในประเทศที่ทำการศึกษา เพียงแต่มุ่งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบดูว่า ปัญหาด้านกฎหมายและนโยบายที่จำเป็นต้องแก้ไขในประเทศเหล่านี้ ได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง เพราะเรื่องที่ศึกษามีขอบเขตกว้างขวางและครอบคลุมหลายประเทศ การศึกษานี้จึงเสนอการประเมินในระดับพื้นฐาน เพื่อดูว่าโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของเศรษฐกิจดิจิตอลมีความพร้อมแล้วหรือยัง มากกว่าจะมุ่งเจาะลึกดูว่าการเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวดำเนินไปได้ดีเพียงใด” มิสเตอร์ โรเจอร์กล่าว

เราหวังว่าการศึกษาครั้งนี้จะทำให้เกิดการพูดคุยกันในกลุ่มผู้กำหนดนโยบาย เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปสำหรับการแก้ไขที่จำเป็น โดยให้มุมมองว่า การสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจแบบดิจิตอล และคลาวด์ คอมพิวติ้ง ในเอเชีย จำเป็นต้องทำผ่านการยกระดับนโยบาย และการผนึกรวมเรื่องของการค้าและเศรษฐกิจเข้าไว้ด้วยกัน การศึกษาครั้งนี้เป็นเสมือนเครื่องมือ เพื่อช่วยให้ผู้กำหนดนโยบาย สามารถทำการประเมินในเชิงสร้างสรรค์ และวางแผนขั้นต่อไป ที่จำเป็นเพื่อสร้างให้เกิดความเชื่อมั่น ในสิ่งแวดล้อมแบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง โดยเน้นไปที่การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยในธุรกรรมต่างๆ ของผู้ใช้งาน หรือได้รับบริการคลาวด์ คอมพิวติ้ง และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการทำงานประสานข้ามระบบ และการถ่ายโอนข้อมูลกันได้ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการใช้ประโยชน์บนเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งอย่างเต็มที่

View :1652

ควอลคอมม์แต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่

September 9th, 2011 No comments

ควอลคอมม์ อินคอร์ปอเรทเต็ด (หรือใช้ชื่อในตลาดหุ้นนาสเด็ก คือ QCOM) ประกาศแต่งตั้งนายวู มินห์ ทรี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำภูมิภาคอินโดจีนและประเทศไทย ก่อนหน้านี้ นายทรีเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไปประจำประเทศเวียดนาม กัมพูชาและลาว ควอลคอมม์ อินคอร์ปอเรทเต็ด สำหรับการดำรงตำแหน่งใหม่ดังกล่าว นายทรีจะดูแลและบริหารกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินธุรกิจของควอลคอมม์ในตลาดไทยและอินโดจีน


สำหรับตลาดไทย นายทรีจะสานสัมพันธภาพและความร่วมมือกับผู้ให้บริการ ผู้รับจ้างผลิต (OEM) และผู้จัดจำหน่ายระดับท้องถิ่นให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนให้ธุรกิจทั้งหมดเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากระบบสื่อสารโทรคมนาคมของไทยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยจะเข้ามาทำหน้าที่แทนคุณคนึงจิตร สุริยะธำรงกุล ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งและพัฒนาบริษัทควอลคอมม์ในประเทศไทยให้เติบโตอย่างโดดเด่นตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งควอลล์คอมม์ขอขอบคุณคุณคนึงจิตรที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ควอลคอมม์ให้ประสบความสำเร็จมา ณ โอกาสนี้ และขออวยพรให้คุณคนึงจิตรประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ นายทรียังมีภารกิจมุ่งสนับสนุนการพัฒนาระบบการสื่อสารโทรคมนาคมในภูมิภาคอินโดจีน โดยนำประสบการณ์ทางด้านอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สายมาใช้สนับสนุนพันธมิตรผู้ให้บริการระบบ 3จีของควอลคอมม์ทั้งทางด้านการวางกลยุทธ์เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจ และการนำโซลูชั่นระบบเครือข่ายมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเผยแพร่เทคโนโลยี 3จีออกสู่ชุมชนต่างๆ ในแต่ละประเทศ

ก่อนเข้าร่วมงานกับควอลคอมม์ นายทรีเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไป บริษัท ยาฮู! เวียดนาม จำกัด ซึ่งดูแลและบริหารธุรกิจของยาฮู! ในประเทศเวียดนามอย่างครบวงจร ก่อนหน้านี้ นายทรีเป็นผู้จัดการทั่วไป บริษัท โซนี อิริคสัน เวียดนาม ซึ่งนายทรีได้พัฒนาธุรกิจของโซนีให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง โดยมีอัตราการเติบโตทั้งทางด้านปริมาณการขายและรายได้เป็นตัวเลข 3 หลัก และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 2 เท่า

ไทยและอินโดจีนเป็น 2 ตลาดหลักที่สำคัญของควอลคอมม์ โดยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมการสื่อสารเคลื่อนที่มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชากรในท้องถิ่นมีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีขึ้น และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ทั่วโลก

View :1354
Categories: Press/Release, Technology Tags:

ดีแทคส่งแพ็กเกจใหม่ยกแผงเอาใจสาวกสมาร์ทโฟน พร้อมลดค่าบริการสูงสุด 1,200 บาท และแคชแบ็ค 15% เมื่อซื้อเครื่องใหม่

September 9th, 2011 No comments


ดีแทคต่อยอดความแรงจากงาน Expo ส่งแพ็กเกจเพิ่มความคุ้มค่ารองรับการใช้งาน 3G เพื่อลูกค้าอย่างเหมาะสมกับการใช้งานสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่น แต่ละไลฟ์สไตล์ เพื่อเชื่อมต่อออนไลน์ทั้งการใช้งาน download และ upload ข้อมูลในปริมาณมาก และการใช้งานโทรคุ้มค่า พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรองรับ 3G 850 MHz ได้รับเงินคืนสูงสุดถึง 15% จากบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ และเลือกสุดคุ้มผ่อน 0% นาน 10 เดือน หรือ ผ่อนดอกเบี้ย 0.69% นาน 20 เดือน พร้อมรับส่วนลดค่าบริการสูงสุด 1,200 บาท หมดเขต 31 ตุลาคมนี้เท่านั้น ที่ดีแทคเซ็นเตอร์และสำนักงานบริการลูกค้าดีแทค ทั่วประเทศ

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า จากงาน dtac 3G Expo ที่ผ่านมาได้เล็งเห็นถึงความต้องการใช้งาน dtac 3G ของลูกค้าที่มากขึ้น และอัตราการใช้งานดาต้าบนเครือข่ายดีแทคทั่วประเทศได้เติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะการใช้งานดาต้าบนเครือข่ายดีแทคในพื้นที่ให้บริการ dtac 3G และการเข้าสู่สังคมออนไลน์ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟนพุ่งสูงมาก ดีแทคจึงได้นำแพ็กเกจมาปรับใหม่เพื่อเอาใจผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ที่มีอย่างหลากหลาย

“แพ็กเกจสมาร์ทโฟนใหม่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ มีทั้งแบบใช้เน็ตไม่จำกัดรองรับ iPhone, Android และสมาร์ทโฟนทั่วไป คือ Smartphone 699, Smartphone 899, Smartphone 1199 หรือแบบคิดตามเมกะไบต์ที่ใช้งาน Smartphone 399 ใช้ 3G/EDGE ได้ 200 MB/เดือน เป็นต้น และยังมีแพ็กอื่นๆ ที่รองรับสมาร์ทโฟนและทุกการใช้งานที่เหมาะสมกับลูกค้าอีกมากมาย พร้อมทั้งยังได้รับส่วนลดค่าบริการสูงสุด 1,200 บาท เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนใหม่อีกด้วย” นายปกรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการสมาร์ทโฟน 3G 850MHz ยังมอบข้อเสนอสุดพิเศษโดยดีแทคร่วมมือกับบัตรเครดิตชั้นนำ 10 บัตร อาทิ บัตรเครดิตกรุงศรี, โฮมโปรวีซ่า, เซ็นทรัล เครดิตคาร์ด, โรบินสันวีซ่า คาร์ด, บัตรกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์, กสิกรไทย, เคทีซี, แสตนดาร์ดชาร์เตอร์ด, ไทยพาณิชย์ และยูโอบี มอบข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้ารับเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อซื้อสมาร์ทโฟน 3G พร้อมแพ็กเกจสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการ โดยสมาร์ทโฟนรุ่นยอดนิยมที่ดีแทคนำมาร่วมรายการในครั้งนี้มีทั้ง iPhone, Samsung, HTC, Blackberry และ Nokia ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะชำระเต็มจำนวน หรือผ่อนดอกเบี้ยอัตรา 0% นาน 10 เดือน รวมทั้งยังสามารถเลือกผ่อนเบาๆ ในอัตราดอกเบี้ย 0.69% นาน 20 เดือน ผู้สนใจสอบถามข้อเสนอพิเศษ เงื่อนไขและรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ 1678 ดีแทคคอลล์เซ็นเตอร์ และ www.dtac.co.th พร้อมทั้งที่ดีแทคเซ็นเตอร์ และสำนักงานบริการลูกค้าดีแทคทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2554 เท่านั้น

View :1541

ไอบีเอ็มเผยผลสำรวจซีไอโอแห่งศตวรรษ 3,000 ซีไอโอทั่วโลกเผยบทบาทที่เปลี่ยนไปของซีไอโอยุค2011

September 9th, 2011 No comments

ชี้แนวโน้มบิสสิเนสอินเทลลิเจนซ์ โซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา และคลาวด์คอมพิวติ้งมาแรง

ไอบีเอ็มเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ (ซีไอโอ)ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีซึ่งชี้ให้เห็นวิสัยทัศน์ของซีไอโอทั่วโลกที่ใกล้เคียงกับวิสัยทัศน์ของซีอีโออย่างมีนัยสำคัญเป็นครั้งแรก บทบาทของซีไอโอและเทคโนโลยีในปัจจุบันทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในฐานะผู้สร้างนวัตกรรมและความสำเร็จทางธุรกิจให้แก่องค์กร ผลการสำรวจยังเผย “4 พันธกิจของซีไอโอ” หรือบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันในสี่รูปแบบของซีไอโอยุคปัจจุบันซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายทางธุรกิจขององค์กร พร้อมชี้แนวโน้มเทคโนโลยีที่ซีไอโอทั่วโลกให้ความสำคัญ

นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริหารซีไอโอไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่กลับทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในฐานะคู่คิดและพันธมิตรขององค์กรสำหรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ไอทีไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้รองรับธุรกิจอีกต่อไป หากแต่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเสริมสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันและเป็นสิ่งที่ผสานรวมอยู่ในทุกแง่มุมขององค์กร จากผลสำรวจนี้ ซีไอโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือซีไอโอที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อการสนองเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กรได้อย่างตรงจุดมากที่สุด

“เป้าหมายของผลสำรวจของไอบีเอ็มที่รวมเอาความคิดเห็นของซีไอโอกว่า 3,000 คนทั่วโลก และซีไอโอจากบริษัทชั้นนำถึง 40 คนในประเทศไทยครั้งนี้ คือการช่วยให้ซีไอโอตระหนักรู้และมุ่งเน้นบทบาทของตนให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร อันจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับผู้บริหารซีไอโอทั่วโลก และช่วยให้องค์กรธุรกิจได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยี” นางพรรณสิรีกล่าว

ปัจจุบัน ผู้บริหารระดับซีอีโอและซีไอโอให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลักที่ตรงกันในการบริหารองค์กร นั่นคือ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้า การพัฒนาทักษะของบุคลากร และการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลทางธุรกิจที่มีอยู่ ส่วนในเชิงเทคโนโลยี ผลการศึกษาของไอบีเอ็มบ่งชี้ถึงเทคโนโลยีที่ซีไอโอให้ความสำคัญ ดังนี้

บิสซิเนสอินเทลลิเจนซ์ (Business Intelligence) และระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics)
4 ใน 5 ของซีไอโอทั่วโลก รวมถึงซีไอโอ 86 เปอร์เซ็นต์ในภูมิภาคอาเซียน มองว่าระบบบิสซิเนสอินเทลลิเจนซ์ (Business Intelligence) และระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) มีความสำคัญสูงสุดสำหรับองค์กรธุรกิจในปัจจุบัน เนื่องจากองค์กรต้องรับมือกับข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาล

เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)
เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเหนือภารกิจอื่นๆ ของซีไอโอ โดยซีไอโอถึง 57 เปอร์เซ็นต์ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมที่จะปรับใช้คลาวด์คอมพิวติ้งในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตและเสริมสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ซึ่งมากกว่าเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับผลการศึกษาของเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

โซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา (Mobility Solutions)
ซีไอโอให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นต่อโซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา (Mobility Solutions) เพื่อก้าวให้ทันตลาดปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุปกรณ์พกพามีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ดีขึ้น อีกทั้งจำนวนโมบายล์แอพพลิเคชั่นที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจและโอกาสใหม่ๆ ในตลาดก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้บริหารซีไอโอเกือบ 3 ใน 4 รวมทั้ง 68% ของซีไอโอในภูมิภาคอาเซียน จึงมองว่าโซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพลิกเกมธุรกิจให้กับองค์กรได้อย่างแท้จริง

นอกเหนือจากนี้ ผลการสำรวจของไอบีเอ็มยังเปิดเผยถึงบทบาทหน้าที่ของซีไอโอในปัจจุบัน หรือ “4 พันธกิจของซีไอโอ” ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดสี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มแตกต่างกันออกไปตามความมุ่งหวังทางธุรกิจของแต่ละองค์กร พันธกิจที่แตกต่างกันของซีไอโอมิได้เป็นเครื่องชี้วัดผลกำไร ความก้าวหน้าหรือความสำเร็จขององค์กร ในทางกลับกัน เป้าหมายและความจำเป็นทางธุรกิจเป็นเครื่องกำหนดพันธกิจที่แตกต่างของซีไอโอ

พันธกิจของซีไอโอ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

พันธกิจเพิ่มประสิทธิผล (Leverage) คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่าบทบาทของไอทีคือการเพิ่มความคล่องตัวในระบบการปฎิบัติงานและเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร

พันธกิจเพิ่มขยาย (Expand) คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่า บทบาทของไอทีคือการการปรับปรุงการจัดการระบบงานธุรกิจอย่างครบวงจรและเพิ่มการประสานงานภายในองค์กร องค์กรมุ่งหวังให้ใช้ไอทีเพื่อ re-engineer องค์กร ทำให้องค์กรทำงานได้เร็วขึ้น คล่องตัวสูงขึ้น และพร้อมที่จะเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับองค์กร

พันธกิจการปฏิรูป (Transform) คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่าบทบาทของไอทีคือการนำไอทีโซลูชันเช่น CRM มาตอบโจทย์และเพิ่มคุณค่าให้กับธุรกิจนั้นๆ ด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและคู่ค้า

พันธกิจผู้บุกเบิก (Pioneer)
คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่าบทบาทของไอทีมีความสำคัญในการสร้างนวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์ ช่องทางการตลาด รวมถึงรูปแบบของธุรกิจเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร

จากผลการสำรวจ บริษัทที่มีผลประกอบการที่โดดเด่น คือบริษัทที่มีทีมผู้บริหารซีไอโอที่มุ่งเน้นพันธกิจทางด้านไอทีที่สอดคล้องกับธุรกิจ โดยองค์กรจะต้องระบุและสื่อสารอย่างชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่หรือ “พันธกิจ” ของผู้บริหารซีไอโอและทีมงาน ซึ่งพันธกิจที่แตกต่างกันตามความต้องการทางธุรกิจของแต่ละองค์กรนี้ สามารถใช้เป็นกลไกหลักสำหรับการพิจจารณาลงทุนด้านไอที การลงทุนด้านการพัฒนาทักษะที่บุคคลากรฝ่ายไอทีจำเป็นต้องแสวงหาและพัฒนาเพิ่มเติม

เกี่ยวกับผลการศึกษาซีไอโอประจำปี 2011
ผลการศึกษาซีไอโอประจำปี 2011 เป็นส่วนหนึ่งของผลการศึกษาเกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็ม (IBM C-Suite Study Series) ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยสถาบันเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBM Institute for Business Value) ผลการศึกษาซีไอโอทั่วโลก (Global CIO Study) ประจำปี 2011 ของไอบีเอ็มเป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวสำหรับผู้บริหารซีไอโอจากองค์กรทุกขนาดใน 71 ประเทศ และ 18 กลุ่มอุตสาหกรรม ภายใต้ชื่อ “The Essential CIO” โดยข้อมูลที่พบเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญมากขึ้นของซีไอโอในฐานะผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเติบโตให้กับธุรกิจ ผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของไอบีเอ็ม โดยบริษัทฯ เคยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้องค์กรต่างๆ เล็งเห็นถึงความจำเป็นของตำแหน่งซีไอโอในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 ซึ่งเป็นยุคเริ่มแรกของเทคโนโลยีระบบประมวลผลในเชิงธุรกิจ และยกระดับตำแหน่งดังกล่าวในช่วงหลายทศวรรษต่อมาเพื่อให้ซีไอโอมีบทบาทสำคัญในการประชุมของผู้บริหารระดับสูง

View :1547

ก.ไอซีที จับมือภาคเอกชนสร้างนักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพรองรับประชาคมอาเซียน

September 9th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในการแถลงข่าวเปิดโครงการสร้างนักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพ ว่า จากนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลจะดำเนินการนั้น ได้มุ่งหมายที่จะนำประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2558 โดยการสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และความมั่นคง

กระทรวงไอซีที จึงได้ผลักดันการดำเนินงานตามนโยบายนี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งพันธกิจหนึ่งของกระทรวงฯ ก็คือ การส่งเสริมให้ประเทศไทยมีบทบาทในภูมิภาคอาเซียนด้วยการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมไอซีทีของประเทศไทย แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก การพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของบุคลากรด้านไอทีของประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ เทคโนโลยีของโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา เป็นต้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้กับบุคลากรของประเทศ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับบุคลากรของประเทศอื่นๆ ได้

“จากการสำรวจมูลค่าตลาดไอซีทีปี 2553 ของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พบว่า มีมูลค่ากว่า 607,385 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะตลาดคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์นั้นมีมูลค่าเพียง 11.91% ของมูลค่าตลาดรวมหรือ 72,400 ล้านบาท จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นว่า ศักยภาพของบุคลากรไอซีทีไทยในการที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการนั้นยังมีอยู่มาก และพร้อมที่จะพัฒนาให้มากขึ้นไปอีกได้ ดังนั้น การพัฒนาทักษะระดับสูงของบุคลากรไอซีทีไทย ให้มีความเชี่ยวชาญในการสร้างแอพพลิเคชั่น โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต เพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน และตอบสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่กระทรวงฯ จะดำเนินการในรูปแบบ Public-Private Participation หรือ PPP ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ก็คือ ต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงไอซีที และภาคเอกชนที่มีขีดความสามารถในการพัฒนาบุคลากรด้านไอซีที” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

กระทรวงไอซีที จึงได้ร่วมมือกับ สถาบันพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขาซอฟต์แวร์ โดยมหาวิทยาลัยศรีปทุม , อุทยานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย (TCEP) และบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินโครงการสร้างนักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพ หรือ CAS Code Camp เพื่อพัฒนาบุคคลากรด้านซอฟต์แวร์ให้มีความเชี่ยวชาญด้านโปรแกรมบนอุปกรณ์มือถือ และสามารถใช้แนวคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมซอฟต์แวร์ใหม่ๆ โดยการจัดฝึกอบรม 6 หลักสูตร คือ หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา iPhone / iPad หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา Android หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา Microsoft Phone หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรม Game ด้วย Microsoft XNA หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมระดับองค์กรด้วย Microsoft Visual Studio และหลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรม Microsoft Share Point

“โครงการ CAS Code Camp นี้ จะเปิดฝึกอบรมพัฒนาทักษะความรู้ให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ จำนวน 6,000 คน ซึ่งผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่ผ่านหลักสูตรนี้จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานวิชาชีพจากกระทรวงไอซีที บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขาซอฟต์แวร์ โดยมหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งความรู้ที่ได้รับนี้จะสามารถใช้เป็นบันไดก้าวหนึ่งที่จะต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ประกอบการ SME ที่มีศักยภาพได้ และกระทรวงไอซีที คาดหวังว่า โครงการฯ นี้จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถของบุคคลากรด้านไอซีทีในประเทศไทยได้ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้การพัฒนาบุคลากรไอซีที เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคต” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

View :1697

เอชพี ขึ้นแท่นผู้นำตลาดระบบเครือข่ายทั่วโลก

September 9th, 2011 No comments

เอชพี ประกาศความสำเร็จครองแชมป์ผู้นำตลาด ส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดทั่วโลกและทุกๆ ภูมิภาคในทุกผลิตภัณฑ์ของระบบเครือข่าย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2554

รายงานฉบับล่าสุดของบริษัทวิเคราะห์ เดลล์’โอโร กรุ๊ป (Dell’Oro Group)(1) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ Networking มีการเติบโตรวดเร็วกว่าตลาดโดยรวม ทั้งยังมีส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นเหนือกว่าสภาวะการแข่งขันในตลาดโดยรวม

นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2554 เอชพีมีส่วนแบ่งด้านรายได้ในตลาดอุปกรณ์อีเทอร์เน็ต สวิตชิ่ง ทั้งประเภทเลเยอร์ 2 และเลเยอร์ 3 ทั่วโลกคิดเป็นร้อยละ 2.5 จุด ขณะที่ซิสโก้มีส่วนแบ่งด้านรายได้ลดลง 5.8 จุดในไตรมาสเดียวกันนี้

อชพีมีส่วนแบ่งรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เราเตอร์ร้อยละ 2.5 จุด และกลุ่มผลิตภัณฑ์แลนไร้สาย (WLAN) ร้อยละ 2.2 จุดในช่วงเวลาดังกล่าว(1) เทียบกับซิสโก้ที่มีส่วนแบ่งรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เราเตอร์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ WLAN ลดลงร้อยละ 3.1 จุด และ 0.4 จุดตามลำดับ

ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีของเอชพี จะช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้ระบบเครือข่ายแบบเปิดที่มีการใช้งานที่ง่าย และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมขององค์กรให้ก้าวสู่มิติใหม่ที่มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น การเติบโตของส่วนแบ่งการตลาดของเอชพีอย่างรวดเร็วนี้ สามารถสะท้อนให้เห็นว่าลูกค้ามีความมั่นใจในระบบผลิตภัณฑ์เครือข่าย HP Networking เป็นอย่างยิ่งนั่นเอง

เมื่อเร็วๆนี้ เอชพีได้เปิดตัวระบบสถาปัตยกรรม HP FlexNetwork ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบผนวกเพียงระบบเดียวในอุตสาหกรรมไอทีที่รองรับการทำงานของระบบศูนย์ข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ แคมปัส และสาขา เพื่อเร่งการเติบโตของตลาดระบบเครือข่าย ทั้งนี้ สถาปัตยกรรม HP FlexNetwork เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวก (HP Converged Infrastructure) โดยผนวกรวมคลังเครือข่ายทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการนำระเบียบวิธีต่างๆ (protocols) มาใช้บนอุปกรณ์เครือข่ายทุกประเภทเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งองค์กร

คุณศักดิ์ชัย ปัญญจเร ผู้อำนวยการ หน่วยธุรกิจ HP Networking เอชพี ประเทศไทย กล่าวว่า “ลูกค้ามีความต้องการอย่างเร่งด่วนในการปลดระวางระบบเครือข่ายที่ไม่ยืดหยุ่น มีความซับซ้อน และมีราคาแพง โดยความต้องการเหล่านี้ขององค์กรธุรกิจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้หน่วยธุรกิจ HP Networking มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลูกค้าทั่วโลกไว้วางใจให้เอชพีเป็นผู้พัฒนาระบบเครือข่าย เพราะสามารถบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้ง่ายขึ้นและมีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น มีความพร้อมและรองรับการปรับไปสู่ระบบคลาวด์คอมพิวติ้งและระบบคอมพิวติ้งอื่นๆ ที่มีความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี”

คุณสมบัติอันโดดเด่นอื่นๆ ของเอชพีตามที่ระบุไว้ในรายงานล่าสุดของเดลล์’ โอโร กรุ๊ป ประกอบด้วย

· ครองอันดับหนึ่งในตลาดอุปกรณ์สวิตช์ที่มีการจัดการอย่างชาญฉลาด โดยมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 34 ล้ำหน้าแบรนด์อันดับ 2 ร้อยละ 13 จุด(2)

· มีรายได้และหน่วยหุ้นในตลาดอุปกรณ์สวิตช์และเราเตอร์เป็นอันดับ 2 โดยอุปกรณ์สวิตช์มีส่วนแบ่งด้านรายได้ร้อยละ 12 และส่วนแบ่งหน่วยหุ้นร้อยละ 20.2 ขณะที่อุปกรณ์เราเตอร์มีส่วนแบ่งด้านรายได้ร้อยละ 5.5 และส่วนแบ่งหน่วยหุ้นร้อยละ 10.3 (1)

· มีส่วนแบ่งรายได้จากอุปกรณ์สวิตช์ต่อปีเทียบกับปีที่ผ่านมาในทุกภูมิภาค ดังนี้ : ร้อยละ 1 จุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ร้อยละ 2 จุดในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ร้อยละ 6 จุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และญี่ปุ่น และร้อยละ 4 จุดในภูมิภาคละตินอเมริกา (1)

· มีส่วนแบ่งด้านรายได้ในกลุ่มอุปกรณ์สวิตช์มากกว่าตลาดโดยรวมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และญี่ปุ่นในไตรมาสแรกของปี 2554 โดยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 จากร้อยละ 14.6 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และในภูมิภาคละตินอเมริกามีการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 จากร้อยละ 12.6 ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา (1)

· มีการเติบโตมากกว่าตลาดโดยรวมในกลุ่มอุปกรณ์สวิตช์ เราติ้ง และ WLAN ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ในไตรมาสแรกของปี 2552 (1)

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่น HP Networking สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.hp.com/networking

ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็นองค์กรแบบ Instant-On Enterprise ทั้งนี้ ในโลกที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง แนวคิดแบบ Instant-On Enterprise คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และประชาชนได้อย่างตรงจุดและโดยทันที

View :1495
Categories: Press/Release, Technology Tags:

เอชทีซี จับมือเอไอเอส ประกาศเปิดตัว HTC EVO 3D สมาร์ทโฟน 3 มิติ

September 9th, 2011 No comments

สัมผัสประสบการณ์ 3 มิติเต็มอารมณ์เหมือนตาเห็น โดยไม่ต้องใส่แว่นตาเอชทีซีทลายขีดจำกัดทางนวัตกรรมอีกครั้งด้วยสมาร์ทโฟน 3 มิติ ให้คุณถ่ายได้อารมณ์เหมือนที่คุณเห็น ดูแล้วให้อารมณ์เหมือนเวลาที่คุณถ่าย และวิวดูโดยไม่ต้องใช้แว่นตา บนหน้าจอ qHD 3 มิติ คุณภาพสูง

เอชทีซี คอร์ปอเรชั่น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมและการออกแบบมือถือ ร่วมกับเอไอเอส เปิดตัว ยกระดับประสบการณ์มัลติมีเดียอีกระดับ ด้วยการบันทึกภาพ 3 มิติ บนหน้าจอไฮเดฟสว่างสดใส และแบ่งปันบนโลกออนไลน์กับเพื่อนได้ด้วยความเร็วสูง ให้ผู้ใช้สัมผัสประสบการณ์ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่นตา มาพร้อมแพ็คเกจสุดคุ้มจากเอไอเอส ให้คุณเชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้รวดเร็วทุกที่ทุกเวลา

นายณัฐวัชร์ วรนพกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เอชทีซี (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า “เอชทีซี มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมมือกับเอไอเอสอีกครั้งในการเปิดตัว HTC EVO 3D ที่จะทำให้คุณบันทึกภาพถ่ายและวิดีโอได้เต็มอรรถรสเสมือนที่คุณเห็นด้วยตาคุณเองในช่วงเวลานั้น พร้อมรองรับเทคโนโลยีและแนวโน้มของวงการภาพยนตร์ที่จะมีหนัง 3 มิติเข้ามาฉายอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตเราจะมีบริการดาวน์โหลดภาพยนตร์ผ่านออนไลน์ ซึ่งเครือข่ายความเร็วสูง 3G จากเอไอเอสจะสามารถตอบรับไลฟสไตล์ของคนุร่นใหม่ได้อย่างลงตัว”

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความนิยมสมาร์ทโฟนในภาพรวมเติบโตเป็นอย่างมาก โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเติบโตถึงกว่า 100% ทั้งนี้ในส่วนของเอไอเอสเองก็มีการเติบโตของดาต้าที่มากกว่า 50% ทั้งจากการใช้สมาร์ทโฟน และ สมาร์ทดีไวส์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแอร์การ์ด หรือ แท็บเล็ต เช่นกัน ดังนั้น นโยบายของเราจึงเน้นที่การมอบบริการแบบ Total Solutions ทั้งการพัฒนาเครือข่ายอย่างไม่หยุดยั้ง ร่วมกับพาร์ตเนอร์นำดีไวส์ที่ดีที่สุด ตอบโจทย์สาวกในทุกระบบปฏิบัติการเข้ามา พร้อมด้วยแพ็คเกจคุ้มค่าและบริการหลังการขายเพื่อลูกค้าทั่วประเทศ”

“เราเป็นพาร์ทเนอร์กับเอชทีซีมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ความสำเร็จของการนำแอนดรอยด์โฟน เครื่องแรกเข้ามาในประเทศไทยรวมถึง เฟซบุ๊คโฟนในช่วงที่ผ่านมา จนกระทั่งวันนี้เป็นอีกครั้งของการร่วมเปิดประสบการณ์ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยกับ HTC EVO 3D สมาร์ทโฟน 3 มิติที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งเข้ามามอบให้แก่ลูกค้าเอไอเอส บนเครือข่ายคุณภาพ 3G, Wifi และ EDGE Plus พร้อมด้วยแพ็คเกจสุดคุ้มที่จะทำให้ลูกค้าใช้งานดาต้าและได้รับสีสันของประสบการณ์ 3 มิติ ได้อย่างสนุกสนาน ไร้ข้อจำกัด”

HTC EVO 3D มาพร้อมจิงเจอร์เบด Android 2.3 หน้าจอระดับ qHD 3 มิติ ขนาด 4.3 นิ้วรุ่นแรกจากเอชทีซี ซีพียูแรงด้วยสแนปดราก้อนดูอัลคอร์ 1.2 กิกะเฮิรตซ์จากควอคอมม์ กล้องคู่ 5 ล้านพิกเซล สำหรับการบันทึกภาพปกติ ภาพ 3 มิติ และวิดีโอ 3 มิติ เปิดมิติใหม่ในการสร้างคอนเท้นท์ และวิดีโอ เพื่อแบ่งปันบนโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างรวดเร็ว บนเครือข่ายความเร็วสูง 3G จากเอไอเอส

ปัจจุบันงาน 3 มิติ ได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งในงานภาพยนตร์และในห้องนั่งเล่นตามบ้าน ความสามารถในการสร้างงาน 3 มิติบนมือถือไร้สาย และดูวิดีโอ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่นตา จะช่วยเปลี่ยนวิถีของผู้ใช้งาน ในการใช้งานเครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ จากงานวิจัยของ เอ็นพีดี กรุ๊ป ซึ่งทำในเรื่องการมอนิเตอร์ภาพ 3 มิติ 360 องศา (ในเดือนกันยายน ปี 2553 ที่ผ่านมา) ผู้ใช้งานแสดงความสนใจเป็นอย่างมากในงานสร้างสื่อ 3 มิติส่วนตัว (โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 3 กล่าวว่า พวกเขาอยากถ่ายภาพ 3 มิติ)

เราสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์จาก HTC EVO 3D ในการถ่ายและเล่นวิดีโอ 3 มิติ ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น
 กลุ่มตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ สามารถสร้างและแบ่งปันภาพ 3 มิติ ในการชมบ้านตัวอย่าง ช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านที่อยู่ชานเมืองมีโอกาส “เดินชมบ้านตัวอย่าง” และสัมผัสประสบการณ์ใกล้เคียงของจริง ก่อนที่จะเข้ามาชมบ้านจริง
 การสร้างแผนที่ 3 มิติ จะช่วยสร้างระบบนำทางใหม่ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติอันน่าตื่นเต้น นักเดินทางจะได้เห็นสภาพภูมิประเทศทางอากาศ ไม่วาจะล่องเรือ หรือขึ้นภูเขาในขณะที่อยู่ในที่ทุรกันดาร
 เมื่อเรากลับมาดูภาพถ่ายตอนไปเที่ยว ภาพ 3 มิติจะทำให้เรารำลึกถึงความน่าตื่นเต้นเมื่อตอนลาพักร้อน ประหนึ่งว่าได้กลับไปยืน ณ จุดนั้น อีกครั้ง
จากความสามารถในการบันทึกวิดีโอระดับไฮเดฟ 3 มิติ และ HTC Sense เวอร์ชั่นล่าสุด HTC EVO 3D ช่วยให้คุณบันทึกภาพและวิดีโอ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านผ่านเทคโนโลยีไร้สาย DLNA เพื่อให้คุณแบ่งปันสิ่งต่างๆ ผ่านทีวีระบบไฮเดฟ จอมินเตอร์ กล้องดิจิตอล พรินเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสายเคเบิล HDMI เพื่อแบ่งปันวิดีโอ 3 มิติผ่านทีวีระบบ 3 มิติได้อีกด้วย
คุณสมบัติอื่นๆ ของ HTC EVO 3D:
 กล้องหน้าสำหรับการทำวิดีโอแชท 1.3 ล้านพิกเซล
 เป็น 3G ฮ็อตสปอต และรองรับเครื่องเชื่อมต่อผ่านไวไฟได้สูงสุด 8 เครื่องพร้อมกัน
 แอนดรอยด์มาร์เก็ต ที่มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกดาวน์โหลดมากกว่า 200,00 แอพพลิเคชัน ทั้งวิดเจ็ต และเกมส์ ให้เลือกสรรตามใจชอบ
 กูเกิลโมบายเซอร์วิส เช่น Google Search™, Gmail™, Google Maps™, Google Calendar, Voice Actions และ YouTube™
 รองรับอีเมล์องค์กร (Microsoft Exchange ActiveSync®) อีเมล์ส่วนตัว (POP และ IMAP) และข้อความด่วน
 หน่วยความจำ 1 กิกะไบต์ / 1 กิกะไบต์ แรม
 สล็อตหน่วยความจำ ไมโครเอสดี (สูงสุด 32 กิกะไบต์)
 Wi-Fi – 802.11 b/g/n
 หูฟังสเตอริโอบลูทูธ
 ติดตั้งจีพีเอสภายใน
 แบตเตอรี่ลิเธียมไออน 1730 แอมป์

แพ็คเกจครบเครื่องเรื่องเอนเทอร์เทนเม้นต์
ชุดแพ็คเกจของ HTC EVO 3D มาพร้อมกับเอนเทอร์เทนเม้นต์มัลติมีเดียครบชุด ทำให้คุณพักผ่อนได้ยาวนาน สำหรับผู้ซื้อ 2000 ท่านแรก ในชุดจะมาพร้อมกับหนังแอ็คชั่นจากบล็อคบาสเตอร์ อย่าง Green Hornet 3D เกมส์ติดชาร์ทอันดับอย่าง Spider-Man, Need for Speed™ SHIFT และ The Sims™3

กำหนดการวางจำหน่าย
HTC EVO 3D วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่เอไอเอส ช็อป เทเลวิซ และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย สนนราคา 19,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พิเศษเฉพาะลูกค้าเอไอเอส ใช้ฟรี 3G/EDGE+ 1 กิกะไบต์ ต่อเดือน เมื่อสมัครแพ็คเสริมราคาพิเศษเพียงเดือนละ 199 บาท นาน 8 เดือน เพียงใช้ HTC EVO 3D โทรสมัครแพ็คเสริมได้ที่เบอร์ *212337 วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2554

View :1991

งานประชุมวิชาการและนิทรรศการประจำปี (NECTEC-ACE 2011) ภายใตัหัวข้อ IT in Thailand: NECTEC “25 Years and Beyond”

September 9th, 2011 No comments

เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันสถาปนา ๒๕ ปี ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค จึงได้จัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการประจำปี ) ภายใตัหัวข้อ IT in Thailand: NECTEC “25 Years and Beyond” ในระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมวิชาการและนิทรรศการ ได้รับทราบความก้าวหน้าจากการเสนอผลงานการวิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ในสาขาต่างๆ ตลอดจนเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ระหว่างนักวิชาการในภาค รัฐ และเอกชน ตลอดจนบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากทั่วประเทศ จะได้แลกเปลี่ยนความ เห็นและประสบการณ์กับนักวิจัยที่มีชื่อเสียงในระดับชาติและนานาชาติ

ภายในงาน ยังมีการจัดนิทรรศการ การบรรยาย การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ และ การจัดประชุมวิขาการที่น่าสนใจอีกหลายหัวข้อ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ประกาศความพร้อมจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ โชว์ศักยภาพผลงานวิจัยเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อต่อยอดสู่อนาคต ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทคเนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๕ ปี หรือ NECTEC-ACE 2011 ภายใต้หัวข้อ IT in Thailand: NECTEC “25 Years and Beyond” โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว

จุดเด่นของงานในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย การจัดแสดงนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผลงานวิจัยของเนคเทคที่ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจำนวนมาก อาทิ Smart Health, Smart Farm, Digitize Thailand, และ Smart Service ตลอดจนการประชุมวิขาการ การสัมมนา และสัมมนาเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่างๆ อาทิ อนาคตของอินเทอร์เน็ตและบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของประชาชน (Internet of the Things: The Future of Internet) เป็นต้น

“ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองปัญหาเร่งด่วนของประเทศและสร้างองค์ความรู้เพื่อเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศในระยะยาว สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลากรในระดับต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นพื้นฐานอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

โดยในปี ๒๕๕๔ นี้เป็นปีที่เนคเทคก่อตั้งมาครบ ๒๕ ปีแล้ว เนคเทคจึงได้กำหนดจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการงานได้มีโอกาสรับทราบความก้าวหน้าจากการเสนอผลงานการวิจัย พัฒนาทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ในสาขาต่างๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนระดมความคิดเห็นและประสบการณ์ ระหว่างนักวิชาการในภาครัฐและเอกชนอันจะนำไปสู่แนวทางการวิจัย และเปิดโอกาสให้บุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากทั่วประเทศได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กับนักวิจัย ที่มีชื่อเสียงในระดับชาติและนานาชาติ ซึ่งเนคเทคได้รับเกียรติอย่างสูงจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี มาเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในโอกาสนี้ด้วย.” ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอีเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าว

สำหรับกิจกรรมสัมมนาและการบรรยาย มีหัวข้อที่น่าสนใจอาทิ รูปแบบใหม่ในการปฏิวัติการบริการสาธารณสุขของประเทศไทย และตัวอย่างความสำเร็จของ e-Health ที่ส่งตรงถึงผู้บริโภค, การปรับตัวของประเทศเกษตรกรรมในยุคของเศรษฐกิจฐานบริการด้วย Service Research Innovation, และการจัดการพลังงานด้วยโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติในการก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลและการดำรงรักษาเอกลักษณ์ไทยในศตวรรษที่ ๒๑ และงานเสวนาต่างๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการที่น่าสนใจ อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โครงการไอทีตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ผลงานการวิจัยพัฒนาทั้งด้านนโยบาย เทคโนโลยี และการต่อยอดงานบริการเชิงธุรกิจของเนคเทค ตั้งแต่ยุคเริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน รวมถึงแสดงผลงานของหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกด้วย

“นอกเหนือจากหัวข้องานประชุมวิชาการที่เข้มข้นและนิทรรศการที่แสดงถึงเส้นทางการวิจัยและพัฒนาของเนคเทคที่มีมาตลอดระยะเวลา ๒๕ แล้ว ไฮไลน์สำคัญงานก็ยังมีการเปิดตัว NECTEC Mobile Application จำนวน ๓๐ผลงาน ซึ่งเป็นการนำเอาองค์ความรู้ของนักวิจัยเนคเทคมาพัฒนาเป็น Application เพื่อให้สังคมไทยนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ” ดร.กว้าน สีตะธนี รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอีเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าว

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nectec.or.th หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ NECTEC Call Center โทร. ๐๒-๕๒๔๙๒๐๐

View :2063
Categories: Seminar Tags:

ก.ไอซีที ระดมความคิดเห็นสร้างบริการภาครัฐยุคใหม่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

September 9th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนา หัวข้อ “ทางเลือกรูปแบบธุรกิจโทรคมนาคม” ว่า เป็นโครงการที่มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเร่งรัดการขยายและยกระดับโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ครอบคลุมและเพียงพอต่อการใช้บริการ และให้บริการด้วยคุณภาพที่เป็นมาตรฐาน ส่งเสริมการแข่งขันที่เท่าเทียมและเป็นธรรม รวมทั้งประชาชนสามารถเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยราคาที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่สังคมแห่งความรู้ ภูมิปัญญา นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบท สนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสาร ยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศ ตลอดจนลดการลงทุน ที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

เพื่อให้การดำเนินโครงการ SMART THAILAND บรรลุเป้าหมายที่ต้องการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 80 ใน ปี พ.ศ. 2558 และให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 95 ในปี พ.ศ.2563 ด้วยอัตราค่าบริการที่เหมาะสม และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมภาคเอกชนสามารถใช้โครงข่ายร่วมกันอย่างเต็มประสิทธิภาพและเป็นธรรม รวมทั้งภาครัฐดำเนินการลงทุนโครงข่ายในส่วนที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนและจัดหาบริการภาครัฐเพื่อให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง จึงจำเป็นต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนนโยบาย SMART THAILAND ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

“ในหลายๆ ประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือ ออสเตรเลีย ที่ให้ความสำคัญการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และได้มีการผลักดันนโยบายบรอดแบนด์เป็นวาระแห่งชาติเช่นเดียวกับประเทศไทย ก็ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานในลักษณะดังกล่าวขึ้น โดยเรียกว่า National Broadband Network Company หรือ NBNCo ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้จัดการประชุมสัมมนา Smart Thailand หัวข้อ “ทางเลือกรูปแบบธุรกิจโทรคมนาคม” ครั้งนี้ขึ้น เพื่อนำเสนอทางเลือกในการจัดตั้งและรูปแบบการดำเนินงานของหน่วยงานที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบาย SMART THAILAND ในด้านการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาจัดทำแผนแม่บทของการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ให้บรรลุเป้าหมายในการที่จะให้ประเทศไทยเป็น SMART THAILAND” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

การสัมมนาฯ ครั้งนี้ ได้มีการเชิญผู้บริหาร นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ จากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วมในการสัมมนากว่า 100 คน เพื่อรับทราบถึงแนวทางในการพัฒนาโครงข่ายและจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในต่างประเทศ โดยกระทรวงฯ จะมีการนำเสนอแนวทางในการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประเทศไทย และทางเลือกในการจัดตั้งหน่วยงานที่จะขึ้นมาดูแลโครงข่ายฯ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อแนวทางในการดำเนินโครงการฯ พร้อมกันนี้ ยังเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นและร่วมอภิปรายแนวคิดดังกล่าว เพื่อนำไปพัฒนาแผนแม่บทในการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประเทศไทยด้วย

“ในการดำเนินโครงการ SMART THAILAND นี้ กระทรวงฯ ได้มุ่งเน้นไปที่การขยายโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงไปให้ถึงในทุกตำบลของประเทศไทยที่ปัจจุบันยังไม่มีโครงข่ายเข้าถึง เพื่อให้ชุมชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานราชการสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่เป็นเจ้าของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้ใช้งาน และองค์กรภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายและการกำกับดูแล จึงจะสามารถทำให้โครงการฯ นี้ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

View :1567

ทรู 006 เดินสายเชิญลูกค้าทดลองใช้ฟรี

September 9th, 2011 No comments

พิสูจน์คุณภาพบริการโทรทางไกลต่างประเทศระดับพรีเมี่ยม ได้แล้ววันนี้ โทรถึงกันทั่วโลก คมชัด ประหยัดจริง เริ่มต้นเพียงนาทีละ 3 บาท

เดินสายเชิญชวนลูกค้าทรูมูฟ ทรูมูฟ เอช และโทรศัพท์บ้านทรูทดลองใช้บริการทรู 006 บริการโทรทางไกลต่างประเทศคุณภาพพรีเมี่ยม ทดลองโทรฟรีได้ทั่วโลก! ตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจ, เจ้าของกิจการ และลูกค้าทั่วไปที่มีความจำเป็นในการติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว โดยจัดบูธให้ทดลองใช้บริการ 006 ฟรี ในย่านคอมมูนิตี้ มอลล์ และงาน SME Expo สามารถสัมผัสคุณภาพระดับมาตรฐานสากล ด้วยเทคโนโลยี Time Division Multiplexing (TDM) โทรทั่วโลกเสียงคมชัด ต่อติดง่าย สายไม่หลุด ไม่ดีเลย์ พิสูจน์คุณภาพ ด้วยตัวเองได้แล้ว ดังนี้

· วันที่ 10 -11 กันยายน เจ อเวนิว ทองหล่อ

· วันที่ 17 -18 กันยายน เดอะ เซอร์เคิล ราชพฤกษ์

· วันที่ 22 -25 กันยายน งาน SME Thailand (บูธ H11)

· วันที่ 1 – 2 ตุลาคม เดอะ คริสตัลพาร์ค ลาดพร้าว

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ทรู 006 ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการออกเดินสายให้ลูกค้าได้ทดลองใช้บริการฟรีในย่านออฟฟิศทั่วกรุง โดยมีการทดลองใช้งานมากกว่า 1,000 ครั้ง โดยประเทศที่นิยมโทรไปได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง อเมริกา และอังกฤษ ซึ่งผู้ที่ได้ทดลองใช้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต่อติดเร็ว และเสียงคมชัด

ลูกค้าทรูมูฟ ทรูมูฟ เอช และโทรศัพท์บ้านทรู โทรต่างประเทศทั้งเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เพียงกด 006 ก็ติดต่อถึงกันทั่วโลกได้เต็มที่กับโปรโมชั่นค่าโทรทางไกลสุดคุ้ม ประหยัดจริง เริ่มต้นเพียงนาทีละ 3 บาท ตลอด 24 ชั่วโมง สู่ปลายทางยอดนิยม เช่น อเมริกา แคนาดา จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ บรูไน กวม อลาสกา และฮาวาย รวมทั้งค่าโทรสุดคุ้มอีกกว่า 230 ปลายทางทั่วโลก สอบถามอัตราค่าโทรได้ง่ายๆ ผ่านมือถือทรูมูฟ ฟรี! แค่กด *006* รหัสประเทศ# แล้วโทรออก

ลูกค้าที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทรู คอลเซ็นเตอร์ 02 900 9000 กด 006, ทรูมูฟ แคร์ 1331, www.true006.com, และร้านทรูช็อป ทั่วประเทศ

View :1814
Categories: Press/Release Tags: