Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

สนข.รุกคืบพัฒนาระบบรายงานสภาพจราจรแบบ Real Time หลังจากประสบความสำเร็จเปิดเว็บไซต์ บริการข้อมูลรายงานจราจรผ่าน www.itsotp.net และทางระบบมือถือ m.itsotp.net

September 19th, 2011 No comments

ล่าสุดเพิ่มข้อมูลจากเครือข่ายกว่า10 หน่วยงาน เพื่อให้บริการข้อมูลทั้งด้านที่จอดรถ รายงานสภาพอากาศ เที่ยวบิน แบบเรียลไทม์ ช่วยเป็นตัวเลือกก่อนตัดสินใจเดินทางแก่ประชาชน พัฒนาขึ้นสู่ สังคมออนไลน์ Face book และ Smart Phone ถือเป็นรายเดียวที่ให้บริการข้อมูลครบสมบูรณ์

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากที่สนข.ได้เปิดให้บริการข้อมูลรายงานการจราจรแบบเรีลไทม์ ผ่าน www.itsotp.net และทางระบบมือถือ m.itsotp.net เมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากประชาชนกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี มีผู้เข้าใช้บริการทางเว็บไซต์กว่า 10,000 คนต่อเดือนและทางมือถืออีกว่า10,000 คนต่อเดือน และทางหน่วยงานได้มีการพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการเชื่อมต่อข้อมูลซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลจราจรจากหน่วยงานอื่นๆที่นอกเหนือจากหน่วยงานสนข.เอง อาทิ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กองบังคับการกองตำรวจจราจร กรุงเทพมหานคร กรมทางหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)เป็นต้น

“เราได้มีการพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติม ที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจก่อนการเดินทาง ล่าสุด ได้เพิ่มระบบรายงานที่จอดรถสาธารณะแบบReal Time ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินเฉลิมพระเกียรติ บีทีเอส และแอร์พอร์ตเวลลิงค์ กว่า 10 แห่ง ที่จอดรถสาธารณะ รฟม.กว่า100 แห่ง และที่จอดรถในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุม ซึ่งข้อมูลนี้จะรายงานจำนวนที่จอดรถว่าง อัตราค่าบริการ แผนที่ตั้งของที่จอดรถ นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่

มีระบบรายงานข้อมูลไฟล์การบินที่สนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แบบ Real Time สำหรับท่าอากาศยานในประเทศ 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ,เชียงใหม่,ภูเก็ต,หาดใหญ่ และแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

นอกจากนี้ยังมีระบบรายงานสภาพอากาศที่ได้เชื่อมต่อกับกรมอุตินิยมวิทยา ซึ่งช่วยให้ผู้เดินทางสามารถตรวจสอบสภาพอากาศของเมืองต่างๆทั้งในและต่างประเทศซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดและข้อมูลอนาคตได้อีกด้วย และปัจจุบันสนข.อยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมต่อข้อมูลเพิ่มเติมจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และศูนย์ควบคุมอาชญากรรมและสั่งการจราจรของตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี จัดทำระบบนำร่องการบริหารจัดการข้อมูลให้การบริการรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งระบบข้อมูลระบบขนส่งสาธารณะแบบ บูรณาการ ทั้งระบบอีกด้วย

นางสร้อยทิพย์กล่าวต่ออีกว่า ทางสนข.ได้เพิ่มช่องทางการให้ข้อมูลการจราจรผ่านเครือข่ายออนไลน์ Facebook โดยค้นหา “Thai Trafinfo Page ” จากนั้นกด Like หน้าดังกล่าว หรือสามารถ twitter ด้วยการสมัครFollwer ของ “ ThaiTrafinfo ” ติดตามข้อมูลการจราจรล่าสุด และรวมแชร์ข้อมูลให้กับเครือข่ายให้กับเพื่อนในสังคมออนไลน์ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ได้จัดทำระบบรายงานสภาพการจราจร ผ่านทางระบบมือถือแบบ Smart Phone ได้แก่โทรศัพท์ ไอโฟน และ สมาร์ทโฟน ต่างๆที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android และสามารถดาวโหลด แอพพลิเคชั่นชื่อ “ Thai Trafinfo ” ได้ทาง App Store ของ ไอโฟน และ Market ของระบบ Android นับเพิ่มความสะดวกให้กับคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

ระบบแนะนำข้อมูลการจราจรและการเดินทาง

ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้ทำการพัฒนาระบบรายงานสภาพการจราจรแบบ Real Time เพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสารสภาพจราจรแก่ประชาชนผู้เดินทางสำหรับใช้วางแผนการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในลักษณะของเส้นสีบนแผนที่โครงข่ายถนนซึ่งจำแนกตามระดับการติดขัดของการจราจร และภาพการจราจรจากกล้อง CCTV มาอย่างต่อเนื่องซึ่งแหล่งที่มาของข้อมูลสภาพจราจรนี้มีทั้งส่วนที่เป็นของสนข.เองและสนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กองบังคับการตำรวจจราจร กรุงเทพมหานคร กรมทางหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด(มหาชน) เป็นต้น โดยผู้เดินทางสามารถตรวจสอบข้อมูลก่อนเดินทางได้ทั้งทางเว็บไซต์ http://www.itsotp.net และทางระบบโทรศัพท์มือถือที่ m.itsotp.net ล่าสุด สนข.ได้ทำการพัฒนาและปรับปรุงระบบฯให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น มีการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องการเดินทางเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาวิธีการติดตามข้อมูลสภาพจราจรให้มีช่องทางหลากหลายเพิ่มขึ้น ได้แก่

 ระบบรายงานสภาพจราจรผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook โดยผู้เดินทางที่ใช้งาน Facebook สามารถติดตามข้อมูลได้โดยทำการค้นหา “Thai Trafinfo Page” จากนั้นกด “ ถูกใจ หรือ Like” Page ดังกล่าว เสร็จแล้วก็จะสามารถติดตามข้อมูลสภาพจราจรล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอดเวลา นอกจากนี้ ผู้เดินทางสามารถร่วมแชร์ข้อมูลสภาพจราจรให้เพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้รับทราบโดยการพิมพ์ข้อความรายงานสภาพจราจรบน Wall ของ Thai Trafinfo Page ได้อีกด้วย

 ระบบรายงานสภาพการจราจรผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ twitter โดยการสมัครเป็น Follower ของ “ThaiTrafinfo” ก็จะสามารถติดตามข้อมูลสภาพจราจรล่าสุดและร่วมแชร์ข้อมูลให้กับเพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน

 ระบบรายงานสภาพจราจรผ่านทางระบบโทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone ได้แก่ โทรศัพท์ และ Smart Phone ต่างๆที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android โดยสามารถ download แอพพลิเคชั่นชื่อ “Thai Trafinfo” ได้ทาง App Store ของ และ Market ของระบบ Android

 ระบบรายงานที่จอดรถสาธารณะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมรัชมงคล รถไฟฟ้าบีทีเอส และแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน และส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้น โดยผู้เดินทางสามารถตรวจสอบข้อมูลที่จอดรถสาธารณะบริเวณสถานีรถไฟฟ้าและบริเวณใกล้เคียง อาทิเช่น จำนวนที่จอดรถทั้งหมด จำนวนที่จอดรถว่างในขณะนั้น (ข้อมูลในส่วนนี้มีเฉพาะที่จอดรถตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลซึ่งสนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) แบบ Real Time โดยจัดทำเป็นโครงการนำร่องในที่จอดรถ 2 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดรถลาดพร้าวและศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) อัตราค่าบริการจอดรถ แผนที่ที่ตั้งของที่จอดรถ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการรายงานข้อมูลที่จอดรถสาธารณะประเภทอื่นๆ ในเขตกทม.และปริมณฑลด้วย อาทิเช่น ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุม เป็นต้น

 ระบบรายงานข้อมูลไฟลท์การบินที่สนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยผู้ใช้งานสามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลสถานะการบริการของไฟลท์การบินต่างๆ แบบ Real Time สำหรับท่าอากาศยานภายในประเทศจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

 ระบบรายงานสภาพอากาศที่สนข.ได้ทำการเชื่อมต่อข้อมูลมาจากกรมอุตุนิยมวิทยาซึ่งจะช่วยให้ผู้เดินทางสามารถตรวจสอบสภาพอากาศของเมืองต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยข้อมูลสภาพอากาศที่รายงานจะประกอบด้วยข้อมูลสภาพอากาศล่าสุด และข้อมูลการพยากรณ์สภาพอากาศล่วงหน้า

นอกจากนี้ ปัจจุบัน สนข.อยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมต่อข้อมูลเพิ่มเติมจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และศูนย์ควบคุมอาชญากรรมและสั่งการจราจรของตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี การจัดทำระบบนำร่องการบริหารจัดการข้อมูลการให้บริการรถไฟของการรถไฟแห่งประเทสไทย (รฟท.) รวมทั้งการพัฒนาระบบแนะนำการเดินทางทั้งที่เป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลและระบบขนส่งสาธารณะแบบบูรณาการซึ่งครอบคลุมทั้งระบบรถโดยสารประจำทาง รถไฟฟ้าและเรือโดยสารประจำทางด้วย

View :2759
Categories: Press/Release, Technology Tags:

กทท. จัดเสวนาเตรียมความพร้อมใช้ระบบ e-Gate เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ

September 19th, 2011 No comments

การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จัดเสวนาการผ่านเข้า-ออกประตูตรวจสอบอัตโนมัติ () สำหรับผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และพนักงาน กทท. รวมกว่า 250 คน ในวันที่ 20 กันยายน 2554 นี้ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติงานร่วมกัน รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ เปิดเผยว่า กทท.จะจัดเสวนาการผ่านเข้า-ออกประตูตรวจสอบอัตโนมัติ (e-Gate) สำหรับผู้ประกอบการหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและพนักงาน กทท. รวมกว่า 250 คน ในวันที่ 20 กันยายน 2554 นี้ ณ ห้องประชุมชั้น 19 อาคารที่ทำการ กทท.เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับระบบ e-Gate และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งเพื่อให้การปฏิบัติงานมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี ผศ.ดร.สมนึก คีรีโต ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและ อ.สุรชัย กรีวัชรินทร์ ผู้จัดการโครงการสถาบันฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์ นักบริหาร 15 ประจำผู้อำนวยการ กทท. และเจ้าหน้าที่ระดับสูง กทท. ร่วมเป็นวิทยากรในการเสวนาฯ

สำหรับการพัฒนาและติดตั้งระบบควบคุมการผ่านเข้า-ออก (e-Gate) ที่ ทกท. ตามโครงการพัฒนาสู่การบริการในระบบท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ () นั้น ขณะนี้ระบบฯ ดังกล่าวผ่านการทดสอบความพร้อมในการปฏิบัติงานและได้ทดลองระบบฯ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ควบคู่กับการเปิดลงทะเบียนทำบัตรอนุญาตบุคคลและยานพาหนะผ่านเข้า-ออก ทกท. สำหรับผู้ใช้บริการ โดยมีกำหนดเปิดใช้งานระบบ e-Gate เต็มรูปแบบทุกช่องทางในวันที่ 1 ตุลาคม 2554 นี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริการตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ หรือ ISPS Code (International Ship and Port Facilities Security Code)

ทั้งนี้ ได้มีการดำเนินการติดตั้งระบบ e-Gate ดังกล่าวที่ประตูด่านตรวจสอบจำนวน 3 ประตู และประตูด่านควบคุมภายในเขตรั้วศุลกากร ทกท. จำนวน 4 ประตู โดยเป็นการทำงานระบบอัตโนมัติด้วยการใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ในการอ่านหมายเลขตู้สินค้าและ RFID (Radio Frequency Identification) ในการตรวจสอบสิทธิบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออก ทกท. ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถตรวจสอบหมายเลข สภาพความชำรุดเสียหายของตู้สินค้า รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ของยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออกตามบัตร RFID ได้ทันที ซึ่งเจ้าของสินค้าจะต้องแจ้งข้อมูลทั้งหมดล่วงหน้า และมีการบันทึกลงบัตร RFID โดยกระบวนการตรวจสอบโดยผ่านบัตร RFID ดังกล่าว จะใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาที/คัน ซึ่งจะสามารถลดขั้นตอนด้านเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบข้อมูล การจราจรมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพด้านการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการ

View :1634

ไอดีซีเปิดตัวแอพพลิเคชันใหม่ ให้ผู้ใช้ไอโฟนและไอแพด เกาะติดเทรนด์เทคโนโลยีได้ทุกที่ทุกเวลา

September 19th, 2011 No comments

ไอดีซีเปิดโอกาสให้ซีไอโอและผู้บริหารที่ทำงานเกี่ยวข้องกับไอทีได้อัพเดตข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งเกาะติดเทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในแวดวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย/แปซิฟิกก่อนใคร ผ่านทางแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานได้บนไอโฟนและไอแพด

คือแอพพลิเคชั่นฟรีที่พัฒนาโดยไอดีซี ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานไอโฟนและไอแพดได้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับตลาดไอซีที พร้อมทั้งได้รับข้อคิดเห็นจากเหล่านักวิเคราะห์ของไอดีซีได้แบบทุกที่ทุกเวลา โดยไอดีซีจะนำเสนอข้อมูลที่ได้จากการวิจัยตลาดในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกได้นำไปใช้ประกอบการตัดสินใจจัดซื้อสินค้าและบริการด้านไอซีทีต่อไป

นายเจสัน โกรัท รองประธานฝ่าย Integrated Marketing Programs ของไอดีซีประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวถึงแอพพลิเคชั่นตัวใหม่นี้ว่า “ซีไอโอและผู้บริหารหลายท่านได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้นำหน้ากระแสที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในอุตสาหกรรมไอซีที วัตถุประสงค์หลักของแอพพลิเคชั่น Info On The Go ของไอดีซีคือการช่วยให้เหล่าผู้บริหารที่มีงานล้นมือทั้งหลายได้รับทราบถึงความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในแวดวงเทคโนโลยีที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของพวกเขาได้”

คุณสมบัติเด่นของแอพพลิเคชั่น Info On The Go คือการนำเสนอ:
• ข้อคิดเห็นจากนักวิเคราะห์ การวิเคราะห์ล่าสุดทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เพื่อช่วยให้คุณได้ตรวจสอบและเกาะติดเทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายๆ อุตสาหกรรม
• ข้อมูลอัพเดตและสถิติของการใช้จ่ายด้านไอซีทีล่าสุด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการลงทุนด้านไอซีที
• ข้อมูลเฉพาะเทคโนโลยีและเฉพาะอุตสาหกรรมกว่า 20 หมวดหมู่เช่น คลาวด์ สิ่งคำคัญสำหรับซีไอโอ ดาต้าเซ็นเตอร์ เวอร์ชวลไลเซชั่น แอพพลิเคชั่นบนมือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ท โซเชียลมีเดีย กลยุทธ์การสรรหา การบริการด้านการเงิน ข้อมูลภาครัฐและสาธาณสุข ภาคการผลิตและภาคค้าปลีก
• Who’s Who: แนะนำนักวิเคราะห์ของไอดีซีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในตลาดและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ประจำอยู่ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก
• อัพเดตล่าสุดเกี่ยวกับการการสัมมนา เวิร์คช็อป การประชุมโต๊ะกลม และ การบรรยายสรุปโดยนักวิเคราะห์ของไอดีซี ที่จัดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

โดยแอพพลิเคชั่น Info On The Go ของไอดีซีนั้นเปิดให้ผู้ใช้ไอโฟนและไอแพดได้ดาวน์โหลดจาก App Store

ไอดีซีจะทำการเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Info On The Go อย่างเป็นทางการในงานสัมมนา ’s Asia/Pacific Mobile Everything Conference ที่จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 15 กันยายน 2554 ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสัมมนาครั้งนี้ได้ที่ http://www.ap..asia/events/view/?event_id=172&loc_id=172

View :1866

สวทช/ก.วิทย์ ฯร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา/ก.พาณิชย์ ร่วมมือกันในการพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ ด้วยการคุ้มครองผลงานวิจัย

September 19th, 2011 No comments

ร่วมกับ (สวทช.)จัดพิธีลงนาม “บันทึกความตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนางานด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม” โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์) เป็นประธานและสักขีพยาน พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

โดย ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสวทช. กล่าวว่า “ผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งมีมากมาย และล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่สำคัญของประเทศ ผลงานวิจัยเหล่านี้เป็นผลงานที่สามารถได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในประเภทต่างๆ อาทิ สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ แบบผังภูมิวงจรรวม เป็นต้น นอกเหนือจากที่ สวทช.ได้ดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนคุ้มครองผลงานของตนแล้ว ยังให้บริการแก่ประชาชนในการยื่นขอจดทะเบียนคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาด้วย และทางด้านกรมทรัพย์สินทางปัญญาในฐานะที่เป็นหน่วยงานให้บริการจดทะเบียนคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาก็ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของ สวทช. ที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับการคุ้มครองผลงานวิจัย การส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ตามนโยบายและแผนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งกำหนดเป้าหมายในการยกระดับขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของไทย ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับ 11”

ดร.ทวีศักดิ์ กล่าวเสริมอีกว่า“นอกจากนี้ เพื่อให้บันทึกความตกลงนี้มีผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการแนบท้ายบันทึกความตกลง โดยในปี2555จะมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาระบบการตรวจสอบสิทธิบัตรให้มีประสิทธิภาพโดยการจัดทำคู่มือและการจัดการอบรมในเรื่องการตรวจสอบการประดิษฐ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี( หรือ TLO) ทั้งภายใต้สังกัด สวทช. และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วประเทศ จัดให้มีการสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมด้านการออกแบบ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้คำปรึกษาแก่นักวิจัยในประเด็นการพิจาณาความใหม่และขั้นการประดิษฐ์ของสิทธิบัตร รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติงาน “

View :1561

JoomlaDay Bangkok 2011

September 18th, 2011 No comments

กลับมาอีกครั้ง กับวันรวมพลคนใช้จูมล่าในประเทศไทย ครั้งที่ห้า พบกับบรรดานักพัฒนาจูมล่าจากทั่วโลก ที่จะมาร่วมแนะนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และแนวทางการประยุกต์และพัฒนาเว็บไซต์ด้วยจูมล่าในแขนงงานต่างๆ

จูมล่า (Joomla!) เป็นโปรแกรมโอเพนซอร์สที่ใช้ในการสร้างและจัดการเนื้อหาในเว็บไซต์ ที่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรี พร้อมทั้งยังมีส่วนเสริม (extensions) อีกกว่า 8,000 ตัวให้เลือกใช้ ปัจจุบัน จูมล่ามียอดดาวน์โหลดไปใช้งานแล้วกว่า 25 ล้านครั้ง รวมทั้งเว็บไซต์ขององค์กรใหญ่ๆ เช่น อีเบย์ ซิตี้แบงค์ เทสโก้โลตัส โฮมโปร ฯลฯ และองค์กรสำคัญในไทยอีกหลายสิบองค์กร

สมาคมศึกษาและพัฒนาโอเพนซอร์ส ร่วมกับ JoomlArt.com และ JoomlaCorner.com ขอเรียนเชิญนักพัฒนา และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมงาน “วันรวมพลคนใช้จูมล่าในประเทศไทย JoomlaDay Bangkok 2011″ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5
ในปีนี้ ทุกท่านจะได้พบกับวิทยากรนักพัฒนาในทีมจูมล่าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่มารวมตัวกันในโอกาสพิเศษนี้ เพื่อให้คำแนะนำการใช้งานจูมล่าในแง่มุมต่างๆ อาทิ การแนะนำจูมล่า เวอร์ชัน 1.7 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งแนวทางการพัฒนาในเวอร์ชันต่อๆ ไป, การพัฒนาจูมล่า กับงาน e-Commerce, HTML5, SEO และ Cloud Hosting, การขยายเว็บไซต์เพื่อรองรับการเติบโต (Scalability), รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับจูมล่า และการพัฒนาเว็บไซต์
การจัดงานจะเป็นรูปแบบของการสัมมนา ทั้งการสัมมนารวมในห้องใหญ่ และการแบ่งย้องห้องสัมมนาออกเป็น 2 ห้อง เพื่อที่ผู้ร่วมสัมมนาจะได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น กับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิกว่าสิบท่าน อาทิ
1. Mr. Mark Dexter – Production Leadership Team, Bug Squad Coordinator, Joomla.org จาก Washington
2. คุณอัครวุฒิ ตำราเรียง – Board member Open Source Matters, Joomla.org
3. Mr. Mitch Pirtle – Co-Founder of Joomla! และผู้พัฒนา MongoDB จาก New York
4. Mr. Johan Janssens – CEO of Timble และ Co-Founder of Joomla! จาก Belgium
5. Mr. Peter Martin – Community Leadership Team, Joomla.org จาก Netherlands
6. Mr. Emmanuel Danan – FLEXIcontent Lead developer จาก France
7. คุณกิตติวัฒน์ มโนสุทธิ – CEO Pacific Net Venture ผู้เชี่ยวชาญ Cloud Hosting
8. คุณศิวัตร เชาวรียวงษ์ – กรรมการผู้จัดการ mInteraction ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด
9. คุณปภาดา อมรนุรัตน์กุล – กรรมการบริษัท RedRank จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO
พร้อมทั้งวิทยากรจาก HTC ประเทศไทย และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อีกหลายท่าน

ค่าใช้จ่ายในการร่วมงาน JoomlaDay Bangkok 2011 ท่านละ 950 บาท หรือหากชำระภายในวันที่ 15 ตุลาคม จะเหลือเพียง 890 บาท ซึ่งนอกจากสิทธิ์ในการเข้าร่วมสัมมนา ท่านจะได้รับ เสื้อยืดสกรีนโลโก้จูมล่าลายลิขสิทธิ์แท้ 1 ตัว, อาหารกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์ 1 มื้อ และกาแฟพร้อมอาหารว่างช่วงพักเบรค 2 มื้อ พร้อมทั้งสิทธิ์ในการร่วมลุ้นของรางวัลมากมายภายในงาน อาทิ คูปองสำหรับบอกรับเป็นสมาชิก extensions จาก redCOMPONENT.com 1 ปี มูลค่า €69 จำนวน 25 รางวัล, สมาชิกเทมเพลตจาก JoomlArt.com ประเภท Standard 1 ปี มูลค่า $70 จำนวน 10 รางวัล และประเภท Developer มูลค่า $499 จำนวน 1 รางวัล เป็นต้น

งานรวมพลคนใช้จูมล่าในประเทศไทย JoomlaDay Bangkok 2011 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2554 เวลา 8:30 – 16:30 น. ณ ห้องราชเทวีแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเอเซีย กรุงเทพฯ (สถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี) นักพัฒนา ตลอดจนผู้ที่สนใจทุกท่าน สามารถลงทะเบียนหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.joomladay.in.th หรือโทร. 0 2717 1120-1

View :1296

กรมส่งเสริมการส่งออกได้ฤกษ์เปิดตัว www.thaitrade.com นำสินค้าไทยบุกตลาดโลก

September 16th, 2011 No comments

เปิดตัว อย่างเป็นทางการ หวังเป็นช่องทางการค้าขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ แบบ B2B ช่วยผู้ประกอบการชาวไทยสร้างรายได้เพิ่ม คาดหวังยอดสั่งซื้อจาก 43 ประเทศทั่วโลก ปีละไม่ต่ำกว่า 600,000 ล้านบาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออก ได้เล็งเห็นความสำคัญและศักยภาพของ E-Commerce จึง ได้จัดให้มีโครงการดีๆ อย่าง thaitrade.com ขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางการส่งเสริมการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสกระจายสินค้าไปสู่ผู้ซื้อทั่วโลก ซึ่งเว็บไซต์นี้ จะเป็นช่องทางการค้ารูปแบบใหม่ที่จะช่วยสร้างโอกาส และศักยภาพทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี และมีความมั่นใจว่า thaitrade.com ภายใต้การดูแลของกรมส่งเสริมการส่งออก จะมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือในระดับสากล เนื่องจากเป็นหนึ่งในหน่วยงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศชั้นนำของเอเชีย นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการส่งออกยังมีการคัดกรองคุณภาพมาตรฐานผู้ค้าออนไลน์ที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อต่างประเทศได้เป็นอย่างดี โดยได้เชิญทูตานุทูต หน่วยงานส่งเสริมการค้าของประเทศต่างๆ ที่ประจำในประเทศไทย บริษัทชั้นนำของไทย ผู้ประกอบการชาวไทย ผู้แทนจากหน่วยงานและสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมการค้า หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่มีส่วนในการผลักดันการค้าการส่งออกของไทย เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้นับพันคน

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายสินค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ ในรูปแบบ B2B ไม่ต่ำกว่าปีละ 190,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดอีคอมเมิร์ซรวมทั่วประเทศ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผู้ประกอบการต่างทำเว็บไซต์ของตนเอง ไม่มีแหล่งรวบรวมสินค้าในรูปแบบรวมศูนย์ ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานรับรองให้กับผู้ซื้อที่อยู่ต่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก มีภารกิจหลักในการผลักดันสินค้าไทยไปสู่ตลาดโลก จึงเป็นที่มาของการจัดทำเว็บไซต์ www.thaitrade.com เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการชาวไทย ออกไปสู่สายตาของชาวโลก ในรูปแบบของธุรกิจกับธุรกิจ ( B2B ) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกแล้วจำนวนหลายพันราย

“ การเปิดตัวเว็บไซต์ www.thaitrade.com อย่างเป็นทางการในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการชาวไทย ที่มีความสนใจอยากนำสินค้าของตนเองเปิดตลาดผ่านระบบอีคอมเมิร์ซของกรมฯ ไปสู่ตลาดโลก โดยมีทีมงานมืออาชีพคอยดูแล และเป็นผู้ดำเนินการบริหารเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จ ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด และไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านไอทีระดับสูง เพราะระบบถูกสร้างมาเพื่อให้ใช้งานง่ายอยู่แล้ว กรมส่งเสริมการส่งออก ในฐานะผู้จัดแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ มายาวนานกว่า 20 ปี มีเครือข่ายกับผู้ประกอบการไทย และผู้ซื้อจากทั่วโลก จึงได้นำจุดเด่นด้านออฟไลน์ มาเสริมกับด้านออนไลน์ และดำเนินการคู่ขนานกันไป ด้วยกิจกรรมการตลาดและโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ผ่านจุดแข็งของกรมฯ คือ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ65 แห่ง ใน 43 ประเทศทั่วโลก เพื่อประชาสัมพันธ์ และคัดสรรผู้ซื้อที่มีศักยภาพในประเทศที่ดูแล และประสานให้ผู้ซื้อที่ต้องการซื้อสินค้าไทยในเว็บไซต์ thaitrade.com อย่างสม่ำเสมอ ” นางนันทวัลย์กล่าว

นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแผนที่จะนำ www.thaitrade.com ไปเป็นพันธมิตรกับองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทำการค้าออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ไปรษณีย์ไทย และองค์กรที่เคยมีความร่วมมือต่อกันแล้วได้แก่ E-bay (B2C) ของสหรัฐฯ HKTDC (B2B) ของฮ่องกง Rakuten (B2C) ของญี่ปุ่น บางองค์กรที่ต้องการเป็นพันธมิตรและได้มีการประชุมหารือกันไปบ้างแล้ว เช่น Pantavanij.com ( B2B ) ของไทย Alibaba.com (B2B) ของจีน ซึ่งจุดเด่นของพันธมิตรส่วนใหญ่คือจะมีฐานข้อมูลผู้ซื้อแบบออนไลน์ที่มีคุณภาพจำนวนมหาศาล ในขณะที่ www.thaitrade.com มีจุดเด่นคือ ฐานข้อมูลผู้ส่งออกที่มีคุณภาพ ศักยภาพ และผ่านการคัดกรองจากกรมฯ มาแล้วเป็นอย่างดี

ทังนี้ ผู้ประกอบการผู้สนใจ สามารถสมัครเข้ามาใช้บริการได้ฟรี ได้ที่หน้าเว็บไซต์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ DEP Call Center 1169 โทรศัพท์ 02–685-1169 โทรสาร 02 530 9791 หรือ e-mail : ecommerce@depthai.go.th , ecommerce.dep@gmail.com www.facebook.com/ThaitradeDotCom

View :1715

ก.ไอซีที ยกระดับการพัฒนา TH e-GIF เพื่อก้าวสู่ SMART e-Government Thailand

September 16th, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนา “ยกระดับการพัฒนา เพื่อก้าวสู่ ” ว่า กระทรวงฯ ได้ดำเนินโครงการพัฒนากรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (Thailand e-Government Interoperability Framework: TH e-GIF) เพื่อพัฒนาบริการภาครัฐและบูรณาการระบบข้อมูลภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพในการบริหารราชการเพิ่มขึ้น และยกระดับความสามารถในการให้บริการแก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการพัฒนากรอบแนวทางในการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานตลอดมา จนปัจจุบันได้พัฒนามาถึงเวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งกรอบแนวทางดังกล่าวได้เสนอแนะวิธีการพัฒนาระบบบูรณาการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ไว้ 10 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การเตรียมการเบื้องต้น การกำหนดวิสัยทัศน์ การจัดทำสถาปัตยกรรมในด้านต่างๆ ไปจนถึงการกำกับดูแล และปรับปรุงมาตรฐาน ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะมีบุคลากรในแต่ละระดับที่เกี่ยวข้องแตกต่างกันไปตามลักษณะการปฏิบัติงาน

“ในการดำเนินงานปีงบประมาณ 2553 ได้มีการสำรวจสถานภาพการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อกำหนดแผนการดำเนินงาน (Road Map) ในการจัดทำมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งพบว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการผลักดันให้เกิดมาตรฐานข้อมูลร่วมเฉพาะกลุ่มธุรกรรม (Domain Specific Core Set) สำหรับกลุ่มผู้ใช้ข้อมูลร่วมกันในแต่ละด้าน เพื่อมุ่งสู่การสร้างมาตรฐานข้อมูลกลางของประเทศ (Universal Core Set) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใช้ข้อมูลด้านการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ

นอกจากนั้น รัฐบาลและกระทรวงฯ ยังมีนโยบายที่ต้องการพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรทั่วประเทศ ดังนั้น ในการดำเนินงานปีงบประมาณ 2554 กระทรวงฯ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมประมง กรมปศุสัตว์ รวมไปถึงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนเกษตรกร และร่วมกันพัฒนามาตรฐานข้อมูลและกระบวนการเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อการบริหารจัดการการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ หรือ “Agriculture Disaster Relief Information System (Aggie DRIS)” ซึ่งการพัฒนาระบบดังกล่าวจะเป็นการ บูรณาการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ และบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และส่วนที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์การเกษตร ตามวิธีการที่ได้เสนอแนะไว้ในกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ” นางจีราวรรณ กล่าว

และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ได้รับทราบผลการดำเนินงาน และมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาระบบเชื่อมโยงแบบบูรณาการ ตามกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติมากขึ้น รวมทั้งให้สามารถนำเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานตนเองได้ กระทรวงฯ จึงได้จัดการสัมมนาครั้งนี้ขึ้น เพื่อเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ได้เห็นถึงประโยชน์รวมถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จของการจัดทำมาตรฐานข้อมูลและกระบวนการเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ จากกรณีศึกษาของระบบมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อการบริหารจัดการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (Aggie DRIS) ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างเป็นรูปธรรม

“ในงานสัมมนาดังกล่าว จะมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ “ข้อเสนอด้านกลไกความร่วมมือเพื่อผลักดันการจัดทำมาตรฐาน และพัฒนาระบบเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในภาพรวมของประเทศ” รวมทั้ง “ระบบทะเบียนกลางเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ และบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ” ให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนผู้สนใจ จำนวนประมาณ 300 คนได้รับทราบ ซึ่งกลไกดังกล่าวจะเป็นข้อเสนอสำคัญในการผลักดันความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐในวงกว้างมากขึ้น รวมทั้งเพื่อพัฒนามาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ และส่งเสริมการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในระดับที่ก้าวหน้าขึ้นของประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องและสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลด้าน SMART e-Government Thailand ด้วย” นางจีราวรรณ กล่าว

นอกจากนี้ในการดำเนินงานปี 2554 กระทรวงฯ ยังจะทำมีการผลักดัน และสนับสนุนการจัดตั้งคณะกรรมการมาตรฐานการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานด้านมาตรฐานการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ตลอดจนแก้ไขปัญหา และอุปสรรค พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐที่จะทำให้เกิดการบูรณาการข้อมูลในระดับประเทศต่อไป

View :1431

ดีแทควางจำหน่าย แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 แล้ว 17 กันยายนนี้

September 16th, 2011 No comments


นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ และนายปภาพรต ภู่ประเสริฐ (ขวา) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) พร้อมด้วยนายนิก ยูง (กลาง) ผู้จัดการอาวุโส ประจำประเทศไทย บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (ริม) ร่วมกันแนะนำแบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 รุ่นใหม่ล่าสุดที่วางจำหน่ายโดยดีแทคพร้อมโปรโมชั่นที่แรงที่สุดในรอบปีผนวกของแถม แพ็กเกจ และข้อเสนอในการชำระเงินที่น่าสนใจ เมื่อลูกค้าซื้อ แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 ที่ดีแทคเซ็นเตอร์ และสำนักงานบริการลูกค้าดีแทคตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน ถึง 16 ตุลาคมนี้ รับฟรี Jabra Bluetooth BT2035 มูลค่า 790 บาท, ผ่อน 0% นาน 10 เดือน และรับเงินคืนสูงสุด 15% จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ และ ใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ต 3G/EDGE ได้ไม่จำกัดในราคาเพียงเดือนละ 350 บาทเท่านั้น หรือซื้อผ่านทางเว็บไซต์พร้อมโปรโมชั่นพิเศษที่ www..co.th/onlinestore/ (เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามข้อกำหนดใน online store เว็บไซต์)

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดของเครื่องและแพ็กเกจเพิ่มเติมได้ที่ www.dtac.co.th/blackberry

View :1455

ไซแมนเทคจัดงานประชุม Asia South Partner Engage Conference ที่ฮ่องกง

September 16th, 2011 No comments

ชี้คลาวด์คอมพิวติ้ง(cloud computing )เวอร์ช่วลไลเซชั่น(virtualisation) และ โมบิลิตี้(mobility) คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพาร์ทเนอร์ในภูมิภาคเอเชียใต้

Symantec Corp. (SYMC ใน Nasdaq:) ในวันนี้ ให้การต้อนรับผู้บริหารของพาร์ทเนอร์ 150 ราย เข้าร่วมงาน Asia South Region Partner Engage Conference 2011 ณ โรงแรม Langham Place ประเทศฮ่องกง ในงานมีคำกล่าวปราศัยที่สำคัญของผู้บริหารจากไซแมนเทค อาทิ มร.เบอร์นาร์ด ควอค รองประธานอาวุโส ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, มร.เอริค โฮ รองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียใต้, มร.เดวิด เดนเชียน รองประธาน ฝ่ายพาร์ทเนอร์และธุรกิจเอสเอ็มบี ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและญี่ปุ่น, มร. ฟิลิป แยพ, รองประธานฝ่ายการตลาด ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคและญี่ปุ่น และมร.เรย์มอน โก๊ะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมระบบ ภูมิภาคเอเชียใต้

งานประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลักของงานในเรื่อง “Power Your Business” เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้พาร์ทเนอร์ได้รับฟังกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของไซแมนเทค พร้อมทั้งได้รับทราบทิศทางของธุรกิจที่เป็นประโยชน์ในการเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจของพาร์ทเนอร์ และยังได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ สร้างเครือข่าย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารของไซแมนเทค และผู้ประกอบการท่านอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย

ผู้บริหารของไซแมนเทค ถือโอกาสนี้ในการเฉลิมฉลองความสำเร็จของโปรแกรม enhanced Symantec Partner Programme ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีก และชึ้ให้เห็นว่าเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เวอร์ช่วลไลเซชั่น(virtualisation) คลาวด์ คอมพิวติ้ง (cloud computing) และ โมบิลิตี้ (mobility) สามารถจะใช้ประโยชน์จากโปรแกรมดังกล่าวเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับช่องทางในการดำเนินธุรกิจ

เปลี่ยนเทรนด์เทคโนโลยีให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ

มร. เบอร์นาร์ด ควอด รองประธานอาวุโส ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัท กล่าวว่า “ภัยคุกคามมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นและมีเป้าหมายสร้างความเสียหายในวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้น องค์กรต่างๆ ยังมีความกังวลใจในเรื่องการจัดเก็บข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ เทรนด์เทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง )cloud computing) เวอร์ช่วลไลเซชั่น (virtualisation) และโมบิลิตี้ (mobility) กำลังมีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมและส่งผลต่ออุตสาหกรรมในวงกว้าง ตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่ จนถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อย่างเท่าเทียมกัน” มร.ควอด กล่าวเสริมว่า “เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความยุ่งยากกังวลใจดังกล่าว ไซแมนเทคได้พัฒนาเทคโนโลยีที่สอดคล้องและตอบสนองต่อธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งกลุ่มพาร์ทเนอร์เองก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถนำโอกาสจากเทรนด์เทคโนโลยีเหล่านี้ มาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้”

มร.เอริค โฮ รองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียใต้ บริษัท ไซแมนเทค กล่าวเสริมว่า “การที่จะประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน องค์กรธุรกิจต้องมีกลยุทธ์ในการใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง ทั้ง Cloud Computing, virtualisation และ mobility เป็นเทรนด์หลักเพื่อการพัฒนา ในการนำมาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจในการแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัย สตอเรจและการจัดการบริหารระบบ ในขณะเดียวกัน ระบบต่างๆ ดังกล่าวยังสร้างโอกาสที่สำคัญให้พาร์ทเนอร์ของเรา เพิ่มศักยภาพด้านรายได้และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยการให้ความช่วยเหลือและแนะนำลูกค้า สามารถเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ได้โดยไม่สร้างความซับซ้อนยุ่งยากและความเสี่ยงให้เพิ่มขึ้น

ความสำเร็จของ Enhanced Symantec Partner

ไซแมนเทค ได้พัฒนาโปรแกรม Enhanced Symantec Partner และเปิดตัวโปรแกรมดังกล่าวไปเมื่อ 1 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา การพัฒนาดังกล่าวฯ เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถของพาร์ทเนอร์ โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อให้พาร์ทเนอร์สามารถคาดการณ์การเติบโตและสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจ ทั้งนี้ พาร์ทเนอร์สามารถพัฒนาสู่ผู้ให้บริการความเชี่ยวชาญพิเศษ Specialisations โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้พาร์ทเนอร์ได้รับความรู้ในเชิงลึกและได้ประโยชน์ในกระบวนการแก้ไขปัญหาการใช้งาน ปัจจุบันนี้ พาร์ทเนอร์กว่า 350 รายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค และญี่ปุ่น ได้พัฒนาเป็นผู้ให้บริการที่เชียวชาญในการแก้ไขปัญหา )Solution Specialisation) จากจำนวนผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญทั้งหมดกว่า 2,000 รายทั่วทั้งภูมิภาค

“ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคและญี่ปุ่น เป็นเป้าหมายแรกในเชิงภูมิศาสตร์ของเรา ในการเปลี่ยนพาร์ทเนอร์ของเราให้เข้าสู่โปรแกรมไซแมนเทค พาร์ทเนอร์ (Symantec Partner) ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดโปรแกรมนี้ ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มทักษะความเชี่ยวชาญพิเศษและความรู้ให้แก่พาร์ทเนอร์ของเรา สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าและช่วยเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า” มร.เดวิด เดนเชียน รองประธาน ฝ่ายพาร์ทเนอร์และธุรกิจเอสเอ็มบี ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวและว่า “จากการเปิดตัวโปรแกรม ได้รับผลตอบรับจากพาร์ทเนอร์เป็นอย่างดี โดยพาร์ทเนอร์หลายรายสามารถบรรลุเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดได้”

นับตั้งแต่การประกาศพัฒนาโปรแกรมสำหรับพาร์ทเนอร์ดังกล่าว ในปีที่ผ่านมา พาร์ทเนอร์ของไซแมนเทค ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคและญี่ปุ่นได้รับมอบ 9 Solution Specialisations , 1 Market Segment Specialisation, และ 8 Master Specialisations

กลยุทธ์และวิสัยทัศน์สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายของไซแมนเทค

“ไซแมนเทค เป็นบริษัทที่สร้างรายได้มหาศาลโดยผ่านเครือข่ายของพาร์ทเนอร์ทั้งหลาย วิสัยทัศน์ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายของเรานั้น คือ การสร้างความสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์ โดยให้ความช่วยเหลือในการนำเสนอ โอกาสใหม่ๆ ให้พาร์ทเนอร์เพื่อกระตุ้นการเติบโต รวมถึงการนำเสนอโซลูชั่น ที่เป็นผู้นำในตลาด ช่วยให้พาร์ทเนอร์สามารถบริหารจัดการดูแลในเรื่องความปลอดภัยและการบริหารจัดการข้อมูลของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับโครงการความเชี่ยวชาญพิเศษ Specialisations พาร์ทเนอร์สามารถเพิ่มมูลค่าให้โซลูชั่นและการบริการ สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันในตลาด”

“สำหรับโปรแกรม Enhanced Partner เราได้นำเสนอวิสัยทัศน์เพื่อการนำไปสู่การปฏิบัติ ในการช่วยเหลือพาร์ทเนอร์ของเราได้มีความแตกต่างทางธุรกิจ เพราะระบบการบริหารจัดการในเรื่องความปลอดภัยและการบริหารจัดการระดับโลกของไซแมนเทค ครอบคลุม การจัดเก็บ การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการ และการป้องกันข้อมูล ก่อให้เกิดการผลกำไรสูงสุดจากการลงทุน ยอดขายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขีดความสามารถทางด้านวิชาการและธุรกิจ ช่วยผลักดันผลกำไร โดยการปรับปรุงวงจรการขายของพาร์ทเนอร์ด้วยเครื่องมือทางการตลาดใหม่ๆ และทรัพยากรต่างๆ ที่สนับสนุนการขาย” มร. เดนเชียน กล่าวเสริม

เมื่อพาร์ทเนอร์ได้รู้จักและพัฒนาไปสู่โปรแกรมความเชี่ยวชาญพิเศษและความชำนาญทางธุรกิจอย่างถ่องแท้แล้ว บริษัทไซแมนเทค ยังคงเดินหน้าในการจัดเตรียมหาเครื่องมือและทรัพยากรที่ส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจใหม่ต่อไป

· “แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการที่ต้องเร่งเสริมสร้างศักยภาพและกำลังการผลิต หลายๆ บริษัทต่างหันมาใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน เช่น เวอร์ช่วลไลซ์เซซั่นและคลาวด์คอมพิวติ้ง ดังนั้น โปรแกรม Symantec Partner Programmme ที่ได้นำมาใช้ไปพร้อมกับโปรแกรมความเชี่ยวชาญพิเศษ ช่วยเพิ่มความความเชี่ยวชาญและทักษะที่จำเป็นในสาขาเทคโนโลยีหลักๆ ช่วยให้เราสามารถคาดการณ์การเติบโตและผลกำไรในการเติบโตทางธุรกิจของเราได้”

-มร. ฟรานซิส ชู กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินแกรม ไมโคร เอเชีย จำกัด (Ingram Micro Asia Ltd)
· “การที่บริษัทแอกเซล ฟรอนท์ไลน์ (Accel Frontline) ได้เป็นพาร์ทเนอร์ของไซแมนเทค เหมือนกับการได้รับรางวัลนี้ จากความมุ่งมั่นของเราในโปรแกรมความเชี่ยวชาญพิเศษและผ่านการรับรองจากบริษัทไซแมนเทค ทำให้เรามีความโดดเด่นในฐานะบริษัทผู้วางระบบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสิ่อสารโทรคมนาคมอย่างครบวงจร ไซแมนเทคเป็นบริษัทที่นำเสนอโซลูชั่นที่มีศักยภาพสูงในการตอบสนองต่อความต้องการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ช่วยให้เราจัดสรรระบบที่เหมาะสมให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการ เรามีความภูมิใจในการเป็นพาร์ทเนอร์ระดับแพลททินั่มในประเทศอินเดีย นอกจากนั้นโปรแกรมเพิ่มพูนศักยภาพพาร์ทเนอร์ของทางไซแมนเทคยังสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของเราได้อย่างดี”

–มร.มาคบูล ฮัสสัน รองประธานบริหารและหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แอกเซล ฟรอนท์ไลน์ จำกัด (อินเดีย) Accel Frontline Ltd (India)
· “บริษัท เอฟพีที อินฟอร์เมชั่น คอร์ปอเรชั่น (FPT Information Corporation) จัดเป็นพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าของไซแมนเทค ในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะตลาดด้านภาครัฐ การสื่อสารโทรคมนาคม ด้านสาธารณะและอุตสาหกรรมการเงิน ตลอดระยะเวลาในการเป็นพาร์ทเนอร์ เราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านการปกป้องข้อมูลโดยสามารถให้บริการโซลูชั่นจากผู้นำตลาดด้านการรักษาความปลอดภัยและโซลูชั่นด้านการจัดเก็บข้อมูลของบริษัทได้อย่างเป็นอย่างดี ทั้งนี้บริษัท เอฟพีที อินฟอร์เมชั่น คอร์ปอเรชั่น มีวิสัยทัศน์ในระดับสากลและในฐานะพาร์ทเนอร์ระดับแพลททินั่มของไซแมนเทค รวมถึงการเป็นผู้นำในด้านการวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมอย่างครบวงจร ในประเทศเวียดนาม การได้รับประโยชน์จากโปรแกรมความเชี่ยวชาญพิเศษจากไซแมนเทค ไปพร้อมกับการเป็นพาร์ทเนอร์อย่างเหนียวแน่น ยังทำให้เรากลายเป็นบริษัทระดับโลกและเพิ่มคุณค่าในด้านการบริการให้กับลูกค้าของเราอีกด้วย ”

–มร.ฟาร์ม เทรือ ลินห์, กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟพีที คอร์ปอเรชั่น สำหรับ การสื่อสารโทรคมนาคมและภาครัฐ (เวียตนาม) FPT Information for Telecom and Public Sector Services (Vietnam)
· “โปรแกรมความเชี่ยวชาญพิเศษของไซแมนเทค และการได้รับการรับรอง ทำให้บริษัท เมสินเนียกา เบอร์ฮาด (Mesiniaga Berhad) มีความแตกต่างไปจากบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรม รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าในการนำเสนอธุรกิจของเรา ไซแมนเทคมีขอบข่ายในการแก้ไขปัญหาอย่างกว้างขวางสามารถสร้างเสริมทักษะได้อย่างดี พร้อมยังตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าได้ การได้เป็นพาร์ทเนอร์ระดับแพลททินั่มกับทาง ไซแมนเทคช่วยให้ บริษัท เมสินเนียกา เบอร์ฮาด (Mesiniaga Berhad) นำประโยชน์และสิ่งที่มีคุณค่าที่เกี่ยวข้องส่งต่อให้ลูกค้าได้ต่อไป เรามีความยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งในพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของไซแมนเทครุ่นแรกๆ ในประเทศมาเลเซียที่ได้รับการเปลี่ยนมาสู่โปรแกรม Enhanced Symantec Partner ”

–มร. เกง โฮ วอง ผู้อำนวยการการจัดการบริหารโครงการและโซลูชั่นทางการตลาด บริษัท เมสินเนียกา เบอร์ฮาด (มาเลเซีย) Mesiniaga Berhad (Malaysia)
· “ความแตกต่างทางธุรกิจกลายเป็นตัวแปรสำคัญเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จเมื่อการแข่งขันในตลาดเพิ่มสูงขึ้น โปรแกรม enhanced Partner พร้อมด้วยโปรแกรมความเชี่ยวชาญพิเศษของบริษัทไซแมนเทค ทำให้บริษัทเราตระหนักถึง ความชำนาญในเทคโนโลยีตัวหลักสำคัญของเรา ช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ ในอุตสาหกรรม และสำคัญที่สุดคือการทำให้ลูกค้าของเราเพิ่มความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญและความรู้ของเราว่าเหมาะสมกับธุรกิจและเป้าหมายทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ”

–นายอรุณ ต่อเอกบัณฑิต, ประธาน บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย) Metro Systems Corporation PCL (Thailand)
· “บริษัทเอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC) มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพทางเศรษฐกิจและแนวโน้มในอนาคต โดยการลงทุนเพิ่มบุคลากรและการพัฒนาเทคโนโลยี การเป็นพาร์ทเนอร์กับทางผู้จัดจำหน่ายต่างๆ นำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์ การให้บริการที่ตรงตามความต้องการของตลาด โปรแกรมของบริษัทไซแมนเทค นี้ช่วยให้เรามีความแตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ ในเครือข่ายด้านเทคโนโลยี รวมถึงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทีมในการดำเนินงานให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าเพื่อแข่งขันและประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจเครือข่าย”

–นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)MFEC Public Company Ltd (Thailand)
· “บริษัทต่างๆ และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต้องประสบกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นในด้านระบบพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการป้องกันตัวเองจากความซับซ้อนและปัญหาภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ที่ยุ่งยาก รวมถึงการความต้องการในการจัดเก็บข้อมูล พร้อมข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น การเป็นพาร์ทเนอร์ระดับแพลททินั่มด้าน Storage Management, Archiving & eDiscovery, Data Protection and High Availability specialised Partner (Platinum) โปรแกรม Symantec enhanced Partner เป็นเครื่องมือสร้างทักษะความชำนาญและความรู้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสามารถบอกจุดอ่อนด้อยต่างๆได้ เป็นความร่วมมือที่ยอดเยี่ยมและหวังว่าจะเติบโตไปพร้อมกับทางไซแมนเทค”

–มร.วินเซนต์ โล ผู้จัดการทั่วไปด้านผลิตภัณฑ์และบริการ บริษัท เอ็นซีเอส พีทีอี จำกัด (สิงคโปร์) NCS Pte Ltd (Singapore)
· “โปรแกรม Symantec enhanced Partner เพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทเราในด้านเครือข่ายเทคโนโลยี ให้มีความแข็งแกร่งสำหรับการแข่งขันในตลาด ในฐานะพาร์ทเนอร์ระดับแพลททินั่ม เราจะรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับทาง ไซแมนเทคในการนำเสนอผลงานด้านการรักษาความปลอดภัยและการจัดเก็บข้อมูลสู่ลูกค้าของเราต่อไป.”

–มร.จาฟริล เอฟเฟนดิ ประธานอำนวยการ บริษัท พีที มิตรา อินเอตร์กราสิ อินฟอร์มาติกา จำกัด (อินโดนีเซีย) PT. Mitra Integrasi Informatika (Indonesia)
· “บริษัทไซแมนเทค มีโซลูชั่นด้านจัดเก็บข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยที่หลากหลาย เราสามารถนำไปเสนอต่อลูกค้าได้ ในปีนี้ทางบริษัท ครีเอทีฟ เทคโนโลยี อิงค์ (Creative Technologies Inc.) จะทำการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีในวงการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ การเป็นพาร์ทเนอร์กับไซแมนเทค ทำให้เราได้รับความช่วยเหลือ ทำให้บริษัทของเราเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราชื่นชมการช่วยแก้ไขตั้งแต่เริ่มต้นจนจบของบริษัท ไซแมนเทคในด้านวางระบบพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการช่วยจัดเตรียมการป้องกันข้อมูลให้กับลูกค้า ในฐานะพาร์ทเนอร์ระดับโกลด์ เราได้ก้าวถึงความเชี่ยวชาญพิเศษ สร้างทักษะและความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ รวมทั้งยังช่วยให้เราเป็นที่ยอมรับต่อลูกค้าในด้านความชำนาญในการให้บริการและการสนับสนุน”

–มร.จาคอบ ดี รองประธานด้านการขายและการตลาด บริษัท ครีเอทีฟ เทคโนโลยี อิงค์ (ฟิลิปปินส์) Creative Technologies Inc. (Philippines)
· “ความสัมพันธ์ของเรากับทางไซแมนเทค มากกว่าทศวรรษ เราชื่นชมในโปรแกรม Symantec Partner ช่วยสร้างคุณประโยชน์และความแตกต่างในการนำเสนอต่อลูกค้า ความต้องการลดความซับซ้อนในสภาพแวดล้อมของลูกค้า ความเป็นผู้นำและความเหนือชั้นทางด้านเทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ของทางไซแมนเทค ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างทักษะของบริษัทเราช่วยสร้างผลประโยชน์อย่างยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าของเรา การมุ่งเน้นไปโปรแกรมความเชี่ยวชาญพิเศษ ข้อเสนอของเราเน้นที่ความแตกต่างมากขึ้นอย่างระบบป้องกันข้อมูลสูญหาย (Data Loss Prevention (DLP)) และการสำรองข้อมูล (Back up) ในด้านการบริการซึ่งเรานำเสนอควบคู่ไปกับทางไซแมนเทค”

–มร.วิคัส ศรีวัฒทาวา รองประธาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไวโปร จำกัด (อินเดีย) Wipro Ltd. (India)

View :1554

รีเสิร์ช อิน โมชั่น แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดเดือนสิงหาคม ปีนี้

September 16th, 2011 No comments

รีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือ ริม (Research In Motion – RIM) (NASDAQ: RIMM; TSX: RIM) ผู้นำด้านตลาดการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือทั่วโลก รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2

(มิ.ย. – ส.ค. 2554) สิ้นสุดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2554 (ตัวเลขที่ระบุเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และ U.S. GAAP)

ตัวเลขสำคัญ:

· รายได้สุทธิในไตรมาสนี้คิดเป็น 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป็นครั้งแรกที่รายได้จากการให้บริการมีมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

· ผลกำไรจากการดำเนินงานคิดเป็น 329 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมีกำไรต่อหุ้น 0.63 เหรียญสหรัฐฯ; รายได้สุทธิลดลง 419 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมีกำไรต่อหุ้น 0.80 เหรียญสหรัฐฯ

· จำนวนผู้ใช้บริการแบล็กเบอรี่เติบโตขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือมากกว่า 70 ล้านราย

· ในช่วงปลายไตรมาส ริมได้วางจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มากที่สุดถึง 7 รุ่นด้วยกัน ผ่านผู้ให้บริการกว่า 90 ราย และพันธมิตรจัดจำหน่ายใน 30 ประเทศ

· มีการลงทุนเป็นมูลค่า 780 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผ่านบริษัทร่วมทุน เพื่อประมูลทรัพย์สินทางปัญญาของ Nortel

· ประเมินว่า จำนวนแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนที่จัดจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 จะเติบโตขึ้น 27-37% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน

ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 (เดือนมิ.ย. – ส.ค. 2554)

รายได้สุทธิในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2555 คิดเป็น 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 15% จากไตรมาสก่อนที่มีรายได้ประมาณ 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และลดลง 10% เมื่อเทียบกับ

ไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 4.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยรายได้ดังกล่าวมาจากการจำหน่ายเครื่องแบล็กเบอร์รี่ 73% จากการให้บริการ 24% จากซอฟท์แวร์และรายได้อื่นๆ 3% ทั้งนี้ในระหว่างไตรมาสนี้ ริมได้จัดจำหน่ายแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนประมาณ 10.6 ล้านเครื่อง และแบล็กเบอร์รี่เพลย์บุ๊ค แท็บเล็ต ประมาณ 200,000 เครื่อง

รายได้สุทธิของบริษัทในไตรมาสนี้คิดเป็น 329 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.63 เหรียญสหรัฐฯ เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้วซึ่งมีรายได้สุทธิ 695 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.33 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มีรายได้สุทธิ 797 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.46 เหรียญสหรัฐฯ ผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้คิดเป็น 419 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 0.80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น ทั้งนี้รายได้สุทธิปรับลดลงและกำไรต่อหุ้นปรับลดไม่รวมผลกระทบก่อนการหักภาษีค่าใช้จ่ายจำนวน 118 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัทฯ ซึ่งได้ดำเนินการในไตรมาสที่สองของปีงบการเงิน 2555 Details on the cost optimisation program are available in the Company’s press release dated July 25, 2011 as well as in Management’s Discussion and Analysis of Financial Condition and Results of Operations for the fiscal period ended August 27, 2011, which will be filed shortly. รายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพของต้นทุนมีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ของบริษัท ฯ ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 รวมทั้งอยู่ในส่วนการบริหารและการวิเคราะห์สภาพการเงินและผลการดำเนินงานสำหรับงวดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 27 สิงหาคม 2554 ซึ่งจะมีการยื่นนำเสนอในเร็วๆ นี้This charge and its related impacts on net income and diluted EPS are summarized in the table

ทั้งนี้ มีจำนวนเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด การลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2554 คิดเป็นมูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีมูลค่า 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ การใช้จ่ายเงินสดดังกล่าวครอบคลุมการซื้อสินทรัพย์ทางปัญญาซึ่งริมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในบริษัทร่วมทุนที่ประสบความสำเร็จในการประมูลเครือข่ายสิทธิบัตรของ Nortel Networks Corporation มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 780 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประมาณ 285 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินทุนหมุนเวียน

คาดการณ์ตัวเลขในไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2555

คาดการณ์ตัวเลขรายได้ในไตรมาสที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2555 สิ้นสุดวันที่ 26 พฤศจิกายน 2554 จะอยู่ระหว่าง 5.3-5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดการณ์กำไรเบื้องต้นในไตรมาสที่ 3 คิดเป็นประมาณ 37% ทั้งนี้ประมาณการจำนวนยอดขายของแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนจะอยู่ระหว่าง 13.5-14.5 ล้านเครื่อง กำไรต่อหุ้นในไตรมาสนี้ ไม่รวมผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท คาดการณ์ว่าจะมูลค่าระหว่าง 1.20-1.40 เหรียญสหรัฐฯ และกำไรต่อหุ้นตลอดปีงบประมาณ 2554 ไม่รวมผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าระหว่าง 5.25-6.00 เหรียญสหรัฐฯ

View :1224