Archive

Archive for the ‘E-Commerce’ Category

ก.ไอซีที หนุนโครงการ e–Shop บูรณาการร่วมโครงการ e-Women

January 25th, 2012 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ได้จัดทำโครงการ e-Shop หรือ ร้านค้าชุมชนออนไลน์ ขึ้น และบูรณาการร่วมกับโครงการ เพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาอย่างครบวงจร โครงการ e-Shop นี้ จะเป็นการตั้งร้านค้าสาธิตขึ้นมาเพื่อให้ชุมชนได้เห็นและใช้เป็นตัวอย่างในการปฏิบัติตาม ซึ่งจะเน้นการทำงานจริงขายจริง โดยจัดทำขึ้นเป็น 3 รูปแบบ คือ www.ThaitelecentreCharms.com , www.thaitelecentreShop.com และwww.thaitelecentreMall.com

ThaitelecentreCharms เป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมที่เป็นพันธมิตรกับกลุ่มผู้ผลิตสินค้าชุมชนกว่า 800 แห่งที่ตั้งอยู่โดยรอบศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ThaitelecentreCharms นี้จะยึดหลัก การทำธุรกิจเพื่อสังคม (Social Entrepreneurship/ Social Entreprise) โดยมุ่งหวังให้ชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลมีช่องทางการนำผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สืบทอดมาจากภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นออกสู่ตลาดสากล รวมทั้งตลาดระดับบน (High-End Market) ด้วยการจัดทำร้านค้าสาธิตออนไลน์ของชุมชน (Demonstration Community e-Shop) ที่มีชุมชนเข้าร่วมบริหารจัดการ และเป็นหุ้นส่วนสำคัญ เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างแนวการปฏิบัติที่ดี (Best Practices) จากชุมชนสู่ชุมชนด้วยกัน อีกทั้งเป็นการประกาศอัตลักษณ์ ศักดิ์ศรีของชุมชนออกสู่สังคมใหญ่หรือสาธารณชน และสังคมโลกด้วย ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้คนในชุมชน โดยไม่มีการผูกขาดทางการค้าแต่อย่างใด

สำหรับนโยบายของ ThaitelecentreCharms ก็คือ การขายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ราคายุติธรรม เน้นความซื่อสัตย์ และส่งสินค้าแน่นอน โดยทางร้านจะให้บริการจัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพระดับพรีเมี่ยมไปยังตลาดต่างประเทศ (Premium Market) เป็นหลัก ส่วนสินค้าที่จำหน่ายจะแบ่งออกเป็นเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ อาหารแปรรูป เครื่องประดับ ของที่ระลึก และแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งเมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าทางร้านจะแจ้งหมายเลขการส่งสินค้าให้กับผู้สั่งซื้อทุกครั้ง เพื่อใช้สำหรับตรวจสอบสถานะการขนส่งกับเว็บไซต์ไปรษณีย์หลังจากการจัดส่งของ ซึ่งหมายเลขการส่งของนี้สามารถตรวจสอบได้หลังจากที่ส่งของแล้วประมาณ 24 ชม. หรืออาจจะเร็วกว่านั้น

ส่วนร้านค้าชุมชนออนไลน์อีก 2 รูปแบบนั้น จะมุ่งเน้นการจำหน่ายสู่ตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดย thaitelecentreMall.com จะเน้นการจำหน่ายสินค้าชุมชนออกสู่ตลาด (Open Market) ขณะที่ thaitelecentreShop จะเป็นการจำหน่ายสินค้าที่คัดสรรแล้ว (Developed Market) ซึ่งสินค้าที่จำหน่ายผ่าน thaitelecentreMall จะแบ่งออกเป็น 6 หมวดสินค้า คือ อาหาร อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ผ้าและเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ศิลปะประดิษฐ์และของที่ระลึก สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา ส่วน thaitelecentreShop จะจำหน่ายสินค้าประเภทงานฝีมือและหัตถกรรมชุมชน สินค้าด้านการเกษตร งาน ICT หรือเทคโนโลยี งานบริการต่างๆ และแหล่งท่องเที่ยวชุมชน

View :1608

ก.ไอซีที เปิดตัว “ThaiCERT” หน่วยงานดูแลความมั่นคงปลอดภัยของธุรกรรมออนไลน์

December 22nd, 2011 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในการแถลงข่าว กับ “ความมั่นคงปลอดภัยของธุรกรรมออนไลน์” ว่า ปัจจุบันการทำธุรกรรมออนไลน์ในประเทศไทยได้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment นั้น มีมูลค่าสูงกว่า 680 ล้านล้านบาท ซึ่งการผลักดันให้จำนวนและมูลค่าการทำธุรกรรมออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ จำเป็นจะต้องมีหน่วยงานและบุคลากรที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมของทรัพยากรเพื่อเตรียมโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ มีความมั่นคงปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือเอื้อต่อการทำธุรกรรมออนไลน์

“ความมั่นคงปลอดภัยถือเป็นมิติสำคัญที่เอื้อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่น่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการทำธุรกรรมออนไลน์ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงไอซีที ได้เล็งเห็นความสำคัญในการทำงานเชิงรุกของการรักษาความมั่นคง ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงฯ ในด้าน “Security” ที่มีส่วนทำให้ประเทศไทยมี Smart Business และนำไปสู่ความเป็น Smart Thailand อย่างสมบูรณ์แบบ จึงได้มอบหมายให้ “ThaiCERT” หรือ ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ทำหน้าที่ผลักดันการดำเนินงานในทางปฏิบัติ” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

“ThaiCERT” นั้น เดิมเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามภารกิจของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้โอนภารกิจนี้มายัง สพธอ. ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นมา เพื่อสานต่อภารกิจดังกล่าวให้มีความแข็งแกร่ง โดยทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักกระทรวงไอซีทีในการปฏิบัติภารกิจป้องกันและลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งนับเป็นอีกบทบาทหนึ่งของ สพธอ. ในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงไอซีที

“หน้าที่หลักของ “ThaiCERT” คือ การรับแจ้งเหตุและแก้ปัญหาภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สามารถรับแจ้งเหตุภัยคุกคามจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเฉลี่ยมากกว่า 100 เรื่องต่อเดือน โดยการรับแจ้งภัยคุกคามเรื่องการฉ้อฉล ฉ้อโกง หรือหลอกลวงนั้น มีมากกว่า 48% รองลงมาเป็นเรื่องการโจมตีและเจาะระบบคอมพิวเตอร์ประมาณ 13.6% ส่วนที่เหลือเป็นภัยคุกคามอื่นๆ เช่น ภัยคุกคามที่เกิดจากโปรแกรมไม่พึงประสงค์ เป็นต้น” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

นอกจากนี้ “ThaiCERT” ยังได้ดำเนินการประสานความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาภัยคุกคามร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือต่างๆ ได้แก่ สมาคมอีคอมเมิร์ซ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ สมาคมความมั่นคงทางด้านไซเบอร์แห่งประเทศไทย (CSAT) สมาคมธนาคารไทย สมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทย มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ประชาคมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเนคเทคอีกด้วย

“สำหรับแผนงานในช่วง 6 เดือนต่อไปของ “ThaiCERT” นั้น ได้มีการวางเป้าหมายในการให้บริการรับแจ้งเหตุภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และจะยกระดับการทำงานให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เน้นการทำงานเชิงลึก โดยเจาะ ไปที่กลุ่มผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตและผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มการเงินการธนาคารและกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ส่วนผู้ที่ต้องการ แจ้งเหตุภัยคุกคามกับ “ThaiCERT” สามารถติดต่อได้ 2 ช่องทาง คือ ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0 – 2142 – 2483 เวลา 8.30 – 17.30 น. ทุกวันยกเว้นวันหยุดราชการ และทางอีเมล์ที่ report@thaicert.or.th “นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1431

โอมาน แอร์เปิดตัวเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ เอาใจ กลุ่ม Social Network ชาวไทย

September 22nd, 2011 No comments

สายการบิน () สายการบินประจำชาติแห่งรัฐสุลต่านโอมาน และหนึ่งในผู้ให้บริการสายการบินที่หรูหราชั้นนำของโลก พร้อมพาคุณเดินทางสู่จุดหมาย ด้วยความสะดวกสบาย กับการบริการชั้นเลิศ ได้เปิดตัว Social Network Society หรือ Facebook Fan Page พร้อม Twitter เอาใจผู้ใช้เครือข่ายสังคมชาวไทย เพื่อการติดต่ออย่างใกล้ชิดและรวดเร็วมากขึ้น

โดยใช้ชื่อ Fan Page บน Facebook ว่า “Oman Air Thailand” ซึ่งผู้โดยสารสามาถค้นหาได้ง่ายๆ เพียงใส่คำดังกล่าวในช่องค้นหาของ Facebook และสำหรับผู้ที่นิยมเล่น Twitter สามารถ เลือก Follow ที่ @OmanAir_TH เพียงเท่านี้ก็สามารถเชื่อมต่อและติดตามข่าวสาร ประกาศ หรือโปรโมชั่นพิเศษก่อนใคร หรือแม้กระทั่งพูดคุย ทำแบบสอบถาม หรือฝากคำถามต่าง ๆ ที่คุณสงสัยเกี่ยวกับโปรโมชั่นสายการบิน หรือข่าวสารอื่น ๆ ได้

นอกจากนี้ในส่วนของการจองตั๋วเครื่องบินในระบบออนไลน์และตรวจสอบตารางการบินผู้โดยสารสามารถคลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.omanair.com หรือ โทร 02 635 1222

View :1651

กลุ่มทรู จับมือ กสิกรไทย ติดสปีดออนไลน์ไร้สายเต็มร้อย กับ “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ที่ KBank

September 21st, 2011 No comments

กลุ่มทรู ย้ำภาพผู้นำโมบายล์ ไฮสปีด อินเทอร์เน็ต และโครงข่าย Wi-Fi ที่ใหญ่ที่สุด ผนึกกำลัง ธนาคารกสิกรไทย ผู้นำบริการด้านดิจิตอลแบงกิ้ง เติมความคุ้มค่าให้ลูกค้าสัมผัสนวัตกรรมเทคโนโลยีไร้สาย “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ความเร็วสูงสุด 100 Mbps ที่ธนาคารกสิกรไทยพันธมิตรสถาบันการเงินแห่งแรกของกลุ่มทรู เพิ่มชีวิตอิสระ FREE YOU ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ให้ลูกค้าที่มาทำธุรกรรมการเงิน ใช้ชีวิตออนไลน์ไฮสปีดไร้สายได้ตลอดเวลา ไม่พลาดทุกการสื่อสารในโลกยุคดิจิตอล

นายนนท์ อิงคุทานนท์ ผู้จัดการทั่วไป สายงานบริการบรอดแบนด์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ไลฟ์สไตล์และเวิร์คสไตล์คนเมืองยุคปัจจุบัน นิยมสื่อสารออนไลน์แบบไร้สายตลอดเวลา ส่งผลให้ตลาดการใช้งานด้านดาต้าในปีนี้มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดถึง 60% โดยกลุ่มทรูมีลูกค้าที่ใช้บริการ

Wi-Fi by TrueMove มากกว่า 700,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เลือกใช้บริการเนื่องจากโครงข่าย Wi-Fi มีคุณภาพสูง และมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมสูงสุด ตลอดจนประสิทธิภาพความเร็วในการใช้งานออนไลน์ไร้สายที่เหนือกว่า และล่าสุด กลุ่มทรูนำเสนอนวัตกรรม “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ความเร็วสูงสุด 100 Mbps เป็นรายแรกในประเทศไทย และครั้งนี้ได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย พันธมิตรสถาบันการเงินที่มีความมุ่งมั่นตรงกันที่จะสรรหาบริการที่ดีที่สุด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเอาใจลูกค้ายุคดิจิตอล ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารกสิกรไทย ยังเป็นสถาบันการเงินที่เป็นผู้นำด้านดิจิตอลแบงกิ้ง มีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ตามติดเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวแทนคนยุคดิจิตอลอย่างชัดเจน ดังนั้น การเปิดให้บริการ

Ultra Wi-Fi by TrueMove H ที่ธนาคารกสิกรไทยครั้งนี้ จะตอบโจทย์แนวคิด FREEYOU ที่ให้ลูกค้าอิสระเต็มที่ ไม่พลาดทุกการสื่อสาร สามารถออนไลน์ไร้สายความเร็วสูง ได้สูงสุดถึง 100 Mbps ซึ่งมั่นใจได้ด้วยศักยภาพที่เหนือกว่าของกลุ่มทรู ผู้นำบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง เจ้าของโครงข่าย Wi-Fi คุณภาพที่ใหญ่ที่สุด ตลอดจนพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมสูงสุด โดยมีจำนวนฮอตสปอตคุณภาพที่มากถึง 100,000* จุดทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งจะตอบโจทย์ชีวิตไร้สายของคนยุคดิจิตอลให้อิสระ…ได้เร็วยิ่งกว่า ทุกที่ทุกเวลา

ทั้งนี้ TrueMove H ได้จัดเตรียม Wi-Fi Card ความเร็วสูงสุด 8 Mbps จำนวน 50,000 ใบเพื่อให้ลูกค้าธนาคารกสิกรไทยได้ทดลองใช้บริการ โดยลูกค้าจะสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย แล้วเลือกชื่อเครือข่าย (SSID) เป็น @ TRUEWIFI เพื่อสัมผัสชีวิตอิสระอย่างเต็มที่ ณ สาขาที่มีสัญลักษณ์ Ultra Wi-Fi by TrueMove H และ Wi-Fi by TrueMove H ลูกค้าที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าทรูมูฟ เอช โทร 1331, www.truewifi.net พิเศษสุด แพคเก็จเสริม Ultra Wi-Fi by TrueMove H “ใช้ได้ไม่จำกัด” ด้วยค่าบริการพิเศษเพียง 100 บาทต่อเดือน ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้ (จากค่าบริการปกติ 300 บาทต่อเดือน) สำหรับลูกค้าทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช เท่านั้น สมัครผ่าน *9000

ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยได้มีการพัฒนาการให้บริการด้านดิจิตอลแบงกิ้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือกับกลุ่มทรูเสริมภาพผู้นำด้านการให้บริการบนโลกดิจิตอลของธนาคารกสิกรไทย เพราะจะเป็นครั้งแรกของไทยที่สาขาของธนาคารพาณิชย์จะมอบประสบการณ์ความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายภายในสาขา ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านดิจิตอลแบงกิ้งในตลาดนี้ ด้วยจำนวนผู้ใช้งานรวมกว่า 3,900,000 คน มี Transaction รวมกว่า 14 ล้านต่อเดือน ทั้งบริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ต (K-Cyber Banking) ซึ่งมีระบบความปลอดภัยสูงสุด และบริการธนาคารบนโทรศัพท์มือถือ (K-Mobile Banking) ซึ่งรองรับการใช้งานที่หลากหลาย มีผู้ใช้งานในปัจจุบันจำนวนกว่า 2.4 ล้านราย และล่าสุดได้มีการพัฒนาบริการโมบาย เวอริฟาย บาย วีซ่า ด้วยการขอรหัสแบบใช้ครั้งเดียว (One-time Password: OTP) ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อรองรับธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกของโลก นอกจากนี้ธนาคารฯ ได้มีนวัตกรรมในการให้ข้อมูลและสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ เช่น KBank Live บนเฟซบุ๊ก ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไทย

ความร่วมมือครั้งนี้ จะครอบคลุมทั้งสิ้น 42 สาขาหลักในกรุงเทพฯ ในช่วงแรก โดยจะเป็นบริการ Ultra Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุดถึง 100 Mbps จำนวน 6 สาขา โดยเน้นพื้นที่มหาวิทยาลัย ย่านธุรกิจ ท่องเที่ยว และการค้าสำคัญต่างๆ คือ สาขาสยามสแควร์ สาขาสยามพารากอน สาขาเอสพลานาด รัชดาภิเษก สาขาถนนรัชดาภิเษก สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาอาคารจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ และบริการ Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุดถึง 8 Mbps อีก 36 สาขา โดยลูกค้าที่ทำธุรกรรมที่ธนาคารฯ กำหนดสามารถขอรับรหัส (Password) และใส่รหัสเพื่อใช้บริการฟรี 30 นาทีต่อหนึ่งยูสเซอร์ ณ สาขาที่มีสัญลักษณ์การให้บริการ

นอกจากนี้ธนาคารยังตั้งเป้าขยายการบริการไปยังทุกสาขาของธนาคารทั่วกรุงเทพฯ กว่า 300 แห่งภายในปี 2554 ซึ่งมั่นใจว่า ความร่วมมือในการให้บริการโครงการ “Ultra Wi-Fi Experience @ KBank” ครั้งนี้ จะมอบความประทับใจให้ลูกค้าของธนาคารที่ใช้บริการสาขา สามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์เพื่อสื่อสารและค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการทำธุรกรรม ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร 02 888 8888 หรือ www.kasikornbank.com

View :1684

เซ็ทเทรด ย้ำมั่นใจระบบซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต พร้อมพัฒนาต่อเนื่อง

September 20th, 2011 No comments

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการ บริษัท ดอท คอม จำกัด เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนได้ให้ความสนใจลงทุนผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดอนุพันธ์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2554 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 24.5 % และ 32.5% ตามลำดับ จากปริมาณการซื้อขายรวมทั้งหมด โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เซ็ทเทรดฯ ได้พัฒนาระบบการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บริการแก่บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดอนุพันธ์ และได้พัฒนาเพื่อรองรับ function และการซื้อขายตราสารใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง Silver Futures, ETF และยังเตรียมการสำหรับ Oil Futures และตราสารใหม่ ๆ ในอนาคต

จากการพัฒนาเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าในหลาย ๆ ด้าน ทำให้เกิดการติดขัดของระบบบ้างตามที่ปรากฏเป็นข่าว อย่างไรก็ตาม เซ็ทเทรดฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ประสานงานกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิก ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการระบบ (Vendor) อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัญหาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว โดยจัดให้มีทีมงานเฉพาะ เพื่อติดตามแก้ไขปัญหาให้ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ เซ็ทเทรดฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนา ให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์เทรดดิ้งแพลตฟอร์มชั้นนำของภูมิภาค เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของบริษัทสมาชิกอย่างต่อเนื่อง

“เพื่อเพิ่มสเถียรภาพแก่ระบบในอนาคต บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม ได้จัดทำแผนงานในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้รองรับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนงานเพื่อขยายระบบและรองรับสินค้าใหม่ เช่น Thai DR และ Options รวมทั้ง ตราสารอื่น ๆ ในอนาคต ที่สำคัญ คือการเตรียมแผนงานในระยะยาว เพื่อรองรับการต่อเชื่อมกับระบบซื้อขายใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีหน้า” ดร. ภากร กล่าว

บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม ก่อตั้งในปี 2543 โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการระบบซื้อขายหลักทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ตให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดอนุพันธ์ ทั้งนี้ การจัดตั้งเซ็ทเทรด เป็นการอำนวยความสะดวกแก่บริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ต้องการพัฒนาระบบซื้อขายเอง และต้องการให้มีจำนวนผู้ให้บริการระบบซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นทางเลือกมากขึ้น ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ตของเซ็ทเทรด ครอบคลุมหลายช่องทาง รวมทั้ง มือถือ และอุปกรณ์ใหม่ ๆ เช่น Tablet ปัจจุบันเซ็ทเทรด ดอท คอม ให้บริการระบบซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตแก่บริษัทหลักทรัพย์ 34 ราย จาก 45 ราย

View :1544

กทท. จัดเสวนาเตรียมความพร้อมใช้ระบบ e-Gate เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ

September 19th, 2011 No comments

(กทท.) จัดเสวนาการผ่านเข้า-ออกประตูตรวจสอบอัตโนมัติ () สำหรับผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และพนักงาน กทท. รวมกว่า 250 คน ในวันที่ 20 กันยายน 2554 นี้ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติงานร่วมกัน รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ เปิดเผยว่า กทท.จะจัดเสวนาการผ่านเข้า-ออกประตูตรวจสอบอัตโนมัติ (e-Gate) สำหรับผู้ประกอบการหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและพนักงาน กทท. รวมกว่า 250 คน ในวันที่ 20 กันยายน 2554 นี้ ณ ห้องประชุมชั้น 19 อาคารที่ทำการ กทท.เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับระบบ e-Gate และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งเพื่อให้การปฏิบัติงานมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี ผศ.ดร.สมนึก คีรีโต ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและ อ.สุรชัย กรีวัชรินทร์ ผู้จัดการโครงการสถาบันฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์ นักบริหาร 15 ประจำผู้อำนวยการ กทท. และเจ้าหน้าที่ระดับสูง กทท. ร่วมเป็นวิทยากรในการเสวนาฯ

สำหรับการพัฒนาและติดตั้งระบบควบคุมการผ่านเข้า-ออก (e-Gate) ที่ ทกท. ตามโครงการพัฒนาสู่การบริการในระบบท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ () นั้น ขณะนี้ระบบฯ ดังกล่าวผ่านการทดสอบความพร้อมในการปฏิบัติงานและได้ทดลองระบบฯ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ควบคู่กับการเปิดลงทะเบียนทำบัตรอนุญาตบุคคลและยานพาหนะผ่านเข้า-ออก ทกท. สำหรับผู้ใช้บริการ โดยมีกำหนดเปิดใช้งานระบบ e-Gate เต็มรูปแบบทุกช่องทางในวันที่ 1 ตุลาคม 2554 นี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริการตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ หรือ ISPS Code (International Ship and Port Facilities Security Code)

ทั้งนี้ ได้มีการดำเนินการติดตั้งระบบ e-Gate ดังกล่าวที่ประตูด่านตรวจสอบจำนวน 3 ประตู และประตูด่านควบคุมภายในเขตรั้วศุลกากร ทกท. จำนวน 4 ประตู โดยเป็นการทำงานระบบอัตโนมัติด้วยการใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ในการอ่านหมายเลขตู้สินค้าและ RFID (Radio Frequency Identification) ในการตรวจสอบสิทธิบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออก ทกท. ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถตรวจสอบหมายเลข สภาพความชำรุดเสียหายของตู้สินค้า รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ของยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออกตามบัตร RFID ได้ทันที ซึ่งเจ้าของสินค้าจะต้องแจ้งข้อมูลทั้งหมดล่วงหน้า และมีการบันทึกลงบัตร RFID โดยกระบวนการตรวจสอบโดยผ่านบัตร RFID ดังกล่าว จะใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาที/คัน ซึ่งจะสามารถลดขั้นตอนด้านเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบข้อมูล การจราจรมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพด้านการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการ

View :1634

กรมส่งเสริมการส่งออกได้ฤกษ์เปิดตัว www.thaitrade.com นำสินค้าไทยบุกตลาดโลก

September 16th, 2011 No comments

เปิดตัว อย่างเป็นทางการ หวังเป็นช่องทางการค้าขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ แบบ B2B ช่วยผู้ประกอบการชาวไทยสร้างรายได้เพิ่ม คาดหวังยอดสั่งซื้อจาก 43 ประเทศทั่วโลก ปีละไม่ต่ำกว่า 600,000 ล้านบาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออก ได้เล็งเห็นความสำคัญและศักยภาพของ E-Commerce จึง ได้จัดให้มีโครงการดีๆ อย่าง ขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางการส่งเสริมการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสกระจายสินค้าไปสู่ผู้ซื้อทั่วโลก ซึ่งเว็บไซต์นี้ จะเป็นช่องทางการค้ารูปแบบใหม่ที่จะช่วยสร้างโอกาส และศักยภาพทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี และมีความมั่นใจว่า ภายใต้การดูแลของกรมส่งเสริมการส่งออก จะมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือในระดับสากล เนื่องจากเป็นหนึ่งในหน่วยงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศชั้นนำของเอเชีย นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการส่งออกยังมีการคัดกรองคุณภาพมาตรฐานผู้ค้าออนไลน์ที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อต่างประเทศได้เป็นอย่างดี โดยได้เชิญทูตานุทูต หน่วยงานส่งเสริมการค้าของประเทศต่างๆ ที่ประจำในประเทศไทย บริษัทชั้นนำของไทย ผู้ประกอบการชาวไทย ผู้แทนจากหน่วยงานและสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมการค้า หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่มีส่วนในการผลักดันการค้าการส่งออกของไทย เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้นับพันคน

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายสินค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ ในรูปแบบ B2B ไม่ต่ำกว่าปีละ 190,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดอีคอมเมิร์ซรวมทั่วประเทศ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผู้ประกอบการต่างทำเว็บไซต์ของตนเอง ไม่มีแหล่งรวบรวมสินค้าในรูปแบบรวมศูนย์ ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานรับรองให้กับผู้ซื้อที่อยู่ต่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก มีภารกิจหลักในการผลักดันสินค้าไทยไปสู่ตลาดโลก จึงเป็นที่มาของการจัดทำเว็บไซต์ www.thaitrade.com เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการชาวไทย ออกไปสู่สายตาของชาวโลก ในรูปแบบของธุรกิจกับธุรกิจ ( B2B ) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกแล้วจำนวนหลายพันราย

“ การเปิดตัวเว็บไซต์ www.thaitrade.com อย่างเป็นทางการในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการชาวไทย ที่มีความสนใจอยากนำสินค้าของตนเองเปิดตลาดผ่านระบบอีคอมเมิร์ซของกรมฯ ไปสู่ตลาดโลก โดยมีทีมงานมืออาชีพคอยดูแล และเป็นผู้ดำเนินการบริหารเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จ ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด และไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านไอทีระดับสูง เพราะระบบถูกสร้างมาเพื่อให้ใช้งานง่ายอยู่แล้ว กรมส่งเสริมการส่งออก ในฐานะผู้จัดแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ มายาวนานกว่า 20 ปี มีเครือข่ายกับผู้ประกอบการไทย และผู้ซื้อจากทั่วโลก จึงได้นำจุดเด่นด้านออฟไลน์ มาเสริมกับด้านออนไลน์ และดำเนินการคู่ขนานกันไป ด้วยกิจกรรมการตลาดและโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ผ่านจุดแข็งของกรมฯ คือ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ65 แห่ง ใน 43 ประเทศทั่วโลก เพื่อประชาสัมพันธ์ และคัดสรรผู้ซื้อที่มีศักยภาพในประเทศที่ดูแล และประสานให้ผู้ซื้อที่ต้องการซื้อสินค้าไทยในเว็บไซต์ thaitrade.com อย่างสม่ำเสมอ ” นางนันทวัลย์กล่าว

นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแผนที่จะนำ www.thaitrade.com ไปเป็นพันธมิตรกับองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทำการค้าออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ไปรษณีย์ไทย และองค์กรที่เคยมีความร่วมมือต่อกันแล้วได้แก่ E-bay (B2C) ของสหรัฐฯ HKTDC (B2B) ของฮ่องกง Rakuten (B2C) ของญี่ปุ่น บางองค์กรที่ต้องการเป็นพันธมิตรและได้มีการประชุมหารือกันไปบ้างแล้ว เช่น Pantavanij.com ( B2B ) ของไทย Alibaba.com (B2B) ของจีน ซึ่งจุดเด่นของพันธมิตรส่วนใหญ่คือจะมีฐานข้อมูลผู้ซื้อแบบออนไลน์ที่มีคุณภาพจำนวนมหาศาล ในขณะที่ www.thaitrade.com มีจุดเด่นคือ ฐานข้อมูลผู้ส่งออกที่มีคุณภาพ ศักยภาพ และผ่านการคัดกรองจากกรมฯ มาแล้วเป็นอย่างดี

ทังนี้ ผู้ประกอบการผู้สนใจ สามารถสมัครเข้ามาใช้บริการได้ฟรี ได้ที่หน้าเว็บไซต์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ DEP Call Center 1169 โทรศัพท์ 02–685-1169 โทรสาร 02 530 9791 หรือ e-mail : ecommerce@depthai.go.th , ecommerce.dep@gmail.com www.facebook.com/ThaitradeDotCom

View :1711

กรุงไทยรับชำระค่าภาระและบริการขนส่งทางน้ำผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นธนาคารแรก

August 30th, 2011 No comments

ธนาคารกรุงไทยจับมือการท่าเรือแห่งประเทศไทย อำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออก โดยเพิ่มช่องทางรับชำระค่าภาระและค่าบริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเป็นธนาคารแห่งแรก สามารถใช้บริการได้ไม่มีวันหยุด เริ่มให้บริการ 1 กันยายนนี้

นางศรีประภา พริ้งพงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจภาครัฐ เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารได้พัฒนาช่องทางการให้บริการทางการเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและประชาชน ล่าสุดธนาคารได้ร่วมมือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ขยายช่องทางในการรับชำระค่าภาระและบริการ ในรูปแบบการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านระบบอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ ของ กทท. โดยจะเริ่มให้บริการในวันที่ 1 กันยายนนี้

ธนาคารกรุงไทย เป็นธนาคารแห่งแรกที่ให้บริการดังกล่าว ซึ่งเป็นการก้าวสู่โลกธุรกิจขนส่งทางน้ำยุคใหม่ โดยจะช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับผู้นำเข้าและส่งออกที่ไม่ต้องไปทำธุรกรรมที่ กทท. สามารถชำระค่าระวางและบริการได้ถึงเวลา 22.00 น. ช่วยให้การชำระเงินตรงตามกำหนดเวลา สามารถเลือกรับผลการชำระค่าสินค้าและบริการหลังการทำรายการได้ทั้งทาง e-mail และ SMS นอกจากนี้ ระบบยังมีความปลอดภัยในการใช้งานด้วยเทคโนโลยีระดับสากล ที่สำคัญช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการอีกด้วย

นางศรีประภา พริ้งพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ธนาคารได้พัฒนาขั้นตอนการใช้บริการให้สามารถใช้งานได้ง่าย เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ www.port.co.th เลือกประเภทบริการที่ต้องการชำระ และเลือกชำระผ่านธนาคารกรุงไทย เมื่อทำรายการเสร็จ ระบบจะออกใบรับเงินชั่วคราว เพื่อเป็นหลักฐานการชำระเงิน ผู้สนใจสามารถสมัครใช้บริการที่ได้ทุกสาขาของธนาคารทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังได้ร่วมกับ กทท.เชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมงานสัมมนา เพื่อแนะนำการใช้เว็บไซต์ระบบการชำระค่าภาระและบริการ พร้อมเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ให้ทดลองใช้อีกด้วย

View :1458

ดอยตุง สร้างช่องทางใหม่ เปิดตัว www.doitung.com

August 26th, 2011 No comments

เปิดตัว e-Commerce จากดอยสูงมุ่งสู่ผู้บริโภคระดับโลก เปิดช่องทางการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิคส์ ภายใต้แนวทาง โลกสู่ชุมชน/ชุมชนสู่โลก (Global to Local / Local to Global) เปิดตัวเว็บไซต์ นำเสนอผลิตภัณฑ์ และเผยแพร่แนวทางการพัฒนาการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ตรงสู่ผู้บริโภคระดับคุณภาพที่ ให้ความสำคัญกับการบริโภคสินค้าคุณภาพและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการ e-Commerce จากดอยสูงมุ่งสู่ผู้บริโภคระดับโลก เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์แบรนด์ดอยตุง ก้าวสู่ตลาดโลก ภายใต้ห่วงโซ่แห่งคุณค่าผลิตภัณฑ์ดอยตุง (DoiTung Value Chain) ที่เน้นการต่อยอดความชำนาญและภูมิปัญญาท้องถิ่น และเน้นการพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์งานฝีมือต่างๆ อย่างครบวงจรด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดเอกลักษณ์และคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ

การจัดทำ www.doitung.com เป็นความร่วมมือ ระหว่าง โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้พัฒนาช่องทางการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่สนใจงานที่เกิดขึ้นจากฝีมือของชนเผ่าต่างๆ สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แบรนด์ดอยตุง ผ่านระบบออนไลน์ได้

www.doitung.com จะเป็น สะพานเชื่อมสำคัญและทรงประสิทธิภาพ ระหว่าง ห่วงโซ่แห่งคุณค่าดอยตุง กับ ประชาคมโลก ทั้งในฐานะผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ดอยตุงอันทรงคุณค่า และผู้สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้แนวทาง โลกสู่ชุมชน/ชุมชนสู่โลก (Global to Local / Local to Global)

โลกสู่ชุมชน(Global to Local) คือ เทคโนโลยีระดับโลก ถูกใช้เป็นเครื่องมือด้านการตลาดของชุมชนจากดอยสูง ทำให้กลุ่มผู้บริโภคระดับคุณภาพทั่วโลก สามารถเข้าถึงคุณค่าผลิตภัณฑ์ดอยตุงได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านช่องทางกระจายสินค้าแบบดั้งเดิม

ประการสำคัญ กลุ่มเป้าหมายระดับคุณภาพทั่วโลกนี้ ได้รับทราบแนวทางการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ เกิดเป็นแรงบันดาลใจที่ร่วมสร้างสรรค์แนวทางการพัฒนาที่เอื้อประโยชน์ ต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม

ชุมชนสู่โลก (Local to Global) ผลิตภัณฑ์ จากห่วงโซ่แห่งคุณค่าดอยตุง ได้เข้าถึงผู้บริโภคระดับคุณภาพทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าผลิตภัณฑ์ในเชิงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวก็สามารถรับรู้ความต้องการใหม่ๆของผู้บริโภคโดยผ่านระบบการสื่อสารสองทาง (Two-Way Communication) เป็นข้อมูลที่นำไปสู่ การพัฒนารูปแบบและคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ อย่างต่อเนื่อง

www.doitung.com นำเสนอผลิตภัณฑ์เด่นๆ จาก 2 ธุรกิจหลักของแบรนด์ดอยตุง คือ ด้านอาหารแปรรูป ได้แก่ กาแฟ แมคคาเดเมียนัทอบ คุกกี้แมคคาเดเมียนัท และ แมคคาเดเมียสเปรด และด้านผลิตภัณฑ์งานมือ ได้แก่ งานเซรามิค ปลอกหมอน กระเป๋า ผ้าพันคอ และผลิตภัณฑ์จากกระดาษสา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้วิถีชีวิตชนเผ่าในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และทำให้พวกเขาได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปลูกกาแฟแมคคาเดเมีย-พืชผลเมืองหนาว-ฝึกงานหัตถกรรมรูปแบบใหม่ๆอีกหลายประเภท เช่น งานกระดาษสา ตัดเย็บเสื้อผ้า การวาดลวดลายด้วยมือลงบนเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ ส่วนเยาวชนจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ก็ได้เรียนหนังสือในสถาบันการศึกษาชั้นสูงและได้ประกอบอาชีพหลากหลายทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชนและอาชีพส่วนตัว หลายคนได้กลับคืนมายังถิ่นฐาน มาทำงานในโครงการฯ และอยู่ร่วมกับครอบครัว

“ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ดอยตุงผ่านช่องทาง e-Commerce นี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กระบวนการพัฒนาโครงการดอยตุงที่ดำเนินการครบวงจร สัมผัสได้จริง ได้แก่ การพัฒนาขั้นต้นน้ำ(Upstream Development) การพัฒนาขั้นกลางน้ำ(Midstream Development) และการพัฒนาขั้นปลายน้ำ(Downstream Development) จนอาจกล่าวได้ว่าดอยตุงเปรียบเสมือน “มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต” ในด้านการพัฒนา

ทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิต มีรูปแบบและวิธีการแก้ปัญหาและการพัฒนาชุมชนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ครบถ้วนรอบด้านที่สุดทั้งในประเทศและในโลก สามารถให้คนได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในสภาพภูมิสังคมต่างๆ และเกิดประโยชน์ขยายวงสู่คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ” เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวเสริมท้าย

View :2228

ตลาดออนไลน์ Thaitrade.com ทางลัดสู่ตลาดโลก (ตอนที่1)

August 26th, 2011 No comments

ในยุคสังคมออนไลน์(Social Network) ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันทั่วทุกมุมโลก ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมาก มองเห็นถึงโอกาสในการทำตลาดบนโลกเสมือนจริงนี้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหลายรายที่ยังมีข้อกังวลว่า จะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อก้าวเข้าสู่สนามการค้าในยุคสังคมออนไลน์

ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจในเบื้องแรกก่อนว่า การตลาดในปัจจุบันนั้น มีแนวทางการดำเนินการอยู่ 2 แนวทางคือ การตลาดแบบ Offline Marketing ซึ่งเป็นการทำการตลาดโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ผ่านรูปแบบหรือกิจกรรม เช่น กิจกรรมทางโฆษณา การตลาดและการขายที่มองเห็นและจับต้องได้ อีกแนวทางหนึ่งคือการตลาดแบบ Online Marketing ซึ่งเป็นการตลาดที่มีกิจกรรมบนโลกไซเบอร์หรือผ่านระบบอินเตอร์เนตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การขาย การโฆษณาหรือการวางแผนการตลาด ซึ่งปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

ทั้งนี้ในช่วงเริ่มต้น การตลาดแบบออนไลน์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่การศึกษาหาข้อมูล และการทำความเข้าใจในวิธีการทำตลาดออนไลน์ที่ดี จะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่มเติมความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย การใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์นั้น สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และการให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใน 7 วัน บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทำผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาเรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์, ช่องทางการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อสารประเภทนี้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

กรณีศึกษาที่น่าสนใจจากผู้ประกอบการที่ดำเนินการตลาดแบบ Online Marketing เพียงอย่างเดียวคือ บริษัท Exportcity Group บริหารงานโดยคุณณัลลิกา ธนสรรค์นนท์ ที่สั่งสมประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจออนไลน์มากว่า 10 ปี และปัจจุบันยังเป็นสมาชิกระดับ gold ของเว็บไซต์ Alibaba.com ต่อเนื่องมา 5 ปี (5th year gold supplier on Alibaba) ได้แนะนำขั้นตอนการทำธุรกิจออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการไทยที่สนใจว่า สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเริ่มทำคือ

1. มีรูปภาพของสินค้าที่สามารถบอกรายละเอียด และสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
2. สมัครเข้าเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ B2B หลายๆ แห่งเพื่อสร้างเครดิตให้กับสินค้าและธุรกิจ โดยปัจจุบันเว็บไซต์ประเภทนี้มีมากกว่า 18,000 เว็บไซต์ ซึ่งผู้ประกอบการอาจเริ่มสมัครจากเว็บไซต์ในกลุ่มประเทศที่ต้องการจำหน่ายสินค้าเช่น ในแถบตะวันออกกลาง อย่าง อินเดีย ดูไบ ปากีสถาน ให้สมัครเป็นสมาชิกของกับ Alibaba และ go4worldbusiness.com สำหรับในเกาหลี มีเว็บไซต์ ezplaza.com ในญี่ปุ่นมี jetro ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เน้นทำธุรกิจ business matching และในไต้หวัน มีเว็บไซต์ tradkey.com เป็นต้น
3. จัดทำเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งการลงทุนต่ำสุดประมาณ 6,000 บาท ทั้งนี้เพราะ เว็บไซต์เป็นเสมือนกับหน้าร้านที่สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของบริษัท รวมทั้งรายละเอียดของสินค้าได้มากกว่าเว็บไซต์ B2B ที่เป็นสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกมากมายอยู่ในนั้น การจัดทำเว็บไซต์จึงเป็นการรองรับการทำธุรกิจอย่างแท้จริง

สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ คือ สินค้าต้องมีจุดเด่นและความแตกต่าง เพราะเว็บไซต์เป็นเหมือนถนนที่คนต้องเดินผ่าน หากสินค้าไม่สะดุด คนก็ไม่หยุดดู ดังนั้นสินค้าต้องมีจุดเด่น และแตกต่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้

ด้วยความสำคัญและเป็นรูปแบบการตลาดที่ยังเปิดกว้างไร้ขอบเขตให้กับผู้ประกอบการทุกราย กระทรวงพาณิชย์ จึงได้จัดทำ โครงการตลาดกลางซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้เว็บไซต์ชื่อ ขึ้น เพื่อเป็นตลาดกลางการซื้อขายสินค้าไทยแบบ B2B (หรือ B2B E-Marketplace) อย่างเป็นทางการของประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของการค้าบนโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจทั่วโลก หันมาใช้อีคอมเมิร์ซเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนของผู้ที่เข้าใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกไทยให้ก้าวสู่โลกการค้าในตลาดออนไลน์แบบ B2B ให้ประสบผลสำเร็จ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการค้าแบบออฟไลน์

และจากข้อมูลสถิติ www.internetworldstats.com ปี 2551 พบว่าการดำเนินธุรกิจอีคอนเมิร์ซ ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ร้อยละเฉลี่ย 80% อยู่ในรูปของ B2C แต่มีมูลค่าตลาด 45,951 ล้านบาท คิดเป็น 8.7 % ของมูลค่าตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศเท่านั้น ในขณะที่มูลค่าตลาดของ B2B ในปีเดียวกัน สูงถึง 190.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 36 % ของตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ดังนั้นกรมส่งเสริมการส่งออก จึงได้จัดทำเว็บไซต์thaitrade.com และตั้งเป้าให้เป็น Thailand B2B E-Marketplace เพื่อผลักดันให้สินค้าไทยออกไปสู่ตลาดโลก ซึ่งมีศักยภาพการซื้อขายสูง จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทย และโอกาสของการส่งออกไทยอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญยิ่ง.

View :2065