Archive

Author Archive

แอลจีเปิดตัวจอมอนิเตอร์แอลจี IPS235V ที่ให้สีสมจริง

March 13th, 2012 No comments

สุดยอดเทคโนโลยีจอมอนิเตอร์ ให้ภาพคมชัด สีสันสวยสมจริง พร้อมมุมมองการรับชมที่กว้างกว่า

บริษัทแอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เปิดตัวจอมอนิเตอร์แอลจี IPS235V ที่ให้สีสมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมหน้าจอที่ให้ความสว่างสูงสุด และมุมมองการรับชมภาพที่กว้างกว่า โดยเทคโนโลยี IPS ของแอลจีได้รับรางวัลชนะเลิศในสาขาจอมอนิเตอร์สำหรับงานภาพถ่าย จาก TIPA Award 2011 (สมาพันธ์สื่อมวลชนด้านการถ่ายภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก)

แอลจี IPS235V


ด้วยเทคโนโลยีการเทียบมาตรฐานสี (Expert Color Calibration) ของจอมอนิเตอร์แอลจี IPS235V จึงแสดงภาพที่คมชัด สีสันสวยสดใสสมจริงดุจต้นแบบ เหมาะสำหรับลูกค้าองค์กรหรือช่างภาพมืออาชีพ

แอลจี IPS235V มีฟังก์ชั่นการปรับค่าสีที่ถูกต้องแม่นยำ (Expertly Tuned Color Accuracy) ด้วยการนำเทคโนโลยี IPS มาใช้แทน TN (twisted nematic) และยังมีฟังก์ชั่นการคงอุณหภูมิสีที่สม่ำเสมอ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หรืออยู่ในช่วง 6,500K (Kelvin) ซึ่งช่วยให้โทนสีของภาพคงที่ สีของภาพที่แสดงบนหน้าจอจึงไม่ผิดเพี้ยน และได้สีที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด ผู้ใช้จึงมองเห็นภาพที่มีสีเหมือนจริง โดยคุณสมบัติในการแสดงภาพที่เที่ยงตรงนี้ได้รับการรับรองจากรายงานด้านการเทียบมาตรฐานสีโดยผู้เชี่ยวชาญ แอลจี IPS235V จึงเป็นหนึ่งในมอนิเตอร์ระดับพรีเมียมเพียงไม่กี่รุ่นในตลาดที่กล้ารับรองคุณภาพในการให้สีสันดุจภาพต้นแบบ

ด้วยการนำเทคโนโลยี IPS และ LED มาใช้ร่วมกันอย่างชาญฉลาดนี้ แอลจี IPS235V สามารถแสดงภาพคุณภาพระดับสูงได้โดยปราศจากปัญหาสีผิดเพี้ยน ทั้งยังสามารถรับชมได้ทุกมุมมองโดยค่าสีไม่เปลี่ยนแปลง

แอลจี IPS235V มีระบบ Dual Package สามารถเชื่อมต่อเพื่อแสดงผลบนสองหน้าจอได้อย่างง่ายดาย เพียงคลิกเพื่อให้แสดงแถบการทำงานบนหน้าจอทั้งสอง พร้อมเทคโนโลยี Super Energy Saving ช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

IPS235V วางจำหน่ายแล้วในราคา 5,890 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลแอลจี โทร 02-878-5757 หรือ เข้าชมได้ที่ www.lg.com/th

คุณสมบัติของ LG IPS235V Monitor:
ขนาดจอภาพ 23 นิ้ว
ระดับความเข้มของสี 16.7M
อัตราส่วนภาพ 16:9
ความละเอียด 1920 x 1080
ความสว่าง 250cd/m2
อัตราคอนทราสต์ 5,000,000:1
เวลาในการตอบสนอง GTG: 14ms / GTG (σ): 5ms

View :1779

ไอบีเอ็มเผยผลสำรวจผู้บริหารฝ่ายการตลาดในอาเซียน 60 เปอร์เซ็นต์ ไม่พร้อมรับมือกับการทำตลาดในยุคดิจิตอล

March 12th, 2012 No comments

ไอบีเอ็ม เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายการตลาด กว่า 1,700 คนจาก 64 ประเทศใน 19 กลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงผู้บริหารการตลาด 70 คนจากอาเซียน พบว่าส่วนใหญ่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเรื่องของการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า แต่ยังไม่มีความพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และยอมรับว่า ไม่สามารถเข้าถึงการแสดงความเห็นแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับแบรนด์ได้อย่างเพียงพอ โดยยังคงมุ่งเน้นการศึกษาตลาดในวิธีเดิม แทนที่จะทำเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้าเพื่อกำหนดกลยุทธ์ และยังประสบปัญหาในการยืนยันเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนด้านการตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดความพร้อม ผู้บริหารฝ่ายการตลาดระบุถึงส่วนที่จะต้องปรับปรุงใน 3 เรื่องหลักๆ ได้แก่ การให้ความสำคัญกับลูกค้าซึ่งมีอำนาจต่อรองมากขึ้น การส่งเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว และการตรวจวัดคุณประโยชน์และผลลัพธ์การดำเนินงาน

ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายการตลาดทั่วโลก (Global Chief Marketing Officer Study) ประจำปี 2011 ดำเนินการโดยไอบีเอ็ม ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันการศึกษาคุณค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม ( Institute for Business Value) ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน 2011 ไอบีเอ็มได้สัมภาษณ์ผู้บริหารฝ่ายการตลาดจำนวน 1,734 คนใน 19 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 64 ประเทศ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายและปัญหาท้าทายที่บริษัทเหล่านี้ต้องเผชิญ โดยผู้ตอบแบบสอบถามมาจากองค์กรที่หลากหลาย ครอบคลุมแบรนด์ชั้นนำ 48 แบรนด์จาก 100 อันดับแบรนด์สูงสุดจากการจัดอันดับของอินเตอร์แบรนด์ประจำปี 2010 ไปจนถึงองค์กรชั้นนำในระดับท้องถิ่น

ทุกวันนี้ ลูกค้ามักจะแบ่งปันประสบการณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ส่งผลให้ลูกค้ามีอำนาจควบคุมและมีอิทธิพลต่อแบรนด์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ขณะที่จุดศูนย์กลางของอำนาจเปลี่ยนจากองค์กรไปสู่ลูกค้า ทำให้บริษัทต่างๆ จำเป็นที่จะต้องปรับใช้แนวทางใหม่ๆ ด้านการตลาด รวมไปถึงเครื่องมือและทักษะต่างๆ เพื่อรักษาขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ผู้บริหารฝ่ายการตลาดตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่กลับประสบปัญหาในการรับมือกับสถานการณ์

นางอรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า “จุดเปลี่ยนที่เป็นผลมาจากความแพร่หลายของโซเชียลมีเดียก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำตลาด โดยเฉพาะในส่วนของงานด้านลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ราว 90 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่สร้างขึ้นในปัจจุบันเป็นข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง ผู้บริหารฝ่ายการตลาดที่ใช้แหล่งข้อมูลเชิงลึกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถเพิ่มรายได้ ปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้า และสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ได้อย่างแท้จริง”

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงปัญหาท้าทาย 4 ประการ ซึ่งผู้บริหารฝ่ายการตลาดจะต้องเผชิญ และก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางสำหรับฝ่ายการตลาดในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าคือ 1. การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของข้อมูล 2. โซเชียลมีเดีย 3. การเลือกช่องทางและอุปกรณ์ และ 4. ความเปลี่ยนแปลงในแง่ประชากรศาสตร์

เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดความพร้อม ผู้บริหารฝ่ายการตลาดระบุถึงส่วนที่จะต้องปรับปรุงใน 3 เรื่องหลักๆ ได้แก่ การให้ความสำคัญกับลูกค้าซึ่งมีอำนาจต่อรองมากขึ้น การส่งเสริมความสัมพันธ์ในระยะยาว และการตรวจวัดคุณประโยชน์และผลลัพธ์การดำเนินงาน

การให้ความสำคัญกับลูกค้าซึ่งมีอำนาจต่อรองมากขึ้น
เหตุผลประการหนึ่งที่องค์กรส่วนใหญ่ประสบปัญหาในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นก็คือ องค์กรยังคงมุ่งเน้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาด แทนที่จะพยายามเข้าใจตัวบุคคล แม้ว่าผู้บริหารฝ่ายการตลาดจะระบุว่าความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าคือสิ่งสำคัญสูงสุด และตระหนักว่าข้อมูลแบบเรียลไทม์จะช่วยเสริมสร้างวิธีการแบบเดิมๆ ในการทำตลาดและการรวบรวมข้อมูลการตอบรับจากตลาด แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่กล่าวว่าตนเองยังคงพึ่งพาแนวทางแบบเก่าที่ใช้กันในศตวรรษที่ 20

ผู้บริหารฝ่ายการตลาดส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถามยังคงมุ่งเน้นแหล่งข้อมูลแบบเดิมๆ เป็นหลัก เช่น การวิจัยตลาด ข้อมูลเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และการวิเคราะห์แคมเปญด้านการขาย เพื่อทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ แน่นอนว่าแหล่งข้อมูลแบบเดิมๆ มีความสำคัญ แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีข้อเสียประการหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือ ข้อมูลนี้แสดงถึงลักษณะของลูกค้าโดยรวม โดยแทบไม่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการหรือความจำเป็นของลูกค้าเลยแม้แต่น้อย

มีผู้บริหารฝ่ายการตลาดเพียงไม่กี่คนที่ใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูลดิจิตอลได้อย่างเต็มศักยภาพ แม้ว่าเกือบ 3 ใน 4 ของผู้บริหารฝ่ายการตลาด ใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Customer Analytics) เพื่อกลั่นกรองข้อมูล แต่มีผู้บริหารฝ่ายการตลาดเพียง 29 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ตรวจสอบติดตามบล็อกต่างๆ ขณะที่ 41 เปอร์เซ็นต์ ตรวจสอบคำวิจารณ์ของบุคคลที่สาม และ 46 เปอร์เซ็นต์ ตรวจสอบคำวิจารณ์ของลูกค้า เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ด้านการตลาด ทั้งนี้เพราะเครื่องมือ กระบวนการ และดัชนีชี้วัดที่ใช้อยู่ไม่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมเพื่อรวบรวมและประเมินข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

การที่ลูกค้าทุกกลุ่มปรับใช้โซเชียลมีเดียกันอย่างจริงจังและกว้างขวางย่อมหมายถึงโอกาสสำหรับนักการตลาดในการเพิ่มยอดรายได้ ขยายมูลค่าของแบรนด์ และปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับผู้ซื้อ นักการตลาดที่สามารถกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดียได้อย่างเหมาะสมจะมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการคาดการณ์และรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีในอนาคต

การส่งเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว

ผู้บริหารฝ่ายการตลาดที่ดำเนินการอย่างจริงจังจะสามารถกระชับความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับลูกค้าหลังการขาย พร้อมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ด้วยการสร้างคุณลักษณะขององค์กรผ่านการกระทำและคำพูดของพนักงาน 83 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารฝ่ายการตลาดในอาเซียน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าผู้บริหารทั่วโลก เล็งเห็นกว่าการเสริมสร้างความภักดีและการสนับสนุนของลูกค้าคือภารกิจสำคัญสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิตอล

แม้ว่าจะเป็นภารกิจสำคัญ แต่ผู้บริหารฝ่ายการตลาดส่วนใหญ่ยังคงมุ่งเน้นที่ธุรกรรมเป็นหลัก แทนที่จะสนใจข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการสร้างสัมพันธ์ในระยะยาวกับลูกค้า ผู้บริหารฝ่ายการตลาดในอาเซียน 70 เปอร์เซ็นต์ ใช้ข้อมูลเพื่อแบ่งเซกเมนต์และเสนอขายสินค้า/บริการเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อโปรโมตแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก กระตุ้นความสนใจ และเสริมสร้างความภักดีและการสนับสนุนของลูกค้า

การตรวจวัดคุณประโยชน์และผลลัพธ์การดำเนินการ
ในอดีต ผู้บริหารฝ่ายการตลาดส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องจัดหาข้อมูลด้านการเงินที่หนักแน่นและชัดเจนเพื่อยืนยันถึงผลตอบแทนการลงทุน แต่เนื่องจากความผันผวนทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับแรงกดดันในการสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจ องค์กรต่างๆ จึงไม่สามารถใช้งบประมาณด้านการตลาดอย่างสิ้นเปลืองอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดจึงต้องประเมินให้ได้ว่ากิจกรรมด้านการตลาดช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจได้มากน้อยเพียงใด ทั้งในส่วนของการลงทุนในด้านโฆษณา เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือกิจกรรมอื่นๆ

ที่จริงแล้ว 59 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารฝ่ายการตลาด เชื่อว่าผลตอบแทนจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดคือดัชนีที่สำคัญที่สุดในการชี้วัดความสำเร็จของฝ่ายการตลาดภายในปี 2015 แต่ผู้บริหารบางส่วน รู้สึกว่าตนเองยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนด้านการตลาด อย่างไรก็ดี ผู้บริหารฝ่ายการตลาดในอาเซียน ดูเหมือนว่าจะมีความพร้อมมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้บริหารทั่วโลก ดัชนีที่สำคัญอื่นๆ สำหรับการชี้วัดความสำเร็จด้านการตลาดได้แก่ ประสบการณ์ในแง่บวกของลูกค้า ความสามารถในการโน้มน้าวและดึงดูดลูกค้ารายใหม่ๆ และยอดขายโดยรวม

หากผู้บริหารฝ่ายการตลาดรับผิดชอบเรื่องผลตอบแทนด้านการตลาด ก็จะมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นต่อปัจจัย 4 พี (“Four Ps”) ซึ่งได้แก่ โปรโมชั่น (Promotion), ผลิตภัณฑ์ (Product), สถานที่ (Place) และราคา (Price) แต่ผลการศึกษาชี้ว่าในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ผู้บริหารฝ่ายการตลาดกล่าวว่าตนเองมีอิทธิพลอย่างมากต่อกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น โฆษณา การสื่อสารภายนอกองค์กร และโครงการริเริ่มเกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย แต่โดยรวมแล้ว ผู้บริหารเหล่านี้มีบทบาทน้อยกว่าในการจัดการอีก 3 พี นั่นคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา และการคัดเลือกช่องทางจัดจำหน่าย

# # #

หากต้องการดูผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายการตลาดทั่วโลกประจำปี 2011 คลิกไปที่ http://ibm.com/cmostudy

หากต้องการร่วมสนทนาเกี่ยวกับผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายการตลาดทั่วโลกประจำปี 2011 ติดตาม @IBMIBV, #IBMCMOStudy และ #cmosg บน Twitter หรือเข้าร่วมกับเราบน LinkedIn

หมายเหตุสำหรับสื่อมวลชนและบล็อกเกอร์: หากต้องการดูและดาวน์โหลดวิดีโอและภาพกราฟิกข้อมูลเกี่ยวกับผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายการตลาดทั่วโลกประจำปี 2011 คลิกไปที่ http://www.thenewsmarket.com/ibm ภาพและวิดีโอทั้งหมดที่จัดหาให้มีความละเอียดและคุณภาพสตรีมมิ่งในระดับมาตรฐาน

View :1472

ฟูจิตสึจัดหนักหั่นราคาโน้ตบุ๊กหมื่นต้นๆ พร้อมอัดโปรโมชั่นผ่อน0%ในงานคอมมาร์ต

March 12th, 2012 No comments

บริษัท พีซี เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ระดมโน้ตบุ๊กฟูจิตสึมาลดราคา กับโปรโมชั่นใหญ่แบบเต็มพิกัดผ่อน 0% นาน 10 เดือน พร้อมโน้ตบุ๊กฟูจิตสึรุ่นใหม่ล่าสุดกับราคาพิเศษ ในงาน Commart Thailand 2012 Summer Sale ระหว่างวันที่ 22-25 มีนาคม ที่บูธฟูจิตสึ P16 Plenary Hall ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายยุน เซ็ง อึง รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ บจก.ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิค เปิดเผยว่าฟูจิตสึ ได้เตรียมโน้ตบุ๊กฟูจิตสึหลากหลายรุ่น ทั้งโน้ตบุ๊กที่เน้นดีไซน์ หรือโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงครอบคลุมการทำงานทั้งแบบธุรกิจและแบบที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ส่วนตัวได้ นำมาลดราคาพิเศษในงาน Commart Thailand 2012 Summer Sale โดยร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งจัดโปรโมชั่นผ่อนโน้ตบุ๊ก 0% นานถึง 10 เดือน

สำหรับไฮไลท์ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กฟูจิตสึที่ร่วมงานครั้งนี้อยู่ที่ ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก LH531-Vi3 โน้ตบุ๊กคู่กายเหมาะสำหรับผู้ที่มองหาโน้ตบุ๊กเครื่องแรก หรือนักเรียนนักศึกษาที่มองหาความคุ้มค่าคุ้มราคาที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ พร้อมมอบประสบการณ์ความบันเทิงระดับ HD ที่เหนือคำบรรยาย และการแสดงผลด้านกราฟฟิกอัจฉริยะ ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก LH531-Vi3 ใช้โปรเซสเซอร์ 2nd Gen Intel® Core™ i3-2350M แรม 4GB และฮาร์ดดิสก์ความจุถึง 640GB VGA การ์ดจอแยก หน้าจอ 14 นิ้ว ราคาพิเศษในงาน 15,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %) จำนวนจำกัดเพียง 100 เครื่องต่อวันเท่านั้น และอีกรุ่นคือ ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก LH531-Vi5 ใช้โปรเซสเซอร์ 2nd Gen Intel® Core™ i5 -2450M แรม 4GB และฮาร์ดดิสก์ความจุถึง 750GB VGA การ์ดจอแยก หน้าจอ 14 นิ้ว ราคาพิเศษในงาน 19,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %) โดยทั้ง ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก LH531-Vi3 และ ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก LH531-Vi5 มาพร้อมกับโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 6 เดือน (ตามเงื่อนไขของธนาคารและตัวแทนจำหน่าย) มีให้เลือก 3 สี คือ สีชมพู สีแดง และสีดำ พร้อมรับประกัน 2 ปี และทั้ง 2 รุ่นแถมฟรีกระเป๋า Fujitsu Carry Case

นอกจากนี้ ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก NH751 โน้ตบุ๊กทรงพลังที่ออกแบบสำหรับคอเกมส์โดยเฉพาะ ยังถือเป็นรุ่นไฮไลต์ในการจัดโปรโมชั่นช็อกวงการ ด้วยราคาพิเศษเมื่อซื้อภายในงาน รับส่วนลดทันที 10,000 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี รวมทั้งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 10 เดือน และยังรับฟรี Belkin 6 way Superior Surge Protector และ Belkin Laptop Case รวมมูลค่ากว่า 5,000 บาท

สำหรับผู้บริหารที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กระดับโปรตัวใหม่ นายยุน เซ็ง อึง เผยว่า บริษัทฯ เตรียมโน๊ตบุ๊กพรี่เมี่ยม Made In Japan ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก SH771 โน้ตบุ๊กดีไซน์ใหม่ล่าสุดจากฟูจิตสึ ที่ครบครันไปด้วยประสิทธิภาพการทำงาน เหมาะสำหรับผู้บริหารที่ต้องการโน้ตบุ๊กแบบพกพา ด้วยน้ำหนักเครื่องเพียง 1.22 กิโลกรัม (ไม่รวมแบเตอรี่) หน้าจอ 13.3 นิ้ว และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานถึง 13.7 ชั่วโมง (ในโหมดการใช้งานปกติ) ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก SH771 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ 2nd Gen Intel® Core™ i7 – 2640M แรม 8GB และฮาร์ดดิสก์ความจุ 750GB ตัวเครื่องสีดำ ทำจากแมกนีเซียม อัลลอยที่เบาและคงทน และยังเน้นถึงเรื่องความปลอดภัย ด้วยระบบเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ ราคาพิเศษในงาน 79,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %) พร้อม รับประกัน 3 ปี กับโปรโมชั่นผ่อน 0%นาน 10 เดือน และรับฟรี Fujitsu Carry Case, Fujitsu Optical Mouse, Fujitsu Backpack และ Microsoft Office Home&Business 2010

“โน้ตบุ๊กของฟูจิตสึ มุ่งเน้นที่คุณภาพของสินค้าด้วยรูปแบบดีไซน์ที่ออกแบบมาให้ดูทันสมัยรวมถึงรูปแบบและภาพลักษณ์ของตัวเครื่องให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ ประกอบกับประสิทธิภาพการใช้งานของเครื่องให้ตรงกับความต้องการและงบประมาณที่เหมาะสม สำหรับงาน Commart Thailand 2012 ในครั้งนี้ เชื่อว่าการแข่งขันทางด้านราคายังคงรุนแรงและยังเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอยู่ ดังนั้นฟูจิตสึจึงนำโน้ตบุ๊กหลากหลายรุ่นมาจัดโปรโมชั่น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของโน้ตบุ๊กคุณภาพในราคาหมื่นต้นๆ และหวังว่าลูกค้าจะเลือกโน้ตบุ๊กของฟูจิตสึ เพื่อเป็นอุปกรณ์ไอทีคู่กาย” นายยุน เซ็ง อึง กล่าวในตอนท้าย

View :1421

ดีแทคจับมือซิตี้ แอดวานซ์ จัดแคมเปญ “Goood Friday…ให้ทุกวันเป็นเหมือนวันศุกร์”

March 12th, 2012 No comments

มอบค่าโทรสูงสุด 600 นาที พร้อมให้ส่วนลดอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินร้อยละ 2 ต่อปี เมื่อสมัครสินเชื่อ-บุคคล แก่ลูกค้าดีแทค

และซิตี้ แอดวานซ์ ร่วมมือมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าทั้งสองฝ่าย ให้ฟรีค่าโทรในเครือข่าย 100 นาที นาน 6 รอบบิลแก่ลูกค้าซิตี้ แอดวานซ์ ที่เปิดหมายเลขโทรศัพท์รายเดือนใหม่ของดีแทค พร้อมมอบส่วนลดอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน 2% ต่อปี เมื่อสมัครสินเชื่อบุคคล ตามเงื่อนไขที่กำหนด อีกทั้งรับค่าโทรฟรี 30 นาที สำหรับลูกค้าดีแทคแบบรายเดือน เมื่อมาวิเคราะห์สุขภาพทางการเงิน ที่ ทุกๆ วัน ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2555

นายอมฤต ศุขะวณิช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) และ นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท ซิตี้คอร์ป ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “ซิตี้ แอดวานซ์” เปิดตัวแคมเปญใหม่ “Goood Friday…ให้ทุกวัน เป็นเหมือนวันศุกร์” มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าซิตี้ แอดวานซ์ และลูกค้าดีแทค โดยลูกค้าซิตี้ แอดวานซ์ ที่เปิดใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์รายเดือนใหม่กับดีแทคที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคหรือดีแทคเซ็นเตอร์

ทุกสาขา ส่ง SMS เข้ามาลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2555 จะได้รับเพิ่มฟรีค่าโทรในเครือข่าย 100 นาทีต่อรอบบิลเป็นเวลา 6 รอบบิล ตั้งแต่ รอบบิลที่ 2 – 7 และพิเศษสำหรับลูกค้าดีแทครับฟรีค่าโทร 30 นาทีทุกเครือข่าย นาน 1 รอบบิลเมื่อมาวิเคราะห์สุขภาพทางการเงิน ที่ซิตี้ แอดวานซ์ ทุกสาขา และรับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน 2% ต่อปี จากอัตราปกติ เมื่อสมัครสินเชื่อบุคคล ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2555

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ซิตี้ แอดวานซ์ ทุกสาขา โทร. 02 788 2788 หรือที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทค และดีแทคเซ็นเตอร์ทุกสาขา ทั่วประเทศ

View :1465

โนเกียจับมือฟิวเจอร์พาร์ค และกรมควบคุมมลพิษ เปิดตัวโครงการ Weee Can Do รณรงค์การรีไซเคิลโทรศัพท์มือถือ

March 12th, 2012 No comments

โนเกียจับมือฟิวเจอร์พาร์ค และกรมควบคุมมลพิษ เปิดตัวโครงการ Weee Can Do เพื่อรณรงค์การรีไซเคิลโทรศัพท์มือถือในกลุ่มประชาชนทั่วไป ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 12 กันยายน 2555

จากการสำรวจล่าสุดของโนเกีย พบว่าทั่วโลกมีโทรศัพท์มือถือเก่ามากถึง 44% ถูกลืมไว้ในลิ้นชักที่บ้านโดยไม่ได้นำไปรีไซเคิลและโดยเฉลี่ยคนหนึ่งคนจะเป็นเจ้าของโทรศัพท์ 5 เครื่อง แต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่นำโทรศัพท์มือถือไปรีไซเคิล ดังนั้น จึงได้ร่วมมือกับฟิวเจอร์พาร์ค และกรมควบคุมมลพิษ ดำเนินโครงการ Weee Can Do เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนได้นำโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช้แล้วมาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล

นายรังสรรค์ ปิ่นทอง ผู้อำนวยการ สำนักจัดการกากของเสียและสารอันตราย ให้ความเห็นว่า “ทางกรมควบคุมมลพิษได้ผลักดันให้เกิดการจัดการขยะประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง รวมถึงการส่งเสริมให้มีการนำกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ใช้แล้ว และน่ายกย่องที่ภาคเอกชนลุกขึ้นมารณรงค์ด้วยตัวเอง ทั้งนี้เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ผ่านมาควรเป็นบทเรียนที่ให้ประชาชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเอา 3R คือ Reduce Reuse Recycle มาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อลดปัญหาที่คาดไม่ถึงอย่างการจัดการขยะหลังน้ำท่วมที่ผ่านมา โดยสามารถใช้โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้น”

นางสาวนนทวัน สินธวานนท์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด โนเกีย ประเทศไทยและตลาดเอเชียเกิดใหม่ กล่าวว่า “โนเกียได้เชื่อมโยงให้ผู้คนมีบทบาทในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน นับตั้งแต่การผลิตโทรศัพท์มือถือจากวัสดุที่สามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้ 100% จนถึงกิจกรรมรณรงค์การรีไซเคิลโทรศัพท์มือถือที่มีมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งมีผู้บริโภคนำโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมทุกชนิดที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี สำหรับในปีนี้ โนเกียได้ประสานความร่วมมือกับ

ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ชั้นนำของไทย จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรีไซเคิลโทรศัพท์มือถือในวงกว้าง”

นางสาว จิตตินันท์ หวั่งหลี รองกรรมการผู้จัดการ (สายพัฒนาธุรกิจ และการตลาด) ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค กล่าวว่า “ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมจัดโครงการ Weee Can Do ซึ่งเป็นโครงการสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับการแนวทางการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของเรา โดยเราได้นำหลักการ Reduce Reuse และ Recycle มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า การปรับสภาพน้ำใช้แล้วมาใช้ใหม่ การลดปริมาณขยะ เพื่อให้ฟิวเจอร์พาร์คเป็นศูนย์การค้าสีเขียวที่คุณสามารถมาพิสูจน์ได้ และเราจะเป็นศูนย์กลางในการร่วมจัดกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมดีๆ ให้กับประชาชนเช่นนี้ต่อไปในอนาคต”

ร่วมดูแลโลกและประเทศของเราด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและร่วมกันลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เพียงนำโทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์เสริมที่ไม่ใช้แล้ว ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ พร้อมติดชื่อ ที่อยู่ มาหย่อนใส่กล่องรีไซเคิลของโครงการ Weee Can Do ชั้น B, G, 1 และ 3 ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และรับสิทธิลุ้นโทรศัพท์มือถือโนเกียใหม่ฟรีทันทีตั้งแต่วันนี้ถึง 12 กันยายน 2555

นอกจากนี้ ทุก 1 เครื่องที่ได้รับผ่านกล่องรีไซเคิล โนเกียจะร่วมบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณกุศลต่อไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Weee Can Do ได้ที่ โนเกีย แคร์ ไลน์ 02 255 2111 หรือเว็บไซต์ www.futurepark.co.th

View :2415

อาร์เอส ดิจิตอล ปักธงรบชูกลยุทธ์ THE YEAR OF “SOCIAL MUSIC EXPERIENCE”

March 12th, 2012 No comments

ส่งกลยุทธ์เด็ดแห่งปี The year of “Social Music Experience” เปิดประสบการณ์ทางดนตรีรูปแบบใหม่ช่วงชิงมาร์เก็ตแชร์ พร้อมเดินหน้าทำการตลาดทุกช่องทางแบบ 360 องศา หวังเข้าถึงผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์เทรนที่ชื่นชอบความทันสมัย และเปิดใจรับสื่อดิจิตอลให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน มั่นใจสามารถดันรายได้สายงานธุรกิจดิจิตอลให้ทะลุ 500 ล้านบาท ในปี 2012

อภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจดิจิตอล บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)


นายอภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจดิจิตอล บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปัจจุบันตลาดดิจิตอล มิวสิค ในต่างประเทศเริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น การเติบโตทางด้านเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยต่อการให้บริการดิจิตอลมิวสิค ไม่ว่าจะเป็นโมบายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (3G) รวมถึงการคิดค่าบริการเพลงรวมกับค่าบริการโทรศัพท์ (Single Bill Payment) นับเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในต่างประเทศ ไปสู่การฟังเพลงผ่านอินเตอร์เน็ตในรูปแบบ Music Streaming (มิวสิค สตรีมมิ่ง) บนโทรศัพท์มือถือ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สามารถเลือกเพลงฮิตมาฟังได้แบบไม่จำกัด ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ตลาดรวมดิจิตอล มิวสิค ในต่างประเทศ ขับเคลื่อนต่อไปได้ และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำลังจะเข้ามาในประเทศไทย สำหรับตลาดดิจิตอล มิวสิค ในบ้านเรายังคงอยู่ในภาวะที่ทรงตัว เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ที่ส่งผลให้การใช้งานค่าโทรศัพท์แต่ละครั้งต้องคุ้มค่าอย่างสูงสุด รวมถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยี 3G ยังไม่สมบูรณ์ โดยในปี 2012 คาดว่าตลาดรวมดิจิตอล

มิวสิค จะมีมูลค่า 1,300 ล้านบาท แบ่งได้เป็นมูลค่าตลาดดาวน์โหลดเสียงรอสาย 77 % และมูลค่าตลาดจากการดาวน์โหลดเพลง 23% ซึ่งจะเห็นได้ว่าทรงตัวมาจากปีก่อน

ในปี 2012 อาร์เอส ดิจิตอล จึงเดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์ The year of “Social Music Experience“ โดยเลือกหยิบเอาไลฟ์สไตล์ของลูกค้าดิจิตอลที่ชื่นชอบการแชร์ มิวสิคคอนเทนต์ผ่านระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คมาเป็นหัวใจในการวางแผนสินค้าและช่องทางจำหน่ายแบบ 360 องศา ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ทุกพฤติกรรมของลูกค้าในยุคนี้ หวังช่วงชิงมาร์เก็ตแชร์ท่ามกลางตลาดรวมที่ทรงตัว ด้วยการวางแผนธุรกิจบนพื้นฐานของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน ได้แก่ เมื่อผู้ชมรับชมคอนเทนท์แล้วเกิดความสนใจ จะมีการนำไปบอกต่อและแชร์ความคิดเห็นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คของตนเอง เพื่อให้ครอบคลุมพฤติกรรมของลูกค้าดังกล่าว ในปีนี้ อาร์เอส ดิจิตอล ได้วางกลยุทธ์ทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่

1. การวางแผนร่วมกับธุรกิจเพลง ในการแชร์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าและแนวโน้มตลาดดิจิตอล เพื่อนำไปสู่การผลิตคอนเทนท์เพลง รวมถึงแผนการโปรโมตที่ตรงตามความสนใจของตลาด

2. การสื่อสารผ่าน “ช่องทางการขาย” บน Social Media ที่ทางอาร์เอสดูแลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Web Community ต่างๆ ไปจนถึง Youtube เพื่อให้ลูกค้าเกิดการบอกต่อบน Social Media ดังกล่าว และนำลูกค้าไปถึงหน้าร้านขายคอนเทนท์เพลงนั้นๆได้

3. การวางช่องทางการจัดจำหน่ายดิจิตอล คอนเทนท์แบบ 360* (Digital Distribution 360*) ผ่านทั้งลูกค้าของอาร์เอส และลูกค้าของคู่ค้า(Partner) โดยกระจายช่องทางจำหน่ายเข้าไปเข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด แทนการให้ลูกค้าเข้ามาหาเพียงอย่างเดียว ได้แก่

3.1 Music Storefront : ช่องทางที่อาร์เอสสื่อสารถึงลูกค้าโดยตรง ผ่านบริการ *339 , *223 , RS Call Center , Website และ Mobile Application ที่จะกำลังจะเปิดตัว

3.2 Mobile Operator : ช่องทางดาวน์โหลดผ่านโอเปอเรเตอร์ค่ายต่างๆ รวมถึงการร่วมทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกัน

3.3 Mobile Device : การทำตลาดผ่านโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆที่รองรับคอนเทนท์ อาทิ การวางไอคอนสำหรับการดาวน์โหลดเพลงของอาร์เอสในเครื่องโทรศัพท์นั้นๆ

3.4 Business Partner : อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงภาพยนต์ ก็อาจจะใช้เป็นจุดเติมเพลงได้ ซึ่งเป็นแผนที่เราจะเดินต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการเดินกลยุทธ์คู่ขนานกับแนวคิด Flexible price policy ( แฟล็กซิเบิ้ล ไพรซ์ โพลิซี ) คือการกำหนดราคาขายที่หลากหลายและมีความแตกต่างกันในแต่ละช่องทางและกลุ่มลูกค้า ที่เราจะเดินหน้าควบคู่กันไปอีกด้วย

นอกจากนั้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ อาร์เอส ดิจิตอล มีแผนจะเปิด Mobile Application เป็นของตัวเอง เพื่อเปิดช่องทางหน้าร้านใหม่ในการเข้าถึงเพลงอาร์เอสในรูปแบบ Music Streaming ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงสมัครบริการ ก็สามารถจะเลือกฟังเพลงที่ชื่นชอบ แล้วใส่ไปยัง Playlist ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถแชร์ทุกการฟังออกไปยัง โซเชียลเน็ตเวิร์ค ได้อีกด้วย เป็นทางเลือกในการฟังเพลงง่ายๆที่จะทำให้คุณเลือกฟังเพลงโปรดได้ทุกที่ทุกเวลา เนื่องจากในปัจจุบันการเติบโตของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Smart Phone ก็กำลังเป็นที่นิยม อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นแรกๆ กับราคาเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันบาทก็สามารถเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนได้แล้ว ทำให้โอกาสของ Mobile Application ในรูปแบบ Music Streaming สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย ในขณะที่การประมูล 3 G ก็ใกล้จะสำเร็จย่อมส่งผลดีกับธุรกิจโดยรวม โดยเฉพาะสายงาน ดิจิตอล มิวสิค ที่ยังมีโอกาสยกระดับและเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งเป็นข้อดีจากการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน

” ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาร์เอส ดิจิตอล ดำเนินธุรกิบนความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยไม่ได้ยึดติดกับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเดินหน้าควบคู่กันไป เราไม่เคยหยุดนิ่งหากแต่จะเร่งพัฒนาตัวเอง เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราจึงต้องมองหาโอกาส และปรับตัวอยู่เสมอเช่นกัน และด้วยกลยุทธ์ The year of “Social Music Experience” และการทำตลาดแบบ 360 องศา ที่เราจะเดินในปีนี้ เชื่อว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและหนุนให้รายได้ในปี 2012 เป็นไปตามเป้า 500 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน ” นายอภิชาติ์ กล่าวทิ้งท้าย

View :2077

ไอดีซีเผยน้ำท่วมทำตลาดพีซีไทยทรุดหนัก และยังกระเทือนต่อเนื่องถึงปี 2555

March 12th, 2012 No comments

ไอดีซีระบุตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ของประเทศไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2554 ได้หดตัวลงอย่างมาก โดยลดลงถึง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และคิดเป็นการลดลงถึง 40% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ จนเกิดภาวะฮาร์ดดิสก์ขาดแคลน

โดยภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง และกินระยะเวลาเกือบทั้งไตรมาสครั้งนี้ส่งผลให้ความต้องการซื้อสินค้าพีซีลดลงเป็นอย่างมาก และยังมีผลกระทบต่อความสามารถในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของเวนเดอร์อีกด้วย นี่ทำให้ภาพรวมของตลาดพีซีไทยในปี 2554 เติบโตขึ้นจากปี 2553 เพียงแค่ 17% เท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตลาดได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี

นายจาริตร์ สิทธุ นักวิเคราะห์สายงานศึกษาตลาดไคลต์แอนดีไวซ์ประจำไอดีซีประเทศไทยเผยว่า “ตลาดผู้บริโภคนั้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะไม่เพียงแค่ฝั่งอุปสงค์เท่านั้นที่หดตัวลง แต่ฝั่งอุปทานเองก็ประสบปัญหาด้วย ภาวะฮาร์ดดิสก์ขาดตลาดทำให้เวนเดอร์ต้องพบกับความยากลำบากในการผลิตสินค้าและนำเข้ามาจำหน่าย นอกจากนี้เส้นทางการขนส่งสินค้าเองก็ยังถูกตัดขาดหลายเส้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่ทำให้ตลาดพีซีปรับตัวลดลงมากขึ้น”

ยอดจัดส่งเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของประเทศไทยประจำปี 2554


การใช้จ่ายจากภาครัฐเองที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมก็ชะลอการลงทุนเนื่องจากบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องมุ่งความสนใจแทบทั้งหมดไปที่การรับมือ และลดความเสียหายจากน้ำท่วม

ซึ่งถึงแม้ว่าแรงซื้อจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะเริ่มดีดกลับมาเพิ่มขึ้นในปี 2555 โดยมีการลงทุนซื้อพีซีเพื่อทดแทนเครื่องเก่าที่เสียหายจากภัยภิบัติเป็นแรงกระตุ้นสำคัญก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องของการขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญของพีซี จะยังคงส่งผลกระทบต่อยอดจัดส่งพีซีในช่วง 1-2 ไตรมาสนี้ ไอดีซีคาดการณ์ว่าตลาดพีซีในปี 2555 น่าจะเติบโตได้ในอัตราที่ไม่สูงนัก คือประมาณ 12% เท่านั้น โดยที่ตลาดมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้นในครึ่งปีหลัง

View :1448

คอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2012 ชอปสำราญแลนด์แดนไอที 22 – 25 มีนาคม 2555

March 12th, 2012 No comments


จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัทคู่ค้าไอทีชั้นนำทั้งในและต่างประเทศจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที “ ไทยแลนด์ 2012” ภายใต้แนวคิด ชอปสำราญแลนด์แดนไอที เพิ่มสีสันความสนุกสนานของเทคโนโลยี ด้วยกิจกรรมต่างๆ อาทิ จัดแข่ง “Angry Birds @ Face Book Thailand Challenge at Commart” ประชันสุดยอดแห่งการเหนี่ยวชิงแชมป์ประเทศไทย พร้อมเปิดเวทีคอมมาร์ตเฟ้นหา “Net Gen TJ Search” กระหน่ำทั้งงานด้วยโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ครั้งนี้ ถือว่าพิเศษกว่าทุกครั้งเนื่องจาก สินค้าที่คอมมาร์ตจะนำมาจำหน่ายในงานมีหลากหลาย รุ่นและยี่ห้อ อาทิ อัลตร้าบุ๊ก กว่า 10 รุ่น แท็บเล็ตกว่า 15 ยี่ห้อ 30 รุ่น สมาร์ทโฟนกว่า 6 ยี่ห้อชั้นนำ และ แอพพลิเคชั่นที่สนุกสนานและได้ความรู้ รวมทั้งของแจกมากมายภายในงาน

ส่วนการจัดกิจกรรมอบรมฟรี Workshop ที่น่าสนใจ จะเน้นที่การใช้งานแอพพลิเคชั่นกับแท็บเล็ต และ สมาร์ทโฟนให้ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค อาทิ มหันตภัย 2012 ไวรัสบนสมาร์ทโฟนระวังโดนล้วงของลับ, แอพพลิเคชั่นการเลี้ยงลูก เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Big Bonus ซื้อสินค้าไอทีครบทุก 3000 บาท รับคูปองชิงโชคลุ้นรับรถยนต์ นิสสัน มาร์ซ มูลค่ากว่า 4 แสนบาท และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย และพิเศษสุดสำหรับผู้ที่มียอดชอปสูงสุดในงานรับตั๋วเครื่องบินแอร์เอเซีย ไป-กลับ กรุงเทพฯ – ฮ่องกง และ การแข่งขันเกมส์ชิงรางวัลต่างๆ อาทิ Angry Birds @ Face Book Thailand Challenge at Commart ชิงแชมป์ประเทศไทย ชนะเลิศรับรางวัลตั๋วเครื่องบินไป – กลับ กรุงเทพฯ – บาหลี เกมส์คอมมาร์ต สำราญโชว์ ชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไป- กลับในประเทศ และรางวัลอื่นๆ พบกันในงานระหว่างวันที่ 22 – 25 มีนาคม 2555 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.commartthailand.com

View :1470

ไอทีพลาซ่า ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท เปิดสาขาหาดใหญ่ เน้นเป็นศูนย์การค้าไอทีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในภาคใต้

March 12th, 2012 No comments

ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท เปิดศูนย์การค้าไอทีแห่งใหม่ที่หาดใหญ่ ด้วยการเนรมิตพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร บนชั้น 3 ของตึกสยามนครินทร์หวังให้เป็นศูนย์การค้าไอทีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในภาคใต้ เตรียมรับกำลังการซื้อสินค้าไอทีของคนไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง วางแผนเปิดอีก 2 ศูนย์ฯในปีนี้ พร้อมตั้งเป้ารายได้สิ้นปีนี้อยู่ที่ 280 ล้านบาท

สมชาย จันทนะประสาทพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอที พลาซ่า จำกัด


นายสมชาย จันทนะประสาทพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอที พลาซ่า จำกัด กล่าวว่า วันนี้ไอทีพลาซ่าพร้อมแล้วที่จะเปิดให้บริการศูนย์การค้าไอทีแห่งใหม่ ซึ่งได้แก่ ที่หาดใหญ่ โดยงานนี้เราได้ทำการเนรมิตพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร บนชั้น 3 ของตึกสยามนครินทร์ให้เป็นศูนย์การค้าไอทีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในภาคใต้ ซึ่งได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น โซนคอมพิวเตอร์ และ โซนมือถือ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกช้อปกันได้อย่างจุใจ และเพื่อเป็นการฉลองเปิดสาขาใหม่ที่หาดใหญ่ทางไอทีพลาซ่าได้ร่วมกับร้านค้าต่างๆเพื่อจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นตลอดทั้งเดือนมีนาคมนี้ ไม่ว่าจะเป็น การประมูลสินค้าไอทีต่างๆ อาทิ คอมพิวเตอร์ , โน้ตบุ๊ค , ไอโฟน 4s , สมาร์ทโฟน และ อุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่นำมาให้เลือกประมูลกันอย่างจุใจในราคาเริ่มต้นเพียง 1 บาทเท่านั้น รวมถึงไฮไลท์ของงานนี้ที่พลาดไม่ได้เด็ดขาดนั่นคือ ลูกค้าสามารถซื้อไอโฟน 4S ได้ครึ่งราคาอีกด้วย พิเศษ!! ของมีจำนวนจำกัดเฉพาะภายในงานเท่านั้น นอกจากนี้ภายในงานยังมาพร้อมกับโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมจากร้านค้าไอทีชื่อดังมากมายและเลือกรับสิทธิผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือนเมื่อซื้อสินค้าภายในงานตลอดเดือนมีนาคมอีกด้วย

สำหรับแผนการตลาดของไอทีพลาซ่าในครึ่งปีแรกนี้จะเน้นการทำการตลาดแบบ One Stop Shopping กล่าวคือ ไอทีพลาซ่ามีความพร้อมที่จะมอบประสบการณ์ในการซื้อสินค้าไอทีแบบครบวงจรให้กับลูกค้า โดยลูกค้าจะได้พบกับความหลากหลายของสินค้าและบริการควบคู่ไปกับความบันเทิงที่หลากหลาย มุ่งเน้นการให้บริการที่สะดวกสบายและดีที่สุดแก่ลูกค้า เพราะนอกจากลูกค้าจะได้เพลิดเพลินจากการช้อปสินค้าไอทีแล้ว ลูกค้ายังได้รับความบันเทิงจากร้านค้า , ร้านอาหาร , โรงภาพยนตร์ , ธนาคาร ที่เปิดให้บริการอยู่ภายในห้าง ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่นิยมใช้เวลาอยู่ในศูนย์การค้าทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีการจัดโปรโมชั่นควบคู่ไปกับร้านค้าต่างๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้าที่อยู่ภายในศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่อง

“ผมมองว่าสินค้าไอทียังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามอง เนื่องจากเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง โดยเฉพาะความต้องการสินค้าไอทีของผู้บริโภคที่อยู่ตามต่างจังหวัดยังคงมีความต้องการสูง ดังนั้น ทางบริษัทฯจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจและได้ทำการเปิดศูนย์การค้าไอทีแห่งใหม่ขึ้นใจกลางเมืองหาดใหญ่ เพื่อให้ประชาชนและคนทั่วไปสามารถมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าไอทีกันได้อย่างจุใจ โดยตั้งแต่วันที่ 16-22 มีนาคมนี้ ทางไอทีพลาซ่าจะมีการจัดโปรโมชั่นสุดคุ้มและกิจกรรมต่างๆมากมายภายในงานเพื่อให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกกันในงานอีกด้วย โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.itplaza.co.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายสมชาย กล่าวปิดท้าย

View :1348

WD บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์แล้ว

March 12th, 2012 No comments

เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (WD) ผู้นำอุตสาหกรรมด้านโซลุชั่นการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอล ประกาศวันนี้ว่า บริษัทได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของวิวีติ เทคโนโลยีส์ จำกัด (Viviti Technologies Ltd) (ชื่อเดิมคือฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์: Hitachi Global Storage Technologies หรือ HGST) อย่างสมบูรณ์แล้ว มีผลบังคับเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2012 ที่ผ่านมานี้ โดยเป็นการซื้อด้วยเงินสดจำนวน 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และในรูปของหุ้นสามัญของ WDC อีก 25 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 0.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ[1] ปัจจุบัน บริษัทฮิตาชิ จำกัดถือครองหุ้นของ WDC ที่ออกจำหน่ายแล้วคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% และมีสิทธิที่จะแต่งตั้งบุคคลสองท่านให้นั่งเก้าอี้คณะกรรมการของ WD

บริษัทแห่งใหม่ของ WD นี้จะบริหารงานร่วมกับดับเบิลยูดี เทคโนโลยีส์ (WD Technologies (WD)) และ HGST ในฐานะบริษัทสาขาที่บริษัทแม่เป็นเจ้าของเต็มตัว ทั้งนี้ ตัวเลขรายได้รวมของทั้งสองบริษัทในปี 2011 อยู่ที่ 15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ จอห์น คอยน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) WD จะทำหน้าที่เป็นผู้กุมบังเหียนของสำนักงานแห่งใหม่นี้ในฐานะซีอีโอ ขณะที่สตีฟ มิลลิแกน จะดำรงตำแหน่งประธาน ทิม ลีย์เดน รั้งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และโวลฟ์กัง นิคเคิล จะนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน

จอห์น คอยน์ ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า ”ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายสำคัญยิ่งอย่างแท้จริงในประวัติศาสตร์ 42 ปีของบริษัทเรา ด้วยการเป็นเจ้าของในสองบริษัทที่ประสบความสำเร็จและมีความสามารถชั้นยอดที่สุดในวงการ เราจึงคาดหวังที่จะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เมื่อเราสร้าง WD แห่งใหม่เพื่อให้ผงาดขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบการจัดเก็บข้อมูลชั้นนำของโลก ด้วยความสามารถด้านเทคโนโลยีในระดับที่ลึกซึ้งที่สุดในอุตสาหกรรม การมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กว้างขวางมากที่สุด และการปฏิบัติการที่เป็นเลิศที่สุด บริษัทสาขาทั้งสองแห่งนี้จะแข่งขันกันในตลาด โดยใช้แบรนด์และสายผลิตภัณฑ์ที่แยกต่างหาก ซึ่งคล้ายกับโมเดลแบบหลายแบรนด์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ขณะเดียวกันก็จะแบ่งปันค่านิยมร่วมจากความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก การสร้างมูลค่า ความสามารถในการสร้างผลกำไรและการเติบโตอย่างมั่นคงของลูกค้า”

ข้อมูลล่าสุดจาก IDC บริษัทสำรวจข้อมูลที่ได้คาดการณ์เกี่ยวกับตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ระบุว่า การเติบโตของรายได้ในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ระดับอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีจะอยู่ที่ 8.6% ต่อปีตั้งแต่ปี 2011 ถึงปี 2016[2] “ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการจัดเก็บข้อมูลแบบดิจิตอลยังคงไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด โดยได้รับแรงผลักดันจากการขยายคอนเทนต์แบบดิจิตอลในการใช้งานเชิงพาณิชย์ และการใช้งานในระดับผู้บริโภค” จอห์น ไรด์นิ่ง รองประธานฝ่ายการวิจัย ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และเซมิคอนดักเตอร์ของ IDC กล่าว พร้อมเสริมว่า “นวัตกรรมแห่งการเคลื่อนที่ โครงสร้างแบบคลาวด์ ธุรกิจเพื่อสังคม และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่กำลังกระตุ้นความต้องการคอนเทนต์แบบดิจิตอลในรูปแบบใหม่ และในภาคตลาดใหม่ ก่อให้เกิดความต้องการชุดผลิตภัณฑ์การจัดเก็บข้อมูลที่มีความหลากหลายและศักยภาพด้านเทคโนโลยีจากผู้ให้บริการระบบจัดเก็บข้อมูลมากยิ่งขึ้น”

“ด้วยฐานลูกค้าที่ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงทรัพยากรที่ขยายตัวออกไป บริษัท WD แห่งใหม่นี้จึงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งที่จะฉกฉวยโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในส่วนการจัดเก็บคอนเทนต์แบบดิจิตอล” คอยน์กล่าว และเสริมว่า “เราได้เข้าถือครองกิจการที่แข็งแกร่งในตลาดระดับองค์กรแบบดั้งเดิม จึงนับเป็นการเพิ่มการมีอยู่ของเราในภาคธุรกิจระบบคลาวด์และนวัตกรรมแห่งการเคลื่อนที่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพของเราในการที่จะรับมือกับแนวคิดริเริ่มใหม่ๆ ในตลาด เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ SSD ระดับองค์กร ระบบการจัดเก็บข้อมูลสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์แบบบาง และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์แบบลูกผสมสำหรับ Ultrabooks™ ด้วยเหตุนี้เอง WD จึงอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในการที่จะประสบความสำเร็จ”

ทั้งนี้ สัดส่วนเงินสดของราคาซื้อในครั้งนี้มาจากการจัดหาเงินทุนจำนวน 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินในระยะยาวห้าปี การจัดหาเงินทุนระยะสั้นภายใต้ข้อตกลงเงินกู้ยืมแบบหมุนเวียน และบัญชีเงินสดแบบมีหลักประกันชำระราคาที่มีอยู่เดิมของบริษัทรวมจำนวนทั้งสิ้น 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยบริษัทคาดว่าการทำธุรกรรมในครั้งนี้จะก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้นในทันทีตามหลักการคำนวณบัญชีแบบ non-GAAP โดยทั้งนี้ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการ ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง และการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน นอกจากนี้ WD ยังคาดการณ์ว่าจะรักษาสถานะเงินสดสุทธิเป็นตัวเลขบวกต่อไปได้

View :1602