Archive

Archive for June, 2011

สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีเปิดตัว DMG Books App นวัตกรรมการอ่านบนแท็บเล็ต

June 10th, 2011 No comments


สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี เปิดตัว Books App นวัตกรรมการอ่านบนแท็บเล็ต สำนักพิมพ์แห่งแรกที่เปิดให้บริการร้านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Publishing เต็มรูปแบบในเมืองไทย โดยมีหนังสือธรรมะ หนังสือบริหารพัฒนาตนเอง และหนังสือสุขภาพกาย ให้บริการมากที่สุด เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ให้เข้าถึงหนังสือได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่ม E-Tipitaka พระไตรปิฎกอิเล็กทรอนิกส์พร้อมระบบสืบค้น เพื่อเผยแผ่หลักธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ตลอดจนหนังสือเสียงที่เพิ่มโอกาสการเข้าถึงสำหรับผู้พิการทางสายตา สามารถใช้งานได้จากสมาร์ทเก็ทเจ็ททุกแพลทฟอร์ม โดยเริ่มทำตลาดบน iPad ก่อน ทั้งนี้จะให้บริการทั้งดาวน์โหลดฟรีตั้งแต่วันนี้ถึง 25 มิถุนายน ศกนี้

ปัจจุบันกระแสของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลก โดยเว็บไซต์ Amazon.com ผู้ให้บริการด้านการขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต หรือ E-Commerce เปิดเผยว่า หลังจากที่จำหน่าย     มาเป็นเวลา 4 ปี ขณะนี้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวสามารถทำยอดขายแซงหน้าหนังสือที่ตีพิมพ์ด้วยกระดาษแล้ว โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา บริษัทสามารถจำหน่าย ได้เป็นจำนวน 105 เล่ม ในขณะที่หนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษจำหน่ายได้จำนวน 100 เล่ม โดยการขายนี้ไม่นับรวม ที่เปิดให้ ดาวน์โหลดฟรี ซึ่งหากนำมารวมกันแล้วจะยิ่งเพิ่มปริมาณมากกว่าการขายหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษ ทั้งนี้ จำนวนการขาย ของ Amazon.com คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ย 2 ใน 3 ของตลาดทั้งหมด

ด้าน Google AdMob ได้เผยผลสำรวจเกี่ยวกับการทำกิจกรรมยอดนิยมบนอุปกรณ์แท็บเล็ต โดยการสอบถามไปยังผู้คนทั้งสิ้น 1,430 คน ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ด้วยข้อสงสัยที่ว่าผู้คนที่ใช้งานแท็บเล็ตอย่าง iPad จาก Apple, Galaxy จาก Samsung หรือ Xoom จาก Motorola นั้นทำอะไรกันบ้าง โดย 1 ใน 3 ของผู้ถูกสำรวจบอกว่า พวกเขาใช้แท็บเล็ตบ่อยครั้งกว่าการดูโทรทัศน์ และ 68% ใช้งานอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวัน และที่สำคัญมีกลุ่มผู้ใช้เพื่อการอ่านมากถึง 46% เลยทีเดียว

สำหรับในเมืองไทย แม้อาจจะยังเป็นช่วงเริ่มต้นสำหรับ E-Book ซึ่งตลาดยังเล็กและจำกัดวงอยู่เฉพาะกลุ่ม แต่ก็นับเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง เซ็กเม้นต์ใหม่นี้จึงเป็นช่องทางที่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ iPad ลงมาอยู่ระดับคนทั่วไป จากก่อนหน้านี้ที่จำกัดเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีกำลังซื้อสูง เห็นได้ชัดจากงานคอมมาร์ต ซีมาร์ต 2011 ที่เพิ่งปิดฉากไปเมื่อไม่นานมานี้ ผลปรากฎว่า แท็บเล็ตและ iPad2 ดันยอดขายทะลุเกินเป้ากว่า 1,800 ล้านบาท ด้วยยอดขายและจองในงานเฉียด 10,000 เครื่อง

สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีจึงพัฒนาแอปพลิเคชั่นรองรับการเติบโตของ E-Book โดยที่ผ่านมาสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีได้เปิดให้บริการดาวน์โหลดหนังสือทางเว็บไซต์ www.dmgbooks.com ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาทิ หนังสือกลยุทธ์น่านน้ำสีขาว (White Ocean Society) ที่มีการดาวน์โหลดสูงถึง 1.4 แสนครั้ง ขณะที่ยอดขายหนังสืออยู่ที่ 50,000 เล่ม สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีความต้องการและพร้อมสำหรับเทคโนโลยีใหม่ของโลกแห่งการอ่านแล้ว

คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี กล่าวว่า “เมื่อปี 2547 สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีเป็นสำนักพิมพ์แรกที่เปิดมิติใหม่ให้กับวงการหนังสือธรรมะจนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับหนังสือพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมไปถึงหนังสือหมวดบริหารและพัฒนาตนเอง จนถึงขณะนี้หนังสือหมวดธรรมะและจิตวิทยาของสำนักพิมพ์ก็สามารถทะยานติดอันดับขายดีแล้วหลายเล่ม สำหรับ นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีก้าวสู่ตลาดก่อนใคร ด้วยการเปิดให้บริการร้านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Publishing เต็มรูปแบบแห่งแรกในเมืองไทย โดยมีโจทย์สำคัญที่ท้าทายคือ การเจาะกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ที่มีพฤติกรรมการอ่านหนังสือน้อยลง แต่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องการขยายฐานผู้อ่านไปยังกลุ่มนี้ด้วย โดยจุดเด่นของ คือมีหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รอบแรกที่เปิดให้ดาวน์โหลด มีทั้งสิ้น 40 ปก โดย 3 ปกมีหนังสือเสียง และอีก 24 ปกมีวีดิโอคลิป ซึ่งนี่เองเป็นข้อได้เปรียบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้เรายังจะขออาสาเป็นศูนย์กลางการรวบรวมหนังสือธรรมะและคำสอนต่างๆ ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมจากที่ต่างๆ ไว้ใน นี้ด้วย”

ดร.พลภัทร์ อุดมผล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไอที เวิร์ค จำกัด พันธมิตรการจัดทำ DMG Books App กล่าวว่า “การนำสื่อสิ่งพิมพ์มาอยู่บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จะสามารถทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงหนังสือได้มากขึ้น อีกทั้งสามารถโต้ตอบได้และมีระบบมัลติมีเดีย ยิ่งเพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น สำหรับไอที เวิร์ค เอง    ได้มีโอกาสทำหนังสือธรรมะเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนแห่ง   องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยขณะนี้ DMG Books App ได้เริ่มต้นบน iPad ก่อน ซึ่งสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีและไอที เวิร์ค กำลังร่วมกันพัฒนาสำหรับแท็บเล็ตอื่นๆ ด้วย อาทิ iPhone Galaxy Tab HDC Windows Phone เป็นต้น”

คุณไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (ร้าน iStudio by SPVi) ในฐานะตัวแทนผู้จัดจำหน่ายสินค้าจาก Apple กล่าวว่า “อุปกรณ์แท็บเล็ตนี้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในเมืองไทย ตลอดเวลาที่ตนทำธุรกิจนี้ยังไม่เคยเห็นใครมายืนรอเพื่อครอบครองอุปกรณ์ไอที จนกระทั่งปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีความหลากหลายของผู้ใช้มากขึ้น บางคนใช้ตั้งแต่วัยเด็ก เพราะพ่อแม่ใช้เป็นอุปกรณ์เลี้ยงเด็กรุ่นใหม่เพื่อส่งเสริมการการเรียนรู้ของลูกๆ  แม้กระทั่งผู้สูงอายุบางคนก็มีอุปกรณ์เหล่านี้ในครอบครอง แต่สำหรับ DMG Books App นี้ เหมาะสำหรับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น”

คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ อุปนายกสมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www. กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและรุนแรง เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองตามไปด้วย โดยนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพต่อทั้งตนเอง ครอบครัว ธุรกิจ ตลอดจนสังคม ซึ่งจะทำให้เรามีข้อได้ปรียบมากกว่าคนอื่น จากข้อมูลของ Fast Company บอกไว้ว่า ปัจจุบันมีแอปพลิเคชั่นมากมาย แต่เราต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม ผมชอบอ่านหนังสือธรรมะอยู่แล้ว ยิ่งสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีนำมาทำเป็นระบบดิจิตอล ยิ่งทำให้อุปโภคง่ายขึ้น ขอแนะนำว่า ลองย้ายไอคอน DMG Books App มาอยู่หน้าสุด จะทำให้เพิ่มอัตราการใช้งานได้มากขึ้น เพราะการอ่านหนังสือธรรมะมากๆ และบ่อยๆ จะดีต่อการพัฒนาจิตใจของเราเอง”

นอกจากการเปิดบริการร้านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Publishing อย่างเต็มรูปแบบในระบบมัลติมีเดีย โดยมีหนังสือพระราชประวัติ หนังสือธรรมะ หนังสือบริหารพัฒนาตนเอง และหนังสือสุขภาพกายให้บริการมากที่สุดกว่า 40 ปกแล้ว สำนักพิมพ์ดีเอ็มจียังเพิ่ม E-Tipitaka Application พระไตรปิฎกอิเล็กทรอนิกส์พร้อมระบบสืบค้น   เพื่อเผยแผ่หลักธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ซึ่งจัดทำโดย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาส วัดนาป่าพง ผู้นำการใช้เทคโนโลยีเพื่อเผยแผ่ธรรมะ ตลอดจนหนังสือเสียงที่เพิ่มโอกาสการเข้าถึงสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาทางสายตา สามารถใช้งานได้จากสมาร์ทเก็ทเจ็ททุกแพลทฟอร์ม โดยเริ่มทำการตลาดบน iPad ก่อน ทั้งนี้ DMG Books Application จะเปิดให้บริการทั้งดาวน์โหลดฟรีระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม ถึง 25 มิถุนายน ศกนี้ หลังจากนั้นบางปกจะจำหน่ายเพื่อนำรายได้ค่าลิขสิทธิ์ทุกเล่มถวายแด่พระอาจารย์ผู้เขียน และมอบให้กับมูลนิธิมายาโคตมีที่ก่อตั้งขึ้นจากการดำริของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการสนับสนุนด้านการศึกษาและจริยธรรมแก่เยาวชนที่ขาดแคลนในชนบท

ในงานแถลงข่าวเปิดตัว DMG Books App นวัตกรรมการอ่านบนแท็บเล็ต ได้รับเมตตาจากพระสงฆ์ผู้นำการใช้เทคโนโลยีเพื่อเผยแผ่ธรรมะร่วมงาน พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ผู้ริเริ่มจัดทำ E-Tipitaka Application พระไตรปิฎกอิเล็กทรอนิกส์พร้อมระบบสืบค้น กล่าวว่า “ปกติอาตมาชอบอ่านหนังสือคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่มหนาๆ อยู่แล้ว จนเมื่อไม่นานมานี้พระสงฆ์รุ่นใหม่ได้แนะนำว่า น่าจะนำมาทำเป็นโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ จะได้ไม่ต้องแบกหนังสือกันหนักๆ จึงเป็นการจุดประกายให้พัฒนาแอปพลิเคชั่นต่างๆ ขึ้น รวมไปถึง    E-Tipitaka พระไตรปิฎกอิล็กทรอนิกส์พร้อมระบบสืบค้น ถือเป็นเรื่องแปลกที่สามารถนำข้อมูลเก่าที่สุดมาใส่ไว้ในเทคโนโลยีใหม่ที่สุดได้ อาตมาอยากให้หลักธรรมคำสอนแทรกเข้าไปในเทคโนโลยีต่างๆ เพราะจะทำให้คนเข้าถึงได้ ทุกที่ทุกเวลา และหากเทคโนโลยีสร้างความทุกข์ให้กับเราแล้ว ก็จะได้มีเครื่องมือแก้ความทุกข์ควบคู่ไปด้วยเสมอ นั่นก็คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ”

พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ผู้เขียนหนังสือ ‘ยิ้มครั้งแรก โลกแตกก็ยอม’ กล่าวว่า “เว็บไซต์ธรรมะเดลิเวอรี่มีประโยน์ในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างพระกับญาติโยม บางครั้งคนติดตามดูรายการทางโทรทัศน์ไม่ทัน ก็สามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้ อีกทั้งยังเป็นสื่อกลางในการแลกปลี่ยนประสบการณ์กับญาติโยม ซึ่งมีทั้งเรื่องเครียดและเรื่องตลก อาตมาก็สามารถนำไปเทศน์ต่อหรือตกผลึกเขียนเป็นหนังสือ คงไม่มีใครสามารถหยุดความเจริญทางเทคโนโลยีได้ อาตมาจึงตั้งใจทำสื่อธรรมะอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น รวมไปถึงหนังสือ ‘ยิ้มครั้งแรก โลกแตก็ยอม’ ก็มีใน DMG Books App แล้วเช่นกัน ธรรมะที่มีเพิ่มเติมในชีวิตทุกที่ทุกเวลา จะเป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้ตกไปสู่ความเสื่อมหรืออบายมุขทั้งปวง”
พระอาจารย์พรพล ปสันโน แห่งวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก กล่าวว่า “การพัฒนาสื่อธรรมะให้รวดเร็วและทันสมัย เป็นเรื่องสำคัญในโลกปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีจะทำให้ธรรมะสามารถเข้าถึงทุกคนได้ โดยเฉพาะเยาวชน ซึ่งต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่พวกเขารู้จักและสนใจ แล้วจึงผูกโยงเข้าหาธรรมะ จนพวกเขาสนใจและอยากค้นคว้าต่อด้วยตนเอง วัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษกเองก็มีรายการวิทยุและโทรทัศน์ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่รายการ ‘แผ่นดินธรรม’ เพื่อเพิ่มโอกาสสำหรับผู้ที่พลาดชมจากทางโทรทัศน์ นอกจากนี้ พระราชญาณกวี รองเจ้าอาวาส ท่านยังได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม ซึ่งก็นำมาเผยแพร่เป็นเสียงอ่าน ทำให้มีคนดาวน์โหลดฟังกันเป็นจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งหนังสือ ‘ฟ้าใสใจสวย’ ผลงานของท่าน ก็มีอยู่ใน DMG Books App เป็นเล่มแรกด้วยเช่นกัน”

DMG Books App เปิดให้บริการสำหรับผู้ใช้งาน iPad ก่อนใคร โดยสามารถดาวน์โหลด Application ใน  App Store ค้นหา DMG Books ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 25 มิถุนายน ศกนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี โทร 0-2685-2254-5 อีเมล info@dmgbooks.com หรือเว็บไซต์ www.dmgbooks.com

View :1843

ผู้ถือหุ้นสนับสนุนทรูเดินหน้า 3จี เต็มที่ เผยยอดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินคาด

June 10th, 2011 No comments

บมจ. เผยความสำเร็จในการจองหุ้นสามัญเพิ่มทุนเต็มจำนวน 13,119 ล้านบาท และมีผู้สนใจจองซื้อหุ้นโดยชำระเงินแล้วกว่า 14,506 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายประมาณ 1,387 ล้านบาท  พร้อมขอบคุณผู้ถือหุ้นเดิมที่วางใจบริษัทไทย     สะท้อนความเชื่อมั่นศักยภาพการเติบโตของกลุ่มทรูทุกด้าน  ทั้งยังเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินของกลุ่ม และเป็นโอกาสสำคัญสู่การเป็นผู้นำธุรกิจมือถือประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจ ให้ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ได้ทัดเทียมกัน กำหนดคืนเงินจองซื้อเกินสัดส่วนให้ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ด้วยวิธีการตามที่ผู้ถือหุ้นได้ระบุไว้ในใบจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทขอขอบพระคุณผู้ถือหุ้นทุกท่าน ที่ให้ความไว้วางใจใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินความคาดหมาย ซึ่งสะท้อนความผูกพันต่อบริษัทอย่างต่อเนื่องยาวนาน รวมทั้งแสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทรู ตลอดจนเล็งเห็นโอกาสสำคัญในการลงทุนพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยที่บริษัทจะสามารถเติมเต็มการให้บริการ 3จี ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  ซึ่งเงินทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท ซึ่งบริษัทจะนำเงินเพิ่มทุนดังกล่าวไปใช้เพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายธุรกิจ 3จี ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้กลุ่มทรูซึ่งเป็นบริษัทไทย สามารถเปิดโลกการสื่อสารอย่างไร้พรมแดนกับผู้ใช้บริการทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนทั่วประเทศไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลใดๆ ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างทัดเทียมกัน

“ความสำเร็จจากการเพิ่มทุนเกินความคาดหมายครั้งนี้ จะเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของกลุ่มทรู จากการเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายที่ 3 ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจมือถือ ควบคู่ไปกับที่ปัจจุบัน กลุ่มทรูเป็นผู้นำในตลาดธุรกิจบรอดแบนด์ และเป็นผู้นำธุรกิจบริการโทรทัศน์บอกรับสมาชิก   ทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้คนไทยทั่วประเทศสามารถก้าวสู่เทคโนโลยีสื่อสารทั่วถึงทัดเทียมกัน ซึ่งปัจจุบันมีประชากรไทยเพียงร้อยละ 15 ของครัวเรือนทั่วประเทศเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ”

ตามที่ บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่นได้เปิดให้ผู้ถือหุ้นจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม ถึง 3 มิถุนายน 2554  โดยเสนอขายทั้งสิ้น 6,727,436,752 หุ้น  หรือในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม : 0.865 หุ้นใหม่ ที่ราคา 1.95 บาทต่อหุ้น และหากมีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนในรอบแรกแล้ว บริษัทฯจะจัดสรรหุ้นที่เหลือให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งแสดงจำนงจองซื้อเกินสัดส่วน  ตามสัดส่วนการถือหุ้น แต่จำกัดเพียงไม่เกิน 2 เท่าของจำนวนหุ้นตามสิทธิของผู้ถือหุ้นนั้น   ปรากฏว่ามีผู้ถือหุ้นจองหุ้นสามัญคิดเป็นจำนวนเงิน 14,505,834,725.85 บาท หรือร้อยละ 110.58 ของจำนวนที่นำเสนอขายทั้งหมด    ซึ่งบริษัทจะดำเนินการคืนเงินจองหุ้นเพิ่มทุนส่วนเกินจำนวน 1,387,333,067.25 บาท ให้กับผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้รับการจัดสรรหรือได้รับการจัดสรรไม่ครบภายในวันที่ 17 มิถุนายน 2554 ( 2 สัปดาห์นับจากวันสุดท้ายของการจองสิทธิ์ซื้อหุ้นคือวันที่ 3 มิถุนายน 2554 )  ตามวิธีที่ผู้ถือหุ้นได้ระบุไว้ในใบจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน  โดยการโอนเงินผ่านระบบอัตโนมัติ เข้าบัญชีธนาคาร หรือ จ่ายเป็นเช็ค

“บริษัทขอขอบพระคุณผู้ถือหุ้นทุกท่าน ซึ่งเป็นผู้มีอุปการคุณ ที่มอบความไว้วางใจและให้การสนับสนุนบริษัทอย่างดียิ่งมาโดยตลอด  บริษัทจะเดินหน้าขยายธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าและมอบประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น ลูกค้า ประชาชนชาวไทย  รวมทั้งร่วมยกระดับเทคโนโลยีสื่อสารโดยรวมของประเทศให้พัฒนาก้าวทันนานาประเทศ ตลอดจนสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลก” นายศุภชัยกล่าวในที่สุด

View :1770

TARAD.com จับมือไอเน็ตโชว์เทคโนโลยีผ่าน IPv6แห่งแรกของไทย

June 10th, 2011 No comments

และไอเน็ต เข้าร่วมทดสอบการเปิดให้บริการ การใช้งานผ่านเทคโนโลยี โดยเป็นเว็บเชิงพาณิขย์แห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดให้บริการ และเป็นเว็บไซต์ไทยเพียงเว็บเดียวที่เข้าร่วม World Day จากทั่วโลก โดยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการทดสอบเพื่อแสดงถึงความพร้อมของนำเทคโนโลยี ที่สามารถใช้งานได้จริงในเชิงธุรกิจของไทย และพร้อมรับมือกับสถาณการณ์ IPv4 ที่กำลังจะหมดจากโลกและประเทศไทยในเร็ววันนี้

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอม ผู้ให้บริการเว็บไซต์ www.TARAD.com กล่าวว่า เนื่องจากสถาณะการณ์ในปัจจุบันจำนวน IPv4 ที่มีรูปแบบลักษณะเป็นกลุ่มตัวเลขอยู่ 4 ชุด แต่ละชุดขั้นด้วยจุด มาจากเลขฐานสอง(มีเลข 1 กับเลข 0เท่านั้น) จำนวน 32 บิท ตัวอย่างเช่น 192.0.2.3 เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจอินเทอร์เน็ตทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ทำให้การใช้ IPv4 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยได้รับจัดสรร IPv4ประมาณ 1,800,000 เลขหมาย กำลังจะถูกใช้หมดไปในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้หลายๆ องค์กรต่างๆ เริ่มให้ความสนใจกับเทคโนโลยี  IPv6 โดย IPv6 จะมีจำนวน 128 บิต ทำให้งจำนวนของIPv6 มีมากกว่า IPv4 ถึง 2 ยกกำลัง 96 เท่า

ที่ผ่านมา ยังไม่มีภาคเอกชนในภาคธุรกิจสนใจ การนำ IPv6 มาใช้เท่าไร เพราะยังไม่เห็นความจำเป็นถึงการนำมาใช้ อีกทั้งทางผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของไทย (ISP) หลายๆ แห่งก็ยังไม่เปิดให้บริการ IPv6 เพราะต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่มีความต้องการจากภาคกลุ่มธุรกิจเท่าไร ทำให้การนำเทคโนโลยี IPv6 มาใช้ในเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย ดูจะยังไม่ตื่นตัวและเติบโตมากนัก ทั้งๆที่ จำนวน IPv4 กำลังจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ทางTARAD.com ผู้ให้บริการเว็บไซต์ด้านการค้าขายออนไลน์ จึงได้ร่วมกับทาง บริษัทอินเทอร์เน็ตประเทศไทย () ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เปิดทดสอบบริการ IPv6 ในเชิงพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย ผ่าน http://IPv6.tarad.com และในวันที่ 8 มิถุนายน ตลอด 24 ชั่วโมง จะเปิดให้ใช้งานผ่าน www.TARAD.com ผ่าน IPv6 ได้อีกด้วย เพื่อแสดงความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ และกระตุ้นให้ภาคธุรกิจอื่นๆ รวมถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เห็นถึงความสำคัญของการนำIPv6 มาใช้  และยังได้เข้าร่วมกับ งาน World IPv6 Day ที่จัดขึ้นทั่วโลกโดยจะเปิดตัวในวันพุธที่ 8 มิถุนายน 2554 นี้ โดยเป็นเว็บไซต์จากประเทศไทยเพียงเว็บไซต์เดียว ที่มีชื่ออยู่เป็นทางการในการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่มีความพร้อมทางด้าน IPv6 จากทั่วโลก สามารถดูได้รายชื่อเว็บไซต์ที่เข้าร่วมได้ที่ www.worldipv6day.org/participant-websites นายภาวุธุ กล่าว

ทาง TARAD.com ได้ร่วมมือกับทางไอเน็ต (่บริษัทอินเทอร์เน็ตประเทศไทย) ในการทดสอบการสร้างเน็ตเวิรก์โครงข่าย IPv6 พิเศษขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่มีความพร้อมในการเข้าถึง IPv6สามารถทดสอบเข้าผ่าน http://IPv6.tarad.com ได้ โดยเมื่อเข้าผ่าน URL นี้แล้วทางระบบจะส่งIPv6  ให้กับคุณ โดยคุณสามารถมีประสบการณ์และเห็นว่า IPv6 ของคุณคือหมายเลขอะไร และยังสามารถทดสอบได้ว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณใช้งานอยู่ รองรับ IPv6 ได้หรือไม่ผ่าน URL นี้

การเปิดตัวทดสอบ IPv6 ของทาง TARAD.com และ ไอเน็ต จะเป็นการกระตุ้นและแสดงให้เห็นถึงความสามารถของภาคเอกชนทั้งผู้ให้บริการเว็บไซต์และอินเทอร์เน็ต ในการนำ IPv6 มาใข้จริงๆ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในเชิงพาณิชย์ และแสดงถึงศักยภาพของกอุตสหกรรมอินเทอร์เน็ตประเทศไทยในเวทีระดับโลกผ่าน World IPv6 Day (www.WorldIPv6day.org)

View :1548
Categories: Internet, Press/Release Tags: , ,

ธุรกิจโฆษณาปี ’54: รับอานิสงส์เลือกตั้ง…คาดทั้งปีขยายตัวได้ 12-13%

June 10th, 2011 No comments

 

หลังจากที่มีการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส.)ทั่วประเทศ อย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ก.ค. 2554 นี้ ทำให้คาดการณ์ว่าภาคธุรกิจน่าจะได้รับอานิสงส์จากค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครและพรรคการเมือง รวมถึงงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และยังอาจมีผลทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภคในด้านความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ผู้ประกอบการสินค้าและบริการต่างเร่งเพิ่มงบโฆษณา เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะคึกคักมากขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าภาพรวมธุรกิจโฆษณาผ่านสื่อในช่วงไตรมาส 2 ปี 2554 อาจเติบโตได้ถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่ขยายตัวเกือบร้อยละ 11 จากอานิสงส์ค่าใช้จ่ายกิจกรรมต่างๆในช่วงการเลือกตั้ง และคาดว่าทั้งปี 2554 จะมีเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.13 แสนล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12-13 จากปีที่แล้ว (เทียบจากกรณี  หากไม่มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งนี้ ก็คาดว่าค่าใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อทั้งปี 2554 น่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.11 แสนล้านบาท ขยายตัวได้เกือบร้อยละ 11 จากปีที่ผ่านมา)

อานิสงส์เลือกตั้งช่วยหนุนธุรกิจโฆษณาไตรมาส 2…แต่ต้องจับตาเสถียรภาพรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

    จากรายงานของบริษัท นีลสัน มีเดีย รีเสิร์ซ(ประเทศไทย) พบว่า เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทุกช่องทาง ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2554 มีมูลค่าประมาณ 34,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 11.2 และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องมาจากปี 2553 ที่ทั้งปีมีเม็ดเงินใช้จ่ายในธุรกิจโฆษณาประมาณ 1.01 แสนล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11.8 จากปี 2552 (นับเป็นปีแรกที่ค่าใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อของไทยมีมูลค่าเกินหนึ่งแสนล้านบาท)

ทั้งนี้ เพราะได้รับแรงหนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปี 2554 ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการสินค้าและบริการมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้ง ช่วงไตรมาสแรกของทุกปียังถือเป็นช่วงที่ภาคธุรกิจจะเร่งเพิ่มยอดขายรับเทศกาลและวันหยุดสำคัญต่างๆ ขณะที่สัดส่วนงบโฆษณาส่วนใหญ่  ร้อยละ 60 อยู่ในส่วนของโฆษณาทางทีวี ตามมาด้วยสื่อหนังสือพิมพ์ ร้อยละ 15 ที่เหลือจะเป็นสื่อวิทยุ สื่อในโรงภาพยนตร์ สื่อแมกกาซีน ป้ายโฆษณา/บิลบอร์ด สื่อรถเคลื่อนที่ สื่อในร้านค้า และสื่อทางอินเทอร์เน็ต ตามลำดับ

    เมื่อพิจารณาปัจจัยที่กำหนดทิศทางการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนด้วยดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ในช่วงปี 2554 มีทิศทางกระเตื้องขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของยอดค่าใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อของไทยเช่นกัน

ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในเดือน เม.ย.2554 ดัชนีดังกล่าวได้ ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดือนก่อนหน้า (อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอัตราที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.5)  ซึ่งน่าจะเป็นผลจากปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศที่ยังไม่ชัดเจนในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศยุบสภาของรัฐบาลฯ แต่ภายหลังจากที่มีการกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว ก็คาดว่าทิศทางการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนน่าจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ และเป็นปัจจัยบวกต่อเนื่องถึงการใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อของภาคธุรกิจในระยะต่อไป

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจากปัจจัยบวกในด้านต่างๆดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จะช่วยหนุนให้ค่าใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อในปี 2554 มีมูลค่าประมาณ 1.13 แสนล้านบาท หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 12-13 จากปีที่แล้ว (ภายใต้เงื่อนไขว่าหลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ยังคงมีเสถียรภาพต่อเนื่อง)

โดยมองว่าเม็ดเงินใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อน่าจะขยายตัวสูงในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยบวกด้านการใช้จ่ายในกิจกรรมการเลือกตั้ง  นอกจากนี้ ยังมีส่วนของงบโฆษณาสินค้าและบริการที่ต่างเร่งโหมโฆษณา เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงเวลานี้ เนื่องจากคาดว่าศึกการเลือกตั้งจะส่งผลให้ประชาชน โดยเฉพาะระดับกลางถึงล่างจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นที่ต้องติดตาม คือ เสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ภายหลังผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้ง เนื่องจากจะมีผลถึงความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายที่สำคัญของภาครัฐในระยะต่อไป ซึ่งกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ และความเชื่อมั่นของประชาชน

กิจกรรมเลือกตั้งปี ’54…สร้างแรงหนุนให้ธุรกิจสื่อโฆษณา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้พิจารณาแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจโฆษณาผ่านสื่อในช่องทางต่างๆที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2554 ไว้ ดังนี้

    การติดตามสถานการณ์เลือกตั้งของประชาชน…เอื้อประโยชน์แก่สื่อวิทยุ และโทรทัศน์
โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์จัดว่าเป็นช่องทางสื่อที่มีประสิทธิภาพสูง และสร้างการรับรู้ได้ในวงกว้าง โดยช่วงที่ผ่านมาความต้องการเวลาโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ มีทิศทางที่ทรงตัวสูงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ถึงปัจจุบัน ซึ่งเติบโตเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาของหลายสถานีโทรทัศน์ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้แนวโน้มอัตราค่าโฆษณาทางโทรทัศน์อยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับสื่อช่องทางอื่นๆ ประกอบกับช่วงเวลาโฆษณาที่มีข้อจำกัดด้วยกฎหมาย  จึงส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้งจำเป็นต้องเข้ามาจัดสรรการออกอากาศการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของพรรคการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งอย่างเท่าเทียม

ซึ่งครั้งนี้ได้กำหนดให้ กกต.เป็นผู้จัดสรร และวางหลักเกณฑ์การโฆษณาหาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมืองผ่านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดยเป็นการขอความร่วมมือสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐและสถานีท้องถิ่น เพื่อนำเสนอสปอร์ตโฆษณาแบบสั้นของพรรคการเมือง(ความยาวไม่เกิน 30 วินาที) และนโยบายของพรรคการเมือง(ความยาวไม่เกิน 10 นาที) ซึ่งมีลำดับการออกอากาศตามที่ กกต.กำหนด ขณะที่เวลาในการนำออกอากาศนั้นได้ขอความร่วมมือให้แต่ละสถานีวิทยุโทรทัศน์จัดสรรอย่างเท่าเทียมกัน  เพื่อประโยชน์แก่ทุกพรรค โดยที่พรรคการเมืองไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสถานีวิทยุและโทรทัศน์จะไม่ได้รับรายได้จากการหาเสียงของพรรคการเมือง แต่คาดว่าจะมีรายได้จากงบการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ของ กกต. บางส่วน และรายได้จากค่าโฆษณาของผู้ประกอบการสินค้าและบริการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง วันที่ 3 ก.ค. 2554 ทุกช่องสถานีโทรทัศน์ต่างต้องเร่งแข่งขันกันรายงานสถานการณ์เกาะติดการเลือกตั้งแบบนาทีต่อนาทีตลอดทั้งวัน ต่อเนื่องถึงเวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงปิดหีบเลือกตั้ง ก็ยิ่งคาดว่าประชาชนทั่วประเทศจะให้ความสนใจเฝ้าดูผลการนับคะแนน และการรายงานความเคลื่อนไหวตลอดคืน นอกจากนี้ ภายหลังผ่านพ้นการนับผลคะแนนจนถึงช่วงการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง รวมทั้งความเคลื่อนไหวในการจับขั่วทางการเมืองก็ยิ่งน่าจะมีความเข้มข้นขึ้นไม่แพ้กัน ดังนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวจึงนับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ต่างเร่งปรับผังรายการเพื่อช่วงชิงเรตติ้งจากผู้ชม เพราะจะส่งผลต่อรายได้โฆษณาของทางสถานีที่จะได้รับจากผู้ประกอบการสินค้าและบริการต่างๆ ที่ต้องการกระตุ้นตลาดในช่วงที่ประชาชนให้ความสนใจติดตามข่าวการเลือกตั้งครั้งนี้ อีกทั้ง ยังเป็นการเน้นย้ำความเป็นผู้นำด้านการนำเสนอข่าวสารแบบเกาะติดสถานการณ์ ซึ่งช่วยผลักดันให้ความนิยมของสถานีเพิ่มสูงขึ้น และมีผลต่อการดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาในระยะต่อไป

ส่วนการโฆษณาผ่านสื่อวิทยุในช่วงที่ผ่านมานั้น เริ่มมีทิศทางฟื้นตัวเล็กน้อยเพียงร้อยละ 1-2 ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2554 จากที่ทั้งปี 2553 มีการใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อหดตัวเกือบร้อยละ 1 เทียบกับปีก่อนหน้า โดยคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายในช่วงเลือกตั้งเพียงเล็กน้อยเช่นกัน

    สื่อนอกบ้าน…รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะแผ่นป้ายหาเสียง
โฆษณาผ่านสื่อนอกบ้าน(ประกอบด้วยป้ายโฆษณาและบิลบอร์ด, สื่อรถเคลื่อนที่ และสื่อในร้านค้า) ปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 7-8 ของค่าใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อรวม ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2554  โฆษณาผ่านสื่อนอกบ้านมีอัตราขยายตัวร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินที่สะพัดในช่วงการเลือกตั้งประมาณ 1,000 ล้านบาท จากการใช้จ่ายเพื่อจัดทำป้ายโฆษณา แผ่นโปสเตอร์ แผ่นพับ และใบปลิว เพื่อใช้หาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมือง และเพื่อการประชาสัมพันธ์ของ กกต. รวมถึง จากการเร่งทำโฆษณาของผู้ประกอบสินค้าและบริการต่างๆ ตามแนวโน้มการจับจ่ายของผู้บริโภคที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินที่หมุนเวียนจากค่าใช้จ่ายด้านการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังจะส่งผลต่อธุรกิจสื่อในร้านค้าให้ขยายตัวตามไปด้วย ทั้งสื่อในร้านค้า ห้างสรรพสินค้า และดิสเคาน์สโตร์  ซึ่งเป็นสื่อที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคสนใจในตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ณ จุดขาย

    หาเสียงผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ ยังคงบางตา…คาดเข้มข้นขึ้นช่วงใกล้วันเลือกตั้ง
การโฆษณาผ่านสื่อหนังสือพิมพ์เป็นอีกช่องทางสื่อที่มีประสิทธิภาพ โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายมากเป็นอันดับสองรองจากสื่อโทรทัศน์ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 14-15 ของค่าใช้จ่ายผ่านสื่อโดยรวม เนื่องด้วยสามารถเข้าถึงผู้อ่านได้ครอบคลุมทั่วประเทศ(สำหรับหนังสือพิมพ์ที่จัดจำหน่ายทั่วประเทศ) ส่วนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจะมีฐานผู้อ่านในพื้นที่ที่จำกัดกว่า ขณะที่อัตราค่าโฆษณาผ่านสื่อทั้งสองชนิดนี้จะมีราคาที่แตกต่างกันมาก โดยหนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายทั่วประเทศและมีความนิยมสูง จะมีอัตราค่าโฆษณา 4 สี 1 หน้า อยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท ถึงมากกว่า 700,000 บาท ขณะที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นนั้นมีอัตราค่าโฆษณา 4 สี 1 หน้า ต่ำกว่า 10,000 บาท

ดังนั้น การหาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมืองผ่านทางสื่อหนังสือพิมพ์ จึงมีให้เห็นบางตา เนื่องจากหากต้องการหาเสียงโดยเจาะกลุ่มผู้อ่านจำนวนมาก จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้ง หนังสือพิมพ์ยังมีอายุการใช้งานสั้นเพียง 1-3 วัน หรือเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น พรรคการเมืองจึงอาจหันไปให้ความสำคัญกับสื่ออื่นที่ทรงประสิทธิภาพในการหาเสียงมากกว่า อาทิ ป้ายหาเสียง โปสเตอร์ แผ่นพับ เพราะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า และมีอายุใช้งานนานตลอดระยะเวลาของช่วงการหาเสียง นอกจากนี้ ความนิยมใช้สื่อออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ทุกที่ทุกเวลาและมีต้นทุนต่ำ ก็เป็นอีกช่องทางที่ผู้สมัครและพรรคการเมืองให้ความสำคัญมากขึ้น

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2554 มีอัตราการขยายตัวเกือบร้อยละ 3 จากที่ทั้งปี 2553 มีอัตราขยายตัวร้อยละ 6 จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงก่อนวันเลือกตั้งประมาณ 2-3 สัปดาห์ ที่เป็นช่วงโค้งสุดท้ายในการหาเสียง พรรคการเมืองจะเร่งลงโฆษณาผ่านสื่อหนังสือพิมพ์คึกคักมากขึ้น และคาดว่าจะมีเม็ดเงินโฆษณาหาเสียงผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ประมาณ 70 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น และช่วยหนุนให้ความต้องการใช้สื่อโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ตลอดทั้งปี 2554 เติบโตในระดับทรงตัวได้อย่างต่อเนื่อง

    โซเซียลมีเดีย : ช่องทางยอดนิยม…รุกฐานเสียงกลุ่มคนรุ่นใหม่-วัยทำงาน
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันสื่ออินเทอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ด้วยความก้าวหน้าของเครื่องมือสื่อสาร การพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อรองรับการใช้งานด้านต่างๆ และการพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมของไทย ที่เอื้อให้การรับ-ส่งข้อมูลมีความสะดวกรวดเร็ว และกระจายทั่วถึงมากขึ้น ทำให้เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือโซเซียลมีเดีย(เฟซบุ๊ค และทวิสเตอร์) รวมถึงบล๊อค หรือเว็บบอร์ดต่างๆ กลายเป็นอีกช่องทางที่ใช้แสดงความคิดเห็นตามแนวทางประชาธิปไตยยุคใหม่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์พรรค แนะนำตัวผู้สมัคร แสดงแนวคิด นโยบาย วิสัยทัศน์ และมุมมองต่างๆของผู้สมัครและพรรค ทั้งที่เป็นข้อความตัวอักษร และเป็นคลิปวีดีโอ อีกทั้ง ยังเปิดกว้างให้ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ซักถาม และติดตามความเคลื่อนไหวของผู้สมัครและพรรคที่ชื่นชอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันการตอบกลับหรือความเคลื่อนไหวในหน้าเพจเป็นประจำ ยังช่วยเน้นย้ำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่าผู้สมัคร/พรรคการเมือง/ทีมงานของพรรคนั้น มีความเอาใจใส่ประชาชน และสะท้อนได้ถึงความกระตือรือร้น  ดังนั้น ช่องทางโฆษณาผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตจึงเริ่มมีบทบาทในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้มากขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยค่าใช่จ่ายที่ต่ำกว่าสื่อช่องทางอื่นๆ จึงเป็นที่นิยมจากหลายพรรคการเมือง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดที่ผู้รับรู้ยังคงอยู่ในวงแคบ เฉพาะกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เท่านั้น  ช่องทางนี้จึงเป็นเพียงสื่อทางเลือกใหม่ที่จะใช้เพิ่มโอกาสในการสร้างฐานเสียงจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเป็นช่องทางเสริมที่ใช้ควบคู่กับสื่อดั่งเดิม

โดยสรุป การเลือกตั้ง ส.ส. ที่มีกำหนดในวันที่ 3 ก.ค. 2554 นี้ น่าจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ธุรกิจโฆษณาผ่านสื่อ ทั้งจากกิจกรรมการหาเสียงของผู้สมัคร พรรคการเมือง และการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ของ กกต. และจากการเร่งกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการสินค้าและบริการผ่านสื่อต่างๆ ท่ามกลางความสนใจติดตามข่าวสารของประชาชนในการเกาะติดความเคลื่อนไหวช่วงก่อนการเลือกตั้ง และความเชื่อมั่นในการจับจ่ายซื้อสินค้า

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ค่าใช้จ่ายกิจกรรมในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง น่าจะส่งผลให้ธุรกิจโฆษณาผ่านสื่อในช่วงไตรมาส 2 ปี 2554 เติบโตได้ถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วโดยมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ขยายตัวเกือบร้อยละ 11 ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี 2554 จะมีเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.13 แสนล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12-13 จากปีที่แล้ว (เทียบจากกรณี หากไม่มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งนี้ ก็คาดว่าค่าใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อช่วงไตรมาส 2 ปี 2554 จะขยายตัวร้อยละ 11-12 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้ทั้งปี 2554 น่าจะมีเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่ออยู่ที่ประมาณ 1.11 แสนล้านบาท ขยายตัวได้เกือบร้อยละ 11 จากปีที่ผ่านมา)

อย่างไรก็ตาม นอกจากช่องทางโฆษณาหาเสียงผ่านสื่อต่างๆดังกล่าวมาแล้วนั้น ยังคงมีช่องทางอื่นที่ผู้สมัครและพรรคการเมืองใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์พรรคและแนะนำตัวผู้สมัคร ทั้งการเดินสายหาเสียงลงพื้นที่  การจัดเวทีแถลงนโยบายและแสดงวิสัยทัศน์ตามสถานที่ต่างๆ โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น เป็นจำนวนไม่น้อย และเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่ได้นำมานับรวมไว้ในค่าใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อ

“รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อมูลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯจะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น”

 

View :1660

Web Wednesday Thailand holds its eighth networking event with a discussion on stage from market leaders on Mobile Application Trends.

June 10th, 2011 No comments

team organizes its quarterly networking event inviting e-marketers from leading brands and publishers to discuss Mobile Application Trends – what’s hot and what’s not for the Thai market.

According to IDC research, the worldwide smartphone market is expected to grow 49.2% in 2011 . The trend has also reached Thailand according to Nielsen which reports 47% of Thais intend to purchase a smartphone in the next 12 months.  In the fourth quarter of 2010, Android emerged as the best-selling operating system for smartphones Worldwide followed Symbian, iOS, and Blackberry, respectively.

Worldwide Smartphone Operating System 2011 and 2015 Market Share and 2011-2015 CAGR

With the explosion in smartphone devices, there has been a corresponding increase in mobile Internet usage.  In Thailand, according to StatCounter Global Stats, mobile Internet access compared to desktop has almost tripled in the past year from 1.73% to 5.06%. Recent statistics from Effective Measure show that 37.83% of the Thai online audience access mobile Internet.

In 2010, we also saw a surge in app usage with massive growth for not only Apple, but Android, Blackberry, and even Nokia.  In January 2011 Apple surpassed the 10 billion apps download mark.  In April, according to a report from app store analytics firm Distimo, free apps in the Google Android Market grew to 131,342 applications outnumbering 121,845 free apps in the Apple App Store.  The report also forecasts that at current growth rates, approximately five months from now Android will have the largest store in terms of number of applications followed by Apple App Store for iPhone and iPad, Windows Phone 7 Marketplace, BlackBerry App World and Nokia Ovi Storre.
According to the iOS and Mac App analytics company APPlyzer, the top free iPhone/iPod  App in Thailand on May 30th, 2011 was Talking Tom Cat 2 .  The top paid app on the same date was WhatsApp Messenger.  The company also reports the top free and paid apps for iPad in Thailand were Talking Tom Cat 2 and Plants vs. Zombies HD, respectively.
At WWTH 8.0 we will be exploring the incredible shift in consumer mobile usage and the opportunities for marketers.  Industry experts from Effective Measure, True Corporation

View :3758

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ปรับโฉม Social Network รองรับงานพีอาร์องค์กร

June 9th, 2011 No comments

วิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน   วางแผนปรับปรุงงานสื่อสารองค์กรด้วยงาน Social Network อย่างจริงจัง และคาดหวังผลให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้จริง เหตุผลมีอยู่ว่าฝ่ายวิชาการของ    สมาคมฯ รายงานถึงการเก็บข้อมูลผู้ชมงานรับสร้าง โฟกัส และงานรับสร้างบ้านในช่วงปีหลังๆ พบว่ามีสถิติผู้ลงทะเบียนออนไลน์มากขึ้น หนำซ้ำลูกค้าที่เซ็นสัญญาจองปลูกสร้างยังมาจากส่วนนี้อีกด้วย..เพื่อตอบโจทย์การสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างทันสมัย รวดเร็ว และเห็นผลนำมาใช้ได้จริง เป็นไปตามนโยบายที่มุ่งยกระดับสมาคมฯในทุกด้าน..ส่วนจะเริ่ดแค่ไหน พิสูจน์กันในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง Decoding Cost : ถอดรหัสสกัดต้นทุนแพง และ งานรับสร้างบ้าน 2011.. Coming Soon

View :1563
Categories: Social Media/ Social Network Tags:

กำหนดการงานถนนเทคโนโลยี 2554 และ ABU Robot Contest Thailand 2011 ( 11-12 มิถุนายน 2554 )

June 9th, 2011 No comments

วันเสาร์ที่ 11 – อาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2554
ณ Hall 1 – 2 อิมแพค เมืองทองธานี

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2554 : พิธีเปิด   @ Hall 2
10.30 – 11.00   สื่อมวลชน และแขกผู้ร่วมงานลงทะเบียน
11.00 – 11.10  พิธีกรกล่าวต้อนรับ  นำเข้าสู่พิธีเปิดงาน Technology Street 2011
จากนั้นกล่าวเรียนเชิญประธานในพิธีขึ้นกล่าวเปิดงาน
11.10 – 11.20   นายธนวัฒน์ วันสม
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ประธานพิธีกล่าวเปิดงาน
11.20 – 11.25   พิธีเปิดงาน Technology Street 2011
11.25 – 11.35  ประธานในพิธี , ผู้สนับสนุน และผู้มีเกียรติร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบนเวที
11.35– 12.00  ประธานเดินเยี่ยมชมบูธต่างๆ ภายในงาน

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2554 : พิธีเปิดการแข่งขันรอบหุ่นยนต์ ABU ชิงชนะเลิศประเทศไทย ประจำปี 2554  @ Hall 1
13.20 – 13.25   พิธีกรกล่าวต้อนรับ และกล่าวรายละเอียดการจัดงาน พร้อมเปิดตัวผู้เข้าแข่งขันทั้ง 32 ทีม
จากนั้นเข้าสู่ช่วงพิธีการเปิดการแข่งขัน
13.25 – 13.30  ผู้บริหาร บมจ. อสมท  ขึ้นคำกล่าวรายงานถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์การจัดการแข่งขัน
13.30 – 13.35  ประธานในพิธี  ขึ้น กล่าวเปิดงานและทำพิธีเปิดการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU ชิงชนะเลิศประเทศไทย ประจำปี 2554 อย่างเป็นทางการ
และนำเข้าสู่ช่วงการแข่งขัน

พิธีมอบรางวัลการประกวด “นวัตกรรมเพื่อการเกษตร” @ Hall 2
13.50 – 13.53   พิธีกรกล่าวต้อนรับ เข้าสู่พิธีมอบรางวัลการประกวด “นวัตกรรมเพื่อการเกษตร”
13.53 – 14.05   พิธีกรกล่าวเรียนเชิญประธานในพิธี  และผู้สนับสนุน ขึ้นมอบรางวัลบนเวที
โดยมีรางวัลดังนี้
1.รางวัลการประกวด “เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเกษตรรางวัลชนะเลิศ  เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมโล่และประกาศนียบัตร
2.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่และประกาศนียบัตร
3.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่และประกาศนียบัตร
4.รางวัลชมเชย (7 รางวัล) เงินรางวัลละ 5,000 บาท พร้อมโล่และประกาศนียบัตร
14.05 -  14.10  ประธานในพิธี  และผู้สนับสนุน ถ่ายภาพร่วมกับผู้ที่ได้รับรางวัลเพื่อที่เป็นระลึกร่วมกัน

พิธีปิดการแข่งขัน   @ Hall 1
15.36 – 15.40  ประธานในพิธี ขึ้นบนเวที
15.40 – 15.55  จากนั้นเป็นการมอบรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศและรางวัลต่างๆ ดังนี้
1. รางวัลชนะเลิศ : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 100,000 บาท
2.รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 50,000 บาท
3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 (2 รางวัล) : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท
4. รางวัลความคิดสร้างสรรค์ : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 30,000 บาท
5. รางวัลเทคนิคยอดเยี่ยม : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 30,000 บาท
6. รางวัลศิลปะยอดเยี่ยม : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 30,000 บาท
7. รางวัลนักประดิษฐ์ยอดเยี่ยม : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 30,000 บาท
8. รางวัลชนะเลิศกองเชียร์ : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท
9. รางวัลรองชนะเลิศกองเชียร์อันดับ 1 : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 15,000 บาท
10. รางวัลรองชนะเลิศกองเชียร์อันดับ 2  : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท
11. รางวัลชมเชยกองเชียร์ (2 รางวัล) : ถ้วยรางวัล และเงินรางวัล จำนวน 5,000 บาท
15.55 – 15.58  พิธีการปิดงาน
16.00   จบงาน / ปิดการถ่ายทอดสด
***************************************

View :2193

Canon Expo 2011 ดึงซุปเปอร์สตาร์ดัง แจ๊คกี้ ชาน (เฉิน หลง) รับตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเซอร์เดอร์

June 9th, 2011 No comments

จากซ้าย Mr. Irwan Kamdani ประธานบริษํท พีที ดาต้าสคริปต์ อินโดนีเซีย, มร. สึเนะจิ อูชิดะ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ แคนนอน อิงค์, Mr. Jing Dunquan รองประธาน Sino-Japan Friendship Association , มร. ฟูจิโอะ มิตาไร    ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหารสูงสุด แคนนอน   อิงค์ , เฉิน หลง แอมบาสเซอร์เดอร์ของงาน , มร.ฮิเดกิ โอซาวา ประธานบริษัท แคนนอน ประเทศจีน และ Ms. Jane Le ประธานบริษัท Le Bao Minh Joint-Stock Company ประเทศเวียดนาม

View :1579

กสิกรไทย – เอไอเอส จับมือเปิดตัวแอพพลิเคชั่น เลยาร์

June 9th, 2011 No comments

 

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย และนายศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ นายวรุณเทพ   วัชราภรณ์   ผู้อำนวยการ ส่วนงานบริหารลูกค้าองค์กร   บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด () เปิดตัวโปรแกรม ลายาร์ ( Application) เพื่อค้นหาช่องทางการให้บริการของธนาคาร อาทิเช่น สาขาธนาคารกสิกรไทย ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกสิกรไทยและสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย

View :2046

Polycom พลิกโฉมหน้าธุรกิจ Visual and Unified Communications

June 9th, 2011 No comments

 

เปิดโลกสื่อสาร เทเลพริเซน ไร้ขอบเขต -  สนองตอบตลาดคลาวด์

·        ซื้อธุรกิจ Visual Collaboration ของ HP ซึ่งรวมถึง Halo

·        เซ็นสัญญาเป็น Exclusive Partner ของ HP ในด้าน Telepresence and Video UC Solutions เพียงหนึ่งเดียว

·        ควบรวม Video Applications ของ เข้ากับ WebOS Platform ของ HP

·        เป็นรายแรกและรายเดียวที่สร้าง Open Video Exchange Cloud ร่วมกับผู้ให้บริการชั้นนำต่าง ๆ ของโลก

·        ขยายความร่วมมือกับ Microsoft

·        ประกาศแตกหุ้นในอัตรา 2 ต่อ 1

Polycom Inc. (Nasdaq: PLCM) ผู้นำในด้าน Unified Communications (UC) ของโลกประกาศข่าวสำคัญร่วมกับ พาร์ทเนอร์ Polycom Open Collaboration Network™  และความร่วมมือครั้งนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าของธุรกิจ Visual and Unified Communications เร่งให้เกิดการใช้ UC และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ UC Everywhere™ ของโพลีคอม มากยิ่งขึ้น

Polycom ประกาศซื้อธุรกิจ Visual Collaboration ของ HP ซึ่งจะรวมถึง Halo Products และ Managed Services ทั้งหมด

Polycom ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทฯ จะซื้อธุรกิจ Visual Collaboration ของ HP ซึ่งจะรวมถึง Halo Products และ Managed Services ทั้งหมด นอกจากนี้ Polycom  ได้เซ็นสัญญาเป็น Exclusive Partner ของ HP ในด้าน Telepresence and Video UC Solutions (ทั้งเพื่อขายต่อและเพื่อใช้ภายใน HP) และควบรวม Video Applications ของบริษัทฯ เข้ากับ WebOS TouchPad ของ HP  มร. แชน  โรบินสัน ( Shane Robison) รองประธานกรรมการบริหารและผ้บริหาสูงสุดดด้านกลยุทธ์เทคโนโลยี ( Executive Vice President & Chief Strategy and Technology Officer ) ของ HP กล่าวร่วมกับ  มร. แอนดี้  มิลเลอร์ ( Andy Miller) , เจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดของ ลีคอม ( Polycom CEO) ในระหว่างการออก webcast เพื่อประกาศการเป็นพันธมิตรร่วมกัน

หุ้นส่วนในด้าน Open Visual Communications รายแรกที่จะผลักดัน B2B และ B2C Video Communication

นอกจากนี้ Polycom ประกาศก่อตั้ง Open Visual Communications Consortium™ (OVCC™) เป็นรายแรกเพื่อนำเสนอ open video exchange cloud ชนิดใหม่ร่วมกับผู้ให้บริการชั้นนำต่างๆ ของโลก ซึ่งจะช่วยให้ Visual Communications ทะลุผ่าน firewalls และ proprietary video platforms ของบริษัทต่าง ๆ OVCC จะช่วยให้ทุกบริษัทในโลกติดต่อกันได้ทุกที่ สนับสนุนให้คนนับล้านสามารถติดต่อผ่านวีดีโอได้อย่างง่ายดายด้วยวิธีที่คล้ายกับการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน

นับเป็นการพลิกโฉมหน้าธุรกิจครั้งสำคัญเมื่อ 14 ผู้ให้บริการชั้นนำทั่วโลกได้ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนใน OVCC เพื่อให้บริการ B2B Communication ผ่านระบบ Cloud สมาชิกเริ่มต้นของ OVCC ประกอบด้วย Airtel, AT&T, BCS Global, BT Conferencing, Cable&Wireless Worldwide, Global Crossing, Glowpoint, iFormata Communications, Masergy, Orange Business Services, PCCW Global, Telefonica, Telstra, และ Verizon สมาชิกของ OVCC จะเชื่อมต่อผู้ใช้นับล้านทั่วโลกผ่านข้อตกลงกับผู้ให้บริการร่วมนับร้อยใน 6 ทวีปโดยมี Polycom เป็นส่วนประกอบสำคัญของ open video exchange cloud ระดับโลกครั้งแรกนี้ผ่าน Polycom UC Intelligent Core™ และอุปกรณ์ UC ชั้นนำระดับโลกของ Polycom

Polycom และ Microsoft ขยายความร่วมมือและข้อตกลงในการพัฒนาร่วม

Polycom และ Microsoft ประกาศพัฒนา 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในด้าน Enterprise UC โซลูชั่นใหม่ดังกล่าวจะขยายความร่วมมือระหว่าง Microsoft และ Polycom ในหลายด้าน

ในฐานะ UC Solution Partner สำคัญของ Microsoft ทั้งสองบริษัทฯ มีสัญญาร่วมกันแล้ว 6 ฉบับโดย Polycom ได้ผสานเข้ากับ Lync ผ่าน UC Intelligent Core infrastructure, telepresence family, และ voice endpoints ของบริษัทฯ ทั้งนี้ Polycom ได้เคยประกาศข่าวเกี่ยวกับ SVC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ Polycom และ Microsoft สามารถพัฒนา Telepresence Application ที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรมสำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะนับล้านของ Microsoft

แตกหุ้นในอัตรา 2 ต่อ 1

นอกจากนี้ Polycom ยังได้ประกาศอีกว่าคณะกรรมการฯ ของบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้แตกหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในอัตรา 2 ต่อ 1 เพื่อจ่ายเป็นเงินปันผล โดยผู้ถือหุ้นตามทะเบียนฯ ในวันที่ 15 มิ.ย. 2554 จะได้รับหุ้นเพิ่มอีก 1 หุ้นสำหรับทุก ๆ หุ้นที่ถืออยู่ในวันดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากการแตกหุ้นดังกล่าวจะถูกแจกจ่ายไปยังตัวแทนของบริษัทฯ ได้ในวันที่ 1 ก.ค. 2554 หลังการแตกหุ้น Polycom จะมีหุ้นสามัญในตลาดรวม 176,000,000 หุ้น

“ข่าวที่ประกาศออกไปในวันนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่เด่นชัดถึงความสำเร็จของ Polycom ในธุรกิจนี้,” มร.มิลเลอร์ ผู้บริหารของ Polycom กล่าว “Polycom เป็นผู้นำในธุรกิจ Unified Communications and Collaboration ด้วยโซลูชั่นใหม่ ๆ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการติดต่อสื่อสารของผู้คนต่าง ๆ และความก้าวหน้าดังกล่าวก็มีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบเครือข่าย ซึ่งเราเริ่มจะสัมผัสได้จากการใช้วีดีโอ ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ HP, Microsoft และ Polycom Open Collaboration Network Partners รายอื่น ๆ เรามั่นใจว่าเรามีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้วิสัยทัศน์ UC Everywhere ของเราเป็นจริง และช่วยผลักดันให้เกิดการใช้ UC อย่างกว้างขวาง”

View :1280
Categories: Press/Release Tags: